Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 562397-59 Basic Practice Manual 2021 edition

562397-59 Basic Practice Manual 2021 edition

Published by Kawin Duangmee, 2021-07-15 09:37:11

Description: สำหรับประกอบการเรียนการสอนรายวิชา 562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เท่านั้น
ห้ามผู้ใดทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ จำหน่าย ให้เช่า เข้าครอบครอง เรียกดึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับเอกสารนี้

Search

Read the Text Version

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy 9. Dicloxacillin 500 mg 1 x 4 po ac (รับประทานไม่สมา่ เสมอ) 10. Ketoconazole 200 mg 1 x 2 po pc (รบั ประทานไม่สม่าเสมอ) จากการโทรไปสอบถามท่คี ลินิกท่ีผ้ปู ่วยรกั ษาอยู่ พบวา่ ▪ แพทย์สง่ั หยดุ ยา Gemfibrozil ไปตั้งแตเ่ มื่อ 3 เดือนก่อน (เร่มิ สัง่ เมอื่ 4 เดือนกอ่ น) ▪ แพทย์ส่ังจ่าย Dicloxacillin และ Ketoconazole เน่ืองจากมีแผลติดเชื้อราท่ีบริเวณทวาร ต้ังแต่ 4 เดือนก่อน แต่ผปู้ ว่ ยยงั รบั ประทานไมห่ มด เพราะรบั ประทานไมส่ ม่าเสมอ ▪ ระดบั ไขมนั ของผู้ป่วยเมื่อ 3 เดือนก่อน ดงั น้ี TC 206 mg/dL TG 169 mg/dL LDL 126 mg/dL HDL 46 mg/dL แบบฝกึ หัดที่ 1 จากกรณีศึกษาดังกล่าว ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ร่วมกันวางแผนการจัดการอันตรกิริยาท่ีเกิดข้ึนกับ ผ้ปู ่วยรายน้ี ตลอดจนการปอ้ งกนั ความคลาดเคลือ่ นทางยาในเชิงระบบ โดยให้แต่ละกลุ่มทาลงในแบบฝึกหัดที่กาหนด ซึ่งนักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถเข้าถึงตามลิงก์หรือ รหัส QR ทก่ี าหนดดงั ตอ่ ไปนี้ (ลอ็ กอนิ ด้วยอเี มลข์ อง silpakorn.edu เท่านนั้ ) ( งานกลมุ่ สาหรบั กลมุ่ ที่ 7 และ 8 ทาในชั่วโมงปฏบิ ัตกิ าร ) สาหรบั กลุ่มที่ 7 สาหรบั กลุ่มที่ 8 กรณีศกึ ษาที่ 2 ผปู้ ่วยชายไทยคู่ อายุ 77 ปี โรคประจาตวั พาร์กินสนั และ psychosis (off and on) เขา้ รับการรักษา ท่ีหอผู้ป่วยอายุรกรรม อาการนา: มีไข้ ไมห่ นาวส่ัน 1 วันกอ่ นมาโรงพยาบาล 121

drug interaction management 2 Status เดิม พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ชอบพูดคนเดียว ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือทาร้ายผู้อ่ืน แต่ช่วงนี้ชอบ นอนแกผ้ ้าอยู่ในบา้ นและจาลกู หลานไม่ได้ สัญญาณชพี : BP 129/74 mmHg, PR 94 bpm, BT 38ºC, RR 22 bpm ยาที่ผูป้ ว่ ยรับประทาน: 1. Ticlopidine 250 mg 1 x 2 po pc 2. Atorvastatin 20 mg 1 x 1 po hs 3. Gemfibrozil 600 mg ½ x 1 po pc 4. Piribidil 50 mg 1 x 3 po pc 5. Exelon® patch 10 cm2 1 patch OD 6. Pramipexole 1.5 mg 2 x 2 po pc 7. Circadin® 2 mg 1 x 1 po hs 8. Escitalopram 20 mg 1 x 1 po pc เยน็ 9. Clonazepam 0.5 mg 1 x 1 po hs 10. Rasagiline 1 mg 1 x 1 po pc (เพิง่ ได้รับยามาเม่อื 3 วนั กอ่ น) 11. Levodopa/Carbidopa/Entacapone 100/25/200 mg 1 x 3 po pc ผลการตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ Serum creatinine (mg/dL) 4 AST (IU/L) 2361 505 BUN (mg/dL) 52.7 ALT (IU/L) 125,700 Sodium (mEq/L) 151 CPK (IU/L) แบบฝึกหัดที่ 2 จากกรณีศึกษาดังกล่าว ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ร่วมกันวางแผนการจัดการอันตรกิริยาที่เกิดข้ึนกับ ผปู้ ว่ ยรายน้ี ตลอดจนการปอ้ งกันความคลาดเคลอื่ นทางยาในเชงิ ระบบ โดยให้แต่ละกลุ่มทาลงในแบบฝึกหัดที่กาหนด ซ่ึงนักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถเข้าถึงตามลิงก์หรือ รหัส QR ท่ีกาหนดดงั ต่อไปน้ี (ลอ็ กอนิ ด้วยอีเมลข์ อง silpakorn.edu เทา่ นนั้ ) ( งานกล่มุ สาหรบั กลมุ่ ที่ 5 และ 6 ทาในช่วั โมงปฏบิ ัตกิ าร ) สาหรบั กลุ่มท่ี 5 สาหรับ กลุ่มที่ 6 122

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy อันตรกริ ยิ าระหวา่ งยากบั อาหาร อันตรกิริยาระหว่างยากับอาหารสามารถเกิดได้ทั้งทางกายภาพหรือทางเคมี สามารถส่งผลต่อเภสัช พลศาสตร์หรือเภสัชจลนศาสตร์ของยาได้ ส่วนมากจะข้ึนอยู่กับปริมาณของอาหารท่ีรับประทานจึงจะ มีผล อย่างชัดเจน โดยกลไกของอันตรกิริยาระหว่างยากับอาหารสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท6 ได้แก่ กลไกทาง กายภาพและเคมีกายภาพ ซ่ึงเก่ียวข้องกับกระบวนทางเภสัชจลนศาสตร์ของร่างกาย และกลไกทางชีวเคมี ซ่ึง เก่ยี วขอ้ งกับเภสชั พลศาสตรข์ องยา ยกตวั อยา่ งเชน่ ยา phenytoin ทสี่ ามารถจับกบั อาหารทใ่ี ห้ทางสายยางได้ ทาใหป้ ริมาณยา phenytoin ลดลงและสง่ ผลใหไ้ มส่ ามารถควบคุมการชักได้ อาหารท่มี ีไทโรซนี (tyrosine) ใน ปริมาณสงู เชน่ ชีส ไส้กรอก salami เม่อื รับประทานร่วมกับยากลมุ่ ยับย้ังเอนไซม์ monoamine oxidase จะ ทาให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงชนิดวิกฤต (hypertensive crisis) หรือการด่ืมแอลกอฮอล์ปริมาณมากแต่ไม่ บ่อยครั้งจะส่งผลยับยั้ง CYP450 ในขณะท่ีการด่ืมแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานานหรือผู้ที่ติดสุราเร้ือรัง (chronic alcohol dependence) จะสง่ ผลเหน่ยี วนาการทางานของ CYP450 โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ CYP2E17 กรณศี กึ ษาที่ 3 ผู้ป่วยหญิงไทยคู่ อายุ 84 ปี โรคประจาตัว ไขมันในเลือดผิดปกติ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โรคไทรอยด์ ฮอร์โมนตา่ โรคพารก์ ินสัน โรค atrial fibrillation และภาวะ left MCA infarction พบผู้ป่วยเน่ืองจากการลง ชุมชน ประวัติความเจบ็ ปว่ ย: 3 เดือนก่อน ผู้ป่วยขาอ่อนแรง มือส่ันเล็กน้อย แต่พอออกแรงได้ตามสมควร ปัสสาวะตอนกลางคืน ประมาณ 5 ถึง 6 ครั้ง มีปลายเท้าชา รับประทานยา levodopa ไม่ตรงตามแพทย์ส่ังโดยลดขนาดยาเองจาก ครง้ั ละ 1 เมด็ วนั ละ 3 ครั้ง เป็นครัง้ ละ ครึ่ง เมด็ วนั ละ 3 ครง้ั เนือ่ งจากมอี าการใจส่ัน 1 วันก่อน ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่บ้าน โดยมีสภาพเป็นผู้ป่วยติดเตียงเน่ืองจากภาวะ left MCA infarction ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เน่ืองจากอัมพาตคร่ึงซีกขวา ต้องมีผู้ดูแลในการให้อาหาร และยาผา่ นทาง nasogastric (NG) tube ผปู้ ว่ ยยังร้ตู วั หันหน้าตามเมอ่ื เรยี กชื่อได้ มือซ้ายสนั่ บา้ งเปน็ บางครั้ง สัญญาณชพี : BP 110/71 mmHg, PR 80 bpm 123

drug interaction management 2 ผลการตรวจร่างกาย: GA: Thai old women, Conscious, Right-sided hemiparesis Ext.: tremor left hand ยาท่ีผปู้ ว่ ยรับประทาน: ผปู้ ่วยรบั ประทานยากอ่ นและหลังอาหารพรอ้ มกัน 1. Warfarin 3 mg 1 x 1 po hs 2. Ranitidine 150 mg 1 x 2 po pc 3. Simvastatin 40 mg 1 x 1 po hs 4. Calcium carbonate 1,000 mg 1 x 1 po pc 5. Folic acid 5 mg 1 x 1 po pc 6. Digoxin 0.25 mg ½ x 1 po pc 7. Levothyroxine 100 mcg ½ x 1 po ac 8. Magnesium oxide 140 mg 1 x 2 po pc 9. Sodium chloride 300 mg 1 x 3 po pc 10. Carbidopa/Levodopa 25/250 mg 1 x 3 po ac 11. Calcium polystyrene sulfonate 5 g 6 sachets OD 12. Acetylcysteine 600 mg 1 x 2 po pc prn for cough แบบฝกึ หดั ท่ี 3 จากกรณีศึกษาดังกล่าว ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ร่วมกันวางแผนการจัดการอันตรกิริยาท่ีเกิดข้ึนกับ ผ้ปู ่วยรายนี้ ตลอดจนการปอ้ งกนั ความคลาดเคลอื่ นทางยาในเชิงระบบ โดยให้แต่ละกลุ่มทาลงในแบบฝึกหัดท่ีกาหนด ซึ่งนักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถเข้าถึงตามลิงก์หรือ รหสั QR ท่ีกาหนดดังตอ่ ไปน้ี (ล็อกอินดว้ ยอเี มล์ของ silpakorn.edu เทา่ นั้น) ( งานกล่มุ สาหรบั กลุ่มที่ 3 และ 4 ทาในชั่วโมงปฏิบตั ิการ ) สาหรบั กลุ่มท่ี 3 สาหรับ กลุ่มที่ 4 124

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy อันตรกิริยาระหว่างยากับผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหารหรือสมนุ ไพร อาหารเสริมหรอื สมุนไพรหลายชนิดสามารถเกิดอันตรกิริยาได้เช่นเดยี วกับยาหรอื อาหาร สามารถเกิด ได้ท้ังทางเภสัชจลนศาสตร์โดยการยับย้ังหรือเหนี่ยวนา CYP450 หรือทางเภสัชพลศาสตร์โดยการเสริมหรือ ต้านฤทธิ์ของยาจากสารสาคัญในการออกฤทธ์ิ เช่น วิตามิน E กับการเพ่ิมความเส่ียงในการเกิดเลือดออกของ ยา warfarin หรือฤทธ์ิต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดจากสารสกัด ajoene ในกระเทียม เป็นต้น โดย นักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของยาแผนไทยหรือยาแผนโบราณและยาที่พัฒนาจาก สมุนไพรตามบญั ชียาจากสมุนไพร พ.ศ.2555 บญั ชยี าหลักแห่งชาติ8 ดงั ลิงก์หรอื รหัส QR น้ี บัญชยี าจากสมุนไพร พ.ศ.2555 กรณีศกึ ษาที่ 4 ผู้ปว่ ยชายไทยคู่ อายุ 40 ปี น้าหนกั 52 กิโลกรัม สว่ นสูง 160 เซนตเิ มตร โรคประจาตวั ไขมนั ในเลือด ผิดปกติ โรค atrial fibrillation และ aortic valve replacement อาการนา: แขนขาออ่ นแรงทัง้ 2 ขา้ ง ยาทีผ่ ู้ปว่ ยรับประทาน: 1. Furosemide 40 mg ½ x 1 po pc 2. Digoxin 0.25 mg 1 x 1 po pc 3. Warfarin 5 mg ¾ x 1 สลบั กับ 1 x 1 po hs (รบั ประทานมาเปน็ เวลาเกือบ 2 ปี) ผลตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร: คา่ INR วันน้ี = 3.81 คา่ INR เมอ่ื 3 เดือนก่อน = 2.82 ค่า INR เม่อื 6 เดือนก่อน = 2.91 คา่ INR เมอ่ื 9 เดือนก่อน = 2.51 ข้อมลู จากการสัมภาษณผ์ ้ปู ว่ ย: ▪ รับประทานยาทุกชนิดครบถว้ น ตามคาสงั่ แพทย์ ▪ ไม่มเี ลือดออกผิดปกติ ▪ ผ้ปู ว่ ยรับประทานอาหารตามปกติ รบั ประทานผักใบเขียวในปริมาณเทา่ ๆ เดมิ ▪ เม่ือ 15 วันก่อน รับประทานแคปซลู กระเทยี มวนั ละ 2 แคปซูลเพือ่ ลดไขมัน 125

drug interaction management 2 แบบฝึกหดั ที่ 4 จากกรณีศึกษาดังกล่าว ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ร่วมกันวางแผนการจัดการอันตรกิริยาท่ีเกิดข้ึนกับ ผปู้ ่วยรายน้ี ตลอดจนการปอ้ งกนั ความคลาดเคลอื่ นทางยาในเชงิ ระบบ โดยให้แต่ละกลุ่มทาลงในแบบฝึกหัดที่กาหนด ซึ่งนักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถเข้าถึงตามลิงก์หรือ รหัส QR ทีก่ าหนดดงั ต่อไปน้ี (ล็อกอินดว้ ยอเี มล์ของ silpakorn.edu เทา่ น้นั ) ( งานกลุ่ม สาหรบั กลุ่มท่ี 1 และ 2 ทาในช่ัวโมงปฏบิ ัติการ ) สาหรบั กลุ่มท่ี 1 สาหรับ กลุ่มท่ี 2 บทสรุป อันตรกิริยาคอื การตอบสนองทผ่ี ิดปกตขิ องรา่ งกายต่อฤทธิท์ างเภสชั วิทยาของยา ซ่ึงเปน็ ผลมาจากการ ได้รับยาร่วมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป สามารถแบ่งตามชนิดของอันตรกิริยาได้เป็นอันตรกิริยาระหว่างยากับยา อันตรกิริยาระหว่างยากับอาหาร อันตรกิริยาระหว่างยากับอาหารเสริมหรือสมุนไพร ดังนั้น นักศึกษาเภสัช ศาสตร์ควรมีองคค์ วามร้แู ละมุมมองการจัดการอันตรกริ ิยาในภาพรวมเพ่ือความปลอดภยั สงู สุดตอ่ ผู้ปว่ ย 126

CHAPTER thirteen Health promotion for noncommunicable disease 1 KAWIN DUANGMEE Department of pharmacy Faculty of pharmacy, Silpakorn university



562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แผนการสอน หวั ข้อ การสร้างเสรมิ สุขภาพสาหรบั โรคไม่ติดต่อ คร้ังท่ี 1 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 1) รายวชิ า 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรมเบื้องต้น สาหรบั สาขาเน้นเภสชั กรรมชมุ ชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) ระยะเวลาการสอนปฏิบัติการ 3 คาบ รวม 150 นาที วัตถุประสงค์ เพ่อื ใหน้ ักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการป้องกันปฐม ภูมทิ ่ไี ม่ตอ้ งใช้ยา โดยเฉพาะโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด เพื่อให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถประยุกต์ความรู้เรื่องการป้องกัน ปฐมภูมิท่ไี ม่ตอ้ งใช้ยากบั การสร้างเสริมสขุ ภาพได้ ผูร้ บั ผดิ ชอบหลักปฏิบัตกิ าร ภก.อ.ดร.กวณิ ด้วงมี ผรู้ ่วมคุมปฏิบัตกิ าร ภญ.รศ.ดร.พรวลัย บญุ เมอื ง ภญ.ผศ.ดร.ดาราพร รงุ้ พราย ภก.ผศ.ดร.วีรยทุ ธ์ แซล่ ม้ิ วิธกี ารดาเนนิ การสอนปฏิบัติการ ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันปฐมภูมิ โดยเน้นท่ีโรคหัวใจและหลอดเลือด อัน ได้แก่ โภชนาการ การออกกาลังกาย และการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพื่อนาไปสร้าง สื่อการสร้างเสริมสุขภาพในหัวข้อปฏิบัติการคร้ังท่ี 14 การสร้างเสริมสุขภาพสาหรับโรคไม่ติดต่อ ครั้งท่ี 2 จากนั้นนาเสนอเพ่ือร่วมกันอภิปรายกับคณาจารย์ โดยช่วงท้ายของปฏิบัติการจะเป็นการสรุปและตอบคาถาม ของนักศกึ ษา รายละเอยี ดของการสอนปฏบิ ัตกิ าร จานวน 3 คาบ ระยะเวลา 150 นาที หัวข้อย่อย ระยะเวลาทใี่ ช้ (นาที) โภชนาการ 15 การออกกาลังกาย 15 การปรบั พฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคความดันโลหติ สูง 15 127

HEALTH PROMOTION FOR ระยะเวลาท่ีใช้ (นาท)ี NONCOMMUNICABLE DISEASE 1 100 หัวข้อย่อย 5 นาเสนอผลงานสอื่ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและอภิปราย บทสรุป และ ซกั ถามข้อสงสยั สือ่ สารสอน 1. คู่มือเอกสารประกอบการสอน รายวิชา 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรม เบื้องต้นสาหรับสาขาเน้นเภสัชกรรมชุมชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) หวั ขอ้ ปฏิบตั ิการคร้งั ที่ 13 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพสาหรบั โรค ไม่ติดต่อ ครั้งท่ี 1 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 1) หน้า 127 ถึงหน้า 134 2. โปรแกรมและโปรแกรมประยกุ ต์ ไดแ้ ก่ Zoom และ Google Classroom การประเมินผล ร่วมกับหัวข้อปฏิบัติการครั้งท่ี 14 คิดเป็น 3.64% ของคะแนนงานมอบหมายและกิจกรรมใน ปฏบิ ตั ิการ เอกสารอา้ งองิ 1. Arnett DK, Blumenthal RS, Albert MA, Buroker AB, Goldberger ZD, Hahn EJ, Himmelfarb CD, Khera A, Lloyd-Jones D, McEvoy JW, Michos ED, Miedema MD, Muñoz D, Smith SC Jr, Virani SS, Williams KA Sr, Yeboah J, Ziaeian B. 2019 ACC/AHA guideline on the primary prevention of cardiovascular disease: a report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. J Am Coll Cardiol 2019;74:e177–232. 2. Estruch R, Ros E, Salas-Salvadó J, et al. Primary prevention of cardiovascular disease with a Mediter- ranean diet supplemented with extra-virgin olive oil or nuts. N Engl J Med. 2018;378:e34. 3. Martínez-González MA,Corella D, et al. A provegetarian food pattern and reduction in total mortality in the Prevención con Dieta Mediterránea (PREDIMED) study. Am J Clin Nutr. 2014; 100 suppl 1:320S– 8S. 4. Sattelmair J, Pertman J, Ding EL, et al. Dose response between physical activity and risk of coro- nary heart disease: a meta-analysis. Circulation. 2011; 124:789–95. 5. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. Thai Drinking Survey Guide [internet]. 2020 [cited 2020 July 31]. Available from: https://www.rihes.cmu.ac.th/rihes2010/th/add/filesPDF/1277783207thai-drinking.pdf 128

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การสรา้ งเสริมสขุ ภาพสาหรับโรคไมต่ ดิ ตอ่ คร้งั ท่ี 1 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 1) เภสัชกร อาจารย์ ดอกเตอร์ กวณิ ด้วงม,ี ภบ., วภ. General Residency in Pharmacotherapy Specialized Residency in Cardiology Pharmacotherapy Specialized Fellowship in Cardiology Pharmacotherapy Board Certified Pharmacotherapy บทนา การที่จะเริ่มโครงการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคท่ีมีประสิทธิภาพได้น้ัน จะต้องมีความรู้ความ เข้าใจที่ถูกต้องสาหรับการป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) โดยเฉพาะท่ีไม่ใช้ยา เพื่อนาไปพื้นฐานใน การสร้างส่ือสาหรับการสร้างเสริมสุขภาพได้อย่างสมบูรณ์ โดยในปีพ.ศ.2562 American College of Cardiology และ American Heart Association1 ได้เผยแพร่แนวทางการป้องกันปฐมภูมิสาหรับโรคหัวใจ และหลอดเลอื ดออกมาใหม่ ดงั น้นั หัวขอ้ ปฏิบัตกิ ารนี้จะกล่าวถึงการป้องปฐมภูมิสาหรับโรคดังกลา่ วเป็นสาคัญ เน่ืองจากพบได้บ่อยในประเทศไทย ซึ่งแนวทางป้องกันน้ีจะมุ่งเน้นเรื่องคาแนะนาด้านพฤติกรรม อันได้แก่ โภชนาการ การออกกาลังกาย และการปรับพฤตกิ รรมเพื่อป้องกนั โรคความดนั โลหติ สงู โภชนาการ 1. อาหารทแี่ นะนาให้รบั ประทาน แนะนาให้ทุกคนรับประทานผักและผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง (nut) เช่น อัลมอนต์ วอลนัต เฮเซลนัต และ แมกคาเดเมีย ถั่วท่ีในฝักมีเมล็ดกลม (legume) เช่น ถั่วลันเตา ธัญพืชไม่ขัดสี (whole grains) ท่ีมี ส่วนประกอบครบถ้วนทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด เน้ือเมล็ด และจมูกข้าว เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวไรซ์ ข้าวบาร์เลย์ และข้าว กลอ้ ง โปรตีนจากเน้ือสัตว์ เช่น เน้ือปลา (ระดบั คาแนะนา I, คณุ ภาพหลักฐาน B-R) นอกจากอาหารดังกล่าวข้างต้น แนวทางการป้องกันน้ียังแนะนาการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์ เรเนียน (Mediterranean diet) ซึ่งเป็นการรับประทานอาหารในลักษณะเดียวกับผู้ที่อาศัยในแถบทะเลเมดิ 129

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 1 เตอร์เรเนียน เช่น ประเทศกรีซ ประเทศอิตาลีตอนใต้ และประเทศสเปน เป็นต้น โดยเน้นการรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นหลัก รวมถึงไขมันไม่อ่ิมตัว เช่น น้ามันมะกอก น้ามันคาโนล่า อัลมอนด์ วอลนัต ส่วน ผลติ ภณั ฑ์จากนมและชสี จะเลอื กรับประทานชนิดท่ีมีไขมันต่า และไม่รบั ประทานเนอื้ สตั ว์แดง (red meat) แต่ นิยมรับประทานสัตว์ปีกและอาหารทะเลแทน คล้ายกับคาแนะนาข้างต้น อย่างไรก็ตามจุดเด่นของการ รับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน คือ การให้รับประทานผักและผลไม้ในปริมาณมากเกินคร่ึงของมื้อ อาหาร ทั้งแบบสดและราดด้วยน้ามันมะกอก โดยการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมีการศึกษาท่ี สนับสนุนเป็นจานวนมากว่า สามารถลดการเกิดผลลัพธ์รวมของการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรค หลอดเลือดสมอง และการเสียชวี ติ จากโรคหัวใจและหลอดเลอื ดได้2-3 2. อาหารท่ีแนะนาให้รบั ประทานลดลง ควรลดการรับประทานอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง และหากต้องรับประทานให้เลือกชนิดไขมันไม่ อิ่มตัว (unsaturated fat) แทนไขมันอ่ิมตัว (saturated fat) (ระดับคาแนะนา IIa, คุณภาพหลักฐาน B-NR) นอกจากนคี้ วรจากดั การรับประทานโซเดยี มให้นอ้ ยกวา่ 2 กรมั ตอ่ วนั (ระดบั คาแนะนา IIa) 3. อาหารทแ่ี นะนาให้หลกี เลี่ยงการรบั ประทาน แนะนาให้หลีกเล่ียงไขมันทรานส์ (trans fat) เช่น เนยเทียม เนยขาว มาร์การีน ครีมเทียม (ระดับ คาแนะนา III Harm, คุณภาพหลักฐาน B-NR) โดยไขมันทรานส์ คือไขมันที่เกิดจากการนาไขมันจากพืชหรือ ไขมันไม่อ่มิ ตวั เชน่ น้ามันพชื มาเตมิ ไฮโดรเจนลงไปบางส่วน (partially hydrogenated oil) เพอ่ื แปลงสภาพ ให้กลายเป็นของแข็งหรือกึ่งเหลว จนกลายเป็นไขมันอ่ิมตัว เช่น เนยเทียม เนยขาว มาร์การีน ครีมเทียม โดย ปกติไขมันอ่ิมตัวในอาหารจะไปเพ่ิมระดับของ low-density lipoprotein cholesterol (LDL-C) ในขณะท่ี ไขมันทรานส์สามารถเพิ่ม LDL และลดระดับของ high-density lipoprotein cholesterol (HDL-C) จึงเพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ในปีพ.ศ.2561 กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย จึงได้ กาหนดว่าหา้ มผลิต นาเข้า หรอื จาหน่าย อาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ ควรหลกี เล่ียงการรับประทานเนื้อสัตวท์ ่ีผ่านการแปรรูป น้าอดั ลม เคร่ืองด่มื ทม่ี นี า้ ตาลเป็น สว่ นประกอบ (ระดับคาแนะนา IIa, คุณภาพหลักฐาน B-NR) 4. การจากดั ปรมิ าณแคลอรี (calories) แนะนาสาหรบั คนท่ีน้าหนกั เกิน (overweight) หรือมโี รคอว้ น (obesity) ร่วมกับการลดน้าหนกั 130

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การออกกาลงั กาย การออกกาลังกายมี 2 ลักษณะ ได้แก่ การออกกาลังกายแบบแอโรบิค (aerobic) หรือการออกกาลัง กายแบบใช้ออกซิเจน เน้นความสาคัญที่การหายใจเข้าและออก เพ่ือให้เกิดการสูบฉีดที่หัวใจและหลอดเลือด ส่งออกซิเจนไปเป็นพลังงานตลอดการออกกาลังกาย และการออกกาลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic) หรือการออกกาลังกายแบบแรงต้าน (resistant exercise) คือการใช้เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ ว่าจะเปน็ ต้นแขน ต้นขา หวั ไหล่ หน้าท้อง หรือหน้าอก โดยใช้น้าหนกั และแรงโนม้ ถว่ งของตวั เอง องค์การอนามัยโลกเเละเเนวทางเวชปฏิบัติส่วนใหญ่ เเนะนาการออกกาลังกายเเบบเเอโรบิกระดับ ปานกลาง (moderate-intensity physical activity) อยา่ งนอ้ ย 150 นาทตี อ่ สปั ดาห์ โดยแบ่งเปน็ คร้ังละ 30 นาที จานวน 3 – 4 คร้ังต่อสัปดาห์ หรอื ระดบั หักโหม (vigorous-intensity physical activity) อยา่ งน้อย 75 นาทีตอ่ สปั ดาห์ และควรหลีกเล่ยี งพฤติกรรมเนือยนิง่ โดยระดับของการออกกาลังกายอาจวัดจากการพูด หาก ยังร้องเพลงได้ขณะออกกาลังกาย หมายถึงระดับเบา หากร้องเพลงไม่ไหวแต่ยังพูดได้เป็นประโยค หมายถึง ระดับปานกลาง หากพูดไดเ้ พยี งเป็นคา หมายถึงระดับหกั โหม ยกตวั อยา่ งการออกกาลังกายดงั ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 ระดบั ของการออกกาลังกาย (ดดั แปลงจากเอกสารอ้างอิงหมายเลข 1) ระดับการออกกาลังกาย MET ตัวอย่างการออกกาลังกาย เนือยนิ่ง 1.0 – 1.5 การน่งั , การเอนนอน, การดโู ทรทัศน์ เบา 1.6 – 2.9 ปานกลาง 3.0 – 5.9 การเดินชา้ , การทาอาหาร, การทางานบา้ นทไี่ ม่ตอ้ งออกเเรงมาก หกั โหม 6.0 ขน้ึ ไป การเดินเรว็ (3 - 4 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง) การปั่นจกั รยาน (8 – 14.5 กโิ ลเมตรตอ่ ช่ัวโมง) กฬี าลลี าศ โยคะ การว่ายน้าเพ่อื การพักผ่อน MET = Metabolic equivalent of task หยอ่ นใจ การว่ิงหรอื การวงิ่ แบบเหยาะ การปัน่ จกั รยาน (16 กิโลเมตรตอ่ ช่ัวโมง ขึ้นไป) การเลน่ เทนนสิ การวา่ ยทวนกระเเสน้า ข้อมูลจากการศึกษาอภิวิเคราะห์ พบว่า การออกกาลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อ สัปดาห์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงร้อยละ 14 ในขณะที่ผลของการออก กาลังกายแบบแรงต้านยังไม่ชัดเจน เเต่มีผลช่วยเสริมความทนทานของร่างกาย เพ่ิมความสามารถในการ ควบคมุ ระดบั น้าตาลในผู้ป่วยเบาหวาน เเละลดความดนั โลหิตลงได6้ 131

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 1 การออกกาลงั กายระดับปานกลางทแี่ นะนาสาหรับผู้ท่ีน้าหนกั เกินหรือมโี รคอว้ น คอื การเดนิ เรว็ (brisk walk) ท่ีเป็นท่าเดินเวลาเร่งรีบ เน่ืองจากใช้ทักษะน้อย แต่เผาผลาญแคลอร่ีได้มาก แรงกระแทกต่า จึงมีความ ปลอดภยั สงู กว่าการวิง่ ที่มีแรงกระแทกมากกว่า สว่ นการออกกาลังกายเเบบหนักอย่างการวิ่ง มหี ลกั การคือ วง่ิ ด้วยท่าท่ีเป็นธรรมชาติ ไม่จิกปลายเท้า งอเข่าเล็กน้อย ไม่เหยียดเข่าเพื่อลดแรงกระแทก ส้นเท้าหลังปล่อย ยกขึ้นหาสะโพก ควรเสริมความแข็งแรงให้ข้อ ด้วยท่าบริหารข้ออย่างสม่าเสมอ กิจกรรมอ่ืนท่ีสามารถทาได้ เชน่ การป่ันจกั รยานด้วยความเรว็ 16 กโิ ลเมตรตอ่ ชว่ั โมงขนึ้ ไป การเลน่ เทนนสิ เเละการว่ายทวนกระเเสนา้ การปรับพฤตกิ รรมเพอ่ื ปอ้ งกันโรคความดันโลหิตสูง จากแนวทางการป้องกันปฐมภูมิสาหรับโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ให้คาแนะนาการปรับพฤติกรรม เพือ่ ป้องกนั โรคความดนั โลหติ สูงไว้หลายดา้ น1 ดังน้ี 1. การลดน้าหนกั ในที่มีน้าหนักเกนิ หรือมีโรคอ้วน เน่ืองจากการลดน้าหนกั 1 กิโลกรัม สามารถลดความ ดนั โลหติ ได้ 1 มิลลิเมตรปรอท 2. การรับประทานอาหารเเบบ DASH (Diet Approach to Stop Hypertension Diet) หลักการคือ แบ่งอาหารออกเป็น 4 ส่วน โดย 2 ส่วนเป็นผักอย่างน้อย 2 ชนิด 1 ส่วนเป็นข้าวหรืออาหารจาพวก เเป้งหรือธญั พืชไม่ขัดสี และอกี 1 สว่ นเปน็ โปรตีนทเี่ นน้ เนือ้ สัตว์ไม่ติดมันเเละเนอ้ื ปลา การรบั ประทาน อาหารแบบ DASH สามารถลดความดนั โลหิตได้ประมาณ 3 มิลลเิ มตรปรอท 3. การลดปริมาณโซเดียมที่รับประทานไม่ให้เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับการรับประทานผักเเละ ผลไม้ให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้รับโพเเทสเซียม เเมกนีเซียม เเคลเซียม ซ่ึงช่วยลดความดันโลหิต เเละอาจลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหวั ใจเละหลอดเลือดได้ โดยการลดปรมิ าณโซเดียมสามารถลดค ความดนั โลหิตไดป้ ระมาณ 2 – 3 มลิ ลเิ มตรปรอท 4. การออกกาลงั กาย ดังทกี่ ลา่ วมาขา้ งต้น สามารถลดความดันโลหติ ไดป้ ระมาณ 2 – 4 มิลลิเมตรปรอท 5. การดื่มเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ สาหรับผู้ที่ไม่เคยดื่ม ไม่แนะนาให้ดื่มเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ แต่ กรณีที่ด่ืมเเอลกอฮอล์ ควรแนะนาให้หยุดดื่ม หากยังไม่สามารถหยุดดื่มได้ให้จากัดปริมาณเเอลกอ ฮอล์ โดยเพศหญิงไม่เกิน 1 ด่ืมมาตรฐาน (standard drink) ต่อวัน ส่วนเพศชายไม่เกิน 2 ดื่ม มาตรฐานต่อวัน ซง่ึ 1 ด่ืมมาตรฐาน หมายถึง เครือ่ งด่ืมท่ีมแี อลกอฮอล์ 10 กรัม (ตารางท่ี 2) 132

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy ตารางท่ี 2 ปริมาณแอลกอฮอล์ในเคร่อื งด่ืมชนดิ ต่างๆ5 เครื่องดม่ื ความเข้มขน้ ปรมิ าณ จานวนด่มื มาตรฐาน เบยี ร์ 5% ¾ กระป๋องหรือขวดเลก็ (330 มิลลลิ ติ ร) 1 สุราสี 3.5% 1 กระป๋องหรือขวดเล็ก 1 หรือ 5% 1 ขวดใหญ่ 2.5 สรุ าขาว 6.4% ½ กระป๋องหรือขวดเล็ก, 1/3 ขวดใหญ่ 1 ไวน์ ไวนค์ ูลเลอร์ 35 ดกี รี 1 แบน (350 มิลลลิ ติ ร) 12 น้าขาว อุ กระแช่ 1 ขวด (700 มิลลิลติ ร) 24 สาโท สุราแช่ สรุ า พืน้ เมือง 40 ดีกรี 1 เป๊ก/ตอง/ก๊ง (50 มิลลลิ ติ ร) 1.5 เหลา้ ปัน่ เหล้าถงั 1 แบน (350 มลิ ลิลิตร) 10.4 1 ขวด (700 มิลลิลิตร) 22 12% 1 แกว้ (100 มิลลิลิตร) 1 5% 1 ขวด (275 มิลลลิ ิตร) 1 10% 3 เป๊ก/ตอง/ก๊ง (150 มลิ ลลิ ติ ร) 1 6% 4 เป๊ก/ตอง/กง๊ (200 มลิ ลิลิตร) 1 ผสมสรุ า 40 ดกี รี 3 ฝาใหญห่ รือ 3 ช็อต (45 มลิ ลิลติ ร) 1.5 ผสมสุรา 40 ดกี รี ¼ แบน (87.5 มิลลลิ ติ ร) 3 บทสรปุ การป้องกันปฐมภูมิสาหรับโรคหวั ใจและหลอดเลือดเป็นการป้องกนั ก่อนท่จี ะเกิดโรค จงึ สอดคล้องกับ หลักการสร้างเสริมสุขภาพ โดยสามารถทาได้ตั้งแต่การปรับโภชนาการให้เหมาะสม ควรรับประทานหรือควร หลีกเล่ียงอาหารประเภทใด การออกกาลังกายท่ีถูกต้อง ตลอดจนการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคความดัน โลหิตสูง ซง่ึ เป็นจดุ เริม่ ต้นของการเกิดโรคหวั ใจและหลอดเลอื ดตา่ งๆ ในอนาคต 133

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 1 ~ END ~ 134

CHAPTER fourteen Health promotion for noncommunicable disease 2 KAWIN DUANGMEE Department of pharmacy Faculty of pharmacy, Silpakorn university



