Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:05:57

Description: ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Search

Read the Text Version

๑๒๘ ๗.๗.๑๐ นิบาตบอกการถาม หมายถงึ ศัพทส์ าหรบั แสดงคาถาม มี ๘ ตวั ได้แก่ ๑. กึ = หรอื , อะไร ๕. นนุ = มิใชห่ รอื ๒. กถ = อย่างไร ๖. อทุ าหุ = หรอื ว่า ๓. กจฺจิ = แลหรอื ๗. อาทู = หรอื ว่า ๔. นุ = หนอ ๘. เสยยฺ ถที = อยา่ งไรนี้ ๗.๗.๑๑ นบิ าตบอกการยอมรบั หมายถึง ศัพท์สาหรบั แสดงความหมายเปน็ การยอมรับ มี ๒ ตัว ไดแ้ ก่ ๑. อาม = เออ ๒. อามนตฺ า = เออ ๗.๗.๑๒ นิบาตบอกการเตอื น หมายถึง ศัพทส์ าหรับบอกการเตือนสติ มี ๓ ตัว ไดแ้ ก่ ๑. อิงฆฺ = เชญิ เถดิ ๓. หนฺท = เอาเถดิ ๒. ตคฆฺ = เอาเถดิ ๗.๗.๑๓ นิบาตสาหรับผกู ศพั ท์และประโยค หมายถงึ นบิ าตสาหรบั ผูกขอ้ ความหรือเช่อื มประโยคใหเ้ กี่ยวเน่อื งกนั มี ๘ ตวั ไดแ้ ก่ ๑. จ = ด้วย, อนง่ึ , ก,็ จรงิ อยู่ ๕. ปน = สว่ นว่า, ก็ = แม,้ บา้ ง ๒. วา = หรือ, บา้ ง ๖. อปิ = เออก็ = อีกอย่างหน่ึง ๓. หิ = ก็, จริงอย,ู่ เพราะว่า ๗. อปิจ ๔. ตุ = ส่วนวา่ , ก็ ๘. อถวา

๑๒๙ ๗.๗.๑๔ นิบาตทาบทให้เต็ม หมายถึง ศัพทส์ าหรบั ทาคาพูดให้เตม็ หรือสละสลวย มี ๗ ตัว ได้แก่ ๑. นุ = หนอ ๕. โข = แล ๒. สุ = สิ ๖. วต = หนอ ๓. เว = เว้ย ๗. หเว = เวย้ ๔. เว = โว้ย ๗.๗.๑๕ นิบาตมีเนือ้ ความต่าง ๆ หมายถึง กลุ่มนิบาตท่ีมีเน้ือความต่าง ๆ โดยไม่ระบุไปทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ มี ๓๔ ตัว ไดแ้ ก่ ๑. อ ฺ ทตฺถุ = โดยแท้ ๑๙. อาวี = แจง้ ๒๐. อุจจฺ = สงู ๒. อโถ = อนึง่ ๒๑. อิติ = เพราะเหตนุ ้นั , ว่าดงั น้ี, ๓. อทธฺ า = แนแ่ ท้ ๒๒. กญิ ฺจาปิ ด้วยประการฉะนี้, ชื่อ ๒๓. กฺวจิ = แม้น้อยหนงึ่ , แม้โดยแท้ ๔. อวสฺส = แน่แท้ ๒๔. มจิ ฺฉา = บ้าง ๒๕. มธุ า = ผิด ๕. อโห = โอ ๒๖. มสุ า = เปลา่ ๒๗. สกึ = เทจ็ ๖. อารา = ไกล ๒๘. สตกขฺ ตตฺ ุ = คราวเดียว ๒๙. สทฺธึ = ร้อยคราว ๗. นจี = ตา่ = พรอ้ ม, กบั ๓๐. สณิก ๘. นูน = แน่ ๓๑. สย = คอ่ ย ๆ ๓๒. สห = เอง ๙. นานา = ต่าง ๆ ๓๓. สาม = กับ ๓๔. สจฉฺ ิ = เอง ๑๐. ปจฺฉา = ภายหลัง = ให้แจ้ง ๑๑. ปเคว = ก่อนเทยี ว ๑๒. ปฏฺ าย = จาเดิม ๑๓. ปฏกิ จฺเจว = กอ่ นเทียว ๑๔. ปภตู ิ = จาเดมิ ๑๕. ปุน = อกี ๑๖. ปุนปฺปุน = บ่อย ๆ ๑๗. ภิยโฺ ย = โดยย่งิ ๑๘. ภยิ โฺ ยโส = โดยยิ่ง

๑๓๐ ขอ้ ควรจา: นิบาตบางศพั ท์ใช้เปน็ คณุ นามและสัพพนาม คือ แจกด้วยวิภัตตอิ ยา่ งนามศพั ท์กไ็ ด้ เช่น กึ นจี อุจฺจ สย ฯลฯ มีวธิ ีใช้ ดังน้ี (๑) กึ แปลงเป็น ก แจกตามแบบ ย ศพั ท์ ใช้อยา่ งวิเสสนสพั พนาม แปลว่า ใคร, อะไร (๒) นีจ, อุจฺจ ลบนิคคหิตออกเป็น นีจ, อุจฺจ เป็นคุณนาม แจกตามแบบสามัญญศัพท์ทั้ง 3 ลิงค์ (๓) สย แปลงเปน็ ส หรือ สก แปลว่า ของตน เปน็ คุณนาม แจกตามแบบสามัญญศัพท์ทงั้ 3 ลงิ ค์ ๗.๘ ปัจจยั ปัจจัยในที่นี้ หมายถึง ปัจจัยนาม ซ่ึงเป็นกลุ่มคาหมู่หนึ่งมี โต ปัจจัย เป็นต้น ใช้สาหรับลง หลังนามศัพทเ์ พื่อแทนวิภัตติ และหมายถึง ปัจจัยกริยากิตก์ ท่เี ป็นอัพยยะ (ไม่เปลี่ยนรูปด้วยการแจก วิภัตติ) มี ตเว (เตฺว) ปัจจัย เป็นต้น ใช้สาหรับลงหลังธาตุเพื่อแทนวิภัตติและแสดงความเป็นปุพพ- กาลกรยิ า (กริยาทีเ่ กิดกอ่ น) แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ๔ กลุ่ม โดยมรี ายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี ๗.๘.๑ ประเภทปจั จยั นามมี ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๑) กลุ่ม โต ปัจจัย ใช้ลงท้ายนามศัพท์ แทนตติยาวิภัตติ แปลว่า “ข้าง” แทน ปญั จมีวภิ ัตติ แปลวา่ “แต่” มี ๒๑ ตวั ดังนี้ ๑. สพพฺ โต = แต่ – ทงั้ ปวง ๑๒. ปรุ โต = ขา้ งหน้า ๑๓. ปจฺฉโต = ขา้ งหลงั ๒. อญฺ โต = แต่ – อื่น ๑๔. ทกขฺ ณิ โต = ขา้ งหลัง ๑๕. วามโต = ข้างซา้ ย ๓. อญฺ ตรโต = แต่ – อนั ใดอันหน่งึ ๑๖. อตุ ตฺ รโต = ข้างเหนือ ๑๗. อโธรโต = ข้างลา่ ง ๔. อติ รโต = แต่ – นอกนี้ ๑๘. ยโต = แต่ – ใด ๑๙. อมุโต = แต่ – โน้น ๕. เอกโต = ขา้ งเดยี ว ๒๐. กตรโต = แต่ – อะไร ๒๑. กุโต = แต่ – ไหน ๖. อุภโต = สองขา้ ง ๗. ปรโต = ขา้ งอื่น ๘. ตโต = แต่ – น้นั ๙. เอโต, อโต = แต่ – นัน่ ๑๐. อิโต = แต่ – นี้ ๑๑. อปรโต = ข้างอื่นอีก

๑๓๑ ๒) กลุ่มปัจจัย ๙ ตัว คือ ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิ จฺ น, และ ว ปัจจัย ใช้ลงท้าย สพั พนามแทนสตั ตมีวิภัตติ แปลว่า “ใน” ดังน้ี ๑. สพฺพตฺร = ใน – ท้งั ปวง ๑๕. กหุ = ใน – ไหน ๒. สพฺพตถฺ = ใน – ทง้ั ปวง ๓. สพพฺ ธิ = ใน – ทั้งปวง ๑๖. ตหึ = ใน – น้ัน ๔. อ ฺ ตรฺ = ใน – อน่ื ๕. อ ฺ ตถฺ = ใน – อืน่ ๑๗. ตห = ใน – นน้ั ๖. ยตรฺ = ใน – ใด ๗. ยตฺถ = ใน – ใด ๑๘. อตรฺ = ใน – น้ี ๘. ยหึ = ใน – ใด ๙. ยห = ใน – ใด ๑๙. อตฺถ = ใน – น้ี ๑๐. ตตรฺ = ใน – นนั้ ๑๑. ตตถฺ = ใน – น้ัน ๒๐. เอกตรฺ = ใน – เดียว ๑๒. กุตรฺ = ใน – ไหน ๑๓. กตฺถ = ใน – ไหน ๒๑. เอกตถฺ = ใน – เดยี ว ๑๔. กหุ ึ = ใน – ไหน ๒๒. อภุ ยตรฺ = ใน – เดยี ว ๒๓. อภุ ยตถฺ = ใน – สอง ๒๔. เอตฺถ = ใน – นี้ ๒๕. อิธ = ใน – น้ี ๒๖. อหิ = ใน – นี้ ๒๗. กหุ ิ ฺจน = ใน – ไหน ๒๘. กวฺ = ใน – ไหน ๓) กลุ่มปัจจัย ๗ ตัว คือ ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, และ ชฺชุ ปัจจัย ใช้ลงท้าย สพั พนาม แทนสัตตมวี ิภัตติ บอกกาลเวลา แปลวา่ “ใน” เปน็ ตน้ ดงั น้ี ๑. สพพฺ ทา = ในกาลทั้งปวง ๙. เอตรหิ = ในกาลนี้ ๒. สทา = ในกาลทุกเมอ่ื ๑๐. กรหจิ = ในกาลไหนๆ, บางครัง้ ๓. เอกทา = ในกาลหนึ่ง, บางที ๑๑. อธุนา = ในกาลน,ี้ เมือ่ ก้ี ๔. ยทา = ในกาลใด ๑๒. กุทาจน = ในกาลไหน ๕. ตทา = ในกาลนน้ั , เม่อื นนั้ ๑๓. อชชฺ = ในวนั น้ี ๖. กทา = ในกาลไร, เม่อื ไร ๑๔. สชฺชุ = ในวันมีอยู่, วันน้ี ๗. กทาจิ = ในกาลไหน ๆ, บางคราว ๑๕. ปรชชฺ ุ = ในวนั อื่น ๘. อทิ านิ = ในกาลน,้ี เด๋ียวน้ี ๑๖. อปรชฺชุ = ในวนั อ่นื อีก ๗.๘.๒ ประเภทปัจจยั กริยากติ ก์ มกี ลุ่มเดียว ได้แก่ กลมุ่ ปจั จยั ๕ ตัว คอื ตเว, ตุ,ํํตนู , ตฺวา, และ ตวฺ าน ปัจจัย จดั เป็นอัพยยศัพท์ เพราะไม่เปลีย่ นรูปดว้ ยการแจกวภิ ตั ติ ตเว และ ตุ ปัจจยั ใช้ลง หลงั ธาตุ แทนจตุตถีวภิ ตั ติ แปลว่า เพ่ือ สว่ น ตนู ตฺวา และ ตฺวาน ปัจจยั ใช้ลงหลังธาตุ แสดงความ เป็นปุพพกาลกริยา (กริยาที่เกดิ ก่อน) แปลวา่ “แล้ว” ดงั นี้

๑๓๒ ๑. กาตเว = เพอ่ื อนั ทา ๔. กตฺวา = ทาแลว้ ๒. กาตุ = เพือ่ อันทา ๕. กตฺวาน = ทาแลว้ ๓. กาตนู = ทาแล้ว ข้อควรจา: ตุ ปจั จยั สามารถใชแ้ ทนปฐมาวภิ ตั ติ แปลวา่ “อันว่าอัน...” ไดด้ ้วย ๗.๙ สรปุ ท้ายบท อัพยยศัพท์ คือ ศัพท์จาพวกหน่ึงที่แจกด้วยวิภัตตินามเหมือนนามท้ัง ๓ ไม่ได้ คงรูปอยู่อย่าง เดิม ไม่สามารถกาหนดเป็นลิงค์ใดลิงค์หนึ่งได้ และไม่จัดเป็นวจนะใด ๆ ท้ังสิ้น อัพยยศัพท์นี้ จัดแบ่ง ออกเป็น ๓ ประเภท คือ อุปสัค นิบาต และปัจจยั อุปสัคนั้น ใช้สาหรบั นาหน้านามนาม คุณนาม และ กริยา มีหน้าท่ีขัดขวางหรือทาให้เน้ือความเดิมเปลี่ยนแปลงไป นิบาตใช้แทรกลงในประโยคคาพูดเพื่อ เชือ่ มเนื้อความใหเ้ กดิ ประโยคใหม่ต่อไป ส่วนปัจจัย มี ๒ ประเภท คือ ปัจจยั นาม และปัจจัยกริยากิตก์ ปัจจัยนามใช้สาหรับลงหลังนามศัพท์เพ่ือแทนตติยาวิภัตติ (แปลว่า ข้าง) ปัญจมีวิภัตติ (แปลว่า แต่) และสัตตมีวิภัตติ (แปลว่า ใน) ส่วนปัจจัยกริยากติ ก์ ใช้ลงหลังธาตุแทนจตุตถีวิภัตติ (แปลวา่ เพื่อ) และ แสดงความเปน็ บุพพกาลกริยา (แปลว่า แล้ว)

๑๓๓ แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี ๗ แบบฝกึ หัดที่ ๗.๑ ให้เลอื กคาตอบทถ่ี กู ท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดยี ว ๑. ทาไมศัพทป์ ระเภทหน่ึง จงึ เรยี กว่า “อพั ยยศพั ท์” ก. เพราะแจกด้วยวภิ ัตตินามเหมือนนามนามไมไ่ ด้ ข. เพราะเปน็ ศัพท์ท่คี งรปู อยู่อย่างเดิมโดยไม่เปล่ียนแปลง ค. เพราะเปน็ ศัพท์ท่ีไม่จดั เป็นลงิ คห์ รอื วจนะใด ๆ ทั้งสิน้ ง. ถกู ต้องทกุ ข้อ ๒. ศัพทท์ ่ใี ช้สาหรบั แทรกลงในประโยคคาพูดเพ่อื เชื่อมเนื้อความใหเ้ กดิ ประโยคใหม่เรยี กวา่ อะไร ก. อัพยยศัพท์ ข. อปุ สคั ค. นิบาต ง. ปัจจยั ๓. ศพั ทท์ ีใ่ ชเ้ ติมหน้าคานามและกริยา เรียกวา่ อะไร ง. ปจั จยั ก. อพั ยยศัพท์ ข. อุปสคั ค. นิบาต ๔. ในขอ้ ใดมีอปุ สัคนาหน้าคา ก. อนกุ โรติ ข. อาคจฺฉติ ค. กาตเว ง. ข้อ ก. และ ข. ถกู ๕. “ภนเฺ ต, อาวโุ ส” เปน็ นบิ าตบอกอะไร ก. บอกกาล ข. บอกการยอมรับ ค. บอกอาลปนะ ง. บอกอปุ มาอปุ ไมย ๖. ขอ้ ใดเปน็ นบิ าตบอกปริกัป ค. กึ ง. อิงฆฺ ก. กริ ข. สเจ ๗. ข้อใดเปน็ นิบาตสาหรบั ผูกขอ้ ความหรือเช่อื มประโยคให้เก่ียวเนอื่ งกนั ก. ปน ข. วา ค. หิ ง. ถกู ต้องทกุ ข้อ ๘. ข้อใดเป็นนิบาตบอกอุปมาอุปไมย ค. เอว ง. อถ ก. วยิ ข. พหิ ๙. ศัพทใ์ นข้อใด เปน็ สัตตมีวิภัตติ ค. สพพฺ ทา ง. ข้อ ข. และ ค. ถกู ก. สพพฺ โต ข. สพพฺ ตฺร ๑๐. ศัพท์ในข้อใดแปลออกสาเนยี งอายตนิบาตวา่ “ข้าง” ก. เอกโต ข. ยตฺร ค. เอกทา ง. เอตรหิ

๑๓๔ ๑๑. ศพั ท์ในข้อใด แปลออกสาเนยี งอายตนิบาตว่า “แต่” ก. ตตรฺ ข. อชชฺ ค. อญฺ โต ง. กุห ๑๒. ศัพทใ์ นข้อใดบอกกาลเวลา ค. ปจฉฺ โต ง. เอกตรฺ ก. อธิ ข. อทิ านิ ๑๓. ข้อใดไม่ถูกต้อง ข. กาตุํ แปลว่า ทาแลว้ ก. กาตเว แปลวา่ เพอ่ื อันทา ง. กตวฺ า แปลวา่ ทาแล้ว ค. กาตนู แปลวา่ ทาแลว้ ๑๔. คาว่า “เอตรหิ” ลงปัจจัยอะไร ค. หิ ง. ตรหิ ก. ทานิ ข. รหิ ๑๕. คาว่า “อญฺ ตร” ลงปัจจยั อะไร ค. ร ง. ตถฺ ก. ตรฺ ข. ตรฺ

๑๓๕ แบบฝึกหดั ที่ ๗.๒ ใหจ้ ับคูค่ าทมี่ คี วามหมายเหมอื นกัน ..........๑. อติกฺกมติ ก. เป็นใหญย่ ิ่ง ..........๒. อธปิ ติ ข. ย่อมไปตาม ..........๓. อนนุ ายโก ค. ย่อมกา้ วล่วง ..........๔. อนุคจฉฺ ติ ง. มีหวั ลง ..........๕. อปคจฺฉติ จ. นายกเล็ก ..........๖. อปกิ จฺโฉ ฉ. ยอ่ มหย่ังลง ..........๗. อภิปสนฺโน ช. ย่อมไปปราศ ..........๘. อวสโิ ร ฌ. ยอ่ มเต็มท่ัว ..........๙. โอตรติ ญ. ใกล้รักแร้ ........๑๐. อาปูรติ ฎ. เล่อื มใสยง่ิ แลว้

๑๓๖ แบบฝึกหัดท่ี ๗.๓ ให้บอกอปุ สัคในคาศพั ท์ตอ่ ไปน้ี พร้อมทง้ั บอกคาแปลของอุปสคั และบอกคาแปลของคาศพั ท์ คาศพั ท์ อปุ สคั คาแปลอปุ สคั คาแปลคาศัพท์ ๑. อคุ ฺคจฺฉติ ............................. ................................. ................................... ๒. ทุกฺกร ............................. ................................. ................................... ๓. ปคฺฆรติ ............................. ................................. ................................... ๔. ปติฏฺ าติ ............................. ................................. ................................... ๕. ปจฺจาคจฺฉติ ............................. ................................. ................................... ๖. ปริคฺคหโิ ต ............................. ................................. ................................... ๗. สญจฺ รติ ............................. ................................. ................................... ๘. สงคฺ โม ............................. ................................. ................................... ๙. อจฺเจติ ............................. ................................. ................................... ๑๐. อชโฺ ฌหรติ ............................. ................................. ................................... ๑๑. อเนฺวติ ............................. ................................. ................................... ๑๒. อพภฺ ุคฺคจฉฺ ติ ............................. ................................. ................................... ๑๓. ปจฺเจติ ............................. ................................. ................................... ๑๔. อุปฺปโถ ............................. ................................. ................................... ๑๕. อวสโิ ร ............................. ................................. ...................................

๑๓๗ แบบฝกึ หดั ที่ ๗.๔ ใหแ้ ปลคาศัพท์ทลี่ งปจั จัยเพื่อแทนวภิ ตั ติต่อไปน้ี ๑. สพฺพโต แปลว่า......................................................................... ๒. ปรโต แปลวา่ ......................................................................... ๓. วามโต แปลวา่ ......................................................................... ๔. ยโต แปลวา่ ......................................................................... ๕. สพฺพธิ แปลวา่ ......................................................................... ๖. กตฺถ แปลว่า......................................................................... ๗. อธิ แปลวา่ ......................................................................... ๘. กุห แปลวา่ ......................................................................... ๙. ยทา แปลว่า......................................................................... ๑๐. อชฺช แปลว่า......................................................................... ๑๑. เอตรหิ แปลวา่ ......................................................................... ๑๒. กทา แปลว่า......................................................................... ๑๓. เอตถฺ แปลว่า......................................................................... ๑๔. ตโต แปลว่า......................................................................... ๑๕. กุโต แปลวา่ .........................................................................

๑๓๘ แบบฝกึ หัดท่ี ๗.๕ ก. ให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วขีดเสน้ ใต้คาศพั ท์ท่มี ีอุปสคั ปรากฏอยู่ เทวทตฺตสสฺ าปิ กมฺม เนว ตถา รญฺโ มาราปติ ตตฺ า, น วธกาน ปโยชิตตตฺ า, น สลิ าย ปวทิ ฺธตฺตา, ปากฏ อโหสิ; ยถา นาฬาคิริหตฺถิโน วิสฺสชฺชิตตฺตา. ตทา หิ มหาชโน “ราชาปิ เทวทตฺเตเนว มาราปิโต, วธกาปิ ปโยชิตา, สิลาปิ ปวิทฺธา; อิทานิ ปน เตน นาฬาคิริ วิสฺสชฺชาปิโต, เอวรูปํ นาม ปาปํ คเหตฺวา ราชา วิจรตีติ โกลาหลมกาสิ. ราชา มหาชนสฺส กถ สุตฺวา ปญฺจ ถาลิปากสตานิ หราเปตฺวา น ปุน ตสฺสปุ ฏฺ าน อคมาส.ิ นาคราปิสสฺ กุล อปุ คตสฺส ภกิ ฺขามตตฺ มปฺ ิ นาทส.ุ โส ปรหิ ีนลาภสกกฺ าโร โกหญฺเ น ชีวิตุกาโม สตฺถาร อุปสงกฺ มิตฺวา ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจิตฺวา ภควตา “อล เทวทตฺต, โย อิจฺฉติ, อารญฺ โก โหตูติ ปฏิกฺขิตฺโต, “กสฺสาวุโส วจน โสภณ: กึ ตถาคตสฺส อุทาหุ มม? อห หิ อุกฺกฏฺ วเสน เอว วทามิ สาธุ ภนเฺ ต ภิกฺขู ยาวชีว อรญฺ กา อสฺสุ, ปิณฺฑปาติกา, ปสํ ุกลู กิ า, รุกฺขมูลกิ า, มจฺฉมส น ขาเทยฺยนุ ฺติ, โย ทุกฺขา มุจฺจิตุกาโม, โส มยา สทฺธึ อาคจฺฉตูติ วตฺวา ปกฺกามิ. ตสฺส วจน สุตฺวา เอกจฺเจ นวปพฺพชิตา มนทฺ พทุ ฺธโิ น “กลฺยาณ เทวทตฺโต อาห, เอเตน สทธฺ ึ วจิ รสิ สฺ ามาติ เตน สทธฺ ึ เอกโต ว อเหสุ๑ ข. ให้อา่ นข้อความต่อไปนี้ แลว้ ขดี เส้นใต้คาศพั ทท์ ี่เปน็ นบิ าตหรอื มนี ิบาตปรากฏอยู่ “เทวทตฺตตฺเถโร กุหึ นิสินฺโน วา โต วาติ ปุจฺฉนฺโต นาม นตฺถิ. โส จินฺเตสิ “อห เอเตหิ สทฺธึ เยว ปพพฺ ชโิ ต, เอเตปิ ขตฺติยปพพฺ ชิตา, อหปิ ขตฺตยิ ปพฺพชิโต; ลาภสกกฺ ารหตฺถา มนสุ ฺสา เอเต ปรเิ ยสนตฺ ิ, มม นาม คเหตาปิ นตฺถิ, เกน นุ โข สทฺธึ เอกโต หุตฺวา ก ปสาเทตฺวา มม ลาภสกฺการ นิพฺพตฺเตยฺยนฺติ อถสสฺ เอตทโหสิ “อย ราชา พมิ พฺ ิสาโร ป มทสฺสเนเนว เอกาทสนหุเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺติผเล ปตฏิ ฺ โต, น สกฺกา เอเตน สทฺธึ เอกโต ภวิตุ, โกสลรญฺ าปิ สทฺธึ น สกฺกา เอกโต ภวิตุ, อย โข ปน รญฺโ ปุตฺโต อชาตสตฺตุกุมาโร กสฺสจิ คุณโทส น ชานาติ, เอเตน สทฺธึ เอกโต ภวิสฺสามีติ. โส โกสมฺพิโต ราชคห คนฺตฺวา กุมารกวณฺณ อภินิมฺมินิตฺวา จตฺตาโร อาสีวิเส จตูสุ หตฺถปาเทสุ เอก คีวาย พนฺธิตฺวา เอก สีเส จมุ ฺพฏก กตฺวา เอก เอกส กริตฺวา อิมาย อหิเมขลาย อากาสโต โอรุยฺห อชาตสตฺตุสสฺ อุจฺฉงฺเค นิสีทิตฺวา, เตน ภีเตน “โกสิ ตฺวนฺติ วุตฺเต, “อห เทวทตฺโตติ วตฺวา ตสฺส ภยวิโนทนตฺถ ต อตฺตภาว ปฏิสหริตฺวา สงฺฆาฏปิ ตฺตจีวรธโร ปุรโต ตฺวา ต ปสาเทตวฺ า ลาภสกฺการ นิพพฺ ตฺเตสิ๒ ค. ให้อา่ นข้อความตอ่ ไปนี้ แล้วขดี เสน้ ใต้คาศัพทท์ ลี่ งปจั จัยนามหรอื มีปจั จยั นามปรากฏอยู่ อตีเต กิร กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺโธ วีสติขีณาสวสหสฺสปริวาโร พาราณสึ อคมาสิ. มนุสฺสา อตฺตโน พล สลฺลกฺเขตฺวา อฏฺ ปิ ทสปิ เอกโต หุตฺวา อาคนฺตุกทานานิ อทสุ. อเถกทิวส สตฺถา ภตฺตกิจฺจาวสาเน ๑ ธ.อ.๑/๑๓๑ – ๑๓๒. ๒ ธ.อ. ๑/๑๒๙-๑๓๐.

๑๓๙ เอว อนุโมทน อกาสิ “อุปาสกา อิเธกจฺโจ ‘อตฺตโน สนฺตกเมว ทาตุ วฏฺ ฏติ, กึ ปเรน สมาทปิเตนาติ อตฺตนา ว ทาน เทติ ปร น สมาทเปติ, โส นิพฺพตฺตฏฺ าเน โภคสมฺปท ลภติ โน ปริวารสมฺปท; เอกจฺโจ ปร สมาทเปติ อตฺตนา น เทติ, โส นิพฺพตฺตฏฺ าเน ปริวารสมฺปท ลภติ โนโภคสมฺปท; เอกจฺโจ อตฺตนาปิ น เทติ ปรมฺปิ น สมาทเปติ, โส นิพฺพตฺตฏฺ าเน เนว โภคสมฺปท ลภติ โน ปริวารสมฺปท, วิฆาสาโท หุตฺวา ชีวติ; เอกจฺโจ อตฺตนา จ เทติ ปรญฺจ สมาทเปติ, โส นิพฺพตฺตฏฺ าเน โภคสมฺปทปิ ลภติ ปริวารสมฺปทมฺปีติ. ต สุตฺวา สมีเป ฐิโต เอโก ปณฺฑิตปุริโส จินฺเตสิ “อหนฺทานิ ตถา กริสฺสามิ; ยถา เม เทฺว สมปฺ ตตฺ ิโย ภวิสสฺ นฺตตี .ิ โส สตถฺ าร วนฺทิตฺวา อาห “ภนเฺ ต เสวฺ มยหฺ ภิกฺข คณฺหถาติ. “กติ ฺตเกหิ ภกิ ฺขู หิ อตฺโถติ. “กิตฺตโก ปน โว ภนฺเต ปริวาโรติ. “วีสติ ภิกฺขุสหสฺสานีติ. “ภนฺเต สพฺเพหิ สทฺธึ เสฺว มยฺห ภิกขฺ คณฺหาถาต.ิ สตฺถา อธิวาเสสิ.๓ ๓ ธ.อ. ๔/๒๑-๒๒.

๑๔๐ เอกสารอ้างองิ ประจาบทที่ ๗ กรรมการกองตารามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . อธบิ ายบาลไี วยากรณ์ นามและอัพยยศพั ท.์ กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. จตุรงั คพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภธิ านปปฺ ทปี ิกาฏกี า. กรุงเทพฯ: เทคนคิ , ๒๕๒๗. พระกัจจายนะ. กจฺจายนพยฺ ากรณ. กรุงเทพฯ: วริ ยิ ะวัฒนาโรงพิมพ์, ๒๕๔๐. พระพทุ ธัปปยิ ะ. ปทรปู สทิ ธฺ ิ ฉบบั วดั ทา่ มะโอ จงั หวดั ลาปาง. กรุงเทพฯ: เฉลิมชาญการพมิ พ,์ ๒๕๒๖. พระมหาเวทย์ วรัญญู. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์. นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๓๘. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคที่ ๒ นามและอัพยย ศพั ท์. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒. สมเดจ็ พระวนั รัต (ฑติ อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศยั มลู ใหญ.่ กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑. สมเด็จพระวนั รัต (วัดพระเชตพุ นในรชั กาลที่ ๑). สงั คตี ิยวงศ์ ฉบับพิมพเ์ นือ่ งในงานพระราชทานเพลิง ศพพระอบุ าลีคุณูปมาจารย์. กรงุ เทพฯ: ศิวพร, ๒๕๒๑.

บทท่ี กรยิ า: กรยิ าอาขยาต ๘ Verbs: Finite verbs วัตถปุ ระสงค์ประจาบทที่ ๘ เม่ือศึกษาบทที่ ๘ จบแล้ว นกั ศึกษา/ผู้ทีส่ นใจศกึ ษา สามารถ ๑. บอกความหมายของกรยิ าอาขยาตได้ ๒. วิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของกริยาอาขยาตได้ ๓. บอกความหมาย จานวนหมวด และช่ือหมวดวิภัตติอาขยาตได้ ๔. ระบตุ วั วภิ ัตติประจาหมวดต่าง ๆ ได้ถูกตอ้ ง ๕. จาแนก กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก และปจั จัยได้ถูกต้อง ๖. จาแนกชนิดของธาตุ และระบุธาตใุ นหมวดต่าง ๆ ได้ ๗. จาแนกประเภทและอธิบายวาจกตา่ ง ๆ ได้ถูกต้อง ๘. ระบุตวั ปจั จยั ในวาจกต่าง ๆ ไดถ้ ูกต้อง ๘.๑ ความนา ในภาษาบาลีมีศัพท์ที่แสดงการกระทาของนามหรือสพั พนามที่เป็นตัวกัตตาหรือผู้ทาในประโยค โดยทาหน้าท่ีให้เนื้อเรื่องในประโยคดาเนินติดต่อไปได้สะดวก เรียกว่า “กริยา” กริยาในภาษาบาลีอาจ จาแนกได้ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ กริยาอาขยาต (Finite verb) และ กริยากิตก์ (Present/Past participle) กริยาทั้ง ๒ ประเภทนี้ มีบทบาทและมีความสาคัญมากในภาษาบาลี ในบทนี้ จะนาเสนอ เนื้อหาสาระสาคัญเกี่ยวกับกริยาอาขยาตก่อน จานวน ๑๐ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของกริยา อาขยาต ๒) องค์ประกอบของกริยาอาขยาต ๓) วิภัตติ ๔) กาล ๕) บท ๖) วจนะ ๗) บุรุษ ๘) ธาตุ ๙) วาจก และ ๑๐) ปัจจัย โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้

๑๔๒ ๘.๒ ความหมายของกริยาอาขยาต คาว่า “กริยา” หมายถึง ศัพท์ท่ีแสดงการกระทาของประธานในประโยค ส่วนคาว่า “อาขยาต” มาจาก อา บทหน้า (= ทั่ว) ขฺยา ธาตุ (= กล่าว) ลง ต ปัจจัย สาเร็จรูปเป็น อาขยาต๑ แปลวา่ กล่าวทั่วไป หมายถึง ศพั ท์ท่ีบอกให้ทราบถึงกริยาอาการของนามนามหรือสัพพนามในประโยค เป็นส่วนสาคัญท่ีจะขาดมิได้ เพราะถ้าขาดแล้วก็จะไม่ทราบว่าประธานในประโยคแสดงกริยาอาการ หลัก ๆ อย่างไรบ้าง เชน่ ติฏฺ ติ (ยืน) คจฺฉติ (เดิน) นสิ ีทติ (น่งั ) สยติ (นอน) ฯลฯ ดงั น้ัน กรยิ าอาขยาต จึงหมายถึงศัพท์ท่ีเป็นกริยาแท้หรือกริยาหลักที่แสดงการกระทาของประธานในประโยค ในทาง สมั พันธ์เราเรยี กกริยาแท้หรือกรยิ าหลักที่แสดงการกระทาของประธานในประโยคว่า “กริยาคุมพากย์” (กรยิ าคมุ ประโยค) ซง่ึ แตกตา่ งจากกรยิ ากิตก์๒ ท่ีจดั เป็นกรยิ าช่วยในระหว่างประโยค ๘.๓ องคป์ ระกอบของกรยิ าอาขยาต กรยิ าอาขยาตในภาษาบาลี มีองคป์ ระกอบ ๘ ประการ๓ ดงั น้ี ๘.๓.๑ วภิ ัตติ ๘.๓.๒ กาล ๘.๓.๓ บท ๘.๓.๔ วจนะ ๘.๓.๕ บุรษุ ๘.๓.๖ ธาตุ ๘.๓.๗ วาจก ๘.๓.๘ ปจั จยั โดยแต่ละองคป์ ระกอบตงั้ แต่วภิ ัตติเป็นตน้ ไป มคี าอธบิ ายรายละเอยี ด ซ่ึงจะไดน้ าเสนอในหวั ข้อ ถัดไปตามลาดับ ดงั ต่อไปนี้ ๑ คาว่า “อาขยาต” มีวิเคราะห์ว่า (กิรยิ ) อาขฺยาตีติ อาขฺยาต (สทฺทชาต) แปลว่า อ. สัททชาตใด ยอ่ มกล่าว ซึ่งกรยิ า เพราะเหตนุ น้ั อ. สัททชาตน้นั ชอื่ วา่ อาขยาต ๒ กริยากิตก์ (Present/Past participle) คือ กริยาช่วยท่ีอยใู่ นระหว่างประโยค โดยปรากฏในข้อความตอน หน่ึง ๆ เพื่อช่วยให้ประโยคดาเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง อาจเรียกช่ืออีกอย่างหน่ึงว่า “กริยาในระหว่าง” (อัพภันตร- กริยา) เช่น คจฉฺ นฺโต (ไปอยู่) กตวฺ า (ทาแลว้ ) จนิ ฺตยมาโน (คิดอย)ู่ ฯลฯ (โปรดดูรายละเอยี ดในบทท่ี ๙) ๓ พระอคั ควังสเถร, คมั ภรี ส์ ัททนตี สิ ุตตมาลา, (กรงุ เทพฯ: พิทักษอ์ กั ษร, ๒๕๔๕), หนา้ ๘๖๑.

๑๔๓ ๘.๔ วิภตั ติ วิภัตติ แปลว่า แจก หรือ แบ่ง วิภัตติในภาษาบาลี มี ๒ ประเภท คือ วิภัตตินาม กับ วิภัตติ- อาขยาต วิภัตตินามนั้นได้กล่าวถึงแล้วโดยละเอียดในตอนท่ีอธิบายเรื่องวิภัตตินาม๔ ฉะนั้น ในท่ีน้ีจะไม่ อธิบายเรอื่ งวภิ ัตตนิ ามซ้าอกี แต่จะอธิบายเฉพาะวภิ ตั ตอิ าขยาตเท่านน้ั วิภัตติอาขยาต หมายถึง การแจกธาตุหรือมูลศัพท์ประเภทกริยาออกเป็นส่วน ๆ หรือเป็น หมวดหมู่ เพื่อบอกให้รู้ กาล, บท, วจนะ, และบุรุษ ซึ่งแตกต่างจากวิภัตตินามท่ีใช้แจก นามศัพท์ (นามนาม, คุณนาม, และสัพพนาม) เพอ่ื บอกให้รู้ ลงิ ค์, วจนะ, การันต์, และอายตนบิ าต วิภัตติอาขยาต แบ่งออกเป็น ๘ หมวด แต่ละหมวดแบ่งเป็น ๒ บท แต่ละบทแบ่งเป็น ๓ บุรุษ และแตล่ ะบุรุษแบง่ เปน็ ๒ วจนะ ดังนี้ ๘.๔.๑ วัตตมานา บุรษุ ปรัสสบท อัตตโนบท เอกวจนะ พหุวจนะ เอกวจนะ พหุวจนะ ประถมบุรุษ มัธยมบรุ ุษ ติ อนตฺ ิ เต อนเฺ ต อุตตมบรุ ุษ สิ ถ เส วฺเห มิ ม เอ มเฺ ห คาวา่ วัตตมานา แปลว่า เปน็ ไปอยู่ จัดเปน็ ปจั จบุ ันกาล กตั ตวุ าจก วภิ ัตตใิ นหมวดนี้ แปลได้ ๓ อยา่ ง ดงั น้ี ๑) ปจั จุบันแท้ แปลวา่ อย.ู่ .. ๒) ปจั จบุ ันใกล้อดตี แปลวา่ ย่อม... ๓) ปัจจบุ นั ใกล้อนาคต แปลวา่ จะ... คาแปลของวัตตมานาวภิ ัตติ อยใู่ นวงจากัดเพยี ง อย,ู่ ย่อม, จะ เท่านนั้ ผู้แปลตอ้ งเลือกใชค้ าใด คาหนง่ึ ใหส้ อดคลอ้ งกบั กาลเวลาท่กี ล่าวถึงเป็นสาคัญ ๔ โปรดดรู ายละเอยี ดเรอื่ งวภิ ตั ตนิ ามในบทที่ ๔

๑๔๔ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง ประโยค แปลโดยพยญั ชนะ  กสกา เขตตฺ กสนฺติ. อ. ชาวนา ท. ยอ่ มไถ ซึ่งนา  สิสฺโส สิปปฺ ํ สกิ ฺขติ. อ. ศษิ ย์ ศึกษาอยู่ ซึ่งศิลปะ ข้อสังเกตเกี่ยวกับวภิ ัตตบิ างตวั ในหมวดน้ี (๑) ติ ประกอบกับ อสฺ ธาตุ ในความมีความเป็น แปลงเป็น ตฺถิ เช่น อตฺถิ นตฺถิ ฯลฯ (กริยา ๒ ตัวน้ี ใช้เป็นกริยาของตัวประธานได้ท้ัง เอกวจนะ และพหุวจนะ) (๒) ถ ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลงเป็น ตถฺ เชน่ อตถฺ ฯลฯ (๓) มิ - ม ถ้าข้างหน้าเป็นรัสสะ มีอานาจให้ทีฆะได้ เช่น ลภามิ, ลภาม ฯลฯ เมื่ออยู่หลัง ทา ธาตุ มีอานาจใหเ้ ปล่ยี น อา แห่ง ทา เป็น นิคคหิต แล้วแปลง นิคคหิต เปน็ ม เช่น ทมฺมิ ทมฺม ฯลฯ แต่ ถา้ ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลง มิ เปน็ มฺหิ และแปลง ม เป็น มฺห เช่น อมฺหิ อมฺห ฯลฯ ๘.๔.๒ ปญั จมี บรุ ุษ ปรสั สบท อัตตโนบท เอกวจนะ พหุวจนะ เอกวจนะ พหวุ จนะ ประถมบรุ ุษ มัธยมบุรุษ ตุ อนฺตุ ต อนตฺ อุตตมบุรุษ หิ ถ สสฺ ุ วฺโห มิ ม เอ อามฺหเส คาว่า ปัญจมี แปลว่า เป็นที่เต็มแห่งความปรารถนา ๕ เป็นกาลที่แฝงอยู่ในระหว่าง เพราะ ตามคาแปลก็ไมบ่ ง่ ชัดลงไปว่าเป็นกาลอะไร แต่ทา่ นจดั เปน็ ปัจจุบันกาล แปลได้ ๓ อย่าง ดังน้ี ๑) บอกการบงั คบั แปลว่า จง... ๒) บอกความหวัง แปลวา่ จง...เถิด ๓) บอกการอ้อนวอน แปลวา่ ขอจง... ดูประโยคตวั อยา่ ง ประโยค แปลโดยพยัญชนะ  เอว กโรหิ. อ. เจา้ จงทา อย่างนี้  สพฺเพ สตตฺ า อเวรา โหนตฺ ุ.  สณุ าตุ เม ภนเฺ ต สงฺโฆ. อ. สัตว์ ท. ทั้งปวง จงเปน็ ผไู้ มม่ ีเวร จงเป็นเถดิ ขา้ แต่ท่านผเู้ จริญ อ. พระสงฆ์ ขอจงฟัง (ซึง่ คา) ของขา้ พเจ้า

๑๔๕ ในกรณที ่บี อกถงึ การบังคับ ความหวงั และการอ้อนวอนในเชงิ ห้าม จะมี มา ศัพท์ เป็นนิบาต บอกปฏเิ สธ วางไว้หน้าคากรยิ าท่ีประกอบด้วยวภิ ตั ตหิ มวดปัญจมี ดูประโยคตวั อย่าง ประโยค แปลโดยพยัญชนะ  มา กโรห.ิ อ. ท่าน จงอยา่ ทา  มา เอว กโรห.ิ  ตฺว ต ปาปํ กมฺม มา กโรหิ. อ. ทา่ น จงอย่าทา อยา่ งนี้ อ. ทา่ น จงอยา่ ทา ซงึ่ กรรมชั่ว นน้ั ขอ้ สงั เกตในวภิ ัตติหมวดปญั จมี (๑) มิ - ม นยิ มใชเ้ ช่นเดยี วกบั มิ - ม ในหมวดวตั ตมานาวภิ ตั ติ (๒) ตุ ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลงเป็น ตฺถุ เช่น อตฺถุ ฯลฯ (๓) หิ ถา้ คงไวต้ ามรูปเดมิ มีอานาจให้ทฆี ะเสมอ เชน่ คจฉฺ าหิ, คณฺหาหิ ฯลฯ แตถ่ า้ ลบเสีย ไม่ต้องทีฆะ เช่น คจฉฺ , นสิ ที ฯลฯ ๘.๔.๓ สัตตมี บุรษุ ปรสั สบท อัตตโนบท เอกวจนะ พหวุ จนะ ประถมบรุ ุษ เอยยฺ เอยฺย เอกวจนะ พหุวจนะ มัธยมบุรุษ เอยยฺ าสิ เอยยฺ าถ อุตตมบุรษุ เอยฺยามิ เอยยฺ าม เอถ เอร เอโถ เอยฺยวโห เอยฺย เอยฺยามเฺ ห คาวา่ สตั ตมี แปลว่า เป็นทเี่ ต็มแห่งความราพึง ๗ เปน็ กาลท่ีแฝงอย่ใู นระหวา่ ง คือ ไมบ่ ่งชัด ลงไปวา่ เปน็ กาลอะไร เชน่ เดียวกบั ปญั จมี แต่ทา่ นไดจ้ ดั เป็นปัจจุบนั กาล แปลได้ ๓ อย่าง ดงั น้ี ๑) บอกการยอมตาม แปลว่า ควร... ๒) บอกการกาหนด, การคาดคะเน แปลวา่ พึง... ๓) บอกความราพึง แปลว่า พึง...

๑๔๖ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง ประโยค แปลโดยพยัญชนะ  ชนา ปุนปฺปุน ปุ ฺ กเรยยฺ อ. ชน ท. ควรทา ซ่งึ บญุ บอ่ ย ๆ  ตวฺ เจ (ตวฺ ฺเจ) ปาปํ กมฺม กเรยยฺ าส,ิ ทุคฺคตึ คจฉฺ สิ. หากวา่ อ. ทา่ น พงึ ทา ซ่ึงกรรมช่ัว ไซร้,  สเจ ปคุ คฺ โล ปุ ฺ กเรยฺย, โส สุคตึ คจฺฉติ. (อ. ทา่ น) จะไป สูท่ ุคติ ถ้าวา่ อ. บุคคล พงึ ทา ซงึ่ บญุ ไซร้  ยนฺนูน อห (ยนนฺ นู าห) ปพฺพชฺเชยย อ. เขา จะไป สสู่ ุคติ ไฉนหนอ อ. ขา้ พเจา้ พึงบวช ข้อควรจาในประโยคท่ีบอกการคาดคะเน ในประโยคท่ีบอกการคาดคะเน มักมีนิบาตบอกปริกัป เช่น เจ, สเจ ฯลฯ ด้วยเสมอ และ เจ หรือ สเจ ซึง่ เป็นนิบาตบอกปริกัปนี้ มีอยู่ในประโยคใด เวลาแปลเป็นไทย (โดยพยัญชนะ) นิยมเติมคา วา่ “ไซร้” ไว้ตอนจบประโยคเสมอไป ข้อสงั เกตในหมวดสตั ตมีวิภัตติ (๑) เอยฺย แปลงเป็น อา บ้าง เช่น กยิรา (กร + ยิร + เอยฺย) แปลงเป็น อิยา บ้าง เช่น สิยา (อสฺ ธาตุ ลบต้นธาตุ) ชานิยา แปลงเป็น า บ้าง เช่น ช ฺ า และประกอบกับ อสฺ ธาตุ แปลงเป็น อสฺส ฯลฯ (๒) เอยยฺ ุ ประกอบกับ อสฺ ธาตุ แปลงเป็น อสสฺ ุ และแปลงเป็น อยิ ุ ลบตน้ ธาตุ เชน่ สยิ ุ ฯลฯ (๓) เอยฺยาสิ ประกอบกับ อสฺ ธาตุ แปลงเปน็ อสฺส บ้าง (๔) เอยฺยาถ ประกอบกับ อสฺ ธาตุ แปลงเปน็ อสฺสถ บา้ ง (๕) เอยยฺ ามิ ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลงเป็น อสฺส บา้ ง (๖) เอยฺยาม ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลงเป็น อสสฺ าม บ้าง ๘.๔.๔ ปโรกขา บรุ ุษ ปรัสสบท อตั ตโนบท เอกวจนะ พหุวจนะ เอกวจนะ พหวุ จนะ ประถมบุรุษ มธั ยมบุรุษ อ อุ ตถฺ เร อุตตมบรุ ุษ เอ ตถฺ ตฺโถ วฺโห อ มฺห อึ มเฺ ห คาว่า ปโรกขา แปลว่า กล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่ในหนหลัง คือ ส่ิงท่ีล่วงไปแล้วไม่มีกาหนดแน่ว่าล่วง ไปเมอ่ื ไร บ่งถึงอดีตกาลอย่างเดยี ว ใชค้ าแปลวา่ ...แล้ว

๑๔๗ การประกอบรูปกริยาเป็นวาจกด้วยวิภัตติหมวดนี้ ในกริยาอาขยาตมีใช้น้อย เท่าท่ีพบส่วน ใหญ่ มีใช้อยู่เฉพาะวิภัตติ ฝ่ายปรัสสบท ประถมบุรุษ เอกวจนะ และพหุวจนะ เท่าน้ัน และนิยมใช้กับ พฺรู ธาตุศพั ท์เดยี ว (พฺรู ธาตุ แปลวา่ กลา่ ว ใช้ อ ปัจจัย เปน็ กัตตวุ าจก) เมื่อนา ธาตุ ปัจจัย และวิภัตติ ดังกล่าว มาผสมกันแล้ว แปลงท้ายคากริยาเป็น ๒ วจนะ คือ ประกอบวิภตั ติ เฉพาะฝ่ายปรัสสบท ที่เปน็ เอกวจนะและพหุวจนะประถมบุรุษ ดงั น้ี บุรุษ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. พรฺ ู + อ + อ = อาห พรฺ ู + อ + อ = อาหุ (อ. เขา กลา่ วแล้ว) (อ. เขา ท. กลา่ วแลว้ ) ดงั นัน้ จึงอาจกล่าวไดว้ า่ กรยิ าของบทประธานที่ใชว้ ิภัตตหิ มวดปโรกขานี้ มีอยู่ ๒ ศัพท์ คือ อาห กบั อาหุ ดงั กล่าวในตาราง ดูประโยคตวั อย่าง  สตถฺ า ต ปวตตฺ ึ ตฺวา...โย จ โข วกกฺ ลิ ธมฺม ปสสฺ ติ, โส ม ปสสฺ ติ นามาติ อาห. อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซ่ึงเร่ืองอันเปน็ ไปทวั่ นัน้ ...ตรสั แลว้ วา่ ดูกอ่ นวักกลิ สว่ นว่า อ. บคุ คลใดแล ย่อมเห็น ซึ่งธรรม อ. บคุ คลนน้ั ชอ่ื ว่า ย่อมเหน็ ซึ่งเรา จากประโยคตัวอย่างนี้ จะเห็นว่า ใช้กริยา อาห ซ่ึงเป็นเอกพจน์ สอดคล้องกับบทประธาน คือ สตฺถา เป็นกริยาคุมพากย์ในประโยค แปลว่า ตรัสแล้ว (เน่ืองจากบทประธานคือ สตฺถา ถ้าเป็น บุคคล ธรรมดา กแ็ ปลว่า กล่าวแล้ว) อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเก่ียวกับ พฺรู ธาตุ ท่ีใช้วิภัตติหมวดอื่น คือ พฺรู ธาตุ ท่ีใช้วิภัตติหมวด อืน่ จะคงไว้โดยไม่ต้องแปลงเป็นอย่างอน่ื ดปู ระโยคตัวอย่าง  ตมห (ต + อห) พรฺ ูมิ พฺราหฺมณ อ. เรา (ตถาคต) ยอ่ มกล่าว (เรยี ก) ซึ่งบุคคลนนั้ ว่า เปน็ พราหมณ์

๑๔๘ ๘.๔.๕ หิยัตตนี บรุ ษุ ปรสั สบท อตั ตโนบท เอกวจนะ พหุวจนะ เอกวจนะ พหุวจนะ ประถมบุรุษ มธั ยมบรุ ุษ อา อู ตถฺ ตถฺ ุ อุตตมบุรุษ โอ ตถฺ เส วฺห อ มฺห อึ มฺหเส คาว่า หิยัตตนี ตามรูปศัพท์แปลว่า มีแล้วในวันวาน หมายถึง ส่ิงท่ีล่วงแล้วตั้งแต่วานน้ี จดั เป็นอดีตกาล บ่งถึงกาลเวลาท่ีล่วงเลยมาแลว้ ใช้คาแปลว่า ...แล้ว ถ้ามี อ อยู่หนา้ แปลวา่ ได.้ ..แล้ว (วิภัตติหมวดน้ี นิยมเพ่ิม อ ที่แปลว่า ได้ เข้าข้างหน้าธาตุ ฉะน้ัน กริยาอาขาตที่เพิ่มพยางค์หน้าธาตุ ดว้ ยวภิ ตั ตหิ มาดน้ี จงึ แปลว่า “ได้...แล้ว”) ดูตวั อย่าง บรุ ษุ เอกวจนะ คาแปล ประถมบุรุษ อวจา, อวจ, อโวจ (อ. เขา) ได้กลา่ วแลว้ มัธยมบรุ ุษ อวโจ (อ. ท่าน) ได้กล่าวแลว้ อตุ ตมบรุ ุษ อวจ (อ. เรา) ไดก้ ลา่ วแลว้ บรุ ษุ พหุวจนะ คาแปล ประถมบุรุษ อวจู (อ. เขา ท.) ได้กล่าวแล้ว มธั ยมบุรษุ อวจตฺถ (อ. ท่าน ท.) ได้กล่าวแลว้ อุตตมบุรุษ อวจมฺห (อ. เรา ท.) ได้กลา่ วแล้ว คากริยาตามตัวอย่างในตารางน้ี มาจาก วจฺ ธาตุ (วจฺ = กล่าว) อ ปัจจัย ประกอบด้วย หิยัตตนีวิภัตติ ฝ่ายปรัสสบท กัตตุวาจก ท้ัง ๓ บุรุษ สาเร็จรูปเป็นกริยาคุมพากย์ สาหรับกริยาอ่ืน ๆ ก็ พึงเทยี บโดยวิธีเดยี วกนั นี้ ข้อสงั เกตที่เกี่ยวกบั วภิ ตั ตหิ มวดหิยตั ตนี (๑) ปัจจัยที่ลงท้ายด้วยสระ เม่ือผสมกับวิภัตติที่ขึ้นต้นด้วยสระ ให้ลบสระ (ปัจจัย) ท้ิง เช่น อ + วจ + อ + อา เป็น อวจา แปลวา่ (อ. เขา) ไดก้ ล่าวแลว้

๑๔๙ (๒) อา หิยัตตนวี ิภัตติ ประถมบรุ ุษ เอกวจนะ นิยมรัสสะสระ อา (-า) เป็น อะ ได้ (ทาให้เสียง สั้น) เช่น อภว (อ + ภู เป็น ภวฺ+ อ+ อา) อวจ (อ + วจฺ + อ + อา) และนิยมรัสสะ อา เป็น อะ แล้วเอา อะ ที่ วะ แห่ง วจฺ ธาตุ เป็น อุ แล้วแปลง อุ เป็น โอ = อโวจ เช่น ตถาคโต อิม คาถ อโวจ. (อ. พระตถาคต ไดต้ รัสแลว้ ซึ่งพระคาถา นี้) (๓) วิภัตติหมวดน้ี จะใช้ มา ศัพท์ ซ่ึงแปลว่า อย่า ปฏิเสธกริยาบ้างก็ได้ เช่น ขโณ โว มา อปุ จฺจคา. (อ. ขณะ อยา่ ได้เขา้ ไปล่วงแลว้ ซึง่ ทา่ น ท.) (คาว่า อุปจฺจคา สาเร็จมาจาก อุป + อติ + อ + คมฺ + อ + อา แปลง อิ ท่ี อติ เป็น ย = อตย แลว้ แปลง ตย เปน็ จฺจ ตามวธิ ขี องสนธิ และ ลบ ม ทีส่ ุดธาตุ เป็น อปุ จจฺ คา) (๔) หยิ ัตตนวี ภิ ตั ติ มใี ช้น้อย ส่วนมากนยิ มใชว้ ภิ ตั ติหมวดอัชชตั ตนี ๘.๔.๖ อัชชตั ตนี บุรษุ ปรสั สบท อตั ตโนบท เอกวจนะ พหุวจนะ ประถมบุรุษ เอกวจนะ พหวุ จนะ มธั ยมบรุ ุษ อี อุ อุตตมบรุ ุษ โอ ตถฺ อา อู อึ มหฺ า เส วหฺ อ มเฺ ห คาว่า อัชชัตตนี แปลว่า มีแล้วในวันนี้ หมายถึง ส่ิงท่ีล่วงแล้วในวันน้ี เป็นเครื่องหมายบอก อดตี กาล ใช้คาแปลวา่ ...แลว้ ถา้ มี อ ประกอบขา้ งหนา้ ธาตุ ก็แปลวา่ ได.้ ..แล้ว ดูตัวอย่างคากริยา (แบบไมม่ ี อ อาคม ข้างหนา้ ธาตุ) บุรุษ เอกวจนะ คาแปล ประถมบรุ ุษ คม,ิ คเมสิ (อ. เขา) ไปแลว้ มัธยมบรุ ุษ คโม (อ. ท่าน) ไปแล้ว อตุ ตมบรุ ุษ คม,ึ คมาสึ (อ. เรา) ไปแล้ว บรุ ษุ พหุวจนะ คาแปล คมุ, คมสุ, คมสึ ุ, คเมสุ ประถมบรุ ุษ (อ. เขา ท.) ไปแลว้ มธั ยมบุรุษ คมติ ถฺ (อ. ทา่ น ท.) ไปแลว้ อตุ ตมบรุ ุษ คมมิ ฺหา (อ. เรา ท.) ไปแล้ว

๑๕๐ ดตู วั อย่างคากรยิ า (แบบ มี อ อาคม ขา้ งหน้าธาต)ุ บรุ ุษ เอกวจนะ คาแปล ประถมบรุ ุษ อคมิ, อคมาสิ (อ. เขา) ได้ไปแล้ว มัธยมบรุ ุษ อคโม (อ. ท่าน) ได้ไปแล้ว อตุ ตมบรุ ุษ อคมึ, อคมาสึ (อ. เรา) ได้ไปแลว้ บุรษุ พหวุ จนะ คาแปล อคมุ, อคมส,ุ อคมสึ ุ ประถมบรุ ุษ (อ. เขา ท.) ไดไ้ ปแลว้ มัธยมบรุ ษุ อคมิตฺถ (อ. ทา่ น ท.) ไดไ้ ปแล้ว อตุ ตมบุรุษ อคมิมฺหา (อ. เรา ท.) ได้ไปแลว้ จากตัวอย่างคากริยาท้ังแบบไม่มี อ อาคม และมี อ อาคม ข้างหน้าธาตุ นั้น เป็นกริยา ที่มาจาก คมฺ ธาตุ อ หรือ เอ ปัจจัย ลง อิ หรือ ส อาคมหลังธาตุและปัจจัย แม้กริยาคาอื่น ๆ ก็มีวิธี ประกอบเปน็ วจนะแบบเดยี วกันน้ี ข้อสังเกตเกี่ยวกบั วภิ ตั ติหมวดอัชชัตตนี (๑) ปัจจัยที่เปน็ สระ ผสมกับวิภัตตทิ ่ีข้ึนตน้ ด้วยสระ เมอื่ นามาเช่ือมกันตามวิธีของสนธิ ตัว ออ จะหายไปทนั ที เชน่ อ + คมฺ + อ + อิ + โอ = อคโม (อ. ท่าน) ไดไ้ ปแลว้ (๒) อิ อาคม ลงหลังธาตุและปัจจัย บางแห่งให้ลบ อิ อาคม ได้ เช่น อคโม, บางแห่งให้คง อิ อาคมไว้ เช่น อ + คมฺ + อ + อิ + ตฺถ เป็น อคมิตถฺ (อ. ท่าน ท.) ไดไ้ ปแล้ว (๓) อี วิภตั ติ ประถมบุรษุ เอกวจนะ นิยมทาให้เป็นเสียงสนั้ เสมอไป คือ รสั สะ อี เป็น อิ เช่น คมฺ + อ + อิ + อี เป็น คมิ ดงั น้ีเป็นตน้ (๔) อุ วิภัตติ ประถมบุรุษ พหุวจนะ แปลง อุ เป็น อสุ และ อึสุ ได้ เช่น คมฺ + อ + อิ + อุ เป็น คมสุ, คมสึ ุ เป็นต้น (๕) โอ วิภัตติ ทั้งหิยัตตนี และอัชชัตตนี มัธยมบุรุษ เอกวจนะ. มีใช้น้อย โดยมากใช้ อี วิภัตติ หมวดอัชชตั ตนี ประถมบุรษุ เอกวจนะ แทน ฉะน้ัน อี วิภัตติ อัชชัตตนี จึงเป็นกรยิ าของบทประธานได้ ท้งั ประถมบุรษุ และมธั ยมบรุ ุษ เชน่  มา สุ ตวฺ อกริ ปาปํ. อ. ท่าน อยา่ ไดท้ าแล้ว ซ่งึ บาปนะ  มา เอวมกาส.ิ (เอว + อกาสิ) อ. ท่าน อยา่ ไดท้ าแล้ว อย่างนี้

๑๕๑  สาวตฺถิย กิร อทินฺนปุพพฺ โก นาม พรฺ าหมฺ โณ อโหสิ. ดงั ได้สดับมา ในเมอื งสาวตั ถี อ. พราหมณ์ชอื่ ว่า อทนิ นปุพพกะ ไดม้ แี ลว้ (๖) ส อาคม โดยมากใช้ลงเฉพาะประถมบุรุษและอุตตมบุรุษ อัชชัตตนีวิภัตติเท่านั้น และจะ สังเกตได้ง่ายเพราะ ส อาคม มีอานาจทีฆสระเสียงสั้นที่อยู่ข้างหน้า ส ให้เป็น อา ได้ เช่น อคมาสิ เป็น ต้น เวน้ แต่สระทอี่ ยขู่ า้ งหน้า ส อาคม เป็นทีฆะอยู่แล้ว ก็ไมต่ ้องทฆี ะอกี เช่น คเมส,ิ อาโรเจสุ เปน็ ตน้ (๗) ห อาคม ไมน่ ยิ มวิภัตตแิ น่นอน (๘) วิภัตติอาขยาตทุกหมวด ท้ังฝ่ายปรัสสบท และฝ่ายอัตตโนบท เฉพาะมัธยมบุรุษและ อุตตมบุรุษ บอกตัวประธานของกริยาไว้แน่นอนเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับวัตตมานาวิภัตติทุก ประการ เชน่ โอ บอก ตฺว, ตฺถ บอก ตุมฺเห, อึ บอก อห, มหา บอก มย ดังน้ี เปน็ ตน้ , ข้อสาคัญต้อง จารูปวิภัตติแต่ละหมวดไว้ให้แม่น เมื่อเราพบเห็นอยู่ในรูปประโยคคาพูดต่าง ๆ ก็จะหาตัวประธาน ของกริยาแล้วแปลเปน็ ภาษาไทยได้ทันที และโปรดสังเกตวา่ วภิ ตั ติฝ่ายปรัสสบทมีใช้มากกว่าวิภตั ติฝ่าย อตั ตโนบท โดยเฉพาะวิภตั ติหมวด วตั ตมานา กับ อัชชัตตนี มีใชม้ ากทสี่ ุด (๙) ธาตุตัวอื่น ๆ นิยมนามาประกอบรูปกริยาเป็นวาจกด้วยอัชชัตตนีวิภัตติแบบ คมฺ ธาตุ ท้ังส้ิน และเพ่ือให้เข้าใจง่าย โปรดดูตัวอย่าง กรฺ ธาตุท่ีแปลว่า ทา ลง อ ปัจจัย (โอ ปัจจัยก็ได้ แต่ โอ ตอ้ งลบท้งิ คงเหลือตวั จริงเป็น อ ปจั จยั เท่านนั้ ) แปลงท้ายคาเป็นวจนะทง้ั ๓ บุรุษ ดังน้ี บรุ ุษ เอกวจนะ พหวุ จนะ กรุ, อกสุ, กรึสุ, อกรึสุ, ประถมบุรุษ กริ, อกริ, อกาสิ มธั ยมบุรุษ กโร, อกโร กริตฺถ, อกตฺถ, อกริตฺถ อุตตมบรุ ุษ กร,ึ อกรึ, อกาสึ กริมฺหา, อกรมิ หฺ า คากริยาตามตัวอย่างในตารางนี้ มีวิธีแปลเป็นภาษาไทยแบบ คมฺ ธาตุทั้งหมด และให้ สังเกตวา่ ธาตุ มี ร เป็นที่สดุ ให้ ลบ ร ทส่ี ุดธาตุ ได้บ้าง เช่น อกาสิ (อ. เขา) ไดท้ าแล้ว (อ + กรฺ + อ + อิ + อี + ลง ส อาคม ใหล้ บทส่ี ดุ ธาต)ุ แมค้ าวา่ อกาสึ, อกสุ, อกตถฺ ก็ให้ลบ ร ทสี่ ุดธาตุแบบเดียวกนั . (๑๐) มา ศพั ท์ ซงึ่ เป็นนิบาตบอกปฏเิ สธ แปลว่า อย่า นยิ มนามาใช้ปฏิเสธคากริยาทแี่ ปลงทา้ ย คาเป็นวจนะด้วยวภิ ตั ตหิ มวดอัชชัตตนเี หมือนปัญจมวี ิภัตติ ในกรณีท่บี ง่ ถึงการหา้ มในอดีต ดูประโยคตวั อยา่ ง  มา เอวมกาสิ (อ. ท่าน) อย่าได้ทาแล้ว อยา่ งน้ี  ตมุ เฺ ห ปาปํ กมฺม มา อกรติ ถฺ . อ. ทา่ น ท. อยา่ ได้ทาแลว้ ซ่งึ กรรม อันลามก

๑๕๒ ๘.๔.๗ ภวสิ สันติ บรุ ษุ ปรสั สบท อัตตโนบท เอกวจนะ พหวุ จนะ ประถมบุรุษ เอกวจนะ พหวุ จนะ มธั ยมบุรุษ สสฺ ติ สสฺ นฺติ อุตตมบุรุษ สฺสสิ สสฺ ถ สฺสเต สฺสนฺเต สสฺ ามิ สฺสาม สสฺ เส สฺสวฺเห สฺส สฺสามเฺ ห คาว่า ภวิสสันติ ตามรูปศัพท์แปลว่า จักมี หมายถึง จักเกิดมีข้างหน้า เป็นเคร่ืองหมายบอก อนาคตกาลแห่งปจั จุบนั ใช้คาแปลประกอบธาตุว่า จกั ... ดูตัวอย่าง บรุ ษุ เอกวจนะ คาแปล ประถมบุรุษ ลภิสสฺ ติ (อ. เขา) จักได้ มัธยมบรุ ุษ ลภสิ ฺสสิ (อ. ทา่ น) จกั ได้ อตุ ตมบุรุษ ลภสิ ฺสามิ (อ. เรา) จกั ได้ บรุ ุษ พหุวจนะ คาแปล ประถมบุรุษ ลภสิ ฺสนตฺ ิ (อ. เขา ท.) จักได้ มัธยมบุรษุ ลภิสสฺ ถ (อ. ท่าน ท.) จักได้ อตุ ตมบุรุษ ลภิสสฺ าม (อ. เรา ท.) จกั ได้ จากตัวอย่างในตารางน้ี คากริยาสาเร็จรูปมาจาก ลภฺ ธาตุ อ ปัจจัย ลง อิ อาคมหลังธาตุและ ปจั จัย แล้วตามดว้ ยวิภตั ติ แมค้ ากรยิ าอื่น ๆ ก็มีวิธีเดียวกันนี้ ขอ้ สงั เกตเก่ียวกับปัจจยั และวภิ ัตติในหมวดภวสิ สนั ติ (๑) ปัจจัยที่เป็นสระตัวเดียว หรือที่มีสระลงท้ายด้วยเสียงส้ัน ลง อิ อาคม นามาผสม กับภวสิ สันติวิภตั ติ ตวั ออ จะหายไป (ลบทง้ิ ) เช่น ลภฺ + อ + อิ + สสฺ ติ = ลภสิ ฺสติ (๒) ปัจจัยที่ลงท้ายด้วยสระเสียงยาว เม่ือลง อิ อาคมแล้ว ให้ลบ อิ อาคมได้บ้าง เช่น กถฺ + เอ + อิ + สฺสติ = กเถสสฺ ติ (อ. เขา) จกั กลา่ ว

๑๕๓ (๓) สฺสติ สฺสนฺติ สฺสสิ และ สฺสถ วิภัตติ ทั้ง ๔ ตัวน้ี ลบ สฺส คงไว้แต่ ติ นฺติ ถ ก็ได้ เช่น กาหติ กาหนตฺ ิ กาหสิ กาหถ เปน็ ต้น (๔) สสฺ ามิ และ สฺสาม วิภัตติ ลบ สฺส คงไว้แต่ อามิ และ อาม ก็ได้ เช่น กาหามิ กาหาม เป็นต้น ถ้าประกอบกับ วสฺ ธาตุ แปลงเป็น ฉามิ และ ฉาม บ้าง เช่น วจฺฉามิ วจฺฉาม เป็นต้น หรือถ้า ประกอบกับ วจฺ ธาตุ แปลงเปน็ ขามิ และ ขาม บ้าง เชน่ วกฺขามิ วกขฺ าม เป็นตน้ ๘.๔.๘ กาลาติปัตติ บรุ ุษ ปรสั สบท อตั ตโนบท เอกวจนะ พหวุ จนะ เอกวจนะ พหวุ จนะ ประถมบรุ ุษ มธั ยมบุรุษ สสฺ า สฺสสุ สฺสถ สฺสึสุ อตุ ตมบุรุษ สเฺ ส สสฺ ถ สฺสเส สฺสวเฺ ห สสฺ สสฺ ามฺหา สฺส สสฺ ามฺหเส คาว่า กาลาติปัตติ แปลว่า ล่วงกาล หมายถึง ล่วงกาลแห่งอนาคตไปแล้ว แต่ย้อนกล่าวถึงอีก เป็นเครื่องหมายบอกอนาคตกาลแห่งอดีต ใช้คาแปลประกอบธาตุว่า จัก...แล้ว ถ้ามี อ อาคม อยู่หลัง ธาตุ ใหแ้ ปลวา่ จักได้...แล้ว ดตู ัวอย่าง บรุ ุษ เอกวจนะ คาแปล ประถมบรุ ุษ อคจฺฉสิ สฺ า, อคจฺฉิสฺส (อ. เขา) จักได้ไปแล้ว มธั ยมบุรุษ อคจฉฺ สิ เฺ ส (อ. ทา่ น) จักได้ไปแล้ว อตุ ตมบุรุษ อคจฉฺ สิ สฺ (อ. เรา) จักได้ไปแล้ว บุรษุ พหวุ จนะ คาแปล ประถมบรุ ุษ อคจฉฺ ิสฺสสุ (อ. เขา ท.) จักได้ไปแล้ว มธั ยมบุรุษ อคจฺฉสิ สฺ ถ (อ. ทา่ น ท.) จกั ไดไ้ ปแล้ว อตุ ตมบุรุษ อคจฉฺ ิสฺสามฺหา (อ. เรา ท.) จกั ได้ไปแล้ว คากริยาตามตัวอย่างในตารางน้ี สาเร็จรูปมาจาก คมฺ ธาตุ โดยแปลง คมฺ เป็น คจฺฉ อ ปัจจัย ผสมกับกาลาติปัตติวิภัตติ ฝ่ายปรัสสบท กัตตุวาจก แปลงท้ายคาเป็นวจนะทั้ง ๓ บุรุษ และมี อ อาคม ขา้ งหนา้ ธาตุ แมก้ ริยาตัวอน่ื ๆ ก็มวี ิธีประกอบแบบเดียวกันนี้

๑๕๔ ข้อสงั เกตในวิภตั ติหมวดกาลาติปตั ติ (๑) การประกอบรูปกริยาเป็นกัตตุวาจกด้วยกาลาติปัตติวิภัตติ มีวิธีเหมือนกับภวิสสันติ วิภัตติทุกอย่าง แต่มีพิเศษต่างกัน คือ ลง อ อาคม ข้างหน้าธาตุได้ พร้อมกับ อ อาคม หลังธาตุและ ปัจจัย โดยเฉพาะ อิ อาคม จะขาดไม่ได้ (๒) ปัจจัยท่ีเป็นสระตัวเดียว หรือท่ีลงท้ายด้วย สระอะ เมื่อลง อิ อาคม หลังธาตุและปัจจัย แล้ว ตัว ออ ทสี่ ระอาศยั จะหายไปทนั ที เชน่ อ + คจฺฉ + อ + อิ + สฺสา = อคจฺฉสิ ฺส (๓) สฺสา วิภัตติ ประถมบุรุษ เอกวจนะ สามารถแปลงเป็น สฺส ได้ หรือรัสสะ อา เป็น อะ ได้ เช่น อ + คจฉฺ + อ + อิ + สฺสา = อคจฺฉิสฺส (มวี ิธีเหมือน อา อัชชัตตนวี ภิ ตั ต)ิ (๔) ธาตตุ วั ใดกต็ าม ทแ่ี ปลงท้ายคาเป็นวจนะด้วยกาลาติปัตติวิภตั ติ ย่อมบ่งถึงอนาคตกาลแห่ง อดีตเสมอไป หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทาน้ัน ๆ ล่วงเลยมาแล้ว แต่ผู้พูดนามาสมมุติว่า จักเป็น อย่างน้ันอย่างนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เป็นการคาดคะเนถึงเร่ืองราวหรือเหตุการณ์น้ันซึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ใน กรณีเช่นนี้ ข้อความในประโยคหน้า มักมีนิบาตบอกปริกัป คือ เจ (หากว่า) หรือ สเจ (ถ้าว่า) อยู่ด้วย เสมอไป เชน่  โส เจ ยาน ลภิสฺสา, อคจฺฉสิ ฺสา. หากว่า อ. เขา จักได้แลว้ ซ่ึงยานไซร,้ (อ. เขา) จกั ได้ไปแล้ว ๘.๕ กาล กาล แปลว่า เวลา หมายถึง เวลากระทาของกริยานั้น ๆ กาลในกริยาอาขยาตแบ่งออกเป็น ๓ คือ กาลท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหน้า เรียกว่า ปัจจุบันกาล, กาลที่ล่วงแล้ว เรยี กว่า อดีตกาล และกาลท่ียังมาไม่ ถงึ เรยี กว่า อนาคตกาล กาลท้ัง ๓ ดงั กล่าวนี้ อาจแบ่งย่อยออกเปน็ ๘ ประการ โดยใชว้ ิภตั ติ ๘ หมวด เป็นเคร่ืองหมาย บอกใหร้ ู้ โดยมรี ายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี ๘.๕.๑ ปัจจุบันกาล แบ่งออกเป็น ๓ โดยใช้วิภัตติหมวดวัตตมานาเป็นเคร่ืองหมายบอกให้รู้ ดังนี้ (๑) ปัจจบุ นั แท้ แปลว่า “อย”ู่ เช่น ภกิ ขุ ธมมฺ เทเสติ อ. ภิกษุ แสดงอยู่ ซง่ึ ธรรม

๑๕๕ (๒) ปัจจุบันใกล้อดีต แปลวา่ “ย่อม” เช่น กุโต นุ ตฺว อาคจฺฉสิ. อ. ท่าน ยอ่ มมา แตท่ ่ไี หนหนอ (๓) ปัจจุบนั ใกลอ้ นาคต แปลว่า “จะ” เช่น กึ กโรมิ. อ. ข้าพเจ้า จะทา ซ่ึงอะไร ๘.๕.๒ อดีตกาล แบง่ ออกเปน็ ๓ ดังน้ี (๑) อดีตกาลล่วงแล้วไม่มีกาหนด ใช้วิภัตติหมวดปโรกขาเป็นเคร่ืองหมายบอกให้รู้ แปลวา่ “แล้ว” เช่น เตนาห ภควา ดว้ ยเหตนุ นั้ อ. พระผูม้ ีพระภาค ตรสั แลว้ เตนาหุ โปราณา ด้วยเหตนุ น้ั อ. อาจารย์ อันมใี นปางก่อน ท. กลา่ วแลว้ (๒) อดีตกาลล่วงแล้ววานนี้ ใช้วิภัตติหมวดหิยัตตนี เป็นเคร่ืองหมายบอกให้รู้ แปลวา่ “แลว้ ” ถา้ มี อ อยู่หน้า แปลว่า “ได้...แลว้ ” เชน่ ขโณ โว มา อปุ จจฺ คา อ. ขณะ อยา่ ได้เข้าไปลว่ งแล้ว ซ่ึงทา่ น ท. อห อวจ อ. ขา้ พเจา้ ได้กล่าวแล้ว อย่างน้ี (๓) อดีตกาลล่วงแล้ววันนี้ ใช้วิภัตติหมวดอัชชัตตนี เป็นเคร่ืองหมายบอกให้รู้ แปลว่า “แล้ว” ถ้ามี อ อย่หู นา้ แปลว่า “ได.้ ..แล้ว” เชน่ เถโร คาม ปิณฑฺ าย ปาวสิ .ิ อ. พระเถระ เข้าไปแลว้ สูบ่ า้ น เพื่อบณิ ฑะ เอวรปู ํ กมฺม อกาสึ. อ. ขา้ พเจ้า ได้ทาแลว้ ซ่ึงกรรม อันมีอยา่ งน้เี ปน็ รปู

๑๕๖ ๘.๕.๓ อนาคตกาล แบง่ ออกเป็น ๒ ดงั น้ี (๑) อนาคตของปัจจุบัน ใช้วิภัตติหมวดภวิสสันติ เป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ แปลว่า “จัก” เชน่ ธมมฺ สณุ สิ สฺ าม. อ. ข้าพเจา้ ท. จกั ฟงั ซ่ึงธรรม (๒) อนาคตของอดีต ใช้วิภัตติหมวดกาลาติปัตติ เป็นเคร่ืองหมายบอกให้รู้ แปลว่า “จกั ...แลว้ ” ถา้ มี อ อยู่หน้า แปลวา่ “จกั ได้...แล้ว” เชน่ โส เจ ยาน ลภสิ สฺ า, อคจฺฉสิ ฺสา. ถา้ ว่า อ. เขา จกั ได้แลว้ ซ่ึงยาน ไซร,้ อ. เขา จกั ได้ไปแลว้ ข้อสังเกต: วิภัตติอีก ๒ หมวด คือ ปัญจมี และ สัตตมี ไม่ได้บอกกาลอะไร แต่สงเคราะห์เข้า ในปัจจบุ นั กาล ดังนี้ ก. หมวดปัญจมี (๑) บอกการบังคับ, คาสง่ั แปลว่า จง...เชน่ เอว วเทหิ. อ. ท่าน จงกลา่ ว อย่างน้ี (๒) บอกความหวงั , ปรารถนา แปลวา่ ... เถิด เช่น สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา โหนตฺ ุ. อ. สัตว์ ท. ท้ังปวง เปน็ ผูไ้ ม่มเี วร เป็นเถิด (๓) บอกความออ้ นวอน, ขอร้อง แปลวา่ ขอจง... เชน่ ปพพฺ าเชถ ม ภนฺเต. ขา้ แต่ทา่ นผ้เู จริญ อ. ทา่ น ท. ยังขา้ พเจา้ ขอจงให้บวช ข. หมวดสตั ตมี (๑) บอกการยอมตาม แปลวา่ ควร... เช่น ภเชถ ปรุ ิสุตฺตเม. อ. บคุ คล ควรคบ ซงึ่ บุรษุ ผสู้ งู สดุ ท.

๑๕๗ (๒) บอกการกาหนด แปลวา่ พึง... เช่น ปุญฺ ฺเจ ปุริโส กยริ า. ถ้าวา่ อ. บุรุษ พงึ ทา ซงึ่ บุญ ไซร้ (๓) บอกความราพึง แปลว่า พึง... เชน่ ยนนฺ นู าห ปพฺพเชยฺย. กระไรหนอ อ. ขา้ พเจ้า พงึ บวช ๘.๖ บท บท แปลว่า เป็นเหตุถึง หรือเป็นเหตุให้รู้ หมายถึง เป็นเหตุให้รู้บทประธานที่เป็นเจ้าของกริยา และรู้ผลของการกระทากริยาของประธานท่ีตกถึงผู้อื่นหรือสิ่งอ่ืนและตกถึงตนถึงตนคือตัวประธานเอง ในวภิ ตั ติอาขยาตทัง้ ๘ หมวดทีไ่ ด้กลา่ วมาแลว้ นัน้ มบี ทซง่ึ แบง่ เป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๘.๖.๑ ปรัสสบท คือ บทเพื่อผู้อ่ืนหรือส่ิงอ่ิน หมายถึง บทวิภัตติหรือบทกริยาอาขยาตท่ี ประกอบด้วยวิภัตติฝ่ายปรัสสบทน้ี บอกว่า ตัวประธานในประโยคเป็นผู้กระทากริยา และมีผู้อ่ืนหรือ ส่งิ อ่นื (ทมี่ ิใช่ตัวประธาน) ได้รับผลของการกระทานัน้ เช่น สูโท โอทน ปจต.ิ อ. พ่อครัว หงุ อยู่ ซง่ึ ข้าว (กริยาอาขยาตคือ ปจติ ประกอบด้วย ติ วัตตมานาวิภัตติ ฝ่ายปรัสสบท เป็นกริยาที่ บอกว่าตัวประธานในประโยคคือ สูโท เปน็ ผกู้ ระทากริยาคือ ปจติ (หงุ อยู)่ และมสี งิ่ อื่น คือ โอทน (ขา้ ว) ไดร้ ับผลของการกระทาคือถูกหงุ ) ๘.๖.๒ อัตตโนบท คือ บทเพ่ือตน หมายถึง บทวิภัตติหรือบทกริยาอาขยาตที่ประกอบด้วย วิภัตติฝ่ายอัตตโนบทนี้บอกว่า ตัวประธานในประโยคถูกกระทา และตนเองคือตัวประธานเอง ได้รับ ผลของการกระทาเอง เช่น สิสเฺ สน สปิ ฺปํ สิกขฺ ิยเต. อ. ศลิ ปะ อนั ศษิ ย์ ศกึ ษาอยู่ (กริยาอาขยาต คือ สิกฺขิยเต ประกอบด้วย เต วัตตมานาวิภัตติ ฝ่ายอัตตโนบท เป็น กริยาทบ่ี อกว่า ตัวประธานในประโยค คอื สิปปฺ ํ (อ. ศิลปะ) ถูกกระทา คือถูกศึกษาอยู่ (สิกขฺ ยิ เต) และตนเองคือตัวประธานเอง (สิปฺป)ํ ไดร้ ับผลของการกระทาคอื ถูกศกึ ษา)

๑๕๘ ขอ้ ควรจา: ปรสั สบท เป็นเคร่ืองหมายบอกใหร้ ู้ว่าเปน็ กัตตวุ าจก และเหตกุ ัตตวุ าจก ส่วนอตั ต โนบท เปน็ เครื่องหมายบอกใหร้ ู้ว่า เป็นกมั มวาจก ภาววาจก และเหตุกมั มวาจก ๘.๗ วจนะ วจนะ แปลว่า คาพดู หมายถงึ คาพดู ท่ีเปลง่ ออกมาโดยมีเครื่องหมายบ่งบอกให้ทราบความมาก นอ้ ย ในกริยาอาขยาต มวี ิภัตติขยาตเป็นตัวกาหนดบอกวจนะ ทาให้ทราบความมากน้อยของนานนามที่ เปน็ ตัวประธานได้ วจนะในกรยิ าอาขยาตแบ่งเป็น ๒ วจนะ เหมือนในนามศัพท์ ดงั น้ี ๘.๗.๑ เอกวจนะ คือ กรยิ าอาขยาตทีก่ ลา่ วถงึ ประธานคนเดยี ว ตวั เดยี ว หรือสง่ิ เดยี ว เชน่ คจฉฺ ติ (ยอ่ มไป) เป็นกริยาอาขยาต ประกอบด้วย ติ วัตตมานาวิภัตติ เอกวจนะ ฉะนั้น ตัวประธานที่ เป็นเจ้าของกริยาอาขยาต คือ คจฺฉติ ก็ต้องเป็นเอกวจนะ ด้วย เช่น ปุริโส ปุคฺคโล ฯลฯ ๘.๗.๒ พหวุ จนะ คือ กริยาอาขยาตที่กลา่ วถึงประธานมากกวา่ คนเดียว มากกว่าตัวเดยี ว หรือ มากกวา่ สิง่ เดียว กล่าวอกี นยั หนึ่ง ตัง้ แต่ ๒ คน ๒ ตัว หรือ ๒ สง่ิ ขึ้นไป เชน่ คจฺฉนฺติ (ยอ่ มไป) เปน็ กรยิ าอาขยาต ประกอบดว้ ย อนฺติ วัตตมานาวิภตั ติ พหุวจนะ ฉะนั้น ตัวประธานท่ี เป็นเจ้าของกริยาอาขยาต คือ คจฺฉนฺติ ก็ต้องเป็นพหุวจนะด้วย เช่น ปุริสา ปุคฺคลา ฯลฯ ข้อสังเกต: วจนะในภาษาบาลี มี ๒ ประเภทคือ วจนะนาม กับ วจนะอาขยาต วจนะนามใช้ สาหรับประกอบนามเพื่อแสดงจานวนของนามให้รู้ว่ามากหรือน้อย คนเดียวหรือหลายคน ส่วนวจนะ อาขยาต ใช้สาหรับประกอบกริยาเพ่ือแสดงให้ทราบว่า เป็นกริยาของประธานท่ีมีจานวนมากหรือน้อย คนเดยี วหรอื หลายคน อน่ึง วจนะนาม มวี ภิ ตั ตินามเป็นเครอื่ งหมายบอกใหท้ ราบ สว่ นวจนะอาขยาตมี วิภตั ตอิ าขยาตเป็นเครอื่ งหมายบอกให้ทราบ ๘.๘ บุรษุ บุรุษ คือ บุคคล สัตว์ หรือสิ่งท้ังหลาย เช่น มนุษย์ เทวดา มาร พรหม สัตว์ ส่ิงของ ฯลฯ บุรุษ ในกริยาอาขยาต จัดเปน็ ๓ ช้นั เหมือนกับบรุ ุษสัพพนาม ดงั น้ี

๑๕๙ ๘.๘.๑ ประถมบุรษุ ๘.๘.๒ มัธยมบุรุษ ๘.๘.๓ อตุ ตมบรุ ษุ บุรุษในกรยิ าอาขยาตดังกล่าวนี้ จัดเป็น ๓ ชัน้ เหมือนกับบุรุษสัพพนามก็จริง แตม่ ีวิธีใช้ต่างกัน กล่าวคือ บุรุษสพั พนาม ใชเ้ ป็นคาแทนชื่อคน สัตว์ สถานที่ และส่ิงของ ท่ีออกซอื้ มาแล้วข้างต้น เพื่อมิให้ ซา้ ซาก ซึ่งมิได้จากัดวิภัตตินาม คือ จะเป็นวิภัตติใดวิภัตติหนึ่งก็ได้ในวิภัตตินามท้ัง ๗ ส่วนบุรุษในกริยา อาขยาตนี้ จากัดให้ใช้ได้เฉพาะปฐมาวิภัตติ ซ่ึงเป็นตัวประธานของกริยาอาขยาตนั้นเอง ยกเว้นกริยา อาขยาตบางตัวซง่ึ เป็นภาววาจก ไม่มีตวั ประธานทเี่ ป็นปฐมาวภิ ัตติ มแี ต่ตัวกตั ตา ซง่ึ ใช้เป็น ตตยิ าวิภัตติ เทา่ นั้น บุรษุ ในกริยาอาขยาตมีวภิ ัตติอาขยาตเป็นเคร่อื งหมายบอกให้ทราบ ดังตัวอย่างตอ่ ไปน้ี ๑) ติ วภิ ตั ติ บอกให้ทราบวา่ ตัวประธานเปน็ ประถมบรุ ษุ เชน่ โส ชโน ปคุ ฺคโล ปวติ. = (อ. เขา) หุงอยู่ (ติ วภิ ัตติ บอกประถมบุรุษ คือ โส = อ. เขา) ๒) สิ วิภตั ติ บอกใหท้ ราบวา่ ตัวประธานเป็นมัธยมบุรุษ คอื ตวฺ กสส.ิ = (อ. ท่าน) ยอ่ มไถ (สิ วิภัตติ บอกมัธยมบรุ ษุ คือ ตฺว) ๓) มิ วิภัตติ บอกให้ทราบวา่ ตัวประธานเป็นอตุ ตมบุรุษ คอื อห คจฉฺ าม.ิ = (อ. ขา้ พเจา้ ) ย่อมไป (มิ วภิ ัตติ บอกอตุ ตมบรุ ุษ คอื อห) ข้อควรจา: บุรุษในกริยาขยาต (หรือกริยาอาขยาต) กับ บุรุษสัพพนามท่ีเป็นตัวประธานต้อง ประกอบให้ มีวจนะ และบรุ ุษตรงกัน จงึ จะถกู ต้อง คือ ถา้ บุรุษสัพพนามท่ีเปน็ ตัวประธานเป็นวจนะและ บุรษุ ใด ๆ กรยิ าอาขยาตกต็ อ้ งเป็น วจนะและบรุ ุษนั้น ๆ ด้วย จะต่างวจนะต่างบุรุษกันไมไ่ ด้ เช่น ถกู : ชโน คจฉฺ ติ. (ประธานคอื ชโน เป็นเอกวจนะ, กริยาคือ คจฉฺ ติ เปน็ เอกวจนะ) ผดิ : ชโน คจฺฉนฺต.ิ (ประธานคือ ชโน เป็นเอกวจนะ กริยาคือ คจฺฉนติ เป็น พหวุ จนะ)

๑๖๐ ถกู : ตวฺ คจฺฉส.ิ (ประธานคือ ตวฺ เปน็ เอกวจนะ, กรยิ าคือ คจฺฉสิ เป็นเอกวจนะ) ผดิ : ตฺว คจฉฺ าม.ิ (ประธานคือ ตวฺ เปน็ มธั ยมบุรษุ กรยิ าคอื คจฺฉามิ เปน็ ประถมบุรุษ) ๘.๙ ธาตุ ๘.๙.๑ ความหมายของธาตุ ธาตุ แปลว่า ทรง หมายความว่า ทรงไว้ซึ่งเนื้อความของตน โดยทรงตัวอยู่เช่นเดิม จะแยกหรือ กระจายออกไปอีกไม่ได้ เน้ือความของตนมีอยู่อย่างไร ก็คงเนื้อความไว้เช่นน้ัน ไม่เปล่ียนแปลง ยกเว้น ธาตทุ ีม่ อี ุปสคั นาหน้าบางตัว ซ่ึงอาจมเี นื้อความผิดไปจากเดิมได้ ธาตุ คือ ศัพท์ท่ีเป็นมูลราก เป็นต้นเดิมหรือรากเง่าสาหรับให้เคร่ืองปรุงอ่ืน ๆ เข้าประกอบ บรรดากริยาอาขยาตทั้งหมด ล้วนมีธาตเุ ปน็ มูลราก จึงเกดิ เป็นรูปเป็นร่างขน้ึ ได้ ๘.๙.๒ ชนิดของธาตุ ธาตุในภาษาบาลี อาจแบ่งได้ ๒ ชนิด ดังน้ี ๑) สกรรมธาตุ (= สกมั มธาตุ) คือ ธาตุท่ตี อ้ งมกี รรมมารับ จงึ จะไดค้ วามสมบูรณ์ เช่น ภตตฺ ภุ ฺชติ. = ยอ่ มกิน ซ่งึ ข้าว (ภุชฺ ธาตุ ต้องมีกรรมคือ ภตตฺ มารบั จึงได้ความสมบูรณ์) เขตฺต กสติ. = ย่อมไถ ซึ่งนา (กสฺ ธาตุ ตอ้ งมกี รรมคอื เขตฺต มารบั จึงไดค้ วามสมบรู ณ)์ ๒) อกรรมธาตุ (= อกัมมธาตุ) คือ ธาตุท่ีไม่ต้องมีกรรมมารับ ก็ได้ความสมบูรณ์ เช่น มรต.ิ = ยอ่ มตาย (มรฺ ธาตุ ไมต่ ้องมีกรรมมารับ ก็ไดค้ วามสมบรู ณ)์ สยติ. = ยอ่ มนอน (สี ธาตุ ไม่ตอ้ งมีกรรมมารบั ก็ไดค้ วามสมบรู ณ์) ๘.๙.๓ ธาตุ ๘ หมวด ธาตุในกริยาอาขยาต มีเป็นจานวนมาก ยากท่ีจะนามาแสดงให้หมดส้ินได้ แต่เมื่อจะกล่าวโดย ยอ่ ตามที่ใชก้ ันโดยมาก อาจแบง่ ออกเปน็ หมวด ๆ ได้ ๘ หมวด โดยถือเอาปัจจัยเป็นเกณฑ์ ดงั นี้

๑๖๑ ๑) หมวด ภู ธาตุ (ลง อ ปจั จัย) ๑. ภวติ = ย่อมม,ี ยอ่ มเปน็ ภู ธาตุ = ม,ี เป็น หุ ธาตุ = ม,ี เปน็ ๒. โหติ = ย่อมม,ี ยอ่ มเป็น สี ธาตุ = นอน มรฺ ธาตุ = ตาย ๓. เสต,ิ สยติ = ย่อมนอน ปจฺ ธาตุ = หุง, ต้ม อกิ ขฺ ฺ ธาตุ = เหน็ ๔. มรติ = ยอ่ มตาย ลภฺ ธาตุ = ได้ คมฺ ธาตุ = ไป, ถึง ๕. ปจติ = ย่อมหุง, ยอ่ มต้ม ๖. อกิ ขฺ ติ = ยอ่ มเหน็ ๗. ลภติ = ย่อมได้ ๘. คจฉฺ ติ = ย่อมไป, ย่อมถึง ๒) หมวด รธุ ฺ ธาตุ (ลง อ, เอ ปจั จัย และนคิ คหติ อาคมตน้ ธาตุ) ๑. รนุ ฺธต,ิ รนุ เฺ ธติ = ย่อมปิด, ยอ่ มกั้น รธุ ฺ ธาตุ = ปดิ , ก้ัน (รุธ) มจุ ฺ ธาตุ = ปล่อย (มุจ) ๒. มุ จฺ ติ, มุ เฺ จติ = ยอ่ มปล่อย ภชุ ฺ ธาตุ = กิน (ภุช ภิทฺ ธาตุ = ตอ่ ย, ทาลาย (ภทึ ) ๓. ภุ ฺชติ = ยอ่ มกนิ ลปิ ฺ ธาตุ = ฉาบ (ลึป) ๔. ภินฺทติ = ย่อมต่อย ๕. ลิมปฺ ติ = ยอ่ มฉาบ ๓) หมวด ทวิ ฺ ธาตุ (ลง ย ปจั จัย) ๑. ทพิ ฺพติ = ยอ่ มเล่น ทวิ ฺ ธาตุ = เล่น ๒. สิพฺพติ = ยอ่ มเย็บ สวิ ฺ ธาตุ = เย็บ ๓. พชุ ฌฺ ติ = ยอ่ มรู้ พุธฺ ธาตุ = รู้ ๔. ขียติ = ย่อมสิ้น ขี ธาตุ = สิน้ ๕. มยุ ฺหติ = ยอ่ มหลง มหุ ฺ ธาตุ = หลง ๖. มุสสฺ ติ = ย่อมลืม มุสฺ ธาตุ = ลมื ๗. รชชฺ ติ = ย่อมยอ้ ม รชฺ ธาตุ = ยอ้ ม

๑๖๒ ๔) หมวด สุ ธาตุ (ลง ณุ, ณา ปัจจัย) ๑. สุณาติ = ย่อมฟัง สุ ธาตุ = ฟงั ๒. วณุ าติ = ยอ่ มรอ้ ย วุ ธาตุ = รอ้ ย ๓. สโิ ณติ = ย่อมผกู สิ ธาตุ = ผกู ๕) หมวด กี ธาตุ (ลง นา ปจั จยั ) ๑. กีนาติ = ยอ่ มซ้ือ กี ธาตุ = ซอ้ื ๒. ชนิ าติ = ย่อมชนะ ชิ ธาตุ = ชนะ ๓. ธุนาติ = ยอ่ มกาจัด ธุ ธาตุ = กาจัด ๔. จินาติ = ย่อมก่อ, ย่อมสัง่ สม จิ ธาตุ = ก่อ ๕. ลุนาติ = ย่อมเกย่ี ว, ย่อมตดั ลุ ธาตุ = เกย่ี ว, ตดั ๖. ชานาติ = ย่อมรู้ = รู้ ๗. ผุนาติ = ยอ่ มฝัด, ยอ่ มโปรย า ธาตุ = ฝัด, โปรย ผุ ธาตุ ๖) หมวด คหฺ ธาตุ (ลง ณหฺ า ปัจจยั ) คณหฺ าติ = ย่อมถอื เอา คหฺ ธาตุ = ถอื เอา ๗) หมวด ตนฺ ธาตุ (ลง โอ ปจั จัย) ๑. ตโนติ = ย่อมแผ่ไป ตนฺ ธาตุ = แผไ่ ป ๒. กโรติ = ยอ่ มทา กรฺ ธาตุ = ทา ๓. สกโฺ กติ = ย่อมอาจ สกกฺ ฺ ธาตุ = อาจ ๔. ชาคโรติ = ย่อมตน่ื ชาครฺ ธาตุ = อาจ

๑๖๓ ๘) หมวด จรุ ฺ ธาตุ (ลง เณ, ณย ปจั จัย) ๑. โจเรต,ิ โจรยติ = ยอ่ มลัก จุรฺ ธาตุ = ลกั ๒. ตกเฺ กติ, ตกฺกยติ = ย่อมตรกึ ตกฺกฺ ธาตุ = ตรกึ ๓. ลกฺเขติ, ลกฺขยติ = ยอ่ มกาหนด ลกขฺ ฺ ธาตุ = กาหนด ๔. มนฺเตติ, มนตฺ ยติ = ยอ่ มปรึกษา มนตฺ ฺ ธาตุ = ปรึกษา ๕. จินเฺ ตติ, จินตฺ ยติ = ยอ่ มคิด จนิ ฺตฺ ธาตุ = คิด ข้อสังเกต: หมวด รุธฺ ธาตุ ลง อ, เอ ปัจจัย และนิคคหิตอาคมหน้าพยัญชนะที่สุดธาตุ แล้ว แปลงนิคคหติ อาคมน้นั เปน็ พยัญชนะทส่ี ดุ วรรคของพยัญชนะท่ีสุดธาตุ ๘.๑๐ วาจก ๘.๑๐.๑ ความหมายของวาจก วาจก หมายถึง กริยาศัพทซ์ ่ึงกล่าวบทท่ีเป็นประธาน หมายความว่า เป็นกริยาศัพท์ที่บง่ บอกให้ ทราบถึงบทท่ีเป็นประธานในประโยค กริยาศัพท์ที่จะเป็นวาจกได้ ต้องประกอบด้วยวิภัตติ, กาล, บท, วจนะ, บุรุษ, ธาตุ (ตามที่ได้อธิบายมาแล้ว) และปัจจัย (ซึ่งจะอธิบายถัดจากวาจกนี้) กริยาศัพท์ซ่ึง ประกอบด้วยองค์ประกอบดังกล่าวนี้ มีอยู่ในประโยคใด ย่อมแสดงหรือบอกให้ทราบว่า ตัวประธานใน ประโยคนัน้ มอี ยู่ แม้จะไมป่ รากฏตัวในประโยคกต็ าม ๘.๑๐.๒ ประเภทของวาจก กริยาศัพท์ อันบ่งบอกตวั ประธาน ซง่ึ เรยี กว่า วาจก น้ี อาจแบ่งออกได้ ๕ ประเภท ดังน้ี ๑) กัตตวุ าจก (Active voice) บง่ บอกผู้ทาซึ่งเป็นตัวประธานในประโยค เชน่ ปรุ โิ ส ธน ลภติ. อ. บรุ ุษ ย่อมได้ ซง่ึ ทรัพย์ (ลภติ เป็นกริยากัตตุวาจก บ่งบอกผู้ทาคือ ปุริโส ซ่ึงเป็นตัวประธานใน ประโยค)

๑๖๔ ๒) กัมมวาจก (Passive voice) บ่งบอกผู้ที่ (หรือสิ่งท่ี) ถูกทา ซ่ึงเป็นตัวประธานใน ประโยค เชน่ ปรุ เิ สน ธน ลภิยเต. อ. ทรพั ย์ อนั บุรุษ ยอ่ มได้ (ลภยิ เต เป็นกริยากัมมวาจก บ่งบอกสง่ิ ท่ีถูกทา คือ ธน ซ่ึงเป็นตวั ประธานใน ประโยค) ๓) ภาววาจก (Impersonal voice) บ่งบอกเพียงความมีความเป็น หรือบ่งบอกตัว กตั ตา (ผทู้ า) ทีเ่ ป็นตตยิ าวภิ ัตติ ไมม่ ีตัวประธานทเ่ี ป็นปฐมาวภิ ตั ติ เชน่ ชเนหิ ภูยเต. อนั ชน ท. เปน็ อยู่ (ภูยเต เป็นกริยาภาววาจก บ่งบอกเพียงความมีความเป็นหรือบ่งบอกตัวกัต ตา ท่ีเปน็ ตตยิ าวิภตั ติ คือ ชเนห)ิ ๔) เหตุกัตตุวาจก (Causative voice) บ่งบอกผู้ใช้ให้ทา ซึ่งเป็นตัวประธานใน ประโยค เช่น ครุ สสิ ฺส สิปปฺ ํ สิกฺขาเปติ. อ. ครู ยังศิษย์ ให้ศึกษาอยู่ ซึง่ ศลิ ปะ (สิกฺขาเปติ เป็นกริยาเหตุกัตตุวาจก บ่งบอกผู้ใช้ให้ทาคือ ครุ ซึ่งเป็นตัว ประธานในประโยค) ๕) เหตุกัมมวาจา (Causal passive voice) บ่งบอกผู้ท่ี (หรือสิ่งท่ี) ถูกเขาใช้ให้ทา ซึง่ เปน็ ตวั ประธานในประโยค เช่น ครุนา สิสสฺ สิปฺปํ สิกขฺ าปยิ เต. อ. ศลิ ปะ อันครู ยงั ศษิ ย์ใหศ้ กึ ษาอยู่ (สิกฺขาปิยเต เป็นกริยาเหตุกัมมวาจก บ่งบอกสิ่งท่ีถูกใช้ให้ทา คือ สิปฺปํ ซึ่ง เปน็ ตวั ประธานในประโยค) วาจกดังกล่าวมาน้ี ผู้ศึกษาประสงค์จะทราบว่าเป็นวาจกอะไร ต้องกาหนดดูท่ีปัจจัย สาหรบั ประกอบวาจกน้นั ๆ

๑๖๕ ข้อสังเกต: ประโยคกัตตุวาจกกับประโยคกัมมวาจก มีโครงสร้างต่างกัน แต่มีความหมาย เหมือนกัน และประโยคเหตกุ ัตตุวาจกกับประโยคเหตุกมั มวาจก กม็ ีโครงสรา้ งต่างกนั แต่ก็มีความหมาย เหมือนกนั เช่นเดยี วกนั ๘.๑๑ ปจั จัย ๘.๑๑.๑ ความหมายของปัจจยั ปัจจัย หมายถึง กลุ่มคาสาหรับใช้ประกอบกับธาตุ โดยใช้ประกอบหลังธาตุและหน้าวิภัตติ เพ่อื สาเร็จรูปเป็นกริยาศัพทท์ เ่ี รียกว่า วาจก ๘.๑๑.๒ ปัจจัย ๕ หมวดตามวาจก ๑) ปัจจัยในกัตตุวาจก มี ๑๐ ตัว คือ อ, เอ, ย, ณุ, ณา, นา, ณฺหา, โอ, เณ, ณย ปัจจัยทั้ง ๑๐ ตัวน้ี แบง่ ลงในธาตุ ๘ หมวดตามทีไ่ ด้กลา่ วแล้ว เชน่ หมวด ภู ธาตุ ภู + อ + ติ เป็น ภวติ (ยอ่ มม,ี ยอ่ มเปน็ ) (ภู ธาตุ + อ ปัจจัย + ติ วิภัตติ สาเร็จรูปเป็น กริยาอาขยาต กัตตุวาจกคือ ภวติ) ทิวฺ + ย + ติ เป็น ทพิ พฺ ติ (ยอ่ มเลน่ ) (ทิวฺ ธาตุ + ย ปจั จัย + ติ วภิ ัตติ สาเร็จรปู เปน็ กริยาอาขยาต กัตตวุ าจก คือ ทพิ พฺ ติ) ๒) ปัจจัยในกัมมวาจก มี ๑ ตัว คือ ย ปัจจัย เม่ือใช้ ย ปัจจัย ประกอบหลังธาตุ แล้ว ใหล้ ง อิ อาคม หนา้ ย (มีรปู เป็น อิย) เช่น กร + อิ + ย + เต เป็น กรยิ เต (อนั บคุ คล) ทาอยู่ (กรฺ ธาตุ + อิ อาคม + ย ปัจจัย + เต วิภัตติ สาเร็จรูป เป็นกริยาอาขยาต กัมมวาจก คือ กริยเต) ปจ + อิ + ย + เต เปน็ ปจยิ เต (อนั บุคคล) หุงอยู่ (ปจฺ ธาตุ + อิ อาคม + ย ปัจจัย + เต วิภัตติ สาเร็จรูปเป็น กริยาอาขยาต กมั มวาจก คือ ปจยิ เต)

๑๖๖ ๓) ปจั จัยในภาววาจก มี ๑ ตัว คือ ย ปจั จยั เชน่ ภู + ย + เต เปน็ ภูยเต (อนั บคุ คล) เปน็ อยู่ (ภู ธาตุ + ย ปัจจัย + เต วัตตมานาวิภัตติ สาเร็จรูปเป็นกริยาอาขยาต ภาว วาจก คือ ภยู เต) ขอ้ ควรจา: กรยิ าอาขยาตในภาววาจก ประกอบวภิ ัตติท่ีเป็นอตั ตโนบท ประถมบุรษุ และ เอก วจนะ เท่านั้น ๔) ปจั จัยในเหตุกตั ตุวาจก มี ๔ ตวั คอื เณ, ณย, ณาเป, ณาปย เช่น กรฺ + เณ + ติ เป็น กาเรติ (ยงั บุคคล) ให้ทาอยู่ (กรฺ ธาตุ + เณ ปัจจยั + ติ วิภัตติ สาเร็จรูปเปน็ กริยาอาขยาต เหตุกัตตุวาจก คือ กาเรติ) จุรฺ + ณาเป + ติ เป็น โจราเปติ (ยงั บคุ คล) ใหข้ โมยอยู่ (จุรฺ ธาตุ + ณาเป ปัจจัย + ติ วิภัตติ สาเร็จรูปเป็น กริยาอาขยาต เหตุกัตตุ วาจก คอื โจราเปติ) ๕) ปัจจัยในเหตุกัมมวาจก มี ๕ ตัว คือ เณ, ณย, ณาเป, ณาปย (ยืมปัจจัยใน เหตุกัตตุวาจก) และ ย (ยืมปัจจัยในกัมมวาจก) และเม่ือใช้ประกอบธาตุ ให้ ลง อิ อาคม หน้า ย ปัจจัย ด้วย เชน่ ภู + เณ + อิ + ย + เต เปน็ ภาวยิ เต (ยงั บคุ คล) ให้เจริญอยู่ (ภู ธาตุ + เณ ปัจจัย + อิ อาคม + ย ปัจจัย + เต วิภัตติ สาเร็จรูป เป็น กรยิ าอาขยาต เหตกุ ัมมวาจก คอื ภาวิยเต) กรฺ + ณาเป + อิ + ย + เต เป็น การาปิยเต (ยังบุคคล) ใหท้ าอยู่ (กรฺ ธาตุ + ณาเป ปัจจัย + อิ อาคม + ย ปัจจัย + เต วิภัตติ สาเร็จรูปเป็น กริยาอาขยาตเหตกุ ัมมวาจก คือ การาปิยเต) อย่างไรก็ตาม ยังมีกริยาขยาต เหตุกัมมวาจกบางตัว นาปัจจัยในกัตตุวาจก ๑๐ ตัว (ปัจจัย ประจาหมวดธาต)ุ มาประกอบดว้ ย เชน่ คหฺ + ณฺหา + ณาเป + อิ + ย + เต เปน็ คณฺหาปยิ เต (ยงั บคุ คล) ให้ถือเอาอยู่

๑๖๗ (คหฺ ธาตุ + ณฺหา ปัจจัย + ณาเป ปัจจัย + อิ อาคม + ย ปัจจัย + เต วิภตั ติ สาเรจ็ รูปเปน็ กริยาอาขยาตเหตุกัมมวาจก คอื คณฺหาปยิ เต) กล่าวโดยสรุป กริยาอาขยาต ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๘ อย่าง ดังกล่าวมาแล้ว คือ กาล, บท, วจนะ, บุรษุ , ธาตุ, วาจก และปัจจัย เชน่ ปจติ (ย่อมหุง, หุงอยู่, จะหุง) ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ ๘ อย่าง ได้แก่ ๑) วิภัตติ คือ ติ วิภัตติ ๒) กาล คือ ปัจจุบันกาล ๓) บท คือ ปรัสสบท ๔) วจนะ คือ เอกวจนะ ๕) บุรุษ คือ ประถมบุรษุ ๖) ธาตุ คือ ปจฺ ธาตุ ๗) วาจก คอื กัตตุวาจก และ ๘) ปัจจัย คือ อ ปจั จยั อนึ่ง ถ้าจะกล่าวโดยสรุปให้ย่อที่สุด และเป็นรูปธรรมมากท่ีสุด อาจกล่าวได้ว่า กริยาอาขยาต ประกอบดว้ ยองค์ประกอบหลกั ๓ ประการ คอื ธาตุ, ปัจจัย และวิภัตติ เชน่ คจฉฺ ติ (ย่อมไป, ไปอยู่, จะ ไป) ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๓ อย่าง ได้แก่ ๑) ธาตุ คือ คมฺ ธาตุ ๒) ปัจจัย คือ อ ปัจจัย และ ๓) วภิ ตั ติ คอื ติ วิภตั ติ องค์ประกอบท่ีเหลือ คือ กาล, บท, วจนะ, และบุรษ เป็นองค์ประกอบท่ีเป็นนามธรรมไม่ ปรากฏตัวในกริยาอาขยาตแต่แฝงอยู่ในวิภัตติ และวิภัตติน่ันเอง เป็นตัวบอกกาล, บท, วจนะ, และ บุรษ สว่ นวาจก ในกรยิ าอาขยาตก็รู้ไดด้ ้วยปัจจยั เพราะปจั จยั เป็นตวั กาหนดวาจก ดังกล่าวมาแล้ว ข้อควรจา: กริยาอาขยาตทุกตัว กล่าวโดยสรุปต้องประกอบด้วย ธาตุ ปัจจัย และวิภัตติ (เทคนคิ การจาองคป์ ระกอบของกริยาอาขยาต: ธาตฟุ าดปจั จยั ใส่วิภัตต)ิ ๘.๑๒ สรุปทา้ ยบท กริยาอาขยาต คือ ศัพท์ท่ีเป็นกริยาแท้หรือกริยาหลักที่แสดงการกระทาของประธานใน ประโยค เรียกชื่อในทางสัมพันธ์ว่า “กริยาคุมพากย์” (กริยาคุมประโยค) กริยาอาขยาตทุกตัวต้อง ประกอบด้วยเคร่ืองปรุง ๘ ประการ คือ วิภัตติ, กาล, บท, วจนะ, บุรุษ, ธาตุ, วาจก, และปัจจัย เพ่ือ เป็นเคร่ืองหมายบอกให้ทราบเนื้อความอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวโดยย่อ และเป็นรูปธรรม มากท่สี ดุ กรยิ าอาขยาตทกุ ตวั ต้องประกอบด้วยเครื่องปรุง ๓ ประการ คอื ธาตุ, ปัจจัย และวภิ ตั ติ

๑๖๘ แบบฝึกหดั ทา้ ยบทท่ี ๘ แบบฝึกหัดที่ ๘.๑ ให้เลอื กคาตอบทีถ่ ูกท่ีสดุ เพียงขอ้ เดียว ๑. กริยาอาขยาต คืออะไร ก. กรยิ าชว่ ยทอ่ี ยู่ในระหว่างประโยค ข. กรยิ าแทท้ ่ีแสดงการกระทาของประธานในประโยค ค. ศพั ท์ที่แสดงการกระทาของประธานในประโยค ง. ศพั ท์ท่ีทาหนา้ ท่ใี ห้เน้อื เร่ืองในประโยคดาเนนิ ต่อไปได้โดยสะดวก ๒. กรยิ าอาขยาต มีองค์ประกอบกีป่ ระการ ข. ๔ ประการ ก. ๒ ประการ ง. ๘ ประการ ค. ๖ ประการ ๓. คาวา่ “กโรนฺติ” เปน็ วภิ ัตติ กาล บท และวจนะอะไร ก. อนฺติ วิภัตติ, ปจั จบุ นั กาล, ปรัสสบท, และ พหวุ จนะ ข. ติ วิภัตต,ิ ปจั จบุ นั กาล, ปรสั สบท, และ เอกวจนะ ค. อนตฺ ิ วิภัตต,ิ อดีตกาล, ปรสั สบท, และ พหุวจนะ ง. ติ วิภตั ติ, ปัจจบุ ันกาล, อัตตโนบท, และ เอกจนะ ๔. คาว่า “ปจติ” เปน็ บุรษุ ธาตุ วาจก และ ปัจจัยอะไร ก. ประถมบรุ ษุ , ปจฺ ธาตุ, กตั ตวุ าจก, และ ติ ปัจจัย ข. มัธยมบรุ ษุ , ปจฺ ธาตุ, กมั มวาจก, และ ติ ปจั จัย ค. อุตตมบรุ ุษ, ปจฺ ธาตุ, กตั ตวุ าจก, และ อ ปจั จัย ง. ประถมบุรษุ , ปจฺ ธาต,ุ กัตตวุ าจก, และ อ ปจั จยั ๕. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้อง ก. วภิ ตั ติอาขยาตบอกให้รู้ กาล, บท, วจนะ, และ บุรษุ ข. วภิ ตั ตินามบอกให้รู้ ลิงค์, วจนะ, การันต,์ และ อายตนิบาต ค. วิภัตติอาขยาตใชแ้ จกธาตุประเภทกรยิ า ส่วนวิภัตติอาขยาตใช้แจกนามศพั ท์ ง. วภิ ัตตอิ าขยาตแบ่งเป็น ๗ หมวด ๆ ละ ๒ บท ๆ ละ ๓ บรุ ุษ ๆ ละ ๒ วจนะ ๖. ถา้ ต้องการจะทราบบุรุษ ต้องอาศยั อะไร ข. กาล ก. วิภัตติ ง. วจนะ ค. บท

๑๖๙ ๗. “อย่,ู ย่อม, จะ” เป็นคาแปลของวิภัตติหมวดใด ข. ปโรกขา ก. ปัญจมี ง. หยิ ตั ตนี ค. วัตตมานา ๘. วภิ ตั ติหมวด อัชชตั ตนี บอกกาลอะไร ข. อดตี กาล ก. ปจั จุบันกาล ง. อนาคตแห่งอดตี ค. อนาคตกาล ๙. “ถา้ มี อ อย่หู นา้ แปลวา่ ได้...แล้ว” เกี่ยวขอ้ งกับวิภตั ติหมวดใด ก. หิยัตตนี ข. อชั ชัตตนี ค. ภวิสสนั ติ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก ๑๐. “จง, เถดิ , ขอจง” เป็นคาแปลของวิภตั ติหมวดใด ก. กาลาติปตั ติ ข. ปัญจมี ค. ปโรกขา ง. หยิ ัตตนี ๑๑. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกตอ้ ง ก. ธาตุ คือ กริยาศัพทท์ ี่เปน็ มลู ราก ข. ธาตุมี ๘ หมวด มี ภู ธาตุ เป็นตน้ ค. ธาตจุ ัดเปน็ ๒ ชนิด คือ สกมั มธาตุ กบั อกัมมธาตุ ง. อกมั มธาตุ คือ ธาตุทต่ี ้องมีกรรมมารบั สว่ นสกัมมธาตุคือธาตทุ ่ีไม่ต้องมีกรรมมารบั ๑๒. ข้อใด ไม่ใช่ ปัจจยั ในกัตตวุ าจก ข. ณ,ุ ณา, นา ก. อ, เอ, ย ง. เณ, ณย, ณาเป, ณาปย ค. ณฺหา, โอ, เณ, ณย ๑๓. “ย ปจั จยั และมี อิ อาคมหน้า ย” เกยี่ วข้องกบั วาจกใด ก. กตั ตวุ าจก ข. กมั มวาจก ค. เหตุกัตตุวาจก ง. เหตุกมั มวาจก ๑๔. ย ปัจจัย ใช้ลงในวาจกใด ข. กมั มวาจก ก. กตั ตวุ าจก ง. เหตกุ ัตตุวาจก ค. ภาววาจก ๑๕. “ณาเป และ ย ปจั จยั อกี ท้ังมี อิ อาคมหน้า ย” ใช้ในวาจกใด ก. กัมมวาจก ข. ภาววาจก ค. เหตุกตั ตวุ าจก ง. เหตุกัมมวาจก

๑๗๐ ๑๖. อ อาคม ใช้ลงท่ีไหน ในวภิ ัตติหมวดใด ก. ลงหน้าธาตุ ในวิภัตติหมวดหิยตั ตนี, อัชชัตตนี, และ กาลาตปิ ตั ติ ข. ลงหลงั ธาตุ ในวภิ ัตติหมวดปัญจม,ี อชั ชัตตนี, และ กาลาติปตั ติ ค. ลงหน้าธาตุ ในวิภัตติหมวดสตั ตม,ี วัตตมานา, และ ปโรกขา ง. ลงหลังธาตุ ในวิภตั ตหิ มวดหิยตั ตนี, อชั ชัตตน,ี และ กาลาติปตั ติ ๑๗. อิ อาคม ใช้ลงท่ีไหน ก. ลงหน้าธาตุและปัจจัยทป่ี ระกอบด้วยวิภัตตหิ มวดอชั ชัตตนี ภวิสสนั ติ และ กาลาตปิ ตั ติ ข. ลงหลังธาตุและปัจจัยทป่ี ระกอบด้วยวภิ ตั ติหมวดอัชชตั ตนี ภวิสสนั ติ และ กาลาติปตั ติ ค. ลงหนา้ ธาตุและปจั จยั ท่ีประกอบด้วยวิภัตตหิ มวดหยิ ัตตนี อัชชัตตนี และ กาลาตปิ ัตติ ง. ลงหลงั ธาตแุ ละปจั จยั ทปี่ ระกอบดว้ ยวิภัตติหมวดสตั ตมี วัตตมานา และ ปโรกขา ๑๘. ข้อใดกลา่ วไม่ถกู ต้อง ก. มิ - ม วัตตมานาก็ดี หิ - มิ - ม ปัญจมีก็ดี อยู่ข้างหลังต้องทีฆะ อ ที่สุดปัจจัย เป็น อา ในหมวดธาตุท้ังปวง ข. หิ ปัญจมี ลบเสียบ้างก็ได้ แต่เม่ือลบแล้วให้ทีฆะ อ ท่ีสุดปัจจัย เป็น อา ใน หมวดธาตุ ทง้ั ปวง ค. อา หิยัตตนี มกั รสั สะเป็น อ ในหมวดธาตุท้ังปวง เช่น อททฺ ส ง. อา กาลาติปัตติ (สสฺ า) มกั รัสสะเปน็ อ ในหมวดธาตทุ ้งั ปวง เชน่ อภวสิ สฺ ๑๙. กาลาติปัตติ บอกอนาคตกาลแห่งอดีต แปลว่า “จัก - แล้ว ” ถ้ามี อ อยู่หนา้ แปลว่า อะไร ก. จกั ข. จกั ได้ - แลว้ ค. ควร พึง พงึ ง. จง เถดิ ขอจง ๒๐.วภิ ตั ติทบี่ อกปจั จุบนั แท้ แปลวา่ อะไร ข. ย่อม ก. อยู่ ง. ถูกตอ้ งทุกข้อ ค. จะ ๒๑.วิภตั ตหิ มวดใดที่บอกอดตี กาลโดยไม่มกี าหนดและแปลวา่ “แล้ว” ก. กาลาติปัตติ ข. อัชชัตตนี ค. หิยตั ตนี ง. ปโรกขา ๒๒.ปัญจมีวิภัตติ ทบี่ อกความหวังหรือความปรารถนา แปลว่าอะไร ก. ...เถิด ข. จง... ค. ขอจง... ง. ควร...

๑๗๑ ๒๓. วภิ ัตตหิ มวดหิยตั ตนี บอกกาลอะไร ข. อดตี กาลล่วงแลว้ ไม่มีกาหนด ก. อดีตกาลล่วงแลว้ วานน้ี ง. ปัจจบุ นั กาลใกลอ้ ดีต ค. อดีตกาลลว่ งแล้ววันนี้ ๒๔. อัตตโนบท เปน็ เคร่อื งหมายบอกให้รกู้ รยิ าชนดิ ใด ก. กรยิ าท่ีเป็นกัตตุวาจก ข. กริยาทีเ่ ป็นกมั มวาจก ค. กรยิ าที่เป็นภาววาจก ง. กรยิ าทเ่ี ปน็ กมั มวาจกและภาววาจก ๒๕. กริยาศัพทท์ ่ีกล่าวถึงผู้ใช้ใหค้ นอ่ืนทา ชื่อว่าอะไร ก. กตั ตุวาจก ข. กมั มวาจก ค. เหตกุ ัตตวุ าจก ง. เหตกุ มั มวาจก ๒๖. “ชานาติ” แยกธาตุ ปัจจัย และวภิ ตั ติ ได้ตามขอ้ ใด ก. า + นา + ติ ข. ชา + นา + ติ ค. ชาน + อ + ติ ง. ชาน + อา + ติ ๒๗. กรยิ าศพั ทท์ ี่กลา่ วถงึ ส่ิงทถ่ี ูกทา ช่ือวา่ อะไร ข. กัมมวาจก ก. กัตตุวาจก ง. เหตกุ มั มวาจก ค. เหตกุ ัตตุวาจก ๒๘. ข้อใดกล่าวไมถ่ กู ตอ้ ง ก. วจนะนามใช้ประกอบนามเพ่ือแสดงจานวนมากน้อยของนาม ข. วจนะอาขยาตใชป้ ระกอบกริยาเพ่ือแสดงความมากน้อยของบทประธาน ค. วจนะนาม มีลิงคข์ องนามศพั ทเ์ ปน็ เคร่ืองหมายบอกให้ทราบ ง. วจนะอาขยาต วภิ ตั ติอาขยาตเป็นเครื่องหมายบอกให้ทราบ ๒๙. บทประธานกับกริยาอาขยาต ต้องมีวจนะและบุรุษตรงกันจึงจะถูกต้อง ต่อไปนี้ข้อใด ไม่ ถูกต้อง ก. ชโน คจฉฺ ติ ข. ตฺว คจฉฺ สิ ค. อห คจฺฉามิ ง. ตมุ ฺเห คจฉฺ าม ๓๐. “ทพิ พฺ ติ = ย่อมเลน่ ” แยกธาตุ ปัจจยั และวภิ ตั ติ ได้ตามข้อใด ก. ทิวฺ – ย – ติ ข. ทิพพฺ ฺ – อ – ติ ค. ทิพฺ – พ – ติ ง. ทิ – พพฺ – ติ

๑๗๒ แบบฝึกหดั ท่ี ๘.๒ ใหจ้ บั ค่คู าทีม่ ีความหมายตรงกนั ก. ยอ่ มได้ ข. ยอ่ มปล่อย .................. ๑. ภวติ ค. ย่อมนอน .................. ๒. สยติ ง. ยอ่ มหงุ ................. ๓. ปจติ จ. ยอ่ มมี ................. ๔. ลภติ ฉ. ยอ่ มเย็บ ................. ๕. มุ จฺ ติ ช. ยอ่ มตอ่ ย ................. ๖. ภนิ ทฺ ติ ซ. ยอ่ มลมื ................. ๗. สพิ ฺพติ ฌ. ยอ่ มรอ้ ย ................. ๘. ขยี ติ ญ. ยอ่ มสน้ิ ................. ๙. มุสสฺ ติ ฎ. ย่อมกาจดั ................. ๑๐. วณุ าติ ฐ. ย่อมซื้อ ................. ๑๑. กีนาติ ฑ. ยอ่ มฝัด ................. ๑๒. ธุนาติ ฒ. ยอ่ มตัด ................. ๑๓. ลุนาติ ณ. ย่อมทา ................. ๑๔. ผนุ าติ ด. ย่อมถอื เอา ................. ๑๕. คณหฺ าติ ต. ยอ่ มตรกึ ................. ๑๖. กโรติ ถ. ย่อมปรึกษา ................. ๑๗. ชาคโรติ ท. ย่อมตืน่ ................. ๑๘. ตกฺเกติ ธ. ย่อมคดิ ................. ๑๙. มนเฺ ตติ ................. ๒๐. จนิ เฺ ตติ

๑๗๓ แบบฝึกหดั ที่ ๘.๓ ก. ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนี้เปน็ ไทยโดยใหถ้ ูกต้องตามบุรุษ, วจนะ, และกาล ๑. ปุรโิ ส กโรติ ..................................................................................................... ๒. ปุรสิ า กโรนตฺ ิ ..................................................................................................... ๓. ตวฺ ปจสิ ..................................................................................................... ๔. ตุมเฺ ห ปจถ ..................................................................................................... ๕. อห คจฉฺ ามิ ..................................................................................................... ๖. มย คจฺฉาม ..................................................................................................... ๗. ชโน ชานาตุ ..................................................................................................... ๘. ชนา ชานนตฺ ุ ..................................................................................................... ๙. ตวฺ คจฺฉาหิ ..................................................................................................... ๑๐. ตุมเฺ ห คจฉฺ ถ ..................................................................................................... ๑๑. อห กโรมิ ..................................................................................................... ๑๒. มย กโรม ..................................................................................................... ๑๓. โส ชาเนยยฺ ..................................................................................................... ๑๔. เต ชาเนยฺยุ ..................................................................................................... ๑๕. ตวฺ คจฺเฉยฺยาสิ ๑๖. ตมุ ฺเห คจเฺ ฉยฺยาถ ..................................................................................................... ๑๗. อห ปสฺเสยฺยามิ ….................................................................................................. ๑๘. มย ปสเฺ สยยฺ าม ...................................................................................................... ๑๙. อห กเรยฺย ...................................................................................................... ๒๐. สตถฺ า อาห ...................................................................................................... ๒๑. อาจรยิ า อาหุ ...................................................................................................... ๒๒. ตฺว กเร ...................................................................................................... ๒๓. ตุมเฺ ห กริตถฺ ...................................................................................................... ๒๔. อห กร ...................................................................................................... ๒๕. มย กรมิ ฺห ...................................................................................................... ๒๖. อห คจฺฉึ ...................................................................................................... ๒๗. ขโณ โว มา อปุ จฺจคา ...................................................................................................... ๒๘. อห เอว อวจ ...................................................................................................... ๒๙. มย เอว อวจมิ หฺ ...................................................................................................... ๓๐. อห อกรึ ..................................................................................................... ๓๑. กมฺม อโหสิ …................................................................................................... ๓๒. กมฺมานิ อเหสุ ….................................................................................................. …..................................................................................................

๑๗๔ ๓๓. ตมุ ฺเห กมมฺ อกริตฺถ ..................................................................................................... ๓๔. อห อวทึ ..................................................................................................... ๓๕. มย อวทิมหฺ า ..................................................................................................... ๓๖. อห อวท ..................................................................................................... ๓๗. ปุคคฺ โล คจฉฺ ิสฺสติ ….................................................................................................. ๓๘. ปุคฺคลา คจฺฉิสสฺ นฺติ ….................................................................................................. ๓๙. ตฺว ปสฺสสิ สฺ สิ ….................................................................................................. ๔๐. ตมุ ฺเห ปสฺสสิ ฺสถ …................................................................................................. ๔๑. อห ชานิสฺสามิ ….................................................................................................. ๔๒. มย ชานิสสฺ าม ….................................................................................................. ๔๓. ชโน วตถฺ ุ อลภสิ ฺส …................................................................................................. ๔๔. โส เจ ยาน อลภิสฺสา ๔๕. อห ปุ ฺ อกรสิ สฺ ….................................................................................................. …..................................................................................................

๑๗๕ ข. ให้แปลคากริยาอาขยาตต่อไปนเี้ ป็นไทยโดยขึ้นประธานให้ถกู ตอ้ งตามวภิ ตั ติ, วจนะ, และบรุ ษุ ๑. ปจติ ...................................……….….... ๓๑. โหถ ............................................................ ๒. ปจนฺต.ิ ................................................. ๓๒. ปจามิ ......................................................... ๓. ปจสิ ................................................... ๓๓. หรามิ ......................................................... ๔. ปจถ ................................................... ๓๔. อตฺถุ ........................................................... ๕. ปจามิ .................................................. ๓๕. คจฺฉาหิ ....................................................... ๖. ปจาม .................................................. ๓๖. คจฉฺ ............................................................ ๗. จรติ ..................................................... ๓๗. นสิ ีท ........................................................... ๘. ขาทนตฺ ิ ............................................... ๓๘. คจฉฺ ามิ ....................................................... ๙. ลิขสิ .................................................... ๓๙. คจฉฺ าม ....................................................... ๑๐. หรถ .................................................... ๔๐. กเรยฺย ......................................................... ๑๑. ปิวามิ .................................................. ๔๑. กเรยยฺ ุ ......................................................... ๑๒. ปสสฺ าม ............................................... ๔๒. กเรยฺยาสิ .................................................... ๑๓. อตฺถิ .................................................... ๔๓. กเรยฺยาถ .................................................... ๑๔. นตฺถิ .................................................... ๔๔. กเรยยฺ ามิ .................................................... ๑๕. อตฺถ .................................................... ๔๕. กเรยฺยาม .................................................... ๑๖. ลภามิ .................................................. ๔๖. วเสยฺย ........................................................ ๑๗. กโรม ................................................... ๔๗. สเุ ณยฺย.ุ ....................................................... ๑๘. ทมมฺ ิ .................................................... ๔๘. มุ ฺเจยฺยาสิ ................................................ ๑๙. ทมฺม .................................................... ๔๙. ทเทยฺยาถ ................................................... ๒๐. อมหฺ ิ .................................................... ๕๐. เทเสยยฺ ามิ .................................................. ๒๑. อมฺห .................................................... ๕๑. วเทยยฺ าม ................................................... ๒๒. กโรตุ ................................................... ๕๒. กยิรา .......................................................... ๒๓. กโรนตฺ ุ ................................................ ๕๓. สิยา ............................................................ ๒๔. กโรหิ ................................................... ๕๔. อสฺส ............................................................ ๒๕. กโรถ ................................................... ๕๕. อสฺสุ ........................................................... ๒๖. กโรมิ ................................................... ๕๖. สยิ ุ .............................................................. ๒๗. กโรม ................................................... ๕๗. อสฺสถ ......................................................... ๒๘. สุณาตุ ................................................ ๕๘. อสสฺ ............................................................ ๒๙. คจฺฉนตฺ ุ ............................................... ๕๙. อสฺสาม ....................................................... ๓๐. คณฺหาหิ .............................................. ๖๐. อาห ............................................................

๑๗๖ ๖๑. อาหุ .................................................... ๙๓. ปจิสสฺ าม ................................................... ๖๒. อวทา .................................................. ๙๔. กีณสิ สฺ ติ...................................................... ๖๓. อวท .................................................. ๙๕. คมสิ สฺ นตฺ .ิ ................................................... ๖๔. อวทู .................................................... ๙๖. จรสิ สฺ ส.ิ ....................................................... ๖๕. อวโท .................................................. ๙๗. ปสสฺ สิ ฺสถ ................................................... ๖๖. อวทตฺถ ............................................... ๙๘. ททสิ สฺ ามิ ................................................... ๖๗. อวท .................................................. ๙๙. ภุ ฺชสิ ฺสาม ............................................... ๖๘. อวทมฺห .............................................. ๑๐๐. กาหติ ..................................................... ๖๙. อโวจ ................................................... ๑๐๑. กาหนตฺ ิ .................................................. ๗๐. อุปจฺจคา ............................................. ๑๐๒. กาหสิ ..................................................... ๗๑. กริ .................................................... ๑๐๓. กาหถ ..................................................... ๗๒. กร ....................................................... ๑๐๔. กาหามิ ................................................... ๗๓. กรสึ ุ .................................................... ๑๐๕. กาหาม ................................................... ๗๔. กโร .................................................... ๑๐๖. วจฉฺ ามิ .................................................... ๗๕. กริตฺถ ................................................ ๑๐๗. วจฺฉาม .................................................... ๗๖. กรึ ...................................................... ๑๐๘. วกฺขามิ .................................................... ๗๗. กริมฺหา ................................................ ๑๐๙. วกฺขาม .................................................... ๗๘. อกริ .................................................... ๑๑๐. วทสิ ฺสา .................................................... ๗๙. อกาสิ.................................................. ๑๑๑. วทิสฺส ...................................................... ๘๐. อกสุ ................................................. ๑๑๒. วทสิ ฺสสุ .................................................... ๘๑. อกรึสุ ................................................ ๑๑๓. วทสิ เฺ ส ..................................................... ๘๒. อกโร .................................................. ๑๑๔. วทสิ ฺสถ .................................................... ๘๓. อกตฺถ ................................................. ๑๑๕. วทิสสฺ ..................................................... ๘๔. อกริตฺถ ............................................... ๑๑๖. วทสิ สฺ ามฺหา ..........................................… ๘๕. อกรึ ................................................... ๑๑๗. อคจฺฉิสฺสา ............................................... ๘๖. อกาสึ ............................................... ๑๑๘. อคจฉฺ สิ ฺส ................................................. ๘๗. อกริมหฺ า ............................................ ๑๑๙. อคจฉฺ ิสสฺ สุ ............................................... ๘๘. ปจสิ ฺสติ .............................................. ๑๒๐. อคจฉฺ ิสเฺ ส ................................................ ๘๙. ปจสิ ฺสนฺติ ............................................ ๑๒๑. อคจฺฉิสฺสถ ............................................... ๙๐. ปจิสสฺ สิ .............................................. ๑๒๒. อคจฺฉสิ ฺส ................................................. ๙๑. ปจิสฺสถ ............................................... ๑๒๓. อจฺฉสิ สฺ ามหฺ า .......................................... ๙๒. ปจสิ ฺสามิ .............................................

๑๗๗ แบบฝึกหดั ท่ี ๘.๔ ก. ใหเ้ ปลี่ยนประโยคต่อไปนีเ้ ป็น “กัมมวาจก” ๑. กสกา เขตฺต กสนฺติ. ๒. สงฺโฆ ธมฺม จรติ. ๓. ทาริกา อทุ ก ปวิ ติ. ๔. อห ภตตฺ านิ ปริภุ ชฺ าม.ิ ๕. ปาสกิ าโย อฏฺ สีลานิ รกฺขนฺติ. ข. ใหเ้ ปลี่ยนประโยคต่อไปนีเ้ ป็น “เหตกุ มั มวาจก” ๑. สามิโก สทู โอทน ปาเจต.ิ ๒. มาตา ธตี ร สิปฺปานิ สิกขฺ าเปต.ิ ๓. ราชา ราชปรุ ิส กมมฺ การาเปติ. ๔. ภกิ ขฺ ุ อปุ าสก ธมฺม กถาเปติ. ๕. อิตฺถี ปตุ ตฺ ธนานิ รกฺขาเปติ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook