Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

Description: ศึกษาความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ลักษณะทั่วไปของภาษา ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสัทศาสตร์ (phonetics)
สรศาสตร์ (phonemics) สัทอักษรสากล สัทอักษรไทย และหลักวิเคราะห์ภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ศึกษา

Keywords: ภาษาศาสตร์,(phonetics),(phonemics)

Search

Read the Text Version

ลี (ตอ่ ) กน่ ประกอบด้วยคาช่วยหลงั อ อยู่ แลว้ อยแู่ ลว้ ศษณค์ าเดียว หรอื อาจมีคาบพุ บท คาเดยี ว หรอื ๒-๓ คา นาหน้า

๖.๓ วล ๖.กาลวลี ประกอบดว้ ยคาบอกเว ๖.๑ คาบอกเวลา ๒-๓ คาเรยี ง ๖.๒ + คาบอกกาหนดเสียงตร ๖.๓ คาบอกเวลา ๑-๒ คา + จ ๖.๔ คาบอกเวลา ๑ คา + จาน คา + คาบอกกาหนดเส

ลี (ตอ่ ) วลา งกัน เช่น เมื่อเช้า เมื่อวาน รี เชน่ เชา้ นี้ ปีโน้น จานวนนับ เชน่ ตอน ๒ ทุ่ม นวนนบั + คาบอกเวลา ๒ สียงตรี เช่น เมอื่ ๒ วนั ก่อนน้ี

๖.๔ ปร ๖.๔.๑ ความหมาย คอื หน่วยทเ่ี ร ไวยากรณไ์ ด้ครบถ้วนสมบูรณ์ ป ตามหลงั ดว้ ยการหยุด และในเว เสยี ง คอื มที านองเสยี งบง่ บอก ประโยคอาจมีความหมายบริบรู บรบิ ทช่วยจึงมีความหมายบริบ สว่ นประกอบเพียงส่วนเดียวหร

ระโยค ราอาจวเิ คราะหล์ กั ษณะทาง ประโยคอาจทาหนา้ ทแ่ี ละ วลาพดู จะมีลกั ษณะเฉพาะทาง กใหร้ ู้ก่อนจะหยดุ นอกจากน้ี รณใ์ นตัวเอง หรอื ต้องอาศยั บูรณ์ได้ ประโยคอาจมี รือหลายส่วนก็ได้

ทศั นะของน พระยาอุปกติ ติสาร.. ถอ้ ยคาท่มี ีเน เรืองไร กศุ ลาสยั .. ตอ้ งประกอบด คอื กิริยาอาการ จนร้วู ่า ใคร ท นักไวยากรณ์รุ่นใหม่..ไมเ่ น้นในกล เนน้ ความเข้าใจระหวา่ งผูพ้ ดู กับ ลักษณะประโยคภาษาพูดมากก จนิ ดา งามสทุ ธ.ิ .คานามตัวเดยี วห ประโยคได้

นกั การศกึ ษา นอ้ื ความครบบริบรู ณ์ ดว้ ยภาคประธาน และภาคแสดง ทาอะไร ลุ่มคาทม่ี เี นอ้ื ความสมบูรณ์ แต่ บผู้ฟงั เปน็ สาคัญ หรือเน้น กวา่ ประโยคไวยากรณ์ หรือกริยาคาเดยี วก็มีลักษณะเปน็

ส่ิงสำคญั ประกอบ ๑.การเรยี งลาดบั คา เชน่ แตงเต ต๋อง เป็นผู้ถูกกระทา ๒.ความสัมพนั ธข์ องคา เชน่ หนงั น้ี มีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กับคา ๓.ประเภทของคา บางคาเกดิ ร่วม

บเป็นรปู ประโยค ตะต๋อง แตงเป็นผกู้ ระทา งสอื เลม่ นแี้ สดงความคดิ าวา่ หนังสอื มากกว่า แสดง มกนั ได้ บางคาไมไ่ ด้

๖.๔.๒ ประเภท ไวยากรณโ์ ครงสร้างจาแนกประโย ๑.แบง่ เป็น ๒ ชนดิ คือ ๑.๑ประโยคเรมิ่ หมายถงึ ประโ แลว้ ผฟู้ ังจะเข้าใจความหมายได กอ่ น ๑.๒ ประโยคไม่เรมิ่ หมายถงึ ป จะไม่เข้าใจ ตอ้ งใช้ตามหลักปร สถานการณ์

ทของประโยค ยคในภาษาไทย ๒ วธิ ี โยคใช้เริ่มต้นบทสนทนา เม่ือพดู ด้ทนั ที ไมต่ ้องอาศัยคาพูดท่มี า ประโยคทใ่ี ชเ้ พียงลาพงั แลว้ ผ้ฟู ัง ระโยคเร่มิ หรือใช้ร่วมกบั

๖.๔.๒ ประเภท ๒.แบ่งเปน็ ๔ ชนดิ คือ ๒.๑ ประโยคสามญั ไดแ้ ก่ ประ เดียวหรอื หลายส่วนเรยี งกันโดย ประโยคสามัญจะเป็นประโยคเร ๒.๒ ประโยคซับซอ้ น ไดแ้ ก่ ปร ต่างชนิดกัน ๒ อนพุ ากยข์ น้ึ ไป

ทของประโยค ะโยคที่มสี ่วนประกอบเพยี งส่วน ยไม่มสี ่วนใดเปน็ อนพุ ากย์ ริ่มหรอื ไม่เรม่ิ กไ็ ด้ ระโยคทปี่ ระกอบด้วยอนุพากย์

๖.๔.๒ ประเภท ๒.แบ่งเป็น ๔ ชนดิ คือ (ต่อ) ๒.๓ ประโยคผสม ไดแ้ ก่ ประโย ตั้งแต่ ๒ อนุพากย์ขน้ึ ไป ๒.๔ ประโยคเชอ่ื ม ได้แก่ ประ ขึ้นตน้ ด้วยคาเชอ่ื มอนุพากย์

ทของประโยค ยคทป่ี ระกอบดว้ ยอนุพากย์หลัก ะโยคสามญั ชนดิ ประโยคไมเ่ ริม่ ซ้ึง

ประโยคในภำ แบ่งเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๑.ประเภทของประโยคตามแนว ๑.๑ แบง่ ตามลักษณะการ ประโยค มี ๕ ชนิด คือ ๑.๑.๑ ประโยค ก ขา้ งหนา้ กริยา และกรรรมหรือ ๑.๑.๒ ประโยคกร ผู้ถูกกระทามาเปน็ ประธาน

ำษำไทยเดิม วหลกั ภาษาเดมิ รเรยี งคาในประโยค เรียกว่ารูป กรรตุ คือประโยคท่ีมีประธานอยู่ อส่วนขยายตามลาดบั รรม คอื ประโยคทเ่ี อากรรมหรือ

ประโยคในภำ แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ (ต่อ) ๑.๑.๓ ประโยคกร มาแลว้ กลา่ วกอ่ นประธาน ๑.๑.๔ ประโยคกา ขึ้นมา ๑.๑.๕ ประโยคกร นาเอาคากริยามาทาหนา้ ทอ่ี ย่า

ำษำไทยเดิม ริยา คือ ประโยคทเ่ี อาคากริยาขน้ึ าริต คือ ประโยคท่ีมีผูร้ บั ใช้เพิ่ม รยิ าสภาวมาลา คอื ประโยคท่ี างคานาม

ประโยคในภำ แบ่งเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ (ตอ่ ) ๑.๒ตามลักษณะโครงสร้างของปร ๒.๑.๑ เอกัตถประโยค คอื ป เดยี ว ๒.๑.๒ อเนกตั ถประโยค คือ เดียวต้งั แต่ ๒ ประโยคขึ้นไปเข้าไว ๒.๑.๓ สงั กรประโยค คือ ปร ประโยคขนึ้ ไปรวมกนั แต่มีประโยค เพยี งประโยคเดียว

ำษำไทยเดิม ระโยค มี ๓ ชนิด ประโยคท่มี ขี อ้ ความเพียงข้อความ อ ประโยคทร่ี วมเอาประโยคความ วด้ ้วยกัน ระโยคใหญท่ มี่ ปี ระโยคเล็กตั้งแต่ ๒ คหลักหรอื ประโยคทมี่ ใี จความสาคัญ

ประโยคในภำ แบง่ เปน็ ๒ ประเภทใหญ่ (ต่อ) ๑.๓.ตามลักษณะการใช้ประโยค ม ๑.๓.๑ ประโยคบอกเลา่ คือ ต่างๆให้ผู้ฟงั ทราบ ๑.๓.๒ ประโยคคาถาม คือ ป ผ้ฟู ังตอบใหท้ ราบในส่ิงทีต่ อ้ งการท ๑.๓.๓ ประโยคปฏเิ สธ คอื ก ๑.๓.๔ ประโยคออ้ นวอน หร

ำษำไทยเดิม มี ๔ ชนิด ประโยคที่ผพู้ ูดต้องการแจ้งเรื่องราว ประโยคที่ผพู้ ูดใชถ้ ามผู้ฟังเพ่อื ให้ ทราบ กลา่ วปฏิเสธหรอื ไมย่ อมรบั รอื ขอร้อง

ประโยคในภำ แบง่ เปน็ ๒ ประเภทใหญ่ (ตอ่ ) ๒.ประเภทของประโยคตามแนว ภาษาพดู ทมี่ ุ่งเอาความเข้าใจระ บางคร้ังไม่จาเปน็ ตอ้ งมีครบท้งั ป อยา่ งประโยคไวยากรณห์ รอื ปร

ำษำไทยเดิม วภาษาศาสตร์ หมายถงึ ประโยค ะหวา่ งผู้พูดกับผู้ฟงั เป็นสาคญั ประธาน กรยิ า และกรรม เหมอื น ระโยคภาษาเขียน

๖.๔.๓โครงสร้ำ ๑.โครงสรา้ งของประโยคท่ีมีเฉพ ๒.โครงสร้างของประโยคท่มี ีส่วนเ ๖.๔.๔ การวเิ ครา หมายถึง การนาประโยคมาพิจา เรียงลาดับประโยค ความสมั พนั ต่างๆในประโยค ชนิดคาในประ ประโยค สว่ นประกอบของประ

ำงของประโยค พาะสว่ นมูลฐาน ๑๔ แบบ เสริม ๓๖รูปแบบ าะห์ประโยค ารณาในด้านต่างๆ เช่น การ นธ์ระหว่างคาในประโยค หน่วย ะโยค และหนา้ ท่ขี องคาใน ะโยค

๖.๔.๔ กำรวิเคร ๑. การวิเคราะห์ประโยคตามทฤ ๑.๑ ประโยคมูลฐาน ๗ ชนิด ๑.หน่วยประธาน (ป) ๓.หนว่ ยกรรมรอง (กร.) ๕.หนว่ ยกริยากรรม (กอ.) ๗.หนว่ ยกริยาทวกิ รรม (ก

รำะหป์ ระโยค ฤษฎี Class stucture grammar ๒.หนว่ ยกรรมตรง (กต.) ๔.หนว่ ยนามเดี่ยว (นด.) ) ๖.หน่วยกริยาสกรรม (กส.) กท.)

๖.๔.๔ กำรวิเคร ๑. การวเิ คราะหป์ ระโยคตามทฤ ๑.๒ ประโยคเสรมิ ๓ ชนิด ๑.หนว่ ยเสรมิ พิเศษ (สพ.) ๒.หนว่ ยเสริมบอกสถานท ๓.หนว่ ยเสรมิ เวลา (สว.)

รำะหป์ ระโยค ฤษฎี Class stucture grammar ) จะมีคาวลพี ิเศษ ท่ี (สส.)

๖.๔.๔ กำรวิเคร ๒.การวิเคราะหป์ ระโยคตามทฤษ ๒.๑ หลกั การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ ๒.๑.๑ แยกโครงสรา้ งประ ก.แยกประโยคออก ข.แยกภาคประธา ค.แยกหน่วยตา่ งๆ

รำะหป์ ระโยค ษฎีการวิเคราะหส์ ว่ นประชดิ างประโยค ะโยคเปน็ ชัน้ ๆ กเป็น ๒ ภาค าน และภาคแสดง ๆ

 Lorem ipsum dolor sit amet, consecte Fusce sed sem sed magna suscipit ege  Lorem ipsum dolor sit amet, consecte Fusce sed sem sed magna suscipit ege

etuer adipiscing elit. Vivamus et magna. estas. etuer adipiscing elit. Vivamus et magna. estas.

ภาษากบั ท

บทที่ ๗ บการเปลีย่ นแปลง ทางสงั คม

วตั ถปุ ระสงค อธิบายอทิ ธิพลของภาษา ศาสนา การเมือง เศรษฐก วเิ คราะห์การเปลีย่ นแปล การศึกษา ศาสนา การเมอื วฒั นธรรมได้

คป์ ระจำบท าศาสตร์ทมี่ ตี ่อการศกึ ษา กจิ และวฒั นธรรมได้ ลงของภาษาศาสตร์ที่มีตอ่ อง เศรษฐกจิ และ

๗.๑ อทิ ธิพลและการเปล ต่อกา การเปลย่ี นแปลงทางการศ การทม่ี นุษย์มคี วามประสงค ตนประสงค์ หรือต้องการให และจะบรรลุผลสาเร็จได้ ต้อ การศึกษาเกย่ี วกบั ภาษามน ๑.ทาไม ๒.อย่างไร ๓.อะ

ลย่ี นแปลงของภาษาศาสตร์ ารศึกษา ศึกษา เป็ นผลอนั เน่ืองมาจาก ค์ทจี่ ะให้คนอ่ืนกระทาในส่ิงท่ี ห้คนอื่นเข้าใจในสิ่งท่ีตนเองทา องอาศัยสะพานเชื่อมโยง นุษย์เร่ิมทคี่ าถาม ะไร

๗.๒ อทิ ธิพลและการเปล ต่อศ จากการศึกษาภาษาศาสตร เปลย่ี นแปลงท้งั ด้านหน่วยเส ไวยากรณ์ อนั เกดิ จากปัจจยั อยู่อาศัย การสัมพนั ธ์ทางกา ขนบธรรมเนียมประเพณี ก ทางสังคม การสร้างคาใหม่ เป็ นต้น

ลย่ี นแปลงของภาษาศาสตร์ ศาสนา ร์พบว่า ภาษามกี าร สียง หน่วยคา ความหมาย และ ยต่างๆ เช่น การย้ายถิ่นฐาน ที่ ารค้า สภาพภูมอิ ากาศ การศึกษา อาชีพ เพศ วยั ฐานะ การแก้ไขคา และการยืมคา

๗.๒ อทิ ธิพลและการเปล ต่อศาส การใช้ภาษาในพระพทุ ธศา องค์ทรงสอนให้เห็นความส ภาษาใดภาษาหนึ่ง แล้วดูหม เนื้อหาสาระในภาษาเป็ นสาค “ปาต”ี “ปัตตะ” “ปิ ฏฐ” แมจ้ ะเรยี กชอื่ อยา่ เดยี วกนั คือ

ลยี่ นแปลงของภาษาศาสตร์ สนา (ต่อ) าสนากเ็ ช่นเดยี วกนั พระพทุ ธ สาคญั ของทุกภาษา ไม่ให้ยดึ มนั่ มนิ่ ภาษาอ่ืน ทรงสอนให้เน้น คญั ตัวอย่าง เช่น คาว่า ” “สราวะ” เป็ นต้น างไร กม็ คี วามหมาย

๗.๓ อทิ ธิพลและการเปล ต่อกา มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม ซ่ึงไ ได้จาเป็ นต้องอยู่รวมกนั ทา เพ่ือการดารงชีวติ อยู่ในสังค มอี ยู่ตลอดเวลาต้งั แต่เกดิ จน พฒั นาการตดิ ต่อระหว่างกนั ผู้อื่น ซ่ึงใช้วธิ ีการรูปแบบต่า ดที สี่ ุด

ลย่ี นแปลงของภาษาศาสตร์ ารเมือง ไม่สามารถอยู่คนเดยี วในโลก าให้ต้องการตดิ ต่อสัมพนั ธ์กนั คม และการตดิ ต่อของมนุษย์จะ นตาย มนุษย์พยายาม น เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจและเข้าใจ างๆเพ่ือให้เกดิ ประสิทธิภาพท่ี

๗.๔ อทิ ธิพลและการเปล ต่อเศร เศรษฐกจิ มคี วามสาคญั ต่อ ประเทศทม่ี รี ะบบเศรษฐกจิ ประชาชนของประเทศน้ัน เ ในการดารงชีวติ ความเป็ นอ อปุ โภคบริโภคมากขนึ้ ทาให ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและป

ลยี่ นแปลงของภาษาศาสตร์ รษฐกจิ อทุกคนในทุกประเทศ จทด่ี กี จ็ ะก่อให้เกดิ ประโยชน์ต่อ เช่น ประชาชนจะมมี าตรฐาน อยู่ดขี นึ้ มสี ินค้าและบริการให้ ห้เกดิ การฟื้ นฟูบูรณาการ ปัจจยั ต่าง

๗.๔ อทิ ธิพลและการเปล ต่อเศรษฐ ๗.๔.๑ปัจจัยทางเศรษฐก ๑.ทรัพยากรธรรมชาติ ๒.ทรัพยากรมนุษย์ ๓.ผู้ประกอบการ ๔.ทุน ๕.เทคโนโลยี