562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แผนการสอน หัวข้อ การสร้างเสริมสขุ ภาพสาหรับโรคไมต่ ิดตอ่ คร้ังท่ี 2 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 2) รายวชิ า 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรมเบื้องต้น สาหรบั สาขาเนน้ เภสชั กรรมชมุ ชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) ระยะเวลาการสอนปฏบิ ัติการ 3 คาบ รวม 150 นาที วัตถปุ ระสงค์ เพ่ือให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการสร้างเสริม สุขภาพ โดยเฉพาะในชุมชน เพ่ือให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์นาหลักการของการสร้างเสริมสุขภาพไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการฝึกปฏิบตั งิ าน ตลอดจนการปฏบิ ัตงิ านในอนาคต ผรู้ ับผิดชอบหลักปฏิบตั ิการ ภก.อ.ดร.กวิณ ด้วงมี ผ้รู ว่ มคุมปฏิบัตกิ าร ภญ.รศ.ดร.พรวลยั บุญเมอื ง ภก.ผศ.ดร.ปริ ัตน์ พมิ พ์สี ภก.ผศ.ดร.วีรยุทธ์ แซ่ลิ้ม วิธีการดาเนินการสอนปฏบิ ตั ิการ ให้นักศกึ ษาเภสัชศาสตร์ศึกษาเก่ียวกับปัจจัยกาหนดสขุ ภาพ การสรา้ งเสริมสุขภาพ กลยทุ ธ์และกลวิธี การสร้างเสริมสุขภาพ ตลอดจนบทบาทของเภสัชที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ ประกอบกับตัวอย่างท่ี อาจารย์ได้นาเสนอ ตลอดจนฝึกการสร้างสรรค์ส่ือภาพเคล่ือนไหวเพ่ือการสร้างเสริมสุขภาพ และนาเสนอ ให้กับคณาจารย์ เพ่ือร่วมกันอภิปรายและซักถามให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ได้คิดวิเคราะห์ โดยช่วงท้ายของ ปฏบิ ตั กิ ารจะเป็นการสรุปและตอบคาถามของนักศึกษา รายละเอียดของการสอนปฏิบตั กิ าร จานวน 3 คาบ ระยะเวลา 150 นาที หวั ข้อย่อย ระยะเวลาที่ใช้ (นาที) ปจั จยั กาหนดสุขภาพ 10 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ 35 กลยุทธ์และกลวธิ ีการสรา้ งเสริมสุขภาพ 35 135

HEALTH PROMOTION FOR ระยะเวลาท่ใี ช้ (นาท)ี NONCOMMUNICABLE DISEASE 2 45 20 หวั ข้อย่อย 5 แบบฝกึ หดั ที่ 1 บทบาทของเภสชั ท่เี ก่ียวข้องกับการสร้างเสริมสขุ ภาพ บทสรุป และ ซักถามข้อสงสัย สอ่ื สารสอน 1. คู่มือเอกสารประกอบการสอน รายวิชา 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรม เบ้ืองต้นสาหรับสาขาเน้นเภสัชกรรมชุมชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) หวั ข้อปฏบิ ตั ิการครง้ั ท่ี 14 การสร้างเสริมสขุ ภาพสาหรบั โรค ไม่ติดต่อ คร้ังท่ี 2 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 2) หน้า 135 ถึงหน้า 142 2. โปรแกรมและโปรแกรมประยุกต์ ได้แก่ Zoom และ Google Classroom 3. ตวั อย่างส่ือ animation และส่อื animation ร่วมกับบทบาทสมมติ การประเมินผล ร่วมกับหัวข้อปฏิบัติการคร้ังที่ 14 คิดเป็น 3.64% ของคะแนนงานมอบหมายและกิจกรรมใน ปฏบิ ัตกิ าร เอกสารอา้ งองิ 1. อาภาพร เผ่าวัฒนา, สุรินธร กลัมพากร, สุนีย์ ละกาป่ัน, ขวัญใจ อานาจสัตย์ซื่อ. การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกนั โรคในชุมชน : การประยุกต์แนวคิดและทฤษฎีสู่การปฏิบัติ (Health Promotion and Disease Prevention in Community : An Application of Concepts and Theories to Practice). พิมพ์ครั้งที่ 1. ขอนแก่น: โรงพิมพ์ คลงั นานาวทิ ยา; 2554. 2. นิตยา พันธุเวทย์, ปิยนุช จันทร์อักษร. ถอดบทเรียน : การดาเนินงานแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและควบคุมโรคไม่ ตดิ ต่อระดบั ชาติ 5 ปี (พ.ศ.2560 – 2564). พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟคิ แอนด์ดีไซน์; 2563. 3. สถาบันรบั รองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน). 2558. มาตรฐานโรงพยาบาลและบรกิ ารสุขภาพ ฉบับที่ 4 ปรบั ปรงุ มกราคม 2562. นนทบรุ ี : สถาบนั รบั รองคุณภาพสถานพยาบาล (องคก์ ารมหาชน) 4. สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย). มาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2562 [internet]. 2019 [cited 2019 Apr 23]. Available from: http://www.thaihp.org 136

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การสร้างเสรมิ สขุ ภาพสาหรับโรคไม่ตดิ ตอ่ ครั้งท่ี 2 (Health Promotion for Noncommunicable Disease 2) เภสัชกร อาจารย์ ดอกเตอร์ กวิณ ด้วงม,ี ภบ., วภ. General Residency in Pharmacotherapy Specialized Residency in Cardiology Pharmacotherapy Specialized Fellowship in Cardiology Pharmacotherapy Board Certified Pharmacotherapy บทนา การสร้างเสริมสุขภาพ (health promotion) และป้องกันโรคถือเป็นคุณลักษณะพึงประสงค์ท่ีสาคัญ ของบุคลากรสุขภาพ รวมถึงเภสัชกร เน่ืองจากการป้องกันโรคย่อมดีกว่าการรักษา องค์การอนามัยโลกจึง มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนมีความสุขสมบูรณ์ทั้งกาย ใจ และ สังคม โดยหัวข้อปฏิบตั กิ ารนจี้ ะกลา่ วถงึ ปัจจยั กาหนดสุขภาพ (health determinants) การสร้างเสรมิ สุขภาพ ตลอดจนกลยุทธแ์ ละกลวธิ สี ร้างเสริมสขุ ภาพ ปัจจยั กาหนดสุขภาพ1 1. ปัจจยั ด้านบุคคล คือ ปจั จัยภายในบุคคลที่มีอทิ ธิพลต่อสขุ ภาพของตนเอง ประกอบด้วย 3 ดา้ น 1.1. ปจั จยั ด้านชวี ภาพ หรือพันธุกรรม 1.2. ปจั จยั ด้านจิตใจ การรับรู้ ความรสู้ กึ ความเชอ่ื และค่านยิ มของบคุ คลทมี่ ตี ่อพฤติกรรม 1.3. ปัจจัยด้านพฤติกรรม การดาเนินชีวิตประจาวันท่ัวไปและพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การ รับประทานอาหาร การออกกาลังกาย การด่ืมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การมี เพศสมั พันธท์ ปี่ ลอดภัย เปน็ ต้น 2. ปัจจัยดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม สามารถแบง่ ออกเป็น 3 ดา้ น ดงั นี้ 2.1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทอ่ี ยูอ่ าศยั สวนสาธารณะ อปุ กรณอ์ อกกาลังกาย การจราจร บหุ ร่ี เครอ่ื งดม่ื ท่มี ีแอลกอฮอล์ ตลอดจนเวชภณั ฑท์ างการแพทย์และวัคซีน 137

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 2 2.2. สง่ิ แวดลอ้ มทางชีวภาพ หมายถึงสงิ่ ท่ีมีชวี ติ เชน่ มนุษย์ สตั ว์ เช้ือโรค เป็นตน้ 2.3. ส่ิงแวดล้อมทางสังคม ครอบครัว ชุมชน นโยบายสาธารณะท่ีส่งผลต่อส่ิงแวดล้อม เช่น การ จัดการมลพษิ การเคล่ือนยา้ ยแรงงาน เป็นต้น 3. ปัจจัยด้านระบบบริการสาธารณสุข ครอบคลุมท้ังการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การ รักษาพยาบาล การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ซึ่งปัจจัยต่างๆ ล้วนส่งผลตอ่ การลดอัตราป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ โดยเฉพาะโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนหรือการสุขาภิบาล เน้นการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ส่งเสริมให้มีการป้องกันและควบคุม โรคท่ีปอ้ งกันไดท้ ี่เกย่ี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมของมนุษย์ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เปน็ ตน้ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ องค์การอนามัยโลกได้นิยามความหมายของการสร้างเสริมสุขภาพ โดยเน้นที่กระบวนการเพ่ิม ความสามารถของบุคคลในการควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวกาหนดสุขภาพ และการควบคุมพฤติกรรมของ ตนเองให้เหมาะสม รวมถึงการปรับส่ิงแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี สอดคล้องกับแนวคิดของ Pender และคณะ ทีใ่ หค้ วามหมายของการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพเปรยี บได้กับกระบวนการเพื่อใหบ้ คุ คลบรรลุการมสี ุขภาวะ ที่ดี สาหรับประเทศไทยน้ัน มีการนิยามความหมายของการสร้างเสริมสุขภาพตามพระราชบัญญัติกองทุน สนับสนุนการสรา้ งเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 ว่าหมายถึง การใดๆ ที่มุ่งกระทาเพ่ือสร้างเสริมให้บคุ คลมีสขุ ภาวะ ทางกาย จิต และสังคม โดยสนับสนุนพฤติกรรมของบุคคล สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมท่ีจะนาไปสู่ การมี ร่างกายท่แี ข็งแรง สภาพจติ ท่สี มบรู ณ์ อายยุ ืนยาว และคณุ ภาพชวี ติ ท่ีดี1 การสร้างเสริมสุขภาพยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ.2560 – 2564)2 โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ที่ 2 เร่งขับเคลื่อนทางสังคม สื่อสารความเส่ยี ง และประชาสมั พนั ธอ์ ยา่ งต่อเน่อื ง ได้กลา่ วถึงการสรา้ งเสริมสุขภาพในกลยุทธ์ท่ี 1 พัฒนาการบรหิ ารจัดการด้าน การสื่อสารต่อสาธารณะในด้านการสร้างเสริมสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่ออย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการสื่อสารความเส่ียงในการสร้างเสริมสุขภาพ และลดปจั จัยเสย่ี งตอ่ โรคไมต่ ดิ ต่อ 138

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แนวคิดของการสร้างเสริมสขุ ภาพมีความเชือ่ มโยงกับการลดความเส่ียง สอดคล้องกับแนวคิดของการ ป้องกันโรคและถูกนามาใช้กับการป้องกันสุขภาพอันเป็นกระบวนการท่ีขจัดหรือลดโอกาสเสี่ยงต่อการเข้าถึง ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย ซ่ึงมีความหมายไม่แตกต่างจากการป้องกันโรค ที่เป็นการขจัดหรือยับย้ัง พฒั นาการของโรค รวมถึงการประเมนิ และการรักษาเฉพาะ โดยสามารถแบ่งได้เปน็ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปฐม ภูมิ (primary prevention) ระดับทุติยภูมิ (secondary prevention) และระดับตติยภูมิ ( tertiary prevention) โดยการป้องกันระดับปฐมภูมิเป็นการป้องกันก่อนท่ีจะมีความเจ็บปว่ ยหรอื โรคเกิดข้ึน จึงมุ่งเนน้ การลดโอกาสในการเข้าถึงปัจจยั เสีย่ งต่างๆ ของการเกิดโรค เช่น การรับประทานอาหาร การได้รับวัคซีน เป็น ต้น ในขณะที่การป้องกันระดับทุติยภูมิ หมายถึง การป้องกนั การกลบั เป็นซ้า ส่วนการปอ้ งกนั ระดับตติยภูมิ คือ การหยดุ การดาเนินไปของโรค ตลอดจนความเจบ็ ป่วย ภาวะแทรกซอ้ น และความเส่ือมสภาพอยา่ งสมบูรณ์ กลยุทธ์และกลวธิ ีการสร้างเสริมสุขภาพ กลยทุ ธ์เปน็ แผนการปฏิบตั ิการที่คาดการณล์ ่วงหน้า สว่ นกลวธิ ีเปน็ วิธีปฏิบัติทน่ี ามาใช้ โดยแนวคิดกล ยุทธก์ ารสร้างเสริมสขุ ภาพตามกฎบตั รออตตาวา (Ottawa charter for health promotion)2 ดงั ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 กลยุทธ์และกลวิธีการสรา้ งเสริมสุขภาพตามกฎบตั รออตตาวา2 กลยุทธ์ กลวธิ ี การช้ีแนะสนบั สนนุ (advocate) เพื่อสรา้ งสรรคเ์ ง่ือนไขท่ี การสรา้ งนโยบายสาธารณะ การสร้าง สาคญั สาหรับสุขภาพ สง่ิ แวดล้อมที่สนับสนนุ การเพ่ิมความเข้มแข็ง (enabling) เพ่ือใหป้ ระชาชนบรรลุ การเสริมสรา้ งกจิ กรรมชุมชนใหเ้ ขม้ แข็ง ศกั ยภาพสูงสุดของตนเอง สามารถควบคุมปจั จยั กาหนดสุขภาพ และการพัฒนาทักษะส่วนบคุ คล การเป็นสอ่ื กลาง (mediating) เป็นตวั กลางระหว่างความสนใจ การปรับเปลย่ี นบรกิ ารสาธารณสุข ตา่ งๆ ในสังคมในการดาเนนิ งานเกี่ยวกับสุขภาพ การพัฒนาทักษะสว่ นบุคคลเปน็ กลวิธที ่ที าได้ง่าย โดยสนับสนุนผ่านการให้ขอ้ มูลสารสนเทศ การศกึ ษา เพอื่ สขุ ภาพ และการส่งเสริมทักษะชวี ิต ซึง่ เป็นการเพ่ิมทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกการปฏิบัติตน การ ควบคุมสุขภาพของตนเองและสิ่งแวดล้อม และทาให้เกิดทางเลือกในการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดี ยกตัวอย่าง 139

