๓๒๘ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๕.๔ (การแปลกาลสตั ตมี) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนีเ้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. ตสมฺ ึ จ กาเล มหาปนถฺ โก ภตตฺ ทุ ฺเทสโก โหติ. (๒/ ๗๘) ๒. ตทวิ ส นฬการเชฏฺ กสฺส (ปุคคฺ ลสสฺ ) เวณนุ า อตโฺ ถ โหติ. (๒/๑๖) ๓. อถ สพเฺ พว (ชนา) ปพพฺ ชฺช ยาจึสุ. (๔/ ๑๖) ๔. เสวฺ ภนเฺ ต อมหฺ าก ภิกฺข (ตุมเฺ ห) คณหฺ ถ. (๔/๙) ๕. อชฺช ภนฺเต โอกาโส นตฺถิ. (๔/๙) ๖. อทิ านิ ต (อิตฺถึ) อนฺธ (อห) กรสิ ฺสามิ. (๑/๑๙) คาศพั ทท์ ค่ี วรทราบ ๑. ภตฺตุทฺเทสโก = เปน็ ผู้แสดงซง่ึ ภัตร ๕. ยาจึสุ = ทลู ขอแลว้ ๖. คณฺหถ = ขอจงรบั ๒. นฬการเชฏฺ กสสฺ = ผู้กระทาซ่ึงไม้ไผ่ผู้เจริญท่ีสุด ๗. นตถฺ ิ = ยอ่ มไม่มี ๓. เวณุนา = ด้วยไมไ้ ผ่ ๘. อนธฺ = ให้บอด ๔. ปพฺพชชฺ = ซงึ่ การบวช
๓๒๙ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๕.๕ (การแปลบทประธาน) ให้แปลประโยคตอ่ ไปน้เี ป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. เต ภกิ ขฺ ู เถร ขมาเปตฺวา อนโฺ ตคาม ปวิสสึ ุ. (๑/๓) ๒. ตมุ เฺ ห ปน สามิ. (๑/๖) ๓. อาจรยิ มยหฺ โทโส นตถฺ ิ. (๑/๑) ๔. พุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโน. (๑/๔๘) ๕. เตน มยฺห จติ ฺตสขุ นาม น โหติ. (๑/๔๒) ๖. อตฺถิ โกจิ ภติเกน อตถฺ โิ ก. (๒/๖๗) ๗. “เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วา สตสหสสฺ านิ วาติ น สกกฺ า คณนาย ปรจิ ฉฺ นิ ฺทิตุ. (๑/๒๕) ๘. อล อยยฺ , มาตา ม ตชเฺ ชสสฺ ต.ิ คาศัพทท์ ีค่ วรทราบ ๑. ขมาเปตวฺ า = ใหอ้ ดโทษแล้ว ๖. อตฺถโิ ก = อ. บุคคลผู้มีความต้องการ ๒. อนฺโตคาม = สภู่ ายในแห่งบา้ น ๗. คณนาย = ด้วยการนบั ๓. ปวสิ ึสุ = เข้าไปแลว้ ๘. ปรจิ ฺฉินฺทติ ุ = เพอ่ื อนั กาหนด ๔. จิตฺตสุข นาม = ชื่อวา่ อ. ความสบายแห่งจติ ๙. ตชเฺ ชสฺสติ = จกั คกุ คาม ๕. ภตเิ กน = ด้วยบุคคลผ้รู ับจา้ ง
๓๓๐ แบบฝึกหัดท่ี ๑๕.๖ (การแปลบทท่ีเนอ่ื งด้วยบทประธาน) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนี้เป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. พหู ชนา อคฺคสสฺ พุทธฺ สฺส ธมมฺ ปสสฺ นฺต.ิ ๒. สาวกาน สงโฺ ฆ มหนฺเต วิหาเร วสต.ิ ๓. ปญจฺ ภิกขฺ ู อิมสมฺ ึ อาวาเส วสนฺต.ิ ๔. เตวีสติยา กุมาราน อาจรโิ ย คาม ปวิฏฺโ . ๑. ปสสฺ นตฺ ิ = ยอ่ มเห็น คาศพั ท์ทีค่ วรทราบ ๒๓ ๒. วสติ = ย่อมอยู่ เข้าไปแลว้ ๓. เตวีสติยา = ๔. ปวิฏฺโ =
๓๓๑ แบบฝึกหัดที่ ๑๕.๗ (การแปลกริยากิตก์ทล่ี ง อนฺต และ มาน ปจั จัย) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนเ้ี ป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. ราชา ปเสนทฺ โิ กสโล ธมฺม สุณนฺโต ต สทฺท สตุ วฺ า... อาห. (๕/๒) ๒. เถโร อฏฺ เม ทิวเส อนฺโตคาม คจฺฉนฺโต ต (สามเณร) อาทาย ภิกฺขุสงเฺ ฆน สนฺธึ น อคมาสิ. (๔/๓๓) ๓. สตฺถา อมิ สสฺ ปพุ ฺพกมฺม กเถตวฺ า... อนสุ นธฺ ึ ฆเฏตวฺ า ธมฺม เทเสนฺโต อมิ คาถมาห “ยาวเทว อนตฺถาย ตฺต พาลสฺส ชายติ, หนตฺ ิ พาลสสฺ สุกฺกส มทุ ธฺ มสฺส วปิ าตยนตฺ ิ. ๔. ตตฺถ ตตฺถ นสิ ที นฺตา หิ ภิกขฺ ู พทุ ธฺ าสน ปญฺ าเปตฺวา ว นสิ ีทนตฺ ิ. (๑/๑๔๕) ๕. โส (สุปฺปพุทฺโธ ) อาห “ปุรโต คจฺฉถ, ตสฺส (สมณโคตมสฺส) วเทถ ‘นาย (สมณโคตโม) มยา มหลลฺ กตโรติ นาสสฺ มคคฺ ทสฺสามีต,ิ ปนุ ปปฺ ุน วุจฺจมาโนปิ ตเถว วตวฺ า นสิ ีทิ. (๕/๔๑) ๖. อเถกทิวส มหาปาโล อริยสาวเก คนฺธมาลาทิหตฺเถ วิหาร คจฺฉนฺเต ทิสฺวา “อย มหาชโน กุหึ คจฺฉตีติ ปุจฺฉิตฺวา “ธมฺมสฺสวนายาติ สุตฺวา “อหปิ คมิสฺสามีติ คนฺตฺวา สตฺถาร วนฺทิตฺวา ปริสปริยนฺเต นิสที .ิ (๑/๕) ๗. ภนเฺ ต มหากปปฺ โิ น “อโห สขุ , อโห สุขนตฺ ิ อทุ าน อทุ าเนนโฺ ต วจิ รต.ิ (๕/๒๐) ๘. อถสสฺ สรรี ผรมานา ปญจฺ วณฺณา ปีติ อุปปฺ ชฺช.ิ (๕/๑) ๙. ตา (อิตฺถิโย) เคเห ฌายนฺเต เวทนาปริคฺคหกมฺมฏฺ าน มนสิกโรนฺติโย (โหนฺติ), กาจิ ทุติยผล, กาจิ ตตยิ ผล ปาปุณสึ .ุ (๒/๕๗) ๑๐. สตถฺ า ตสสฺ (สกกฺ สสฺ ) อชฺฌาสย วทิ ติ ฺวา อตฺตโน สงฺฆาฏึ สิลาตล ปฏจิ ฉฺ าทยมาน ขปิ .ิ (๖/๘๓)
๓๓๒ คาศัพท์ท่คี วรทราบ ๑. อาทาย = ไม่ไดพ้ าไปแล้ว ๑๓. น ทสสฺ ามิ = จักไม่ให้ น อคมาสิ ๒. คาถ อาห = ตรัสแล้ว ซึง่ พระคาถา ๑๔. นสิ ที ิ = นงั่ แลว้ ๓. อนตถฺ าย = แต่ความฉบิ หาย ๑๕. คนฺธมาลาทหิ ตฺเถ = มีวัตถุมีของหอมและ ไมใ่ ช่ประโยชน์ ระเบียบเป็นต้นในมอื ๔. ตฺต = อ. ความเป็นคอื อนั รู้ ๑๖. ปรสิ ปริยนฺเต = ณ ท่ีสุดรอบแห่งบริษทั ๕. หนฺติ = ย่อมฆ่า ๑๗. วิจรติ = ย่อมเท่ยี ว ๖. สุกฺกส = ซ่งึ สว่ นแห่งธรรมอนั ขาว ๑๘. อปุ ฺปชชฺ ิ = เกิดขนึ้ แล้ว ๗. มุทธฺ = ยงั ปญั ญาชอ่ื วา่ มทุ ธา ๑๙. เวทนาปริคฺคห- = ซ่ึงกัมมัฏฐานมี กมฺมฏฺ าน กาหนดถือเอาซงึ่ เวทนาเป็นอารมณ์ ๘. วิปาตยนตฺ ิ = ให้ตกไปอยู่ ๒๐. ปาปณุ ึสุ = บรรลุแลว้ ๙. ปญฺ าเปตวฺ า = ปลู าดแลว้ ๒๑. สลิ าตล = ซ่ึงพน้ื แหง่ ศลิ า ๑๐. นสิ ีทนฺติ = ยอ่ มนง่ั ๒๒. ขปิ ิ = ทรงโยนไปแลว้ ๑๑. ปุรโต = ขา้ งหนา้ ๑๒. มหลลฺ กตโร = เป็นผู้แก่กว่า
๓๓๓ แบบฝึกหัดท่ี ๕.๘ (การแปลกริยากติ ก์ทล่ี ง ต ปจั จัย) ให้แปลประโยคต่อไปน้เี ป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. ภกิ ขฺ ุ คาม ปณิ ฺฑาย ปวิฏฺโ . ๒. ป ม อาคโต ภกิ ขฺ ุ ปุรโต นสิ ที .ิ ๓. ปจฉฺ า วินยธโร ตตถฺ ปวิฏฺโ ต อทุ ก ทสิ ฺวา นิกขฺ มติ วฺ า อิตร (ธมฺมกถกิ ) ปุจฺฉิ. (๑/๔๙) ๔. กห ปน ตวฺ นิสินโฺ น (อสิ). (๑/๓๖) ๕. ราชา...โกเธน สมปฺ ชชฺ ลิโต วยิ อโหสิ. (๒/๕๓) ๖. อปฺปมตฺตา (หตุ ฺวา) สมณธมมฺ กโรถ. (๖/๙) ๗. อย (ภกิ ขฺ ุ) นจิ ฺจกาล มยา กต วตฺต อตตฺ นา กต วยิ (กตฺวา) ทสฺเสติ. (๓/๑๑๕) คาศพั ทท์ ่ีควรทราบ ๑. ปจฉฺ า = ในภายหลงั ๓. นจิ จฺ กาล = สน้ิ กาลเป็นนติ ย์ ๔. ทสเฺ สติ = ยอ่ มแสดง ๒. นกิ ขฺ มติ วฺ า = ออกไปแล้ว
๓๓๔ แบบฝึกหัดที่ ๑๕.๙ (การแปลกรยิ ากิตก์ที่ลง ตูนาทิ ปัจจยั ) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนี้เปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. เต (มนุสฺสา) ปุนปปฺ ุน ยาจิตวฺ า เตส คมนฉนฺทเมว ตฺวา อนุคนฺตฺวา ปริเทวิตวฺ า นวิ ตฺตึส.ุ (๑/๑๓) ๒. อตตฺ านญฺเจติ อมิ ธมมฺ เทสน สตถฺ า เภสกฬาวเน วิหรนโฺ ต โพธริ าชกุมาร อารพฺภ กเถส.ิ (๖/๑) ๓. ภิกฺขู ภควนตฺ อาทาย ชวี กมพฺ วน อคมสุ. (๔/๕๓) ๔. โส (เถโร) อาสเน นสิ ีท จิตตฺ วชี นึ คเหตวฺ า. ๕. ต สุตฺวา เสฏฺ ฐิโน “ย (กมฺม) กาเรมิ, ต น โหติ, น ย กาเรมิ ตเทว โหตีติ มหนฺต โทมนสฺส อุปฺปชฺ ช.ิ (๒/๒๒) ๖. สา (เสฏฺฐิธีตา) “อย เอตฺตกา สมปฺ ตฺติ ตยา ม นสิ ฺสาย ลทธฺ าติ จนิ เฺ ตตฺวา หสินฺติ อาห. (๒/๒๖) ๗. วสิ ารทา กุลธีตา มม สงคฺ ห กริสสฺ ต,ิ กตวฺ า จ ปน มหาสมฺปตตฺ ึ ลภสิ สฺ ติ. (๕/๖) ๘. อิทานสิ สฺ ม เปตวฺ า อญฺ ปฏสิ รณ นตฺถิ. ๙. “อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขา อธิปญฺ าสิกฺขาติ อิมา ติสฺโส สิกฺข สิกฺขนโต โสตาปตฺติมคฺคฏฺ ฐํ อาทึ กตฺวา ยาว อรหตฺตมคคฺ ฏฺ า สตฺตวโิ ธ (อรยิ ปุคคฺ โล) เสโข... (๓/๒) ๑๐. ภควา นนฺทกุมาร คเหตฺวา คโต, ตุมฺเหหิ ต (กุมาร) วนิ า กรสิ สฺ ติ. (๑/๑๐๗) ๑๑. อชฺชตคฺเคทานาห อาวุโส อานนฺท อญฺ ตฺเรว ภควตา อญฺ ตฺร ภิกฺขุสงฺฆา อุโปสถ กริสฺสามิ สงฺฆกมมฺ กรสิ สฺ าม.ิ (๑/๑๓๒) คาศัพทท์ คี่ วรทราบ ๑. เภสกฬาวเน = ในเภสกฬาวนั ๘. โสตาปตฺติมคฺคฏฺฐํ = ซึ่ งพ ระ อ ริย บุ ค ค ล ผู้ ตง้ั อยูใ่ นโสดาปัตตมิ รรค ๒. ชีวกมฺพวน = ซึ่งสวนมะม่วงของ ๙. อาทึ = ให้เป็นตน้ หมอช่ือวา่ ชวี ก ๓. จติ ฺตวชี น = ซงึ่ พัดอันวิจติ ร ๑๐. อรหตตฺ มคคฺ ฏฺ า = ซ่ึ งพ ระ อ ริย บุ ค ค ล ผู้ ตง้ั อย่ใู นอรหตั ตมรรค ๔. กาเรมิ = ยอ่ มยัง...ใหท้ า ๑๑. ตมุ ฺเหหิ = จากพระองค์ ๕. หสึ = หวั เราะแล้ว ๑๒. วินา = เว้น ๖. วสิ ารทา = ผแู้ กล้วกล้า ๑๓. อชฺชตคเฺ คทานาห = ในกาลนีม้ วี นั น้ีเปน็ เบอื้ งตน้ ๗. ปฏสิ รณ = อ. ทพ่ี ึง่
๓๓๕ แบบฝกึ หัดที่ ๑๕.๑๐ (การแปลประโยคแทรก) ให้แปลประโยคต่อไปนี้เปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. อมิ สฺมึ คาเม เอกสสฺ ทารกสฺส มาตา ตสสฺ (ทารกสฺส ) วยปฺปตตฺ สสฺ (สมานสสฺ ) กาลมกาสิ. ๒. เสฏฺฐิโน ภริยา, ตสฺส (เสฏฺฐิโน) วน คตสฺส, คาเม กมฺม กโรติ. ๓. โจรา เสฏฺฐิสฺส คาเม ฉิทฺท คเวสนฺตา ป มมาเส อตกิ ฺกนเฺ ต โอกาส ลภึส.ุ ๔. พทุ โฺ ธ, อุปาสเกสุ วิหาร อาคเตส,ุ ธมมฺ เทเสติ. ๕. (พรฺ าหฺมณ)ี “อถ (ภาเว สนฺเต) กึ กริสสฺ ติ พฺรหฺมณาติ (ปุจฉฺ )ิ . (๑/๑๓) คาศพั ท์ท่คี วรทราบ ๑. กาล อกาสิ = ได้กระทาแลว้ ซึง่ กาละ ๔. อถ ภาเว = ครั้นเม่อื ความเป็นอยา่ งน้ัน ๕. สนฺเต = มีอยู่ ๒. ฉิทฺท = ซึง่ ช่อง ๓. คเวสนฺตา = แสวงหาอยู่
๓๓๖ แบบฝกึ หัดที่ ๑๕.๑๑ (การแปลกริยาคุมพากย์: กริยาอาขยาต) ใหแ้ ปลประโยคตอ่ ไปนีเ้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. อาจรยิ สฺส สิสสฺ า คามสมฺ ึ วิหาเร วสนฺติ. ๒. ทกฺเขน สิสฺเสน กลฺยาณ สิปปฺ ํ กสุ ลา อาจรยิ มฺหา สกิ ฺขิยเต. ๓. อธิ โลเก สพเฺ พหิ สตฺเตหิ มรยเต. ๔. มาตา จ ปติ า จ อตตฺ โน ปุตเฺ ตเจว ธตี โร จ สิปปฺ ํ สิกฺขาเปนฺต.ิ ๕. อาหาโร มาตรา ปตุ ฺต ภุญฺชาปิยเต. ๖. สามเิ กน สูเทน โอทโน ปาจาปิยเต. คาศพั ทท์ ่คี วรทราบ ๑. ทกเฺ ขน = ผู้ขยัน ๒. กลฺยาณ = อนั งาม ๓. สพเฺ พหิ = ทั้งปวง
