Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

Description: ศึกษาความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ลักษณะทั่วไปของภาษา ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสัทศาสตร์ (phonetics)
สรศาสตร์ (phonemics) สัทอักษรสากล สัทอักษรไทย และหลักวิเคราะห์ภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ศึกษา

Keywords: ภาษาศาสตร์,(phonetics),(phonemics)

Search

Read the Text Version

างภาษาศาสตร์ ค (Tagmemic Treory) นงจากทฤษฎไี วยากรณ์ จดุ ประสงค์เพ่ือขจดั ความสบั สน องคาและชนดิ ของคา ระกอบ มพนั ธร์ ะหว่างสว่ นประกอบ

โครงสรา้ งข ลาดบั กาล นามวลี ๑ แมว ๓ ตัว ๒ แม่ ๓ วันน้ี แมว ของ ฉัน ๓ ตัว

ของประโยค กริยาวลี สถานวลี วิ่ง เลน่ บน ทีน่ อน ของ ฉนั นอน หลับ หนา้ จอทวี ี ซน

สรปุ ท สาขาภาษาศาสตร์ แ ๑.ภาศาสตร์ทวั่ ไป ๑ ๒.ภาษาศาสตร์เชิงประวัตและ ๒ เปรียบเทียบ ๓ ๔ ๓.ภาษาศาสตรเ์ ชิงประยุกต์ ๑ ๓ ๕ ๖

ท้ายบท แบ่งตามทฤษฎีนักภาษาศาสตร์ ๑.ทฤษฎีโครงสรา้ ง ๒.ทฤษฎปี รวิ รรต ๓.ทฤษฎไี วยากรณก์ ารก ๔.ทฤษฎแี ทคมนี ิค ๑.เชงิ จติ วทิ ยา ๒.เชงิ สงั คมวิทยา ๓.เชงิ คณติ ศาสตร์ ๔.เพอ่ื การศกึ ษา ๕.เชงิ มนษุ วทิ ยาหรือภาษาชาตพิ ันธุ์ ๖.เชงิ คอมพิวเตอร์

www.animationfactory.com Backdro - These are backdrops - Can be C Templates

ops: e full sized s, just scale them up! Copy-Pasted out of for use anywhere!

บ สทั

บทที่ ๓ ทศาสตร์

วตั ถปุ ร ๑.บอกความหมายและสาขา ๒.อธิบายลกั ษณะสรรี ะที่ทา สทั ศาสตร์ ๓.แสดงฐานกรณ์ของเสียง ๔.แสดงการออกเสยี งตามห ๕.อ่านและเขยี นสทั อักษรสา

ระสงค์ าของสทั ศาสตร์ าให้เกดิ เสียงตามหลักสรรี หลกั สัทศาสตร์ ากล

ความ สัทศาสตร์ เป็นวิชาทมี่ ีเนอื้ ห อวัยวะตา่ งๆทใี่ ช้ในการเปล ในภาษาทีเ่ ปลง่ ออกมาตลอด ฟงั หรอื รบั รูเ้ สยี งในภาษา กา ประโยคโดยตรงต่อนกั ภาษา ความจาเป็นท่จี ะต้องศึกษาภ ภาษากจ็ าเปน็ จะต้องศกึ ษาเ ภาษาประกอบด้วยเสียงและ

มนา หาเกีย่ วข้องกบั เร่อื งเสียงในภาษา ล่งเสียงในภาษา ลกั ษณะของเสยี ง ดจนอวยั วะตา่ งๆทใ่ี ชใ้ นการรบั ารศึกษาสทั ศาสตรจ์ งึ เป็น าศาสตร์ เพราะนักภาษาศาสตร์มี ภาษาตา่ งๆและการศึกษา เร่อื งของเสยี ง เนอ่ื งจาก ะความหมาย

๓.๒ ความหมายและ สทั ศาสตร์ หมายถงึ วิชาทว่ี ่า เสียงของมนุษย์ ดว้ ยวิธีการ ครอบคลุมถึงการศึกษาในรา ในการผลิตเสียงอวยั วะตา่ งๆ ประเภทต่างๆของเสยี งที่เกิด ฟิสิกส์ของเสียงและบทบาท

ะสาขาของสัทศาสตร์ าด้วยการศกึ ษาเร่อื งการผลติ รทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ จะ ายละเอียดของกระบวนการตา่ งๆ ๆ ทที่ าให้เกิดเสยี งในภาษา ดขึ้น ตลอดจนธรรมชาติทาง ทของเสียงในภาษา

สาขาของส ๓.๒.๑ สรรี สัทศาสตร์ คือ ก เปล่งเสียงในภาษา โดยศกึ ษ อวัยวะใดบา้ งท่เี กย่ี วขอ้ ง ตั้ง ๓.๒.๒ กลสัทศาสตร์ คอื กา เสยี งในภาษา มีลกั ษณะของ ๓.๒.๓ โสตสทั ศาสตร์ คือ ก เสียงในภาษา ของผู้ฟงั สง่ิ ท ต่างๆท่ีเกย่ี วข้องกับการรบั ร

สัทศาสตร์ การศึกษาระบบอวัยวะทีใ่ ช้ในการ ษาวา่ ในขณะที่เปลง่ เสยี งพดู น้ัน มี งแตก่ ระบังลม ปอด หลอดลม ารศึกษาลกั ษณะทางกายภาพของ งคลืน่ เสียง,ความถ่อี ย่างไร การศกึ ษาเร่อื งการรับรู้ ท่ีตอ้ งศกึ ษา คอื อวยั วะ รู้ หู ตา เปน็ ตน้

๑.อธิบาย สร ศกึ ษาเก่ยี วกับอวัยวะการออ ทั้งหมด กลายเป็นเสียง สระ ๑.ปอดและหลอดลม ๒.กล่องเสียงและเส้น ๓.อวยั วะทอ่ี ย่เู หนือเส

รรี สทั ศาสตร์ อกเสยี ง และวธิ ีการผลิตเสยี ง ะและพยัญชนะ แบ่งออกเป็น นเสยี ง ส้นเสียง

๒.อธิบาย ก ศึกษาลกั ษณะทางกายภาพข เสียงอนั เปน็ แขนงวิชาหนงึ่ ข ๑.คลื่นเสยี ง ๒.ความถ่ี ๓.ความสั้น-ยาวของเ ๔.ชอ่ งว่างภายในปาก

กลสัทศาสตร์ ของเสยี งในภาษา ความรู้เร่อื ง ของฟิสกิ ส์ เสยี ง ก

๓.อธบิ าย โส ศึกษาเรื่องรับรู้เสยี งในภาษา ฟัง การรบั รู้ และการได้ยิน ๑.อวยั วะในการรับฟ ๑.๑ รบั ข้อมลู ๑.๒ ส่งข้อมลู ๑.๓ วิเคราะห -ประเภทของหู ๑.หชู ้นั นอก ๒

สตสทั ศาสตร์ า เป็นการศึกษากับอวัยวะในการ ฟัง (หู) ทาหนา้ ท่ี ๓ อย่าง ล ห์ขอ้ มูล ๒.หูช้นั กลาง ๓.หชู นั้ ใน

๓.อธบิ าย โส ๒.การรบั รู้เสยี ง ระบบ เสียงไดท้ ุกอยา่ ง เน่อื งจากก ของผไู้ ดย้ นิ อยา่ งแยกกนั ไม่อ ๒.๑ ระดับเสียง ๒.๒ ความดัง ๒.๓ คุณภาพของเสยี ๒.๔ ความสั้น-ยาว

สตสทั ศาสตร์ บของการได้ยนิ ไมส่ ามารถรบั รู้ การรับร้นู เี้ ก่ยี วข้องกบั ความรู้สกึ ออก สิ่งท่ผี ้รู บั รแู้ ยกได้เพยี ง ยง

๓.อธบิ าย โส ๓.การไดย้ นิ เสียงท่เี ก เสยี ง การได้ยนิ นั้นเป็นสง่ิ ท่ีห เขา้ สู่รูหูไปกระทบเยอ่ื แกว้ ห สัน่ สะเทือนของคลนื่ เสียงไป เสียงในหชู ้นั ใน แล้วสง่ ความ ความหมายของเสยี งที่มนษุ

สตสัทศาสตร์ กิดขนึ้ ทุกชนดิ มลี ักษณะเปน็ คลื่น หา้ มไม่ได้ เมื่อใบหูรบั คลน่ื เสยี ง หูแล้ว เยอื่ หูแก้วจะถ่ายทอดความ ปยังสว่ นต่างๆ จนถงึ ประสาทรับ มรู้สกึ ไปยงั สมองเพ่อื ทจ่ี ะแปล ษย์ไดย้ นิ

