๑๗๘ แบบฝึกหัดที่ ๘.๕ ก. ใหอ้ ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แล้วขดี เส้นใตศ้ ัพท์ทีเ่ ปน็ กรยิ าอาขยาต เถโร “กึ ปน มย ตยา กถิตวตฺเต วตฺติสฺสามาติ อวตฺวา “กึ กาตุ วฏฺฏติ อุปาสิเกติ อาห. “ภนฺเต โสสานิเกหิ นาม สุสาเน วสนภาโว สุสานโคปากน วิหาเร มหาเถรสฺส คามโภชกสฺส จ กเถต วฏฺ ฏตีติ. “กึการณาติ. “กตกมฺมา โจรา สามิเกหิ ปทานุปท อนุพนฺธนฺตา สุสาเน ภณฺฑิก ฉฑฺเฑตฺวา ปลายนฺติ; อถ มนุสฺสา โสสานิกาน ปริปนฺถ กโรนฺติ; เอเตส ปน กถิเต, ‘มย อิมสฺส ภททฺ นฺตสฺส เอตฺตกนฺนาม กาล เอตฺถ วสนภาว ชานาม, อโจโร เอโสติ อุปทฺทว นิวาเรนฺติ; ตสฺมา เอเตส กเถตุ วฏฺ ฏตีติ. “อ ฺ กึ กาตพฺพนฺติ. “ภนฺเต สุสาเน วสนฺเตน นาม อยฺเยน มจฺฉมส- ปิฏฺ ติลคุฬาทีนิ วชฺเชตพฺพานิ, ทิวา น นิทฺทายิตพฺพ, อกุสีเตน ภวิตพฺพ อารทฺธวิริเยน, อสเ น อมายาวินา หุตฺวา กลฺยาณชฺฌาสเยน ภวิตพฺพ, สาย สพฺเพสุ สุตฺเตสุ วิหารโต อาคนฺตพฺพ, ปจจฺ ูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺฐิเตสุเยว, วิหาร คนฺตพฺพ, สเจ ภนเฺ ต อยฺโย อิมสฺมึ าเน เอว วิหรนโฺ ต ปพฺพชิตกิจฺจ มตฺถก ปาเปตุ สกฺขิสฺสติ, สเจ มตสรีร อาเนตฺวา ฉฑฺเฑนฺติ, กมฺพลกูฏาคาร อาโรเปตฺวา คนฺธมาลาทีหิ สกฺการ กตฺวา สรีรกิจจ กรสิ ฺสามิ; โน เจ สกขฺ ิสฺสติ, จิตก อาโรเปตฺวา อคฺคึ ชาเลตฺวา สงฺกุนา อากฑฺฒิตฺวา พหิ เปตฺวา ผรสุนา โกฏฺ เฏตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิก ฉินฺทิตฺวา อคคฺ มิ ฺหิ ปกฺขิปติ ฺวา ตยุ ฺห ทสเฺ สตฺวา ฌาเปสฺสามีติ.๕ ข. ให้อ่านข้อความตอ่ ไปนี้ แล้วขดี เส้นใตศ้ พั ท์กริยาอาขยาตท่ีมวี ภิ ัตติบอกเอกวจนะ อุปาสโก นครวีถิย จรนฺโต “อมฺมตาตา มยา ภิกฺขุสหสฺส นิมนฺติต, ตุมฺเห กิตฺตกาน ภิกฺขูน ภิกฺข ทาตุ สกฺขิสฺสถ, ตุมฺเห กิตฺตกานนฺติ สมาทเปติ. มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน ปโหนกนิ ยาเมน “มย ทสนฺน ทสฺสาม, มย วีสติยา, มย สตสฺสาติ อาหสุ. อุปาสโก “ เตนหิ เอกสฺมึ าเน สมาคม กตฺวา เอกโตว ปจิสฺสาม, สพฺเพ เตติลตณฺฑลุ สปฺปิผาณิตาทีนิ สมาหรถาติ เอกสฺมึ าเน สมาหราเปสิ. อถสฺส เอโก กุฏุมฺพิโก สตสหสฺสคฺฆนก คนฺธารกาสาววตฺถ ทตฺวา “สเจ เต ทานวฏฺ ฏ นปฺปโหติ, อิท วิสฺสชฺเชตฺวา, ยทูน, ต ปูเรยฺยาสิ; สเจ ปโหติ, ยสฺส อิจฺฉสิ; ตสฺส ภิกฺขุโน ทเทยฺยาสีติ อาห. ตทา ตสฺส สพฺพ ทานวฏฺ ฏ ปโหสิ, กิ ฺจิ อูนนฺนาม นาโหสิ. โส มนุสฺเส ปุจฺฉิ “ อิท อนคฺฆกาสาว เอเกน กุฏุมฺพิเกน เอว นาม วตฺวา ทินฺน, ทานวฏฺ ฏ อติเรก ชาต, กสฺสิท เทมาติ. เอกจฺเจ “สารีปุตฺตตฺเถรสฺสาติ อาหสุ. เอกจฺเจ “เถโร สสฺสปริปากสมเย อาคนฺตฺวา คมนสีโล; เทวทตฺโต อมฺหาก มงคลามงฺคเลสุ สหาโย อุทกมณิโก วิย นิจฺจ ปติฏฺ ฐโต, ตสฺส ต เทมาติ อาหสุ. สมฺพหุลิกาย กถายปิ “เทวทตฺตสฺส ทาตพฺพนฺติ วตฺตาโร พหุตรา อเหสุ. ๕ ธ.อ.๑/๖๒-๖๓.
๑๗๙ อถ น เทวทตฺตสฺส อทสุ. โส ต ฉนิ ฺทิตวฺ า สิพฺพิตฺวา รชิตฺวา นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา วจิ รติ. มนุสฺสา ต ทสิ วฺ า“นยทิ เทวทตฺตสสฺ อนุจฉฺ วิก; สารีปตุ ฺตตฺเถรสฺส อนุจฺฉวิก; เทวทตฺโต อตตฺ โน อนนุจฺฉวิก นิวาเสตฺวา ปารปุ ิตวฺ า วจิ รตตี ิ วทึสุ.๖ ค. ให้อ่านขอ้ ความต่อไปนี้ และขีดเส้นใต้ศัพท์กรยิ าอาขยาตท่ีมีวิภตั ติบอกอดีตกาล สาวตฺถิย กิร มหาสุวณฺโณ นาม กุฏุมฺพิโก อโหสิ อฑฺโฒ มหทฺธโน มหาโภโค อปุตฺตโก. โส เอกทิวส นหานติตฺถ คนฺตฺวา นหาตฺวา อาคจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค สมฺปนฺนสาข เอก วนปฺปตึ ทิสฺวา, “อย มเหสกฺขาย เทวตาย ปริคฺคหิโต ภวิสฺสตีติ ตสฺส เหฏฺ าภาค โสธาเปตฺวา ปาการ- ปริกฺเขปํ การาเปตฺวา วาลุก โอกิราเปตฺวา ธชปตาก อุสฺสาเปตฺวา วนปฺปตึ อลงฺกริตฺวา “ปุตฺต วา ธีตร วา ลภิตฺวา ตมุ หฺ าก มหาสกกฺ าร กรสิ สฺ ามตี ิ ปตฺถน กตวฺ า ปกฺกาม.ิ อถสฺส ภริยาย กุจฉิย คพฺโภ ปติฏฺ าสิ. โส ตสฺสา คพฺภปริหาร อทาสิ. สา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺต วิชายิ. เสฏฺ ฐี อตฺตนา ปาลิต วนปฺปตึ นิสฺสาย ลทฺธตฺตา ตสฺส “ปาโลติ นาม อกาสิ. อปรภาเค อ ฺ ปุตฺต ลภิ. ตสฺส “จุลฺลปาโลติ นาม กตฺวา, อิตรสฺส “มหาปาโลติ นาม กริ. เต วยปฺปตฺเต ฆรพนฺธเนน พนฺธึสุ. อปรภาเค มาตาปิตโร กาลมกสุ. สพฺพ โภค ทวฺ นิ ฺนเยว ววิ เรสุ.๗ ๖ ธ.อ. ๑/๗๐-๗๑. ๗ ธ.อ. ๑/๓ – ๔
๑๘๐ เอกสารอา้ งองิ ประจาบทท่ี ๘ กลุ่มศกึ ษานิรุตติศาสตร์. คมั ภรี ป์ ทรูปสิทธแิ ปลและอธบิ าย เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ: อุษาการพมิ พ,์ ๒๕๓๖. กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๐. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระธรรมกติ ต.ิ (พระคนั ธสาราภิวงศ์ ชาระ). พาลาวตาโร. ลาปาง: จิตวฒั นาการพมิ พ์, ๒๕๔๑. พระพุทธปั ปยิ ะ. ปทรปู สทิ ฺธ.ิ กรุงเทพ ฯ: เฉลิมชาญการพิมพ์, ๒๕๒๖. พระมหานาค อปุ สโม. อธบิ ายบาลีไวยากรณ์ อาขยาต. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐. พระมหาสมใจ ป ฺ าทีโป. ปทรปู สทิ ธแิ ปล. กรงุ เทพฯ: พิทักษ์การพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์. (สมศักด์ิ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ อาขยาตและ กิตก์. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒. สมเด็จพระวันรตั (ฑติ อุทยมหาเถระ). มลู น้อยอาศยั มูลใหญ่. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑.
บทที่ กรยิ า: กรยิ ากติ ก์ ๙ Verbs: Present/Past Participles วตั ถุประสงคป์ ระจาบทท่ี ๙ เม่อื ศึกษาบทท่ี ๙ จบแล้ว นักศึกษา/ผู้ท่สี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของกริยากิตก์ได้ ๒. จาแนกประเภทของกรยิ ากิตก์ได้ ๓. วิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของกริยากิตก์ได้ ๔. อธิบายการใชว้ ิภัตตใิ นกรยิ ากิตกไ์ ด้ถูกต้อง ๕. บอกกาล วจนะ และธาตใุ นกรยิ ากติ ก์ได้ ๖. วิเคราะหว์ าจกในกรยิ ากติ ก์ได้ถกู ต้อง ๗. จาแนกปัจจยั ในกริยากิตกไ์ ด้ ๘. ระบตุ ัวปจั จยั ตามประเภทของปจั จัยในกรยิ ากิตก์ได้ถูกต้อง ๙.๑ ความนา ในภาษาบาลีมีศัพท์ที่ประกอบด้วยปัจจัยหมู่หน่ึง ซึ่งเป็นเครื่องกาหนดหมายเนื้อความของ นามศัพท์และกริยาศัพท์ต่าง ๆ เรียกว่า “กิตก์” ศัพท์ท่ีมีธาตุซึ่งปัจจัยกิตก์ปรุงแต่งแล้ว ย่อมสาเร็จรูป เป็น ๒ อย่าง คือ เป็นนามศัพท์ และเป็นกริยาศัพท์ ต่างจากอาขยาต ซึ่งเป็นศัพท์ท่ีปัจจัยอาขยาต ปรุงแต่งแล้ว ใช้เป็นกริยาศัพท์อย่างเดียว และใช้เฉพาะเป็นกริยาคุมพากย์เท่าน้ัน ส่วนศัพท์ที่ ปจั จัยกิตก์ปรุงแตง่ แล้ว ใช้เป็นนามศัพท์ คือเป็นนามนามก็ได้ คุณนามกไ็ ด้ และใช้เป็นกริยาศัพท์ คือ เป็นกริยาในระหวา่ งได้ เป็นกริยาคุมพากย์ก็ได้ ดังนนั้ กิตก์จึงแบ่งออกเปน็ ๒ อย่าง คือ นามกติ ก์และ กริยากิตก์ ในบทน้ี จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเกี่ยวกับกริยากิตก์ก่อน จานวน ๙ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของกริยากิตก์ ๒) ประเภทของกริยากิตก์ ๓) องค์ประกอบของกริยากิตก์ ๔) วิภัตติ ๕) กาล ๖) วจนะ ๗) ธาตุ ๘) วาจก และ ๙) ปจั จยั โดยมรี ายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้
๑๘๒ ๙.๒ ความหมายของกรยิ ากติ ก์ คาวา่ “กติ ก์” มาจากรากศพั ท์วา่ กิร (= กระจาย, เรย่ี ราย) ลง ต ปัจจัยและลบท่ีสุดธาตุ ลง ก สกัด สะกดด้วยการันต์ สาเร็จรูปเป็น กิตก์ แปลว่า กระจาย หรือ เรี่ยราย หมายถึง ศัพท์ที่กระจาย หรือ เรี่ยรายด้วยปัจจัยกิตก์๑ ศัพท์กริยาท่ีประกอบด้วยปัจจัยกิตก์ เรียกว่า “กริยากิตก์” คือกิตก์ที่ใช้ เป็นกริยา หมายถึง ศพั ท์จาพวกหนึ่งที่มีธาตุประกอบด้วยปัจจัยกิตก์ ๑๐ ตัว ได้แก่ อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี, อนีย, ตพฺพ, มาน, ต, ตูน, ตวฺ า และ ตฺวาน เช่น กโรนโฺ ต (ทาอย)ู่ (กรฺ ธาตุ โอ ปัจจัย ในกริยาอาขยาต, อนฺต ปัจจัย ในกริยากิตก)์ คโต (ไปแลว้ ) (คมฺ ธาตุ ประกอบดว้ ย ต ปจั จัย ลบ ม ทีส่ ดุ ธาตดุ ว้ ยอานาจ ต ปัจจยั ) ข้อสังเกต: ปัจจัยกิตก์ ๓ ตัว ได้แก่ อนฺต, ตวนฺตุ และ ตาวี มักจะลงต่อจากปัจจัยในอาขยาต เชน่ กโรนฺโต ลง โอ ปัจจัยในกรยิ าอาขยาตมากอ่ น แลว้ จงึ ลง อนตฺ ปจั จยั ในกริยากิตก์ ฯลฯ ๙.๓ ประเภทของกริยากติ ก์ กริยากิตก์ ในภาษาบาลี อาจแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๙.๓.๑ กริยากิตก์ท่ัวไป (สามัญญกริยากิตก์) คือ กริยากิตก์ท่ีนาไปแจกด้วยวิภัตตินามและ ใชไ้ ด้เหมือนกับนามศพั ทท์ ่ัวไป ซึ่งได้แก่ กรยิ ากิตก์ที่ประกอบด้วยปจั จัย ๗ ตัวนี้ คือ อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี, อนีย, ตพฺพ, มาน และ ต เม่ือนาไปใช้เป็นกริยาในระหว่าง หรือขยายนามศัพท์บทใด ก็ต้องมี ลิงค์, วจนะ และ วภิ ัตติ เหมือนกบั นามศัพท์บทนน้ั เช่น ... านปิ อชานนฺโต กลุ ปตุ โฺ ต... ...อ. กลุ บตุ ร ผ้ไู ม่รู้อยู่ แม้ซึง่ ท่ี ... ๑ คาวา่ “กติ ก์” มวี ิเคราะห์วา่ กิตปจฺจเยน กิรตีติ กิตโก (สทโฺ ท) แปลว่า (อ. ศัพท์ใด) ยอ่ มเรี่ยราย ด้วยปจั จัย กิตก์ เพราะเหตุน้ัน (อ. ศัพท์นั้น) ชื่อว่า กิตก์ อน่ึง คาว่า “กิตก์” อาจแปลว่า “ขจัด” หมายถึง ปัจจัยที่ขจัดความ สงสัย เช่น ทา ธาตุ เมื่อยังไม่ประกอบด้วยปัจจัยกิตก์ก็ยังมีความสงสัยว่า ทา ธาตุ เป็นศัพท์หรือคาชนิดใดทาง ไวยากรณ์บาลี แตเ่ มอ่ื ประกอบดว้ ยปัจจัยกิตก์ คือ ณฺวุ ปัจจัยแล้ว สาเร็จรูปเป็น ทายก จึงรู้ว่า เปน็ นามศัพท์และเมื่อ ประกอบด้วยปัจจัยกิตก์ คือ ต ปัจจัยแล้ว สาเร็จเป็น ทินฺน จึงรู้ว่า เป็นกริยาศัพท์ ปัจจัยท้ัง ๒ คือ ณฺวุ และ ต ดงั กล่าวน้ี จึงเรียกว่า “กติ ก์” เพราะขจัดความสงสยั ได้
๑๘๓ (อชานนฺโต เปน็ กริยากิตก์ลง อนฺต ปัจจัยทาหน้าท่ีขยายนามนามคอื กุลปุตฺโต มีลงิ ค์, วจนะ และวภิ ตั ติ เหมือนกบั กุลปุตฺโต คือ เป็นปุงลิงค,์ เอกวจนะ และปฐมาวิภตั ติ) โส เสฏฺฐี...อาคจฉฺ นโฺ ต... อ. เศรษฐี น้ัน...มาอยู่ ... (อาคจฉฺ นฺโต เป็นกริยากติ ก์ ลง อนฺต ปจั จัย ทาหน้าทีเ่ ป็นกริยาในระหวา่ งของเสฏฺ ฐี มี ลงิ ค,์ วจนะ และวภิ ัตติ เหมือนกับเสฏฺ ฐี คอื เป็นปุงลงิ ค์ เอกวจนะ และ ปฐมาวภิ ตั ต)ิ ๙.๓.๒ กริยากิตก์คงรูป (วิสามัญญกริยากิตก์) คือ กริยากิตก์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการแจก ด้วยวิภัตตินาม คงรูปเป็นกริยากิตก์เฉพาะรูปเดิม ซึ่งได้แก่ กริยากิตก์ที่ประกอบด้วยปัจจัย ๓ ตัวน้ี คือ ตูน, ตฺวา, ตฺวาน เม่ือนาไปใช้เป็นกริยาในระหว่างของนามศัพท์บทใด ก็คงรูปเฉพาะตัวอยู่อย่างน้ัน ไม่ เปลย่ี นไปตาม เชน่ มหามตฺโต...อุทกกฬี กฬี ติ วฺ า... อ. มหาอามาตย์...เลน่ แล้ว เลน่ นา้ ... (กีฬิตฺวา เป็นกริยากิตก์ ลง ตฺวา ปัจจัย คงรูปเดิม ไม่เปล่ียนไปตามนามศัพท์ผู้เป็น เจ้าของกริยา คือ มหามตฺโต ซ่ึงเป็นปงุ ลงิ ค์ เอกวจนะ และ ปฐมาวิภัตต)ิ ๙.๔ องค์ประกอบของกริยากติ ก์ กรยิ ากิตก์ ในภาษาบาลี มีองค์ประกอบ ๖ อยา่ ง ดงั น้ี ๙.๔.๑ วิภัตติ ๙.๔.๒ กาล ๙.๔.๓ วจนะ ๙.๔.๔ ธาตุ ๙.๔.๕ วาจก ๙.๔.๖ ปจั จยั ในกรยิ ากิตก์ดังกลา่ วนี้ มีขอ้ สังเกตคือ ไม่มี บท และ บรุ ษุ เหมือนในกรยิ าอาขยาต เพราะใน กริยากติ กไ์ ม่มวี ิภตั ติแผนกหนึ่งต่างหากเหมือนในกริยาขยาต จงึ ต้องใช้วภิ ัตตินามประกอบ จากองค์ประกอบของกรยิ ากิตกต์ ั้งแตว่ ภิ ตั ติเปน็ ต้นไป มคี าอธิบายรายละเอียด ซง่ึ จะได้นาเสนอ ในหวั ขอ้ ถดั ไปตามลาดับ ดงั ต่อไปน้ี
๑๘๔ ๙.๕ วภิ ตั ติ วิภัตติในกริยากิตก์ ไม่ได้จัดไว้เป็นหมวด ๆ เหมือนอย่างวิภัตติในกริยาอาขยาต และไม่มีเป็น การเฉพาะในกริยากิตก์ แต่ใช้วิภัตตินามแทน ดังนั้น ถ้านามศัพท์เป็นวิภัตติใด กริยากิตก์ซึ่งทาหน้าที่ เปน็ คณุ นามขยาย หรือเป็นกรยิ าในระหวา่ ง ฯลฯ ของนามศัพท์นัน้ ก็ตอ้ งมวี ภิ ัตติเหมือนกับนามศัพทน์ ั้น ยกเว้นกริยากติ กท์ ีล่ งปัจจยั ๓ ตัว คอื ตูน, ตวฺ า, และ ตวฺ าน เช่น ภิกฺขุ คาม ปณิ ฺฑาย ปวฏิ ฺ โ . อ. ภกิ ษุ เขา้ ไปแลว้ สู่บ้าน เพอื่ ก้อนขา้ ว (ภิกฺขุ เป็นนามศัพท์ ปฐมาวิภัตติ, ปวิฏฺ โ ลง ต ปัจจัย เป็นกริยาของ ภิกฺขุ และเป็น ปฐมาวภิ ัตติเหมอื นกับ ภกิ ขฺ ุ) เอก ปุริส...คจฉฺ นตฺ ปสฺสามิ. อ. ข้าพเจา้ ย่อมเห็น ซึ่งบรุ ษุ คนหนึง่ ...ผไู้ ปอยู่ (ปุริส เป็นนามศัพท์ ทุติยาวิภัตติ, คจฺฉนฺต ลง อนฺต ปัจจัย เป็นคุณนามขยาย ปุริส และเปน็ ทุติยาวภิ ัตติเหมอื นกับ ปุรสิ ) ๙.๖ กาล กาล แปลว่า บอก หมายถึง บอกเวลาให้ทราบว่ากริยานั้น ๆ เกิดข้ึนเมื่อใด เป็นอดีตปัจจุบัน หรอื อนาคต กาลในกรยิ ากติ ก์ แบง่ ออกเป็นกาลใหญ่ได้ ๒ และแบง่ ออกเป็นกาลย่อยได้ ๔ ดังนี้ ๙.๖.๑ ปจั จุบันกาล แบ่งยอ่ ยออกเป็น ๒ คอื ๑) ปัจจุบนั แท้ แปลวา่ ...อยู่ เชน่ อห ธมมฺ สุณนฺโต... (อ. ข้าพเจ้า ฟังอยู่ ซึ่งธรรม...) ๒) ปัจจบุ ันใกล้อนาคต แปลวา่ เม่ือ ..., จะ ... เช่น .......ธมฺม เทเสนฺโต... (เมอ่ื แสดง ซงึ่ ธรรม...) ๙.๖.๒ อดตี กาล แบง่ ย่อยออกเป็น ๒ คอื ๑) อดีตกาลล่วงแล้ว แปลว่า ...แล้ว คาว่า “ล่วงแล้ว” น้ัน หมายความว่า ล่วงไป แลว้ ไมม่ กี าหนด อาจจะลว่ งแลว้ หลายวนั หลายเดือนหรือหลายปีก็ได้ เพราะไม่มกี าหนด เช่น
๑๘๕ ตโย มาสา อติกฺกนฺตา อ. เดอื น ท. ๓ ล่วงไปแล้ว (อตกิ กฺ นตฺ า เป็นกรยิ ากติ ก์ ลง ต ปัจจัย แปลว่า ลว่ งไปแลว้ นานเท่าไร ไมไ่ ดก้ าหนด) ๒) อดีตกาลล่วงแล้วเสร็จ แปลว่า ครั้น...แล้ว คาว่า “ล่วงแล้วเสร็จ” น้ัน หมายความวา่ ลว่ งหลังจากที่ทาเสรจ็ พูดเสรจ็ ซึง่ อยใู่ นระยะใกล้ ๆ กบั กริยาที่ทาก่อนนน้ั เอง เชน่ เยน ภควา เตนปุ สงฺกม,ิ อุปสงฺกมิตฺวา... (อ. ภิกษุรูปหนึ่ง) อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ โดยส่วนแห่ง ทิศใด เข้าไปใกล้แล้ว โดยส่วนแห่งทิศนั้น, คร้ันเข้าไปใกล้แล้ว.(อุปสงฺกมิตฺวา เป็นกริยากิตก์ ลง ตฺวา ปัจจัย แปลว่า ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว ซ่ึงแสดงว่า ลว่ งแล้วหลังจากที่เข้าไปใกล้แล้วนนั่ เอง) ขอ้ ควรจา: ปัจจุบันแท้ กับ ปัจจบุ ันใกลอ้ นาคต รู้ไดด้ ้วยปัจจัยกริยากติ ก์ คือ อนตฺ และ มาน ปจั จัย, อดีตกาลล่วงแล้ว ร้ไู ดด้ ้วยปจั จยั กริยากติ ก์คือ ตวฺ นฺตุ, ตาวี, ต, ตูน, และ ตวฺ าน ส่วน อดตี กาล ล่วงแลว้ เสร็จ รู้ได้ดว้ ยปัจจยั กรยิ ากิตก์ คือ ตนู , ตฺวา, และ ตฺวาน ๙.๗ วจนะ วจนะ คือ คาพูดสาหรับบอกความมากน้อยของบทนั้น ๆ วจนะในกริยากิตก์ก็ไม่มีเป็นการ เฉพาะเช่นเดียวกับวิภัตติในกริยากิตก์ ต้องอาศัยการแจกด้วยวิภัตตินามและมีวิธีใช้เช่นเดียวกับวิภัตติ ในกริยากิตก์ดงั กลา่ วแล้ว กล่าวคอื ต้องประกอบให้มีวจนะเหมอื นกับนามศัพท์ที่มันขยาย วจนะในกริยา กติ ก์ จงึ มี ๒ ชนิด ตามวิภตั ตินาม คอื ๙.๗.๑ เอกวจนะ กริยากิตก์ที่เป็นเอกวจนะ ประกอบด้วยวิภัตตินามฝ่ายเอกวจนะ คือ สิ, อ, นา, ส, สมฺ า, ส, สสฺ ึ, สิ เชน่ คจฺฉนโฺ ต (ไปอย่)ู (คจฺฉนฺโต ลง อนตฺ ปจั จยั สิ วภิ ตั ตนิ าม ฝา่ ยเอกวจนะ) ๙.๗.๒ พหุวจนะ กริยากิตก์ที่เปน็ พหุวจนะ ประกอบด้วยวิภตั ตินามฝ่ายพหุวจนะ คือ โย, โย, ห,ิ น, หิ, น, ส,ุ โย เชน่ กโรนตฺ า (ทาอยู่) (กโรนฺตา ลง อนฺต ปัจจัย โย วภิ ัตตนิ ามฝ่ายพหวุ จนะ)
๑๘๖ ๙.๘ ธาตุ ธาตุ ในกริยากิตก์นี้ คือ ศัพท์ที่เป็นมูลรากของกริยา จัดประเภทเป็นสกรรมธาตุและอกรรม ธาตุเหมือนอย่างธาตุในกริยาอาขยาตดังได้อธิบายมาแล้ว และธาตุในกริยากิตก์นี้ก็ใช้ธาตุอย่างเดียวกับ กริยาอาขยาตนั่นเอง ต่างกันแต่เพียงรปู ศัพท์เท่าน้ัน คือ กริยาอาขยาตมีวภิ ัตติแผนกหน่ึงต่างหาก ส่วน กรยิ ากติ ก์ ใชว้ ิภตั ตนิ าม ดตู ัวอย่างเปรยี บเทยี บ ธาตุ กรยิ าอาขยาต คาแปล กริยากิตก์ คาแปล ทาอยู่ กรฺ กโรติ ย่อมทา กโรนฺโต ติ วิภัตติ สิ ปฐมาวิภตั ติ จากตัวอย่างน้ี กริยาอาขยาต คือ กโรติ มาจาก กรฺ ธาตุ โอ ปัจจัยในกริยาอาขยาต ติ วิภัตติ ส่วนกริยากิตก์ คือ กโรนฺโต มาจาก กรฺ ธาตุ โอ ปัจจัยในกริยาอาขยาต อนฺต ปัจจัยในกริยากิตก์ และ สิ ปฐมาวภิ ตั ติ (แปลง อ การันต์แห่ง อนฺต กับ สิ ปฐมวภิ ัตติ เป็น โอ) ๙.๙ วาจก วาจกในกริยากิตก์น้ี ก็มี ๕ วาจก เหมือนกับวาจกในกริยาอาขยาตดังกล่าวมาแล้ว ต่างกันแต่ เพียงรปู กริยาศัพท์ เพราะใชป้ ัจจยั และวภิ ัตตไิ มเ่ หมือนกัน กล่าวคือ ในกริยาอาขยาตใช้ปัจจัยและวิภตั ติ กลุ่มหนึ่งต่างหาก ในกริยากิตก์ ก็ใช้ปัจจัยอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนวิภัตติก็ไม่มีเป็นการเฉพาะ ต้องยืมวิภัตติ นามมาใช้ รปู กรยิ าศพั ท์จึงไม่เหมือนกัน ดงั นี้ ๙.๙.๑ กัตตวุ าจก (Active voice) บ่งบอกผทู้ า ซึ่งเป็นตวั ประธานในประโยค เชน่ ภิกฺขุ คาม ปณิ ฺฑาย ปวฏิ ฺ โ . อ. ภกิ ษุ เข้าไปแลว้ สบู่ า้ น เพ่อื ก้อนข้าว (ปวิฏฺ โ เป็นกรยิ ากิตก์ กัตตุวาจก มี ป เป็นบทหน้า, วิสฺ ธาตุ, ต ปัจจัย ปฐมาวิภัตติ บ่งบอกผ้ทู าซึ่งเปน็ ประธานในประโยค คอื ภกิ ฺขุ)
๑๘๗ ๙.๙.๒ กัมมวาจก (Passive voice) บ่งบอกผถู้ ูกทา ซ่ึงเป็นตวั ประธานในประโยค เช่น สตฺถารา ทคุ คฺ ตสสฺ ปตฺโต ทนิ โฺ น. อ. บาตร อนั พระศาสดา ทรงประทานแล้ว แกน่ ายทุคคตะ (ทินฺโน เป็นกริยากิตก์กัมมวาจก, ทา ธาตุ, ต ปัจจัย, ปฐมาวิภัตติ บ่งบอกผู้ถูกทาซ่ึง เปน็ ตัวประธานในประโยค คือ ปตฺโต) ๙.๙.๓ ภาววาจก (Inpersonal voice) บ่งบอกเพียงความมีความเป็น ไม่มีตัวประธานท่ีเป็น ปฐมาวิภตั ติ หรอื บ่งบอกตวั กัตตาทเี่ ปน็ ตตยิ าวิภัตติ เช่น เตน มรติ พฺพ. อนั เขา พงึ ตาย (มริตพฺพ เป็นกริยากิตก์ภาววาจก, มรฺ ธาตุ, ตพฺพ ปัจจัย, ปฐมาวิภัตติ บ่งบอกตัว กัตตาท่ีเป็นตติยาวิภัตติ คือ เตน) ๙.๙.๔ เหตุกัตตวุ าจก (Causative voice) บ่งบอกผ้ใู ช้ใหท้ า ซ่งึ เปน็ ประธานในประโยค เช่น เสฏฺฐี ภริย ภตตฺ ปาจาเปนฺโต... อ. เศรษฐี ยงั ภรรยา ใหห้ งุ อยู่ ซงึ่ ภัตร... (ปาจาเปนฺโต เป็นกริยากิตก์เหตุกัตตุวาจก, ปจฺ ธาตุ อนฺต ปัจจัย, ปฐมาวิภัตติ บ่ง บอกผใู้ ช้ใหท้ า คือ เสฏฺ ฐี) ๙.๙.๕ เหตุกัมมวาจก (Causal passive voice) บ่งบอกผู้ที่ (หรือสิ่งที่) ถูกเขาใช้ให้ทา ซ่ึง เปน็ ประธานในประโยค เช่น สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปิยมาโน... อ. ข้าว อันนาย ยงั (ใช)้ ซง่ึ พอ่ ครัว ให้หุงอย.ู่ .. (ปาจาปิยมาโน เป็นกริยากิตก์เหตุกัมมวาจก, ปจฺ ธาตุ, มาน ปัจจัย ปฐมาวิภัตติ บ่ง บอกสง่ิ ท่ถี กู เขาใช้ใหท้ า คอื โอทโน) ข้อสงั เกต: การลงปัจจยั ในกริยากติ ก์ มี ๒ วิธี ดงั นี้ ๑) ต้องลงปัจจัยในกริยาอาขยาตก่อน แล้วจึงลงปัจจัยในกริยากิตก์ เช่น กโรนฺโต ลง โอ ปัจจัยมาก่อนแล้วจึงลง อนตฺ ปัจจัย, ปาจาเปนฺโต ลง ณาเป ปจั จัย มาก่อนแล้วจงึ ลง อนตฺ ปัจจัย, ปาจาปิยมาโน ลง ณาเป ปัจจยั , ย ปัจจัย และ อิ อาคม หน้า ย มากอ่ นแลว้ จึงลง มาน ปจั จัย ๒) ไม่ต้องลงปัจจัยในกริยาอาขยาตมาก่อน ให้ลงปัจจัยในกริยากิตก์เท่าน้ัน เช่น กรยิ ากติ ก์ ๓ ตวั นี้ คือ ปวฏิ ฺ โ , คโต, กโต, ลง ต ปจั จยั ในกริยากติ กเ์ ท่านนั้
๑๘๘ ๙.๑๐ ปจั จัย ปัจจัย คือ กลุ่มคาสาหรับประกอบท้ายธาตุหรือนามศัพท์ ปัจจัยในกริยากิตก์นี้ใช้สาหรับ ประกอบท้ายธาตุเพ่ือทาให้สาเร็จรูปเป็นบทกริยากิตก์ และเป็นเคร่ืองหมายบอก กาล และ วาจก จัดแบ่งออกเปน็ ๓ หมวด คือ ๙.๑๐.๑ กิตปัจจัย มี ๓ ตัว คือ อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี ใช้สาหรับประกอบธาตุให้สาเร็จรูปเป็น วาจกได้ ๒ วาจก คอื กัตตุวาจก และ เหตกุ ตั ตุวาจก ๙.๑๐.๒ กิจจปัจจัย มี ๒ ตัว คือ อนีย, ตพฺพ ใชส้ าหรับประกอบธาตุให้สาเร็จรูปเป็นวาจกได้ ๓ วาจก คอื กัมมวาจก, เหตกุ มั มวาจก, และ ภาววาจก ๙.๑๐.๓ กิตกิจจปัจจัย มี ๕ ตัว คือ มาน, ต, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน ใช้สาหรับประกอบธาตุให้ สาเร็จรปู เปน็ วาจกได้ท้งั ๕ วาจก ปัจจยั ในกริยากติ ก์ดังกล่าวมาน้ี ใช้บอกกาลได้ ดังน้ี ๑) อนตฺ , มาน บอกปัจจบุ ันกาล แปลวา่ อยู่, เมอ่ื ๒) ตวนตฺ ุ, ตาวี, ต, ตูน, ตวฺ า, ตวฺ าน บอกอดตี กาล แปลวา่ แล้ว, คร้ัน...แล้ว ๓) อนยี , ตพฺพ ไมบ่ อกกาลอะไร แตใ่ ชบ้ อกความจาเปน็ แปลวา่ ควร, พงึ สว่ นวิธลี งปัจจยั ในกริยากติ ก์ พึงดตู ัวอยา่ ง ตอ่ ไปน้ี กร + โอ + อนตฺ + สิ ปฐมาวภิ ตั ติ สาเร็จรูปเป็น กโรนโฺ ต (ทาอยู)่ (กรฺ ธาตุ + โอ ปัจจัยในกริยาอาขยาต + อนฺต ปัจจัยในกริยากิตก์ แจกตามแบบ อ การนั ตใ์ นปุงลิงค์ ปฐมาวภิ ัตติ สาเรจ็ รปู เป็น กโรนโฺ ต) กรฺ + เณ + อนฺต + สิ ปฐมาวิภัตติ สาเร็จรปู เปน็ กาเรนโฺ ต (ยัง...ใหท้ าอย)ู่ (กรฺ ธาตุ + เณ ปัจจัยในกริยาอาขยาต + อนฺต ปัจจัยในกริยากิตก์ แจกตามแบบ อ การนั ตใ์ นปุงลิงค์ ปฐมาวภิ ตั ติ สาเรจ็ รูปเปน็ กาเรนโฺ ต) ภชุ ฺ + อนยี สาเรจ็ รปู เปน็ โภชนยี (อันเขาพึงกนิ ) (ภุชฺ ธาตุ + อนีย ปัจจัยในกริยากิตก์ แจกตาม อ การันต์ในนปุงสกลิงค์ ปฐมาวิภัตติ สาเร็จรูปเป็น โภชนยี ) คมฺ + อิ + ตพฺพ สาเร็จรปู เปน็ คมิตพพฺ (อันเขาพงึ ไป) (คมฺ ธาตุ + อิ อาคม + ตพฺพ ปัจจัย แจกตามแบบ อ การันต์ในนปุงสกลิงค์ ปฐมา วภิ ัตติ สาเรจ็ รูปเปน็ คมิตพฺพ)
๑๘๙ วทฺ + อ + มาน สาเร็จรูปเป็น วทมาโน (กลา่ วอยู)่ (วทฺ ธาตุ + อ ปัจจัยในกริยาอาขยาต + มาน ปัจจัยในกริยากิตก์ แจกตามแบบ อ การันตใ์ นปุงลงิ ค์ ปฐมาวิภัตติ สาเร็จรูปเปน็ วทมาโน) กรฺ + อิ + ย + มาน สาเร็จเปน็ กริยมาโน (อนั เขาทาอยู่) (กรฺ ธาตุ + อิ อาคม + ย ปัจจัยในกริยาอาขยาต + มาน ปัจจัยในกริยากิตก์ + สิ ปฐมาวิภัตติ แจกตามแบบ อ การันตใ์ นปงุ ลิงค์ ปฐมาวภิ ัตติ สาเร็จรูปเปน็ กรยิ มาโน) รมฺ + ต สาเร็จรูปเป็น รโต (ยินดีแลว้ ) (รมฺ ธาตุ + ต ปัจจัยในกริยากิตก์ แจกตามแบบ อ การันต์ในปุงลิงค์ ปฐมาวิภัตติ สาเรจ็ รูปเป็น รโต) คมฺ + ตวฺ า สาเรจ็ รปู เป็น คนฺตวฺ า (ไปแลว้ ) (คมฺ ธาตุ + ตฺวา ปัจจัยในกริยากิตก์ แปลง ม ที่สุดธาตุเป็น น สาเร็จรูปเป็น คนฺตฺวา โดยไม่ต้องแจกด้วยวิภัตติ เพราะประกอบด้วยกริยาที่เป็นอัพยยะ คือ ตฺวา ซ่ึงไม่ เปลยี่ นแปลง) ข้อสังเกต: (๑) ธาตุในกริยากิตก์บางตัว ต้องลงปัจจัยในกริยาอาขยาตก่อน แล้วจึงลงปัจจัยใน กริยากติ ก์ (๒) อนฺต ปัจจัย เป็นได้ ๓ ลิงค์ ถ้าเป็นปุงลิงค์ มีรูปเป็น อนฺโต เช่น กโรนฺโต, มาเรนฺโต ฯลฯ เปน็ อิตถีลิงค์ มรี ปู เป็น อนตฺ ี เช่น กโรนฺตี, มาเรนฺตี ฯลฯ (๓) มาน ปัจจัย เป็นได้ ๓ ลิงค์ เช่นเดียวกับ อนฺต ถ้าไม่มี ย ปัจจัยในกริยา อาขยาต กจ็ ะเปน็ กัตตุวาจก เชน่ กรุ มุ าโน (ทาอยู)่ แตถ่ ้ามี ย ปัจจยั หรือ มี ย ปัจจยั และ อิ อาคม ก็ จะเปน็ กมั มวาจก เช่น กริยมาโน (อนั เขาทาอยู่) (๔) กริยากิตก์ที่ลง ตพฺพ ปัจจัย ถ้าไม่ลบท่ีสุดธาตุ ต้องลง อิ อาคม เช่น เวทิตพฺพํ ภาสิตพฺพํ ฯลฯ หรือต้องแปลงที่สุดธาตุน้ัน เช่น คนฺตพฺพํ เป็น คมฺ ธาตุ แปลงที่สุดธาตุ เป็น น แต่ถ้า ลบทีส่ ุดธาตุ ต้องซ้อน ตฺ เช่น กตตฺ พฺพํ วตฺตพฺพํ ฯลฯ ยกเว้นกรยิ ากิตก์บางตัว ลบที่สดุ ธาตุแล้ว ต้อง ทีฆะ อ เป็น อา เช่น กาตพพํ ฯลฯ และในบางกรณี ให้คงธาตุไว้ตามเดิม โดยเฉพาะธาตุที่มี อา เป็น ที่สดุ เชน่ าตพฺพํ ทาตพพฺ ํ ฯลฯ (๕) กริยากิตก์ที่ลง ตฺวา ปัจจัย ก็เช่นเดียวกับท่ีลง ตพฺพ ปัจจัย คือ ถ้าไม่ลบที่สุด ธาตุ ต้องลง อิ อาคม เช่น กริตฺวา ฯลฯ หรือต้องแปลงที่สุดธาตุน้ัน เช่น คนฺตฺวา ฯลฯ เป็น คมฺ ธาตุ แปลงทส่ี ุดธาตเุ ปน็ นฺ แต่ถา้ ลบท่ีสดุ ธาตุแลว้ ให้ลง ตฺวา ปัจจัยไดเ้ ลย เชน่ กตวฺ า ฯลฯ
๑๙๐ ๙.๑๑ สรปุ ทา้ ยบท กริยากิตก์ คือ กิตก์ท่ีใช้เป็นกริยา หมายถึง ศัพท์จาพวกหน่ึงที่มีธาตุประกอบด้วยปัจจัยกิตก์ ๑๐ ตัว ได้แก่ อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี, อนีย, ตพฺพ, มาน, ต, ตูน, ตฺวา, และ ตฺวาน กริยากิตก์แบ่ง ออกเป็น ๒ ประเภท คือ กริยากิตก์ท่ัวไป เป็นกริยากิตก์ท่ีเมื่อนาไปใช้เป็นกริยาในระหว่างหรือขยาย นามศัพท์บทใด ก็ต้องมีลิงค์, วจนะ และ วิภัตติ เหมอื นกับนามศัพท์บทนน้ั และ กริยากิตก์คงรูป เป็น กริยากิตก์ที่เมื่อนาไปใช้เป็นกริยาในระหว่างของนามศัพท์บทใด ก็คงรูปเฉพาะตัวอยู่อย่างนั้น ไม่ เปล่ียนไปตาม องค์ประกอบของกริยากิตก์ มี ๖ ประการ ได้แก่ วิภัตติ, กาล, วจนะ, ธาตุ, วาจก และ ปัจจัย เหมือนกับกริยาอาขยาต ต่างแต่ไม่มีบทและบุรุษเท่านั้น การที่กริยากิตก์ไม่มีบทและบุรุษน้ัน เพราะไม่มวี ภิ ตั ติแผนกหนึ่งต่างหากเหมือนกริยาอาขยาต ต้องใชว้ ภิ ัตตินามเปน็ เครือ่ งประกอบ
๑๙๑ แบบฝกึ หัดท้ายบทที่ ๙ แบบฝกึ หดั ที่ ๙.๑ ให้เลอื กคาตอบที่ถกู ต้องท่ีสุดเพยี งข้อเดียว ๑. ข้อใดเปน็ ความหมายของ กติ ก์ ข. ศัพท์ที่กระจายดว้ ยปจั จยั กิตก์ ก. ปัจจัยที่ขจดั ความสงสยั ง. ถูกตอ้ งทุกข้อ ค. ศพั ท์ท่ีเรี่ยรายด้วยปัจจัยกิตก์ ๒. ศัพทจ์ าพวกหนึ่งท่ีมธี าตุประกอบด้วยปจั จยั กิตก์เรียกวา่ อะไร ก. นามกิตก์ ข. กริยากิตก์ ค. สามญั ญกริยากติ ก์ ง. วิสามัญญกริยากิตก์ ๓. ปจั จัยกติ ก์ทงั้ หมดมีก่ตี ัว ข. ๖ ตวั ก. ๒ ตวั ง. ๑๔ ตวั ค. ๑๐ ตวั ข. ต, อนยี , ตพฺพ ๔. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ปจั จัยในกรยิ ากิตก์ ง. ตูน, ตวฺ า, ตวฺ าน ก. อนตฺ , มาน ค. ตเว, ตุ, ยุ ๕. “กโรนฺโต” ลงปจั จยั อะไร ข. โต ก. ต ง. อนฺต ค. โอ ๖. “คโต” เป็นกริยากติ กป์ ระเภทใด ข. กริยากิตก์คงรปู ก. กริยากิตกท์ ั่วไป ง. ข้อ ก. และ ค. ถูก ค. กริยากติ ก์ทีแ่ จกดว้ ยวภิ ัตตนิ ามได้ ๗. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ องค์ประกอบของกรยิ ากติ ก์ ข. กาล, ธาตุ ก. วภิ ัตติ, วจนะ ง. บท, บุรษุ ค. วาจก, ปจั จยั ๘. กรยิ ากิตก์ ตอ้ งมีวิภตั ติเหมือนนามศพั ท์ทมี่ ันขยาย ยกเวน้ กริยากติ ก์ท่ีลงปัจจยั ในขอ้ ใด ก. ตูน, ตวฺ า, ตฺวาน ข. อนตฺ , มาน ค. ต, อนตฺ ง. ตวฺ นตฺ ุ, ตาวี
๑๙๒ ๙. “เมอ่ื , จะ” เป็นคาแปลของกริยากติ กใ์ นข้อใด ข. ตฺวนตฺ ุ, ตาวี ก. อนฺต, มาน ง. ตนู , ตฺวา, ตวฺ าน ค. ต, ตนู , ตฺวาน ๑๐. “คร้ัน...แล้ว” เปน็ คาแปลของกริยากิตก์ในขอ้ ใด ก. ตนู ข. ตวฺ า ค. ตวฺ าน ง. ถกู ตอ้ งทกุ ขอ้ ๑๑. “คจฉฺ นฺโต” เป็นวิภตั ติ และวจนะอะไร ข. ทตุ ิยาวภิ ัตติ, เอกวจนะ ก. ปฐมาวภิ ัตติ, เอกวจนะ ง. ทุตยิ าวิภัตติ, พหวุ จนะ ค. ปฐมาวิภตั ติ, พหุวจนะ ๑๒. “กโรนฺตี” ลงปัจจัยและเป็นลงิ คอ์ ะไร ข. ตี ปัจจยั , อติ ถลี งิ ค์ ก. อนตฺ ปัจจยั , อิตถลี ิงค์ ง. อนตฺ ี ปัจจยั , ปงุ ลิงค์ ค. อนตฺ ปจั จัย, ปุงลงิ ค์ ๑๓. “ปวฏิ ฺ โ ” ลงปจั จยั อะไร ข. อนีย ปัจจัย ก. ต ปจั จยั ง. มาน ปัจจัย ค. ตพพฺ ปัจจัย ๑๔. “ทนิ ฺโน” เป็นกรยิ ากติ กป์ ระเภทใด ข. กริยากิตก์กมั มวาจก ก. กรยิ ากติ ก์กัตตวุ าจก ง. กริยากิตก์เหตุกัมมวาจก ค. กรยิ ากิตก์เหตุกัตตุวาจก ๑๕. กรยิ ากติ กใ์ นขอ้ ใดเปน็ เหตกุ ัมมวาจก ข. ปาจาเปนฺโต ก. มรติ พพฺ ง. ไมม่ ขี อ้ ใดถกู ค. ปาจาปิยมาโน ๑๖. “ปาจาเปนฺโต” ลงปัจจยั อะไร ข. อนฺต ปัจจัย ก. ณาเป ปัจจัย ง. ขอ้ ก. และ ข. ถกู ค. โต ปจั จัย ๑๗. “ปาจาปิยมาโน” ลงปจั จยั อะไร ข. ย ปัจจยั ก. ณาเป ปจั จัย ง. ถกู ต้องทุกขอ้ ค. มาน ปัจจัย
๑๙๓ ๑๘. กริยากิตกใ์ นขอ้ ใด ลงปจั จยั ในอาขยาต ก. กโรนโฺ ต ข. ปวิฏฺโ ค. คโต ง. กโต ๑๙. กลุ่มคาสาหรบั ประกอบทา้ ยธาตุ เรียกว่าอะไร ก. ปจั จัย ข. อปุ สัค ค. นิบาต ง. วจนะ ๒๐. ปจั จัยในกริยากติ ก์ บอกอะไร ข. วาจก ก. กาล ง. ข้อ ก. และ ข. ถกู ค. บท ๒๑. ขอ้ ใด กลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง ก. อนตฺ ปจั จัย ใชป้ ระกอบธาตุเพอ่ื ให้เป็น กัตตุวาจก ข. มาน ปจั จยั ใชป้ ระกอบธาตเุ พอื่ ใหเ้ ป็น กัตตุวาจก ค. อนตฺ ปจั จยั ใช้ประกอบธาตุเพ่ือให้เปน็ เหตุกตั ตุวาจก ง. มาน ปจั จยั ใชป้ ระกอบธาตุเพ่อื ใหเ้ ปน็ กมั มวาจก ๒๒. “อนีย, ตพฺพ” ใชบ้ อกกาลอะไร ข. อดีตกาล. ก. ปัจจบุ ันกาล ง. บอกความจาเปน็ ค. อนาคตกาล ๒๓. กริยากิตกใ์ นขอ้ ใด แจกตามแบบ อ การนั ต์ในปงุ ลิงค์ ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะ ก. โภชนยี ข. กโรนฺตา ค. วทมาโน ง. คมติ พพฺ า ๒๔. “ถ้าไม่มี ย ปัจจัย ก็จะเป็นกัตตุวาจก แต่ถ้ามี ย ปัจจัย และ อิ อาคม หน้า ย ก็จะเป็น กัมม- วาจก” ขอ้ ความนี้ กล่าวถึงกรยิ าในข้อใด ก. กุรมุ าโน ข. กโรนฺโต ค. กริยมาโน ง. ขอ้ ก. และ ค. ถกู ๒๕. กรยิ ากติ กใ์ นข้อใด แจกดว้ ยวิภัตตินามไม่ได้ ข. รโต ก. กฬี ติ วฺ า ง. คมติ พฺพ ค. โภชนยี
๑๙๔ ๒๖. “ถ้าไม่ลบทส่ี ดุ ธาตกุ ็ตอ้ งแปลงที่สดุ ธาตุ” ไดแ้ กก่ ริยาในขอ้ ใด ก. กริตวฺ า ข. กตฺวา ค. กตฺตพพฺ ง. คนฺตฺวา ๒๗. ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก. อนฺต, มาน บอกปัจจบุ นั กาล ข. ตวนตฺ ุ, ตาวี, ต, ตนู , ตวา, ตวฺ าน บอกอดตี กาล ค. อนีย, ตพพฺ บอกความจาเปน็ ง. ถกู ต้องทุกข้อ ๒๘. ปจั จัยในข้อใด จดั อยู่ในหมวด กจิ จปัจจยั ข. ณฺวุ ก. ณยฺ ง. ตุ ค. ตุ ๒๙. กริยากติ กใ์ นข้อใด ประกอบได้ถูกตอ้ ง ก. ชโน กมมฺ กโรนโฺ ต… ข. ชโน กมมฺ กโรนฺตา... ค. ชโน กมฺม กโรนฺต.ี .. ง. ชโน กมมฺ กโรนตฺ ... ๓๐. กรยิ ากติ กใ์ นข้อใด ประกอบไม่ถูกต้อง ข. ภิกขฺ ู ธมฺม จรนฺตา... ก. อาจรโิ ย ธมฺม จรนฺโต... ง. อิตฺถี ธมมฺ จรนฺตา... ค. นารี ธมมฺ จรนฺตี ...
๑๙๕ แบบฝกึ หดั ท่ี ๙.๒ ใหบ้ อก ธาตุ, ปัจจัย, อาคม และ วาจก ของกริยากติ ก์ต่อไปน้ี กริยากิตก์ ธาตุ ปัจจยั อาคม วาจก ๑. กริยมาโน ............................ ............................. ........................... ........................... ๒. สุณนตฺ ี ........................... ............................ ........................... ........................... ๓. กรณีย ........................... ............................. ........................... ........................... ๔. ภุตฺโต .......................... ............................. ........................... ........................... ๕. มาเรนโฺ ต .......................... ............................ ........................... ...........................
๑๙๖ แบบฝกึ หดั ท่ี ๙.๓ ใหบ้ อก บทหนา้ , ธาตุ, ปจั จัย และ กาล ของกรยิ ากติ ก์ต่อไปนี้ กรยิ ากิตก์ บทหน้า ธาตุ ปจั จัย กาล ๑. ภตุ ฺตาวินี ............................ ........................... ......................... .......................... ๒. วจุ ฺจมาโน ............................ .......................... ......................... .......................... ๓. นิกขฺ มฺม ............................ .......................... ......................... .......................... ๔. กเถนตฺ ี ............................ .......................... .......................... .......................... ๕. อารุยหฺ ............................ .......................... .......................... ...........................
๑๙๗ แบบฝึกหัดท่ี ๙.๔ ก. ให้อ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แล้วขดี เส้นใตศ้ ัพทก์ ริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย ตสฺมึ ขเณ ตสฺส ภริยา นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายติ. ตสฺสา นิวตฺถสาฏโก อปคโต. มุขโต ลาลา ปคฺฆรติ, นาสา ฆุรุฆุรายติ, มุข วิวฏ, ทนฺต ฆสติ. สา ตสฺส อุทธุมาตกสรรี วิย อุปฏฺ าสิ. โส “อนิจจ ทุกฺข อิท, อห เอตฺตก กาล ปพฺพชิตฺวา อิม นิสฺสาย ภิกขุภาเว สณฺ าตุ นาสกฺขินฺติ กาสาวโกฏิย คเหตฺวา อุทเร พนฺธนฺโต ว เคหา นิกฺขมิ. อถสฺส อนนฺตรเคเห ฐิตา สสฺสุ ต ตถา คจฺฉมาน ทิสฺวา “อย ปฏิกฺกนฺโต, อิทาเนว อร ฺ โต อาคจฺฉนฺโต ว กาสาว อุทเร พนฺธิตฺวา นิกฺขนฺโต วิหาราภิมุโข คจฺฉติ; กินฺนุ โขติ เคห ปวิสิตฺวา นิทฺทายมาน ธตี ร ปสฺสิตฺวา “โส อิม ทิสฺวา วิปฺปฏิสารี หุตฺวา คโตติ ตฺวา ธีตร ปหริตฺวา “อุฏฺ เ หิ กาฬกณฺณิ, สามิโก เต ต นิทฺทายมาน ทิสฺวา วิปฺปฏิสารี หุตฺวา คโต; นตฺถิ โส อิโต ปฏฺ าย ตุยฺหนฺติ อาห.“อเปหิ อเปหิ อมฺม, กุโต ตสฺส คมน, กติปาเหเนว ปุน อาคมิสฺสตีติ.โสปิ “อนิจฺจ ทุกฺขนฺติ วตฺวา คจฺฉนฺโต คจฺฉนฺโต ว โสตาปตฺติผล ปาปุณิ. โส คนฺตฺวา ภิกขู วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺช ยาจิ “น สกฺขิสฺสาม มย ต ปพฺพาเชตุ, กุโต ตุยฺห สมณภาโว, สตฺถกนิสาทนปาสาณสทิส ตว สีสนฺติ. “ภนฺเต อิทานิ ม อนุกมฺปาย เอกวาร ปพฺพาเชถาติ. เต ต อุปการวเสน ปพพฺ าชยสึ ุ. โส กตปิ าเหเนว สห ปฏสิ มภฺ ิทาหิ อรหตฺต ปาปณุ .ิ ๒ ข. ให้อา่ นข้อความต่อไปนี้ แล้วขดี เสน้ ใต้ศพั ทก์ ริยากติ ถท์ ลี่ ง อนฺต ปัจจัย สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปน าตกา อสตฺตฆาตกา นาม มรนฺตาปิ ปเรส ชีวิต น โวโรเปนฺติ. เต จินฺตยึสุ “ มย สิกฺขิตหตฺถา กตุปาสนา มหิสฺสาสา, น โข ปน สกฺกา อมฺเหหิ ปร ชีวิตา โวโรเปตุ, อตฺตโน กมฺม ทสฺเสตฺวา ปลาเปสฺสามาติ. เต กตสนฺนาหา นิกฺขมิตฺวา ยุทฺธ อารภึสุ. เตหิ ขิตฺตา สรา วิฑูฑภสฺส ปุริสาน อนฺตรนฺตเรน คจฺฉนฺติ, ผลกนฺตรกณฺณจฺฉิทฺทนฺตราทีหิ นิกฺขมนฺติ. วิฑูฑโภ ทิสฺวา “นนุ ภเณ สากิยา ‘อสตฺตฆาตกมฺหาติ วทนฺติ, อถ จ ปน เม ปุริเส นาเสนฺตีติ. อถ น เอโก ปุริโส อาห “กึ สามิ นิวตฺติตฺวา โอโลเกสีติ. “สากิยา เม ปุริเส นาเสนฺตีติ. “ตุมฺหาก โกจิ ปุริโส มโต นาม นตฺถิ, องิ ฺฆ เน คณาเปถาติ. คณาเปนฺโต เอกสฺสปิ ขย น ปสฺสิ. โส ตโต นิวตฺตติ ฺวา “เย เย ภเณ ‘สา กิยมฺหาติ ภณนฺติ สพฺเพ มาเรถ; มาตามหสฺส ปน เม มหานามสกฺกสฺส สนฺติเก ฐิตาน ชีวิต เทถาติ อาห. สากยิ า คเหตพฺพคคฺ หณ อปสฺสนตฺ า เอกจเฺ จ ติณ ฑสติ ฺวา เอกจเฺ จ นฬ คเหตวฺ า อฏฺฐสุ, “ตุมฺเห สากิยา โนติ ปุจฺฉิตา, ยสฺมา เต มรนฺตาปิ มุสาวาท น ภณนฺติ; ตสฺมา ติณ ฑสิตฺวา ฐิตา “โน สาโก, ติณนฺติ วทนฺติ, นฬ คเหตฺวา ฐิตา “โน สาโก, นโฬติ วทนฺติ. เต จ มหานามสฺส สนฺติเก ฐิตา จ ชีวิต ลภสึ ุ.๓ ๒ ธ.อ. ๒/๑๓๕. ๓ ธ.อ. ๓/๒๑ – ๒๒.
๑๙๘ ค. ให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วขดี เสน้ ใต้ศพั ทก์ รยิ ากิตก์ที่เป็นกัมมวาจก ราชาปิ โทมนสฺสปฺปตฺโต “เอวรูปาย ปริสาย มชฺเฌ ทาน ทตฺวา ฐิตสฺส มยฺห อนุจฺฉวิก อนุโมทน อกตฺวา คาถเมว วตฺวาสตฺถา อุฏฺ ายาสนา คโต, มยา สตฺถุ อนุจฺฉวิก ทาน อกตฺวา อนนุจฺฉวิก กต ภวิสฺสติ, กปฺปิยภณฺฑ อทตฺวา อกปฺปิยภณฺฑเมว ทินฺน ภวิสฺสติ, สตฺถารา เม กุปิเตน ภวิตพฺพ, ยสฺส กสฺสจิ นาม ทานานุรูปํ อนุโมทน กาตุ วฏฺ ฏตีติ วิหาร คนฺตฺวา สตฺถาร วนฺทิตฺวา เอตทโวจ “กินฺนุ โข เม ภนฺเต ทาตพฺพยุตฺตก ทาน น ทินฺน อุทาหุ ทานานุรูปํ กปฺปิยภณฺฑ อทตฺวา อกปฺปิยภณฺฑเมว ทินฺนนฺติ. “กิเมต มหาราชาติ. “น เม ตุมฺเหหิ ทานานุจฺฉวิกา อนุโมทนา กตาติ. “มหาราช อนุจฺฉวิกเมว เต ทาน ทินฺน, เอต หิ อสทิสทาน นาม, เอกสฺส พุทฺธสฺส เอกวารเมว สกฺกา ทาตุ, ปุน เอวรูปํ นาม ทาน ทุทฺททนฺติ. “อถ กสฺมา เม ภนฺเต ทานานุรูปํ อนุโมทน น กริตฺถาติ. “ปริสาย อสุทฺธตฺตา มหาราชาติ. “โก นุ โข ภนฺเต ปริสาย โทโสติ. อถสฺส สตฺถา ทฺวินฺนปิ อมจฺจาน จติ ตฺ วาร อาโรเจตฺวา กาเฬ อนุกมปฺ ํ ปฏจิ ฺจ อนุโมทนาย อกตภาว อาจกิ ฺข.ิ ๔ ๔ ธ.อ. ๖/๕๕ – ๕๖.
๑๙๙ เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี ๙ กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช- วทิ ยาลัย, ๒๕๕๐. กล่มุ ศึกษานิรตุ ตศิ าสตร.์ คัมภีรป์ ทรูปสทิ ธแิ ปลและอธิบาย เลม่ ๑. กรุงเทพฯ: อุษาการพมิ พ,์ ๒๕๓๖. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา, กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระธรรมกิตติ (พระคันธสาราภวิ งศ์ ชาระ). พาลาวตาโร. ลาปาง: จติ วฒั นาการพิมพ์, ๒๕๔๑. พระพุทธปั ปิยะ. ปทรปู สทิ ฺธิ กรงุ เทพฯ: เฉลิมชาญการพิมพ,์ ๒๕๒๖. พระมหานาค อุปสโม. อธิบายบาลีไวยกรณ์ อาขยาต. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐. พระมหาสมใจ ป ฺ าทีโป. ปทรูปสิทธิแปล. กรงุ เทพฯ: พทิ ักษ์การพิมพ,์ ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ อาขยาตและ กติ ก์. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒. สมเดจ็ พระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศยั มูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑.
บทท่ี นาม: นามกติ ก์ ๑๐ Noun words: Gerunds วตั ถปุ ระสงคป์ ระจาบทที่ ๑๐ เมื่อศึกษาบทท่ี ๑๐ จบแลว้ นกั ศกึ ษา/ผทู้ ่สี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของนามกติ ก์ได้ ๒. จาแนกประเภทของนามกิตก์ได้ ๓. บอกความหมายของสาธนะได้ ๔. จาแนกประเภทของสาธนะได้ ๕. จาแนกประเภทของปัจจยั นามกิตก์ได้ ๖. ระบุตวั ปัจจัยในนามกิตก์ไดถ้ ูกต้อง ๗. วเิ คราะห์นามกิตก์ตามลาดบั ปจั จัยได้ ๘. บอกรูปวิเคราะหแ์ ละสาธนะได้ ๑๐.๑ ความนา เมื่อพูดถึงนามในภาษาบาลี มักจะนึกถงึ นามศพั ท์ คือ ศัพท์ท่ีใช้เป็นนามนาม คุณนาม และ สัพ พนามตามที่ได้อธิบายมาแล้ว๑ แต่คาว่า “นาม” ในคาว่า “นามกิตก์” น้ัน หมายถึง นามศัพท์ท่ี สาเร็จรูปจากธาตแุ ละปัจจยั ในนามกิตก์ และใช้เป็น นามนาม และ คุณนาม โดยมิได้หมายถึง นามศัพท์ ที่เป็นนามนาม และคุณนามโดยกาเนิด ส่วนคาว่า “กิตก์” หมายถึง ศัพท์ท่ีเร่ียรายด้วยปัจจัยกิตก์ เม่ือ รวม ๒ คา คือ รวมนามกับกิตก์เข้าด้วยกันก็เป็นนามกิตก์ คือ กิตก์ท่ีใช้เป็นนาม ในบทนี้ จะนาเสนอ ๑ นามศัพท์ในที่นี้ คือ นามนาม ทใี่ ช้เป็นช่ือของคน สตั ว์ สถานท่ี สงิ่ ของ เช่น วสิ าขา (นางวิสาขา) เทวทตฺโต (พระเทวทัต) ฯลฯ คุณนาม ท่ีใช้ขยายนามนาม เชน่ พาล (โง)่ ปณฺฑติ (ฉลาด) ฯลฯ และ สพั พนาม ทีใ่ ช้สาหรับแทน นามนามที่ออกช่ือมาแล้วข้างต้น เพ่ือมิให้ออกช่ือน้ันซ้าอีก เพราะการออกชื่อซ้า ๆ ซาก ๆ ฟังแล้วไม่เพราะหู เช่น ต (เขา) ตุมฺห (ท่าน) ฯลฯ โปรดดรู ายละเอยี ดในบทท่ี ๔, ๕ และ ๖.
๒๐๑ เนือ้ หาสาระสาคัญเกย่ี วกับนามกติ ก์ จานวน ๗ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของนามกิตก์ ๒) ประเภท ของนามกิตก์ ๓) สาธนะ ๔) ประเภทของสาธนะ ๕) ปัจจัยนามกิตก์ ๖) วิเคราะห์นามกิตก์ตามลาดับ ปัจจัย และ ๗) รปู วิเคราะหแ์ ละสาธนะ โดยมรี ายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี ๑๐.๒ ความหมายของนามกิตก์ คาว่า “นามกิตก์” คือ กิตก์ท่ีใช้เป็นนาม หมายถึง ศัพท์จาพวกหน่ึงที่มีธาตปุ ระกอบด้วยปัจจัย กิตก์ ๑๔ ตัว ได้แก่ กฺว,ิ ณี, ณวฺ ,ุ ตุ, ร,ู ข, ณยฺ , อ, อ,ิ ณ, ตเว, ต,ิ ตุ และ ยุ๒ เชน่ อรุ โค (ผู้ไปด้วยอก) (อุร บทหนา้ คมฺ ธาตุ กวฺ ิ ปจั จัย ลบ ม ที่สดุ ธาตแุ ละลบ กฺวิ ปัจจัย) คมน (การไป) (คมฺ ธาตุ ยุ ปจั จยั แปลง ยุ ปัจจยั เป็น อน) โดยนัยน้ี คาว่า “นาม” ในคาว่า “นามกิตก์” จึงหมายถึง นามศัพท์ หรือ ธาตุท่ีนามา ประกอบด้วยปัจจัยในนามกิตก์ เมื่อสาเร็จรูปแล้วเป็นชนิดแห่งคาพูดทางไวยากรณ์ ๒ อย่าง คือ เป็น นามนาม และ คุณนาม มิได้หมายถึง ศัพท์ท่ีเป็นนามนาม และคุณนามโดยกาเนิด เช่น รุกฺข (ต้นไม้) อิตฺถี (หญงิ ) นลี (เขียว) เป็นต้น ๑๐.๓ ประเภทของนามกติ ก์ นามกิตก์ ในภาษาบาลี แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑๐.๓.๑ กิตก์ที่เป็นนามนาม หมายถึง ธาตุหรือกรยิ าศัพทท์ ี่เป็นมูลราก ซ่ึงนามาประกอบด้วย ปัจจัยในนามกิตก์แล้ว ใช้ได้ตามลาพังตัวเอง ไม่ต้องมีบทอ่ืนมาเป็นประธาน เช่น กรณ (การทา) าน (การยืน) สยน (การนอน) ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่ง กิตก์ท่ีเป็นนามนามน้ี เป็นกิตก์ท่ีใช้กริยานั่นเองเป็น นาม อาจเรียกวา่ “กรยิ านาม” ๓ ๑๐.๓.๒ กิตก์ท่เี ป็นคณุ นาม หมายถึง ธาตุ หรือกริยาศัพทท์ ี่เป็นมูลราก ซ่ึงนามาประกอบดว้ ย ปัจจัยในนามกิตก์แล้ว ไม่สามารถใช้ได้ตามลาพังตัวเอง เพราะมีฐานะเป็นเพียงคุณนามเช่นเดียวกับ ๒ คาว่า ตเว ในหนังสือไวยากรณบ์ าลีบางเลม่ เขียนเปน็ เตวฺ ๓ กริยานามหรือนามกิตก์ในภาษาบาลี อาจเปรียบเทียบได้กับ Gerund ในภาษาอังกฤษ เช่น doing (การ ทา) sleeping (การนอน) walking (การเดิน) เป็นต้น ซ่ึงคาเหล่านี้จัดเป็นนามท่ีมาจากกริยา คือ do (ทา) sleep (นอน) walk (เดนิ ) ตามลาดับ
๒๐๒ คุณนามโดยกาเนิด ต้องมีตัวนามศัพท์มาประกอบเป็นประธาน เช่น การโก (ผู้ทา) ปาปการี (ผู้ทาซ่ึง บาปโดยปกต)ิ อนุสาสโก (ผตู้ ามสอน) ฯลฯ นามกิตก์ดังกล่าวน้ี จัดเป็นสาธนะต่าง ๆ ซ่ึงแต่ละสาธนะมีปัจจัยเป็นเคร่ืองหมายเพื่อบอกให้รู้ วา่ มีเนอื้ ความตา่ งกนั ดังจะได้อธบิ ายต่อไป ๑๐.๔ สาธนะ สาธนะ คือ ศัพท์ท่ีสาเรจ็ มาแต่รูปวิเคราะห์ หมายความว่า รูปสาเร็จมาจากการตง้ั วิเคราะห์คา ว่า วิเคราะห์ ก็หมายความว่า การแยกหรือกระจายศัพท์ออกให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของศัพท์ท่ีเป็นสาธนะ เช่นศัพท์ว่า คติ (อ.ภูมเิ ป็นที่ไป) ย่อมสาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ว่า “คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ” เพระฉะน้ัน คติ จึงเป็นตัวสาธนะ และ คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ เป็นรูปวิเคราะห์ เม่ือเรียงให้เต็มทั้งรูปวิเคราะห์ และสาธนะ จะได้ดังนี้ คจฺฉนตฺ ิ เอตฺถาติ คติ (อ. ชน ท.) ย่อมไป ในภูมินน่ั เพราะเหตนุ ั้น อ. ภูมนิ ่ัน ช่อื ว่า คติ (เป็นท่ไี ปแหง่ ชน ท.) โดยปกติในรูปวิเคราะห์ ยอ่ มบอกใหท้ ราบสาธนะไปด้วยในตัว เชน่ ในรปู วิเคราะห์ดังกลา่ วมานี้ คาว่า เอตฺถ (ในภูมิน่ัน) เป็นสัตตมีวิภัตติ บ่งถึงสถานท่ี ก็ทาให้ทราบว่า รปู สาเร็จมาจากคานี้ และต้อง เป็นอธิกรณสาธนะ เพราะสาธนะน้ี กาหนดใหใ้ ชค้ าวา่ “เอตฺถ” ในเวลาตัง้ รูปวิเคราะห์ ส่วนกริยาท่ีอยู่ ข้างหน้าน้ันแสดงถึงรูป ซ่ึงในท่ีนี้ก็คือ คจฺฉนฺติ เป็นกัตตุวาจก จึงต้องเป็นกัตตุรูป รวมความว่า คติ เป็นกตั ตุรปู อธิกรณสาธนะ ๑๐.๕ ประเภทของสาธนะ สาธนะ คอื ศัพท์ทส่ี าเรจ็ มาจากรปู วเิ คราะห์ มี ๗ ประเภท ดงั น้ี ๑๐.๕.๑ กัตตุสาธนะ คือ ศัพท์นามกิตก์ท่ีสาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ โดยเป็นช่ือของ ผู้ทาเอง (กตั ตา) แปลวา่ ผ.ู้ .. หรือ ผู้...โดยปกติ ๑๐.๕.๒ กัมมสาธนะ คือ ศัพท์นามกิตก์ท่ีสาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ โดยเป็นชื่อของ สิ่งที่ถูก ทา (กมั ม) แปลวา่ เปน็ ท่ี... หรอื เปน็ ทอี่ ันเขา ... ๑๐.๕.๓ ภาวสาธนะ คือ ศัพท์นามกิตก์ท่ีสาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ โดยเป็นช่ือของกริยา อาการของผู้ทา แปลวา่ ความ... หรอื การ... ๑๐.๕.๔ กรณสาธนะ คอื ศัพทน์ ามกิตก์ทีส่ าเรจ็ มาจากรปู วิเคราะห์ โดยเปน็ ชื่อของสง่ิ ที่ใชท้ า หรอื เคร่ืองมอื แปลว่า เปน็ เคร่อื ง ... หรอื เป็นเหตุ ...
๒๐๓ ๑๐.๕.๕ สัมปทานสาธานะ คือ ศัพท์นามกิตก์ที่สาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ โดยเป็นช่ือของ ผรู้ ับมอบ แปลว่า เป็นท.ี่ .. หรือ เป็นทอ่ี ันเขา ... ๑๐.๕.๖ อปาทานสาธนะ คือ ศัพท์นามกิตก์ท่ีสาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ โดยเป็นช่ือของส่ิง หรอื สถานที่ ที่เป็นแดนใหส้ งิ่ อ่นื หรือ ผ้อู น่ื ออกไป แปลว่า เปน็ แดน... ๑๐.๕.๗ อธิกรณสาธนะ คือ ศัพท์นามกติ ก์ท่สี าเร็จมาจากรูปวเิ คราะห์ โดยเป็นช่ือของสงิ่ หรือ สถานท่ี ทผี่ ู้อืน่ หรอื ส่ิงอ่นื เขา้ ไปแสดงกรยิ าอาการ แปลวา่ เปน็ ท.่ี .. หรือ เปน็ ทอี่ ันเขา... ๑๐.๖ ปัจจัยนามกติ ก์ ปจั จัยสาหรับประกอบนามกิตก์นัน้ จดั เปน็ ๓ หมวด ดังนี้ ๑๐.๖.๑ กิตปัจจัย ใช้สาหรับประกอบกับศัพท์ท่ีเป็นกัตตุวาจก และ เหตุกัตตุวาจา มี ๕ ตัว คอื กวฺ ,ิ ณี, ณฺว,ุ ตุ, รู ๑๐.๖.๒ กจิ จปจั จยั ใช้สาหรับประกอบกบั ศพั ท์ที่เปน็ กัมมวาจกและภาววาจก มี ๒ ตวั คือ ข, ณยฺ ๑๐.๖.๓ กิตกิจจปัจจยั ใช้สาหรับประกอบกับศัพท์ได้ท้ังที่เป็นกัตตุวาจก เหตุกตั ตุวาจก กัมม วาจก และภาววาจก มี ๗ ตัว คือ อ, อ,ิ ณ, ตเว, ต,ิ ตุ, ยุ ๑๐.๗ วิเคราะหน์ ามกติ ก์ตามลาดบั ปัจจัย ต่อไปน้ี จะแสดงรปู วิเคราะห์ สาธนะ และคาแปลสาธนะตามลาดับปัจจัย ดงั นี้ ๑๐.๗.๑ หมวดกติ ปัจจัย มี ๔ ตวั คือ กฺวิ, ณี, ณฺว,ุ ต,ุ รู ปัจจยั รูปวเิ คราะห์ กัตตุสาธนะ คาแปลสาธนะ (ผ้.ู .., ผู้ ...โดยปกติ) กวฺ ิ สย ภวตี-ติ ผ้เู ปน็ เอง ณี ธมมฺ วทติ สีเลนา-ติ สยมฺภู ผ้กู ลา่ วซึ่งธรรมโดยปกติ ณฺวุ เทต-ี ติ ธมมฺ วาที ผ้ใู ห้ ตุ กโรตี-ติ ทายโก ผ้ทู า รู ปาร คจฺฉติ สีเลนา-ติ กตตฺ า ผู้ถึงซ่งึ ฝ่ังโดยปกติ ปารคู
๒๐๔ ๑๐.๗.๒ หมวดกจิ จปจั จัย มี ๒ ตวั คือ ข, ณยฺ ปัจจัย รูปวเิ คราะห์ กัมมสาธนะ (เป็นที่..., เปน็ ที่ คาแปลสาธนะ อนั เขา ..., อันเขา ... ข ทกุ เฺ ขน กริยตีติ อันเขาทาได้โดยยาก ทุกฺเขน ชีวยเต-ติ ภาวสาธนะ (ความ..., การ...) ความเป็นอยู่โดยยาก ทกุ ฺกร (กมั มสาธนะ) (อนั เขาเปน็ อยู่ไดโ้ ดยยาก) ณยฺ คมิตพโฺ พ-ติ ทุชฺชวี (ภาวสาธนะ) อนั เขาพงึ ถึง คนตฺ พฺพน-ติ การไป (อันเขาพึงไป) คมโฺ ม (กมั มสาธนะ) คมมฺ (ภาวสาธนะ) ๑๐.๗.๓ หมวดกติ กิจจปัจจัย มี ๗ ตัว คือ อ, อ,ิ ณ, ตเว, ต,ิ ตุ, ยุ ปัจจัย รูปวเิ คราะห์ กตั ตุสาธนะ กัมมสาธนะ ฯลฯ คาแปลสาธนะ หติ กกฺ โร (กัตตสุ าธนะ) ผู้ทาซึง่ ประโยชนเ์ ก้ือกูล อ หิต กโรตี-ติ นสิ ฺสโย (กมั มสาธนะ) เป็นทอี่ าศัยอยู่ นิสฺสาย น วสตี-ติ ชโย (ภาวสาธนะ) ความชนะ ชยน วินโย (กรณสาธนะ) เปน็ เครอ่ื งแนะนา (ของบัณฑิต) วเิ นติ เตนา-ติ ปภโว (อปาทานสาธนะ) เป็นแดนเกดิ ก่อน ป ม ภวติ เอตสฺมา-ติ รจุ ิ (กัตตุสาธนะ) ผู้รุง่ เรือง สนฺธิ (กมั มสาธนะ) อันเขาตอ่ อิ โรเจตี-ติ นนฺทิ (ภาวสาธนะ) ความเพลดิ เพลนิ สนธฺ ยิ ตี-ติ คาโห (กตั ตุสาธนะ) ผ้ถู อื เขา นนทฺ น สงขฺ ารา (กัมมสาธนะ) อันปัจจัยกระทาพร้อม ณ คณหฺ าตี-ติ คาโห (ภาวสาธนะ) การถอื เอา ส สุฏฺ ุ กริยนเฺ ต-ติ ปรกิ ขฺ าโร (กรณสาธนะ) เป็นเคร่อื งทารอบ (แห่งชน) คหณ รงโฺ ค (อธิกรณสาธนะ) เปน็ ทย่ี ินดี (แห่งชน) ปริ สมนฺตโต กโรติ เตนา-ติ กาตเว (= กาเตวฺ ) เพ่ือจะทา ร ฺชติ เอตฺถา-ติ สมปฺ ตฺติ (กมั มสาธนะ) อนั เขาพงึ ถึงพร้อม สมมฺ ติ (ภาวสาธนะ) ความรู้พร้อม ตเว – สมฺมติ (กรณสาธนะ) เปน็ เครื่องรพู้ ร้อม (แห่งชน) ติ สมปฺ ชชฺ ิตพฺพา-ติ คติ (อธิกรณสาธนะ) เป็นทไี่ ป (แห่งชน ท.) สมฺมนน ลภิตุ (ปฐมา/จตตุ ถวี ิภัตต)ิ อ.อนั ได,้ เพ่ืออันได้ ส สุฏฺ ุ ม ฺ ติ เอตายา-ติ คจฉฺ นตฺ ิ เอตฺถา-ติ วโิ รจโน (กัตตสุ าธนะ) ผู้รุ่งเรือง วจน (กมั มสาธนะ) อนั เขาพงึ กลา่ ว ตุ – ยุ วโิ รจตี-ติ วจติ พพฺ นฺ-ติ
๒๐๕ วจิยเต-ติ วจน (ภาวสาธนะ) การกลา่ ว ชานาติ เตนา-ติ าณ (กรณสาธนะ) เปน็ เคร่ืองรู้ (แหง่ ชน) มรติ เอตถฺ า-ติ เป็นทต่ี าย มรณ (อธิกรณสาธนะ) ๑๐.๘ รูปวิเคราะหแ์ ละสาธนะ รูปวิเคราะห์และสาธนะตามที่ได้แสดงไว้ในข้อ ๗.๕ นั้น อาจแปลให้เต็มรูปแบบ พร้อมทั้งตั้ง ข้อสังเกตเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงของตัวธา ตุและปัจจัยเม่ือลงปัจจัยนามกิตก์ ตา่ ง ๆ ดังน้ี ๑๐.๘.๑ ลง กฺวิ ปจั จัย รปู วเิ คราะห์: สย ภวตี-ติ สยมภฺ ู คาแปล: (ผู้ใด) ย่อมเป็นเอง เพราะเหตุนนั้ (ผนู้ น้ั ) ชื่อว่า ผู้เปน็ เอง (คาว่า สยมฺภู มี สย เป็นบทหน้า ภู ธาตุ ลง กวฺ ิ ปจั จัย ลบ กฺวิ แปลงนิคคหติ เป็น ม)ฺ ข้อสังเกต: กฺวิ ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุแล้ว โดยมากมักลบท้ิงและมักลงในธาตุท่ีมีบท หน้า เช่น ภุชโค (ภุช บทหน้า คมฺ ธาตุ) ถ้าลงในธาตุตัวเดียวจะไม่ลบธาตุ เช่น มารชิ (มาร บทหน้า ชิ ธาตุ) แตถ่ า้ ลงในธาตุ ๒ ตัว จะลบทส่ี ุดธาตุ เช่น ตุรโค (ตุร บทหน้า คมฺ ธาตุ) ๑๐.๘.๒ ลง ณี ปจั จยั รปู วิเคราะห์: ธมมฺ วทติ สเี ลนา-ติ ธมมฺ วาที คาแปล: (ผู้ใด) กล่าวซึ่งธรรมโดยปกติ เพราะเหตุน้ัน (ผู้น้ัน) ชื่อว่า ผู้กล่าวซึ่งธรรมโดย ปกติ (คาว่า ธมฺมวาที มี ธมฺม เป็นบทหน้า วทฺ ธาตุ ลง ณี ปัจจัย แปลง อ ท่ี ว เป็น อา ด้วยอานาจปจั จัยท่เี น่ืองด้วย ณ แลว้ ลบ ณ ) ข้อสังเกต: ณี ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุแล้ว ลบ ณ เสีย เหลือไว้ แต่สระ และมอี านาจ ให้ทีฆะ เช่น ปุ ฺ การี (ปุ ฺ บทหน้า กรฺ ธาตุ) แปลงตัวธาตุ เช่น ภยทสฺสี (ภย บทหน้า ทิสฺ ธาตุ) แปลง อา ทส่ี ุดธาตุ เป็น อาย เสมอ เช่น มชฺชปายี (มชชฺ บทหนา้ ปา ธาต)ุ
๒๐๖ ๑๐.๘.๓ ลง ณวฺ ุ ปัจจัย รูปวิเคราะห์: เทต-ี ติ ทายโก คาแปล: (ผู้ใด) ยอ่ มให้ เพราะเหตนุ ้ัน (ผู้น้ัน) ช่ือว่า ผใู้ ห้ (คาว่า ทายโก เป็น ทา ธาตุ ย ปัจจัยหลังธาตุที่มี อา เป็นท่ีสุด ณฺวุ ปัจจัย แปลง ณวฺ ุ เป็น อก) ข้อสังเกต: ณฺวุ ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุแล้ว มักแปลงรูปเป็น อก และมีอานาจ เช่นเดียวกับ ณี ปัจจัย เพราะเป็นปัจจัยท่ีเนื่องด้วย ณ ยกเว้นธาตุท่ีมี อา เป็นท่ีสุด ให้ลง ย ปัจจัยหลัง ธาตุกอ่ น เชน่ ทายโก (ทา ธาตุ ย ปจั จยั และ ณวฺ ุ ปัจจัย) ๑๐.๘.๔ ลง ตุ ปัจจัย รปู วเิ คราะห์: กโรตี-ติ กตตฺ า คาแปล: (ผ้ใู ด) ยอ่ มทา เพราะเหตนุ ั้น (ผู้นน้ั ) ชือ่ วา่ ผู้ทา (คาว่า กตฺตา เป็น กรฺ ธาตุ ลบพยัญชนะท่ีสุดธาตุ ซ้อน ตฺ ลง ตุ ปัจจัย เป็น กตตฺ ุ เข้ากบั ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะ เป็น กตฺตา) ข้อสังเกต: ตุ ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุแล้ว มักคงไว้ตามรูปเดิม แต่มีอานาจให้ลบท่ีสุด ธาตุได้ เช่น วตฺตุ (วทฺ ธาตุ ลบ ท ซ้อน ตฺ) แปลงสระต้นธาตุ เช่น เนตา (นี ธาตุ แปลง อี เป็น เอ) แปลงท่ีสุดธาตุ เช่น ชนฺตุ (ชนฺ ธาตุ แปลง น เป็นตัวสะกด) ลง อิ อาคมหลังธาตุ เช่น สริตุ (สรฺ ธาตุ อิ อาคมหลังธาต)ุ ๑๐.๘.๕ ลง รู ปจั จยั รูปวิเคราะห์: ปาร คจฉฺ ติ สเี ลนา-ติ ปารคู คาแปล: (ผู้ใด) ยอ่ มถึงซึ่งฝ่ังโดยปกติ เพราะเหตนุ ั้น (ผู้นนั้ ) ชอ่ื วา่ ผถู้ งึ ซงึ่ ฝง่ั โดย ปกติ (คาว่า ปารคู มี ปาร เป็นบทหน้า คมฺ ธาตุ ลง รู ปัจจัยลบที่สุดธาตุด้วยอานาจ ปจั จัยท่ีเน่อื งดว้ ย ร แลว้ ลบ ร) ข้อสังเกต: รู ปัจจัย เมื่อลงประกอบกับธาตุแล้ว ต้องลบตัว ร คงไว้แต่ -ู แล้วนา -ู ท่ีเหลืออยู่ มาประกอบกับธาตุ เช่น มตฺต ฺ ู (มตฺต บทหน้า า ธาตุ รู ปัจจัย ลบ อา ที่ า แล้วซ้อน ฺ) ลงใน ธาตุ ๒ ตัว ลบที่สดุ ธาตุ เช่น อนตฺ คู (อนฺต บทหน้า คมฺ ธาต)ุ และลงในธาตุ ๒ ตัว ไมล่ บที่สุดธาตุ แต่ให้ รสั สะ อู ที่ รู เป็น อุ เช่น ภิกขฺ ุ (ภกิ ขฺ ฺ ธาตุ ลบ ร รัสสะ อู เป็น อ)ุ
๒๐๗ ๑๐.๘.๖ ลง ข ปจั จัย รูปวเิ คราะห์: ทุกเฺ ขน กรยิ ตี-ติ ทกุ กฺ ร คาแปล: (กรรมใด) อันเขาทาได้โดยยาก เพราะเหตุน้ัน (กรรมนั้น) ช่ือว่า อันเขาทาได้ โดยยาก (คาว่า ทกุ กฺ ร มี ทุ เปน็ บทหน้า กรฺ ธาตุ ลง ข ปัจจัย ลบ ข ซ้อน ก)ฺ รปู วิเคราะห์: ทุกฺเขน ชีวยเต-ติ ทุชชฺ ีว คาแปล: (อนั เขา) ยอ่ มเป็นอยไู่ ดโ้ ดยยาก เพราะเหตุนน้ั ช่อื ว่า ความเป็นอยูไ่ ด้โดยยาก (คาวา่ ทชุ ฺชีว มี ทุ บทหนา้ ชีวฺ ธาตุ ลง ข ปัจจยั ลบ ข ซอ้ น ชฺ) ขอ้ สังเกต: ข ปัจจัย เมื่อลงประกอบกับธาตแุ ล้ว มักลบท้ิง และไม่มอี านาจแปลงธาตุ ๑๐.๘.๗ ลง ณฺย ปัจจยั รปู วเิ คราะห์: คมิตพฺโพ-ติ คมฺโม คาแปล: (ธรรมใด อันเขา) พึงถงึ เพราะเหตนุ ้นั (ธรรมนัน้ ) ชือ่ วา่ อนั เขาพงึ ถึง (คาว่า คมฺโม เป็น คมฺ ธาตุ ลง ณฺย ปัจจัย ลบ ณ แปลง ย กับท่ีสุดธาตุ เป็น มมฺ ) รูปวเิ คราะห์: คนฺตพฺพนฺ-ติ คมฺม คาแปล: (อนั เขา) พึงไป เพราะเหตุนัน้ ชอ่ื ว่า ความไป ข้อสังเกต: ณฺย ปัจจัย เป็นปัจจัยที่เน่ืองด้วย ณ จึงมีอานาจเหมอื น ณี ปัจจัย เมื่อลงประกอบ กับธาตุแล้ว ลบ ณ เสีย แปลง ย กับท่ีสุดธาตุเป็นอย่างอ่ืน เช่น คมฺโม (คมฺ ธาตุ แปลง ย กับ ม ที่สุด ธาตุ เป็น มฺม) ลบ ณฺ คง ย ไว้ แล้วลง อิ อาคมที่สุดธาตุ เช่น การิย (กรฺ ธาตุ) แปลง ณฺย เป็น เอยฺย เมื่อธาตุมี อา เปน็ ท่สี ดุ เช่น เทยยฺ (ทา ธาตุ) ๑๐.๘.๘ ลง อ ปจั จัย รูปวเิ คราะห์: หิต กโรตี-ติ หติ กกฺ โร คาแปล: (ผ้ใู ด) ยอ่ มทา ซ่งึ ประโยชนเ์ ก้ือกูล เพราะเหตนุ ้ัน (ผู้นั้น) ช่อื วา่ ผูท้ าซึ่ง ประโยชน์เกอ้ื กูล (คาว่า หติ กกฺ โร มี หิต เปน็ บทหน้า กรฺ ธาตุ ลง อ ปจั จยั ลบ อ ซอ้ น กฺ)
๒๐๘ รปู วเิ คราะห์: นิสสฺ าย น วสตี-ติ นิสฺสโย คาแปล : (ศษิ ย)์ อาศยั ซึ่งอาจารย์นั้นอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน (อาจารย์นนั้ ) ช่ือว่า เป็นทอ่ี าศัยอยู่ (ของศิษย์) (คาว่า นิสฺสโย มี นิ เป็นบทหน้า สี ธาตุ ลง อ ปจั จยั แล้วลบ อ แปลง อี เป็น เอ แลว้ แปลง เอ เป็น อย แลว้ ซอ้ น ส)ฺ รปู วเิ คราะห์: ชยน ชโย คาแปล: ความชนะ ชอ่ื ว่า ชัย (คาวา่ ชโย เปน็ ชิ ธาตุ ลง อ ปจั จยั แลว้ ลบ อ แปลง อิ ท่ี ชิ เป็น เอ แลว้ แปลง เอ เปน็ อย) รปู วิเคราะห์: วิเนติ เตนา-ติ วนิ โย คาแปล: (บัณฑิต) ย่อมแนะนา ด้วยอุบายน้ัน เพราะเหตนุ น้ั (อุบายนน้ั ) ชื่อวา่ เป็น เคร่ืองแนะนา (ของบัณฑติ ) (คาว่า วินโย มี วิ เป็นบทหน้า นี ธาตุ ลง อ ปัจจัย แลว้ ลบ อ) รูปวิเคราะห์: ป ม ภวติ เอตสมฺ า-ติ ปภโว คาแปล: (แมน่ า้ ) ย่อมเกดิ ก่อน แตป่ ระเทศน่ัน เพราะเหตุนัน้ ประเทศนั่น ชือ่ ว่า เป็นแดน เกิดกอ่ น (คาวา่ ปภโว มี ป เปน็ บทหน้า ภู ธาตุ ลง อ ปัจจยั แลว้ ลบ อ แปลง อู เปน็ โอ แล้วแปลงเปน็ อว) ขอ้ สงั เกต: อ ปจั จยั เม่ือลงประกอบกบั ธาตุ ย่อมลบเสยี แต่ที่ปรากฏได้ก็คือ เสยี งสระ ะ ทตี่ ิด อยูท่ ้ายธาตุ ๑๐.๘.๙ ลง อิ ปจั จัย รปู วิเคราะห์: โรเจตี-ติ รจุ ิ คาแปล: (ชนใด) ย่อมรุ่งเรอื ง เพราะเหตนุ ้นั (ชนนั้น) ช่ือว่า ผู้รงุ่ เรือง (คาวา่ รุจิ เป็น รุจฺ ธาตุ ลง อิ ปจั จยั ) รูปวเิ คราะห์: สนธฺ ยิ ตี-ติ สนธฺ ิ คาแปล: (วาจาใด) อันเขาตอ่ เพราะเหตุนน้ั (วาจานั้น) ชื่อวา่ อนั เขาตอ่ (คาว่า สนฺธิ มี ส เป็นบทหน้า ธา ธาตุ ลง อิ ปัจจัย แปลงนิคคหิตเป็น นฺ และ ลบ อา ทสี่ ดุ ธาตุ)
๒๐๙ รปู วิเคราะห์: นนทฺ น นนทฺ ิ คาแปล: ความเพลดิ เพลิน ช่อื วา่ นันทิ (คาว่า นนฺทิ เป็น นนทฺ ฺ ธาตุ ลง อิ ปจั จยั ) ข้อสงั เกต: อิ ปัจจยั เม่อื ประกอบกับธาตแุ ลว้ คง อิ ไว้ และไมม่ ีอานาจแปลงธาตุใด ๆ ๑๐.๘.๑๐ ลง ณฺ ปัจจัย รปู วิเคราะห์: คณหฺ าตี-ติ คาโห คาแปล: (ชนใด) ยอ่ มถือเอา เพราะเหตุนัน้ (ชนน้นั ) ช่ือวา่ ผูถ้ ือเขา (คาวา่ คาโห เป็น คหฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจยั แล้วลบ ณ ทฆี ะตน้ ธาตุ) รปู วเิ คราะห์: ส สุฏฺ ุ กริยนฺเต-ติ สงฺขารา คาแปล: (ธรรม ท. เหล่าใด อันปัจจัย) ย่อมทาพร้อม คือว่า ด้วยดี เพราะเหตุน้ัน (ธรรม ท. เหลา่ นั้น) ช่ือว่า อนั ปัจจัยกระทาพร้อม (คาว่า สงฺขารา มี ส บทหน้า กรฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจัย ลบ ณ แปลง กรฺ เป็น ขร ทีฆะ อ ตน้ ธาตเุ ป็น อา แปลงนคิ คหติ เป็น งฺ) รปู วิเคราะห์: คหณ คาโห คาแปล: การถอื เอา ชือ่ วา่ คาหะ (คาว่า คาโห เป็น คหฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจัย แลว้ ลบ ณ ทีฆะตน้ ธาต)ุ รปู วเิ คราะห์: ปริ สมนตฺ โต กโรติ เตนา-ติ ปรกิ ฺขาโร คาแปล: (ชน) ย่อมทารอบ คือว่า โดยรอบ ด้วยเคร่ืองประดับนั้น เพราะเหตุน้ัน เครื่องประดบั น้นั ช่ือวา่ เปน็ เครื่องทารอบ (แห่งชน) (คาว่า ปริกฺขาโร มี ปริ บทหน้า กรฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจัย และลบ ณ แปลง กรฺ เป็น ขร ทีฆะตน้ ธาตุเป็น อา ซอ้ น ก)ฺ รปู วิเคราะห์: ร ฺชติ เอตฺถา-ติ รงโฺ ค คาแปล: (ชน) ย่อมยินดี ในท่ีนั่น เพราะเหตุนั้น (ท่ีน่ัน) ชื่อว่า เป็นที่ยินดีแห่งชน (หมายถงึ สถานทบี่ นั เทงิ ) (คาว่า รงฺโค เป็น ร ชฺ ฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจัย แล้วลบ ณ แปลง ช เป็น ค แปลง ฺ เปน็ นิคคหติ แลว้ แปลงนคิ คหิตเปน็ ง)ฺ
๒๑๐ ข้อสังเกต: ณ ปัจจัย มีอานาจทีฆะ และแปลงเช่นเดียวกับปัจจัยท่ีเนื่องด้วย ณ เช่น ณี ณวุ และ ณฺย ดังกล่าวแล้ว และปัจจัยน้ี เมื่อลงประกอบกับธาตุแล้ว ย่อมลบเสีย เช่น คาโห (คหฺ ธาตุ ทีฆะ ต้นธาตุ) อาพาโธ (อา บทหนา้ พาธฺ ธาต)ุ ๑๐.๘.๑๑ ลง ตเว ปจั จยั รปู วเิ คราะห์: กาตเว (หรือ กาเตฺว) คาแปล: เพือ่ จะทา (คาว่า กาตเว เป็น กรฺ ธาตุ ลง ตเว ปัจจยั แปลง กรฺ เป็น กา) ข้อสังเกต: ตเว ปัจจยั ต่างจากปัจจยั ตัวอื่น ๆ คือ ไม่ใช้ลงในสาธนะอะไร ๆ แต่เม่ือลงแล้ว ใช้ แทนวิภัตตินาม คือ เฉพาะจตุตถีวิภัตติเท่านั้น และใช้อายตนิบาตว่า “เพ่ือ” เท่านั้น ไม่สามารถนาไป แจกตามวภิ ัตตินามใด ๆ ได้ และไม่มรี ูปวิเคราะห์เหมือนปัจจัยนามกิตกต์ ัวอ่ืน ๆ เม่ือลงประกอบกบั ธาตุ แล้ว เปน็ อันสาเร็จรูปทีเดียว ตัวปัจจยั เองคงไว้ตามเดมิ ไม่ลบไม่เปล่ียนแปลง และมีอานาจแปลงตัวธาตุ ไดบ้ า้ ง ๑๐.๘.๑๒ ลง ติ ปจั จัย รูปวิเคราะห์: สมปฺ ชชฺ ิตพพฺ า-ติ สมปฺ ตตฺ ิ คาแปล: (ธรรมชาติใด) อันเขาพึงถึงพร้อม เพราะเหตุน้ัน (ธรรมชาติน้ัน) ชื่อว่า อัน เขาพงึ ถึงพรอ้ ม (คาว่า สมฺปตฺติ มี ส เป็นบทหน้า ปทฺ ธาตุ ลง ติ ปัจจัย แปลงท่ีสุดธาตุเป็น ตฺ แล้วแปลงนิคคหิตเป็น ม)ฺ รูปวิเคราะห์: สมฺมนน สมมฺ ติ คาแปล: ความรพู้ ร้อม ชอ่ื วา่ สมมติ (คาว่า สมฺมติ มี ส บทหน้า มนฺ ธาตุ ลง ติ ปัจจัย ลบที่สุดธาตุ แปลง นิคคหติ ที่ ส เปน็ มฺ เพราะมี ม อยูห่ ลงั ) รปู วิเคราะห์: ส สุฏฺ ุ ม ฺ ติ เอตายา-ติ สมฺมติ คาแปล: (ชน) ย่อมรู้พรอ้ ม คือ ด้วยดี ดว้ ยธรรมชาตนิ ั่น เพราะเหตนุ ั้น (ธรรมชาติ น่ัน) ชอ่ื ว่า เป็นเครอื่ งรู้พรอ้ ม รปู วเิ คราะห์: คจฺฉนตฺ ิ เอตฺถา-ติ คติ คาแปล: (ชน) ยอ่ มไป ในภูมนิ น่ั เพราะเหตนุ ้ัน (ภมู ินั่น) ชอื่ ว่า เปน็ ทไ่ี ป (แหง่ ชน ท.) (คาวา่ คติ เปน็ คมฺ ธาตุ ลง ติ ปจั จัย คง ติ ไว้ ลบที่สดุ ธาตุ)
๒๑๑ ข้อสังเกต: ติ ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุแล้ว โดยมากคงรูป ติ ไว้ แต่มีเปลี่ยนแปลงเป็น อย่างอ่ืนบ้าง และมีอานาจลบหรือแปลงพยัญชนะท่ีสุดธาตไุ ด้ เช่น รติ (รมฺ ธาตุ ลบท่ีสุดธาตุ) วิมุตฺติ (วิ บทหนา้ มุจฺ ธาตุ แปลง จ ทสี่ ุดธาตุ เปน็ ตฺ) ๑๐.๘.๑๓ ลง ตุ ปจั จยั รปู วิเคราะห์: ลภิตุ (ปฐมา/จตุตถีวภิ ตั ติ) คาแปล: อ. อนั ได,้ เพื่ออันได้ (คาว่า ลภิตุ เป็น ลภฺ ธาตุ ลง ตุ ปัจจัย คงทส่ี ุดธาตุไว้ แล้วลง อิ อาคม หลัง ธาตุ)+ ข้อสังเกต: ตุ ปัจจัยนี้ มีลกั ษณะการใช้คล้ายกับ ตเว ปัจจัย ทีก่ ล่าวมาแลว้ คือ ไม่ลงในสาธนะ อะไร ๆ แต่ใช้ลงประกอบกับธาตุ เม่ือสาเร็จรูปแล้วใช้แทนวิภัตตินามได้ ๒ วิภัตติ คือ ปฐมาวิภัตติ และจตุตถีวิภัตติ ใช้อายตนิบาตประจาปฐมาวิภัตติว่า “อ.อัน ...” (= การ หรือ ความ) และอายต- นิบาตประจาจตุตถีวิภัตติว่า “เพื่อ ...” นาไปแจกตามวิภัตตินามไม่ได้ คงรูปอยู่ตามเดิม ไม่มีรูป วเิ คราะหเ์ หมือนปัจจัยนามกิตก์อ่นื ๆ และมอี านาจท่ีจะทากับธาตุได้ คอื ลง อิ อาคมหลังธาตุ เช่น สมิตุ (สมฺ ธาตุ) แปลงพยัญชนะที่สุดธาตุ เช่น ปตฺตุ (ปทฺ ธาตุ) แปลงตัวธาตุ เช่น กาตุ (กรฺ ธาตุ) และแปลง ตัวเอง เชน่ ลทฺธุ (ลภฺ ธาตุ) ๑๐.๘.๑๔ ลง ยุ ปัจจยั รูปวิเคราะห์: วิโรจตี-ติ วโิ รจโน คาแปล: (ชนใด) ย่อมร่งุ เรือง เพราะเหตุน้นั (ชนนนั้ ) ชือ่ วา่ ผู้ร่งุ เรือง (คาว่า วิโรจโน มี วิ บทหน้า รุจฺ ธาตุ ลง ยุ ปัจจัย แปลง อุ ที่ รุ เป็น โอ และ แปลง ยุ เปน็ อน) รูปวิเคราะห์: วจติ พฺพนฺ-ติ วจน คาแปล: (สทั ทชาตใด อันเขา) พึงกล่าว เพราะเหตนุ นั้ (สัททชาตน้ัน) ช่ือว่า อนั เขา พงึ กล่าว (คาว่า วจน เปน็ วจฺ ธาตุ ลง ยุ ปจั จยั แล้วแปลงเปน็ อน) รปู วิเคราะห์: วจิยเต-ติ วจน คาแปล: (อนั เขา) ยอ่ มกลา่ ว เพราะเหตุน้นั ชื่อวา่ การกล่าว
๒๑๒ รปู วเิ คราะห์: ชานาติ เตนา-ติ าณ คาแปล: (ชน) ยอ่ มรู้ ดว้ ยธรรมชาตินนั้ เพราะเหตุนน้ั (ธรรมชาติน้ัน) ชอ่ื วา่ เปน็ เครือ่ งรู้ (แห่งชน) (คาวา่ าณ เปน็ า ธาตุ ลง ยุ ปัจจัย แปลง ยุ เป็น อณ) รปู วเิ คราะห์: มรติ เอตฺถา-ติ มรณ คาแปล: (ชน) ย่อมตาย ในท่นี ั่น เพราะเหตนุ ัน้ (ที่นน่ั ) ช่ือว่า เป็นที่ตาย (คาว่า มรณ เปน็ มรฺ ธาตุ ลง ยุ ปัจจยั แปลง ยุ เปน็ อณ) ข้อสังเกต: ยุ ปัจจัย เม่ือลงประกอบกับธาตุ มักแปลงเป็น อน เช่น วจน (วจฺ ธาตุ) แปลงเป็น อณ เชน่ ปูรณ (ปรู ฺ ธาต)ุ และแปลงเป็น อานน เช่น ชานน ( า ธาตุ) นามกิตก์ตามท่ีได้แสดงมานี้ เป็นนามศัพท์ที่สาเร็จรูป (สาธนะ) มาจากการลงปัจจัยนามกิตก์ หลังธาตุแทนรูปวิเคราะห์ จัดเป็นนามนามและคุณนาม กล่าวคือ นามกิตก์ที่เป็นภาวนสาธนะ จัดเป็น นามนาม เพราะแปลออกสาเนียงอายตนิบาตแห่งวิภัตตินามได้โดยตรง ไม่ต้องมีนามนามอ่ืนท่ีเรียกว่า “อัญญบท” มาเป็นประธาน เช่น สาวโก (อ. พระสาวก) ชโย (อ. ความชนะ) ฯลฯ ส่วนนามกิตก์ท่ีเป็น สาธนะ ๖ อย่างนอกจากน้ี มีกัตตุสาธนะเป็นอาทิ จัดเป็นคุณนาม เพราะลงวิภัตตินามแล้ว ก็ไม่ สามารถแปลออกสาเนียงอายตนิบาตแห่งวิภัตตินามได้โดยตรง ต้องหานามนามอื่นที่เรียกว่า “อัญญ บท” มาเป็นประธาน แล้วแปลออกสาเนียงอายตนิบาตที่อัญญบทน้ัน เช่น สาวโก (ชโน) (อ. ชนผู้ฟัง) ธมมฺ วาที (ปุคฺคโล) (อ. บุคคลผู้กล่าวซง่ึ ธรรมโดยปกติ) ๑๐.๙ สรปุ ทา้ ยบท นามกิตก์ คือ กติ กท์ ี่ใช้เป็นนามนามและคุณนาม กิตก์ที่ใช้เป็นนามนามน้ันสามารถใช้ตามลาพัง ได้ โดยไม่ต้องมีบทอื่น (อัญญบท) มาเป็นประธาน เช่น กรณ (การทา) าน (การยืน) นิสชฺชา (การนั่ง) ฯลฯ ส่วนกิตก์ที่ใช้เป็นคุณนาม ไม่สามารถใช้ตามลาพังได้ ต้องมีบทอ่ืนมาเป็นประธาน เช่น การโก (ผู้ทา) ปาปการี (ผู้ทาซ่ึงบาปโดยปกติ) อนุสาสโก (ผู้ตามสอน) ฯลฯ ในนามกิตก์นี้ จัดเป็นสาธนะ และ สาธนะน้ัน ๆ แบ่งเป็น ๗ ประเภท ได้แก่ กัตตุสาธนะ กมั มสาธนะ ภาวสาธนะ กรณสาธนะ สัมปทาน สาธนะ อปาทานสาธนะ และอธิกรณสาธนะ ส่วนปัจจัยสาหรับประกอบนามกิตก์น้ันจัดเป็น ๓ หมวด ได้แก่ ๑) กิตปัจจัย เป็นปัจจัยที่ใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็นกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก มี ๕ ตัว ได้แก่ กฺวิ, ณี ณฺวุ, ตุ, รู, ๒) กิจจปัจจัย เป็นปัจจัยที่ใช้สาหรับประกอบกับศัพท์ท่ีเป็นกัมมวาจกและภาว วาจก มี ๒ ตัว คือ ข, ณฺย และ ๓) กิตกิจจปัจจัย เป็นปัจจัยที่ใช้สาหรับประกอบกับศัพท์ได้ทั้งท่ี เปน็ กตั ตุวาจก เหตกุ ตั ตวุ าจก กัมมวาจก และภาววาจก มี ๗ ตัว ไดแ้ ก่ อ, อ,ิ ณ, ตเว (= เตวฺ ) ติ, ตุ, ยุ
๒๑๓ แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ ๑๐ แบบฝึกหดั ท่ี ๑๐.๑ ใหเ้ ลอื กคาตอบทถ่ี กู ท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดยี ว ๑. ศพั ท์ในข้อใดเปน็ นามกติ ก์ ข. รกุ โฺ ข ก. กรณ ง. ปุรโิ ส ค. อติ ฺถี ๒. สาธนะ คืออะไร ก. ศัพทท์ ี่ใชเ้ ปน็ คณุ นาม ข. กิตก์ท่ใี ช้เปน็ นาม ค. ศัพท์ธาตทุ ่ีนามาประกอบปัจจัยนามกิตก์ ง. ศัพทท์ ี่สาเร็จมาจากรูปวิเคราะห์ ๓. ศพั ทน์ ามกติ ก์ท่ีเปน็ ชื่อของสง่ิ ท่ีถกู ทา จัดเปน็ สาธนะอะไร ก. กตั ตุสาธนะ ข. กมั มสาธนะ ค. กรณสาธนะ ง. สัมปทานสาธนะ ๔. “เป็นแดน...” เป็นคาแปลของสาธนะใด ข. สัมปทานสาธนะ ก. กรณสาธนะ ง. อธกิ รณสาธนะ ค. อปาทานสาธนะ ๕. ข้อใด ไม่ใช่ ปัจจัยในหมวด กติ กจิ จปจั จัย ข. ณ, ตเว ก. อ, อิ ง. ข, ณยฺ ค. ติ, ตุ, ยุ
๒๑๔ แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๐.๒ ก. ใหจ้ บั ค่คู าทม่ี คี วามสมั พันธ์และความหมายเหมือนกนั …………. . ๑. สยมภฺ ู ก. ณฺวุ ปจั จยั ผูใ้ ห้ ................. ๒. ธมมฺ วาที ข. กฺวิ ปัจจัย ผู้เปน็ เอง ................ ๓. ทายโก ค. รู ปจั จัย ผู้ถงึ ซึง่ ฝัง่ โดยปกติ ............... ๔. กตฺตา ง. ณี ปัจจัย ผูก้ ลา่ วซงึ่ ธรรมโดยปกติ ............... ๕. ปารคู จ. ตุ ปัจจัย ผทู้ า .............. ๖. ทุกฺกร ฉ. ข ปจั จยั ความเป็นอยโู่ ดยยาก .............. ๗. ทชุ ชฺ วี ช. ณยฺ ปัจจัย การไป .............. ๘. คมฺโม ซ. ณฺย ปัจจยั อนั เขาพงึ ถึง ............. ๙. คมฺม ฌ. ข ปัจจัย อันเขาทาได้โดยยาก ข. ให้แปลสาธนะตอ่ ไปน้ี ๑. หติ กกฺ โร (ชโน).............................................................................................................. ๒. วินโย (อุปาโย) ............................................................................................................... ๓. ปภโว (ปเทโส) ............................................................................................................... ๔. รจุ ิ (ชโน) ........................................................................................................................ ๕. สงขฺ ารา (ธมมฺ า) .............................................................................................................. ๖. คติ (ภูมิ) ........................................................................................................................ ๗. วโิ รจโน (ปคุ ฺคโล) .......................................................................................................... ๘. าณ (ธมมฺ ชาต) ..............................................................................................................
๒๑๕ แบบฝึกหดั ที่ ๑๐.๓ ใหพ้ จิ ารณาดรู ูปวิเคราะหต์ ่อไปน้ี แลว้ บอก สาธนะ, ปัจจัย และ คาแปลของสาธนะ รปู วเิ คราะห์ สาธนะ ปัจจยั คาแปลของสาธนะ ๑. สเุ ขน ภรยิ ตี-ติ สภุ โร (ชโน) ....................... .......................... ..................................... ๒. อาวสนฺติ เอตถฺ า-ติ อาวาโส (ปเทโส) ...................... .......................... ................................... ๓. วหติ พโฺ พ-ติ วาโห (ภาโร) ...................... .......................... ................................... ๔. วทต-ี ติ วตตฺ า (ชโน) ..................... .......................... ................................... ๕. ม ฺ ติ เอตายา-ติ มติ (ป ฺ า) ...................... .......................... ...................................
๒๑๖ แบบฝึกหัดที่ ๑๐.๔ ใหอ้ า่ นขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วขดี เส้นใต้ศพั ทน์ ามกิตก์ อิท ปน ปาฏิหาริย สตฺถา ตสฺมึ จงฺกเม จงฺกมิตฺวา อกาสิ. “ตสฺส เตโชกสิณสมาปตฺติวเสน อุปริมกายโต อคฺคิกฺขนฺโธ ปวตฺตติ, อาโปกสิณสมาปตฺติวเสน เหฏฺ ฐิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติ; ปุน อุทกธาราย ปวตฺตฏฺ านโต อคฺคิกฺขนฺโธ ปวตฺตติ, อคฺคิกฺขนฺธสฺส จ ปวตฺตฏฺ านโต อุทกธารา ปวตฺตตีติ ตมตฺถ ทสฺเสตุ “เหฏฺ ฐิมกายโต อุปริมกายโตติ วุตฺต. เอส นโย สพฺพ ปเทสุ, อคฺคิกฺขนฺโธ ปเนตฺถ อทุ กธาราย อสมฺมิสโฺ ส อโหสิ, ตถา อุทกธารา อคฺคิกฺขนฺเธน. อุภยปิ กิร เจต ยาว พฺรหฺมโลกา อุคฺคนฺตวฺ า จกฺกวาฬมุขวฏฺ ฏิย ปวตฺตติ. “ฉนฺน วณฺณานนฺติ วุตฺตตฺตา ปนสฺส ฉพฺพณฺณรสิโย กุเฏหิ อาสิ ฺจมาน วิลีนสุวณฺณ วิย ยนฺตนาฬิกโต นิกฺขนฺตา สุวณฺณรสธารา วิย จ เอกจกฺกวาฬคพฺภโต อุคฺคนฺตฺวา พฺรหฺม- โลก อาหจฺจ ปฏินิวตฺติตฺวา จกฺกวาฬมุขวฏฺ ฏิเมว คณฺหึสุ. เอก จกฺกวาฬคพฺภ วงฺกโคปานสิวินทฺธ วิย โพธิฆร อโหสิ เอกาโลก. ต ทิวส สตฺถา จงฺกมิตฺวา ปาฏิหาริย กโรนฺโต อนฺตรนฺตรา มหาชนสฺส ธมฺมกถ กเถสิ, กเถนฺโต จ ชน นิรสสฺ าส อกตฺวา อสสฺ าสตร เทต.ิ ๔ ๔ ธ.อ. ๖/๘๑.
๒๑๗ เอกสารอ้างองิ ประจาบทที่ ๑๐ กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๕๐. กลุ่มศกึ ษานิรุตติศาสตร.์ คัมภีร์ปทรปู สิทธแิ ปลและอธิบาย เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ: อุษาการพมิ พ,์ ๒๕๓๖. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา, กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระธรรมกิตติ (พระคนั ธสาราภวิ งศ์ ชาระ). พาลาวตาโร. ลาปาง: จติ วัฒนาการพมิ พ์, ๒๕๔๑. พระพทุ ธปั ปิยะ. ปทรูปสทิ ฺธิ กรงุ เทพฯ: เฉลิมชาญการพมิ พ,์ ๒๕๒๖. พระมหาสมใจ ป ฺ าทีโป. ปทรปู สทิ ธแิ ปล. กรงุ เทพฯ: พิทักษก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ อาขยาตและ กิตก์. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. สมเดจ็ พระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศยั มูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
บทท่ี สมาส ๑๑ Compound words วตั ถปุ ระสงคป์ ระจาํ บทท่ี ๑๑ เมอื่ ศึกษาบทท่ี ๑๑ จบแลว้ นกั ศกึ ษา/ผู้ท่สี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของสมาสได้ ๒. บอกวธิ กี ารย่อสมาสได้ถูกต้อง ๓. จาแนกประเภทของสมาสได้ ๔. บอกสมาสแต่ละประเภทได้ถูกตอ้ ง ๑๑.๑ ความนํา ในภาษาบาลี มีการย่อศัพท์ตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไปเข้าเป็นบทเดียวกัน เรียกว่า “สมาส” สมาสนี้มี วิธีการย่อ ๒ อยา่ ง คือ ย่อโดยการลบวิภัตติ เรียกวา่ “ลุตตสมาส” และย่อโดยการไม่ลบวิภัตติ เรียกว่า “อลุตตสมาส” และเมื่อจัดเป็นประเภท อาจจัดแบ่งได้ ๖ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ กัมมธารยสมาส ตปั ปุริสสมาส ทวันทวสมาส อัพยยีภาวสมาส และพหุพพหิ ิสมาส ในบทนี้ จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญ เก่ยี วกับสมาส จานวน ๓ ประเด็น ไดแ้ ก่ ๑) ความหมายของสมาส ๒) วิธีการย่อสมาส และ ๓) ประเภท ของสมาส โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๑๑.๒ ความหมายของสมาส คาว่า “สมาส”๑ มาจาก สํ บทหน้า อสฺ ธาตุ ลง ณ ปัจจัยนามกิตก์ แปลงนิคคหิตเป็น ม ด้วย อานาจ ณ ปัจจัย ทีฆะต้นธาตุเป็น อา แล้วลบ ณ ท้ิง สาเร็จรูปเป็นสมาส แปลว่า “ย่อ” หมายถึง การย่อศัพท์ที่มีวิภัตติต้ังแต่ ๒ บทข้ึนไปให้เข้าเป็นบทเดียวกัน เช่น ราชปุตฺโต แยกบทเป็น ร ฺโ กับ ๑ คาว่า “สมาส” มีวิเคราะห์ว่า สมสิยเตติ สมาโส (สทฺโท) แปลว่า (อ. ศัพท์ใด อันเขา) ย่อมย่อเข้า เพราะ เหตุนน้ั (อ. ศพั ทน์ นั้ ) ชอ่ื วา่ สมาส
๒๑๙ ปุตฺโต เม่ือย่อเข้าเป็นสมาสแล้วเป็น ราชปุตฺโต (โอรสของพระราชา) ปุพฺเพสนฺนิวาโส แยกบทเป็น ปพุ เฺ พ สนฺนิวาโส เมอ่ื ย่อเข้าเป็นสมาสแลว้ เปน็ ปุพเฺ พสนนฺ ิวาโส (การอยรู่ ่วมกนั ในปางก่อน) ๑๑.๓ วิธกี ารย่อสมาส สมาส ในภาษาบาลี มวี ธิ กี ารย่อ ๒ อย่าง ดงั นี้ ๑๑.๓.๑ ยอ่ โดยการลบวิภัตติ คอื ลบวภิ ตั ตขิ องศัพท์หนา้ เรยี กวา่ “ลตุ ตสมาส” เช่น กฐินสสฺ ทุสสฺ = กฐินทสุ สฺ (ผ้าเพื่อกฐนิ ) ร โฺ ปุตโฺ ต = ราชปตุ โฺ ต (โอรสของพระราชา) ๑๑.๓.๒ ยอ่ โดยการไมล่ บวภิ ตั ติ คอื ไม่ลบวิภตั ติของศัพท์หน้า เรยี กวา่ “อลุตตสมาส” เชน่ ปุพเฺ พ สนฺนิวาโส = ปุพเฺ พสนนฺ วิ าโส (การอยูร่ ว่ มกนั ในปางกอ่ น) เทวาน อนิ โฺ ท = เทวานมินโฺ ท (จอมแหง่ เทพ) ๑๑.๔ ประเภทของสมาส สมาสในภาษาบาลี อาจแบ่งออกได้ ๖ ประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งแต่ละประเภท มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๑๑.๔.๑ กัมมธารยสมาส คือ สมาสท่ีทรงบททั้งสองให้มีความหมายเสมอกันเหมือนคาว่า “กรรม” คาว่า กรรม นั้น มีความหมาย ๒ อย่าง คือ (๑) การกระทา (๒) ผลของการกระทา ซ่ึงท้ัง ๒ ความหมายน้ี รวมอยู่ในคาว่า กรรม คาเดียวกัน กัมมธารยสมาสก็เช่นเดียวกัน เช่น คาว่า มหาปุริโส มี ความหมาย ๒ อย่าง คือ (๑) บุรษุ (๒) ผู้ใหญ่ ซึ่งท้ัง ๒ ความหมายน้ี หมายถงึ ความเปน็ บรุ ษุ และความ เป็นผู้ใหญร่ วมอยู่ในคาวา่ มหาปุรโิ ส คาเดียวกัน กล่าวอกี นัยหน่ึง กัมมธารยสมาส หมายถงึ สมาสทเี่ กิด จากการย่อนามศัพท์ ๒ บท ท่ีมีวิภัตติ และวจนะ เป็นอย่างเดียวกัน โดยมีบทหน่ึงเป็นประธาน อีกบท หน่งึ เปน็ วเิ สสนะ หรอื เปน็ วิเสสนะท้ัง ๒ บท กัมมธารยสมาสน้ี อาจแบ่งย่อยออกได้ ๖ ประเภท ดังนี้ ๑) วิเสสนบุพพบท มีบทวิเสสนะ (บทขยาย) อยู่หน้า บทประธานอยู่หลัง โดยบท วิเสสนะมีลงิ ค์, วจนะ และวภิ ัตติ เสมอกนั กบั บทประธาน มคี าแปลวา่ “ผู้, ท,่ี ซง่ึ , อัน... ” เช่น ขตฺตยิ า ก ฺ า = ขตตฺ ิยก ฺ า (นางผู้กษัตริย์) นีลํ อุปปฺ ล = นลี ุปฺปลํ (ดอกอบุ ลเขียว) ๒) วิเสสนุตตรบท มีบทวิเสสนะอยู่หลัง บทประธานอยู่หน้า โดยบทวิเสสนะมี ลิงค์, วจนะ และวภิ ตั ติ เสมอกันกับบทประธาน มีคาแปลว่า “ผ,ู้ ท่ี, ซึ่ง, อัน ... ” เชน่
๒๒๐ สตฺโต วิเสโส = สตตฺ วเิ สโส (สตั วผ์ ูว้ เิ ศษ) มนสุ ฺโส ทลิทโฺ ท = มนุสฺสทลิทโฺ ท (มนุษยผ์ ู้ขดั สน) ๓) วเิ สสโนภยบท มีบททั้งสองเป็นวิเสสนะ มอี ัญญบท (บทอ่ืน) เป็นประธานโดยบท ทั้งสองมี ลงิ ค์, วจนะ และวภิ ตั ติ เหมือนกบั อญั ญบททเี่ ป็นประธานนน้ั มคี าแปลวา่ “ทั้ง...ทงั้ ...” เช่น สีต ฺจ อณุ ห ฺจ = สีตณุ ฺหํ ( านํ = ที)่ ท้ังเยน็ ท้งั ร้อน อนฺโธ จ วธโิ ร จ = อนธฺ วธโิ ร (ปุรโิ ส = บุรษุ ) ทง้ั บอดท้ังหนวก ๔) วเิ สสโนปมบท มีบทวเิ สสนะเป็นอุปมา แบง่ ย่อยออกได้ ๒ ประเภท คือ (๑) อุปมาบุพพบท บทหน้าเป็นบทอุปมา ประกอบด้วย อิว ศัพท์ แปลว่า “เพยี งดัง...” เชน่ สงฺขํ อิว ปณฺฑร = สงขฺ ปณฑฺ รํ (ขีรํ = น้านม) ขาวเพียงดงั สังข์ กาโก อวิ สโู ร = กากสูโร (นโร = คน) กล้าเพียงดังกา (๒) อปุ มานุตตรบท บทหลังเป็นบทอุปมา ประกอบด้วย อิว ศัพท์ เชน่ าณ จกฺขุ อวิ = าณจกฺขุ (ญาณเพียงดังจักษุ) ป ฺ า ปาสาโท อิว = ป ฺ าปาสาโท (ปญั ญาเพียงดงั ปราสาท) ๕) สัมภาวนบุพพบท มีบทหน้าเป็นสัมภาวนะ คือ ประกอบ อิติ ศัพท์ที่แปลว่า “วา่ ...”และมีบทหลังเป็นประธาน เช่น ขตฺตโิ ย อิติ มาโน = ขตฺตยิ มาโน (มานะว่าเป็นกษตั รยิ )์ สตโฺ ต อิติ ส ฺ า = สตฺตส ฺ า (ความสาคัญว่าเปน็ สตั ว์) ๖) อวธารณบุพพบท มีบทหน้าประกอบด้วย เอว ศัพท์ ซึ่งแปลว่า “คือ...” และมี บทหลังเป็นประธาน เชน่ พุทฺโธ เอว รตน = พทุ ธฺ รตนํ (รัตนะ คือ พระพุทธเจ้า) สทฺธา เอว ธน = สทธฺ าธนํ (ทรพั ย์คือศรัทธา) ๑๑.๔.๒ ทิคุสมาส คือ สมาสที่ประกอบด้วยลักษณะ ๒ ประการ คอื (๑) มีสงั ขยาเปน็ บทหน้า (๒) สาเรจ็ รูปเป็น เอกวจนะ นปุงสกลิงค์ แบง่ ย่อยออกได้ ๒ ประเภท ดังนี้
๒๒๑ ๑) สมาหารทิคุ เป็นการรวมศัพท์ท่ีมีเน้ือความเป็นพหุวจนะ ให้สาเร็จรูปเป็น เอกวจนะ นปุงสกลงิ ค์ อยา่ งเดยี ว เช่น ตโย โลกา = ติโลกํ (โลก ๓) จตสโฺ ส ทสิ า = จตุททฺ สิ ํ (ทศิ ๔) ๒) อสมาหารทิคุ เป็นการรวมศัพท์ให้สาเร็จรูปไม่เหมือนกับสมาหารทิคุ คือ ศัพท์มี เน้อื ความเป็นวจนะใด เป็นลิงค์อะไร เมอื่ สาเรจ็ รูปเปน็ บทสมาสแลว้ ก็มีเนอื้ ความเป็นอย่างน้ัน เป็นลิงค์ นนั้ ๆ เช่น เอโก ปุคคฺ โล = เอกปุคคฺ โล (บุคคลผู้เดยี ว) จตสโฺ ส ทสิ า = จตทุ ฺทสิ า (ทศิ ๔ ท้ังหลาย) ๑๑.๔.๓ ตัปปุริสสมาส คือ สมาสที่กล่าวถึงเนื้อความของบทหลังเป็นประธาน หมายถึง การ แปลบทหลงั กอ่ นโดยยกขึ้นเป็นประธาน เช่น ก นสฺส ทสุ ฺส = ก นทุสฺสํ (ผ้าเพื่อกฐนิ ) ในสมาสนี้ มุ่งเอา ความหมายของบทหลัง คือ ทุสฺสํ มิได้มุ่งเอาความหมายของบทหน้าคือ ก นสฺส กล่าวอีกนัยหน่ึง ตัปปุริสสมาส คือ สมาสท่ีมีบทหลังเป็นประธาน มีบทหน้าประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ เป็นต้น จนถึง สัตตมีวิภัตติ มี ๖ ประเภทตามช่อื วิภตั ตขิ องบทหนา้ ดังนี้ ๑) ทุติยาตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนบิ าตวา่ “ซึ่ง, ส,ู่ ยงั , ส้ิน ...” เช่น สขุ ํ ปตฺโต = สขุ ปปฺ ตฺโต (ปุริโส) ((บรุ ุษ) ผู้ถงึ แล้วซึ่งสุข) คามํ คโต = คามคโต (ปรุ โิ ส) ((บุรุษ) ผู้ไปแล้วสู่บา้ น) ๒) ตติยาตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยตติยาวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนิบาตวา่ “ด้วย, โดย, อนั , ตาม, เพราะ, ม.ี ..” เชน่ สเี ลน สมฺปนฺโน = สลี สมฺปนโฺ น (ภกิ ฺขุ) ((ภิกษ)ุ ผู้ถึงพร้อมแล้วดว้ ยศลี ) โรเคน ปฬี ิโต = โรคปีฬโิ ต (ชโน) ((ชน) ผอู้ ันโรคเบยี ดเบียนแลว้ ) ๓) จตุตถีตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยจตุตถีวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนบิ าตวา่ “แก,่ เพื่อ, ต่อ ...” เช่น อาคนตฺ ุกสฺส ภตตฺ = อาคนฺตุกภตฺตํ (ภตั รเพ่ือผู้จรมา) กฐินสสฺ ทุสสฺ = กฐินทุสสฺ (ผา้ เพื่อกฐิน)
๒๒๒ ๔) ปัญจมีตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยปัญจมีวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนบิ าตวา่ “แต่, จาก, กวา่ , เหตุ, เพราะ ...” เชน่ โจรมฺหา ภย = โจรภยํ (ภยั แต่โจร) พนธฺ นา มตุ โฺ ต = พนธฺ นมุตฺโต (ชโน) ((ชน) ผพู้ ้นแลว้ จากเคร่ืองผูก) ๕) ฉัฏฐีตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนิบาตวา่ “แห่ง, ของ ...” เชน่ รกุ ขฺ สสฺ สาขา = รกุ ฺขสาขา (ก่ิงแห่งตน้ ไม้) ร ฺโ ปุรโิ ส = ราชปุรโิ ส (บุรษุ ของพระราชา) เทวานํ อินฺโท = เทวานมินฺโท (สกโฺ ก) ((ท้าวสักกะ) ผู้เป็นจอมแห่งเทพ ท.) ๖) สัตตมีตัปปุริสสมาส บทหน้าประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติ มีสาเนียงแปลออก อายตนบิ าตว่า “ใน, ใกล,้ ท่ี, ในเพราะ ...” เช่น วเน ปุปผฺ = วนปุปผฺ ํ (ดอกไม้ในป่า) ธมฺเม รโต = ธมฺมรโต (ภิกขฺ )ุ ((ภกิ ษ)ุ ผยู้ นิ ดแี ล้วในธรรม) ๑๑.๔.๔ ทวันทวสมาส คือ สมาสทย่ี ่อศัพทน์ ามนามจาพวกเดยี วกนั ประเภทเดยี วกนั เขา้ เปน็ บทเดยี วกัน แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑) สมาหารทวันทวสมาส เป็นสมาสทยี่ ่อเน้ือความให้สําเรจ็ เป็น เอกวจนะ และ นปุงสกลิงค์อยา่ งเดียว เช่น สมโถ จ วปิ สสฺ นา จ = สมถวิปสสฺ นํ (สมถและวิปัสสนา) จกขฺ ุ จ โสต จ = จกฺขุโสตํ (ตาและหู) กณฺณา จ นาโส จ = กณฺณนาสํ (หแู ละจมูก) ๒) อสมาหารทวันทวสมาส เป็นสมาสท่ีไม่ย่ออย่างสมาหารทวันทวสมาส คือ ย่อ เนอ้ื ความให้สาเร็จเปน็ พหุวจนะ และใหม้ ลี ิงค์ตามบทหลงั เชน่ สารปี ุตโฺ ต จ โมคคฺ ลลฺ าโน จ = สารปี ตุ ตฺ โมคฺคลลฺ านา (พระสารีบตุ รและพระ โมคคลั ลานะ ท.) มาตา จ ปิตโร จ = มาตาปิตโร (มารดาและบิดา ท.) ๑๑.๔.๕ อพั ยยภี าวสมาส คอื สมาสที่มีบทหน้าเปน็ อพั ยยบทคอื อุปสัคและนิบาต มีบทหลัง เป็นนามนาม เม่ือจะตง้ั วิเคราะห์ ต้องหาอัญญบท (บทอ่ืน) มาแทนอปุ สคั และนบิ าตเพ่ือใช้เปน็ ประธาน
๒๒๓ สมาสน้ีจึงไม่เปลี่ยนแปลงรูปไปตามลิงค์ และ วจนะ ของนามนามที่อยู่หลัง โดยมีบทสาเร็จรูปเป็น เอกวจนะ นปุงสกลิงค์ เทา่ น้นั อาจแบ่งออกได้ ๒ ประเภท ดงั น้ี ๑) อุปสัคคปุพพกะ เป็นสมาสท่ีมีอปุ สคั อย่หู นา้ เช่น นครสสฺ สมปี ํ = อปุ นครํ (ที่ใกล้แห่งเมือง) เชฏฺ าน อนปุ พุ ฺโพ = อนเุ ชฏฺ (ลาดับแหง่ ความเจรญิ ) ทรถสสฺ อภาโว = นิททฺ รถํ (ความไมม่ ีแห่งความกระวนกระวาย) ๒) นบิ าตปุพพกะ เป็นสมาสทม่ี ีนบิ าตอยหู่ น้า เช่น นครสฺส พหิ = พหนิ ครํ (ภายนอกแหง่ เมือง) ปาสาทสฺส อปุ ริ = อุปรปิ าสาทํ (เบ้อื งบนแหง่ ปราสาท) ภตฺตสฺส ปจฉฺ า = ปจฉฺ าภตฺตํ (ภายหลงั แห่งภตั ร) ๑๑.๔.๖ พหุพพิหิสมาส คาว่า “พหุพพิหิ” แปลว่า ข้าวเปลือก หมายถึง ชนผู้มีข้าวเปลือก มาก ซ่ึงเป็นการมุ่งเอาอัญญบท (บทอ่ืน) คือ ชนมาเป็นประธานในบทสมาส มิได้มุ่งเอาข้าวเปลือก ฉะนั้นพหุพพิหิสมาส จึงหมายถึง สมาสท่ีมีอัญญบทเป็นประธาน แม้จะมีนามนามอยู่ในบทสมาสนั้น กต็ าม มีคาแปลว่า “มี..., ม.ี .. สน้ิ ..., มี...,ใน... เปน็ ตน้ ” แบง่ ออกเปน็ ๕ ประเภท ดังนี้ ๑) ตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส คือ พหุพพิหิสมาสที่มีบท ๒ บท โดยมีบทหน่ึงเป็น วิเสสนะ และอีกบทหน่ึงเป็นนามนาม ใช้เป็นคุณนามขยายอัญญบทท่ีมาเป็นประธาน และในรูป วิเคราะห์ของสมาสนี้ บทท้ัง ๒ ท่ีย่อเข้าเป็นสมาสนั้น มีลิงค์, วจนะ และวิภัตติเสมอกันจึงเรียกว่า “ตุลยาธิกรณะ” ตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาสนั้น แปลว่า “มี...” แบ่งเป็น ๖ ประเภทตามวิภัตติท่ีเชื่อม กบั อญั ญบท คือ (๑) ทุติยาตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ใช้ทุติยาวิภัตติเช่ือมบทวิเคราะห์กับ อญั ญบท เช่น อาคตา สมณา ยํ โส = อาคตสมโณ (อาราโม) สมณะ ท. มาแลว้ ส่อู ารามใด อารามนน้ั ชือ่ ว่า มีสมณะมาแลว้ (๒) ตติยาตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ใช้ตติยาวิภัตติเชื่อมบทวิเคราะห์กับ อญั ญบท เชน่ กต กจิ ฺจ เยน โส = กตกจิ ฺโจ (ปุรโิ ส) กจิ อนั บรุ ุษใด ทาแล้ว บุรษุ นัน้ ช่ือวา่ มกี จิ อนั ทาํ แล้ว
๒๒๔ (๓) จตุตถีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ใช้จตุตถีวิภัตติเช่ือมบทวิเคราะห์กับ อญั ญบท เช่น ทนิ โฺ น สงโฺ ก ยสฺส โส = ทนิ ฺนสงโฺ ก (ราชา) ส่วย อันชาวเมอื ง ท. ให้แลว้ แกพ่ ระราชาใด พระราชานัน้ ชื่อว่า มีสว่ ยอนั ชาวเมืองให้แล้ว (๔) ปัญจมีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ใช้ปัญจมีวิภัตติเชื่อมบทวิเคราะห์ กับอัญญบท เช่น นคิ คฺ ตา ชนา ยสมฺ า โส = นิคคฺ ตชโน (คาโม) ชน ท. ออกไปแลว้ จากบา้ นใด บ้านนั้น ชอ่ื ว่า มชี นออกไปแลว้ (๕) ฉฏั ฐตี ุลยาธกิ รณพหุพพิหิสมาส ใช้ฉฏั ฐีวิภตั ติเช่อื มบทวเิ คราะหก์ ับอัญญบท เช่น ฉินนฺ า หตถฺ า ยสฺส โส = ฉนิ นฺ หตฺโถ (ปุรโิ ส) มอื ท. ของบุรษุ ใด ขาดแลว้ บุรษุ น้ัน ชอื่ ว่า มมี ือขาดแลว้ (๖) สัตตมีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ใช้สัตตมีวิภัตติเชื่อมบทวิเคราห์กับ อญั ญบท เชน่ พหู ตาปสา ยสฺมึ โส = พหุตาปโส (อสฺสโม) ดาบส ท. มาก ในอาศรมใด อาศรมน้ัน ชือ่ ว่า มดี าบสมาก ๒) ภินฺนาธิกรณพหุพพิหิสมาส คือ พหุพพิหิสมาสที่เป็นบทนามนามทั้ง ๒ บท ใช้ เป็นคุณนามขยายอัญญบทที่มาเป็นประธาน ในรูปวิเคราะห์ของสมาสนี้ บทท้ัง ๒ ท่ีย่อเข้าเป็นสมาส น้นั ประกอบวิภัตติแตกต่างกัน จึงเรียกวา่ “ภินนาธิกรณะ” ภินนาธิกรณะพหพุ พิหิสมาสนี้ แปลวา่ “มี ...,สิ้น..., มี..., ใน...” เป็นต้น คล้ายตุลยาธิกรณพหุพพิหิ ต่างแต่มีการออกสําเนียงอายตนิบาตแห่ง วิภัตติท่ีบทหน้าหรือบทหลังด้วยเท่านั้น มี ๑ ชนิด เรียกว่า “ฉัฏฐีภินนาธิกรณพหุพพิหิสมาส” เพราะอญั ญบทท่ใี ช้เช่อื มนนั้ ประกอบดว้ ยฉฏั ฐวี ิภัตติ เช่น เอกรตตฺ ึ วาโส อสสฺ าติ = เอกรตตฺ วิ าโส (ชโน) การอยู่ ส้ินราตรหี นึ่ง ของชนนั้น เพราะเหตนุ น้ั ชนน้ันช่ือว่า มีการอยู่สิ้นราตรหี นงึ่
๒๒๕ ฉตตฺ ปาณิมฺหิ ยสฺส โส = ฉตตฺ ปาณิ (อุปาสโก) รม่ ในมือ ของอบุ าสกใด อบุ าสกนนั้ ช่อื วา่ มีร่มในมือ ๓) ฉัฏฐีอุปมาพหุพพิหิสมาส คือ พหุพพิหิสมาสที่เป็นบทนามนามท้ัง ๒ บท ใช้เป็น คุณนามขยายอัญญบทท่ีมาเป็นประธาน ในรูปวิเคราะห์ของสมาสนี้ บททั้ง ๒ ท่ีย่อเข้าสมาสน้ัน บท แรกประกอบฉัฏฐีวิภัตติ บทหลังประกอบปฐมาวิภัตติและมีบทอุปมาอย่รู ะหว่างบทแรกกับบทหลัง มี คาแปลว่า “มี ..., เพียงดังวา่ ..., แห่ง...” เชน่ สุวณณฺ สสฺ วณฺโณ อิว วณโฺ ณ ยสฺส โส = สุวณณฺ วณโฺ ณ (ภควา) สีของพระผมู้ ีพระภาคใด เพยี งดงั วา่ สีแห่งทอง พระผู้มีพระภาคนัน้ ชือ่ วา่ มสี เี พียงดังว่าสีแหง่ ทอง ๔) น บุพพบท พหุพพิหิสมาส คือ พหุพพิหิสมาส ท่ีมี น ศัพท์ ปฏิเสธนามนามหรือ คณุ นาม แสดงความไมม่ ี มคี าแปลวา่ “ไมม่ ”ี หรอื “ม.ี ..หามิได้” เชน่ นตฺถิ อาลโย ตสสฺ าติ = อนาลโย (ภกิ ฺข)ุ อาลัย ยอ่ มไม่มี แกภ่ กิ ษนุ ้นั เพราะเหตุนนั้ ภกิ ษุนน้ั ชอ่ื ว่า ไมม่ ีอาลัย ๕) สห บุพพบท พหุพพิหิสมาส คือ พหุพพิหิสมาสที่มี สห เป็นบทหน้า เมื่อย่อเข้า เป็นบทสมาสแล้ว แปลง สห เป็น ส บทหลังเป็นนามนาม สาเร็จรูปเป็นบทสมาสแล้วใช้เป็นคุณนาม มี ลงิ ค,์ วจนะ และวภิ ัตติ เหมอื นอญั ญบท มีคาแปลว่า “เป็นไปกบั ...” เช่น สห มจเฺ ฉเรน ย วตตฺ ตีติ = สมจเฺ ฉรํ (จิตฺต) จติ ใด ยอ่ มเปน็ ไปกับดว้ ยความตระหน่ี เพราะเหตนุ ้นั จติ นัน้ ชื่อว่า เป็นไปกับดว้ ยความตระหนี่ ๑๑.๕ สรุปทา้ ยบท สมาส แปลว่า “ย่อ” หมายถึง การย่อศัพท์ท่ีมีวิภัตติต้ังแต่ ๒ บทข้ึนไปให้เข้าเป็นบท เดียวกัน สมาสมีวิธีการย่อ ๒ อย่างคือ ย่อโดยการลบวิภัตติ เรียกว่า “ลุตตสมาส” และย่อโดยการไม่ ลบวิภัตติ เรียกว่า “อลุตตสมาส” สมาสนี้ แบง่ ออกได้ ๖ ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ๑) กัมมธารยสมาส ๒) ทคิ ุสมาส ๓) ตัปปรุ ิสสมาส ๔) ทวนั ทวสมาส ๕) อพั พยีภาวสมาส และ ๖ พหพุ พหิ ิสมาส สมาสดงั กลา่ ว มานี้ มีลักษณะท่ีแตกต่างจากสนธิ กล่าวคือ สมาสเป็นการย่อบทต้ังแต่ ๒ บท ขึ้นไป เข้าเป็นบท เดียวกัน ส่วนสนธิเป็นการต่ออักษรให้เน่ืองกันด้วยอักษรเพื่อจะย่ออักษรให้น้อยลง ซ่ึงเป็นประโยชน์ ในการแตง่ ฉนั ท์ และทาคาพดู ให้สละสลวย
๒๒๖
๒๒๗ แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ ๑๑ แบบฝกึ หัดที่ ๑๑.๑ ใหเ้ ลอื กคําตอบทถี่ ูกที่สุดเพียงข้อเดยี ว ๑. ข้อใดเปน็ “อลตุ ตสมาส” ข. ราชปุตโฺ ต ก. กฐินทสุ สฺ ง. เทวานมนิ โฺ ท ค. โจรภย ๒. “สตฺตวเิ สโส” เปน็ สมาสอะไร ข. วิเสสนุตตรบท ก. วเิ สสนบพุ พบท ง. วิเสสโนปมบท ค. วิเสสโนภยบท ๓. สมาสใดมีคาแปลวา่ “เพียงดงั ...” ข. วเิ สสโนปมบท ก. สัมภาวนบุพพบท ง. วเิ สสโนภยบท ค. อวธารณบุพพบท ๔. “คามคโต (ปรุ ิโส)” เป็นสมาสใด ข. ตตยิ าตัปปุริสสมาส ก. ทตุ ิยาตปั ปรุ ิสสมาส ง. ปญั จมตี ัปปุรสิ สมาส ค. จตุตถตี ัปปรุ ิสสมาส ๕. ศัพท์ในข้อใดเปน็ ตัปปรุ สิ สมาส ข. สีลสมฺปนโฺ น (ภิกขฺ )ุ ก. อาคนฺตกุ ภตฺต ง. วนปุปผฺ ค. รกุ ฺขสาขา ๖. ข้อใดกลา่ วไม่ถกู ต้อง ก. วิเสสนบพุ พบท มีบทวิเสสนะอยู่หน้า บทประธานอย่หู ลงั ข. วเิ สสนุตตรบท มบี ทวเิ สสนะอยู่หลัง บทประธานอย่หู น้า ค. ตปั ปุริสสมาสมวี ิภัตติและวจนะไม่เสมอกนั ง. กัมมธารยสมาสมีวิภัตติและบทเสมอกนั ๗. “กตกจิ โฺ จ (ปรุ ิโส)” เปน็ สมาสอะไร ค. จตตุ ถตี ุลยาธิกรณพหุพพิหิ ก. ทุติยาตุลยาธกิ รณพหุพพิหิ ง. ปญั จมีตุลยาธกิ รณพหุพพิหิ ข. ตติยาตลุ ยาธิกรณพหุพพิหิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430