๗๘ (๑๐) มน (ใจ) เป็นทฺวลิ งิ ค์ (ปุงลิงคแ์ ละนปุงสกลงิ ค)์ ในปุงลงิ ค์ แจกได้ ดังนี้ ชอ่ื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. มโน มนา ทุ. มน มเน ต. มนสา มเนหิ, มเนภิ จ. มนโส มนาน ปฺ มนสา มเนหิ, มเนภิ ฉ. มนโส มนาน ส. มนสิ มเนสุ อา. มน มนา หมายเหตุ: มน ศัพทใ์ นนปุงสกลิงค์ แจกเหมอื นปุงลิงค์ ยกเวน้ ปฐมาวภิ ตั ติ เอกวจนะ เป็น มน และปฐมาวิภตั ติ ทตุ ิยาวภิ ตั ติ พหวุ จนะ เปน็ มนานิ ศพั ท์ท่ีแจกเหมือน มน ศัพท์ มีอยู่กลุม่ หนึ่ง เรียกว่า “มโนคณศัพท์” แปลว่าศัพท์ท่ีอยู่ใน กลุ่มมนศัพท์ มีจานวน ๑๒ ศัพท์ และเป็นปุงลิงค์ท้ังหมด ยกเว้น มน ศัพท์ เป็น ทฺวิลิงค์ (ปุงลิงค์ และ นปงุ สกลิงค)์ ดงั นี้ ๑. มน = ใจ ๗. เตช = เดช ๒. อย = เหล็ก ๘. ปย = น้านม ๓. อรุ = อก ๙. ยส = ยศ ๔. เจต = ใจ ๑๐. วจ = วาจา ๕. ตป = ความร้อน ๑๑. วย = วยั ๖. ตม = มดื ๑๒. สริ = หวั
๗๙ (๑๑) กมมฺ (กรรม) เปน็ นปุงสกลิงค์ แจกได้ ดังนี้ ช่อื วิภตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. กมมฺ กมมฺ านิ ทุ. กมมฺ กมมฺ านิ ต. กมมฺ นุ า กมฺเมหิ, กมเฺ มภิ จ. กมฺมโุ น กมฺมาน ปฺ กมฺมุนา กมเฺ มห,ิ กมฺเมภิ ฉ. กมฺมุโน กมฺมาน ส. กมฺมนิ กมฺเมสุ อา. กมฺม กมมฺ านิ ข้อสังเกต: กมมฺ ศพั ท์ สามารถแจกตามแบบ กลุ ได้ทกุ วภิ ตั ติ (๑๒) โค (โค) เปน็ คากลาง ๆ แจกได้ ดงั นี้ ชือ่ วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. โค คาโว ทุ. คาว, คาวุ คาโว ต. คาเวน โคหิ, โคภ,ิ คาเวหิ, คาเวภิ จ. คาวสฺส คนุ นฺ , คาวาน ปฺ คาวสมฺ า, คาวมฺหา, คาวา โคหิ, โคภ,ิ คาเวหิ, คาเวภิ ฉ. คาวสสฺ คนุ นฺ , คาวาน ส. คาวสมฺ ,ึ คาวมหฺ ิ, คาเว โคสุ, คาเวสุ อา. คาว คาโว หมายเหตุ: โค ศัพท์ เป็นคากลาง ๆ ไม่ระบุว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าจะใช้เป็น ปุงลิงค์ ให้ แปลง โค เป็น โคณ แล้วแจกตามแบบ ปุริส แต่ถ้าจะใช้เป็น นปุงสกลิงค์ ให้แปลงเป็น คาวี แล้วแจก ตามแบบ นารี
๘๐ ๔.๑๓ สรปุ ทา้ ยบท นามศัพท์ หมายถึง เสียงพูดหรือสาเนียงท่ีเป็นชื่อใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ท้ังคน สัตว์ สถานที่ ส่งิ ของ ลกั ษณะ และสภาวธรรมทั้งปวง นามศัพท์แบง่ ออกเป็น ๓ ประการ คอื นามนาม คุณนาม และ สพั พนาม กล่าวเฉพาะนามนาม นามนามเป็นช่ือของคน สัตว์ สถานที่ และส่ิงของ อาจจดั แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ สาธารณนาม (นามทั่วไป) และอสาธารณนาม (นามไม่ทั่วไป) นามนามนี้ เม่อื จะนาไป พูดหรือเขียนเป็นประโยคภาษาบาลี ต้องประกอบด้วยลิงค์ วจนะ และวิภัตติก่อน ลิงค์หมายถึง เพศ ของนามศัพท์ จัดแบ่งตามลักษณะของเพศได้ ๓ ประเภท คือ ปุงลิงค์ (เพศชาย) อิตถีลิงค์ (เพศหญิง) และนปุงสกลิงค์ (เพศกลาง ๆ ที่มิใช่เพศชายเพศหญิง) หรืออาจจัดแบ่งตามลักษณะของที่มาได้ ๒ ประเภท คือ ลงิ คโ์ ดยกาเนดิ และลิงค์โดยสมมตุ ิ นามนามบางประเภทเปน็ ไดล้ ิงค์เดียว บางประเภท เปน็ ได้ทง้ั ๒ ลิงค์ นามนามประกอบด้วยวจนะ วจนะ แปลว่า คาพูด หมายถงึ คาพูดทเ่ี ปล่งออกมาโดย บอกจานวนของนามนามว่า มีจานวนมากหรือจานวนน้อยอย่างไร วจนะในภาษาบาลีมี ๒ อย่าง คือ เอกวจนะ และพหุวจนะ และนามนามต้องประกอบด้วยวิภัตติ วิภัตติในภาษาบาลี มี ๒ ประเภท คือ วิภัตตินาม กับ วิภัตติอาขยาต กล่าวเฉพาะวิภัตตินาม แปลว่า แจกหรือแบ่ง คือ แจกหรือแบ่งนาม ศัพท์ออกให้เห็น ลิงค์, วจนะ และหน้าท่ี (การก) ของแต่ละศัพท์ในประโยคภาษาบาลี วิภัตตินามมีอยู่ ๑๔ ตัว เช่น สิ, โย เป็นต้น โดยจัดแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายเอกวจนะ และพหุวจนะ มีคาแปลประจา วิภัตติ เรียกว่า “อายตนิบาต” เช่น ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ แปลว่า อ. (อันว่า) ทุติยาวิภัตติ เอกวจนะ แปลวา่ ซึ่ง, สู่, ยงั , สน้ิ , ตลอด, กะ, เฉพาะ เป็นต้น นามศพั ท์โดยทั่วไป ย่อมมีการันต์ คือ สระที่สดุ ศัพทใ์ นลงิ ค์ตา่ ง ๆ เช่น ปุริส ศัพทใ์ นปุงลิงค์ มี สระ อ เป็นการันต์, ก ฺ า ศัพท์ มีสระ อา เป็นการันต์ เป็นต้น การันต์เป็นประโยชน์ในการแจกนาม ศัพท์ด้วยวิภัตตินาม เพราะการแจกนามศัพท์ด้วยวิภัตตินามนั้น จะต้องแจกไปตามลิงค์และการันต์ของ ศัพท์นั้น ในภาษาบาลีมีคาศัพท์ที่สามารถแจกตามวิภัตตินามได้ ๒ ชนิด คือ สามัญศัพท์ และ กติปย- ศัพท์ (ปกิณณกศัพท์) สามัญศัพท์ ได้แก่ ศัพท์นามนามท่ีเป็นลิงค์และมีการันต์เหมือนกันให้แจกตาม แบบเดียวกัน ส่วนกติปยศัพท์ ได้แก่ ศัพท์เล็กน้อย คือมีจานวนน้อย เป็นศัพท์เบ็ดเตล็ด แม้จะเป็นลิงค์ และมกี ารันต์เหมือนกนั ก็ไมแ่ จกตามแบบเดยี วกนั แต่จะมวี ธิ แี จกตามแบบเฉพาะตน ๆ
๘๑ แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๔ แบบฝกึ หดั ท่ี ๔.๑ ใหเ้ ลอื กคาตอบท่ถี ูกท่ีสดุ เพียงข้อเดยี ว ๑. ข้อใดเปน็ อสาธารณนาม ข. ปุรโิ ส ก. เสฏฺ ง. สาวตถฺ ี ค. อิตฺถี ๒. ขอ้ ใดเป็นตตยิ าวภิ ตั ติ ข. สฺมา, หิ ก. ส, น ง. อ, โย ค. นา, หิ ๓. นามนามในขอ้ ใดเปน็ ปญั จมวี ิภัตติ พหวุ จนะ ก. ปุรสิ สฺมา ข. ปรุ เิ ส ค. ปรุ สิ าน ง. ปรุ ิเสหิ ๔. ในอิตถลี งิ ค์มีการันต์เทา่ ไร ข. มกี ารันต์ ๓ ก. มกี ารันต์ ๒ ง. มกี ารนั ต์ ๗ ค. มีการันต์ ๕ ๕. สระในข้อใดจัดเปน็ การนั ตใ์ นนปุงสกลงิ ค์ ก. อ ข. อิ ค. อุ ง. ถกู ต้องทกุ ข้อ ๖. อ การนั ต์มใี นลงิ ค์ใด ข. อติ ถีลงิ ค์ ก. ปุงลงิ ค์ ง. ถูกตอ้ งทุกข้อ ค. นปงุ สกลิงค์ ๗. ข้อใด กล่าวไม่ถกู ต้อง ก. อตฺต, พฺรหฺม, ภควนฺตุ, สตถฺ ,ุ และ ปิตุ เป็นปงุ ลิงค์อย่างเดยี ว ข. มาตุ เป็นอิตถลี งิ คอ์ ยา่ งเดียว สว่ น กมมฺ เป็นนปุงสกลิงคอ์ ย่างเดียว ค. ราช, อรหนฺต, และ ภวนฺต เป็นทวิลิงค์ คือ ปุงลิงค์และอิตถีลิงค์ ส่วน มน เป็นทวิลิงค์ คือ ปุงลิงคแ์ ละนปุงสกลงิ ค์ ง. อตฺต เป็นปุงลิงค์ พหุวจนะอย่างเดียว ส่วน มน เป็น ทวิลิงค์ คือ เป็นปุงลิงค์และ นปงุ สกลิงค์ เอกวจนะ อย่างเดียว
๘๒ ๘. บทแจกในขอ้ ใดเปน็ ตติยาวิภตั ติ เอกวจนะ และ ฉฏั วภิ ตั ติพหุวจนะ ของ ภควนฺตุ ศัพท์ ก. ภควตา - ภควต ข. ภควตา - ภควนเฺ ตหิ ค. ภควโต - ภควนเฺ ตหิ ง. ภควโต - ภควต ๙. ขอ้ ใด ไม่ใช่มโนคณศพั ท์ ข. ตป, ตม, เตช, ปย ก. มน, อย, อรุ , เจต ง. อตตฺ , พรฺ หฺม, ราช, ภควนตฺ ุ ค. ยส, วจ, วย, สริ ๑๐. บทแจกในขอ้ ใดเป็นทตุ ิยาวภิ ัตติ เอกวจนะ และสัตตมีวิภตั ติ พหวุ จนะ ของ มาตุ ศพั ท์ ก. มาตร - มาตโร ข. มาตริ - มาตราสุ ค. มาตร - มาตราสุ ง. มาตริ - มาตโร ๑๑. การแจก พรฺ หฺม ศัพท์ในข้อใด ไม่ถกู ต้อง ข. ทตุ ิยา = พรฺ หมฺ าน - พรฺ หฺมาโน ก. ปฐมา = พฺรหมฺ า - พรฺ หมฺ าโน ง. จตตุ ถี = พฺรหฺมโุ น - พฺรหฺเมสุ ค. ตตยิ า = พรฺ หมฺ นุ า - พรฺ หฺเมหิ ๑๒. บทตตยิ าวิภตั ติ เอกวจนะ ของ ปิตุ ศพั ท์ คอื ข้อใด ก. ปติ รา ข. ปติ เรหิ ค. ปติ นุ า ง. ข้อ ก. และ ค. ถกู ๑๓. การแจก มน ศัพท์ในข้อใด ไม่ถูกต้อง ก. เอกวจนะ ตติยาวิภตั ติ = มนสา ข. เอกวจนะ จตตุ ถีวิภัตติ = มนโส ค. เอกวจนะ ปัญจมวี ิภัตติ = มนสา ง. เอกวจนะ ฉฏั ฐวี ิภัตติ = มนสสฺ ๑๔. วิภตั ตินามมที ั้งหมดกต่ี วั ข. ๕ ตวั ก. ๓ ตวั ง. ๑๔ ตวั ค. ๗ ตวั ๑๕. การแจกวภิ ัตตนิ ามเปน็ เอกวจนะ–พหุวจนะในขอ้ ใด ไม่ถูกตอ้ ง ก. ปฐมา = สิ - โย ข. ทตุ ยิ า = อ - โย ค. ตติยา = นา - น ง. ปญั จมี = สฺมา – หิ
๘๓ ๑๖. ขอ้ ใด ไมถ่ ูกต้อง ก. ทาโร แปลวา่ เมยี จดั เป็นปงุ ลิงค์ ข. อิตถี แปลวา่ หญงิ จดั เป็นอิตถลี ิงค์ ค. กุล แปลวา่ ตระกูล จดั เปน็ นปุงสกลงิ ค์ ง. ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน จัดเป็นนปงุ สกลงิ ค์ ๑๗. ข้อใดไม่ถูกตอ้ ง ก. นามศัพท์ ๓ อย่าง คือ นามนาม คุณนาม และสพั พนาม ข. ลงิ ค์มี ๓ คือ ปงุ ลงิ ค์ อติ ถีลงิ ค์ และนปงุ สกลิงค์ ค. วจนะมี ๒ คอื เอกวจนะ และ พหวุ จนะ ง. วิภัตตินาม มี ๑๔ ตัว ตวั แรก คอื สิ และตวั สุดทา้ ย คือ สมฺ ึ ๑๘. นามนามในขอ้ ใดเปน็ ลงิ ค์เดยี ว ก. อมโร (เทวดา), อาทจิ โจ (พระอาทิตย์), อินฺโท (พระอนิ ทร์) ข. อจฺฉรา (นางอัปสร), อาภา (รัศมี), อทิ ธฺ ิ (ฤทธิ์) ค. องคฺ (องค์), อารมฺมณ (อารมณ์), อณิ (หน้ี) ง. ถูกต้องทุกข้อ ๑๙. คาว่า “ปุรโิ ส” มาจากศพั ท์ การนั ต์ และลิงค์อะไร ก. ปรุ สิ ศัพท์ อ การนั ต์ ในปงุ ลิงค์ ข. ปรุ ิส ศัพท์ โอ การันต์ ในปงุ ลงิ ค์ ค. ปรุ ิโส ศัพท์ อ การนั ต์ ในอิตถลี ิงค์ ง. ปุรโิ ส ศัพท์ โอ การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ ๒๐. ข้อใด ไมใ่ ช่การนั ตใ์ นอติ ถลี ิงค์ ข. อิ, อี ก. อ, โอ ง. อุ, อู ค. อ,ี อู
๘๔ แบบฝึกหัดท่ี ๔.๒ ก. ใหอ้ ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แล้วขดี เสน้ ใต้ อสาธารณนาม สาวตฺถิย กิร อนาถปิณฺฑิกสฺส คหปติโน นนฺโท นาม โคปาลโก โคยูถ รกฺขติ อฑฺโฒ มหทฺธโน มหาโภโค. โส กิร ยถา เกณิโย ชฏิโล ปพฺพชิตเวเสน เอว โคปาลกตฺเตน ราชปีฬ ปริหรนฺโต อตฺตโน กุฏุมฺพ รกฺขติ. โส กาลานุกาล ป จฺ โครเส อาทาย อนาถปิณฺฑิกสฺส สนฺติก อาคนฺตฺวา สตฺถาร ปสฺ สติ ธมฺม สุณาติ อตฺตโน วสนฏฺ าน อาคมนตฺถาย สตฺถาร ยาจติ. สตฺถา ตสฺส าณปริปาก อาคมย มาโน อาคนฺตฺวา ตสฺส ปริปกฺกภาว ตฺวา เอกทิวส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต จาริก จรนฺโ มคฺคา โอกฺ กมฺม ตสฺส วสนฏฺ านาสนฺเน อ ฺ ตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสีทิ. นนฺโท สตฺถ สนฺติก คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปฏิสนฺถาร กตฺวา สตฺถาร นิมนฺเตตฺวา สตฺตาห พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปณีต ป จฺ โครสทาน อทาสิ. สตตฺ เม ทิวเส สตฺถา อนุโมทน กตวฺ า ทานกถาทิเภท อนุปพุ ฺพีกถ กเถสิ. กถาปริโยสาเน นนฺท โคปาลโก โสตาปตฺติผเล ปติฏฺ าย สตฺถุ ปตตฺ คเหตฺวา สตฺถาร อนุคจฺฉนฺโต ทูร คนฺตฺวา “ติฏฺ อปุ าสกาติ นวิ ตฺติยมาโน วนทฺ ติ วฺ า นิวตตฺ .ิ ๓ ข. ใหอ้ ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แล้วขีดเส้นใต้คานามท่ีเป็นสัตตมีวิภตั ติ ตสฺมึ ขเณ สกฺโก ตนฺต ปสาเรต,ิ สุชาตา ตสร วฏฺ เฏติ. เถโร จนิ ฺเตสิ “อิเม มหลฺลกกาเลปิ กมฺม กโรนฺติ, อิมสฺมึ นคเร อิเมหิ ทุคฺคตตโร นตฺถิ ม เฺ , อิเมหิ ทินฺน อุฬุงฺกมตฺตมฺปิ คเหตฺวา อิเมส สงฺคห กริสฺสามีติ, โส เตส เคหาภิมุโขว อโหสิ. สกฺโก ต อาคจฺฉนฺต ทิสฺวา สุช อาห “ภทฺเท มยฺห อยฺโย อิโต อาคจฺฉติ, ต อปสฺสนฺตี วิย หุตฺวา นิสีท, ขเณน น ว เฺ จตฺวา ปิณฺฑปาต ทสฺสามาติ. เถโร อาคนฺตฺวา เคหทฺวาเร อฏฺ าสิ. เตปิ อปสฺสนฺตา วิย อตฺตโน กมฺมเมว กโรนฺตา โถก อาคมึสุ. อถ สกฺโก “เคหทฺวาเร เอโก เถโร วิย ฐิโต, อุปธาเรหิ ตาวาติ อาห. คนฺตฺวา อุปธาเรถ สามีติ. โส เคหา นิกฺขมิตฺวา, เถร ป ฺจปฺปติฏฺ ฐิเตน วนฺทิตฺวา, อุโภหิ หตฺเถหิ ชนฺนุกานิ โอลมฺพิตฺวา นิตฺถุนนฺโต อุฏฺ าย, “กตรตฺเถโร นุ โข อยฺโยติ โถก โอสกฺกิตฺวา, “อกฺขีนิ เม ธูมายนฺตีติ วตฺวา นลาเฏ หตฺถ เปตฺวา อุทฺธ โอโลเกตฺวา,“อโห ทุกฺข, อยฺโย โน มหากสฺสปตฺเถโร จิรสฺส เม กุฏิทฺวาร อาคโต, อตฺถิ นุ โข กิ จฺ ิ เคเหติ อาห. สชุ าตา โถก อากลุ า วยิ หุตวฺ า “ อตฺถิ สามตี ิ ปฏวิ จน อทาส.ิ ๔ ๓ธ.อ. ๒/๑๔๙ – ๑๕๐. ๔ ธ.อ. ๓/๘๑ – ๘๒.