๓.๓ ฐานกร ฐานกรณ์ คอื อวัยวะ ๓.๓.๑ ฐานคืออวัยวะทใ่ี ชใ้ น เคล่อื นท่ไี ด้ ฐานท่เี กิดการออ ๑.ฐานรมิ ฝปี ากบน-ล ๒.ฐานรมิ ฝีปากและฟ ๓.ฐานฟนั ๔.ฐานปุ่มเหงอื ก ๕.ฐานหลังปุ่มเหงือก

รณข์ องเสียง ะที่ใชใ้ นการออกเสยี ง ๒ ประเภท นการออกเสยี งซึง่ ไมส่ ามารถ อกเสียง ล่าง ฟนั ก

๓.๓ ฐานกร ๖.เพดานแข็งด้านหน ๗.ฐานปุ่มเหงือก-เพด ๘.ฐานเพดานแข็ง-ปมุ่ ๙.ฐานเพดานแข็ง ๑๐.ฐานเพดานออ่ น ๑๑.ฐานลิน้ ไก่ ๑๒.ฐานเสน้ เสยี ง

รณข์ องเสยี ง นา้ ดานแขง็ มเหงือก

๓.๓ ฐานกร ๓.๓.๒ กรณ์ คือ อวยั สามารถเคลอ่ื นทไ่ี ด้ เปน็ อวยั สว่ นลา่ ง ซงึ่ เคลอ่ื นไปจรดห ลา่ ง ลนิ้ และเส้นเสยี ง ๑.ริมฝีปากล่าง ๒.ล้ิน ๓.เสน้ เสยี ง (เปิด โฆส

รณข์ องเสยี ง ยวะท่ีใชใ้ นการทาใหเ้ กดิ เสียงและ ยวะที่อยูต่ ิดกับกระดกู คาง หรือใกลก้ ับฐาน ไดแ้ ก่ รมิ ฝปี าก สะ, ปิด อโฆสะ,ปดิ สนทิ )

๓.๔ ลกั ษณ ๓.๔.๑ เสียงพยญั ชน ท่ผี า่ นออกมาจากชอ่ งปาก ห ๑.ปอดและหล ๒.กล่องเสยี งแ ๓.อวัยวะท่อี ย -สภาพร ๔.ฐานกรณข์ อ ๕.ลกั ษณะการ

ณะของเสียง นะ คือ เสยี งท่เี ปล่งโดยกระแสลม หรอื ช่องจมูก ลอดลม และเส้นเสียง ยู่เหนอื เส้นเสียง ริมฝีปาก,ฟนั ,เพดาน องเสยี ง รออกเสยี ง

ลกั ษณะกา ลักษณะการออกเสียง ระหว่างอวยั วะในการออกเส การออกเสียงที่เคล่อื นท่ีไม่ได ๑.เสียงกักหรือเสยี งหยุดหรอื ๑.๑ เสียงกกั แบบธน เช่น พบ ทา คา เป็นตน้ ๑.๒ เสียงกักแบบสถิ ออกตามมา เช่น บา ดา กา

ารออกเสียง ง คอื ลกั ษณะความสัมพันธ์ สียงที่เคลื่อนทไ่ี ดแ้ ละอวัยวะใน ด้ แบง่ ออกเป็น ๘ ลกั ษณะ อเสยี งระเบดิ นิต คอื เสียงมีกลุ่มลมตามออกมา ถิล คือ เสียงไม่มกี ล่มุ ลม า เปน็ ต้น

ลกั ษณะกา ๒.เสียงนาสิก คือ เสียงที่มีล ทางช่องปาก แต่จะออกทาง และลนิ้ ไก่ลดลงอยใู่ นลักษณ ๓.เสยี งเสยี ดแทรก คือ เส้นเ ได้อย่างตอ่ เน่ือง ไปเสยี ดสีก ๔.เสยี งกง่ึ เสียดแทรก คือ ลกั หรือเสยี งระเบดิ และตามด้วย อวยั วะในการออกเสยี งจะเค

ารออกเสยี ง ลมออกจากปอดถกู กักไวไ้ มไ่ ด้ออก งชอ่ งจมกู แทน โดยทเี่ พดานอ่อน ณะพัก เสยี งเปดิ ลมสามารถผ่านออกไป กับฐานกรณ์ ณ จุดใด จดุ หนึง่ กษณะของเสียงหยุด ยเสียงเสยี ดสี คอื อวัยวะ คล่ือนเข้าไปปดิ สนทิ

ลกั ษณะกา ๕.เสยี งขา้ งล้ิน คอื เอาล้นิ ไป ผา่ นออกมาขา้ งล้ินทง้ั สองข ๖.เสยี งลน้ิ รวั คือ เสียงทีเ่ กิด เคลอื่ นไหวปิดเปดิ ซ้าๆกัน อ ๗.เสยี งกระทบหรือ เสยี งกร คลา้ ยเสยี งรัวล้ิน เพยี งแต่กา ในการออกเสียงเกดิ เพยี งคร ๘.เสียงเปดิ คือ เสยี งในปาก

ารออกเสยี ง ปแตะทป่ี ่มุ เหงอื กแลว้ ปล่อยให้ลม ขา้ ง เชน่ ลม ลิง ลอด ดจากอวัยวะทีใ่ ช้ในการออกเสียง อย่างรวดเรว็ หลายครง้ั ตดิ ตอ่ กัน ระดกล้ิน คอื เสยี งท่มี ีลกั ษณะ ารปิด-เปดิ ของอวยั วะ รั้งเดยี ว เช่น ร กเคล่ือนเข้าหากันเลก็ น้อย

ลักษณะข แบง่ ออกเป็น ๒ ส่วน ๑.โฆษะหรือ อโฆษะ ๑.๑ เสียงโฆษะ คอื เ ปอด ผ่านช่องระหวา่ งช่องค ๑.๒ เสยี งอโฆษะ คอื ขณะทเี่ สน้ เสียงอยูช่ ดิ กนั แต ส่ันสะเทอื น

ของเสียง เสยี งตา่ งๆจะเคล่ือนขึ้นมาจาก คอ อ เสียงที่มีลมผ่านออกมาใน ตไ่ มต่ ิดกันสนิท จะทาให้เสยี ง

ลักษณะข แบ่งออกเปน็ ๒ ส่วน (ต่อ) ๒. สถิ ลิ หรือ ธนิต ๒.๑ สิถิล คือ เสียงท เช่น เสยี ง ป ๒.๒ ธนติ คือ เสยี งพ กล่มุ ตามออกมาด้วย เชน่ พ

ของเสยี ง ที่เม่อื ออกเสยี งไมม่ ลี มตามออกมา พยญั ชนะท่เี วลาออกเสียงจะมี พท

๓.๔ ลกั ษณ ๓.๔.๒ เสียงสระ คอื การทาใหเ้ กดิ เสียงสระและก ทางานของเสน้ เสยี ง ประกอ ๑.ลิ้น ๑.๑ ลิ้นสว่ นห ๑.๓ ลิ้นส่วนห ๒. ริมฝปี าก ๒.๑ ริม ๒.๒ ริมฝีปากก ๒.๓ ริมฝีปากแ

ณะของเสยี ง เสยี งสระจะต้องใชก้ ระแสลมใน กระแสลมจะถกู แปรโดยการ อบดว้ ย หน้า ๑.๒ ลิ้นส่วนกลาง หลงั มฝปี ากห่อ กลม แผ่

จุดกาเนดิ ของ บรเิ วณภายในช่องปาก ของลิน้ ในการเปล่งเสียงสระทกุ เดเนยี ล โจนส์ แบ่งลน้ิ อ ๑.ลนิ้ ส่วนหน้า ๒.ลิน้ ส่ว และแบ่งระดบั ลิ้นออกเปน็ ๔ ส ๑. สงู คือ ลิ้นอย่ใู นระด ๒. คอ่ นข้างสงู คือ ลน้ิ อ ๓. คอ่ นข้างตา่ คือ ลน้ิ อ ๔. ต่า คือ ลิน้ อย่ใู นระด

งการเกดิ เสยี ง กครอบคลุมตาแหน่งของจดุ ทสี่ ูงสุด กเสยี งในทุกภาษา ออกเปน็ ๓ ส่วน วนกลาง ๓.ล้ินส่วนหลงั สว่ น คอื ดบั ใกล้เพดานมากท่สี ดุ อยูใ่ นระดับค่อนข้างใกล้เพดาน อยใู่ นระดับค่อนหา่ งเพดานปาก ดับหา่ งเพดานปากมากทีส่ ดุ

ประเภทขอ เสียงสระในภาษาต่าง ประเภท ๑.สระเดยี่ ว คือ ลักษณะขอ เปลย่ี นแปลง ขณะออกเสยี ง ก็ตาม ๑.๑ สระเสยี งสนั้ ๑ ๒.สระเลื่อน คือ สระประสม ปาก จะมีการเปลีย่ นแปลงไ เสยี งสระอีกเสียง