๓๓๗ แบบฝึกหดั ที่ ๑๕.๑๒ (การแปลกรยิ าคุมพากย์: กริยากิตก์) ให้แปลประโยคตอ่ ไปนี้เปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. เตวีสติยา กุมาราน อาจรโิ ย ปวิฏฺโ . ๒. จตปุ ญฺ าสาย ภิกฺขูน จวี รานิ ทายเกหิ ทินนฺ านิ. ๓. เสฏฺฐิโน มาตา พุทฺธสาสเน ปสนนฺ า, ตาย สงฺฆสสฺ ทาน ทินฺน. ๔. สพฺพ (วตฺถ) ปหาย คนตฺ พฺพ. (๒/๑) ๕. อิทานิ กึ (กมฺม อมเฺ หห)ิ กาตพฺพ. (๒/๑๐๐) ๖. สา (กณฺณิกา อมเฺ หห)ิ ปรเิ ยสติ พฺพา. (๒/๑๐๑) ๗. (สสรุ กเุ ล วสนตฺ ยิ า อิตฺถยิ า) พหอิ คฺคิ อนโฺ ต น ปเวเสตพโฺ พ. (๓/๕๗) ๘. (โส โทโส) ตุมเฺ หหิ โสเธตพโฺ พ. (๓/๕๗) คาศัพทท์ ่ีควรทราบ ๑. จตุป ฺ าสาย = ๕๔ ๕. กณฺณกิ า = อ. ช่อฟา้ ๒. ทายเกหิ = อนั ทายก ท. ๖. พหอิ คฺคิ = อ. ไฟภายนอก ๓. ปหาย = ละแลว้ ๗. อนโฺ ต = ในภายใน ๔. อทิ านิ = ในกาลน้ี
๓๓๘ แบบฝึกหัดที่ ๑๕.๑๓ (การแปลกริยาคมุ พากย์: กริยาทล่ี ง ณฺย ปจั จัย ฯลฯ) ใหแ้ ปลประโยคตอ่ ไปน้เี ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. เต จ ปคุ ฺคลา คารยฺหา. ๒. มม สรรี มชเฺ ฌ ภชิ ชฺ ิตฺวา, เอโก ภาโค โอรมิ ตเี ร ปตต,ุ เอโก ปาริมตเี ร. (๓/๑๘๗) ๓. สามเณรสฺส ธมฺม กเถนตฺ สฺส, อนฺธกาโร ชาโต. ๔. สุรเิ ย อตถฺ งฺคเต, จนโฺ ท อคุ ฺคจฉฺ นฺติ. ๕. โกสลรญฺ าปิ สทธฺ ึ น สกกฺ า (มยา) เอก ภวติ ุ. (๑/๑๒๙) ๖. ธนานิ อตฺถิ. คาศพั ท์ทค่ี วรทราบ ๑. ภชิ ฺชิตฺวา = แตกแล้ว ๕. อนธฺ กาโร = อ. ความมืด ๒. โอรมิ ตีเร = ท่ฝี ่ังข้างน้ี ๖. อตถฺ งฺคเต = ตกแล้ว ๓. ปตตุ = จงตกไป ๗. อุคฺคจฺฉนฺติ = ขึน้ ไปอยู่ ๔. ปาริมตเี ร = ท่ฝี ัง่ ขา้ งโน้น ๘. เอกโต = โดยความเป็นอนั เดียวกนั
๓๓๙ แบบฝึกหัดท่ี ๑๕.๑๔ (การแปลบททีเ่ นือ่ งด้วยกริยาคุมพากย)์ ให้แปลประโยคตอ่ ไปนี้เปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. เอว สตฺถา เตส ภกิ ฺขนู ธมฺม เทเสส.ิ ๒. สตฺถา ภตตฺ คคฺ ปวิสติ ฺวา ปญฺ ตฺตาสเน นสิ ที ิ สทธฺ ึ ภิกฺขุสงฺเฆน. ๓. วาณชิ า วิเทสา ภณฺฑานิ อาเนตวฺ า อาปเณสุ ตานิ วิกกฺ ีณนตฺ ิ. ๔. เอกทิวส วิธุโร ภิกฺขุ เถร อุปสงฺกมิตฺวา “กสฺส ปุตฺโต ภนฺเต อมฺหาก สตฺถาติ ปุจฺฉิ. โส “กปิลวตฺถสุ ฺมึ สทุ โฺ ธทนมหาราชสฺส อาวโุ สติ อาห. คาศพั ทท์ ค่ี วรทราบ ๑. เอกทวิ ส = ณ วันหนึง่ ๔. วาณิชา = อ. พอ่ คา้ ท. ๒. อุปสงฺกมิตวฺ า = เขา้ ไปหาแลว้ ๕. อาปเณสุ = ในรา้ นค้า ท. ๓. ภตฺตคคฺ = สโู่ รงแห่งภตั ร
๓๔๐ แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๕.๑๕ (การแปลคาถาและอรรถกถา) ให้แปลคาถาและอรรถกถาตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ไทยโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ ๑. สตฺถา...อิม คาถมาห. “เตส สมปฺ นนฺ สีลาน อปปฺ มาทวหิ าริน สมฺมทญฺ า วิมตุ ฺตาน มาโร มคฺค น วินฺทตีต.ิ ตตฺถ “เตสนฺติ: ยถา อปฺปติฏฺ ฐิเตน วิญฺ าเณน โคธิโก กุลปุตฺโต ปรินิพฺพุโต, เย จ เอว ปรินิพฺพายนฺติ, เตส. สมฺปนฺนสีลานนฺติ: ปริปุณฺณสีลาน. อปฺปมาทวิหารินนฺติ: สติอวิปฺปวาส- สงฺขาเตน อปปฺ มาเทน วิหรนฺตาน. (๓/๘๙) ๒. มหาโมคฺคลลฺ าโน... อิม คาถมาห “ปญฺจโยชนกิ า ชิวหฺ า, สีสนฺเต นวโยชน กาโย อจจฺ คุ ฺคโต ตยุ หฺ ปญฺจวสี ตโิ ยชน กินนฺ ุ กมมฺ กริตฺวาน ปตฺโตสิ ทุกฺขมีทสิ นฺต.ิ (๓/๑๕๕) ๓. สตถฺ า... อมิ คาถมาห “ปวิเวกรส ปติ ฺวา รส อุปสมสฺส จ นิทฺทโร โหติ นปิ ปฺ าโป ธมฺมปีตริ ส ปวิ นตฺ .ิ ตตถฺ “ปวิเวกรสนฺต:ิ ปวิเวกโต อปุ ปฺ นนฺ รส. (๖/๑๓๔) ๔. สตถฺ า...อมิ คาถมาห “โย จ วสฺสสต ชีเว อปสสฺ อมต ปท, เอกาห ชีวิต เสยฺโย ปสสฺ โต อมต ปทนฺติ. ตตถฺ “อมต ปทนฺต:ิ มรณรหิตโกฏฺ าส อมตมหานิพฺพานนฺติ อตฺโถ. (๔/๑๔๙)
๓๔๑ ๕. สตถฺ า...อิมา คาถมาห “น เตน โหติ ธมฺมฏฺ โ , เยนตถฺ สหสา นเย; โย จ อตถฺ อนตฺถญฺจ อสาหเสน ธมฺเมน อโุ ภ นจิ เฺ ฉยฺย ปณฺฑโิ ต สเมน นยตี ปเร, ธมฺมสสฺ คตุ ฺโต เมธาวี ‘ธมมฺ ฏฺ โ ติ ปวจุ ฺจตีติ ตตถฺ “เตนาต:ิ เอตตฺ เกเนว การเณน... สหสา นเยต:ิ ฉนทฺ าทสี ุ ปติฏฺฐิโต สาหเสน มสุ าวาเทน วนิ ิจเฺ ฉยฺย... โย จ อตถฺ อนตฺถญฺจาต:ิ ภูตญจฺ อภตู ญจฺ การณ. (๗/๔๑-๔๒) คาศัพทท์ ี่ควรทราบ ๑. สมฺปนฺนสลี าน = ผู้มีศลี อนั ถงึ พร้อมแลว้ ๖. อจุ จฺ คุ ฺคโต = ขนึ้ ไปล่วงแลว้ ๒. อปฺปมาทวหิ าริน = ผอู้ ย่ดู ้วยความไม่ประมาท ๗. นทิ ฺทโร = เปน็ ผู้มคี วามกระวน กระวายออกแลว้ ๓. สมฺมท ฺ า = เพราะรูโ้ ดยชอบ ๘. นิปฺปาโป = เป็นผู้มีบาปออกแล้ว ๔. วิมุตตฺ าน = ผหู้ ลุดพน้ วเิ ศษแล้ว ๙. อปสสฺ = ไมเ่ หน็ อยู่ ๕. น วนิ ฺทติ = ย่อมไมป่ ระสบ ๑๐. สหสา = โดยความผลุนผลัน
๓๔๒ แบบฝึกหดั ที่ ๑๕.๑๖ (การแปลอรรถกถา) ใหแ้ ปลอรรถกถาต่อไปนเี้ ป็นไทยโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ ๑. ตตฺถ “กิญฺจาปิ อรหนฺโต คามนฺเต กายวิเวก น ลภนฺติ, จิตฺตวิเวก ปน ลภนฺเตว ; เตส หิ ทิพฺพปฺปฏิภาคานิปิ อารมฺมณานิ จิตฺต จาเลตุ น สกฺโกนฺติ; ตสฺมา คาโม วา โหตุ อรญฺ าทีน วา อญฺ ตร, ยตถฺ อรหนฺโต วหิ รนตฺ ิ. (๔/๘๐) ๒. “โอกโมกโตต:ิ เอตถฺ โอกโมกโต อทุ กสงขฺ าตา อาลยาติ อยมตโฺ ถ. (๒/๑๑๘) ๓. อถวา “ปเร จาติ: ปุพฺเพ มยา “มา ภิกฺขเว ภณฺฑนนฺติอาทีนิ วตฺวา โอวทิยมานาปิ... ตโต เตส (ปณฺฑติ าน) สนฺตกิ า เต ปณฺฑิตปุริเส นิสฺสาย อิเมทานิ กลหสงฺขาตา เมธคา สมฺมนฺตีติ อยเมตฺถ อตโฺ ถ. (๑/๖๐) ๔. ตสฺสตโฺ ถ: ภกิ ฺขเว...น โหนตฺ ตี ิ. (๔/๖๗-๖๘) ๕. ยถา สกุณลุทฺทโก สกุเณ คเหตฺวา มาเรตุกาโม กิตวาย อตฺตภาว ปฏิจฺฉาเทติ เอว อตฺตโน วชฺช ฉาเทตตี ิ อตโฺ ถ. (๗/๓๗) ๖. ธมมฺ ฏฺ นฺต:ิ นววิเธ โลกตุ ตฺ รธมเฺ ม ฐิต, สจฉฺ กิ ตโลกุตฺตรธมฺมนตฺ ิ อตฺโถ. (๖/๑๕๒) ๗. ตตถฺ “อกตญฺญูต:ิ อกต นพิ ฺพาน ชานาตีติ อกตญญฺ ู (ติ). (๔/๗๓) ๘. ตตฺถ อนฺโต อปุ ฺปนนฺ อกสุ ลวติ กฺก หริ ยิ า นเิ สเธตตี ิ หริ นิ เิ สโธ. (๕/๗๗) ๙. กลึว กิตวา สโ ติ: เอตฺถ สกุเณสุ อปรชฺฌนวเสน อตฺตภาโว กลิ นาม, สาขาภงฺคาทิก ปฏจิ ฉฺ าทน กิตวา นาม, สากุณโิ ก สโ นาม. (๗/๓๗) ๑๐. ตตฺถ พาลาต:ิ พาเลฺยน สมนฺนาคตา อิธโลกปรโลกตฺถ อชานนฺตา. (๒/๙๐) ๑๑. ตรคมลฺลิกา วาติ: อเิ มสปิ คนฺโธเยว อธิปฺเปโต. (๓/๗๙) ๑๒. ตตฺถ “มโนติ... อิมสฺมึ ปน ปเท ตทา ตสฺส เวชฺชสฺส อุปฺปนฺนจิตฺตวเสน นิยมิยมาน ววตฺถาปิย มาน ปรจิ ฺฉชิ ฺชมาน, โทมนสฺสสหคต ปฏฆิ สมฺปยตุ ตฺ จติ ฺตเมว ลพฺภต.ิ (๑/๒๐) ๑๓. ตตฺถ “นินฺทาปสสาสูติ: กิญฺจาปิ อิธ เทฺว โลกธมฺมา วุตฺตา, อตฺโถ ปน อฏฺ นฺนมฺปิ วเสน เวทติ พโฺ พ. (๔/๔๐) ๑๔. “ปาเถยยฺ นฺติ อทิ (วจน) กญิ จฺ าปิ เหฏฺ า วุตตฺ เมว. (๗/๖) ๑๕. อเจตสาตปิ ิ ปาโ . (๗/๒๑) ๑๖. ตตถฺ “หเวติ นปิ าโต. (๔/๑๘๖) ๑๗. ชิตนฺติ ลิงฺควิปลฺลาโส. (๔/๑๐๘) ๑๘. ตตฺถ “โปราณเมตนฺติ ปรุ าณก เอต. (๖/๑๘๖) ๑๙. อตลุ าติ ต อปุ าสก อาลปต.ิ (๖/๑๘๖) ๒๐. ฉฑุ ฺโฑติ อปวิทโฺ ธ อปคตวญิ ฺ าณตาย ตุจฺโฉ หตุ ฺวา เสสฺสตีติ ทสเฺ สติ. (๒/๑๔๗)
๓๔๓ คาศพั ท์ที่ควรทราบ ๑. ทิพฺพปฺ- = แมอ้ ันมสี ่วนเปรยี บ ๑๑. นเิ สเธติ = ยอ่ มหา้ ม ปฏิภาคานิปิ ดว้ ยทพิ ย์ ๒. จาเลตุ = เพอื่ อนั ...ใหห้ วั่นไหว ๑๒. สาขาภงคฺ าทกิ = มีกิ่งไม้อนั บุคคลพงึ หัก เปน็ ตน้ ๓. โอกโมกโต = จากทอี่ ยคู่ ือน้า ๑๓. ปฏจิ ฉฺ าทน = อ.วัตถอุ ันเป็นเครอ่ื ง ปกปดิ ๔. โอวทิยมานาปิ = แมผ้ .ู้ ..กล่าวสอนอยู่ ๑๔. สากุณิโก = อ.บุคคลผู้ฆ่าซ่ึงนก เป็นอยู่ ๕. เมธคา = อ. ความหมายม่ัน ท. ๑๕. นิยมยิ มาน = อนั ...นิยมเอาอยู่ ๖. สกณุ ลทุ ทฺ โก = อ.นายพรานผู้ฆ่าซึ่ง ๑๖. ววตถฺ าปยิ มาน = อัน...กาหนดหมาย นก เอาอยู่ ๗. มาเรตกุ าโม = เป็นผู้ใคร่เพ่ืออัน...ให้ ๑๗. ปริจฉฺ ชิ ฺชมาน = อัน...กาหนดตัดอยู่ ตาย ๘. กิตวาย = ด้วยวัตถุเป็นเคร่ือง ๑๘. อปวทิ โฺ ธ = อัน...ท้งิ แล้ว ปกปดิ ๙. ปฏจิ ฺฉาเทติ = ยอ่ มปกปดิ ๑๙. ตุจโฺ ฉ = เปน็ สภาพเปล่า ๑๐. วชฺช = ซ่งึ โทษ
๓๔๔ เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ ๑๕ กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๑-๘. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. วิธีแปลไทยเป็นมคธ. (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. อธิบายวากยสัมพันธ์ เล่ม ๑-๒. (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๑-๒. กรุงเทพฯ: อุษาการพิมพ์, ๒๕๓๖. จันทบุรีนฤนาถ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต. พระนคร: ศวิ พร, ๒๕๑๓. บุญลืบ อินสาร. เทคนิคการแปลธรรมบท ฉบับสืบสานปริยัติ. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). นนทบุรี: สืบสานพุทธ- ศาสน์, ๒๕๔๔. ประดิษฐ์ บุญยะภักดี. คู่มือเรียนบาลีด้วยตนเอง. (พิมพ์ครั้งท่ี ๔). กรุงเทพฯ: ประยูรวงศ์ พริ้นต์ติ้ง จากดั , ๒๕๓๘. พระพทุ ธโฆษาจารย์. ธมมฺ ปทฏฺ กถา ภาค ๑-๘. กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๐. พระมหาฉลาด ปรญิ ฺ าโณ. หลักการแปลไทยเปน็ มคธโดยสงั เขป. กรุงเทพฯ: เล่ยี งเชยี ง, ๒๕๓๔. พระมหานิยม อตุ ฺตโม. บนั ทึกบทเรยี นบาลไี วยากรณ.์ ขอนแกน่ : คลงั นานาวทิ ยา, ๒๕๓๒. พระมหานยิ ม อุตฺตโม. วิธแี ปลภาษามคธเปน็ ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: เลยี่ งเชียง, ๒๕๓๒. พระมหานยิ ม อตุ ตฺ โม. หลักสตู รย่อบาลไี วยากรณ.์ กรงุ เทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๒๓. เวทย์ วรัญญู. หลักเกณฑ์การแปลบาลีและหลักสัมพันธ์. (พิมพ์ครั้งท่ี ๓). นครปฐม: บรรณากรการ พมิ พ์, ๒๕๔๕.
บทท ่ี การแปลไทยเป็ นบาลี ๑๖ Thai Translation into Pali วัตถปุ ระสงคป์ ระจำบทที่ ๑๖ เมื่อศกึ ษาบทที่ ๑๖ จบแลว้ นกั ศกึ ษา/ผทู้ ่ีสนใจศึกษา สามารถ ๑. บอกหลักเกณฑก์ ารเรียงบทปฐมาวภิ ัตตไิ ด้ ๒. บอกหลักเกณฑ์การเรียงบททตุ ยิ าวภิ ัตติได้ ๓. บอกหลกั เกณฑก์ ารเรยี งบทตตยิ าวิภตั ตไิ ด้ ๔. บอกหลักเกณฑ์การเรยี งบทจตุตถวี ภิ ัตติได้ ๕. บอกหลกั เกณฑ์การเรียงบทปัญจมวี ภิ ตั ตไิ ด้ ๖. บอกหลกั เกณฑก์ ารเรยี งบทฉฏั ฐวี ภิ ัตติได้ ๗. บอกหลักเกณฑก์ ารเรยี งบทสัตตมีวิภตั ติได้ ๘. บอกหลกั เกณฑ์การเรยี งอาลปนวิภัตตไิ ด้ ๙. แปลข้อความภาษาไทยทเี่ ป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาบาลีได้ ๑๖.๑ ความนำ การแปลไทยเป็นบาลี โดยหลักใหญ่ ๆ ก็มีวิธีการเช่นเดียวกับการแปลบาลีเป็นไทย กล่าวคือ ผู้ แปลจะต้องถ่ายทอดความหมายจากภาษาไทยไปสู่ภาษาบาลี โดยให้มีความหมายถูกต้องครบถ้วน ตรงกัน ดังนั้น ผู้แปลจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างภาษาท้ังสองในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น คำศัพท์ วลี (กลุ่มคำ) หรือสำนวนนิยม โครงสร้างทางไวยากรณ์ของประโยค หรือแม้แต่วัฒนธรรม มิฉะน้ัน อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้โดยง่าย ดังน้ัน ในบทนี้ จะนำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญเก่ียวกับ หลกั การแปลไทยเปน็ บาลี โดยมีรายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี
๓๔๖ ๑๖.๒ หลักการแปลไทยเป็นบาลี หลักการแปลไทยเป็นบาลีท่ีสำคัญในเบื้องต้น ก็คือ หลักเกณฑ์การเรียงบทวิภัตติหรือ องค์ประกอบต่าง ๆ ในประโยคบาลี ซง่ึ พอสรุปได้ ดงั นี้ ๑๖.๒.๑ การเรียงบทปฐมาวิภัตติ คือ การเรียงบทประธาน ไม่มีกฎแน่นอนว่าจะเรียงไว้เป็น ลำดับท่ีเท่าไหร่ในประโยค แต่อาจสรุปเป็นหลักท่ัวไปได้ว่า ถ้าในประโยคไม่มีนิบาตต้นข้อความ ศัพท์ กาลสัตตมี ศัพท์ขยายกริยาซ่ึงทำหน้าที่คล้ายขยายบทประธาน และศัพท์ขยายบทประธานโดยตรง ให้ เรยี งบทประธานไว้ตน้ ประโยค เช่น ไทย : อ. พอ่ ครัว หงุ อยู่ ซ่ึงขา้ ว บาลี : สโู ท โอทนํ ปจต.ิ (เรยี งบทประธานไวห้ น้าประโยค) ไทย : อ. ข้าว อนั พ่อครวั หงุ อยู่ บาลี : สูเทน โอทโน ปจยิ เต (เรียงบทประธานไวห้ ลงั บทตตยิ าวิภตั ติ คือ สเู ทน) ไทย : ถ้าวา่ อ. ท่าน หวงั เฉพาะอยู่ เปน็ ผมู้ าแลว้ ย่อมเปน็ ไซร้ บาลี : สเจ ตวฺ ํ อภิกงขฺ มาโน อาคโตส.ิ (เรยี งบทประธานหลังนบิ าตคอื สเจ) ไทย : ในกาลนั้น อ. โกฏแิ ห่งมนษุ ย์ ท. เจด็ ยอ่ มอยู่ ในเมืองสาวัตถี บาลี : ตทา สาวตฺถิยํ สตตฺ มนุสฺสโกฏิโย วสนตฺ ิ. (๑/๕) (เรยี งบทประธานไวห้ ลังกาลสัตตมี คอื ตทา) ไทย : ครง้ั นัน้ อ. ครรภ์ ต้ังขน้ึ เฉพาะแลว้ ในท้อง ของภรรยา ของเศรษฐนี ้นั บาลี : อถสสฺ ภรยิ าย กจุ ฉฺ ิยํ คพฺโภ ปตฏิ ฺ าสิ. (เรียงบทประธานไวห้ ลงั บทขยายกริยาคอื กุจฉฺ ิย)ํ ไทย : อ. พระธรรมเทศนานี้ (อนั พระผู้มพี ระภาคตรสั แลว้ ) ณ ทีไ่ หน บาลี : อยํ ธมมฺ เทสนา กตฺถ ภาสติ า. (๑/๓) (เรียงบทประธานไวห้ ลังบทขยายประธานคอื อยํ)
๓๔๗ ๑๖.๒.๒ การเรียงบททุติยาวิภัตติ บททุติยาวิภัตติให้เรียงไว้หน้ากริยาที่ตนสัมพันธ์เข้าเสมอ ถ้าบททุตยิ าวิภัตตมิ าร่วมกนั หลายบท ใหเ้ รยี งบทอวุตตกัมมะ (ซึ่ง) ไวห้ น้าบทสมั ปาปุณิยกัมมะ (สู่) และ บทวิกตกิ ัมมะ (ใหเ้ ปน็ , ว่าเป็น) เท่าน้นั นอกจากน้ใี หเ้ รียงบทอวตุ ตกัมมะไวข้ ้างหลงั ตามทีไ่ ดแ้ สดงไวใ้ น ตาราง ดังนี้ หน้า หลงั บททุตยิ าวิภตั ติ กรยิ า อวุตตกมั มะ (ซง่ึ ) สัมปาปณุ ิยกมั มะ (สู่) อวุตตกัมมะ (ซงึ่ ) วิกตกิ มั มะ (ใหเ้ ปน็ , วา่ เป็น) การติ กมั มะ (ยงั ) อวตุ ตกมั มะ (ซงึ่ ) อจั จันตสังโยค (สนิ้ , ตลอด) อวุตตกมั มะ (ซ่งึ ) อกถิตกัมมะ (กะ, เฉพาะ) อวตุ ตกัมมะ (ซงึ่ ) ตวั อย่าง ไทย : ในกาลอันเป็นทสี่ ดุ แห่งเทศนา (เขา) เขา้ ไปเฝ้าแล้ว ซ่ึงพระศาสดา ขอแลว้ ซง่ึ บรรพชา. บาลี : เทสนาปริโยสาเน สตถฺ ารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจ.ิ (บททุติยาวภิ ัตติ คือ สตฺถารํ และ ปพฺพชฺชํ เรียงไว้หน้ากริยา คือ อุปสงฺกมิตฺวา และ ยาจิ ตามลำดบั ) ไทย : อ. ภกิ ษุ ท. นำไปแล้ว ซึ่งพระศาสดา สู่ถำ้ ช่อื ว่ามัททกุจฉิ. บาลี : ภิกขฺ ู สตฺถารํ มทฺทกุจฉฺ ึ นยสึ ุ. (๔/๕๓) (อวุตตกมั มะ คือ สตถฺ ารํ เรยี งไวห้ น้าสัมปาปณุ ยิ กมั มะ คือ มทฺทกุจฺฉ)ึ ไทย : อ. เขา ไดก้ ระทำแลว้ ซ่ึงหญิงน้นั ให้เป็นภรรยา บาลี : โส ตํ อิตฺถึ อตตฺ โน ภริยํ อกาส.ิ (อวุตตกมั มะ คือ อติ ฺถึ เรียงไวห้ น้าวกิ ติกมั มะ คือ ภรยิ )ํ ไทย : อ. นาย ยงั พอ่ ครัว ใหห้ งุ อยู่ ซง่ึ ข้าว บาลี : สามโิ ก สูทํ โอทนํ ปาเจติ. (อวตุ ตกมั มะ คอื โอทนํ เรยี งไว้หลงั การติ กัมมะ คอื สูทํ) ไทย : อ. ข้าพเจา้ เขา้ จำแล้ว ซง่ึ กาลฝน สน้ิ หมวดสามแหง่ เดอื นนี้ ในอาวาสน้ี บาลี : อมิ สมฺ ึ อาวาเส อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อุเปมิ. (อวตุ ตกมั มะ คือ วสฺสํ เรยี งไวห้ ลงั อจั จนั ตสังโยค คอื เตมาสํ)
๓๔๘ ไทย : อ. พระเถระ คร้ันเขา้ ไปเฝา้ แล้ว ไดก้ ราบทลู แลว้ ซึง่ คำน้ี กะพระผู้มพี ระภาค บาลี : เถโร อปุ สงกฺ มติ ฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ (อวุตตกัมมะ คือ เอตํ เรียงไวห้ ลงั อกถติ กมั มะ คือ ภควนตฺ ํ) ๑๖.๒.๓ การเรียงบทตติยาวิภัตติ บทตติยาวิภัตติท่ีมาโดด ๆ ขยายบทใดให้เรียงไว้หน้าบท นน้ั ถ้ามาคกู่ บั บททุติยาวิภัตติ ใหเ้ รียงไวห้ นา้ บททตุ ยิ าวิภัตติ ถา้ ขยาย กึ และ อลํ ศัพท์ ให้เรียงไวห้ ลงั กึ และ อลํ โดยไม่ต้องมีกริยาคุมพากย์ และนิยมเรียงไว้หน้าบทประธานมากกว่าเรียงไว้หลัง เพื่อความ ชัดเจน ใหด้ ูในตาราง ดังน้ี หนา้ หลัง บทตติยาวภิ ัตติ บทท่ีบทตติยาวภิ ัตตขิ ยาย บทตตยิ าวภิ ัตติ บททุตยิ าวิภตั ติ ก,ึ อลํ บทตติยาภภิ ตั ติ บทตติยาวิภัตติ (อนภหิ ติ กัตตา = อัน) บทประธาน บทประธาน บทตติยาวิภัตติ (อติ ถัมภตู = มี) สห บทตติยาวภิ ัตติ (สหตั ถตตยิ า = ด้วย, กับ) ตัวอย่าง ไทย : อ.บิดามารดา ผูกแล้ว ซึ่งบุตร ท. เหล่านั้น ผู้ถึงแล้วซึ่งวัยด้วยวัตถุเป็นเครื่องผูกคือ เรอื น บาลี : เต วยปฺปตฺเต ฆรพนฺธเน พนฺธึสุ. (๑/๔) (เรียงบทตตยิ าวภิ ตั ติ คอื ฆรพนธฺ เนน ไว้หน้าบทที่ตนขยาย คือ พนธฺ สึ ุ) ไทย : อ. หล่อน กระทำแล้ว ซ่ึงกาละ ด้วยอาพาธน้ันน่ันเทียว เป็นแม่ไก่ เป็น บงั เกิดแล้ว ใน บ้านนัน้ น่นั เทยี ว. บาลี : สา เตเนวาพาเธน กาลํ กตวฺ า ตตฺเถว กุกกฺ ฏุ ี หุตวฺ า นิพพฺ ตตฺ .ิ (๑/๔๔) (เรยี งบทตตยิ าวภิ ตั ติ คอื เตเนวาพาเธน ไว้หน้าบททตุ ยิ าวภิ ัตติ คือ กาลํ) ไทย : อ. ประโยชนอ์ ะไร ดว้ ยชีวติ ยอ่ มมี แกข่ ้าพเจ้า บาลี : กึ มยฺหํ ชีวเิ ตน. (๘/๘๕) (เรียงบทตตยิ าวภิ ัตติ คอื ชีวิเตน ไว้หลงั ก)ึ
๓๔๙ ไทย : อ. อย่าเลย ด้วยการอยู่ ในท่นี ้ี ย่อมมี แกท่ ่าน บาลี : อลนฺเต อธิ วาเสน. (เรียงบทตติยาวภิ ตั ติ คอื วาเสน ไว้หลงั อลํ) ไทย : ขา้ แต่ทา่ นผเู้ จริญ อ. น้ำมนั อันกระผม ต้มแลว้ สง่ ไปแลว้ บาลี : ภนเฺ ต มยา เตลํ ปจติ วฺ า ปหิต.ํ (๑/๙) (เรยี งบทตตยิ าวภิ ัตตทิ ่ีแปลวา่ อัน คือ มยา ไวห้ นา้ บทประธาน คือ เตลํ) ไทย : อ. นายพรานน้ัน.มีน้ำลาย อนั ไหลออกอยู่ จากปาก บาลี : โส มุขโต เขเฬน ปคฆฺ รนฺเตน. (๕/๒๔) (เรียงบทตติยาวิภัตติทแ่ี ปลวา่ มี คือ เขเฬน ไวห้ ลังบทประธาน คือ โส) ไทย : อ. ภกิ ษุนัน้ บรรลุแล้ว ซง่ึ ความเปน็ แหง่ พระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏสิ มั ภทิ า ท. บาลี : โส ภิกขฺ ุ สห ปฏิสมฺภทิ าหิ อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. (เรยี งบทตตยิ าวิภัตติท่ีแปลว่า ดว้ ย คือ ปฏิสมฺภทิ าหิ ไวห้ ลงั สห) ๑๖.๒.๔ การเรียงบทจตุตถีวิภัตติ บทจตตุ ถีวภิ ัตตทิ ี่ขยายบทใด ให้เรียงไว้หน้าบทนั้น ถ้ามาคู่ กบั บททุตยิ าวภิ ัตติ ให้เรยี งไวห้ น้าบททุติยาวภิ ัตตทิ ีเ่ ป็นอวุตตกมั มะ (ซึ่ง) แต่เรียงไวห้ ลงั บททตุ ิยาวิภตั ตทิ ่ี เปน็ สมั ปาปณุ ยิ กมั มะ (สู่) และถา้ มาคกู่ บั บทสตั ตมีวิภตั ติ ให้เรยี งไว้หลงั บทสัตตมีวิภตั ติน้ัน ดใู นตาราง หน้า หลัง บทจตุตถีวภิ ัตติ บทที่บทจตตุ ถวี ภิ ัตตขิ ยาย บทจตตุ ถวี ิภตั ติ (ทแ่ี ปลวา่ แก)่ บททุติยาวิภตั ติ (อวตุ ตกัมมะ = ซ่งึ ) บททุตยิ าวิภตั ติ (สัมปาปณุ ิยกัมมะ = สู่) บทจตุตถีวภิ ัตติ (ที่แปลวา่ เพ่อื ) บทสัตตมวี ภิ ัตติ (อาธาร = ใน) บทจตุตถวี ภิ ตั ติ (ทแ่ี ปลวา่ เพ่อื ) ตวั อย่าง ไทย : ผา้ เพื่อกฐนิ บาลี : กฐนิ สสฺ ทุสฺสํ (เรียงบทจตุตถีวภิ ัตติ คือ กฐนิ สสฺ หนา้ บททตี่ นขยาย คอื ทสุ ฺสํ) ไทย : อ. เศรษฐนี ัน้ ได้ให้แลว้ ซงึ่ เครื่องบริหารซ่ึงครรภ์ แก่ภรรยาน้ัน บาลี : โส (เสฏฺฐี) ตสฺสา คพฺภปรหิ ารํ อทาส.ิ (๑/๓) (เรียงบทจตุตถีวิภัตติ คอื ตสสฺ า ไวห้ นา้ บททตุ ยิ าวิภัตตทิ แ่ี ปลว่า ซง่ึ คือ คพฺภปริหารํ)
๓๕๐ ไทย : อ. ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ เข้าไปแล้ว สู่ถนนนนั้ เพอื่ บณิ ฑบาต บาลี : (เต ภิกขฺ ู) ตํ วีถํ ปณิ ฑฺ าย ปวสิ สึ .ุ (๑/๑๓) (เรียงบทจตตุ ถวี ภิ ตั ติ คอื ปิณฑฺ าย ไว้หลงั บททตุ ยิ าวภิ ัตติที่แปลวา่ สู่ คอื วีถ)ึ ไทย : อ. พระภิกษุนนั้ ยอ่ มเที่ยวไป เพือ่ บิณฑบาต ในสมาคมแหง่ ญาตินัน่ เทียว บาลี : โส าติสมาคเมเยว ปิณฑฺ าย จรติ. (เรยี งบทจตุตถวี ิภตั ติ คือ ปิณฑฺ าย ไว้หลังบทสตั ตมีวภิ ัตติ คือ าติสมาคเม) ๑๖.๒.๕ การเรียงบทปัญจมีวิภตั ติ บทปัญจมีวิภัตติที่ขยายบทใด ให้เรยี งไว้หนา้ บทน้นั ถ้ามา ร่วมกับทุติยาวิภัตติ ให้เรียงไว้หน้าหรือหลังบททุติยาวิภัตติก็ได้ ให้เรียงไว้หลังนิบาตคือ ยาว, วินา, อญฺ ตรฺ และให้เรียงไว้หน้านบิ าตคอื อทุ ฺธํ, นานา, ปฏฺ าย ดูในตาราง ดังน้ี หนา้ หลัง บทปญั จมวี ภิ ตั ติ บทที่บทปญั จมวี ภิ ัตติขยาย บทปญั จมีวิภตั ติ บททตุ ยิ าวภิ ัตติ บททตุ ิยาวภิ ตั ติ บทปญั จมวี ภิ ตั ติ ยาว, วนิ า, อญฺ ตรฺ บทปญั จมวี ิภตั ติ บทปญั จมวี ภิ ตั ติ อทุ ธฺ ํ, นานา, ปฏฺ าย ตัวอย่าง ไทย : อ. ต้นซึก ท. เจ็ด มอี ยู่ ในท่ีอนั ไมไ่ กล จากเมืองช่อื ว่าสาวตั ถี บาลี : พาราณสิโต อวทิ เู ร สตตฺ สิรสี รกุ ฺขา อตฺถ.ิ (๖/๙๖) (เรยี งบทปัญจมีวภิ ตั ติ คือ พาราณสโิ ต ไว้หน้าบทท่มี ันขยาย คอื อวิทเู ร) ไทย : คร้ังน้ัน อ. ภิกษุ ผู้อยู่ในทิศโดยปกติ รูปหน่ึง ไปแล้ว สู่พระนครชื่อวา่ สาวัตถี จากพระ นครชอ่ื วา่ ราชคฤห.์ .. บาลี : อเถโก ทิสาวาสิโก ภิกฺขุ ราชคหา สาวตฺถึ คนฺตวฺ า... (๑/๗๑) (เรียงบทปัญจมีวิภัตติ คือ ราชคหา ไวห้ น้าบททุติยาวิภัตติ คือ สาวตฺถยิ )ํ ไทย : อ. พระราชา ทรงยัง (ราชบรุ ุษ) ใหเ้ นรเทศแลว้ ซงึ่ เสนาบดี นน้ั จากแว่นแคว้น บาลี : ราชา ตํ เสนาปตึ รฏฺ โต ปพฺพาเชสิ. (๒/๘๗ ) (เรยี งบทปัญจมวี ิภตั ติ คอื รฏฺ โต ไว้หลงั บททุตยิ าวิภตั ติ คอื เสนาปต)ึ
๓๕๑ ไทย : ก็ อ. ความโกลาหล อันมีความบันลือเป็นอันเดียวกัน ได้ไปแล้ว เพียงไร แต่ภพชื่อว่า อกนฏิ ฐะ บาลี : ยาว อกนิฏฺ ภวนา ปน เอกนินนฺ าทํ โกลาหลํ อคมาส.ิ (๑/๕๐) (เรยี งบทปัญจมีวิภตั ติ คอื อกนิฏฺ ภวนา ไวห้ ลัง ยาว) ไทย : อ. นางยักษิณี แม้นน้ั แลดอู ยู่ ซง่ึ การงาน ท. ของชน ท. ทง้ั ปวง จำเดมิ แต่กาลนน้ั ... บาลี : สาปิ ตโต ปฏฺ าย สพฺเพสํ กมฺมนฺเต โอโลเกนตฺ ี... (๑/๔๙) (เรยี งบทปัญจมีวภิ ตั ติ คอื ตโต ไวห้ น้า ปฏฺ าย) ๑๖.๒.๖ การเรียงบทฉฏั ฐีวภิ ตั ติ บทฉัฏฐวี ภิ ัตติท่ีขยายบทใด ใหเ้ รยี งไว้หนา้ บทนนั้ หนา้ หลัง บทฉฏั ฐวี ภิ ัตติ บทท่ีบทฉัฏฐีวภิ ัตติขยาย ตัวอย่าง ไทย : อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกณุ ฑลี ปรากฏแล้ว ในภายใน แหง่ ข่ายคอื พระญาณน้นั บาลี : มฏฺ กุณฑฺ ลี ตสฺส าณชาลสสฺ อนโฺ ต ปญฺ ายิ. (๑/๒๔) (เรยี งบทฉฏั ฐีวภิ ัตติ คือ ตสสฺ ไวห้ น้าบททีม่ ันขยาย) ๑๖.๒.๗ การเรียงบทสัตตมีวิภัตติ บทสัตตมีวิภัตติท่ีขยายบทใด ให้เรียงไว้หน้าบทน้ัน ถ้ามา ร่วมกับบททุติยาวิภัตติ (อวุตตกัมมะ = ซ่ึง) ให้เรียงไว้หน้าบททุติยาวิภตั ติน้ัน แต่สัตตมีวิภัตติท่ีเป็นกาล สัตตมี เช่น อถ, กทา, ตทา, อิทานิ ฯลฯ ใหเ้ รยี งไว้ต้นประโยค ดใู นตาราง ดังนี้ หนา้ หลงั บทสัตตมีวิภตั ติ บทที่บทสตั ตมวี ิภัตติขยาย บทสัตตมวี ิภตั ติ บททตุ ิยาวิภตั ติ (อวุตตกัมมะ = ซง่ึ ) อถ, กทา, ตทา, อิทานิ ฯลฯ (เรียงไว้ตน้ ประโยค) ประโยค
๓๕๒ ตวั อยา่ ง ไทย : อ. นำ้ ในสมทุ ร ท. ส่ี เปน็ นำ้ นิดหน่อย ยอ่ มเปน็ บาลี : จตูสุ สมุทเฺ ทสุ ชลํ ปรติ ตฺ กํ. (๓/๑๘๕) (เรียงบทสตั ตมวี ภิ ตั ติ คอื สมทุ ฺเทสุ ไว้หน้าบทท่ีตนขยาย คือ ชลํ) ไทย : ก็ อ. ภิกษุ ท. ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่ตั้งไว้ ซึ่งบริขาร ของตน บนท่ีเป็นท่ีนั่ง หรอื หรอื วา่ บนที่เป็นทนี่ อน บาลี : วตฺตสมฺปนนฺ า หิ ครูนํ อาสเน วา สยาเน วา อตฺตโน ปริกขฺ ารํ น เปนฺติ. (๑/๕๖) (เรยี งบทสตั ตมีวิภัตติ คือ อาสเน และ สยเน ไว้หน้าบททุติยาวิภตั ติทแี่ ปลว่า ซง่ึ คอื ปริกขฺ ารํ) ไทย : คร้ังนั้น อ. สัตวผ์ ู้เกดิ แลว้ ในครรภ์ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแลว้ ในทอ้ งแห่งภรรยา ของเศรษฐนี น้ั บาลี : อถสสฺ ภรยิ าย กจุ ฺฉยิ ํ คพฺโภ ปตฏิ ฺ าสิ. (๑/๓) (เรยี งบทสตั ตมวี ภิ ตั ติทีเ่ ปน็ กาลสตั ตมี คอื อถ ไวต้ น้ ประโยค) ๑๖.๒.๘ การเรียงอาลปนะ อาลปนะมี ๒ อย่าง คือ อาลปนนามกับอาลปนนิบาต มีหลักใน การเรียง คือ ถ้าในประโยคมีเพียงอาลปนนิบาตและต้องการจะเน้น ให้เรียงไว้หน้าประโยค ถ้าไม่ ต้องการจะเน้น ให้เรียงไว้หลังประโยค ถ้าอาลปนนิบาตมาคู่กับอาลปนนาม ก็ให้เรียงอาลปนนิบาตไว้ หน้าอาลปนนาม และถ้าอาลปนนิบาตมาร่วมกับนิบาตอื่น ๆ เช่น หิ จ ปน ฯลฯ ก็ให้เรียงอาลปนนิบาต ไว้หลงั ตวั อย่าง ไทย : ขา้ แต่พระองค์ผ้เู จริญ อ. ข้าพระองค์ บวชแลว้ ในกาลแหง่ ตนถอื เอาซ่ึงความเป็นคนแก่ จักไมอ่ าจ เพ่ืออันยังคันถธรุ ะใหเ้ ต็ม บาลี : ภนเฺ ต อหํ มหลลฺ กกาเล ปพฺพชิโต คนถฺ ธรุ ํ ปเู รตํ น สกฺขิสฺสาม.ิ (๑/๗) (เรยี งอาลปนนิบาต คือ ภนเฺ ต ไวห้ น้าประโยคเพอื่ ตอ้ งการเนน้ ) ไทย : ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ูเ้ จริญ อ. น้องชายผนู้ ้อยท่สี ุด ของข้าพระองค์ มีอยู่ บาลี : กนฏิ ฺ ภาตา เม อตถฺ ิ ภนเฺ ต. (๑/๖) (เรยี งอาลปนนิบาต คือ ภนเฺ ต ไวห้ ลังประโยค เพอ่ื ไมต่ อ้ งการเน้น) ไทย : ดูก่อนปาลติ ะ ผู้มอี ายุ อ. เธอ จงกลา่ ว ก่อน บาลี : วเทหิ ตาว อาวุโส ปาลิต. (๑/๑๐) (เรยี งอาลปนนิบาต คอื อาวโุ ส ไวห้ นา้ อาลปนนาม คือ ปาลติ )
๓๕๓ ไทย : ดกู ่อนท่านผูม้ ีอายุ ก็ อ. ท่าน เปน็ ผอู้ ยูแ่ ล้ว ตลอดพรรษา ในทไ่ี หน (ย่อมเป็น) บาลี : กหุ ึ ปน ตวฺ ํ อาวุโส วสสฺ ํ วุตฺโถ (โหส)ิ (เรยี งอาลปนนิบาต คอื อาวุโส ไว้หลงั นบิ าต คือ ปน) ๑๖.๓ สรปุ ทา้ ยบท การแปลไทยเป็นบาลี มีหลักใหญ่ ๆ และวิธีการเช่นเดียวกับการแปลบาลีเป็นไทย และมี หลักการแปลไทยเป็นบาลีท่ีสำคัญในเบ้ืองต้น เรียกวา่ หลักเกณฑ์การเรียงประโยค หรือหลักเกณฑ์การ เรยี งบทวิภตั ตหิ รือองค์ประกอบตา่ ง ๆ ในประโยคบาลี กล่าวคือ หลักเกณฑ์การเรยี งบทปฐมาวิภตั ติ บท ทุติยาวิภัตติ บทตติยาวิภัตติ บทจตุตถีวิภัตติ บทปัญจมีวิภัตติ บทฉัฏฐีวิภัตติ และบทสัตตมีวิภัตติ รวมท้ังหลักเกณฑ์การเรียงอาลปนะ ผู้ศึกษาควรกำหนดจดจำให้ดี เพราะจะเป็นหลักสำคัญยิ่งในการ แปลไทยเป็นบาลี
๓๕๔ แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี ๑๖ แบบฝกึ หดั ที่ ๑๖.๑ ใหแ้ ปลประโยคภาษาไทยต่อไปนเ้ี ปน็ ภาษาบาลี ๑. อ. บดิ ามารดา ท. คิดแลว้ โดยประการนั้นน่นั เทยี ว ยงั ธดิ านน้ั ใหศ้ ึกษาแลว้ ซึ่งศิลปะ ๒. อ. หญิงนน้ั เปน็ พระโสดาบัน เป็น ทลู ขอแล้ว ซง่ึ บรรพชา กะพระศาสดา ๓. อ. ชน ท. เหลา่ น้นั เที่ยวไปแล้ว ในทิศ ท. ยอ่ มนำมา ซ่งึ สินคา้ ดว้ ยร้อยแหง่ เกวียน ท. ห้า. ๔. อ. ประโยชน์อะไร ดว้ ยการอย่คู รองซ่งึ เรือน (ย่อมม)ี แกเ่ รา ๕. อ. ความตาย อนั สมควรแกก่ รรมของตนนั่นเทียว อนั เขา ไดแ้ ลว้ อยา่ งนี้ ๖. อ. พระเถระ อันท่าน ท. ใหต้ ายแลว้ หรอื ๗. อ. พระเถรีนัน้ เปน็ ผู้ถงึ ทุกขแ์ ล้ว มหี นา้ อันชมุ่ ดว้ ยน้ำตานน่ั เทยี ว เท่ียวไปอย่เู พ่ือภกิ ษา ๘. อ. แม้ อ. กระผม เม่อื ไป กบั ด้วยพระผเู้ ปน็ เจ้า จกั ได้ ซ่งึ บุญ ๙. อ. ภกิ ษุ ท. เหล่าน้นั บรรลแุ ลว้ ซึง่ ความเป็นแหง่ พระอรหันต์ พรอ้ มดว้ ยปฏิสมั ภิทา ท. ๑๐. อ. ข้าพเจา้ ได้แล้ว ซง่ึ บตุ ร หรือ หรอื ว่า ซึ่งบิดา จักกระทำซงึ่ สักการะใหญ่ แก่ทา่ น ท. ๑๑. อ. ในขณะน้ัน อ. พระเถระ เป็นผู้ใคร่เพื่ออันเข้าไป สู่นครช่ือว่าโสเรยยะ เพ่ือบิณฑบาต เป็น ยอ่ มหม่ ซ่งึ สังฆาฏิ ในภายนอกแห่งพระนคร ๑๒. อ. พระเถระน้นั ยอ่ มเทยี่ วไป เพือ่ บิณฑบาต ในบา้ นแหง่ ญาตนิ ่ันเทยี ว เนืองนติ ย์ ๑๓. อ. พระราชา ทรง (ยังราชบุรษุ ) ใหเ้ นรเทศแลว้ ซ่งึ เสนาบดี จากแวน่ แควน้ ๑๔. อ. ภกิ ษนุ นั้ ย่อมไมต่ งั้ ซึ่งบริขาร ของตน บนทีเ่ ป็นท่นี ่งั หรือ หรอื วา่ บนทเ่ี ป็นท่ีนอน ของครู ท. ๑๕. อ. โค ท. สอง ของพราหมณ์น้นั (มีอย)ู่ , อ.- ในโค ท. สอง เหลา่ น้ันหนา- โค ตวั หนง่ึ ตายแลว้
๓๕๕ แบบฝกึ หัดที่ ๑๖.๒ ใหแ้ ปลขอ้ ความภาษาไทยต่อไปนี้เปน็ ภาษาบาลี ๑. อีกสมัยหนึ่ง นางปฏาจารานั้นต้ังครรภ์อีก นางเป็นผู้มีครรภ์แก่แล้ว จึงอ้อนวอนสามีโดยนัย ก่อนน่ันแล เม่ือไม่ไดค้ วามยินยอม จึงอุ้มบุตรด้วยสะเอวหลกี ไปอย่างนั้นนน่ั แล แมถ้ ูกสามีน้ันติดตามพบ แล้วกไ็ มป่ รารถนาจะกลบั ๒. คร้ันนั้น เม่ือพวกเขาเหลา่ น้ันเดินไปอยู่ มหาเมฆอนั มใิ ช่ฤดกู าลเกิดข้ึน ท้องฟา้ ไดม้ ีท่อธารตกลง ไม่มีระหว่าง ดังสายฟ้าแผดเผาอยู่โดยรอบ ดังจะทำลายลงด้วยเสียงแผดแห่งเมฆ ในขณะน้ัน ลม กัมมัชวาตของนางป่ันป่วนแล้ว นางเรียกสามีมากล่าววา่ “นาย ลมกัมมัชวาตของฉันปั่นป่วนแล้ว ฉันไม่ อาจจะทนได้ ทา่ นจงรสู้ ถานท่ฝี นไมร่ ดฉันเกดิ ” ๓. สามีน้ันมีมีดอยู่ในมือ ตรวจดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นพุ่มไม้ซึ่งเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหน่ึง เร่ิมจะ ตดั ลำดับน้ัน อสรพิษมีพิษร้ายเล้ือยออกจากจอมปลวก กัดเขา ในขณะนั้นน่ันแล สรีระของเขามีสีเขียว ดังถกู เปลวไฟอนั ต้งั ขน้ึ ในภายในไหมอ้ ยู่ ลม้ ลงในท่นี น้ั นัน่ เอง ๔. ฝ่ายภรรยานอกน้ีเสวยทุกข์อย่างมหันต์ แม้มองดูทางมาของเขาอยู่ ก็มิได้เห็นเขาเลยจึงคลอด บุตรคนอื่นอีก ทารกทั้ง ๒ ทนกำลังแห่งลมและฝนไม่ได้ ก็ร้องไห้ลั่น นางเอาทารกแม้ทั้ง ๒ คนน้ันไว้ท่ี ระหวา่ งอุทร ยืนยันแผ่นดินด้วยเข่าและมือทั้ง ๒ ให้ราตรีล่วงไปแล้ว สรีระท้ังสิ้นไดเ้ ป็นดังสีใบไม้เหลือง เหมอื นไมม่ โี ลหิต ๕. เมอื่ อรุณข้ึนนางอุ้มบุตรคนหนึ่งซ่ึงมีสีดงั ชน้ิ เน้ือดว้ ยสะเอว จูงบตุ รอกี คนหนึ่งด้วยน้ิวมอื กล่าววา่ “มาเถดิ พ่อ บดิ าเจา้ ไปโดยทางน”้ี ดงั นแี้ ล้ว กเ็ ดนิ ไปตามทางท่ีสามไี ป เห็นสามีนน้ั ล้มตายบนจอมปลวก มีสีเขียวตัวกระด้าง ร้องไห้รำพันว่า “เพราะอาศัยเรา สามีของเราจึงตายที่หนทางเปลี่ยว” ดังนี้แล้วก็ เดนิ ไป ๖. นางเห็นแม่น้ำอจิรวดี เต็มเป่ียมด้วยน้ำมีประมาณเพียงหัวเข่า และมีประมาณเพียงนม เพราะ ฝนตกตลอดคืนยังรงุ่ ไม่อาจลงนำ้ พรอ้ มด้วยทารก ๒ คนได้ เพราะตนมคี วามรอู้ ่อน จึงพกั บุตรคนใหญไ่ ว้ ที่ฝังนี้ อุ้มบุตรคนเล็กนอกนี้ไปฝ่ังโน้น ลาดก่ิงไม้ไว้ให้บุตรนอนแล้ว คิดว่า “จักไปที่อยู่ของบุตรนอกนี้” ไมอ่ าจละบุตรอ่อนได้ กลับแลดแู ล้ว ๆ เล่า ๆ เดินไป ๗. ครั้นในเวลาท่ีนางถึงกลางแม่น้ำ เหย่ียวตัวหนึ่งเห็นเด็กนั้น จึงโฉบลงมาจากอากาศด้วยสำคัญ ว่า “เป็นช้ินเนื้อ” นางเห็นมันโฉบลงเพื่อต้องการบุตร จึงยกมือทั้ง ๒ ขึ้นร้องเสียงดัง ๓ ครั้งว่า “สู สู” เหยีย่ วไม่ได้ยนิ เสยี งน้ันเลย เพราะไกลกนั จึงเฉย่ี วเด็กบนิ ขน้ึ ส่เู วหาสไปแลว้
๓๕๖ ๘. แม้บุตรผู้ยืนอยู่ท่ีฝั่งนี้ เห็นมารดายกมือท้ัง ๒ ขึ้น ร้องเสียงดังที่ท่ามกลางแม่น้ำ จึงกระโดดลง ในแม่น้ำโดยเร็วด้วยสำคัญว่า “มารดาเรยี กเรา” เหย่ียวเฉีย่ วบตุ รอ่อนของนางไป บุตรคนโตถูกน้ำพัดไป ดว้ ยประการฉะนี้ ๙. นางเดินร้องไห้รำพันว่า “บุตรของเราคนหน่ึงถูกเหยี่ยวเฉ่ียวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตาย เสียในท่ีเปลี่ยว” พบบุรุษผู้หนึ่งเดินมาแต่กรุงสาวัตถี จึงถามว่า “พ่อ ท่านอยู่ท่ีไหน” “ฉันอยู่ในกรุง สาวัตถี แม่” “ตระกูลช่ือโน้นเห็นปานน้ีใกล้ถนนโน้นในกรุงสาวัตถีมีอยู่ ทราบไหม? พ่อ”“ฉันทราบ แม่ แตอ่ ย่าถามถึงตระกูลนนั้ เลย ถ้าท่านรู้จกั ตระกูลอืน่ ก็จงถามเถิด” “กรรมดว้ ยตระกูลอ่นื ของฉันไม่มี ฉัน ถามถงึ ตระกูลน้ันเท่าน้นั แหละ พอ่ ” “แม่ ฉันบอกก็ไมค่ วร” “บอกฉันเถิด พ่อ” ๑๐. “วันน้ี แม่เห็นฝนตกคืนยังรุง่ ไหม?” “ฉันเห็น พ่อ ฝนน้ันตกคืนยังรุ่งเพ่ือฉันเท่านั้น ไม่ตกเพื่อ คนอืน่ แต่ฉันจักบอกเหตุท่ีฝนตกเพื่อฉนั แก่ทา่ นภายหลงั โปรดบอกความเป็นไปในเรือนเศรษฐนี ั้นแกฉ่ ัน ก่อน” “แม่ วันน้ี ในกลางคืนเรือนล้มทับคนแม้ทั้ง ๓ คือ เศรษฐี ๑ ภรรยาเศรษฐี ๑ บุตรเศรษฐี ๑ คน ทัง้ ๓ นน้ั ถูกเผาบนเชิงตะกอนอนั เดยี วกัน แมเ่ อย๋ ควนั นัน่ ยงั ปรากฏอยู่ ๑๑. ในขณะน้ัน นางไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซ่ึงได้หลุดลง ถึงความเป็นคนวิกลจริตยืนตะลึงอยู่ ร้องไห้ รำพันบน่ เพ้อเซซวนไปวา่ “บตุ ร ๒ คน ตายเสยี แล้ว สามีของเรา ก็ตายเสยี ทีท่ างเปลี่ยว มารดาบดิ าและพช่ี าย ก็ถกู เผาบนเชิงตะกอนอนั เดียวกัน” คนทั้งหลายเห็นนางแล้ว เข้าใจวา่ “หญิงบ้า ๆ” จึงถือเอาหยากเยื่อ กอบฝุ่น โปรยลงบนศีรษะ ขว้างด้วยกอ้ นดิน ๑๒. พระศาสดา ทรงเห็นนางผู้มีความปรารถนาต้ังไว้แล้ว อย่างนั้น ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยอภินิหาร มาแต่ท่ีไกลเทียว ทรงดำริว่า “เว้นเราเสีย” ผู้อ่ืนชื่อว่าสามารถจะเป็นท่ีพึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี” จึงได้ ทรงทำนางโดยประการทน่ี างจะบา่ ยหนา้ สู่วหิ ารเดนิ มา ๑๓. บริษัทเห็นนางแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านท้ังหลาย อย่าให้หญิงบ้านี้ มาท่ีนี้เลย” พระศาสดาตรัส วา่ “พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ” ในเวลานางมาใกล้ จึงตรัสวา่ “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง” นาง กลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง ในเวลาน้ันนางกำหนดความท่ีผ้านุ่งหลุดได้แล้ว ให้เกิด หิรโิ อตตัปปะขน้ึ จึงน่งั กระโหย่ง ๑๔. ลำดับน้ัน บุรุษผู้หน่ึงจึงโยนผ้าห่มไปให้นาง นางนุ่งผ้านั้นแล้ว เข้าไปเผ้าพระศาสดา ถวาย บังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้ง ๒ ซ่ึงมีพรรณะดังทองคำแล้ว ทูลว่า “ขอพระองค์จง ทรงเป็นที่พ่ึงแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉัน คนหน่ึงถูกน้ำ พัดไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบดิ าและพช่ี ายถูกเรอื นทับ เขาเผาบนเชงิ ตะกอนอนั เดยี วกัน
๓๕๗ ๑๕. พระศาสดาทรงสดับคำของนาง จึงตรัสว่า “อย่าคิดเลย ปฏาจารา เธอมาสู่สำนักของผู้ สามารถจะเป็นท่พี ึ่งพำนกั อาศัยของเธอไดแ้ ล้ว เหมือนอยา่ งว่า บัดนี้ บุตรคนหน่ึงของเธอถกู เหยี่ยวเฉ่ยี ว ไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายแล้วที่ทางเปล่ียว มารดาบิดาและพ่ีชายถูกเรือนทับ ฉันใด น้ำตาที่ไหล ออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารนี้ ในเวลาท่ีปยิ ชนมีบุตรเป็นตน้ ตาย ยังมากกวา่ น้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ฉนั นั้นเหมือนกัน” ดังนแี้ ล้ว ตรัสพระคาถานว้ี า่ “น้ำในสมทุ รทง้ั ๔ มปี ระมาณนอ้ ย น้ำตาของ คนผู้อันทุกข์ถูกต้องแล้ว เศร้าโศก ไม่ใช่น้อย มากกว่าน้ำในมหาสมุทรน้ัน เหตุไร เธอจึง ประมาทอยู่เล่า แม่” ๑๖. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบนางผู้มีความโศกเบาบางแล้ว ทรงเตือนอีก แล้วตรัสว่า “ปฏาจารา ข้ึนชื่อว่าปิยชนมีบุตร เป็นต้น ไม่อาจเพื่อเป็นท่ีต้านทาน เป็นที่พ่ึง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ ไปสูป่ รโลกได้ เพราะฉะน้นั บุตรเปน็ ต้นเหล่าน้ันถงึ มีอยู่ กช็ ือ่ ว่าย่อมไมม่ ที ีเดยี ว สว่ นบณั ฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยงั สตั วใ์ หถ้ ึงนพิ พานของตนเท่านนั้ ” เม่อื จะทรงแสดงธรรม ไดต้ รสั พระคาถานี้ว่า “บตุ รท้ังหลาย ไมม่ ีเพื่อตา้ นทาน บดิ าก็ไมม่ ีถงึ พวก พ้องก็ไม่มี เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว ความต้านทานในญาติทั้งหลาย ย่อมไม่มี บัณฑิต ทราบอำนาจประโยชน์น้ันแล้ว สำรวมในศีล พึง ชำระทางไปพระนิพพาน โดยเร็วทเี ดียว” ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตั้งอยู่ในโสดา- ปตั ตผิ ล ชนแมเ้ หล่าอืน่ เปน็ อนั มาก บรรลุอริยผลทงั้ หลายมีโสดาปัตตผิ ล เป็นตน้ ดังนีแ้ ล
๓๕๘ คำศพั ท์ทค่ี วรทราบ ๑. ตัง้ ครรภ์ = คพฺโภ ปตฏิ ฺ หิ ๒. ผ้มู ีครรภแ์ กแ่ ล้ว = ปริปณุ ณฺ คพภฺ า ๓. อ้มุ บตุ ร สะเอว = ปตุ ตฺ ํ องเฺ กนาทาย ๔. มหาเมฆอนั มใิ ช่ฤดูกาล = มหาอกาลเมโฆ ๕. ทอ่ ธารตกลงไม่มีระหวา่ ง = ธาราปาตนริ นฺตรํ ๖. ดงั สายฟา้ แผดเผาอยู่โดยรอบ = วชิ ฺชลตาหิ อาทิตตฺ ํ วิย ๗. ดงั จะทำลายลงดว้ ยเสียงแผดแหง่ เมฆ = เมฆตถฺ นิเตหิ ภิชฺชมานํ วยิ ๘. ลมกมั มชั วาต = กมฺมชวาตา ๙. ป่ันป่วนแล้ว = จลึสุ ๑๐. ซง่ึ สถานทฝ่ี นไม่รด = อโนวสฺสกฏฺ านํ ๑๑. มีมดี อยู่ในมือ = ๑๒. ซง่ึ พมุ่ ไม้ = หตฺถคตาย วาสิยา ๑๓. บนจอมปลวก = คุมฺพํ ๑๔. อสรพิษ = วมฺมิกมตถฺ เก ๑๕. เลื้อยออก = อาสีวิโส ๑๖. จากจอมปลวก = นิกฺขมิตวฺ า ๑๗. กัดแลว้ = วมฺมิกโต ๑๘. มีสเี ขียวดงั ถูกเปลวไฟอันตั้งขน้ึ ในภายใน = ฑํสิ อนฺโต สมุฏฺ ฐิตาหิ อคฺคิชาลาหิ ฑยฺหมานํ วิย ไหมอ้ ยู่ นลี วณฺณํ ๑๙. ลม้ ลงแล้ว = ปติ ๒๐. คลอดบตุ ร = ปตุ ตฺ ํ วิชายิ ๒๑. ยนื ยนั แผน่ ดิน = ภมู ิยํ อุปปฺ ีเฬตวฺ า ตา ว ๒๒. เปน็ ดังสีใบไม้เหลือง = ปณฺฑุปลาสวณฺณํ ๒๓. เหมอื นไมม่ โี ลหติ = นิลโฺ ลหิตํ ๒๔. ซ่ึงมสี ีดงั ช้ินเนื้อ = มํสเปสวิ ณฺณํ ๒๕. จูงบตุ รอีกคนหน่งึ = อิตรํ องฺคุลยิ า คเหตฺวา ๒๖. ล้มตายบนจอมปลวก = วมมฺ กิ มตฺถเก กาลํ กตวฺ า ปติตํ ๒๗. มีสีเขียวตัวกระด้าง = นีลวณฺณํ ถทธฺ สรีรํ ๒๘. เต็มเป่ียมด้วยน้ำมีประมาณเทา่ หัวเข่า = ชานุปปฺ มาเณน อทุ เกน สมฺปริปุณฺณํ ๒๙. ตลอดคนื ยงั รงุ่ = สกลรตฺตึ ๓๐. กลบั แลดูแลว้ ๆ เล่า ๆ = ปนุ ปฺปุนํ นิวตตฺ ิตฺวา โอโลกยมานา ๓๑. เหย่ียว = เสโน ๓๒. โฉบลง = ภสฺสิ ๓๓. เฉีย่ วบตุ รออ่ น = พาลปุตฺตกํ หริ
๓๕๙ ๓๔. ในท่ีเปล่ยี ว = ปนเฺ ถ ๓๕. ล้มทับ = อวตถฺ รมานํ ปติ ๓๖. ถูกเผาบนเชิงตะกอน = จติ กาย ฌายนฺติ ๓๗. ผา้ ทน่ี ุ่งซ่งึ ไดห้ ลุดลง = นิวตถฺ วตถฺ ํ ปตมานํ ๓๘. ความเป็นคนวกิ ลจริต = อุมฺมตฺตกิ ภาวํ ๓๙. ยืนตะลึงอยู่ = ยถาฐติ า ว ๔๐. ถอื เอาหยากเย่อื = กจวรํ คเหตฺวา ๔๑. กอบฝุ่น = ปํสํ คเหตวฺ า ๔๒. โปรยลง = โอกริ นฺตา ๔๓. ผมู้ ีความปรารถนาต้ังไวแ้ ล้ว = ปตถฺ ิตปฺปตฺถนํ ๔๔. ผู้ถึงพร้อมแลว้ ดว้ ยอภนิ ิหาร = อภินีหารสมปฺ นฺนํ ๔๕. ที่พึง่ = อวสฺสโย ๔๖. บา่ ยหนา้ สวู่ หิ าร = วิหาราภมิ ขุ ี ๔๗. จงกลับไดส้ ติ = สตึ ปฏิลภ ๔๘. โยนผา้ ห่มไป = อตุ ฺตรสาฏกํ ขปิ ิ ๔๙. ซ่งึ มพี รรณะดงั ทองคำ = สุวณฺณวณเฺ ณสุ ๕๐. ทางทย่ี ังสตั ว์ใหถ้ งึ นิพพาน = นพิ ฺพานคามิมคคฺ เมว
๓๖๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ ๑๖ กรรมการแผนกตำรามหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๑-๘. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. กรรมการแผนกตำรามหามกุฏราชวิทยาลัย. วิธีแปลไทยเป็นมคธ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๙). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑. กรรมการแผนกตำรามหามกุฏราชวิทยาลัย. อธิบายวากยสัมพันธ์ เล่ม ๑-๒. (พิมพ์คร้ังที่ ๙). กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๘. กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๑-๒. กรุงเทพฯ: อุษาการพิมพ์, ๒๕๓๖. จันทบุรีนฤนาถ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต. พระนคร: ศวิ พร, ๒๕๑๓. บุญลืบ อินสาร. เทคนิคการแปลธรรมบท ฉบับสืบสานปริยัติ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). นนทบุรี: สบื สานพุทธศาสน์, ๒๕๔๔. ประดิษฐ์ บุญยะภักดี. คู่มือเรียนบาลีด้วยตนเอง. (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพฯ: ประยูรวงศ์ พร้ินต์ต้ิง จำกัด, ๒๕๓๘. พระพทุ ธโฆษาจารย์. ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๑-๘. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๐. พระมหาฉลาด ปริญฺ าโณ. หลักการแปลไทยเปน็ มคธโดยสังเขป. กรงุ เทพฯ: เล่ยี งเชยี ง, ๒๕๓๔. พระมหานยิ ม อุตฺตโม. บันทึกบทเรียนบาลไี วยากรณ.์ ขอนแกน่ : คลงั นานาวทิ ยา, ๒๕๓๒. พระมหานิยม อตุ ตฺ โม. วิธีแปลภาษามคธเปน็ ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: เล่ยี งเชียง, ๒๕๓๒. พระมหานยิ ม อุตฺตโม. หลกั สูตรยอ่ บาลีไวยากรณ.์ กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชยี ง, ๒๕๒๓. เวทย์ วรัญญู. หลักเกณฑ์การแปลบาลีและหลักสัมพันธ์. (พิมพ์คร้ังที่ ๓). นครปฐม: บรรณากรการ พิมพ์, ๒๕๔๕.
บทท ่ี การอา่ นบาลี ๑๗ เพอ่ื ความเขา้ ใจ Comprehension Reading in Pali วัตถปุ ระสงคป์ ระจำบทที่ ๑๗ เม่อื ศึกษาบทที่ ๑๗ จบแล้ว นักศึกษา/ผู้ทส่ี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของคำศพั ท์ได้ ๒. บอกความหมายของกลุม่ คำหรือวลไี ด้ ๓. บอกความหมายของประโยคได้ ๔. สรปุ ใจความสำคัญของย่อหนา้ ได้ ๕. สรปุ ใจความสำคัญของเรื่องได้ ๖. บอกชอื่ เรอ่ื งทอ่ี ่านได้ ๗. อธิบายกฎเกณฑ์ทางไวยากรณบ์ าลไี ด้ถกู ตอ้ ง ๑๗.๑ ความนำ โดยทั่วไป ทักษะที่ใช้ในการศึกษาหาความรู้จากภาษาต่าง ๆ มี ๔ ทักษะ คือ ทักษะการฟัง ทกั ษะการพดู ทักษะการอา่ น และทักษะการเขียน แต่ทกั ษะที่สำคญั ท่ีสดุ ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษา ค้นคว้าพระพุทธศาสนาจากเอกสารภาษาบาลีหรือคัมภีร์ภาษาบาลีก็คือ ทักษะการอ่าน ในการอ่านน้ัน ผู้ศึกษาค้นคว้าจะตอ้ งเขา้ ใจเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ไดถ้ ูกต้อง สามารถเชอ่ื มโยงความสัมพนั ธข์ องข้อความตา่ ง ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล จับใจความสำคัญของเนื้อเร่ืองได้ ฯลฯ ในบทน้ี ผู้ศึกษาจะไดท้ ดลองศึกษาค้นคว้า เนื้อหาพระพุทธศาสนาจากเอกสารหรือข้อความบาลี ซึ่งเป็นข้อธรรมท่ีได้ตัดตอนมาจากคัมภีร์ พระไตรปิฎก ด้วยการอ่านเพ่ือความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ จำนวน ๗ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมาย ของคำศัพท์ ๒) ความหมายของกลุ่มคำหรือวลี ๓) ความหมายของประโยค ๔) ใจความสำคัญของย่อ หนา้ ๕) ใจความสำคัญของเรอื่ ง ๖) ชอ่ื เรื่อง และ ๗) กฎเกณฑท์ างไวยากรณ์ โดยมรี ายละเอยี ดเกยี่ วกับ ขอ้ ธรรมทต่ี ัดตอนมาจากข้อความบาลี ๒๒ ขอ้ ความ ดงั ต่อไปนี้
๓๖๒ ๑๗.๒ ข้อความบาลี (๑) ใหอ้ า่ นขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ท่ี ๑๗.๑ อติ ิปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโน สุคโต โลกวทิ ู อนุตฺตโร ปุรสิ ทมฺมสารถิ สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ พุทฺโธ ภควาติ๑ ฯ แบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๑ ๑. จากขอ้ ความน้ี ใจความสำคญั เกี่ยวขอ้ งกับอะไร ก. พทุ ธคณุ ข. ธรรมคณุ ค. สงั ฆคณุ ง. ถูกต้องทกุ ขอ้ ๒. “สมมฺ าสมฺพทุ โธ” หมายความว่าอย่างไร ก. เป็นผู้ไกลจากกิเลส ข. เปน็ ผ้ตู รสั รชู้ อบด้วยพระองค์เอง ค. เปน็ ผ้เู สด็จไปดแี ลว้ ง. เปน็ ผมู้ โี ชค ๓. “เปน็ ครขู องเทวดาและมนุษยท์ ั้งหลาย” ตรงกบั คำใด ก. สคุ โต โลกวทิ ู ข. อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ ค. สตถฺ า เทวมนสุ ฺสานํ ง. เทวมนุสสฺ านํ พทุ โฺ ธ ๔. ข้อใด มี ต วิเสสนสพั พนาม ข. อรหํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ ก. โส ภควา ง. พุทโฺ ธ ภควา ค. วิชชฺ าจรณสมฺปนฺโน ๕. คำในข้อใด มีอปุ สัคนำหน้า ข. สคุ โต ก. สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ ง. ข้อ ก. และ ข. ถกู ค. โลกวทิ ู ๑ ม.ม.ู ๑๒/๙๕/๖๗; M.I. 37.
๓๖๓ ๖. คำในขอ้ ใดเปน็ คำสมาส ข. อรหํ ก. โลกวทิ ู ง. ภควา ค. สตฺถา ข. สคุ โต ๗. คำในขอ้ ใดเป็นคำคุณนาม ง. ถกู ต้องทกุ ขอ้ ก. พุทฺโธ ค. ภควา ๑๗.๓ ข้อความบาลี (๒) ให้อ่านข้อความตอ่ ไปน้ี แลว้ จับคู่คำหรอื ข้อความท่ีมคี วามหมายตรงกนั ในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๒ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม สนฺทิฏฺฐิโก อกาลโิ ก เอหิปสสฺ ิโก โอปนยโิ ก ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ตี ๒ิ ฯ แบบฝึกหัดที่ ๑๗.๒ .................. ๑. สฺวากฺขาโต ก. ทันสมัยทุกเมอ่ื .................. ๒. สนทฺ ิฏฺฐิโก ข. เป็นของจริง ทา้ ใหม้ กี ารพสิ ูจน์ .................. ๓. อกาลโิ ก .................. ๔. เอหิปสฺสิโก ค. ตรัสไวด้ แี ลว้ .................. ๕. โอปนยโิ ก ง. ปฏบิ ัติเองเหน็ เอง .................. ๖. ปจฺจตฺตํ เวทิตพโฺ พ วิ ฺ ูหิ จ. ควรน้อมใจมาเพอื่ ปฏบิ ตั ิ ฉ. รไู้ ด้เฉพาะตน ทำให้กนั ไมไ่ ด้ ๒ ม.มู. ๑๒/๙๕/๖๗; M.I. 37.
๓๖๔ ๑๗.๔ ข้อความบาลี (๓) ให้อ่านขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แลว้ จบั คู่คำหรอื ขอ้ ความทีม่ คี วามหมายตรงกนั ในแบบฝึกหดั ที่ ๑๗.๓ สุปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชปุ ฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ายปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามจี ิปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ยทิทํ จตตฺ าริ ปุรสิ ยคุ านิ อฏฺ ปุริสปคุ ฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหเุ นยโฺ ย ปาหุเนยโฺ ย ทกขฺ เิ ณยฺโย อ ฺชลกิ รณโี ย อนุตฺตรํ ปุ ฺ กฺเขตฺตํ โลกสสฺ าต๓ิ ฯ แบบฝกึ หัดที่ ๑๗.๓ .................. ๑. เปน็ ผู้ปฏิบตั ดิ ี ก. สามีจปิ ฏปิ นฺโน .................. ๒. เปน็ ผู้ปฏบิ ัตติ รง ข. อชุ ปุ ฏปิ นฺโน .................. ๓. เปน็ ผูป้ ฏบิ ตั ิถูกทาง ค. อาหเุ นยฺโย .................. ๔. เป็นผู้ปฏบิ ตั สิ มควร ง. อ ฺชลกิ รณีโย .................. ๕. เป็นผูค้ วรแกข่ องคำนบั จ. อนตุ ฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตตฺ ํ โลกสฺส คือ ควรรบั ของท่เี ขานำมาถวาย ฉ. ทกขฺ ิเณยโฺ ย .................. ๖. เปน็ ผคู้ วรแก่การตอ้ นรบั ช. สุปฏิปนฺโน .................. ๗. เปน็ ผคู้ วรแกท่ ักษณิ า ซ. ปาหเุ นยโฺ ย คอื ควรแกข่ องทำบญุ .................. ๘. เปน็ ผู้ควรแก่การทำอญั ชลี ฌ. ายปฏิปนโฺ น คอื ควรแกก่ ารกราบไหว้ .................. ๙. เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก ๓ ม.มู. ๑๒/๙๕/๖๗; M.I. 37.
๓๖๕ ๑๗.๕ ข้อความบาลี (๔) ใหอ้ า่ นข้อความตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำถามในแบบฝึกหดั ที่ ๑๗.๔ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉาม,ิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ฯ ทตุ ยิ มปฺ ิ พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ทุตยิ มฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุตยิ มปฺ ิ สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ ตติยมปฺ ิ พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ ตตยิ มฺปิ ธมมํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ ตตยิ มฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม๔ิ ฯ แบบฝึกหัดที่ ๑๗.๔ ๑. จากข้อความน้ี ใจความสำคญั เกี่ยวข้องกับอะไร ก. พระพทุ ธ ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. พระรตั นตรยั ๒. คำวา่ “ทตุ ยิ มฺป”ิ แปลวา่ อะไร ข. แมค้ รง้ั ท่ี ๒ ก. แม้คร้ังท่ี ๑ ง. แมค้ รัง้ ท่ี ๔ ค. แม้ครง้ั ที่ ๓ ๓. คำวา่ “สรณ”ํ แปลวา่ อะไร ข. ที่เคารพนบั ถอื ก. ทพี่ ่งึ ทีร่ ะลกึ ถึง ง. ทย่ี อดเย่ยี ม ค. ทีป่ ระเสรฐิ ๔. คำว่า “คจฉฺ าม”ิ แยกธาตุ ปจั จัย และ วภิ ัตติได้อยา่ งไร ก. คจฺฉฺ - อ - มิ ข. คมฺ - อ - มิ ค. คจฉฺ ฺ - เอ - มิ ง. คมฺ + ณา + มิ ๕. คำว่า “ตติยมฺปิ” เกี่ยวขอ้ งกบั สนธอิ ะไร ก. พยัญชนะสนธิ ข. สระสนธิ ค. นิคคหติ สนธิ ง. ไม่มขี อ้ ใดถกู ๔ ขุ.ข.ุ ๒๕/๑/๑; Kh. 1.
๓๖๖ ๑๗.๖ ข้อความบาลี (๕) ใหอ้ า่ นข้อความตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำตอบในแบบฝึกหดั ที่ ๑๗.๕ กตม จฺ เกวฏฺ ฏ อนสุ าสนปิ าฏหิ ารยิ ํ ฯ อธิ เกวฏฺฏ ภิกขฺ ุ เอวมนุสาสติ เอวํ วติ กเฺ กถ มา เอวํ วติ กฺกยติ ฺถ เอวํ มนสิกโรถ มา เอวํ มนสิกโรถ อทิ ํ ปชหถ อิทํ อุปสมปฺ ชฺช วิหรถาติ ฯ อทิ ํ วุจฺจติ เกวฏฺฏ อนุสาสนปิ าฏิหารยิ ํ ฯ ฯเปฯ อิมานิ โข เกวฏฺฏ ตีณิ ปาฏิหารยิ านิ มยา สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ ิกตวฺ า ปเวทติ าน๕ิ ฯ แบบฝึกหัดท่ี ๑๗.๕ ๑. จากขอ้ ความน้ี ใจความสำคญั เกี่ยวขอ้ งกบั อะไร ก. อทิ ธปิ าฏหิ าริย์ ข. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ค. อนุสาสนปี าฏิหารยิ ์ ง. ถูกตอ้ งทุกข้อ ๒. “คำสอนเปน็ จริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติไดผ้ ลสมจริง เปน็ อศั จรรย”์ ขอ้ ความน้สี อดคล้อง กับปาฏิหารยิ ข์ ้อใด ก. อทิ ธปิ าฏิหาริย์ ข. อาเทศนาปาฏหิ ารยิ ์ ค. อนสุ าสนปี าฏหิ าริย์ ง. ไม่มขี อ้ ใดถกู ๓. คำว่า “มยา” หมายถงึ ใคร ข. นายเกวฏั ฏะ ก. ภกิ ษุ ง. พระพุทธเจ้า ค. พวกเรา ๔. คำว่า “ตณี ิ” เป็นลิงคอ์ ะไร ข. อิตถีลงิ ค์ ก. ปงุ ลิงค์ ง. ไตรลิงค์ ค. นปงุ สกลงิ ค์ ๕ ที.ส.ี ๙/๓๔๐/๒๗๓; D.I. 211.
๓๖๗ ๕. คำว่า “วุจจฺ ติ” เปน็ วาจกอะไร ข. กัมมวาจก ก. กตั ตวุ าจก ง. เหตกุ มั มวาจก ค. เหตุกตั ตุวาจก ๖. ประโยควา่ “กตม ฺจ เกวฏฺ ฏ อนุสาสนปิ าฏหิ ารยิ ”ํ ใครเปน็ ผกู้ ล่าว ก. ภิกษุ ข. พระสาวก ค. พระพทุ ธเจ้า ง. นายเกวฏั ฏะ ๑๗.๗ ข้อความบาลี (๖) ใหอ้ า่ นขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ท่ี ๑๗.๖ องคฺ รี โส สกฺยมนุ ิ สพพฺ ภตู านกุ มฺปโก สพพฺ สตตฺ ุตฺตโม สโี ห ปิฏเก ตีณิ เทสยิ สุตฺตนฺตํ อภธิ มฺม ฺจ วินย ฺจ มหาคุณํ ฯ เอวํ นยี ติ สทธฺ มฺโม วินโย ยทิ ติฏฺ ติ อุภโต จ วิภงฺคานิ ขนฺธกา ยา จ มาตกิ า มาลา สุตตฺ คเุ ณเนว ปริวาเรน คนฺถิตา ฯ ตสฺเสว ปรวิ ารสฺส สมฏุ ฺ านํ นิยโต กตํ สมฺเภทนทิ าน ฺจ ฺ สตุ เฺ ต ทิสสฺ นฺติ อปุ ริ ตสมฺ า สกิ ฺเข ปรวิ ารํ ธมฺมกาโม สุเปสโลต๖ิ ฯ แบบฝึกหัดท่ี ๑๗.๖ ๑. จากขอ้ ความน้ี ประเด็นสำคัญเก่ียวข้องกบั อะไร ก. พระวินัยปิฎก ข. พระสตุ ตนั ตปิฎก ค. พระอภธิ รรมปฎิ ก ง. พระไตรปฎิ ก ๖ วินย. ๘/๘๒๖/๒๒๔; Vin.V.86.
๓๖๘ ๒. คำวา่ “เทสยิ” เป็นคำกรยิ าของศัพทท์ เี่ ปน็ ประธานตวั ใด ก. สีโห ข. องฺครี โส ค. สกยฺ มนุ ิ ง. สพฺพภูตานุกมฺปโก ๑๗.๘ ขอ้ ความบาลี (๗) ใหอ้ ่านข้อความต่อไปนี้ แลว้ ตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ที่ ๑๗.๗ ภควา จ สารปิ ตุ ฺต ปสสฺ ี ภควา จ สขิ ี ภควา จ เวสสฺ ภู กลิ าสุโน อเหสุํ สาวกานํ วติ ถฺ าเรน ธมมฺ ํ ทสเฺ สตํุ อปฺปก ฺจ เนสํ อโหสิ สุตตฺ ํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ คาถา อุทานํ อติ วิ ตุ ฺตกํ ชาตกํ อพภฺ ตู ธมมฺ ํ เวทลลฺ ํ อปฺป ฺ ตตฺ ํ สาวกานํ สกิ ฺขาปทํ อนทุ ทฺ ิฏฺฐํ ปาติโมกฺขํ เตสํ พุทฺธานํ ภควนตฺ านํ อนตฺ รธาเนน พุทธฺ านพุ ทุ ธฺ านํ สาวกานํ อนฺตรธาเนน เย เต ปจฺฉิมา สาวกา นานานามา นานาโคตฺตา นานาชจฺจา นานากลุ า ปพฺพชติ า เต ตํ พฺรหฺมจรยิ ํ ขิปฺป เฺ ว อนตฺ รธาเปสุํ๗ แบบฝึกหัดท่ี ๑๗.๗ ๑. จากข้อความน้ี ควรตั้งชื่อเร่อื งวา่ อยา่ งไร ข. เหตใุ ห้พระศาสนาดำรงอยู่ได้ไมน่ าน ก. เหตุใหพ้ ระศาสนาดำรงอยไู่ ด้นาน ง. สิกขาบท ค. ปาติโมกข์ ๒. จากข้อความนี้ มใี จความสำคญั ว่าอยา่ งไร ก. พระผู้มพี ระภาคทรงทอ้ พระทยั ในการแสดงธรรม ทำให้พระศาสนาเสือ่ มเรว็ ข. พระผมู้ พี ระภาคไมท่ รงท้อพระทยั นการแสดงธรรม ทำให้พระศาสนาไม่เสอ่ื ม ค. นวังคสตั ถุศาสน์ คือ สตุ ตะ เคยยะ เป็นตน้ ของพระผูม้ ีพระภาคเจ้ามนี ้อย ง. พระผูม้ พี ระภาคเจา้ มไิ ดท้ รงบัญญตั ิสิกขาบท และมไิ ด้ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่สาวก ๓. ขอ้ ใดจัดอยใู่ น “นวงั คสตั ถุศาสน”์ ข. ชาดก ก. เวสสภู ง. ปาตโิ มกข์ ค. สกิ ขาบท ๗ วินย. ๑/๗/๑๓; Vin. III.8.
๓๖๙ ๔. ขอ้ ใดเปน็ พระนามของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ข. สิขี ก. วิปสั สี ง. ถูกตอ้ งทกุ ข้อ ค. เวสสภู ข. พระอภิธรรมปิฎก ๕. คำวา่ “เคยยะ” หมายถงึ อะไร ง. พระสตู รแบบถามตอบ ก. พระสูตรทมี่ ีคาถา ค. พระวินยั ปฎิ ก ๑๗.๙ ข้อความบาลี (๘) ให้อ่านข้อความต่อไปน้ี แล้วตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ท่ี ๑๗.๘ ตโย ปุคฺคลา เสกโฺ ข ปุคฺคโล อเสกโฺ ข ปุคคฺ โล เนวเสกฺโข นาเสกฺโข ปคุ ฺคโล ฯ ตโย เถรา ชาตติ เฺ ถโร ธมฺมตฺเถโร สมฺมติตฺเถโร ฯ ตีณิ ปุ ฺ กิริยาวตฺถูนิ ทานมยํ ปุ ฺ กิริยาวตฺถุ สีลมยํ ปุ ฺ กิริยาวตฺถุ ภาวนามยํ ปุ ฺ กิริยาวตฺถุ ฯ ตีณิ โจทนาวตฺถูนิ ทิฏฺ เ น สุเตน ปริสงฺกาย ฯ ติสฺโส กามูปปตฺติโย สนฺตาวุโส สตฺตา ปจฺจุปฏฺ ฐิตกามา เต ปจฺจุปฏฺ ฐิเตสุ กาเมสุ วสํ วตฺเตนฺติ เสยฺยถาปิ มนุสฺสา เอกจฺเจจ เทวา เอกจฺเจ จ วนิ ิปาติกา อยํ ป มา กามปู ปตฺติ ฯเปฯ ....๘ แบบฝกึ หัดที่ ๑๗.๘ ๑. จากขอ้ ความน้ี ควรตง้ั ชอ่ื เรอ่ื งว่าอะไร ข. พระเถระ ๓ จำพวก ก. บคุ คล ๓ จำพวก ง. การสงั คายนาหลกั ธรรม ค. บุญกริ ิยาวัตถุ ๓ อยา่ ง ๒. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ประเดน็ สำคัญในขอ้ ความข้างต้น ก. บุคคล ๓ ข. เถระ ๓ ค. บุญกริ ยิ าวตั ถุ ๓ ง. รัตนะ ๓ ๘ ท.ี ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๐; D. III. 218.
๓๗๐ ๓. ใครเป็นผกู้ ล่าวขอ้ ความขา้ งตน้ ข. พระเถระ ก. พระสารบี ตุ ร ง. พระพุทธเจา้ ค. บุคคล ๔. คำวา่ “เสกขบุคคล” แปลว่าอะไร ก. บคุ คลผู้ยังตอ้ งศึกษา ข. บุคคลผูไ้ มต่ ้องศกึ ษา ค. บุคคลผู้ยงั ต้องศึกษาไมใ่ ช่ ผไู้ ม่ต้องศึกษากไ็ ม่ใช่ ง. ไม่มีข้อใดถกู ๕. “บุญกริ ยิ าวตั ถ”ุ มีก่ีอยา่ ง ข. ๒ อยา่ ง ก. ๑ อย่าง ง. ๔ อยา่ ง ค. ๓ อย่าง ๖. “ไม่ตอ้ งศึกษาอีกเพราะศึกษาไตรสิกขาจบแลว้ ” หมายถึงบุคคลในข้อใด ก. พระโสดาบัน ข. พระสกทาคามี ค. พระอนาคามี ง. พระอรหันต์ ๗. “ระลึกถงึ ทานบารมแี ล้วให้ ตั้งอยใู่ นวตั รและศลี แลว้ ให้ พิจารณาความส้ินไป และเสอ่ื มไปแลว้ ให”้ คำว่า “พจิ ารณาความสนิ้ ไปและเสอ่ื มไปแล้วให”้ มคี วามหมายสอดคล้องกับบุญกริ ยิ าวัตถุขอ้ ใด ก. ทานมัย ข. ศลี มัย ค. ภาวนามยั ง. ขอ้ ก. และ ข. ถกู
๓๗๑ ๑๗.๑๐ ข้อความบาลี (๙) ให้อ่านข้อความตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคำถามในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๙ ป จฺ สิกฺขาปทานิ ปาณาติปาตา เวรมณี อทินฺนาทานา เวรมณี กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี มุสาวาทา เวรมณี สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏฺ านา เวรมณี ฯ ป จฺ อภพฺพฏฺ านานิ อภพฺโพ อาวุโส ขีณาสโว ภิกฺขุ ส ฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตุํ อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทาตุํ อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวิตุํ อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สมฺปชานมุสา ภาสิตุํ อภพฺโพ ขีณาสโว ภิกฺขุ สนฺนิธิการกํ กาเม ปริภุ ชฺ ิตุํ เสยฺยถาปิ ปุพฺเพ อาคาริกภโู ต๙ ฯ แบบฝกึ หัด ๑๗.๙ ๑. ในย่อหนา้ แรก ประเดน็ สำคัญเกย่ี วขอ้ งกบั อะไร ก. เบญจศลี ข. เบญจธรรม ค. ปาณาตบิ าต ง. อทนิ นาทาน ๒. “เวน้ จากการละเมดิ สงิ่ ทผ่ี อู้ ่นื รกั ใคร่หวงแหน” มีความหมายตรงกบั ข้อใด ก. ปาณาติปาตา เวรมณี ข. อทินนาทานา เวรมณี ค. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี ง. มสุ าวาทา เวรมณี ๓. ในยอ่ หน้าท่ีสอง มใี จความสำคญั วา่ อยา่ งไร ก. ฐานะอนั ควรมี ๕ อย่าง ข. ฐานะอนั ไมค่ วรมี ๕ อย่าง ค. พระขีณาสพสามารถแกลง้ ปลงชวี ติ สัตว์จากชวี ิต ง. พระขณี าสพไม่สามารถทจี่ ะแกลง้ ปลงชวี ติ สตั วจ์ ากชีวิต ๔. “อทินนฺ ํ เถยฺยสงขฺ าตํ อาทาตุ”ํ มีความหมายตามข้อใด ก. ลักทรพั ย์ ข. เสพเมถนุ ธรรม ค. พดู เทจ็ ง. ทำการสงั่ สมและบรโิ ภคกาม ๙ ท.ี ปา. ๑๑/๒๘๖-๒๘๗/๒๔๗; D. III. 235.
๓๗๒ ๕. “เสยฺยถาปิ ปพุ ฺเพ อาคารกิ ภโู ต” มีความหมายว่าอย่างไร ก. เหมือนผู้ครองเรอื นในปัจจบุ ัน ข. เหมอื นผู้ครองเรือนในอนาคต ค. เหมอื นผ้อู อกบวชไมม่ ีเรอื น ง. เหมอื นเมืองคร้ังยังเปน็ คฤหัสถ์ ๑๗.๑๑ ข้อความบาลี (๑๐) ใหอ้ า่ นข้อความตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ที่ ๑๗.๑๐ ยปํ ิ ภกิ ฺขเว ตถาคโต ปุรมิ ํ ชาตึ ปุริมํ ภวํ ปรุ มิ ํ นิเกตํ ปพุ เฺ พ มนสุ ฺสภโู ต สมาโน จตหู ิ สงคฺ ห- วตฺถูหิ ชนสงคฺ หิโก อโหสิ ทาเนน ปิยวาเจน อตฺถจริยาย สมานตฺตตาย ฯ โส ตสสฺ กมฺมสสฺ กตตตฺ า อุปจติ ตตฺ า อสุ ฺสนฺนตตฺ า วิปุลตฺตา กายสสฺ เภทา ปรํ มรณา สคุ ตึ สคคฺ ํ โลกํ อปุ ปชฺชติ ฯ ตโต จโุ ต อิตฺถตตฺ ํ อาคโต สมาโน อิมานิ เทวฺ มหาปรุ สิ ลกขฺ ณานิ ปฏลิ ภติ มทุ ุตลหตฺถปาโท จ โหติ ชาลหตฺถปาโท จ๑๐ แบบฝกึ หัดที่ ๑๗.๑๐ ๑. ใครเป็นผกู้ ลา่ วข้อความข้างต้นนี้ ข. พุทธสาวก ก. ภิกษุ ง. พระอานนท์ ค. พระพุทธเจ้า ๒. จากข้อความขา้ งตน้ น้ี มใี จความสำคญั วา่ อย่างไร ก. พระพทุ ธเจ้าทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ เม่อื คร้งั เกดิ เปน็ มนษุ ย์ ข. พระตถาคตเจา้ ทรงสงเคราะหป์ ระชาชนดว้ ยสงั คหวตั ถุ ๔ เมอื่ คร้งั เกดิ ในโลกสวรรค์ ค. พระพุทธเจ้าทรงทำกรรมดี แล้วไดบ้ ังเกิดในโลกสวรรค์ ง. พระตถาคตเจ้าทรงจุตจิ ากโลกสวรรค์ แล้วมาเกิดในโลกมนุษย์ ๓. พระตถาคตเจ้า ยอ่ มเข้าถึงสุคตโิ ลกสวรรค์เพราะเหตใุ ด ก. เพราะจตุ จิ ากโลกมนุษย์ ข. เพราะจุตจิ ากโลกสวรรค์ ค. เพราะเคยเกิดเป็นมนุษย์ ง. เพราะสงเคราะหป์ ระชาชนด้วยสังคหวตั ถุ ๔ ๑๐ ที.ปา. ๑๑/๑๔๐/๑๖๗; D. III. 152,232.
๓๗๓ ๔. ขอ้ ใด ไม่จดั อยใู่ นมหาปุรสิ ลักษณะ ๒ ประการ ก. ฝ่ามือและฝ่าเทา้ ออ่ นนุ่ม ค. นิ้วมอื และนิ้วเท้าอ่อนและมลี ายดังขา่ ย ข. มือและเท้ามีลายดังตาขา่ ย ง. ขอ้ ก. และ ข. ถูก ๕. ขอ้ ใดมีความหมายตรงกบั คำว่า “ดว้ ยมีตนเสมอตน้ เสมอปลายไม่ถือตวั ” ก. ทาเนน ข. ปยิ วาเจน ค. อตฺถจรยิ าย ง. สมานตฺตตาย ๖. ศพั ทใ์ นข้อใดเป็นคณุ นามขยาย “มหาปรุ ิสลกขฺ ณาน”ิ ก. อิมานิ ข. เทวฺ ค. ปฏลิ ภติ ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก ๑๗.๑๒ ขอ้ ความบาลี (๑๑) ใหอ้ ่านขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำถามในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๑๑ ทส อกุสลกมฺมปถา ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุ มิจฺฉาจาโร มุสาวาโท ปิสุณา วาจา ผรุสา วาจา สมผฺ ปฺปลาโป อภชิ ฌฺ า พฺยาปาโท มจิ ฉฺ าทิฏฺฐิ ฯ ทส กุสลกมฺมปถา ปาณาติปาตา เวรมณี อทินฺนาทานา เวรมณี กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี มุสาวาทา เวรมณี ปิสุณาย วาจาย เวรมณี ผรุสาย วาจาย เวรมณี สมฺผปฺปลาปา เวรมณี อนภิชฺฌา อพฺยาปาโท สมฺมาทิฏฺฐิ๑๑ ฯ แบบฝึกหัดที่ ๑๗.๑๑ ๑. ในยอ่ หนา้ แรก มีใจความสำคญั ว่าอย่างไร ข. ทางแหง่ กรรมชว่ั มี ๑๐ อย่าง ก. ทางแห่งกรรมดี มี ๑๐ อยา่ ง ง. กายกรรมฝา่ ยช่วั มี ๓ อย่าง ค. กายกรรมฝ่ายดี มี ๓ อยา่ ง ๑๑ ที.ปา. ๑๑/๓๕๙, ๓๖๐/๒๘๔; D.III. 269.
๓๗๔ ๒. วจีกรรม ฝา่ ยอกุศล มกี ่อี ย่างไร ข. ๔ อย่าง ก. ๓ อยา่ ง ง. ๖ อย่าง ค. ๕ อยา่ ง ๓. “คิดเพง่ เลง็ อยากได้ของผูอ้ ่นื โดยมิชอบ” เป็นความหมายของคำใด ก. อภิชฌฺ า ข. อนภิชฺฌา ค. อพฺยาปาโท ง. สมผฺ ปฺปลาโป ๔. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ มโนกรรมฝ่ายดี ข. อนภชิ ฌฺ า ก. สมผฺ ปปฺ ลาปา ง. สมฺมาทิฏฐฺ ิ ค. อพยฺ าปาโท ๕. “ทานมผี ล การบชู ามีผล ผลของกรรมดีกรรมชว่ั ม”ี ข้อความนี้เกย่ี วขอ้ งกบั ข้อใด ก. มจิ ฉฺ าทฏิ ฺ ข. สมฺมาทิฏฺ ค. อทินฺนาทานํ ง. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี ๑๗.๑๓ ขอ้ ความบาลี (๑๒) ให้อ่านข้อความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคำถามในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๑ ติสฺโส ป ฺ า เสกฺขา ป ฺ า อเสกฺขา ป ฺ า เนวเสกฺขา นาเสกฺขา ป ฺ า ฯ อปราปิ ติสฺโส ป ฺ า จินฺตามยา ป ฺ า สุตมยา ป ฺ า ภาวนามยา ป ฺ า ฯ ตีณาวุธานิ สุตาวุธํ ปวิเวกาวุธํ ป ฺ าวุธํ ฯ ตีณินฺทฺริยานิ อน ฺ ต ฺ สฺสามีตินฺทฺริยํ อ ฺ นฺทฺริยํ อ ฺ าตาวินฺทริยํ ฯ ตีณิ จกฺขูนิ มํสจกฺขุ ทิพฺพจกฺขุ ป ฺ าจกฺขุ ฯ ติสฺโส สิกฺขา อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขา อธิป ฺ าสิกฺขา ฯ ติสฺโส ภาวนา กายภาวนา จติ ฺตภาวนา ป ฺ าภาวนา ฯ ตณี ิ อนตุ ฺตริยานิ ทสสฺ นานตุ ตฺ ริยํ ปฏิปทานุตตฺ ริยํ วิมุตตฺ านุตตฺ ริย๑ํ ๒ ฯ ๑๒ ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑; D. III. 220.
๓๗๕ แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๗.๑๒ ๑. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ประเด็นสำคญั ในขอ้ ความข้างต้น ข. อาวธุ ๓ ก. สมาธิ ๓ ง. สกิ ขา ๓ ค. จักษุ ๓ ๒. ขอ้ ใด ไม่ใช่ อาวธุ ข. ความเห็น ก. การฟัง ง. ความสงัด ค. ปญั ญา ๓. “สุตมยปญั ญา” หมายถึงอะไร ข. ปญั ญาทเ่ี กดิ จากการศึกษาเล่าเรียน ก. ปัญญาที่เกดิ จากการฟัง ง. ข้อ ก. และ ข. ถกู ค. ปญั ญาทเี่ กดิ จากการคิด ๔. “ศลี สมาธิ ปัญญา” รวมเรยี กวา่ อะไร ข. สิกขา ๓ ก. ภาวนา ๓ ง. อนิ ทรยี ์ ๓ ค. อนตุ ตรยิ ะ ๓ ๕. คำวา่ “ภาวนา” เป็นลิงคอ์ ะไร ข. อติ ถลี งิ ค์ ก. ปงุ ลิงค์ ง. ทวิลงิ ค์ ค. นปงุ สกลงิ ค์ ๑๗.๑๔ ขอ้ ความบาลี (๑๓) ให้อ่านข้อความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคำถามในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๑๓ กตเม จ ภิกฺขเว ป จฺ กฺขนฺธา ฯ ยงฺกิ จฺ ิ ภิกฺขเว รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทธฺ า วา โอฬารกิ ํ วา สุขุมํ วา หนี ํ วา ปณตี ํ วา ยํ ทูเร สนตฺ ิเก วา ฯ อยํ วุจจฺ ติ รูปกขฺ นฺโธ ฯ ยา กาจิ เวทนา ฯ ยา กาจิ ส ฺ า ฯ เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปณีตา วา เย ทูเร สนฺติเก วา ฯ อยํ วุจฺจติ สงฺขารกฺขนฺโธ ฯ ยงฺกิ จฺ ิ วิ ฺ าณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ ว สุขุมํ ว หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺตเิ ก วา ฯ อยํ วจุ จฺ ติ วิ ฺ าณกขฺ นโฺ ธ ฯ อเิ ม วุจจฺ นฺติ ภกิ ขฺ เว ป จฺ กฺขนธฺ า๑๓ ฯ ๑๓ สํ.ข. ๑๗/๙๕/๕๘; S. III. 47.
๓๗๖ แบบฝึกหดั ที่ ๑๗.๑๓ ๑. จากข้อความนี้ ควรตัง้ ช่ือเร่ืองว่าอะไร ข. อินทรยี ์ ๖ ก. ขันธ์ ๕ ง. นามรปู ค. อิทธิบาท ๔ ๒. ขอ้ ใดแตกตา่ งจากกลมุ่ ข. สญั ญา ก. เวทนา ง. รูป ค. สังขาร ๓. “วญิ ญาณ” จัดเป็นขนั ธ์ใด ข. นามขนั ธ์ ก. รปู ขันธ์ ค. สังขารขนั ธ์ ค. สญั ญาขนั ธ์ ๔. ขอ้ ใด ไม่เก่ยี วข้องกับประโยคว่า “อิเม วจุ ฺจนฺติ ภิกฺขเว ป ฺจกฺขนธฺ า” ก. ตา หู ข. สญั ญา สังขาร ค. เวทนา วญิ ญาณ ง. รปู นาม ๕. ข้อใดไมถ่ ูกต้อง ก. “ยา กาจิ เวทนา” คำว่า เวทนา เป็นอติ ถลี งิ ค์ ข. “ยา กาจิ ส ฺ า” คำว่า ส ฺ า เปน็ อิตถีลิงค์ ค. “เย เกจิ สงขฺ ารา” คำวา่ สงฺขารา เปน็ อิตถลี ิงค์ ง. “ยงกฺ ิ จฺ ิ วิ ฺ าณํ” คำว่า วิ ฺ าณํ เปน็ นปุงสกลงิ ค์
๓๗๗ ๑๗.๑๕ ข้อความบาลี (๑๔) ใหอ้ ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แลว้ ตอบคำถามในแบบฝึกหดั ท่ี ๑๗.๑๔ ฉ อชฺฌตตฺ ิกานิ อายตนานิ จกฺขวายตนํ โสตายตนํ ฆานายตนํ ชวิ ฺหายตนํ กายายตนํ มนายตนํ ฯ ฉ พาหิรานิ อายตนานิ รปู ายตนํ สททฺ ายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฏฺ พพฺ ายตนํ ธมมฺ ายตนํ ฯ ฉ วิ ฺ าณกายา จกฺขุวิ ฺ าณํ โสตวิ ฺ าณํ ฆานวิ ฺ าณํชิวฺหาวิ ฺ าณํ กายวิ ฺ าณํ มโน- วิ ฺ าณํ ฯ ฉ ผสฺสกายา จกฺขสุ มฺผสโฺ ส ฯเปฯ มโนสมผฺ สโฺ ส ฯ ฉ เวทนากายา จกขฺ สุ มผฺ สฺสชา เวทนา ฯเปฯ มโนสมฺผสฺสชา เวทนา ฯ ฉ ส ฺ ากายา รปู ส ฺ า ฯเปฯ ธมมฺ ส ฺ า ฯ ฉ ส เฺ จตนากายา รูปส ฺเจตนา ฯเปฯ ธมมฺ ส ฺเจตนา๑๔ ฯ แบบฝกึ หัดที่ ๑๗.๑๔ ๑. “ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนาน”ิ มีความหมายว่าอยา่ งไร ก. อายตนะภายในมี ๖ ประการ ข. อายตนะภายนอกมี ๖ ประการ ค. การรับอารมณม์ ี ๖ ทาง ง. การเสวยอารมณม์ ี ๖ ทาง ๒. ศพั ท์สังขยาวา่ “ฉ” ในคำ “ฉ พาหิราน”ิ และในคำว่า “ฉ วญิ ฺ าณกายา” มีอะไรแตกตา่ ง กนั ก. ลงิ ค์ ข. วจนะ ค. วภิ ัตติ ง. บท ๓. “ความรูอ้ ารมณ์ทางห”ู มคี วามหมายตรงกับข้อใด ก. โสตายตนํ ข. โสตาวิ ฺ าณํ ค. ฆานายตนํ ง. “ฆานวิ ฺ าณํ ๑๔ ท.ี ปา. ๑๑/๓๐๔-๓๑๐/๒๕๕; D.III. 243.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430