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 2 เช่น การอบรมให้ความรเู้ พ่ือการป้องกันและลดความเสี่ยงในกลมุ่ เด็ก วัยรุ่น วัยทางาน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคเร้ือรัง ผ้สู ูงอายุ การรับประทานอาหารสขุ ภาพเพอ่ื ปอ้ งกนั โรค หรือการปอ้ งกันโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ เปน็ ต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือในการเผยแพร่ข้อมูลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทาอินโฟกราฟิก ตลอดจนการใช้สื่อภาพเคล่ือนไหว (animation) ซ่ึงมีความน่าสนใจกว่ารูปภาพ อย่างไรก็ตามต้องเลือกใช้ คาศพั ท์ทเ่ี ข้าใจง่ายสาหรบั ประชาชน ประกอบกับรูปท่ีส่ือความหมายไม่ซับซ้อน สามารถสร้างได้โดยเว็บไซต์ท่ี มีแม่แบบที่ไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น https://www.animaker.com/ และ https://www.powtoon.com/index/ เป็นต้น ซ่ึงนักศกึ ษาเภสัชศาสตรส์ ามารถศกึ ษาตัวอยา่ งของสื่อได้จากลงิ ก์หรือรหสั QR ดังตอ่ ไปน้ี สอื่ animation สื่อ animation รว่ มกับบทบาทสมมติ (ทม่ี าของสื่อ: ทัสนนั ทน์ จนั ทรต์ ระกูล, รวิกานต์ พร้อมวฒุ ิ, วริ ากานต์ จันระมาด, สุวรา จิตพฒั นไพบูลย์) แบบฝกึ หัดท่ี 1 ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ออกแบบส่ือภาพเคล่ือนไหวในรูปแบบ animation หรือบทบาทสมมติ เพ่ือ การสร้างเสริมสุขภาพสาหรับโรคไม่ติดต่อให้กับประชาชนท่ัวไป สื่อจะต้องมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และมี ความเหมาะสมกับกลมุ่ เปา้ หมาย ทัง้ ในแงข่ องรูปแบบ และภาษาท่ีเลอื กใช้ โดยหวั ขอ้ มีดงั ต่อไปนี้ กลุ่มท่ี หวั ข้อ กล่มุ ที่ หวั ข้อ 1 โรคความดนั โลหิตสงู 2 โรคอว้ นลงพุง 3 โรคเบาหวาน 4 โรคไตวายเร้ือรงั 5 โรคปอดอดุ กน้ั เรื้อรัง 6 โรคหลอดเลือดสมอง 7 โรคหลอดเลือดหวั ใจ 8 โรคหวั ใจลม้ เหลว ( งานกลุ่ม ส่งผ่านระบบ Google classroom และตั้งชื่อไฟล์เป็น “ กลุ่มที่-หัวข้อ13-แบบฝึกหัด1 ” ภายในวันท่ีกาหนด ) 140

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy บทบาทของเภสัชกรกบั การสร้างเสรมิ สุขภาพตามมาตรฐานต่างๆ เภสัชกรจัดอยู่ในทีมผู้ให้บริการทางสุขภาพ และเป็นวิชาชีพท่ีมีบทบาทสาคัญในการเผยแพร่ข้อมูล ต่างๆ ท้ังการรักษาด้วยยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา (nonpharmacotherapy) โดยสถาบันรับรองคุณภาพ โรงพยาบาล ได้กล่าวถึงการให้ข้อมูลและเสริมพลังแก่ผู้ป่วยหรือครอบครัวไว้ในตอนที่ 3 กระบวนการดูแล ผู้ป่วยว่า ทีมผู้ให้บริการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะสุขภาพแก่ผู้ป่วยหรือครอบครัว และกิจกรรมที่วางแผนไว้เพื่อ เสริมพลังให้มีความสามารถและรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพของตนเอง รวมทั้งเช่ือมโยงการสร้างเสริม สขุ ภาพเขา้ ในทุกขน้ั ตอนของการดูแล3 ดงั นี้ ▪ ประเมินผู้ป่วยเพื่อวางแผนและกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ครอบคลุมปัญหาหรือความต้องการ ขดี ความสามารถ ภาวะทางด้านอารมณ์และจติ ใจ ความพร้อมในการเรยี นรแู้ ละดแู ลตนเอง ▪ ให้ข้อมูลที่จาเป็นและช่วยเหลือให้เกิดการเรียนรู้ สาหรับการดูแลตนเองและการมีพฤติกรรม สุขภาพที่เอ้ือต่อการมีสุขภาพดีแก่ผู้ปว่ ยและครอบครัวอย่างเหมาะสมกับปญั หา ทันเวลา มีความ ชดั เจนและเป็นท่เี ข้าใจงา่ ย มกี ารประเมนิ การรับรู้ ความเขา้ ใจ และความสามารถในการนาข้อมูล ท่ีได้รับไปปฏิบัติ โดยกระบวนการให้ข้อมูลควรเป็นไปอย่างเปิดกว้างและยืดหยุ่น ยอมรับความ เชื่อ ค่านิยม ระดับการรู้หนังสือ ภาษา ความสามารถทางร่างกายของผู้ป่วยและครอบครัว ซึ่ง ผลลัพธ์ของการให้ข้อมูลจะทาให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับโรค วิถีชีวิต และวิธีการยกระดับสุขภาพ ในขณะทยี่ งั มโี รคและในสภาพแวดล้อมทีบ่ ้าน ▪ ใหค้ วามชว่ ยเหลือทางด้านอารมณจ์ ิตใจและคาปรกึ ษาทีเ่ หมาะสมแก่ผู้ปว่ ยและครอบครวั เริ่มต้น ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองและเป็นมิตรในแต่ละพ้ืนที่บริการของโรงพยาบาล มีการประเมิน ความเครยี ดเน่ืองมาจากการเจ็บปว่ ยหรือวิกฤติท่ีผู้ป่วยต้องเผชิญและช่วยเหลือให้สามารถจัดการ กบั ปัญหาได้ด้วยวิธีการเชงิ บวก ▪ ร่วมกันกาหนดกลยุทธ์การดูแลตนเองที่เหมาะสมกับผู้ป่วยหรือครอบครัว รวมทั้งติดตามปัญหา อุปสรรคในการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง การกาหนดกลยุทธ์การดูแลตนเองสาหรับผู้ป่วย ควร ดาเนินการควบคู่กับการกระตุ้นผู้ป่วยให้มีความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนโดยช่วยสร้างความ เข้าใจในบทบาท ขจัดอุปสรรคท่ีขัดขวางการทาหน้าที่ สอนพฤติกรรมเชิงบวก และอธิบายผลที่ ตามมาหากไมส่ ามารถทาหน้าทด่ี งั กลา่ ว 141

HEALTH PROMOTION FOR NONCOMMUNICABLE DISEASE 2 ▪ จดั กิจกรรมเสรมิ ทักษะทจี่ าเปน็ และสร้างความม่นั ใจว่าผู้ป่วยจะสามารถปฏิบัตไิ ดด้ ้วยตนเอง ▪ ประเมินและปรบั ปรุงกระบวนการจดั การเรียนรูแ้ ละการเสริมพลงั ผู้ปว่ ยหรอื ครอบครัว ส่วนมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล พ.ศ.2561 ถึง พ.ศ.2565 ของสมาคมเภสัชกรรม โรงพยาบาลประเทศไทย จะกล่าวถึงหน้าที่เภสัชกรโรงพยาบาลในแง่ของการเผยแพร่ข้อมูลและการบริการ เภสชั กรรมปฐมภูมิ4 บทสรปุ การสร้างเสริมสุขภาพเปน็ กระบวนการเพิ่มสมรรถนะของประชาชนในการควบคุมและพัฒนาสขุ ภาพ ตนเอง ซ่ึงจาเป็นต้องมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีเภสัชกรเป็น องค์ประกอบท่ีสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเภสัชกรชุมชน เน่ืองจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากท่ีสุด ดังน้ัน นักศึกษาเภสัชศาสตร์ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพและบทบาทของเภสัชกร เพ่ือให้ สอดคล้องกับนโยบายทางสุขภาพในอนาคต 142

CHAPTER fifteen Communication in Pharmaceutical Care 1 KAWIN DUANGMEE Department of pharmacy Faculty of pharmacy, Silpakorn university



562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แผนการสอน หวั ข้อ การสื่อสารในงานบริบาลเภสัชกรรม ครง้ั ท่ี 1 (Communication in Pharmaceutical Care 1) รายวชิ า 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรมเบ้ืองต้น สาหรับสาขาเน้นเภสัชกรรมชมุ ชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) ระยะเวลาการสอนปฏบิ ัตกิ าร 3 คาบ รวม 150 นาที วัตถปุ ระสงค์ เพื่อให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่ือสารทาง เดียว โดยเน้นการเผยแพร่ข้อมูลทางยาด้วยอินโฟกราฟิกและการ นาเสนอข้อมลู อยา่ งเป็นแบบแผน เพ่ือให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถสร้างอินโฟกราฟิกสาหรับการ ส่ือสารในงานบริบาลเภสชั กรรมได้ ผรู้ ับผิดชอบหลักปฏบิ ัติการ ภก.อ.ดร.กวิณ ด้วงมี ผรู้ ว่ มคุมปฏิบัติการ ภญ.รศ.ดร.พรวลยั บญุ เมอื ง ภก.ผศ.ดร.ปยิ รตั น์ พมิ พส์ ี ภก.ผศ.ดร.วรี ยทุ ธ์ แซล่ ้มิ วิธีการดาเนนิ การสอนปฏิบัติการ ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับการส่ือสารทางเดียว โดยเน้นการเผยแพร่ข้อมูลทางยา ท้ัง สาหรับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน ผ่านการใช้อินโฟกราฟิก ประกอบกับกรณีศึกษาท่ีอาจารย์ กาหนดให้เพื่อความเข้าใจของนักศึกษา และร่วมกันอภิปรายกับคณาจารย์ เพ่ือให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ได้คิด วิเคราะห์ ตลอดจนฝึกทักษะการนาเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน โดยช่วงท้ายของปฏิบัติการจะเป็นการสรปุ และตอบคาถามของนกั ศึกษา รายละเอยี ดของการสอนปฏบิ ตั กิ าร จานวน 3 คาบ ระยะเวลา 150 นาที หัวข้อย่อย ระยะเวลาทใ่ี ช้ (นาท)ี การส่ือสาร 20 การเผยแพร่ข้อมูลเก่ียวกบั ยาดว้ ยอินโฟกราฟิก 50 143

Communication in ระยะเวลาท่ใี ช้ (นาท)ี Pharmaceutical care 1 15 50 หวั ข้อย่อย 15 แบบฝึกหัดท่ี 1 การนาเสนอข้อมูลอยา่ งเปน็ แบบแผน บทสรุป และ ซกั ถามข้อสงสยั สอื่ สารสอน 1. คู่มือเอกสารประกอบการสอน รายวิชา 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรม เบื้องต้นสาหรับสาขาเน้นเภสัชกรรมชุมชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) หัวข้อปฏิบัติการคร้ังท่ี 15 การสื่อสารในงานบริบาลเภสัช กรรม ครง้ั ที่ 1 (Communication in Pharmaceutical Care 1) หน้า 143 ถงึ หน้า 150 2. โปรแกรมและโปรแกรมประยุกต์ ไดแ้ ก่ Zoom และ Google Classroom การประเมนิ ผล ปฏิบตั ิการ 1 ครงั้ คดิ เป็น 0.83% ของคะแนนการฝึกปฏิบตั ิทกั ษะในปฏบิ ัติการ เอกสารอา้ งอิง 1. สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย). มาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2565 [internet]. 2019 [cited 2019 Apr 23]. Available from: http://www.thaihp.org 2. สุธาพร ล้าเลิศกุล. พูดด้วยภาพ พรีเซนต์อย่างไรให้ถูกใจคนฟัง by BetterPitch. พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรุงเทพฯ: ปัญญ มิตร; 2562. 3. Malone PM, Malone MJ. Professional Communication of Drug Information. In: Malone PM, Malone MJ, Park SK. Drug Information: A Guide for Pharmacists. 6th edition. New York: McGraw-Hill; 2018. 4. Grappik. Serif และ Sans Serifs เรื่องง่ายๆ ทีห่ ลายคน “งง” [internet]. 2018 [cited 2021 Jul 12]. Available from: https://www.grappik.com/serif-and-sans-serif 144

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การส่อื สารในงานบรบิ าลเภสชั กรรม คร้ังที่ 1 (Communication in Pharmaceutical Care 1) เภสชั กร อาจารย์ ดอกเตอร์ กวณิ ดว้ งม,ี ภบ., วภ. General Residency in Pharmacotherapy Specialized Residency in Cardiology Pharmacotherapy Specialized Fellowship in Cardiology Pharmacotherapy Board Certified Pharmacotherapy บทนา การส่อื สารเป็นปัจจัยสาคัญในการดารงชีวติ เนือ่ งจากมนษุ ยจ์ าเป็นต้องติดต่อสื่อสารกนั อยู่ตลอดเวลา จึงมีบทบาทต่อสังคม ก่อให้เกิดการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสังคม ทาให้มนุษย์สามารถสืบทอด พัฒนา และเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันที่เป็นยุคของข้อมูล การสื่อสารยิ่งมีบทบาทสาคัญมากขึ้น เช่นเดียวกับในวงการแพทย์ที่มีข้อมูลเกิดข้ึนใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หาก สามารถสื่อสารข้อมูลไปยังประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทาให้ประชาชนมีความตระหนักรู้เพ่ิมข้ึน เป็น ตน้ โดยหัวข้อปฏบิ ตั กิ ารนีจ้ ะกลา่ วถึงการสือ่ สาร โดยมุ่งเน้นทกี่ ารเผยแพรข่ อ้ มูลเกยี่ วกับยา และการนาเสนอ การสอื่ สาร การส่ือสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความ คิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผา่ นสอ่ื ต่างๆ ไปยังผู้รับสาร ใช้กระบวนการส่ือสารท่ีแตกต่างกันไปตาม ความเหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองกัน การส่ือสารอาจแบ่งได้ หลายรูปแบบ หากแบ่งตามความสามารถในการโต้ตอบจะแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. การสื่อสารทางเดียว (one-way communication) คือ การสื่อสารท่ีผู้ส่งสารนาสารไปยังผู้รับ สาร ซง่ึ สามารถรบั รู้ได้แต่ไมส่ ามารถโต้ตอบได้ หรอื การส่อื สารผ่านส่ือมวลชน เชน่ วทิ ยุ โทรทัศน์ วิดที ัศน์ โทรสาร เป็นต้น สาหรับงานบรบิ าลเภสัชกรรม การส่อื สารทางเดยี ว ยกตัวอย่างเชน่ การ เผยแพรข่ ้อมลู ทางยาในรูปแบบวิดีทศั น์ สิ่งพมิ พ์ 145

Communication in Pharmaceutical care 1 2. การส่อื สารสองทาง (two-way communication) คือ การสื่อสารทผี่ สู้ ง่ สารนาสารไปยังผ้รู ับสาร ซึ่งสามารถรับรู้และโต้ตอบได้ เช่น การส่ือสารระหว่างบุคคล การสนทนา เป็นต้น สาหรับงาน บริบาลเภสัชกรรม การสื่อสารสองทาง ยกตัวอย่างเช่น การให้คาปรึกษาด้านยา การซักประวัติ การนาเสนอขอ้ มูลยากับสหสาขาวิชาชีพ เป็นตน้ การเผยแพร่ข้อมลู เกยี่ วกบั ยาด้วยอนิ โฟกราฟกิ มาตรฐานวิชาชีพเภสชั กรรมโรงพยาบาล พ.ศ.2561 ถงึ พ.ศ.2565 กล่าวถงึ หนา้ ที่ของเภสัชกรกับการ บริการเภสัชสนเทศ การจัดการความรู้ และระบบสารสนเทศทางยาไว้ในมาตรฐานที่ 21 โดยในรายละเอียดได้ ระบุถึงหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลเก่ียวกับยาไว้ ถือเป็นบทบาทที่สาคัญของเภสัชกรทั้งเชิงรุกและรับ ซึ่งได้ กล่าวถึงรายละเอยี ดไว้แล้วในหวั ข้อปฏิบัติการคร้งั ท่ี 5 การบรกิ ารเภสัชสนเทศ และการจัดการความรู้ ครั้งที่ 1 การใช้อินโฟกราฟิก (infographic) ประกอบการเผยแพร่ข้อมูลทางยาจัดเป็นการสื่อสารในรูปแบบท่ี นิยมในปัจจุบัน โดยคาว่า info- มาจากคาว่า information หมายถึง ข้อมูลต่างๆ รวมกับคาว่า -graphic ท่ี หมายถึง ภาพที่ถูกสร้างขึ้นมา ดังน้ัน คาว่าอินโฟกราฟิกจึงหมายถึงการแปลงข้อมูลท่ีมีอยู่ออกมาเป็นภาพ เพอ่ื ให้เขา้ ใจไดง้ า่ ยขึน้ 2 สิ่งสาคัญสาหรับการสร้างอินโฟกราฟิกคือ ต้องแสดงความสาคัญและความสัมพันธ์ของข้อมูลว่าอะไร สาคัญที่สุดและสัมพันธ์กันแบบใด โดยการสร้างอินโฟกราฟิกสามารถทาได้จากโปรแกรมหรือโปรแกรม ประยกุ ตต์ า่ งๆ ไมว่ ่าจะเปน็ โปรแกรม PowerPoint โปรแกรม Keynote หรอื โปรแกรม Canva เป็นต้น รวมถงึ ยงั มหี ลายเวบ็ ไซต์ทีใ่ ห้ใชแ้ ม่แบบไดโ้ ดยไมม่ คี า่ ใช้จา่ ย2 ยกตวั อย่างดงั ต่อไปนี้ 1. http://www.showeet.com 2. http://www.canva.com 3. https://hislide.io 4. http://www.presentationgo.com 5. https://adioma.com 6. http://www.free-powerpoint-templates-design.com 7. http://betterpitchnow.com/blog/ 146

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การทาอินโฟกราฟิกที่ดีและเข้าใจง่าย นิยมใช้รูปสัญลักษณ์หรือไอคอน (icon) มาประกอบเพ่ือความ เข้าใจทีง่ า่ ยขนึ้ แทนการใชต้ วั อกั ษร โดยเวบ็ ไซตท์ ใ่ี ห้ใช้งานไอคอนโดยไม่มีคา่ ใช้จา่ ย2 ยกตัวอยา่ งดงั ต่อไปนี้ 1. http://www.flaticon.com 2. http://thenounproject.com 3. http://iconmonstr.com 4. http://icojam.com เว็บไซต์สาหรับไอคอนรูปแบบทางการแพทย์และพยาบาลโดยเฉพาะ2 ยกตัวอย่างดงั ต่อไปน้ี 1. http://www.hongkiat.com/blog/free-medical-icon-sets/ 2. http://www.flaticon.com/free-icons/medical 3. http://www.iconfinder.com ก) ข) รูปท่ี 1 ตัวอยา่ งการเผยแพรข่ ้อมูลทางยาในรปู แบบอินโฟกราฟิก ก) สาหรับประชาชนท่ัวไป (ท่ีมาของรปู : หนว่ ยเครือข่ายสารสนเทศ “ประชานารถ”) ข) สาหรับบุคลากรทางการแพทย์ (ที่มาของรปู : หทยั รตั น์ พกุ สอาด) 147

Communication in Pharmaceutical care 1 แบบฝึกหดั ที่ 1 ใหน้ กั ศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ออกแบบ “อินโฟกราฟิกเผยแพร่ข้อมลู ทางยา” ใหก้ บั บุคลากรทางการแพทย์ อยา่ งเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย ภายใน 1 หนา้ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี (เลอื กอันใดอนั หนง่ึ ) 1. ขนาดยาทใี่ ชใ้ นขอ้ บง่ ใช้ต่างๆ 2. การปรบั ขนาดยาในกลุม่ ผปู้ ่วยพเิ ศษ เช่น การทางานของตบั หรือไตเสือ่ มลง ผ้สู งู อายุ เปน็ ต้น 3. อาการไม่พงึ ประสงค์ และการจัดการอาการไมพ่ ึงประสงค์ 4. การเตรียมและบริหารยา ( งานเดี่ยว ส่งผ่านระบบ Google classroom โดยบันทึกเป็นไฟล์ jpeg และต้ังช่ือไฟล์เป็น “ รหัส- ช่ือ-นามสกุล-หัวข้อ15-แบบฝึกหัด1-กลุ่มเป้าหมาย ” ภายในวนั ท่ีกาหนด ) การนาเสนอข้อมลู อย่างเปน็ แบบแผน การนาเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน (formal presentation) เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับบุคลากรทางการ แพทย์มาตั้งแต่สมัยเป็นนกั ศึกษามาจนถึงในการปฏิบตั ิงาน ท้ังการนาเสนอกรณีศึกษา การวิพากษ์วรรณกรรม ข้อมูลทางยา (drug monograph) งานวิจัย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบโปสเตอร์ (poster presentation) หรือปาก เปล่า (oral presentation) ซึ่งส่วนใหญ่การนาเสนอดังกล่าวมักจะใช้โปรแกรม PowerPoint เป็นหลัก การ เตรียมเค้าโครง (outline) ท่ีดีจะช่วยให้การนาเสนอมีประสิทธิภาพมากข้ึน โดยหลักการเตรียมนาเสนอข้อมลู อย่างเปน็ แบบแผนดว้ ยโปรแกรม PowerPoint2-3 มดี งั ต่อไปน้ี ▪ เคา้ โครง - เริม่ ตน้ ดว้ ยบทนา (introduction) ท่ีอธบิ ายภาพรวมของส่งิ ทต่ี ้องการนาเสนอ - กรณที ีจ่ ะกล่าวถึงสไลดก์ อ่ นหนา้ ควรสรา้ งสไลด์ซ้าขนึ้ มาแทรกแทนการถอยย้อนกลบั เพ่ือ - ส่วนของการสรุป (conclusion) ควรสรุปใหส้ มั พนั ธก์ บั เน้อื หาท่ีนาเสนอ - กาหนดธีม (theme) ของการนาเสนอท้ังหมดไปในทางเดียวกัน เช่น การเลือกใช้สีใน ลักษณะเดยี วกันทุกสไลด์ - กรณีท่ีใช้เสยี งประกอบหรอื วดิ ที ศั น์ในการนาเสนอควรทาการฝังไฟล์ (embed) ไว้ในสไลด์ 148

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy ▪ สไลด์ (slide) - จากัดปริมาณเนื้อหาต่อสไลด์ ไม่ให้มากจนเกินไป โดยท่ัวไปไม่ควรเกิน 5 ถึง 8 จุดหัวข้อ (bullet) ในแต่ละจุดหัวข้อไม่ควรเกิน 5 คา หากมากกว่านี้จะทาให้ผู้ฟังสับสนและอ่านได้ ยาก โดยเฉพาะผู้ฟังทอี่ ยู่ด้านหลังห้อง ระยะเวลาเฉลยี่ ประมาณ 1 ถึง 2 นาทตี อ่ สไลด์ - ทาใหส้ ไลด์เรยี บง่าย โดยเลือกใช้ฟ้อนต์ (font) เดียวกนั ท้ังหมด และใชก้ ราฟกิ เท่าท่ีจาเป็น - เลือกสีท่ีแตกต่างตามความเหมาะสม โดยใช้หลักการ 70:25:5 สีพื้นหลังร้อยละ 70 สีหลัก ร้อยละ 25 และสีเน้นร้อยละ 5 สีพื้นหลังควรเลือกสีอ่อน เช่น สีขาวหรือเทา สีหลักอาจ เลือกใช้ตามธีมที่กาหนดไว้แล้ว หรือเลือกตามเน้ือหา เช่น สีแดง แสดงความร้อนแรง สีฟ้า แสดงความสดช่ืน ส่วนสีเน้น ใช้สาหรับส่วนที่สาคัญที่สุดท่ีต้องการแสดงในสไลด์ โดยการ สามารถใช้เว็บไซต์เพื่อช่วยเลือกสีให้เหมาะสม เช่น https://pigment.shapefactory.co/, https://color.adobe.com/create/color-wheel, https://nipponcolors.com/ รูปท่ี 2 ตัวอยา่ งการเลือกใช้สีสาหรับสไลดโ์ ดยหลกั การ 70:25:5 (ท่มี าของรูป: กวณิ ด้วงม)ี รูปที่ 3 ตวั อย่างการทาสไลด์ทไ่ี มเ่ หมาะสม (ทม่ี าของรปู : กวิณ ดว้ งม)ี 149