๘๕ เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี ๔ กรรมการกองตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. อธิบายบาลีไวยากรณ์ นามและอัพยยศัพท์. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระกจั จายนะ. กจฺจายนพฺยากรณ. กรงุ เทพฯ: วิรยิ ะวัฒนาโรงพมิ พ,์ ๒๕๔๐. พระพุทธัปปิยะ. ปทรปู สทิ ธฺ ิ. ฉบับวดั ท่ามะโอ จงั หวัดลาปาง. กรงุ เทพฯ: เฉลมิ ชาญการพิมพ,์ ๒๕๒๖. พระมหาเวทย์ วรัญ ู. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ นามศัพท์-อัพยยศัพท์. นครปฐม: สถาบนั พฒั นาการสาธารณสขุ อาเซียนมหาวทิ ยาลัยมหิดล, ๒๕๔๑. พระมหาสมใจ ป ฺ าทีโป. ปทรปู สิทธแิ ปล. กรุงเทพฯ : พิทักษ์การพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรสี ุทธพิ งศ์ (สมศักดิ์ อปุ สโม). กจฺจายนสงเฺ ขป. ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรงุ เทพ ฯ: ธรรมสาร, ๒๕๓๑. พระสัทธรรมสริ ิเถร. สัททนีตสิ ตุ ตมาลา. กรงุ เทพฯ: พทิ ักษ์อักษร, ๒๕๔๕. พระสิรมิ งั คลาจารย์. สังขยาปกาสกฎกี า. ฉบบั วัดท่ามะโอ. ลาปาง : ม.ป.พ., ๒๕๒๕. พระอัคควังสเถร. คมั ภรี ์สทั ทนีติปทมาลา. กรุงเทพฯ: พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๕. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ นามและ อพั ยยศัพท.์ กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒. สมเดจ็ พระวนั รัต (ฑติ อุทยมหาเถระ). มูลนอ้ ยอาศยั มลู ใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑. สมเด็จพระวันรัต (วัดพระเชตุพนในรัชกาลท่ี ๑). สังคีติยวงศ์, ฉบับพิมพ์เนื่องในงานพระราชทาน เพลิงศพ พระอุบาลีคณุ ูปมาจารย.์ กรุงเทพฯ: ศิวพร, ๒๕๒๑.
บทที่ นามศพั ท:์ คณุ นาม ๕ Noun words: Adjectives วัตถปุ ระสงค์ประจาบทที่ ๕ เม่อื ศึกษาบทที่ ๕ จบแล้ว นักศึกษา/ผู้ที่สนใจศกึ ษา สามารถ ๑. บอกความหมายของคณุ นามได้ ๒. จาแนกขั้นของคณุ นามได้ ๓. บอกลงิ ค์ของคุณนามได้ ๔. จาแนกประเภทของสงั ขยาได้อย่างถูกต้อง ๕. แจกสงั ขยาตามประเภทของสังขยาได้ ๕.๑ ความนา นามศัพท์ที่แสดงลักษณะอาการของนามนาม สาหรับให้รู้ว่านามนามนั้นดีหรือชั่ว อ้วนหรือ ผอม สูงหรือต่า ดาหรือขาว เป็นต้น เรียกว่า คุณนาม จัดแบ่งเป็น ๓ ข้ัน คือ คุณนามขั้นปกติ คุณนาม ข้ันวิเศษ และคุณนามขั้นอติวิเศษ ในบทนี้ จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเก่ียวกับคุณนาม จานวน ๕ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของคุณนาม ๒) ข้ันของคุณนาม ๓) ลิงค์ของคุณนาม ๔) สังขยา และ ๕) การแจกสังขยา โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ ๕.๒ ความหมายของคุณนาม คุณนาม หมายถึง นามที่ใช้ขยายหรือแสดงลักษณะของนามนาม เพ่ือให้รคู้ ุณภาพหรือปริมาณ ฯลฯ ของนามนาม เช่น พาล (โง่) ปณฺฑิต (ฉลาด) ถูล (อว้ น) กีส (ผอม) ฯลฯ คุณนามดังกล่าวนี้ เมื่อจะ นาไปพดู หรือเขยี นเปน็ ประโยคภาษาบาลี ต้องประกอบดว้ ยลงิ ค์ วจนะ และวภิ ัตติก่อน
๘๗ ๕.๓ ข้นั ของคุณนาม คณุ นามในภาษาบาลี แบง่ ออกได้ ๓ ขั้น ดังนี้ ๕.๓.๑ คุณนามขั้นปกติ (= ข้ันธรรมดา) เป็นคุณนามปกติ ขยายนามตามธรรมดา ไม่มีการ เปรียบเทียบกับใคร เชน่ ปณฑฺ ิโต ปุริโส = บรุ ษุ ฉลาด (ปณฑฺ โิ ต เปน็ คณุ นามขน้ั ปกติ แปลว่า ฉลาด) พาโล ปุรโิ ส = บรุ ุษโง่ (พาโล เปน็ คุณนามขั้นปกติ แปลวา่ โง)่ ๕.๓.๒ คุณนามขั้นวิเศษ (= ข้ันกว่า) เป็นคุณนามที่ใช้ขยายนามนาม โดยมีการเปรียบเทียบ ในขั้นวเิ ศษหรือขั้นกว่า โดยทั่วไปจะมี ตร, อิย, อิยิสฺสก ปัจจัย เป็นเครื่องหมายต่อทา้ ยคุณนามขั้นปกติ เช่น ปณฑฺ ติ ตโร ปรุ โิ ส = บรุ ษุ ฉลาดกวา่ (ปณฑฺ ิตตโร เป็นคณุ นามขนั้ วิเศษ แปลวา่ ฉลาดกว่า) พาลโิ ย ปรุ ิโส = บรุ ษุ โงก่ ว่า (พาลโิ ย เป็นคุณนามข้ันวิเศษ แปลวา่ โงก่ วา่ ) และใช้ อติ อปุ สัค นาหนา้ คุณนามข้ันปกติ เช่น อติปณฺฑโิ ต ปรุ ิโส = บุรษุ ฉลาดกวา่ (ฉลาดยิง่ ) (อตปิ ณฺฑิโต เปน็ คณุ นามขนั้ วิเศษ แปลวา่ ฉลาดกว่าหรอื ฉลาดย่งิ ) อติพาโล ปุรโิ ส = บรุ ุษโงก่ ว่า (โงย่ ่งิ ) (อติพาโล เปน็ คุณนามขนั้ วเิ ศษ แปลว่า โง่กว่าหรือโงย่ ิ่ง) ๕.๓.๓ คุณนามขั้นอติวิเศษ (= ข้ันสุด) เป็นคุณนามท่ีใช้ขยายนามนาม โดยมีการ เปรยี บเทยี บขน้ั สดุ และจะมี ตม, อฏิ ฺ ปจั จัย เป็นเครอ่ื งหมายต่อทา้ ยคุณนามขนั้ ปกติ เช่น ปณฺฑิตตโม ปุริโส = บุรุษฉลาดทสี่ ดุ (ปณฺฑิตตโม เป็นคุณนามขน้ั อติวิเศษ แปลว่า ฉลาดทสี่ ุด)
๘๘ พาลิฏฺ โ ปุริโส = บุรุษโง่ที่สดุ (พาลิฏฺ โ เป็นคุณนามข้นั อติวิเศษ แปลว่า โงท่ ่ีสุด) และใชอ้ ุปสัคคือ อติวิย นาหนา้ คณุ นามข้ันปกติ เชน่ อตวิ ิยถูโล ปรุ โิ ส = บรุ ษุ อ้วนท่สี ดุ (อ้วนเกินเปรียบ) (อติวยิ ถโู ล เป็นคุณนามข้นั อติวิเศษ แปลว่า อ้วนท่ีสดุ หรือ อ้วนเกนิ เปรียบ) อติวิยกีโส ปรุ โิ ส = บุรษุ ผอมท่สี ดุ (ผอมเกินเปรยี บ) (อติวิยกโี ส เปน็ คุณนามขนั้ อตวิ เิ ศษ แปลวา่ ผอมที่สุด หรือ ผอมเกนิ เปรยี บ) ๕.๔ ลงิ คข์ องคณุ นาม คุณนาม เป็นได้ ๓ ลิงค์ คุณนามศัพท์ใด ใช้ขยายนามนามใด เมื่อนามนามท่ีถูกขยายน้ันเป็น ลงิ คใ์ ด ก็เป็นลิงค์นนั้ ตาม คณุ นามจึงเป็นได้ ๓ ลงิ ค์ โดยการเปล่ยี นวภิ ัตตทิ ่ปี ระกอบ เชน่ ปาป (บาป) เป็นได้ ๓ ลิงค์ คือ เป็นปงุ ลิงค์ (ปาโป) เป็นอิตถลี ิงค์ (ปาปา) และเป็นนปงุ สกลิงค์ (ปาปํ) จณฺฑ (ดุรา้ ย) เปน็ ได้ ๓ ลิงค์ คอื เป็นปงุ ลิงค์ (จณฺโฑ) เป็นอติ ถลี ิงค์ (จณฺฑา) และ เปน็ นปุงสกลงิ ค์ (จณฺฑ) ๕.๕ สงั ขยา สงั ขยา คือ กลุ่มคาสาหรับนับจานวนนามนามได้แน่นอน สงั ขยา แบ่งออกได้ ๒ ชนิด คือ ปกติ สังขยา และปรู ณสงั ขยา โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี ๕.๕.๑ ปกติสังขยา เป็นสังขยาที่ใช้สาหรับนับนามนามปกติ เพื่อให้รู้ว่านามนามท่ีนับน้ัน มจี านวนเทา่ ใด โดยปกติ การนบั ปกตสิ ังขยา มวี ธิ ีนับ ดงั น้ี
๘๙ เอก ๑ เอกตตฺ ึส ๓๑ ทฺวิ ๒ ทฺวตตฺ ึส, พตตฺ สึ ๓๒ ติ ๓ เตตฺตึส ๓๓ จตุ ๔ จตุตฺตึส ๓๔ ปญจฺ ๕ ปญฺจตฺตึส ๓๕ ฉ ๖ ฉตตฺ สึ ๓๖ สตตฺ ๗ สตฺตตฺตึส ๓๗ อฏฺ ๘ อฏฺ ตฺตึส ๓๘ นว ๙ เอกนู จตฺตาฬีส, อนู จตตฺ าฬีส ทส ๑๐ จตฺตาฬีส, ตาฬีส ๓๙ เอกาทส ๑๑ เอกจตตฺ าฬสี ๔๐ ทฺวาทส, พารส ๑๒ เทวฺ จตฺตาฬสี ๔๑ เตรส ๑๓ เตจตตฺ าฬีส ๔๒ จตุททฺ ส, จทุ ฺทส ๑๔ จตุจตตฺ าฬีส ๔๓ ปญฺจทส, ปณณฺ รส ๑๕ ปญฺจจตฺตาฬสี ๔๔ โสฬส ๑๖ ฉจตตฺ าฬสี ๔๕ สตฺตรส ๑๗ สตฺตจตฺตาฬสี ๔๖ อฏฺ ารส ๑๘ อฏฺ จตฺตาฬีส ๔๗ เอกนู วีสติ, อูนวสี ๑๙ เอกนู ปญฺ าส, อนู ปญฺ าส ๔๘ วีส, วีสติ ๒๐ ปญฺ าส, ปณฺณาส เอกวสี ติ ๒๑ สฏฺฐี ๔๙ ๒๒ สตฺตติ ๕๐ ทฺวาวสี ติ, พาวสี ติ ๒๓ อสีติ ๖๐ เตวสี ติ ๒๔ นวตุ ิ จตวุ ีสติ ๒๕ สต ๗๐ ปญจฺ วสี ติ ๒๖ สหสฺส ๘๐ ฉพฺพสี ติ ๒๗ ทสสหสสฺ ๙๐ สตฺตวสี ติ ๒๘ สตสหสฺส, ลกขฺ ๑๐๐ อฏฺ วสี ติ ๑,๐๐๐ เอกูนตึส, อนู ตสึ ๒๙ ทสสตสหสสฺ ๑๐,๐๐๐ ตสึ , ตสึ ติ ๓๐ โกฏิ ๑๐๐,๐๐๐ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ข้อควรจา: (๑) ต้งั แต่ เอก - จตุ เป็นสัพพนาม (๒) ต้ังแต่ ปญจฺ - อฏฺ นวุติ เปน็ คุณนาม (๓) ตัง้ แต่ เอกูนสต - โกฏิ เปน็ นามนาม (๔) ตั้งแต่ เอก - อฏฺ ารส เปน็ ๓ ลิงค์
๙๐ (๕) ต้งั แต่ เอกนู วีสติ - อฏฺ นวุติ เป็นอิตถีลงิ ค์ (๖) ตัง้ แต่ เอกนู สต - ทสสตสหสสฺ เปน็ นปุงสกลิงค์ (๗) โกฏิ เปน็ อติ ถลี งิ ค์ (๘) เอก เป็นเอกวจนะ (๙) ต้งั แต่ ทฺวิ - อฏฺ ารส เปน็ พหวุ จนะ (๑๐) ตัง้ แต่ เอกนู วีสติ - อฏฺ นวตุ ิ เปน็ เอกวจนะ (๑๑) ตัง้ แต่ เอกูนสต - โกฏิ เปน็ ได้ทัง้ เอกวจนะและพหุวจนะ ขอ้ สังเกต: (๑) ตั้งแต่ เอก - อฏฺ นวุติ จัดเป็นคุณนามและสัพพนาม เพราะแปลออกสาเนียง อายตนิบาตไม่ได้ เช่น สตฺต อาจริยา (อ. อาจารย์ ท. ๗) คาว่า สตฺต เป็นคุณนาม วางไว้หน้า อาจรยิ า ทาหนา้ ท่ขี ยาย อาจรยิ า แปลไม่ออกสาเนยี งอายตนบิ าต (๒) ต้ังแต่ เอกูนสต - โกฏิ จัดเปน็ นามนาม เพราะแปลออกสาเนียงอายตนิบาตได้ เช่น อาจริยาน สต (อ. ร้อยแห่งอาจารย์ ท.) คาว่า สต เป็นนามนาม วางไว้หลัง อาจริยาน แปลออก สาเนียงอายตนิบาตว่า อ. (อนั วา่ ) (๓) ตั้งแต่ เอกูนวีสติ - อฏฺ นวุติ เรียกกันว่า “สังขยาฝืนลิงค์และวจนะ” กล่าวคือ จัดเป็นอิตถีลิงค์ เอกวจนะ อย่างเดียว แม้ว่านามนามที่มันขยาย จะเป็นลิงค์อ่ืน และเป็น พหุวจนะตงั้ แต่ เอกนู วีสติ - อฏฺ นวุติ ก็ตาม เช่น ตสึ าย ภกิ ฺขูน ภตฺตานิ เทติ. (อ. ทายก ย่อมถวาย ซึ่ง ภัตตาหาร ท. แก่ภิกษุ ท. ๓๐) คาว่า ตึสาย เป็นอิตถีลิงค์ เอกวจนะ อย่างเดียว แม้จะทาหน้าที่ขยาย ภกิ ฺขูน ซงึ่ เป็นนามนาม ทเ่ี ปน็ ปงุ ลงิ ค์ พหวุ จนะ (๔) การจัดปกติสังขยาเป็นสัพพนาม คุณนาม และนามนามน้ัน หมายเฉพาะศัพท์ สงั ขยาล้วนๆ แต่เม่ือประกอบเขา้ กับนามนามอืน่ ๆ ก็จดั เปน็ คณุ นามทงั้ ส้ิน (๕) เอก ศัพท์ ถ้าเป็นสัพพนาม (วิเสสนสัพพนาม) แปลว่า “คนหนึ่ง, อันหน่ึง, บางคน, บางพวก ฯลฯ” เป็นได้ท้ัง ๒ วจนะ และเป็นได้ ๓ ลิงค์ แจกตามแบบ ย ศัพท์ (วิเสสน- สัพพนาม) ท้ัง ๓ ลิงค์ ยกเว้นในอิตถีลิงค์ จตุตถีวิภัตติและฉัฏฐีวิภัตติเป็น เอกิสฺสา, สัตตมีวิภัตติ เป็น เอกิสฺส เช่น เอโก ปุคฺคโล (อ. บุคคล คนหน่ึง) เอกา อิตฺถี (อ. หญิง คนหนึ่ง) เอก กุล (อ. ตระกูล ตระกูลหนึง่ ) เอเก อาจริยา (อ. อาจารย์ ท. บางพวก/พวกหน่ึง) การจัดปกติสังขยาเป็นนามศัพท์ (นามนาม คุณนาม และสัพพนาม) ลิงค์ และวจนะ มี ประโยชน์ในการนาปกตสิ งั ขยาไปแจกดว้ ยวภิ ตั ตนิ ามให้ถกู ต้องตามความนยิ มของภาษาบาลี
๙๑ ๕.๕.๒ ปูรณสังขยา เป็นสังขยาที่ใช้สาหรับนับนามนามเป็นที่เต็ม คือ นับเป็นช้ัน ๆ หรือนับ ตามลาดบั ที่ เชน่ ป โม (ท่ีหนึ่ง) ทตุ โิ ย (ทสี่ อง) ตติโย (ท่สี าม) ฯลฯ ๕.๖ การแจกสังขยา ในประโยคหรือข้อความภาษาบาลี เมื่อตอ้ งการใชส้ ังขยา ก็ตอ้ งนาสังขยาไปแจกด้วยวิภัตตินาม เสียก่อน จึงจะใช้ได้ เพราะสังขยาก็เหมือนกับนามศัพท์ทั่ว ๆ ไป ท่ีจะต้องแจกด้วยวิภัตตินามก่อน นาไปใช้ ดังนี้ ๕.๖.๑ การแจกปกติสงั ขยา ๑) เอก ศัพท์ ใน ๓ ลิงค์ แจกได้ ดงั นี้ ชื่อวภิ ัตติ ปุงลิงค์ อิตถลี งิ ค์ นปุงสกลงิ ค์ เอกวจนะ เอกวจนะ เอกวจนะ ป. ทุ. เอโก เอกา เอก ต. เอก เอก เอก จ. เอเกน เอกาย เอเกน ปญ.ฺ เอกสฺส เอกาย เอกสฺส ฉ. เอกสมฺ า, เอกมหฺ า เอกาย เอกสฺมา, เอกมหฺ า ส. เอกสสฺ เอกาย เอกสสฺ เอกสมฺ ึ, เอกมหฺ ิ เอกาย เอกสฺมึ, เอกมฺหิ ขอ้ สังเกต: (๑) เอก ศัพท์ ถ้าใช้เป็นสังขยา เป็นได้ ๓ ลิงค์ เป็นเอกวจนะอย่างเดียว และมี ลกั ษณะการแปลงวิภตั ตเิ หมอื น ปรุ โิ ส, กญฺ า และ กลุ (๒) เอก ศพั ท์ ในนปงุ สกลิงค์ แจกเหมือนในปงุ ลงิ ค์ ยกเวน้ ปฐมาวภิ ตั ติ แจกเปน็ เอก
๙๒ ๒) ทฺวิ ศัพท์ และ อุภ ศัพท์ ใน ๓ ลงิ ค์ แจกได้ ดงั น้ี ชอ่ื วภิ ตั ติ ทวฺ ิ (๒) อภุ (๒) ปงุ ลงิ ค์ อติ ถลี ิงค์ นปุงสกลิงค์ ปงุ ลิงค์ อิตถลี ิงค์ นปุงสกลิงค์ ป. ทุ. พหุวจนะ พหวุ จนะ ต. จ. เทฺว อโุ ภ ปญ.ฺ เทวฺ อุโภ ฉ. ทฺวหี ิ อโุ ภหิ ส. ทฺวนิ นฺ อภุ ินนฺ ทฺวีหิ อุโภหิ ทวฺ ินฺน อภุ นิ นฺ ทฺวสี ุ อโุ ภสุ ขอ้ สังเกต: ทฺวิ ศพั ท์ และ อภุ ศัพทท์ ้ัง ๓ ลิงค์ มรี ูปเหมือนกนั ทัง้ หมด ๓) ติ ศพั ท์ ใน ๓ ลงิ ค์ แจกได้ ดงั น้ี ชอ่ื วภิ ตั ติ ปงุ ลิงค์ อติ ถีลงิ ค์ นปงุ สกลงิ ค์ เอกวจนะ เอกวจนะ เอกวจนะ ป. ท.ุ ตโย ตสิ โฺ ส ตีณิ ต. ตโย ติสฺโส ตีณิ จ. ตหี ิ ตีหิ ตหี ิ ปญฺ. ตณิ ฺณ, ติณณฺ นนฺ ตสิ ฺสนนฺ ติณณฺ , ติณณฺ นนฺ ฉ. ตหี ิ ตีหิ ตีหิ ส. ติณณฺ , ติณฺณนฺน ติสฺสนฺน ติณณฺ , ติณณฺ นนฺ ตสี ุ ตสี ุ ตสี ุ ข้อสังเกต: ติ ศัพท์ ในนปงุ สกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลงิ ค์ ยกเวน้ ปฐมาวิภัตติ และ ทุตยิ าวิภตั ติ แจกเป็น ตณี ิ
๙๓ ๔) จตุ ศัพท์ ใน ๓ ลิงค์ แจกได้ ดงั นี้ ชอื่ วิภตั ติ ปงุ ลิงค์ อิตถลี ิงค์ นปุงสกลงิ ค์ ป. พหุวจนะ พหวุ จนะ พหุวจนะ ท.ุ ต. จตตฺ าโร, จตุโร จตสโฺ ส จตฺตาริ จ. จตตฺ าโร, จตุโร จตสฺโส จตฺตาริ ปญฺ. จตูหิ จตหู ิ จตูหิ ฉ. จตุนฺน จตสฺสนนฺ จตุนนฺ ส จตหู ิ จตหู ิ จตูหิ จตนุ นฺ จตสฺสนนฺ จตนุ นฺ จตสู ุ จตูสุ จตูสุ ข้อสังเกต: จตุ ศัพท์ ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวิภัตติและทุติยา วภิ ตั ติ เปน็ จตตฺ าริ ๕) ปญฺจ ศัพท์ ใน ๓ ลงิ ค์ แจกได้ ดงั น้ี ชื่อวภิ ตั ติ ปงุ ลิงค์ อติ ถีลิงค์ นปุงสกลิงค์ ป. พหุวจนะ ท.ุ ต. ปญฺจ จ. ปญฺจ ปญ.ฺ ปญฺจหิ ฉ. ปญจฺ นนฺ ส. ปญจฺ หิ ปญฺจนนฺ ปญจฺ สุ ข้อสงั เกต: (๑) ปญฺจ ศัพท์ ทัง้ ๓ ลงิ ค์ มีรปู เหมือนกันหมด (๒) ต้งั แต่ ฉ - อฏฺ ารส เปน็ ได้ ๓ ลิงค์ พหุวจนะอยา่ งเดียว และแจกตามแบบ ปญฺจ
๙๔ ๖) เอกนู วีส ศัพท์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกได้ ดงั น้ี ชอ่ื วิภัตติ อติ ถีลิงค์ ป. พหุวจนะ ทุ. ต. เอกนู วีส จ. เอกูนวีส ปญ.ฺ เอกนู วสี าย ฉ. เอกูนวีสาย ส. เอกูนวสี าย เอกนู วีสาย เอกูนวีสาย ขอ้ ควรจา: ศพั ท์ปกติสงั ขยา ตง้ั แต่ เอกูนวีส, เอกูนวีสติ - อฏฺ นวุติ เป็นอติ ถีลิงค์เอกวจนะอย่าง เดียว มีวิธแี จก ดงั น้ี (๑) ศัพท์ท่ีลงท้ายด้วย วีส, ตึส, จตฺตาลีส, ปณฺณาส, ปญฺ าส ให้แจกเหมือนกับ เอกูนวสี (๒) ศัพท์ที่ลงท้ายด้วย วีสติ, ตึสติ, สตฺตติ, อสีติ, นวุติ ให้แจกเหมือนกับ รตฺติ (เฉพาะฝา่ ยเอกวจนะ) (๓) ศัพท์ที่ลงท้ายด้วย โกฏิ ให้แจกเหมอื นกับ รตฺติ (ทงั้ ฝ่ายเอกวจนะและพหุวจนะ) (๔) ศัพท์ทล่ี งท้ายดว้ ย สฏฺ ฐี ใหแ้ จกเหมือนกบั นารี (เฉพาะฝ่ายเอกวจนะ) ส่วนศัพท์ปกติสังขยาที่ลงท้ายด้วย สต และ สหสฺส ตั้งแต่ เอกูนสต (๙๙) - ทสสตสหสสฺ (๑,๐๐๐,๐๐๐) มีวิธีใช้ ดังน้ี (๑) ถ้าใช้เป็นนามนาม (แปลออกสาเนียงอายตนิบาตได้) เป็นนปุงสกลิงค์ และเป็นได้ ทั้งเอกวจนะและพหุวจนะ เชน่ ภิกฺขนู สหสสฺ (อ. พัน แห่ง ภิกษุ ท.) ใหแ้ จกเหมอื นกับ กลุ (ตระกูล) (๒) แต่ถ้าใช้เป็นคุณนาม (แปลไม่ออกสาเนียงอายตนิบาต) เป็นได้ท้ัง ๓ ลิงค์ ตาม นามนามที่มันไปขยาย และมีวจนะและวิภัตติ เหมือนกับนามนามที่มันไปขยายนั้นด้วย ในปุงลิงค์แจก ตามแบบ ปุริส เช่น สหสฺสา ปุริสา (อ. บุรุษ ท.มี ๑,๐๐๐ เป็นประมาณ) ในอิตถลี ิงค์ แจกตามแบบ กญฺ า เช่น ทฺวิสหสสฺ า กญฺ า (อ. นางสาวน้อย ท.มี ๒,๐๐๐ เป็นประมาณ) และในนปุงสกลิงค์ แจกตาม แบบ กลุ เช่น ปญจฺ สตานิ กลุ านิ (อ. ตระกูล ท.มี ๕๐๐ เป็นประมาณ)
๙๕ ๕.๖.๒ การแจกปูรณสงั ขยา ปรู ณสงั ขยาใน ๓ ลิงค์ มีวธิ ีแจก ดงั น้ี ปุงลงิ ค์ อติ ถลี งิ ค์ นปุงสกลิงค์ คาแปล ป โม ป มา ปม ท่ี ๑ ทตุ โิ ย ทตุ ยิ า ทุติย ท่ี ๒ ตตโิ ย ตตยิ า ตตยิ ท่ี ๓ จตุตฺโถ จตุตฺถา, จตุตฺถี จตุตฺถ ท่ี ๔ ปญจฺ โม ปญฺจมา, ปญฺจมี ปญจฺ ม ท่ี ๕ ฉฏฺ โ ฉฏฺ า, ฉฏฺฐี ฉฏฺ ที่ ๖ สตตฺ โม สตฺตมา, สตตฺ มี สตฺตม อฏฺ โม อฏฺ มา, อฏฺ มี อฏฺ ม ท่ี ๗ นวโม นวมา, นวมี นวม ท่ี ๘ ทสโม ทสมา, ทสมี ทสม เอกาทสโม เอกาทสมา, เอกาทสี เอกาทสม ที่ ๙ ทวฺ าทสโม, พารสโม ทวฺ าทสี, พารสี ทวฺ าทสม, พารสม ที่ ๑๐ เตรสโม เตรสี เตรสม ที่ ๑๑ จตุททฺ สโม จตทุ ทฺ สมา, จตทุ ทฺ สี จตทุ ฺทสม ที่ ๑๒ ปณฺณรสโม ปณฺณรสมา, ปณณฺ รสี ปณฺณรสม ที่ ๑๓ โสฬสโม โสฬสี โสฬสม ท่ี ๑๔ สตตฺ รสโม สตฺตรสี สตตฺ รสม ที่ ๑๕ อฏฺ ารสโม อฏฺ ารสี อฏฺ ารสม ที่ ๑๖ เอกนู วสี ตโิ ม เอกนู วสี ติมา เอกูนวสี ตมิ ที่ ๑๗ วสี ติโม วีสตมิ า วีสติม ที่ ๑๘ ท่ี ๑๙ ท่ี ๒๐ ขอ้ ควรจา: (๑) ปรู ณสงั ขยา ลงปจั จยั ในปรู ณตัทธิต ๕ ตวั คือ ติย, ถ, , ม, อี โดยการเติม ทา้ ยปกตสิ งั ขยาและสาเร็จรปู เปน็ ปรู ณสงั ขยา ดังแสดงในตารางข้างบนนี้ (๒) ปูรณสังขยาท้ังหมด จัดเป็นคณุ นาม (๓) ปูรณสังขยา เม่ือใช้ขยายนามนามใด ก็ต้องมีลิงค์ วจนะ และวิภัตตเิ หมือนกบั นามนามนน้ั และให้วางไวห้ น้านามนามท่ีมนั ขยายนั้น (๔) ปรู ณสังขยา นยิ มใช้เปน็ เอกวจนะอย่างเดยี ว (๕) ปูรณสงั ขยา เป็นได้ ๓ ลิงค์ ในปุงลิงค์ ถา้ เปน็ อ การนั ต์ เช่น ป ม, ป ฺจม, สตตฺ ม ฯลฯ ใหแ้ จกตามแบบ ปรุ ิส (ฝ่ายเอกวจนะ)
๙๖ ในอิตถีลิงค์ เป็น อา การันต์ เช่น ป มา ทุติยา ตติยา ฯลฯ ให้แจกตามแบบ ก ฺ า (ฝ่ายเอกวจนะ) แต่ถ้าเป็น อี การันต์ เช่น จตุตฺถี ปญฺจมี ฉฏฺ ฯลฯ ให้แจกตามแบบ นารี (ฝ่ายเอก วจนะ) ส่วนในนปุงสกลิงค์ เป็น อ การันต์ เช่น ป ม ทุติย ตติย ฯลฯ ให้แจกตามแบบ กุล (ฝา่ ยเอกวจนะ) ๕.๗ สรปุ ท้ายบท คุณนาม หมายถึง นามท่ีใช้ขยายนามนาม เพื่อให้รู้ว่านามนามนั้น มีลักษณะ มีคุณภาพ หรือมี ปริมาณอยา่ งไร ฯลฯ คุณนามน้ี เมื่อจะนาไปพูดหรือเขียน ตอ้ งประกอบด้วยลิงค์ วจนะ และวิภัตติก่อน โดย จัดแบ่งออกเป็น ๓ ขั้น คือ คุณนามขั้นปกติ (= ข้ันธรรมดา) คุณนามขั้นวิเศษ (= ข้ันกว่า) และ คณุ นามขนั้ อติวิเศษ (= ขนั้ สุด) และเป็นได้ ๓ ลิงค์ กลา่ วคอื ใชข้ ยายนามนามท่เี ป็นลงิ ค์ใด กเ็ ปน็ ลิงคน์ นั้
๙๗ แบบฝึกหัดทา้ ยบทที่ ๕ แบบฝกึ หัดที่ ๕.๑ ใหเ้ ลือกคาตอบทีถ่ กู ท่ีสุดเพียงข้อเดียว ๑. ข้อใดเป็นความหมายของคณุ นาม ก. นามท่เี ปน็ ชือ่ ของคน สตั ว์ สถานที่ และสิง่ ของ ข. นามทแี่ สดงลักษณะของนามนามเพื่อให้รวู้ า่ นามนามน้ันดีหรือชัว่ เปน็ ต้น ค. นามที่ใชแ้ ทนนามนามท่ีออกชื่อมาแล้วขา้ งตน้ เพื่อมใิ ห้กล่าวซ้าซาก ง. เสียงพูดหรือสาเนียงท่ีเป็นช่ือใช้เรียกส่ิงต่างๆ ทั้งคน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ ลักษณะ และสภาพทง้ั ปวง ๒. คุณนามแบง่ ออกเป็นกี่ข้ัน ข. ๓ ข้ัน ก. ๒ ขัน้ ง. ๕ ข้นั ค. ๔ ขนั้ ๓. คุณนามเป็นได้ก่ีลิงค์ ข. ๒ ลงิ ค์ ก. ลิงคเ์ ดียว ง. ถูกต้องทกุ ข้อ ค. ๓ ลงิ ค์ ๔. ข้อใดกล่าวถงึ ปกตสิ ังขยาไม่ถกู ต้อง ก. ปกตสิ ังขยา ต้ังแต่ เอก ถึง จตุ จดั เป็นสัพพนาม ข. ปกตสิ ังขยา ต้งั แต่ ปญฺจ – อฏฺ นวุติ จดั เป็นคุณนาม ค. ปกติสังขยา ตัง้ แต่ เอกูนสต – โกฏิ จดั เป็นนามนาม ง. ปกติสงั ขยา ตงั้ แต่ เอก – อฏฺ ารส จัดเป็นทวลิ ิงค์ ๕. ข้อใดกลา่ วถงึ ปกติสงั ขยาได้ถูกต้อง ก. ปกตสิ ังขยา ต้ังแต่ เอกนู วีสติ – อฏฺ นวุติ เปน็ ปุงลงิ ค์ ข. ปกติสงั ขยา ต้ังแต่ เอกูนสต – ทสสตสหสสฺ เปน็ อิตถลี ิงค์ ค. ปกตสิ ังขยา คือ โกฏิ เป็นอติ ถีลงิ ค์ ง. ปกติสังขยา คือ เอก เปน็ เอกวจนะอย่างเดยี ว ๖. ปกติสงั ขยา ต้ังแต่ เอกูนวสี ติ - อฏฺ นวตุ ิ เป็นวจนะอะไร ก. เอกวจนะ ข. พหุวจนะ ค. เอกวจนะและพหุวจนะ ง. ถกู ต้องทุกข้อ
๙๘ ๗. ปกตสิ ังขยาในข้อใด จัดเป็นคณุ นาม ข. อาจรยิ าน สต ก. สตฺต อาจริยา ง. ถูกทั้งข้อ ก. และ ค. ค. ตึสาย ภกิ ขฺ ูน ๘. ทตุ ิยาวภิ ตั ติของ เอก ศัพท์ ในปงุ ลงิ ค์ ไดแ้ ก่ขอ้ ใด ก. เอกสฺส ข. เอก ค. เอกสมฺ ึ ง. เอเกน ๙. ฉัฏฐวี ิภตั ติ ของ เอก ศพั ท์ ในนปงุ สกลิงค์ ไดแ้ กข่ ้อใด ก. เอเกน ข. เอกสมฺ า ค. เอกสสฺ ง. เอกสฺมึ ๑๐. ปญั จมีวิภัตติ ของ ทวฺ ิ ศัพท์ ในอติ ถลี งิ ค์ ได้แก่ข้อใด ก. ทวฺ นิ ฺน ข. เทฺว ค. ทฺวสี ุ ง. ทฺวหี ิ ๑๑. ทุตยิ าวิภตั ติ ของ ติ ศพั ท์ ในนปงุ สกลงิ ค์ ได้แก่ข้อใด ก. ตณี ิ ข. ตโย ค. ตสิ ฺโส ง. ตหี ิ ๑๒. สัตตมวี ภิ ัตติ ของ จตุ ศัพท์ ในปุงลงิ ค์ ไดแ้ ก่ข้อใด ก. จตฺตาโร ข. จตสโฺ ส ค. จตตฺ าริ ง. จตสู ุ ๑๓. ขอ้ ใดถกู ต้อง ก. จตตฺ าริ เป็นปฐมาวิภัตติ พหุวจนะ ในนปงุ สกลงิ ค์ ข. จตสฺโส เป็นปฐมาวภิ ตั ติ พหวุ จนะ ในอิตถีลงิ ค์ ค. จตฺตาโร เป็นปฐมาวิภตั ติ พหุวจนะ ในปุงค์ลิงค์ ง. ถกู ต้องทกุ ข้อ ๑๔. จตตุ ถวี ิภตั ติ ของ ฉ ศัพท์ ในปงุ ลงิ ค์ ได้แก่ขอ้ ใด ข. ฉหิ ก. ฉ ง. ฉสุ ค. ฉนนฺ ๑๕. ตตยิ าวภิ ตั ติ ของ เอกนู วีส ศัพทใ์ นอติ ถีลิงค์ ไดแ้ ก่ข้อใด ก. เอกูนวโี ส ข. เอกนู วีส ค. เอกนู วีเสน ง. เอกูนวสี าย
๙๙ ๑๖. ข้อใดไมถ่ ูกต้อง ก. วสี , ตสึ , จตตฺ าฬีส, ปณณฺ าส และ ป ฺ าส แจกเหมือน เอกูนวีส ข. วีสติ, ตสึ ต,ิ สตฺตติ, อสีติ, และ นวุติ แจกเหมือน รตฺติ เฉพาะฝา่ ยเอกวจนะ ค. โกฏิ แจกเหมือน รตฺติ ทั้งฝา่ ยเอกวจนะและพหุวจนะ ง. สฏฺฐี แจกเหมือน เสฏฺฐี เฉพาะฝา่ ยเอกวจนะ ๑๗. ปกตสิ งั ขยาทล่ี งท้ายด้วย สต และ สหสฺส มเี ง่ือนไขการใชต้ ามข้อใดไมถ่ ูกต้อง ก. ถา้ ใช้เปน็ คุณนาม อติ ถีลิงค์ แจกตามแบบ ก ฺ า ข. ถา้ ใชเ้ ป็นนามนาม นปุงสกลงิ ค์ แจกตามแบบ กลุ ค. ถา้ ใชเ้ ป็นคณุ นาม นปุงสกลิงค์ แจกตามแบบ กลุ ง. ถา้ ใช้เป็นนามนาม ปงุ ลิงค์ แจกตามแบบ ปรุ ิส ๑๘. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้อง ก. ปูรณสงั ขยา ตอ้ งมีลิงค์ วจนะ และวิภตั ติ เหมอื นกับนามนามที่มนั ขยาย ข. ปูรณสงั ขยา ลงปจั จยั ๕ ตวั คือ ติย, ถ, , ม, อิ ค. ปูรณสงั ขยา จัดเป็นนามนาม คุณนาม และสัพพนาม ง. ปูรณสงั ขยา เปน็ ไดท้ ั้งเอกวจนะ และพหุวจนะ ๑๙. ปูรณสังขยาในข้อใด เป็นอิตถีลิงค์ แปลว่า ท่ี ๑๐ – ที่ ๒๐ ก. ทสโม – วีสตโิ ม ข. ทสม – วสี ตมิ ค. ทสมา – วีสติมา ง. นวมี – จตุททฺ สี ๒๐. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้อง ก. ปญั จมี แจกอย่าง เสฏฺ ฐี ฝา่ ยเอกวจนะ ข. ทตุ ยิ า แจกอย่าง ก ฺ า ฝา่ ยเอกวจนะ ค. ตติย แจกอย่าง กลุ ฝ่ายเอกวจนะ ง. ป ม แจกอย่าง ปุริส ฝา่ ยเอกวจนะ
๑๐๐ แบบฝกึ หัดที่ ๕.๒ ก. ให้จบั ค่คู าทม่ี ีความหมายตรงหรอื สอดคล้องกัน ..........๑. ปณฑฺ โิ ต ปรุ ิโส ก. พวกบุรุษทโ่ี ง่ ..........๒. พาลา ปรุ สิ า ข. พวกบุคคลท่ีโง่กวา่ ..........๓. ปณฑฺ ิตตโร ปคุ ฺคโล ค. เศรษฐที ี่โง่กวา่ ..........๔. พาลิยา ปุคคฺ ลา ง. พวกนางท่อี ้วนท่ีสดุ ..........๕. อติปณฺฑติ า อิตถฺ ี จ. โคตัวท่ีผอมท่ีสุด ..........๖. อติพาโล เสฏฺฐี ฉ. บรุ ษุ ทฉี่ ลาด ..........๗. ถูลตโร กุมาโร ..........๘. กีสตรา มนสุ ฺสา ช. บคุ คลท่ฉี ลาดกวา่ ..........๙. อตวิ ยิ กลู า นารโิ ย ซ. พวกหญิงท่ีฉลาดกว่า ..........๑๐. อตวิ ิยกีโส โคโณ ฌ. เดก็ ท่ีอ้วนกวา่ ญ. พวกมนษุ ยท์ ผี่ อมกวา่
๑๐๑ แบบฝกึ หัดที่ ๕.๓ ข. ให้อา่ นขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วขีดเส้นใตค้ าคุณนามขนั้ ปกติ (ข้ันธรรมดา) โส โสตาปนฺโนปิ สมาโน เสฏฺ ฐี ธีตริ อุปฺปนฺนโสก อธิวาเสต อสกฺโกนฺโต ธีตุ สรีรกิจฺจ กาเรตฺวา โรทนฺโต สตฺถุ สนฺติก คนฺตฺวา, “กึ คหปติ ทุกฺขี ทุมฺมโน อสฺสุมุโข รุทมาโน อาคโตสีติ วุตฺเต, “ธีตา เม ภนฺเต สุมนาเทวี กาลกตาติ อาห. “อถ กสฺมา โสจสิ, นนุ สพฺเพส เอกสิก มรณนฺติ. “ชานาเมต ภนฺเต, เอวรูปา ปน เม หิโรตฺตปฺปสมฺปนฺนา ธีตา, สา มรณกาเล สตึ ปจฺจุปฏฺ าเปตุ อสกฺโกนฺตี วิปฺปลปมานา มตา: เตน เม อนปฺปก โทมนสฺส อุปฺปชฺชตีติ. “กึ ปน ตาย กถิต มหาเสฏฺ ฐีติ. “อห ต ภนฺเต ‘กึ อมฺม สุมเนติ อามนฺเตสึ, อถ ม อาห ‘กึ กนิฏฺ ภาติกาติ; ตโต ‘วิปฺปลปสิ อมฺมาติ วุตฺเต ‘น วิปฺปลปามิ กนิฏฺ ภาตกิ าติ; ‘ภายสิ อมมฺ าติ, ‘น ภายามิ กนิฏฺ ภาตกิ าติ; เอตฺตก วตฺวา กาลมกาสีติ. อถ น ภควา อาห “น หิ เต มหาเสฏฺ ฐิ ธีตา วิปปฺ ลปตีติ. “อถ กสฺมา เอวมาหาติ. “กนิฏฺ ตฺตาเยว; ธตี า หิ เต คหปติ มคฺคผเลหิ ตยา มหลฺลิกา; ตฺว หิ โสตาปนฺโน, ธีตา ปน เต สกทาคามินี; สา มคฺคผเลหิ มหลฺลิกตฺตา ต เอวมาหาติ. “เอว ภนเฺ ตต.ิ “เอว คหปตีติ.๑ ค. ให้อ่านข้อความดงั ต่อไปน้ี แล้วขดี เส้นใตค้ าศพั ทป์ กติสังขยา ปุรสิ ลงิ ฺเค ปาตภุ ูตมตฺเตเยว ต ตกฺกสิลาย เสฏฺ ฐิปุตโฺ ต อาห “สมฺม สหายก อิเม เทวฺ ทารกา ตว กุจฺฉิย วุตฺถตฺตา ม ปฏิจฺจ นิพฺพตฺตา อุภินฺนปิ โน ปุตฺตาเอว, อิเธว วสิสฺสาม, มา อุกฺกณฺ ฐีติ. “สมฺม อห เอเกน อตฺตภาเวน ป ม ปุริโส หุตฺวา ปุน อิตฺถีภาว ปตฺวา ปุน ปุริโส ชาโตติ วิปฺปการปฺปตฺโต; ป ม ม ปฏิจฺจ เทฺว ปุตฺตา นิพฺพตฺตา อิทานิ เม กุจฺฉิโต เทฺว นิกฺขนฺตา; ‘สฺวาห อเกนตฺตภาเวน วิปฺปการ ปตฺวา ปุน เคเห วสิสฺสามีติ ส ฺ มา กริ; อห มม อยฺยสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสาม; อิเม เทฺว ทารกา ตว ภารา โหนฺตุ, อิเมสุ มา ปมชฺชีติ วตฺวา ปุตฺเต ปริจุมฺพิตฺวา ปริมชฺชิตฺวา ปิตุ นิยฺยาเทตฺวา นิกฺขมิตฺวา เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิ. เถโรปิ ต ปพฺพาเชตวฺ า อุปสมฺปาเทตฺวา คณฺหิตฺวา ว จาริก ฺจรมาโน อนุกฺกเมน สาวตฺกึ อคมาสิ. ตสฺส โสเรยฺยตฺเถโรติ นาม อโหส.ิ ๒ ๑ ธ.อ. ๑/๑๔๒. ๒ ธ.อ. ๒/๑๕๖.
๑๐๒ เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี ๕ กรรมการกองตารามหามกุฏราชวทิ ยาลัย. อธบิ ายบาลไี วยากรณ์ นามและอพั ยยศพั ท.์ กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระกจั จายนะ. กจฺจายนพฺยากรณ. กรุงเทพฯ: วิริยะวฒั นาโรงพิมพ,์ ๒๕๔๐. พระพุทธปั ปยิ ะ. ปทรูปสทิ ฺธิ ฉบับวัดทา่ มะโอ จังหวดั ลาปาง. กรุงเทพฯ: เฉลิมชาญการพมิ พ,์ ๒๕๒๖. พระมหาเวทย์ วรัญญู. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์. นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๓๘. พระมหาสมใจ ป ฺ าโป. ปทรปู สทิ ธแิ ปล. กรุงเทพฯ: พิทักษ์การพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. พระสัทธรรมสิรเิ ถร. สทั ทนตี ิสุตตมาลา. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์อกั ษร, ๒๕๔๕. พระสริ มิ ังคลาจารย์. สังขยาปกาสกฎีกา ฉบบั วัดทา่ มะโอ. ลาปาง: ไมป่ รากฏโรงพมิ พ์, ๒๕๒๕. พระอัคควังสเถร. คัมภีร์สัททนตี ปิ ทมาลา. กรุงเทพฯ: พิทักษอ์ ักษร, ๒๕๔๕. มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาค นามและอัพยยศัพท์. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒. สมเดจ็ พระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศยั มูลใหญ่. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๑. สมเด็จพระวันรัต (วัดพระเชตุพนในรัชกาลที่ ๑). สังคีติยวงศ์. ฉบับพิมพ์เน่ืองในงานพระราชทาน เพลงิ ศพ พระอุบาลคี ุณปู มาจารย.์ กรงุ เทพฯ: ศวิ พร, ๒๕๒๑.
บทที่ นามศพั ท:์ สพั พนาม ๖ Noun words: Pronouns วตั ถุประสงค์ประจาบทที่ ๖ เม่ือศึกษาบทท่ี ๖ จบแล้ว นกั ศกึ ษา/ผู้ทส่ี นใจศกึ ษา สามารถ ๑. บอกความหมายของสัพพนามได้ ๒. จาแนกประเภทของสัพพนามได้ ๓. บอกลิงคข์ องสัพพนามได้ ๔. แจกสพั พนามตามประเภทของสพั พนามได้ถูกต้อง ๖.๑ ความนา นามศัพท์ที่เป็นช่ือสาหรับใช้แทนนามนามทั้งปวงที่ออกชื่อมาแล้วข้างต้น เพ่ือมิให้เป็นการกล่าว ซ้า ๆ ซาก ๆ ซ่ึงฟังไม่เพราะหู เรียกว่า “สัพพนาม” สัพพนามดังกล่าวน้ี จัดแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื ปรุ ิสสพั พนามและวเิ สสนสัพพนาม ในบทน้ี จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเก่ยี วกบั สพั พนาม จานวน ๔ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของสัพพนาม ๒) ประเภทของสัพพนาม ๓) ลิงค์ของสัพพนาม และ ๔) การแจกสพั พนาม โดยมีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ ๖.๒ ความหมายของสัพพนาม สัพพนาม หมายถึง นามท่ีใช้สาหรับแทนนามนามท่ีออกช่ือมาแล้วข้างต้น เพื่อมิให้ออกชื่อน้ันซ้า อีก เพราะการออกช่อื ซ้า ๆ ซาก ๆ ฟงั แล้วไม่เพราะหู เชน่ ต= เขา ตมุ หฺ = ท่าน อมฺห = ขา้ พเจ้า
๑๐๔ สัพพนามดังกล่าวน้ี เม่ือจะนาไปพูดหรือเขียนเป็นประโยคภาษาบาลี ต้องประกอบด้วยลิงค์ วจนะ และวภิ ัตติก่อน ๖.๓ ประเภทของสัพพนาม สพั พนามมี ๒ ประเภท ดังนี้ ๖.๓.๑ ปุริสสัพพนาม คือ สพั พนามที่ใช้แทนช่ือ คน สัตว์ สถานท่ี และส่ิงของ ท่ีออกชื่อมาแล้ว แบ่งออกเปน็ ๓ บุรุษ ดงั นี้ ๑) ประถมบรุ ษุ (บุรษุ ที่ ๑) ใช้แทนช่อื คน สตั ว์ สถานท่ี และสงิ่ ของ ทีผ่ ู้พดู กลา่ วถงึ (อยู่ นอกวงสนทนา) ในภาษาบาลใี ช้ ต ศัพท์ แปลว่า เขา (ผหู้ ญิงหรือผู้ชาย) ท่าน, เธอ, มนั ฯลฯ ๒) มัธยมบุรุษ (บุรุษท่ี ๒) ใช้แทนช่ือผู้ที่พูดกับเรา (อยู่ในวงสนทนา) ในภาษาบาลีใช้ ตุมฺห ศัพท์ แปลว่า ท่าน, คณุ , เธอ, เจา้ , เอ็ง, มึง ฯลฯ ๓) อุตตมบุรุษ (บุรุษท่ี ๓) ใช้แทนชื่อผู้พูดเอง ในภาษาบาลีใช้ อมฺห ศัพท์ แปลว่า กระผม, ดิฉัน, ข้าพเจา้ , ขา้ , กู ฯลฯ ๖.๓.๒ วิเสสนสัพพนาม คือ สัพพนามที่ใช้กาหนดหรือขยายนามนามที่ออกชื่อมาแล้วข้างต้น โดยกาหนดนามนามแน่นอนบา้ ง ไมแ่ นน่ อนบา้ ง วิเสสนสัพพนามน้ี แบ่งออกได้ ๒ ชนดิ ดังนี้ ๑) อนิยมวิเสสนสัพพนาม สัพพนามท่ีใช้ขยายนามนามโดยกาหนดไม่แน่นอน มี ๑๒ ศัพท์ ไดแ้ ก่ ๑. ย = ใด ๗. กตร = คนไหน ๒. อ ฺ = อื่น ๘. กตม = คนไหน ๓. อญฺ ตร = คนใดคนหนึ่ง ๙. เอก = คนหนึง่ , พวกหน่งึ ๔. อญฺ ตม = คนใดคนหน่ึง ๑๐. เอกจฺจ = บางคน, บางพวก ๕. ปร = อน่ื ๑๑. สพฺพ = ท้งั ปวง ๖. อปร = อ่นื อกี ๑๒. กึ = ใคร, อะไร ๒) นิยมวิเสสนสัพพนาม สัพพนามท่ีใช้ขยายนามโดยกาหนดแน่นอน มี ๔ ศัพท์ คือ ต (น้นั ), เอต (นั่น), อิม (น้)ี , อมุ (โน้น)
๑๐๕ ๖.๔ ลิงคข์ องสัพพนาม สัพพนาม เป็นได้ ๓ ลิงค์ เพราะสัพพนามเป็นศัพท์ท่ีใช้แทนนามนาม เม่ือนามนามที่ถูกแทน น้นั เป็นลิงค์ใด สพั พนามก็ต้องเป็นลิงคน์ ั้นตาม คือ ถ้านามนามเป็นปุงลิงค์ สัพพนามที่ใชแ้ ทนก็ต้องเป็น ปุงลิงค์ นามนามเป็นอิตถีลิงค์ สัพพนามท่ีใช้แทนก็ต้องเป็นอิตถีลิงค์ และถ้านามนามเป็นนปุงสกลิงค์ สพั พนามทีใ่ ช้แทนก็ตอ้ งเป็นนปุงสกลิงค์ เชน่ ต (เขา, มนั ) ใชใ้ นกรณี ดังนี้ - กรณใี ชแ้ ทน ปุคฺคโล (บคุ คล) ซ่ึงเป็นปุงลงิ ค์ ก็ต้องประกอบเปน็ ปุงลิงค์ คือ โส (เขา) - กรณใี ชแ้ ทน อติ ฺถี (หญงิ ) ซ่งึ เป็นอิตถีลิงค์ ก็ตอ้ งประกอบเป็นอติ ถลี ิงค์ คือ สา (เขา) - และกรณีใชแ้ ทน นามรปู ํ (นามรูป) ซ่งึ เป็นนปงุ สกลงิ ค์ ก็ต้องเปน็ นปงุ สกลงิ ค์ คอื ต (มนั ) จากตวั อยา่ งดังกลา่ วนี้ อาจแสดงโดยใชต้ ารางประกอบเพื่อความเขา้ ใจทชี่ ดั เจน ดงั น้ี นามนาม ปุคคฺ โล (ปงุ ลิงค)์ อิตถฺ ี (อิตถลี ิงค์) นามรูป (นปุงสกลงิ ค์) สพั พนาม: ต (เขา, มนั ) โส (ปงุ ลงิ ค์) สา (อติ ถีลิงค)์ ต (นปงุ สกลิงค์) ๖.๕ การแจกสัพพนาม สัพพนาม เม่ือจะนาไปใช้ในประโยคภาษาบาลี ต้องแจกด้วยวิภัตตินามก่อน ซ่ึงต่อไปน้ีจะแสดง การแจกสพั พนามด้วยวิภตั ตนิ าม ดังนี้ ๖.๕.๑ การแจกปุริสสัพพนาม ๑) ต ศัพท์ (เขาผชู้ าย) ในปงุ ลิงค์ แจกได้ ดงั นี้ ชอื่ วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. โส เต ท.ุ ต, น เต, เน ต. เตน เตหิ จ. ตสฺส, อสฺส เตส, เตสาน, เนส, เนสาน ปญ.ฺ ตสฺมา, อสฺมา, ตมฺหา เตหิ ฉ. ตสฺส, อสฺส เตส, เตสาน, เนส, เนสาน ส. ตสมฺ ึ, อสฺมึ, ตมหฺ ิ เตสุ
๑๐๖ ๒) ต ศัพท์ (เขาผหู้ ญงิ ) ในอิตถีลิงค์ แจกได้ ดังนี ชือ่ วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. สา ตา ทุ. ต, น ตา ต. ตาย ตาหิ จ. ตสสฺ า, อสสฺ า, ตสิ ฺสา, ติสฺสาย ตาส, ตาสาน ปญ.ฺ ตาย ตาหิ ฉ. ตสฺสา, อสสฺ า, ติสสฺ า, ติสสฺ าย ตาส, ตาสาน ส. ตาย, ตสฺส, อสฺส, ติสฺส ตาสุ ข้อควรจา: ต ศัพท์ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวิภัตติฝ่ายเอกวจนะ แจก เป็น ต, พหุวจนะ แจกเปน็ ตานิ; ทุติยาวิภัตติฝา่ ยพหุวจนะ แจกเป็น ตานิ ๓) ตุมฺห ศัพท์ (ท่าน) ทัง้ ในปุงลงิ ค์และอติ ถลี งิ ค์ แจกเหมือนกนั อย่างน้ี ช่อื วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ตวฺ , ตวุ ตุมฺเห, โว ท.ุ ต, ตฺว, ตุว ตมุ เฺ ห, โว ต. ตยฺ า, ตฺวยา, เต ตมุ ฺเหห,ิ โว จ. ตยุ ฺห, ตมุ ฺห, ตว, เต ตุมฺหาก, โว ปญ.ฺ ตยา ตุมฺเหหิ ฉ. ตยุ ฺห, ตุมหฺ , ตว, เต ตุมหฺ าก, โว ส. ตยิ, ตฺวยิ ตมุ เฺ หสุ ๔) อมฺห ศพั ท์ (ข้าพเจ้า) ทง้ั ในปงุ ลงิ ค์และอิตถีลงิ ค์ แจกเหมอื นกัน ดงั น้ี ชอ่ื วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. อห มย, โน ท.ุ ม, มม อมเฺ ห, โน ต. มยา, เม อมฺเหหิ, โน จ. มยหฺ , อมฺห, มม, มม, เม อมฺหาก, อสมฺ าก, โน ปญฺ. มยา อมเฺ หหิ ฉ. มยฺห, อมหฺ , มม, มม, เ ม อมฺหาก, อสฺมาก, โน ส. มยิ อมเฺ หสุ
๑๐๗ ๖.๕.๒ การแจกวิเสสนสพั พนาม ๑) อนยิ มวเิ สสนสัพพนาม (๑) ย ศพั ท์ (ใด) ในปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดังน้ี ชื่อวภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. โย เย ทุ. ย เย ต. เยน เยหิ จ. ยสสฺ เยส, เยสาน ปญฺ. ยสมฺ า, ยมหฺ า เยหิ ฉ. ยสฺส เยส, เยสาน ส. ยสฺม,ึ ยมฺหิ เยสุ ช่อื วภิ ัตติ (๒) ย ศัพท์ (ใด) ในอิตถลี ิงค์ แจกได้ ดังน้ี พหวุ จนะ ป. เอกวจนะ ยา ท.ุ ยา ยา ต. ย ยาหิ จ. ยาย ยาส, ยาสาน ปญฺ. ยสฺสา ยาหิ ฉ. ยาย ยาส, ยาสาน ส. ยสฺสา ยาสุ ยสมฺ ข้อควรจา: ๑. ย ศัพท์ (ใด) ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวิภัตติและ ทุติยาวิภตั ติฝ่ายเอกวจนะ แจกเปน็ ย, พหวุ จนะแจกเปน็ ยานิ ๒. ศัพท์อนิยมวิเสสนสัพพนามท่ีเหลือ มี อญฺ (อื่น), อญฺ ตร (คนใดคนหนึ่ง) ฯลฯ แจกเหมอื นกับ ย ศพั ท์ทง้ั หมด ๓. เอก ศัพท์ (คนหน่ึง, พวกหน่ึง) เป็นสัพพนาม เป็นได้ทั้ง ๓ ลิงค์ ๒ วจนะ แจก เหมือน ย ศัพท์ทุกประการ ยกเว้นในอิตถีลิงค์ จตุตถีวิภัตติและ ฉัฏฐีวิภัตติฝ่ายเอกวจนะ แจกเป็น เอกิสสฺ า; สตั ตมีวภิ ัตติฝา่ ยเอกวจนะ แจกเป็น เอกิสสฺ
๑๐๘ (๓) เอก สพั พนาม ในอิตถลี ิงค์ แจกได้ ดังนี้ ชื่อวภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. เอกา เอกา ท.ุ เอก เอกา ต. เอกาย เอกาหิ จ. เอกสิ ฺสา เอกาส, เอกาสาน ปญฺ. เอกาย เอกาหิ ฉ. เอกิสสฺ า เอกาส, เอกาสาน ส. เอกสิ ฺส เอกาสุ (๔) กึ ศัพท์ (ใคร, อะไร) ในปุงลิงค์ แจกเหมือน ย ศพั ท์ ดงั นี้ ชอื่ วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. โก เก ท.ุ ก เก ต. เกน เกหิ จ. กสฺส เกส, เกสาน ปญฺ. กสฺมา, กมหฺ า เกหิ ฉ. กสฺส เกส, เกสาน ส. กสมฺ ,ึ กมฺหิ เกสุ (๕) กึ ศัพท์ (ใคร, อะไร) ในอิตถีลิงค์ แจกเหมอื น ย ศพั ท์ ดังน้ี ชือ่ วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. กา กา ทุ. ก กา ต. กาย กาหิ จ. กสสฺ า กาส, กาสาน ปญฺ. กาย กาหิ ฉ. กสสฺ า กาส, กาสาน ส. กสสฺ กาสุ
๑๐๙ ขอ้ ควรจา: (๑) กึ ศพั ท์ แปลวา่ ใคร, อะไร (๒) กึ ศัพท์ ให้แปลงเป็น ก แล้วแจกตามแบบ ย ศัพท์ทั้ง ๓ ลิงค์ ยกเว้นใน นปุงสกลิงค์ ปฐมาวิภตั ติ และทุติยาวภิ ัตติฝ่ายเอกวจนะ แจกเปน็ ก,ึ พหุวจนะแจกเปน็ กานิ (๓) กึ ศัพท์ ถ้ามี จิ ต่อท้าย แปลว่า น้อยหน่ึง, บางคน, บางตัว, บางสิง่ , อะไร ๆ เช่น โกจิ ปุริโส (อ. บุรุษ บางคน), กาจิ อิตฺถี (อ. หญิง บางคน หรือ อ. หญิง อะไร ๆ), กิ ฺจิ วตฺถุ (อ. วตั ถุ นอ้ ยหนงึ่ หรอื อ. วัตถุ บางสิ่ง) (๔) กึ ศัพท์ ถ้าเป็นพหวุ จนะ แปลว่า บางพวก, บางเหล่า เชน่ เกจิ ชนา (อ. ชน ท. บางพวก), กานจิ ิ กุลานิ (อ. ตระกูล ท. บางเหล่า) (๕) กึ ศพั ท์ ถา้ มี ย นาหนา้ มี จิ ตอ่ ท้าย และเปน็ เอกวจนะ แปลว่า คนใดคนหนง่ึ , อย่างใดอย่างหน่ึง, อันใดอันหนึ่ง เช่น โย โกจิ เทโว วา มนุสฺโส วา (อ. เทวดา หรือ หรือว่า อ. มนุษย์ คนใดคนหน่ึง), ยา กาจิ เวทนา (อ. เวทนา อย่างใดอย่างหนึ่ง), ยงฺกิญฺจิ วิตฺต (อ. ทรัพย์เคร่ืองปลื้มใจ อันใดอนั หน่ึง) (๖) กึ ศัพท์ ถ้ามี ย นาหน้า มี จิ ต่อท้าย และเป็นพหุวจนะ แปลว่า พวกใดพวก หนึง่ , เหล่าใดเหล่าหน่ึง เชน่ เย เกจิ ชน (อ. ชน ท. พวกใดพวกนงึ่ ), เย เกจิ กุสลา ธมฺมา (อ. ธรรมอัน เป็นกศุ ล ท. เหล่าใดเหลา่ หน่ึง) (๗) กึ ศัพท์ ใช้ในประโยคคาถาม แปลว่า หรือ เช่น กึ ปเนต อาวุโส ปฏิรปู ํ (ดูก่อน อาวโุ ส ก็ อ. เหตนุ ่นั เปน็ เหตุอันสมควร หรอื ? ย่อมเปน็ ) (๘) กึ ศัพท์ ใช้เป็นคาแสดงคาถามถึงเหตุ แปลว่า ทาไม เช่น กึ ปาลิต ปมชฺชสิ (ดกู ่อนปาลติ อ. ท่าน ประมาทอยู่ ทาไม ?) ๒) นิยมวิเสสนสัพพนาม (๑) ต ศพั ท์ (น้ัน) เปน็ นิยมวิเสสนสพั พนาม มีวธิ แี จกตามแบบ ต ศพั ท์ (เขาผู้ชาย, เขาผู้หญิง) ท่ีเป็นปุริสสัพพนาม ทั้ง ๓ ลิงค์ (ต ศัพท์ เป็นได้ ๒ อย่าง คือ เป็นปุริสสัพพนาม แปลว่า “เขาผู้ชาย, เขาผู้หญงิ ” และเปน็ นิยมวเิ สสนสพั พนาม แปลวา่ “นัน้ ”) (๒) เอต ศัพท์ (นน่ั ) ในปุงลิงค์ แจกได้ ดังนี้ ชอื่ วิภัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. เอโส เอเต ทุ. เอต, เอน เอเต ต. เอเตน เอเตหิ จ. เอตสฺส เอเตส, เอเตสาน ปญฺ. เอตสมฺ า, เอตมหฺ า เอเตหิ ฉ. เอตสฺส เอเตส, เอเตสาน ส. เอตสมฺ ึ, เอตมฺหิ เอเตสุ
๑๑๐ (๓) เอต ศัพท์ (นนั่ ) ในอิตถีลงิ ค์ แจกได้ ดงั นี้ ช่อื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. เอสา เอตา ท.ุ เอต, เอน เอตา ต. เอตาย เอตาหิ จ. เอตสสฺ า, เอตสิ ฺสา, เอตสิ ฺสาย เอตาส, เอตาสาน ปญ.ฺ เอตาย เอตาหิ ฉ. เอตสสฺ า, เอตสิ ฺสา, เอตสิ สฺ าย เอตาส, เอตาสาน ส. เอตสฺส, เอตสิ ฺส เอตาสุ ข้อควรจา: เอต ศัพท์ ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวิภัตติฝ่ายเอกวจนะ แจกเปน็ เอต; ปฐมาวภิ ัตติและทุติยาวภิ ัตติ ฝ่ายพหวุ จนะ แจกเปน็ เอตานิ (๔) อมิ ศพั ท์ (นี)้ ในปุงลงิ ค์ แจกได้ ดังนี้ ชื่อวภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. อย อเิ ม ท.ุ อิม อิเม ต. อิมนิ า, อเนน อเิ มหิ จ. อิมสสฺ , อสฺส อเิ มส, อิเมสาน ปญ.ฺ อมิ สฺมา, อิมมหฺ า, อสฺมา อเิ มหิ ฉ. อิมสสฺ , อสฺส อิเมส, อิเมสาน ส. อิมสฺม,ึ อิมมฺหิ, อสมฺ ึ อเิ มสุ (๕) อิม ศัพท์ (น)ี้ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกได้ ดังนี้ ชอื่ วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. อย อิมา ท.ุ อิม อมิ า ต. อิมาย อิมาหิ จ. อมิ ิสฺสา, อิมิสฺสาย, อสสฺ า อิมาส, อิมาสาน ปญ.ฺ อิมาย อิมาหิ ฉ. อิมิสสฺ า, อมิ สิ สฺ าย, อสสฺ า อิมาส, อิมาสาน ส. อมิ สิ สฺ , อสฺส อมิ าสุ
๑๑๑ ข้อควรจา: อิม ศัพท์ ในนปุงสกลิงค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวิภัตติฝ่ายเอกวจนะ แจกเปน็ อทิ , ฝ่ายพหวุ จนะ แจกเปน็ อิมานิ; ทุติยาวภิ ัตติฝ่ายเอกวจนะ แจกเป็น อิท อมิ , ฝา่ ยพหวุ จนะ แจกเป็น อิมานิ (๖) อมุ ศพั ท์ (โนน้ ) ในปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดังนี้ ชอ่ื วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ อมุ ป. อมุ อมู ท.ุ อมู ต. อมนุ า อมหู ิ จ. อมุสสฺ , อมุโน อมูส, อมสู าน ปญ.ฺ อมสุ มฺ า, อมุมหฺ า อมูหิ ฉ. อมสุ ฺส, อมโุ น อมูส, อมสู าน ส. อมุสมฺ ,ึ อมมุ ฺหิ อมูสุ (๗) อมุ ศพั ท์ (โน้น) ในอิตถลี ิงค์ แจกได้ ดังน้ี ชือ่ วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ อมุ ป. อมุ อมู ทุ. อมู ต. อมยุ า อมูหิ จ. อมสุ สฺ า อมสู , อมสู าน ปญฺ. อมยุ า อมหู ิ ฉ. อมุสฺสา อมสู , อมูสาน ส. อมุสสฺ อมสู ุ ข้อควรจา: อมุ ศพั ท์ ในนปุงสกลงิ ค์ แจกเหมือนในปุงลิงค์ ยกเว้น ปฐมาวภิ ัตติและทตุ ิยาวิภัตติ ฝา่ ยเอกวจนะ แจกเป็น อท,ุ ฝ่ายพหวุ จนะ แจกเป็น อมนู ิ ๖.๖ สรปุ ท้ายบท สัพพนาม คือ นามท่ีใช้สาหรับแทนนามนามที่ออกชื่อมาแล้วข้างต้น เพื่อมิให้ออกช่ือนั้นซ้าอีก เพราะการออกชื่อซ้า ๆ ซาก ๆ ฟังแล้วไม่เพราะหู สัพพนามดังกล่าว แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑๑๒ ปุริสสัพพนาม และ วิเสสนสัพพนาม ปรุ ิสสัพพนามน้ัน แบ่งออกเปน็ ๓ บุรุษ คือ ประถมบุรุษ มัธยม- บุรุษ และอุตตมบุรุษ ส่วนวิเสสนสัพพนาม จัดแบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ อนิยมวิเสสนสัพพนาม และ นิยมวิเสสนสัพพนาม สัพพนามท้ังหลาย เป็นได้ ๓ ลิงค์ เพราะเม่ือใช้แทนนามนามท่ีเป็นลิงค์ใดก็จะ เป็นลิงค์นั้นตาม อน่ึง สัพพนามน้ีเมื่อจะนาไปใช้ในประโยคภาษาบาลี ต้องแจกด้วยวิภัตตินามก่อน เสมอ
๑๑๓ แบบฝกึ หดั ท้ายบทท่ี ๖ แบบฝึกหัดท่ี ๖.๑ ใหเ้ ลือกคาตอบที่ถกู ทีส่ ดุ เพยี งข้อเดียว ๑. สัพพนาม คอื นามตามขอ้ ใด ก. นามท่ใี ชข้ ยายนานนาม ค. นามทเี่ ป็นชอ่ื ของคน สัตว์ สถานที่ และส่ิงของ ข. นามทีใ่ ช้แทนนามนามท่อี อกชือ่ มาแลว้ ง. เสยี งพูดทเ่ี ป็นชอื่ ใช้เรียกส่งิ ตา่ ง ๆ ๒. ตมุ ฺห ศัพท์ เป็นสัพพนามชนดิ ใด ค. นยิ มวิเสสนสัพพนาม ก. ปุริสสัพพนาม ง. อนยิ มวิเสสนสพั พนาม ข. วเิ สสนสัพพนาม ๓. ข้อใดกลา่ ว ไมถ่ กู ตอ้ ง ก. ต, เอต, อิม, และ อมุ เป็นนยิ ม ข. วิเสสนสัพพนามแบง่ เป็น ๒ คือ อนิยม และนยิ ม ค. กตร, กตม, เอก, เอกจฺจ, สพฺพ, และ กึ เป็นนิยม ง. ยญฺ , อญฺ ตร, อญฺ ตม, ปร, และ อปร เป็นอนิยม ๔. อมหฺ ศัพท์ จัดเปน็ สัพพนามบุรษุ อะไร ค. อุตตมบรุ ษุ ก. ประถมบุรุษ ง. ไม่มขี อ้ ใดถูก ข. มัธยมบุรษุ ๕. ศัพท์ในข้อใดจดั เปน็ นิยมสัพพนาม ค. อมหฺ , กึ ก. ต, เอต ง. ข้อ ก. และ ข. ถกู ข. อมิ , อมุ ๖. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้อง ก. สพั พนามเป็นได้ ๓ ลงิ ค์ ข. ถา้ นามนามเป็นปุงลงิ ค์ สพั พนามท่ใี ชแ้ ทนกต็ อ้ งเปน็ ปงุ ลงิ ค์ ค. ถ้านามนามเปน็ อิตถลี งิ ค์ สัพพนามทีใ่ ช้แทนก็ตอ้ งเป็นอติ ถีลิงค์ ง. ถกู ตอ้ งทกุ ขอ้ ๗. คาวา่ “เขา, มัน” มาจากศัพท์ชนดิ ใด ค. เอต ศัพท์ ทีเ่ ปน็ นยิ มวเิ สสนสพั พนาม ก. ต ศพั ท์ ทเี่ ป็นนิยมวิเสสนสัพพนาม ง. ย ศัพท์ ทเี่ ปน็ อนยิ มวเิ สสนสพั พนาม ข. ต ศพั ท์ ทเ่ี ป็นปุรสิ สัพพนาม
๑๑๔ ๘. คาวา่ “เขาผูห้ ญิง” ตรงกับศัพท์ในข้อใด ค. ต ก. โส ง. อห ข. สา ๙. ขอ้ ใดเป็นบทแจกตติยาวภิ ตั ติฝ่ายเอกวจนะและพหุวจนะของ ต ศัพท์ในปงุ ลงิ ค์ ก. โส – เต ค. เตน – เตหิ ข. ตสสฺ – เตส ง. ต, น – เต, เน ๑๐. ในข้อใด แจก ต ศัพท์ในอติ ถีลงิ ค์ ไมถ่ ูกต้อง ก. ปฐมา = สา – ตา ค. ปญฺจมี = ตาย – ตาหิ ข. ทตุ ิยา = ต, น – ตา ง. จตตุ ถี = ตาย, ตสฺส, อสสฺ , ติสฺส – ตาสุ ๑๑. ต ศัพทใ์ นนปุงสกลิงค์ แจกเหมอื นในปุงลิงค์ ยกเวน้ ปฐมาวภิ ัตติฝา่ ยเอกวจนะแจกเป็นอะไร ก. ตานิ ค. ตา ข. ตาย ง. ต ๑๒. ข้อใดแจก ตมุ ฺห ศพั ท์ ถกู ตอ้ ง ค. สตั ตมี = ตยิ, ตฺวยิ – อมฺเหสุ ก. ปญจฺ มี = ตยา – ตมุ ฺเหหิ ง. จตตุ ถี = ตยุ หฺ , ตุมฺห, ตว, เต – อมฺหาก, โว ข. ปฐมา = ตวฺ , ตวุ – อมฺเห, โว ๑๓. คาว่า “มยา” เป็นบทแจกของ อมหฺ ศพั ทต์ ามวิภัตตแิ ละวจนะใด ก. ตตยิ าวิภตั ติ เอกวจนะ ค. สตั ตมวี ิภัตติ พหวุ จนะ ข. ปญั จมีวภิ ตั ติ เอกวจนะ ง. ขอ้ ก. และ ข. ถูก ๑๔. คาว่า “เยส” เปน็ บทแจกของ ย ศัพท์ ตามวภิ ัตตแิ ละวจนะใด ก. จตตุ ถีวิภัตติ พหุวจนะ ค. ตตยิ าวภิ ัตติ เอกวจนะ ก. ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ พหุวจนะ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก ๑๕. คาว่า “ยา” เปน็ วิภตั ตแิ ละวจนะอะไร ก. ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะ ค. ทุติยาวภิ ตั ติ พหุวจนะ ข. ปฐมาวิภัตติ พหวุ จนะ ง. ถูกต้องทกุ ขอ้ ๑๖. คาวา่ “ยานิ” เป็นลงิ ค์ วิภัตติ และวจนะอะไร ก. ปุงลิงค์ ทตุ ิยาวภิ ัตติ เอกวจนะ ค. อติ ถีลิงค์ ปฐมาวภิ ัตติ เอกวจนะ ข. นปงุ สกลงิ ค์ ปฐมาวภิ ตั ติ พหวุ จนะ ง. ทวลิ งิ ค์ ตติยาวภิ ัตติ พหวุ จนะ
๑๑๕ ๑๗. ข้อใดเปน็ บทแจกทุตยิ าวภิ ัตตใิ นอติ ถีลิงคข์ อง อญฺ ศัพท์ ก. อญฺ า - อญฺ า ค. อญฺ - อญฺ า ข. อญฺ าย - อญฺ าหิ ง. อญฺ สสฺ - อญฺ าสุ ๑๘. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ ูกต้อง ก. เอก ศัพท์ เปน็ สพั พนามและเป็นได้ทั้ง ๒ วจนะ ข. เอก ศพั ท์ เปน็ ได้ ๓ ลงิ ค์ และแจกเหมอื น ย ศพั ท์ ค. เอก ศพั ท์ ในอิตถีลงิ ค์ จตุตถวี ภิ ตั ติ เอกวจนะ เปน็ เอกสิ ฺสา ง. เอก ศัพท์ ในนปงุ สกลิงค์ สตั ตมีวภิ ตั ติ เอกวจนะ เปน็ เอกสิ ฺส ๑๙. ข้อใดแจก กึ ศพั ทใ์ นลิงค์ทั้ง ๓ ไดถ้ ูกต้อง ก. ปฐมา = โก - เก, กา - กา, กึ - กานิ ข. ทุติยา = ก - เก, ก - กา, ก - กานิ ค. ตตยิ า = เกน - เกหิ, กาย - กาหิ, เกน - เกน ง. จตุตถี = กสฺส - เกส เกสาน, กสสฺ า - กาส กาสาน, กสสฺ - เกส กาสาน ๒๐. ขอ้ ใดไมถ่ กู ต้อง ค. กิญจฺ ิ วตฺถุ = อ. วตั ถุ บางส่ิง ก. โกจิ ปุริโส = อ.บุรุษ บางคน ง. เก ชนา = อ. ชน ท. บางคน ข. กาจิ อิตถฺ ี = อ.หญงิ บางคน ๒๑. คาว่า “ยงกฺ ญิ จฺ ิ” เป็นลิงคแ์ ละวจนะอะไร ก. ปุงลงิ ค์ เอกวจนะ ค. นปงุ สกลิงค์ เอกวจนะ ข. อิตถลี ิงค์ พหวุ จนะ ง. ทวิลิงค์ พหวุ จนะ ๒๒. คาวา่ “ยา กาจิ” เปน็ ลิงค์ วภิ ตั ติและวจนะอะไร ก. อิตถีลิงค์ ปฐมาวภิ ตั ติ เอกวจนะ ค. อิตถีลิงค์ ทุติยาวิภัตติ พหุวจนะ ข. อิตถีลิงค์ ปฐมาวภิ ตั ติ พหุวจนะ ง. ถกู ต้องทุกข้อ ๒๓. คาวา่ “อย” เปน็ บทแจกของศพั ท์ใด ค. อิม ศัพท์ ก. ต ศัพท์ ง. อมุ ศพั ท์ ข. เอต ศพั ท์ ๒๔. คาวา่ “เอต” เป็นลงิ ค์ วิภัตติ และวจนะอะไร ก. เป็นปงุ ลงิ ค์ ทุติยาวิภัตติ เอกวจนะ ค. เป็นนปงุ สกลิงค์ ปฐมาวภิ ตั ติ เอกวจนะ ข. เป็นอิตถีลิงค์ ทุติยาวภิ ัตติ เอกวจนะ ง. ถูกตอ้ งทกุ ข้อ
๑๑๖ ๒๕. คาวา่ “เอเตส” เปน็ ลิงค์ วภิ ัตตแิ ละวจนะอะไร ก. เป็นปุงลิงค์ จตตุ ถวี ภิ ัตติ พหวุ จนะ ค. เปน็ อติ ถีลิงค์ จตตุ ถีวิภัตติ พหวุ จนะ ข. เปน็ ปุงลงิ ค์ ฉฏั ฐวี ภิ ัตติ พหวุ จนะ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก ๒๖. ข้อใดแจก “เอต” ศัพทใ์ นอิตถลี งิ คไ์ มถ่ กู ตอ้ ง ก. ปฐมา = เอสา – เอตา ค. ปญั จมี = เอตาย – เอตาหิ ข. ทตุ ิยา = เอต, เอน – เอตา ง. สตั ตมี = เอตสฺส, เอตาส – เอตาสุ ๒๗. คาว่า “เอตานิ” เป็นลิงค์ วภิ ตั ตแิ ละวจนะอะไร ก. ปุงลงิ ค์ ปฐมาวภิ ัตติ เอกวจนะ ค. นปุงสกลิงค์ ทตุ ยิ าวิภตั ติ เอกวจนะ ข. อิตถลี ิงค์ ทตุ ิยาวิภตั ติ พหุวจนะ ง. นปุงสกลงิ ค์ ปฐมาวิภตั ติ พหุวจนะ ๒๘. คาวา่ “อมิ สสฺ -อเิ มห”ิ เป็นวิภตั ติอะไร ค. ฉฏั ฐีวิภัตติ – ปญั จมีวภิ ตั ติ ก. ฉัฏฐวี ิภัตติ – ตติยาวิภัตติ ง. ถูกตอ้ งทุกข้อ ข. จตตุ ถวี ิภัตติ – ตติยาวภิ ตั ติ ๒๙. ข้อใดเป็นบทแจกในนปงุ สกลงิ ค์ ทตุ ิยาวิภตั ติ พหุวจนะ ของ อิม ศัพท์ ก. อิมานิ ค. อิม ข. อิท ง. อเิ ม ๓๐. คาว่า “อมูนิ” เป็นลิงค์ วภิ ัตติ และวจนะอะไร ก. ปงุ ลิงค์ ปฐมาวภิ ัตติ เอกวจนะ ค. นปุงสกลิงค์ ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะ ข. อติ ถีลงิ ค์ ทุติยาวภิ ัตติ พหวุ จนะ ง. นปุงสกลิงค์ ปฐมาวภิ ตั ติ พหุวจนะ
๑๑๗ แบบฝึกหัดท่ี ๖.๒ ก. ใหอ้ า่ นข้อความต่อไปน้ี แลว้ ขีดเสน้ ใต้คาศัพทท์ เี่ ปน็ นยิ มวเิ สสนสัพพนาม พุทฺธานญฺจ นาม เทฺว วาเร โลกโวโลกน อวิชหิต โหติ: ปจฺจูสกาเล โลก โวโลเกนฺตา จกฺกวาฬมุขวฏฺ ฏิโต ปฏฺ าย คนฺธกุฏิอภิมุข าณ กตฺวา โอโลเกนฺติ, สาย โอโลเกนฺตา คนฺธกุฏิโต ปฏฺ าย พาหิราภมิ ุข าณ กตฺวา โอโลเกนฺต.ิ ตสฺมึ ปน สมเย ภควโต าณชาลสสฺ อนโฺ ต ปูตคิ ตตฺ ตสิ สฺ ตฺ- เถโร ปญฺ ายิ. สตฺถา ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสย ทิสฺวา “อย สทฺธิวิหาริกาทีหิ ฉฑฺฑิโต, อิทานิสฺส ม เปตฺวา อญฺ ปฏิสรณ นตฺถีติ คนฺธกุฏิโต นิกฺขมิตฺวา วิหารจาริก จรมาโน วิย อคฺคิสาล คนฺตฺวา อุกฺขลึ โธวิตฺวา อุทก ทตฺวา อุทฺธน อาโรเปตฺวา อุทกสฺส ตตฺตภาว อาคมยมาโน อคฺคิสาลายเมว อฏฺ าสิ; ตตฺตภาว ชานติ ฺวา คนตฺ ฺวา ตสิ สฺ ภกิ ขฺ โุ น นิปนนฺ มญจฺ กโกฏยิ คณฺห.ิ ตทา ภกิ ฺขู “อเปถ ภนฺเต, มย คณฺหิสฺสามาติ มญฺจก คเหตฺวา อคฺคิสาล อานยึสุ. สตฺถา อมฺพณก อาหราเปตฺวา อุณฺโหทก อาสิญฺจิตฺวา เตหิ ภิกฺขูหิ ตสฺส ปารุปน คาหาเปตฺวา อุณฺโหทเกน มทฺทาเปตฺวา อาตเป วิสฺสชฺชาเปสิ. อถสฺส สนฺติเก ตฺวา ต สรีร อุณฺโหทเกน เตเมตฺวา ตสฺส สรีร ฆสิตฺวา นหาเปสิ. ตสฺส นหานปริโยสาเน ปารุปน สุกฺขิ. อถ น ต นิวาสาเปตฺวา นิวตฺถกาสาว อุทเกน มทฺทาเปตฺวา อาตเป วิสฺสชฺชาเปสิ. อถสฺส คตฺเต อุทเก ฉินฺนมตฺเต ต สุกฺขิ. โส เอก กาสาว นิวาเสตฺวา เอก ปารุปิตฺวา สลฺลหุกสรีโร เอกคฺคจิตโฺ ต หุตฺวา มญฺจเก นปิ ชชฺ .ิ ๑ ข. ให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วขีดเส้นใต้คาศัพท์ที่เป็นอนิยมสัพพนามหรือมีอนิยมสัพพนาม ปรากฏอยู่ มย กึ นุ กโรมาติ. เต สุวณฺณรชตมณิมยา นาวาโย มาเปตฺวา สุวณฺณรชตมณิมเย ปลฺลงฺเก ปญฺ าเปตฺวา ปญฺจวณฺณปทมุ สญฺฉนฺน อทุ ก กตฺวา “ภนเฺ ต อมฺหากปิ อนุคฺคห กโรถาติ อตฺตโน อตตฺ โน นาว อภิรุหณตฺถาย สตฺถาร ยาจึสุ. มนุสฺสา จ นาคา จ ตถาคตสฺส ปูช กโรนฺติ.“มย กึ นุ กโรมาติ ภมุ ฺมฏฺ กเทเว อาทึ กตฺวา ยาว อกนิฏฺ พรฺ หฺมโลกา สพฺพเทวตา สกฺการ กรสึ ุ. ตตฺถ นาคา โยชนกิ านิ ฉตฺตาติฉตฺตานิ อุกฺขิปึสุ. เอว เหฏฺ า นาคา ภูมิตเล มนุสฺสา รุกฺขคจฺฉปพฺพตาทีสุ ภุมฺมฏฺ กเทวตา อนฺตลิกฺเข อากาสฏฺ กเทวตาติ นาคภวน อาทึ กตฺวา จกฺกวาฬปริยนฺเตน ยาว พฺรหฺมโลกา ฉตตฺ าติฉตฺตานิ อสุ ฺสาปิตานิ อเหส ฉตฺตนฺตเรสุ ธชา, ธชนฺตเรสุ ปตากา, เตส อนตฺ รนฺตรา ปุปผฺ ทามวาส- จุณฺณธูปาทิสกฺกาโร อโหสิ. สพฺพา ลงฺการปฏิมณฺฑิตา เทวปุตฺตา ฉณเวส คเหตฺวา อุคฺโฆสยมานา อากาเส วิจรึสุ. ตโยเอว กิร สมาคมา มหนฺตา อเหสุ “ยมกปาฏิหาริยสมาคโม เทโวโรหณสมาคโม อย คงฺโคโรหณสมาคโมติ. ปรตีเร พิมฺพิสาโรปิ ลิจฺฉวีหิ กตสกฺการโต ทฺวิคุณ สกฺการ สชฺเชตฺวา ภควโต ๑ ธ.อ. ๒/๑๔๖ – ๑๔๗
๑๑๘ อาคมน อุทิกฺขมาโน อฏฺ าสิ. สตฺถา คงฺคาย อุโภสุ ปสฺเสสุ ราชูน มหนฺต ปริจฺจาค โอโลเกตฺวา นาคาทนี ญจฺ อชฌฺ าสย วิทิตวฺ า เอเกกาย นาวาย ปญจฺ ปญฺจภิกขุสตปริวาร เอเกก นมิ ฺมิตพทุ ธ มาเปสิ.๒ ๒ ธ.อ. ๗/๙๒ – ๙๓
๑๑๙ เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี ๖ กรรมการกองตารามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . อธิบายบาลีไวยากรณ์ นามและอพั ยยศัพท์. กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระกจั จายนะ. กจจฺ ายนพฺยากรณ. กรุงเทพฯ: วิรยิ ะวฒั นาโรงพิมพ,์ ๒๕๔๐. พระพุทธปั ปยิ ะ. ปทรูปสทิ ธฺ ิ ฉบับวดั ทา่ มะโอ จงั หวัดลาปาง. กรุงเทพฯ: เฉลิมชาญการพิมพ,์ ๒๕๒๖. พระมหาเวทย์ วรัญญู. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์. นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๓๘. พระมหาสมใจ ป ฺ าโป. ปทรปู สทิ ธิแปล. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์การพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักด์ิ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. พระสัทธรรมสิรเิ ถร. สทั ทนตี สิ ตุ ตมาลา. กรงุ เทพฯ: พทิ ักษ์อักษร, ๒๕๔๕. พระสริ ิมังคลาจารย์. สงั ขยาปกาสกฎกี า ฉบับวดั ท่ามะโอ. ลาปาง: ไมป่ รากฏโรงพิมพ,์ ๒๕๒๕. พระอคั ควงั สเถร. คมั ภีร์สัททนตี ปิ ทมาลา. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๕. มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจวี ิภาค นามและอัพยยศัพท์. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. สมเด็จพระวันรตั (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศัยมูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑. สมเดจ็ พระวันรตั (วัดพระเชตพุ นในรัชกาลที่ ๑). สงั คีติยวงศ์ ฉบบั พิมพ์เน่ืองในงานพระราชทานเพลิง ศพ พระอุบาลีคุณปู มาจารย์. กรุงเทพฯ: ศวิ พร, ๒๕๒๑.
บทที่ อพั ยยศพั ท์ ๗ Unchangeable words วตั ถปุ ระสงคป์ ระจาบทท่ี ๗ เมอ่ื ศึกษาบทท่ี ๗ จบแล้ว นกั ศึกษา/ผู้ท่ีสนใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของอัพยยศัพทไ์ ด้ ๒. จาแนกประเภทของอัพยยศัพทไ์ ด้ ๓. บอกความหมายและหนา้ ที่ของอปุ สัคได้ ๔. ยกตวั อยา่ งคาศัพท์ที่มอี ปุ สัคนาหนา้ ได้ ๕. บอกนิบาตประเภทตา่ ง ๆ ได้ ๖. จาแนกประเภทของปจั จยั ได้ ๗. ระบุตัวปจั จัยตามประเภทของปจั จยั ได้ถูกตอ้ ง ๗.๑ ความนา ในภาษาบาลี มีศัพท์จาพวกหน่ึงที่แจกด้วยวิภัตตินามเหมือนนามนามไม่ได้ คงรูปอยู่อย่างเดิม ไม่สามารถกาหนดเป็นลิงค์ใดลิงค์หนึ่งได้ และไม่จัดเป็นวจนะใด ๆ ทั้งส้ิน เรียกว่า “อัพยยศัพท์” ซึ่ง อัพยยศัพท์ดังกล่าวน้ี จัดแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ อุปสัค นิบาต และ ปัจจัย ดังน้ัน ในบทนี้ จะ นาเสนอเนื้อหาสาระสาคัญเก่ียวกบั อพั ยยศพั ท์ จานวน ๗ ประเด็น ไดแ้ ก่ ๑) ความหมายของอพั ยยศัพท์ ๒) ประเภทของอัพยยศัพท์ ๓) อุปสัค ๔) หน้าที่ของอุปสัค ๕) ตัวอย่างคาศัพท์ที่มีอุปสัคนาหน้า ๖) นิบาต และ ๗) ปจั จยั โดยมีรายละเอียด ดงั ต่อไปนี้ ๗.๒ ความหมายของอัพยยศพั ท์ อพั ยยศัพท์ แปลวา่ ไมเ่ สื่อมไปหรอื ไม่เปล่ยี นไปดว้ ยการแจกวิภตั ติ หมายถึง ศพั ทจ์ าพวกหน่ึง ทแี่ จกด้วยวิภตั ตนิ ามเหมือนนามทั้ง ๓ ไม่ได้ คงรูปอยูอ่ ย่างเดมิ ไมส่ ามารถกาหนดเป็นลิงคใ์ ดลิงค์หน่ึงได้ และไม่จัดเปน็ วจนะใด ๆ ท้ังสิ้น
๑๒๑ ๗.๓ ประเภทของอัพยยศพั ท์ อพั ยยศัพท์ ในภาษาบาลี มี ๓ ประเภท ดังนี้ ๗.๓.๑ อปุ สัค ๗.๓.๒ นิบาต ๗.๓.๓ ปจั จัย จากอัพยยศัพท์ ทั้ง ๓ ประเภทน้ี มีรายละเอียดซึ่งจะได้อธิบายในหัวข้อถัดไป ตามลาดับ ดังตอ่ ไปน้ี ๗.๔ อุปสัค อุปสัค แปลวา่ ขัดขวาง คือ เข้าไปจัดแต่ง หมายถึง ศัพท์ที่เข้าไปจัดแต่งคาอ่ืนให้มีความหมาย เพ่ิมเติมเป็นอยา่ งอ่ืนในหลายลักษณะ อุปสัคน้ีใช้นาหน้านามและกริยาให้วิเศษข้ึน เม่ือนาหน้านามจะมี ลกั ษณะคลา้ ยคณุ นาม แต่เมือ่ นาหน้ากรยิ า กจ็ ะมลี กั ษณะคลา้ ยกรยิ าวิเสสนะ มที ้ังหมด ๒๐ ตัว ดังน้ี ๑ อติ = ยิ่ง, เกนิ , ลว่ ง ๑๑ ทุ = ชัว่ , ยาก ๒ อธิ = ยง่ิ , ใหญ,่ ทบั ๑๒ นิ = เขา้ , ลง ๓ อนุ = น้อย, ภายหลงั , ตาม ๑๓ นิ = ไมม่ ,ี ออก ๔ อป = ปราศ, หลีก ๑๔ ป = ทว่ั , ขา้ งหน้า, กอ่ น, ออก ๕ อป,ิ ปิ = ใกล้, บน ๑๕ ปฏิ = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลบั ๖ อภิ = ย่ิง, ใหญ,่ จาเพาะ, ขา้ งหน้า ๑๖ ปรา = กลับความ ๗ อว, โอ = ลง ๑๗ ปริ = รอบ ๘ อา = ทั่ว, ย่งิ , กลบั ความ ๑๘ วิ = วเิ ศษ, แจ้ง, ตา่ ง ๙ อุ = ข้ึน, นอก ๑๙ ส = พรอ้ ม, กับ, ดี ๑๐ อปุ = เข้าไป, ใกล้, มัน่ ๒๐ สุ = ดี, งาม, ง่าย ๗.๕ หนา้ ท่ขี องอปุ สคั อปุ สคั ใชส้ าหรับนาหน้า นามนาม คุณนาม และ กรยิ า มีหนา้ ท่ีขัดขวางหรือทาให้เนอ้ื ความเดิม เปล่ียนแปลงไป ๓ อยา่ ง ดงั นี้ ๗.๕.๑ กลบั เน้ือความเดิมให้ตรงกนั ขา้ มเปน็ เนือ้ ความใหม่ เชน่
๑๒๒ เดิม: คจฉฺ ติ แปลวา่ ยอ่ มไป ใหม:่ อาคจฉฺ ติ แปลว่า ย่อมมา (อา อปุ สคั กบั เนื้อความเดิมคือ ย่อมไป ให้ตรงกนั ขา้ มเป็นเนื้อความใหม่ คือ ย่อมมา) เดิม: ภวติ แปลว่า ย่อมมี ยอ่ มเสือ่ ม ใหม:่ ปราภวติ แปลว่า ๗.๕.๒ คลอ้ ยตามหรือส่งเสริมเนอ้ื ความเดมิ ให้แรงขนึ้ เช่น เดิม: จรติ แปลว่า ย่อมประพฤติ ใหม:่ อาจรติ แปลวา่ ยอ่ มประพฤตทิ ัว่ (อา อุปสคั คลอ้ ยตามหรอื ส่งเสรมิ เนอ้ื ความเดิมคือ ย่อมประพฤติ ใหแ้ รงข้ึน เปน็ ย่อมประพฤติท่วั ) เดิม: กโรติ แปลว่า ย่อมกระทา ย่อมกระทาตาม ใหม:่ อนุกโรติ แปลว่า เดิม: คจฉฺ ติ แปลว่า ยอ่ มไป ใหม:่ อปุ คจฺฉติ แปลว่า ย่อมเข้าไป ๗.๕.๓ ทาเน้ือความเดิมให้กลายเปน็ อื่น เชน่ เดิม: ภวติ แปลว่า ยอ่ มมี ยอ่ มครอบงา หรือ ย่อมขม่ ข่ี ใหม:่ อภภิ วติ แปลว่า เดิม: ขมติ แปลว่า ย่อมอดทน ย่อมออก ใหม:่ นิกขฺ มติ แปลว่า ๗.๖ ตัวอย่างคาศพั ทท์ ่ีมีอุปสัคนาหน้า อปุ สคั นามนาม/คุณนาม/กริยา คาศัพท์ ความหมาย/คาแปล ดีย่งิ , ดีเกิน อติ สนุ ฺทโร (ด)ี อติสนุ ทฺ โร ยอ่ มก้าวลว่ ง สกั การะยิ่ง อติ กมติ (ย่อมก้าวไป) อตกิ ฺกมติ เปน็ ใหญย่ ่ิง, อธิบดี อธิ สกกฺ าโร (สักการะ) อธสิ กฺกาโร อธิ ปติ (เป็นใหญ่) อธิปติ
๑๒๓ อธิ เสติ (ย่อมนอน) อธิเสติ ย่อมนอนทับ อนุ นายโก (ผนู้ า, นายก) อนุนายโก ผนู้ านอ้ ย, นายกน้อย อนุ โช (เกิด) อนโุ ช ผู้เกดิ ในภายหลงั , นอ้ ง อนุ คจฺฉติ (ย่อมไป) อนคุ จฉฺ ติ ย่อมไปตาม, ย่อมไปส่ง อป เนติ (ยอ่ มนาไป) อปเนติ ยอ่ มนาปราศ, ย่อมนาออก อป คจฉฺ ติ (ย่อมไป) อปคจฉฺ ติ ย่อมไปปราศ, ย่อมหลีกไป อปิ กณโฺ ณ (ห)ู อปิกณฺโณ ใกลห้ ู อปิ กจฺโฉ (รักแร)้ อปิกจฺโฉ ใกล้รกั แร้ อปิ ธาน (วาง) อปิธาน วางข้างบน, ฝาปดิ อปิ ทหติ (ยอ่ มตง้ั , วาง) อปิทหติ ยอ่ มวางข้างบน, ย่อมปิด อภิ ปสนฺโน (เลือ่ มใสแล้ว) อภปิ สนฺโน เล่อื มใสย่งิ แลว้ อภิ ภู (เปน็ ) อภภิ ู ครอบงา, เปน็ ใหญ่ อภิ ฌา (เพ่ง) อภิฌา ความเพง่ เฉพาะ, โลภ อภิ กโม (ก้าวไป) อภกิ กฺ โม ความกา้ วไปข้างหนา้ , กา้ วหน้า อว สิโร (หวั ) อวสิโร มีหัวลง โอ ตรติ (ย่อมข้าม) โอตรติ ยอ่ มหยั่งลง, ย่อมข้ามลง อา ปรู ติ (ยอ่ มเต็ม) อาปรู ติ ยอ่ มเต็มท่ัว อา ภาติ (ย่อมสวา่ ง) อาภาติ ยอ่ มสวา่ งยง่ิ อา คจฉฺ ติ (ยอ่ มไป) อาคจฺฉติ ย่อมมา อา เนติ (ย่อมนาไป) อาเนติ ยอ่ มนามา อุ คจฺฉติ (ย่อมไป) อุคคฺ จฺฉติ ย่อมขน้ึ ไป, ย่อมสงู ขนึ้ อุ ปโถ (ทาง) อปุ ปฺ โถ นอกทาง อุ ธมโฺ ม (ธรรม) อทุ ธฺ มโฺ ม นอกธรรม อุ วินโย (วนิ ยั ) อุพฺพินโย นอกวินัย อปุ จินาติ (ยอ่ มสั่งสม, ยอ่ มก่อ) อปุ จนิ าติ ยอ่ มเข้าไปสัง่ สม, ย่อมก่อ อปุ คจฺฉติ (ยอ่ มไป) อปุ คจฉฺ ติ ยอ่ มไปใกล,้ ย่อมเขา้ ถึง อุป + อา ทยิ ติ (ยอ่ มให)้ อปุ าทิยติ ยอ่ มถือมัน่ , ย่อมยึดถือ อา ทาย (ให)้ อาทาย ถอื เอา ทุ กร (ทา) ทุกฺกร ทาชวั่ , ทายาก ทุ คนโฺ ธ (กล่ิน) ทกุ คฺ นโฺ ธ กลิ่นชั่ว, กล่นิ เหมน็ นิ คจฺฉติ (ยอ่ มไป) นคิ จฉฺ ติ ยอ่ มเข้าถงึ นิ กชุ ฌฺ ติ (ย่อมงอ) นกิ ชุ ฺฌติ ยอ่ มงอเขา้ นิ ขนติ (ยอ่ มขดุ ) นขิ นติ ยอ่ มขุดลง, ย่อมฝัง นิ ทหติ (ย่อมตง้ั ) นทิ หติ ย่อมตัง้ ลง นิ อนฺตราโย (อนั ตราย) นิรนฺตราโย ไม่มีอนั ตราย นิ กฑฒฺ ติ (ย่อมคร่า, ยอ่ มดงึ ) นกิ ฑฺฒติ ยอ่ มครา่ ออก, ย่อมดงึ ออก
๑๒๔ ป ชานาติ (ยอ่ มร)ู้ ปชานาติ ย่อมร้ทู ่วั , ย่อมรู้ชัด ป + อา เชติ (ย่อมไป) ปาเชติ ย่อมขับไป, ยอ่ มต้อนไป ภวติ (ยอ่ มมี, ย่อมเป็น) ปภวติ ย่อมเกิดก่อน ป ฆรติ (ย่อมไหล) ปคฆฺ รติ ยอ่ มไหลออก ป าติ (ยอ่ มตั้ง, ยอ่ มยืน) ปตฏิ ฺ าติ ยอ่ มต้งั เฉพาะ ปฏิ ปฏวิ จน วจน (คา) ปฏโิ สต คาตอบ ปฏิ โสต (กระแส) ปจฺจาคจฺฉติ ทวนกระแส ปฏิ คจฉฺ ติ (ยอ่ มไป) ปราชโย ยอ่ มกลับมา ปฏิ + อา ชโย (ชนะ) ปราภโว ความปราชัย ปรา ภโว (เจริญ, ม)ี ปริ ฺ า ความเส่ือม, ความฉิบหาย ปรา ปรคิ คฺ หโิ ต ความรอบรู้ ปริ า (ร)ู้ ปริทีเปติ กาหนดถือเอา, ถือเอารอบ ปริ คหโิ ต (ถือเอา) ปรวิ ตเฺ ตตฺวา ยอ่ มกาหนดแสดง ปริ ทีเปติ (ยอ่ มแสดง) ปรพิ ฺภมติ เปน็ ไปรอบ, กลบั ,แปล ปริ วตฺเตตวฺ า (เปน็ ไป) วนิ าชาติ ย่อมหมุนไปรอบ ปริ ภมติ (ยอ่ มหมุนไป) วิวิโธ ย่อมร้แู จง้ , ย่อมรู้วเิ ศษ วิ ชานาติ (ยอ่ มรู้) ส ฺจรติ มีอยา่ งต่าง ๆ วิ วโิ ธ (อย่าง) ส ฉฺ วี ยอ่ มเทีย่ วไปพร้อม ส จรติ (ยอ่ มเทีย่ วไป) สหรติ มีผวิ ดี ส ฉวี (ผิว) สงคฺ โม ย่อมนาไปพร้อม, ยอ่ มรวบรวม ส หรติ (ย่อมนาไป) สมาคโม ไปรว่ ม, อยรู่ ว่ มกัน ส คโม (ไป) สนุ กฺขตตฺ มาพร้อม, สมาคม,คบหา ส + อา คโม (ไป) สุเนตฺโต ฤกษ์ดี สุ นกฺขตตฺ (ฤกษ์) สุจรติ มตี างาม, มีตาดี สุ เนตโฺ ต (ตา) ทจุ จฺ รติ ประพฤตดิ ี สุ จรติ (ประพฤติ) ประพฤติชั่ว ทุ จริต (ประพฤติ) ข้อสังเกต: อุปสัค เม่ือลงแล้ว โดยมากคงรูปอยู่อย่างเดิม แต่มีอุปสัคบางตัวที่แปลงตัวเองเป็น อย่างอืน่ ดังนี้ อติ แปลงเปน็ อจฺจ เชน่ อจฺเจติ = ยอ่ มไปลว่ ง อธิ แปลงเป็น อชฺฌ เช่น อชฺโฌหรติ = ยอ่ มกลืนกนิ อนุ แปลง อุ ที่ นุ เป็น ว เช่น อเนฺวติ = ยอ่ มหมนุ ไปตาม อภิ แปลงเป็น อพภฺ เชน่ อพฺภคุ ฺคจฉฺ ติ = ย่อมพ่งุ ขนึ้ ปฏิ แปลงเป็น ปจจฺ เชน่ ปจเฺ จติ = ยอ่ มกลบั ถงึ ส แปลง อ ท่ี ส เปน็ พยัญชนะทสี่ ดุ วรรคทง้ั ๕ คือ ง, , ณ, น, ม เช่น สญฺจรติ = ย่อมเท่ียวไปพร้อม
๑๒๕ ๗.๗ นบิ าต นิบาต หมายถึง ศัพท์สาหรับใช้แทรกลงในประโยคคาพูด เพ่ือเชื่อมเน้ือความให้เกิดประโยค ใหม่ต่อไป นิบาตในภาษาบาลีทาหน้าท่ีคล้ายคากริยาวิเศษณ์ คาบุพพบท คาสันธาน คาแสดงคาถาม ฯลฯ ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นิบาตเม่ือใช้แทรกลงในประโยคคาพูดแล้ว จะบอกให้เราทราบ อะไร ๆ หลายอย่าง ตามประเภทของนิบาต ซงึ่ ได้จัดไวเ้ ป็นหมวด ๆ ๑๕ หมวด ดังนี้ ๗.๗.๑ นิบาตบอกอาลปนะ หมายถึง ศัพทท์ ่ีใชเ้ ป็นคาทักทายรอ้ งเรยี ก มที ้งั หมด ๑๐ ตัว ไดแ้ ก่ ๑. ยคเฺ ฆ = ขอเดชะ ๖. อาวุโส = แน่ะท่านผ้มู ีอาวโุ ส ๒. ภนฺเต = ข้าแต่ทา่ นผ้เู จริญ ๗. เร = เว้ย ๓. ภทนเฺ ต = ขา้ แตท่ า่ นผ้เู จรญิ ๘. อเร = โว้ย ๔. ภเณ = พนาย ๙. เห = เฮย้ ๕. อมโฺ ภ = ผเู้ จริญ ๑๐. เช = แม่ ๗.๗.๒ นิบาตบอกกาล หมายถงึ ศัพท์สาหรับบอกกาลเวลา มี ๙ ตวั ได้แก่ ๑. อถ = คร้ังนน้ั ๖. หิยโฺ ย = วนั วาน ๒. ปาโต = เชา้ ๗. เสฺว = วันพรุ่ง ๓. ทิวา = วัน ๘. สมปฺ ติ = เดยี๋ วน้ี ๔. สาย = เยน็ ๙. อายตึ = ต่อไป ๕. สุเว = ในวัน
๑๒๖ ๗.๗.๓ นบิ าตบอกที่ หมายถึง ศัพท์สาหรบั บอกสถานที่ต่าง ๆ มี ๑๖ ตวั ไดแ้ ก่ ๑. อุทธฺ = เบื้องบน ๙. อโธ = เบอื้ งตา่ ๒. อปุ ริ = เบ้ืองบน ๑๐. เหฏฺ า = ภายใต้ ๓. อนตฺ รา = ระหวา่ ง ๑๑. โอร = ฝงั่ ใน ๔. อนฺโต = ภายใน ๑๒. ปาร = ฝั่งนอก ๕. ติโร = ภายนอก ๑๓. หรุ = โลกอ่ืน ๖. พหิ = ภายนอก ๑๔. สมฺมุขา = ตอ่ หน้า ๗. พหทิ ธฺ า = ภายนอก ๑๕. ปรมมฺ ขุ า = ลบั หลงั ๘. พหิรา = ภายนอก ๑๖. รโห = ทีล่ ับ ๗.๗.๔ นบิ าตบอกปรเิ ฉท หมายถงึ ศัพทส์ าหรับบอกการกาหนดส่งิ ตา่ ง ๆ มี ๑๐ ตัวได้แก่ ๑. กวี = เพยี งไร ๖. ยาวตา = มีประมาณเพียงใด ๒. ยาว = เพียงใด ๗. ตาวตา = มีประมาณเพียงนัน้ ๓. ตาว = เพียงนน้ั ๘. กิตตาวตา = มปี ระมาณเทา่ ใด ๔. ยาวเทว = เพยี งใดนนั่ เทยี ว ๙. เอตฺตาวตา = มปี ระมาณเท่านั้น ๕. ตาวเทว = เพยี งนน้ั น่นั เทียว ๑๐. สมนตฺ า = รอบคอบ ๗.๗.๕ นิบาตบอกอุปมาอุปไมย หมายถงึ ศัพท์สาหรับบอกการเปรียบเทยี บเปน็ อปุ มาต่าง ๆ มี ๖ ตวั ได้แก่ ๑. วิย = ราวกะ ๔. เสยฺยถา = ฉนั ใด ๒. อวิ = เพยี งดงั ๕. ตถา = ฉนั นัน้ ๓. ยถา = เพยี งใด ๖. เอว = ฉันนน้ั
๑๒๗ ๗.๗.๖ นบิ าตบอกประการ หมายถงึ ศัพทส์ าหรับบอกเน้ือความโดยประการตา่ ง ๆ มี ๓ ตวั ไดแ้ ก่ ๑. เอว = ดว้ ยประการน้นั ๓. ยถา = ด้วยประการใด ๒. กถ = ดว้ ยประการไร ๗.๗.๗ นิบาตบอกปฏเิ สธ หมายถึง ศัพทส์ าหรบั ปฏิเสธเนื้อความ มี ๗ ตัว ไดแ้ ก่ ๑. น = ไม่ ๕. เอว = นั่นเทียว ๒. โน = ไม่ ๖. วนิ า = เวน้ ๓. มา = อยา่ ๗. อล = พอ, อยา่ เลย ๔. ว = เทียว ๗.๗.๘ นบิ าตบอกการไดย้ นิ เล่าลือ คอื ศัพทส์ าหรับบอกเน้ือความวา่ เปน็ เรือ่ งท่ีได้ยินได้ฟังมา มี ๓ ตวั ได้แก่ ๑. กริ = ได้ยินวา่ ๓. สทุ = ได้ยินว่า ๒. ขลุ = ได้ยินว่า ๗.๗.๙ นิบาตบอกปรกิ ัป หมายถงึ ศัพทส์ าหรับบอกเน้ือความเปน็ การกาหนดหรือเงื่อนไข มี ๖ ตวั ไดแ้ ก่ ๑. เจ = หากวา่ ๔. อถ = ถ้าว่า ๒. สเจ = ถา้ วา่ ๓. ยทิ = ผิวา่ ๕. อปฺเปว นาม = ชื่อแม้ไฉน ๖. ยนฺนูน = กระไรหนอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430