Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

ภาษาศาสตร์เบื้องต้น

Description: ศึกษาความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ลักษณะทั่วไปของภาษา ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสัทศาสตร์ (phonetics)
สรศาสตร์ (phonemics) สัทอักษรสากล สัทอักษรไทย และหลักวิเคราะห์ภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ศึกษา

Keywords: ภาษาศาสตร์,(phonetics),(phonemics)

Search

Read the Text Version

คราะห์หนว่ ยคา งหน่วยเสียงใด หน่วยเสยี งหน่งึ บางรูปคาไดถ้ ูกลดหรอื หายไป การแปรเปลย่ี นแบบอิสระ ส่วน ะ เชน่

๖.๑.๕ การวิเค ๔.การทาสระให้ยาว หมายถงึ ก เสยี งส้ันใหเ้ ป็นหนว่ ยเสียงสระเ  นา้ - น้าม ไม้ - มา้ ย ตะวัน - ตาวัน

คราะห์หน่วยคา การเปลี่ยนแปลงหนว่ ยเสยี งสระ เสยี งยาว เช่น

๖.๑.๕ การวเิ ค ๕.การทาสระให้สนั้ หมายถึงกา เสยี งยาวให้เป็นหนว่ ยเสียงสระ  ท่าน - ทนั่ , ขา้ ว - ๖.การสับเสยี ง หมายถึงหน่วยเ พยางค์หลงั และหน่วยเสียงที่อ หนา้ เชน่ ตะกร้อ - กระตอ้ , ตะกรา้ – ก

คราะห์หนว่ ยคา ารเปล่ียนแปลงหน่วยเสียงสระ ะเสียงสน้ั เชน่ ขา้ ว เสียงท่ีอยูใ่ นพยางคห์ นา้ สบั ไปอยู่ อยูใ่ นพยางคห์ ลังสบั ไปอยู่พยางค์ กระตา้ , ตะตรุด -กระตดุ

๖.๑.๕ การวิเค ๗.การซ้าเสียงทั้งหมด หมายถงึ ทั้งหมดหรือซ้าท้ังพยางค์ โดยร จากรปู ที่ยังไม่ซา้ เชน่  บ่อย - บ่อยบ่อย, ใคร – ใครใ ๘.การแทนทห่ี น่วยเสียง หมาย เปลย่ี นแปลงรูปคา โดยรูปคาน รปู คาใหม่กับรูปคาเดมิ เช่น ราดหนา้ –ลาดหน้า, โลหิต–โรห

คราะหห์ น่วยคา งรูปคาใดรูปคาหนึ่งสามารถซา้ รปู ท่ซี ้านั้นความหมายไม่แตกต่าง ใคร, เสมอ - เสมอเสมอ ยถงึ หนว่ ยคาใดหน่วยคาหนึง่ มกี าร นน้ั เกดิ จากการแทนท่หี น่วยเสียง หติ ,ครุมเครอื - คลมุ เครือ

๖.๑.๕ การวิเค ๒.๔ คาพ้องเสียง ทม่ี คี วามหมา หน่วยคา แบง่ เปน็ ๒ กรณี ๑.กรณที ี่มีรูปและเสยี งซา้ กนั แ ก.ตารวจซอ้ มผู้ร้าย (ทาร้าย) ข.นักฟตุ บอลซ้อมฟตุ บอล (ฝกึ ๒.กรณีเสยี งเหมอื นกันแตร่ ูปต่า เช่น การ, กาล, กานต์, การณ์, กัน , กนั ต์, ก

คราะหห์ นว่ ยคา ายต่างกนั ถือว่าเป็นคนละ แต่ความหมายตา่ งกนั กหดั ) างกนั และมีความหมายตา่ งกัน กานท,์ กาญจน์, กัณฑ์, กรรณ, กลั ป์, กณั ฐ์

๖.๑.๕ การวิเค ๒.๕ รูปคาทเ่ี กิดจากลกั ษณะบงั รว่ มกบั รูปคาบางรปู เป็นลกั ษณ พจิ ารณา พบว่ามีความหมายเห เดียวกนั เช่น  แขง็ เป๊ก สั่นเทิ้ม ยาวเฟอ้ื ย เ

คราะหห์ นว่ ยคา งคับทางคา หมายถงึ รูปคาทเ่ี กิด ณะพิเศษ เมื่อนารูปคาเหล่านมี้ า หมอื นกนั ใหถ้ อื วา่ เป็นหน่วยคา เย็นเซย้ี บ บวมเป่ง แหง้ ผาก

๖.๒ ๖.๒.๑ ความหมาย ๑.ความหมายในทางหลัก  ๑.๑ คาในตาราวจวี ิภาคห ตามพวกหรอื ตามหนา้ ทีว่ า่ คาสรรพนาม คากรยิ า คา  ๑.๒คาในตาราวากยสมั พนั หนึ่งจะเปน็ พยางคเ์ ดยี วหร เช่น จาน , กระทะ, นาฬ

๒ คา กภาษาทั่วไป หมายถงึ คาทีจ่ าแนกออกไปเรียกช่อื าเปน็ คานาม าวเิ ศษณ์ คาอทุ าน เปน็ ตน้ นธ์ หมายถึงคาท่ีมคี วามหมายอย่าง รอื หลายพยางค์ ฬกิ า, เปน็ ตน้

๖.๒ ๖.๒.๑ ความหมาย (ตอ่ ) ๑.ความหมายในทางหลัก  ๑.๓ คาในตาราฉันทลักษณ หมายถงึ จานวนคากลอน ๒ แล้วยงั หมายถงึ คาครุ ลห ต้น

๒ คา กภาษาทว่ั ไป ณ์ มีความหมายหลายอย่าง เชน่ ๒ วรรค เรยี กกว่า ๑ คา นอกจากน้ี หุ คาเป็น คาตาย คานา คาสร้อย เปน็

๖.๒ ๖.๒.๑ ความหมาย (ต่อ) ๒.ความหมายในทางภาษ  ๑. เปน็ หนว่ ยคาอิสระสาม  ๒.ประกอบดว้ ยเสยี งขนาด  ๓.มีความหมาย

๒ คา ษาศาสตร์ มารถปรากฏได้ตามลาพงั ดตา่ งๆ

๖.๒ ๖.๒.๒ ประเภทของคา คาในภาษาแบง่ ออกเปน็ หลาย ในแบ่ง ๑. แบ่งชนิดของคาโดยยึดคาจา แบง่ ชนิดของคามาต้ังแต่โบราณ ๑.คานาม ๒.คาสรรพนาม ๕.คาวเิ ศษณ์ ๖.คาบพุ บท ๙.คานาหนา้ นาม

๒ คา ยชนิด หลายวิธี แล้วแต่จุดมุ่งหมาย ากดั ความเป็นหลกั วิธีนี้เป็นการ ณ แบง่ เปน็ ๗-๙ ชนิด คอื ม ๓.คากริยา ๔.คาคณุ ศพั ท์ ท ๗.คาอทุ าน ๘.คาสันธาน

๖.๒ ๖.๒.๒ ประเภทของคา (ตอ่ )  ๒. การแบ่งชนิดของคาโดยยดึ รูปค ภาษาทมี่ ีวิภตั ติปัจจัย เช่น ภาษาบ ประกอบรูปคาด้วยการเติมคาซงึ่ มีท  ขา้ งหน้า เรยี กว่า อปุ สรรค  ตรงกลาง เรียกว่า อาคม  ขา้ งหลงั เรียกว่า ปจั จัย

๒ คา คาเปน็ หลกั วธิ นี ี้เหมาะสาหรับลกั ษณะ บาลี สันสกฤต และองั กฤษ มีการ ทัง้ เติม

๖.๒ ๖.๒.๒ ประเภทของคา (ตอ่ ) ๓. การแบง่ ชนิดของคาโดยอาศ หลัก วธิ ีนเ้ี หมาะสาหรับการแบ ภาษาไทย ภาษาจนี วิธีการคือ ประโยค ถ้าคาใดใช้แทนทใี่ นตา ชนดิ เดยี วกนั

๒ คา ศัยตาแหนง่ ของคาในประโยคเปน็ บ่งคาของภาษาคาโดด เชน่ อพจิ ารณาความสมั พันธ์ของคาใน าแหน่งเดยี วกันได้ กถ็ อื ว่าเป็นคา

๖.๒.๓ กา ในภาษาแต่ละภาษาก็มีวิธกี ารท ๑.การผสานคา คอื การนาคา ๒ ๒.การตัดคา คอื การพดู ท่ีสัน้ แล ๓.การบญั ญตั ิศัพท์ คอื การตกล

ารสรา้ งคา ทแ่ี ตกตา่ งกนั พอสรปุ ได้ ๖ วธิ ี ๒ คามาผสานเป็นคาเดียวกนั ละเขา้ ใจความหมาย ลงรว่ มกันในคาทีใ่ ช้บอ่ ยๆ

๖.๒.๓ กา ๔.การย้อนถอย คอื การสรา้ งค ภาชนะทใ่ี ส่เปน็ ลักษณะนาม เช ๕.ช่ือย่อ คือ การสรา้ งคาย่อขึ้น ๖.การเลียนเสียงธรรมชาติ คือ กา เพราะไดย้ ินเสยี งร้อง กาๆ

ารสรา้ งคา คาท่ีเปน็ ลักษณะนาม โดยยึด ช่น นา้ ปลา ๒ ขวด เป็นต้น นใชแ้ ทนคาเตม็ เช่น มท เปน็ ต้น นาเสียงสัตว์มาเป็นคาใช้ เช่น

๖.๒.๔ วิเค การวเิ คราะหค์ าในภาษาไทย ห ชีวิตประจาวัน พจิ ารณาวา่ เป็น ในภาษาไทย มี ๓ ประการ ๑.การวเิ คราะหค์ าโดยยดึ ความ วิเคราะหค์ าตามหลักน้ี เป็นการ ไวยากรณร์ ุ่นเกา่ เชน่ คานาม ๒.การวิเคราะหค์ าโดยยดึ หนา้ ท วา่ เปน็ ภาษาคาโดด เช่น ฝนตก

คราะหค์ า หมายถงึ การนาเอาคาทใ่ี ช้พดู ใน นคาชนิดใด หลกั การวเิ คราะหค์ า มหมายของคาเป็นหลกั การ รวเิ คราะหข์ องคาของนัก คากริยา เป็นต้น ที่ของคาเป็นหลัก ภาษาไทยไดช้ ือ่ ก เป็นต้น

๖.๒.๔ วิเครา ๓.วิเคราะหค์ าโดยยดึ ตาแหนง่ ข คาแตล่ ะคาปรากฏอยู่ในกรอบป

าะหค์ า (ตอ่ ) ของคาเปน็ หลัก คือ ยดึ ตาแหน่งท่ี ประโยคทก่ี าหนดใหเ้ ป็นหลัก

๖.๓ ๖.๓.๑ ความหมายของ “วล”ี  หมายถึง คาคาเดียว หรือ ค ส่วนของประโยคชนิดตา่ งๆ  หมายถงึ กลุม่ คาหมหู่ นง่ึ ๆ ม ไม่มีความครบทีจ่ ะเป็นประโ กอ่ นกไ็ ด้ และมคี าพว่ งทา้ ยอ

๓ วลี คากบั สว่ นขยายซึ่งทาหน้าทเ่ี ป็น มจี านวนต้งั แต่ ๒ คาขึน้ ไป และ โยคได้ จะขึ้นต้นด้วยคาชนิดได้ ออกไปอีกคาหนึง่ หรือมากกว่ากไ็ ด้

๖.๓ วล ๖.๓.๒ ชนดิ ของ “วล”ี  แบง่ เปน็ ๒ อย่าง ๑.ตามแนวหลกั ภาษาเดมิ ๑.ตามแนวหลักภาษาเดิม ๑.๑ นามวลี หมายถึง วลีทม่ี คี ๑.๒ สรรพนามวลี หมายถงึ ว วลีทท่ี าหน้าเปน็ คาสรรพนา

ลี (ตอ่ ) ๒.แนวภาษาศาสตร์ คานามนาหน้า วลีทมี่ คี าสรรพนามนาหน้า หรอื าม

๖.๓ วล ๑.๓ กริยาวลี หมายถงึ วลที ่มี ีคา เป็นเรอ่ื งเดียวกนั ๑.๔ วิเศษณว์ ลี หมายถึง วลที ี่มคี ประกอบคาอื่นอยา่ งเดยี วกบั คา กริยา ขยายวิเศษณ์ดว้ ยกันเอง ๑.๕ บุพบทวลี หมายถงึ วลีท่มี ีค หนา้ คานามสรรพนาม หรอื กร

ลี (ตอ่ ) ากริยานาหน้า โดยมคี วามหมาย คาเศษณน์ าหนา้ และทาหน้าท่ี าเศษณ์ อาจประกอบนาม ขยาย งก็ได้ คาบพุ บทอยู่หน้าคาอ่ืน อาจอยู่ รยิ าสภาวะมาลา

๖.๓ วล ๑.๖ สนั ธานวลี หมายถึง วลีทที่ า หนา้ ท่เี ช่ือมคา เชอื่ มความ เช่ือ ออกจากกนั เพื่อเชอ่ื มความให้ต เกี่ยว ๑.๗ อุทานวลี หมายถงึ วลีที่ใชเ้ ป หรือไมก่ ็ได้ อุทานวลีบางลักษณ

ลี (ตอ่ ) าหน้าท่ีเปน็ คาสันธาน คือ ทา อมประโยค กรณคี าสันธานทแี่ ยก ติดตอ่ กัน เรยี กวา่ สนั ธานคาบ ป็นคาอทุ าน จะมีคาอทุ านนาหนา้ ณะเปน็ อุทานวลเี สรมิ บท

๖.๓ วล ๒.ตามแนวภาษาศาสตร์ ๒.๑ นามวลี ทาหน้าทีเ่ ป็นหนว่ ย หน่วย ๑.ทาหนา้ ทเ่ี ป็นหน่วยประธาน ๒.ทาหน้าที่เป็นหนว่ ยกรรมตรง ๓.ทาหน้าทเี่ ป็นหน่วยกรรมรอง ๔.ทาหนา้ ทีเ่ ป็นหนว่ ยนามเดีย่ ว

ลี (ตอ่ ) ยประโยคหนว่ ยใดหน่วยหน่งึ ใน ๔ ง ง ว

๖.๓ วล ๒.๒ กริยาวลี หมายถึงกรยิ าคาเด ซงึ่ ทาเป็นหน้าที่เปน็ หนว่ ยประโ หนว่ ย ๑.ทาหน้าท่เี ปน็ กรยิ าอกรรม ๒.หนา้ ที่เป็นหนว่ ยกริยาสกรร เชน่ เขาทิง้ จดหมายไปแล ๓.ทาหนา้ ท่ีเปน็ หน่วยกรยิ าท เชน่ ครู อยากสอน หน

ลี (ตอ่ ) ดยี ว หรอื คากริยากับสว่ นขยาย โยคหนว่ ยใดหนว่ ยหนง่ึ ใน ๓ เช่น ผ้าแห้งแล้ว รม ลว้ ทวิกรรม นังสอื เด็กพวกน้ี

๖.๓ วล ๒.๓ วเิ ศษณว์ ลี หมายถึง คาวเิ ศ คาบพุ บทตามนาหน้าซง่ึ ทาหน้า ๒.๔ สถานวลี หมายถงึ นามวลที คา หรือสามคา ซงึ่ ทาหนา้ ท่ีเป็น บพุ บท ๒ คา เป็นต้น ๒.๕ กาลวลี หมายถงึ คาบอกเว หน่วยเสรมิ ในประโยค

ลี (ตอ่ ) ศษณค์ าเดียว หรอื คาวเิ ศษณท์ ี่มี าทเ่ี ป็นหน่วยเสริมประโยค ท่นี าดว้ ยคาบพุ บทคาเดียว สอง นหนว่ ยเสรมิ ในประโยค หรือคา วลากบั สว่ นขยาย ซึง่ ทาหนา้ ที่เปน็

๖.๓ วล ๖.๓.๓ วิเคราะห์โครงสรา้ งวลี การวิเคราะหโ์ ครงสร้างวลีในภา ภาษาศาสตร์ แบ่งเป็น ๖ อยา่ ง ๑.นามวลี มีหน่วยทเี่ ปน็ สว่ นประก ๒.หนว่ ยอกรรมยอ่ ย ประกอบดว้ ลักษณนามกับกริยอกรรมย่อย ๒.๑ หนว่ ยจานวน ประกอบดว้ ยล ประกอบดว้ ยคาจานวนนบั คาลาด ชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ หรอื หลายชนิ

ลี (ตอ่ ) าษาไทยตามแนว กอบอยู่ ๔ ชนดิ วยกริยาอกรรมย่อยตัวเดียวหรือมีคา ลกั ษณนามอยา่ งน้อย ๑ คา และอาจ ดับท่ี คาหน้าจานวนหรือหลังจานวน

๖.๓ วล ๒.๒ หน่วยกาหนด อาจเปน็ อยา่ ๓.กริยาวลี มหี นว่ ยทเี่ ป็นส่วนประ ๓.๑หนว่ ยแก่น จะประกอบดว้ ย ๓.๒หน่วยชว่ ยกริยาหน้าหน่วยแ คาเดยี วหรือหลายคา ๓.๓หน่วยขยาย ประกอบด้วยค คา

ลี (ตอ่ ) างใดอยา่ งหนง่ึ ะกอบ ๔ ชนิด ยคากริยาคาเดียว หรอื หลายคา แก่น ประกอบด้วยคาชว่ ยกริยา คากริยาวเิ ศษณค์ าเดยี วหรือหลาย

๖.๓ วล ๓.๔หนว่ ยช่วยกริยาหลังหน่วยแก กรยิ าคาใดคาหน่งึ ใน ๓ คา คือ ๔.วเิ ศษณว์ ลี ประกอบดว้ ยคาวเิ ศ ตามนาหนา้ คาเศษณค์ าเดยี ว ๕.สถานวลี ประกอบด้วยบพุ บทค คานาม