Communication in Pharmaceutical care 1 ▪ ฟอ้ นต์ - ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ควรเลือกใช้ฟ้อนต์ท่ีไม่มีเชิง (Sans Serif) หมายถึง ฟ้อนต์ที่ไม่มีเส้น ขดี ทอ่ี ยบู่ รเิ วณปลายฟอ้ นต์ (รูปที่ 4ก) หรือบางตาราจะเรียกฟ้อนต์ทไี่ ม่มีเชิงว่า ฟ้อนต์กอทิก (Gothic) ยกตัวอย่างเช่น ฟ้อนต์ Arial เป็นต้น เนื่องจากเหมาะกับการนาไปใช้พาดหัว เร่ืองที่เน้นความโดดเด่น4 และช่วยลดสัญญาณรบกวนในการรับรู้ (cognitive noise) ได้ โดยเฉพาะผู้ท่ีมีภาวะบกพร่องในการอ่าน (dyslexia) ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาฟ้อนต์สาหรับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยเฉพาะอย่างฟ้อนต์ Lexend (https://www.lexend.com) ส่วน ฟอนตท์ ่มี ีเชิง (Serif) หรอื ฟ้อนต์โรมนั (Roman) ดงั รูปที่ 4ข จะเหมาะกับการใชใ้ นบทความ มากกวา่ การนาเสนอ เพราะช่วยในการกวาดสายตาไปตามตวั อักษรได้ดีกว่า ยกตวั อย่างเช่น ฟอ้ นต์ Time New Roman เป็นต้น - ตวั อักษรภาษาไทย ควรเลอื กใชฟ้ ้อนต์ที่มหี ัวสาหรับการนาเสนอทางการ เน่อื งจากอ่านงา่ ย ก) ข) รปู ที่ 4 ลกั ษณะฟ้อนตภ์ าษาอังกฤษ4 ก) ฟ้อนตท์ ี่ไม่มเี ชิง ข) ฟ้อนตท์ ม่ี เี ชงิ บทสรุป การสอ่ื สารด้วยอินโฟกราฟิกนั้นเป็นทีน่ ิยมและมีอิทธิพลมากในปัจจุบัน เนือ่ งจากทาให้ผู้รับสารเข้าใจ สารที่ตอ้ งการจะสือ่ ได้ง่ายมากขึ้นผ่านการใชร้ ูปภาพและข้อความที่เหมาะสม ตลอดจนการนาเสนอขอ้ มลู อย่าง เปน็ แบบแผนท่ีดี จะช่วยให้ผฟู้ ังไดร้ ับสารอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ดงั น้ัน นกั ศกึ ษาเภสัชศาสตร์จงึ ต้องฝึกฝนทักษะ ดังกลา่ วให้ชานาญ เพือ่ ให้เข้ากับการปฏบิ ัตงิ านในยุคปัจจบุ ัน 150

CHAPTER Sixteen Communication in Pharmaceutical Care 2 KAWIN DUANGMEE Department of pharmacy Faculty of pharmacy, Silpakorn university



562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แผนการสอน หวั ข้อ การส่ือสารในงานบริบาลเภสัชกรรม คร้ังท่ี 2 (Communication in Pharmaceutical Care 2) รายวิชา 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรมเบื้องต้น สาหรับสาขาเนน้ เภสชั กรรมชมุ ชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) ระยะเวลาการสอนปฏบิ ตั ิการ 3 คาบ รวม 150 นาที วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่ือสารสอง ทาง โดยเฉพาะการส่อื สารกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์มีทักษะในการสื่อสารในงานบริบาลเภสัช กรรม ท้ังดว้ ยการเขยี นและวาจา ผู้รบั ผิดชอบหลักปฏิบัติการ ภก.อ.ดร.กวณิ ดว้ งมี ผรู้ ว่ มคุมปฏิบตั ิการ ภญ.รศ.ดร.พรวลยั บญุ เมอื ง ภก.ผศ.ดร.ปิยรัตน์ พมิ พส์ ี ภก.ผศ.ดร.วรี ยุทธ์ แซ่ล้มิ วิธีการดาเนนิ การสอนปฏบิ ตั ิการ ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารสองทาง โดยเฉพาะการสื่อสารกับสหสาขาวิชาชีพ ท้ังด้วยการเขียนและวาจา ประกอบกับกรณีศึกษาที่อาจารย์กาหนดให้เพื่อความเข้าใจของนักศึกษา และ ร่วมกันอภิปรายกับคณาจารย์ ประกอบกับการซักถามให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์ได้คิดวิเคราะห์ ตลอดจนฝึก ทักษะการส่ือสารกับบุคลากรทางการแพทย์ โดยช่วงท้ายของปฏิบัติการจะเป็นการสรุปและตอบคาถามของ นักศกึ ษา รายละเอยี ดของการสอนปฏิบตั กิ าร จานวน 3 คาบ ระยะเวลา 150 นาที หวั ข้อย่อย ระยะเวลาทใ่ี ช้ (นาที) การส่อื สารในงานบริบาลเภสัชกรรมดว้ ยการเขียน 10 30 กรณศี ึกษาที่ 1 5 แบบฝึกหัดที่ 1 151

Communication in ระยะเวลาท่ีใช้ (นาท)ี Pharmaceutical care 2 60 40 หัวข้อย่อย กรณีศึกษาที่ 2 5 แบบฝึกหดั ที่ 2 การสอื่ สารในงานบรบิ าลเภสชั กรรมด้วยวาจา แบบฝกึ หัดท่ี 3 บทสรุป และ ซกั ถามข้อสงสัย สอ่ื สารสอน 1. คู่มือเอกสารประกอบการสอน รายวิชา 562397-59 การปฏิบัติการด้านการบริบาลทางเภสัชกรรม เบื้องต้นสาหรับสาขาเน้นเภสัชกรรมชุมชน (Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy) หัวข้อปฏิบัติการครั้งที่ 16 การสื่อสารในงานบริบาลเภสัช กรรม คร้งั ท่ี 2 (Communication in Pharmaceutical Care 2) หน้า 151 ถงึ หน้า 160 2. โปรแกรมและโปรแกรมประยกุ ต์ ไดแ้ ก่ Zoom และ Google Classroom การประเมินผล ปฏบิ ตั กิ าร 1 ครง้ั คิดเปน็ 0.83% ของคะแนนการฝกึ ปฏบิ ัติทกั ษะในปฏิบัตกิ าร เอกสารอ้างอิง 1. สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย). มาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2565 [internet]. 2019 [cited 2019 Apr 23]. Available from: http://www.thaihp.org 2. ชิษณุ พันธ์ุเจริญ, จรุงจิตร์ งามไพบูลย์. คู่มือทักษะการส่ือสารสาหรับพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์. กรุงเทพฯ: บริษัท ธนาเพรส จากดั ; 2552. 3. Bethesda et al. Summary of the executive sessions on medication therapy management programs. Am J Health-Syst Pharm 2005;62:585-92. 4. พัชรี ลักษณะวงศศ์ ร.ี การสอื่ สารกบั สหสาขาวชิ าชีพดว้ ย SBAR เทคนิค [internet]. 2010 [cited 2021 Jul 11]. Available from: http://www.skko.moph.go.th/dward/document_file/h_praarjanban/ncd_media_link/201607090910 32_624712634.html 5. รตั นา จารวุ รรโณ, จารภุ า วงศ์ชา่ งหล่อ, ถนมิ พร พงศานานุรักษ์. ผลของการสอนการรบั สง่ เวรโดยเทคนคิ SBAR ตอ่ ความรู้ ทัศนคติ และทักษะในการรบั สง่ เวรของนกั ศึกษาพยาบาล. วารสารพยาบาลทหารบก;15:390-397. 152

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy การสอ่ื สารในงานบรบิ าลเภสชั กรรม คร้ังที่ 2 (Communication in Pharmaceutical Care 2) เภสัชกร อาจารย์ ดอกเตอร์ กวณิ ดว้ งม,ี ภบ., วภ. General Residency in Pharmacotherapy Specialized Residency in Cardiology Pharmacotherapy Specialized Fellowship in Cardiology Pharmacotherapy Board Certified Pharmacotherapy บทนา นอกเหนือจากการสื่อสารทางเดียวในรูปแบบของการเผยแพร่ข้อมูลยาแล้ว1 การส่ือสารสองทาง (two-way communication) เป็นอีกทักษะของเภสัชกรท่ีจาเป็นในงานบริบาลเภสัชกรรม เพ่ือส่ือสารข้อมูล กับสหสาขาวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเภสัชกรในแผนกเดียวกันหรือต่างแผนก แพทย์ พยาบาล ตลอดจนบุคลากร ทางการแพทย์อ่ืนๆ2 รวมถึงการบรบิ าลเภสชั กรรมกับผู้รับบริการก็ถือเป็นการสื่อสารสองทางเช่นเดียวกนั โดย หวั ข้อปฏิบตั ิการนีจ้ ะเน้นทกี่ ารสื่อสารกับสหสาขาวชิ าชพี เป็นสาคัญ การส่ือสารในงานบรบิ าลเภสชั กรรมด้วยการเขียน การสื่อสารโดยการเขียนนับเป็นส่วนประกอบหลักในการบริการจัดการยาเพ่ือการบาบัด3 และมี ความสาคัญต่อการทางานบริบาลเภสัชกรรม ดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อปฏิบัติการคร้ังที่ 1 การบันทึกในงาน บริบาลเภสัชกรรม คร้ังท่ี 1 นอกเหนือจากบันทึกการปฏิบัติงานแล้ว ยังสามารถใช้ส่ือสารกับสหสาขาวิชาชีพ ได้ การสื่อสารด้วยการเขียนมีข้อจากัดท่ีสาคัญคือ ผู้รับสารหรือผู้อ่าน อาจจะไม่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันที ส่งผลให้เม่ือพบข้อสงสัย อาจจะไม่สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ ดังน้ัน การส่ือสารด้วยการเขียนจึงต้องมีความ ถูกต้องครบถ้วน ชัดเจน และกระชับ โดยการสื่อสารด้วยการเขียนท่ีเป็นที่นิยมในงานบริบาลเภสัชกรรม เช่น การบันทกึ medication reconciliation การประเมนิ แพย้ า การเขียน pharmacist’s note เป็นตน้ 153

Communication in Pharmaceutical care 2 กรณีศึกษาที่ 1 ผูป้ ว่ ยชายไทยคู่ อายุ 75 ปี มาตามนดั ที่คลินกิ ยาตา้ นการแขง็ ตัวของเลอื ด o โรคประจาตัว ไดแ้ ก่ ความดันโลหติ สูง เบาหวาน และได้รับการผ่าตัดเปล่ียนเป็นล้ินหวั ใจเทียมชนิดโลหะที่ ล้นิ หัวใจไมตรลั (prosthetic mitral valve replacement) o ยาที่รับประทานเปน็ ประจา ได้แก่ Warfarin 3 mg ½ x 1 po hs, Enalapril 5 mg ½ x 2 po pc, Metformin 500 mg 1 x 3 po pc และ Lorazepam 0.5 mg 1 x 1 po hs เวลานอนไม่หลบั o วันนี้ตรวจวดั คา่ INR ได้ 5.4 (คา่ INR คร้ังล่าสุดคือ 2.7 ซ่ึงอยู่ในช่วงการรักษา 2.5 – 3.5) o ข้อมูลเพ่ิมเติมจากการซกั ประวัตโิ ดยเภสชั กร - ผปู้ ่วยอาศัยท่บี า้ นกับหลาน แต่จดั ยาทานเอง เนือ่ งจากหลานไปทางานต้งั แต่เชา้ มืดและกลับดกึ - ผปู้ ว่ ยรับประทานยา Warfarin 3 mg 1 x 1 po hs เนื่องจากเม็ดยามีขนาดเล็ก และมีสีฟ้าคลา้ ยกับ ยา Lorazepam จงึ ทาใหร้ ับประทานยาผดิ เปน็ Lorazepam 0.5 mg ½ x 1 po hs แทน - ผปู้ ว่ ยปฏิเสธอาการเลอื ดออกผิดปกติ - ผู้ป่วยปฏเิ สธการรับประทานยาอน่ื รว่ มดว้ ย รวมทัง้ ปฏเิ สธการใชผ้ ลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหาร หรอื สมุนไพร - ผู้ป่วยทากิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ นอนราบได้ ไม่มีไข้ ไม่มอี าการท้องเสยี รับประทานผกั เทา่ ๆ เดมิ แบบฝึกหดั ที่ 1 จากกรณีศึกษาดังกล่าว ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์เขียน pharmacist’s note สื่อสารกับแพทย์ เพื่อ แก้ไขปัญหาของผ้ปู ว่ ยรายนี้ ( งานเดีย่ ว ทาในชวั่ โมงปฏิบัติการ ) Pharmacist’s note 154

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy กรณีศกึ ษาที่ 2 ผูป้ ว่ ยหญิงไทย อายุ 64 ปี สว่ นสูง 145 เซนติเมตร น้าหนกั 57 กโิ ลกรมั อาการนา: ขาบวมแดงมากขึน้ 2 วันก่อนมาโรงพยาบาล โรคประจาตัว: ความดันโลหติ สงู ไขมนั ในเลือดผดิ ปกติ ประวตั คิ วามเจ็บป่วย: Status เดินได้ปกติ 4 วันก่อนมาโรงพยาบาล เข้าโรงพยาบาลเน่ืองจากมี cellulitis ที่ขาขวา จึงเข้ารับการรักษาท่ี โรงพยาบาล แพทยพ์ ิจารณาให้ยา ceftriaxone และ clindamycin เป็นเวลา 2 วัน จึงให้ออกจากโรงพยาบาล 2 วนั กอ่ นมาโรงพยาบาล ขาบวมแดงมากขึ้น ไม่ปวด ความรสู้ ึกท้ัง 2 ขา้ งเท่ากัน ร่วมกับมตี ุ่มน้าใส ประวัติการแพ:้ ปฏเิ สธประวตั ิการแพย้ า ยาทผ่ี ู้ปว่ ยรบั ประทาน: 1. Simvastatin 10 mg 1 x 1 po hs 2. Amlodipine 5 mg 1 x 1 po pc 3. Dicloxacillin 500 mg 1 x 4 po ac สัญญาณชพี : BP 120/70 mmHg, HR 110 bpm, RR 20 bpm, BT 37.2°C ผลการตรวจรา่ งกาย: HEENT: No conjunctivitis, Not pale, No jaundice, No stomatitis Ext.: Erythema with pitting edema 1+ with bleb, Not tender, Dorsalis pedis pulse 2+ การรกั ษาทไี่ ด้รบั ขณะนอนโรงพยาบาล: การรกั ษาทไ่ี ดร้ ับ วนั ท่ี 1 วันที่ 2 วันที่ 3 วันท่ี 4 วันท่ี 5 วันที่ 6 Cloxacillin 1 g IV q 6 hrs. / / // Clindamycin 600 mg IV q 8 hrs. / / // Paracetamol 500 mg 2 tab. PO prn q 6 hrs. // / / Amlodipine 5 mg 1 x 1 PO pc // Simvastatin 10 mg 1 x 1 PO hs // Dexamethasone 4 mg IV q 6 hrs. X Chlorpheniramine 1 amp IV stat X Chlorpheniramine 4 mg 1 x 3 PO pc // Ciprofloxacin 400 mg IV q 12 hrs. // X = Order for one day, / = Order for continue 155

Communication in Pharmaceutical care 2 ในวันที่ 5 ท่ีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีผ่ืนแดงนูนข้ึนท่ัวลาตัว หลัง และมือ แพทย์ตรวจ รา่ งกายพบวา่ เป็น generalized maculopapular rash จึงปรึกษาเภสัชกรเพอื่ รว่ มประเมนิ แพ้ยา เภสัชกรดูประวัติเพ่ิมเติมในฐานข้อมูลของโรงพยาบาล พบว่า ผู้ป่วยเคยได้รับยา amoxicillin, cloxacillin, dicloxacillin, gentamicin, ciprofloxacin และ ibuprofen แบบฝึกหดั ที่ 2 จากกรณศี กึ ษาดังกล่าว ให้นักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์เขียน pharmacist’s note ส่ือสารกับแพทย์ในใบส่ัง การรักษาพยาบาล เพ่อื รว่ มประเมินแพย้ าในผปู้ ่วยรายน้ี ( งานเดยี่ ว ทาในชั่วโมงปฏิบัตกิ าร ) สั่งการคร้ังเดยี ว ส่งั วันที่ สัง่ ใชต้ ลออดไป ครั้งเดียว ตลอดไป - Consult เภสัชกร ประเมนิ แพย้ า 10/9/64 10/9/64 - OFF Cloxacillin, Clindamycin - Dexamethasone 1 amp IV stat - Ciprofloxacin 400 mg IV q 12 - CPM 1 amp IV stat hrs. - CPM 4 mg 1 x 3 pc R1 กวณิ / F1 พรวลัย R1 กวิณ / F1 พรวลยั 156

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy ในปัจจุบันนอกเหนือจากการเขียนในเวชระเบียนผู้ป่วยแล้ว ยังมีช่องทางออนไลน์ที่สามารถส่ือสาร กบั สหสาขาวชิ าชีพได้ เช่น โปรแกรม Line ซ่ึงข้อดคี อื สามารถพิมพโ์ ต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว และสามารถส่ือสาร ด้วยวิธีการพูดได้ ในบางสถานการณ์ที่สื่อสารผ่านโปรแกรม Line ผู้รับสารอาจไม่มีเวชระเบียนผู้ป่วยอยู่ด้วย จึงควรแจ้งข้อมูลเบื้องต้นท่ีจาเป็นให้ครบถ้วน และกระชับ อย่างไรก็ตามข้อควรระวังท่ีสาคัญ คือ ไม่มีการ บันทึกในเอกสารทางการแพทย์ ดังน้ัน หากส่ือสารด้วยวิธีดังกล่าว ควรบันทึกเป็นหลักฐานด้วยทุกคร้ัง (รูปท่ี 1) ทงั้ น้กี ารสอื่ สารผ่านโปรแกรม Line อาจรกุ ล้าความเป็นสว่ นตัวของผู้รับสาร จึงควรได้รับอนุญาตก่อนติดต่อ ด้วยช่องทางน้ีและต้องไม่รบกวนนอกเวลาปฏิบัติงานหากไม่มีความจาเป็นเร่งด่วน นอกจากนี้การส่ือสารผ่าน โปรแกรม Line ตอ้ งเลือกใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกบั ผู้รับสารเชน่ เดียวกับการสอ่ื สารด้วยการพดู (รปู ที่ 2) ก) ข) รูปที่ 1 การบันทกึ ในเอกสารทางการแพทยเ์ ป็นหลักฐานหลงั จากส่ือสารผ่านโปรแกรม Line ก) การสอ่ื สารกับแพทยผ์ ่านโปรแกรม Line ข) การบนั ทึกในเอกสารทางการแพทย์ (ท่ีมาของรปู : กวณิ ด้วงมี) ก) ข) รูปที่ 2 การเลือกใช้ภาษาใหเ้ หมาะสมกับผูร้ บั สารเม่ือส่ือสารผา่ นโปรแกรม Line (ท่มี าของรูป: กวณิ ดว้ งม)ี ก) การสื่อสารระหว่างนกั ศึกษาเภสชั ศาสตร์กับอาจารยแ์ หลง่ ฝึก ข) การสื่อสารระหวา่ งเภสชั กรกับแพทย์ 157

Communication in Pharmaceutical care 2 การสอื่ สารในงานบรบิ าลเภสัชกรรมด้วยวาจา4, 5 การส่ือสารระหว่างสหสาขาวิชาชีพด้วยวาจา ไม่ว่าจะเป็นแบบเห็นหน้าโดยตรงหรือทางโทรศัพท์ พบวา่ การสอื่ สารมกั ไม่ครบถ้วนหรือเกิดความเข้าใจผิดพลาด เนื่องจากการปฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลค่อนข้างมี ความรีบด่วน ข้อมูลจาก Joint Commission on Accreditation of Healthcare Organizations ท้ังจาก การวิเคราะห์ root cause analysis และ sentinel events ในต่างประเทศ พบว่า ร้อยละ 60 ของผู้ป่วยที่ เสียชีวิตหรือได้รบั อันตรายรุนแรงเป็นผลมาจากการส่อื สารที่ผิดพลาด4 ดังนั้น การสื่อสารระหว่างสหวิชาชพี ท่ี มีประสทิ ธิภาพจะชว่ ยเพิ่มความปลอดภัยใหก้ ับผปู้ ่วย รวมถึงพัฒนาคุณภาพการบรกิ ารของโรงพยาบาล เทคนิค SBAR เป็นเทคนิคท่ีใช้กาหนดกรอบการสนทนาให้กระชับและครอบคลุมสิ่งที่จาเป็นต้อง สื่อสาร รวมถึงเปป็นรูปแบบเดียวกันในองค์กร ส่งผลให้การสื่อสารระหว่างสหสาขาวิชาชีพมีประสิทธิภาพ เพมิ่ ขึ้น โดยองค์ประกอบของเทคนิค SBAR5 มดี งั น้ี 1. Situation (S) หมายถึง ข้อมูลสถานการณ์ท่ีต้องรายงานของผู้ป่วย ได้แก่ การระบุตัวผู้รายงาน โดยเริ่มต้นแจ้งชื่อ ตาแหน่งของตนเอง แจ้งช่ือผู้ป่วยและจุดที่ผู้ป่วยกาลังรับการรักษา หรือ หมายเลขเตียง รายงานสภาพปญั หาของผปู้ ว่ ยทีพ่ บแบบรวบรดั กระชับ เวลาที่เกดิ ความรนุ แรง 2. Background (B) หมายถึง ข้อมูลภูมิหลังของผู้ป่วย ได้แก่ การให้ข้อมูลทางคลินิกหรือตอบ คาถามที่เก่ียวข้องกับสถานการณ์ เช่น วันที่เข้ารับการรักษา ประวัติการแพ้ยา ประวัติการใช้ยา เดมิ การวินิจฉยั แรกรบั รายการยาปจั จุบัน รายงานสญั ญาณชพี ล่าสดุ ผลตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ท่จี าเปน็ รวมถึงผลตรวจกอ่ นหนา้ เพ่อื เปรียบเทียบ (ถา้ ม)ี เปน็ ตน้ 3. Assessment (A) หมายถึง การประเมินสภาวะผู้ป่วย ได้แก่ การสรุปสถานการณ์ในมุมมองของ ตนเอง รายงานสิ่งท่ีตนเองสังเกตเห็น ภาวะรุนแรงของปัญหา เช่น ผู้ป่วยมีปัสสาวะสนี ้าตาลออ่ น ผลการวิเคราะห์และพิจารณาทางเลือกต่างๆ ของตนเอง ปัญหาน้ีเป็นปัญหารุนแรงหรืออันตราย ถงึ ชวี ติ หรอื ไม่ 4. Recommendation (R) หมายถึง ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การให้ความเห็นหรือข้อเสนอแนะในการ แก้ไขปัญหาของผู้ป่วย สิ่งที่จาเป็นสาหรับผู้ป่วย แนวทางที่สามารถเสนอแก่แพทย์ หรือต้องการ ความช่วยเหลอื จากแพทยเ์ พอ่ื แก้ไขปญั หาของผู้ปว่ ย 158

562397-59 Basic Practice in Pharmaceutical Care for Specialty in Community Pharmacy แบบฝึกหดั ที่ 3 ให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์แต่ละกลุ่ม สื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์ที่กาหนดผ่านทางโทรศัพท์หรือ โปรแกรม Zoom โดยใชท้ ักษะการส่อื สารด้วยวธิ กี ารพูดอย่างเหมาะสม ( งานกล่มุ ทาในชัว่ โมงปฏบิ ตั กิ าร ) บทสรปุ การส่ือสารกับสหสาขาวิชาชีพเป็นอีกทักษะของเภสัชกรท่ีจาเป็นในปัจจุบัน มิใช่เพียงแค่งานบริบาล เภสัชกรรมเท่าน้ัน เน่ืองจากความคาดหวังของวิชาชีพอ่ืนมีเพ่ิมสูงข้ึน จานวนผู้รับบริการมากข้ึน ตลอดจน ประเภทของยาท่ีมีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ดังน้ัน นักศึกษาเภสัชศาสตร์จึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการ สื่อสารกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อเสริมการทางานให้มีประสิทธภิ าพเพ่ิมข้ึน และลดโอกาสเกิดความคลาดเคลอื่ น กับผปู้ ว่ ย ตลอดจนนาไปใช้กบั งานปฏบิ ตั ิงานในอนาคตได้อย่างเหมาะสม 159

Communication in Pharmaceutical care 2 ~ END ~ 160

CHAPTER seventeen Journal club 1 KAWIN DUANGMEE Department of pharmacy Faculty of pharmacy, Silpakorn university


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook