๒๘ ๒) ปุพพาสยพยัญชนะ การเขยี นพยัญชนะที่ตอ้ งอาศัยสระหน้าคอื อยู่หลงั สระเสยี ง ส้ัน อ, อ,ิ อุ เทา่ นน้ั มตี ัวเดยี ว คือ (นคิ คหติ ) เช่น ก แยกพยัญชนะออกจากสระเปน็ ก + อ + ง กึ แยกพยญั ชนะออกจากสระเป็น ก + อิ + ง กุ แยกพยัญชนะออกจากสระเปน็ ก + อุ + ง ๒.๖ ฐานกรณข์ องอักษร ฐานกรณ์ของอักษรในภาษาบาลี เราอาจอธิบายเป็นข้อ ๆ ท้ังในส่วนของฐาน กรณ์ และอักษร เพอื่ ให้เห็นความเชื่อมโยงเก่ยี วขอ้ งกนั และเกิดความเขา้ ใจทช่ี ดั เจนย่งิ ขนึ้ ได้ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี ๒.๖.๑ ฐานของอักษร คือ ฐานทเี่ กดิ ของอักษร มี ๖ ฐาน ดงั น้ี ๑) คอ (กณโ ) ๒) เพดาน (ตาลุ) ๓) ศรีษะ หรือ ปุม่ เหงือก (มทุ ธา) ๔) ฟนั (ทนโต) ๕) ริมฝีปาก (โอฏฺโ ) ๖) จมกู (นาสกิ า) ๒.๖.๒ อกั ษรทีเ่ กิดจากฐานเดียว ได้แก่อักษรตอ่ ไปนี้ ๑) อ อา, ก ข ค ฆ ง, ห ๘ ตวั นเ้ี กดิ จากคอ (กณ ชา) ๒) อิ อี, จ ฉ ช ฌ , ย ๘ ตวั น้ีเกิดจากเพดาน (ตาลชุ า) ๓) ฏ ฑ ฒ ณ, ร ฬ ๗ ตัวนี้เกิดจากป่มุ เหงอื ก (มทุ ธชา) ๔) ต ถ ท ธ น, ล ส ๗ ตัวนี้เกดิ จากฟนั (ทนตชา) ๕) อุ อู, ป ผ พ ภ ม ๗ ตัวนี้เกิดจากริมฝีปาก (โอฏฺ ชา) เกดิ จากจมกู (นาสกิ ฏฺ านชา) ๖) (นิคคหิต) ๒.๖.๓ อกั ษรทเ่ี กดิ จาก ๒ ฐาน ได้แก่ อกั ษรต่อไปนี้ ๑) เอ เกดิ จาก คอ และ เพดาน เรียกวา่ กณ ตาลุโช ๒) โอ เกิดจาก คอ และ รมิ ฝปี าก เรยี กว่า กณโ ฏฺ โช ๓) ง, , ณ, น, ม เกดิ จากฐานของตน และ จมูก เรียกว่า สกฏฺ านนาสกิ ฏฺ านชา ๔) ว เกดิ จาก ฟนั และ รมิ ฝีปาก เรยี กวา่ ทนโตฏฺ โช
๒๙ ๕) ห ท่ีประกอบกับพยัญชนะ ๘ ตัว คือ , ณ, น, ม, ย, ล, ว, ฬ เช่น ห ณห ฯลฯ เกดิ จากอก แต่ถ้าไมป่ ระกอบกับพยัญชนะ ๘ ตวั ดงั กล่าว จะเกดิ จากฐานของตน คอื เกดิ จากคอ ๒.๖.๔ กรณ์ของอักษร หมายถึง อวัยวะสาหรับทาเสียง โดยให้กรณ์กระทบกับฐาน กรณ์ สาหรับทาเสียง มี ๔ ประการ ดังน้ี ๑) ทา่ มกลางลิน้ (ชิวหามชฌ) ๒) ถัดปลายลน้ิ เขา้ มา (ชวิ โหปคค) ๓) ปลายลน้ิ (ชวิ หคค) ๔) ฐานเกดิ ของตน (สกฏฺ าน) ท่ามกลางลิ้น เป็นกรณ์ของอักษรที่เกิดจากเพดาน (ตาลุชะ), ถัดปลายล้ินเข้ามา เป็นกรณ์ ของอักษรท่ีเกิดจากปุ่มเหงือก (มุทธชะ), ปลายลิ้น เป็นกรณ์ของอักษรที่เกิดจากฟัน (ทันตชะ), ฐาน เกิดของตน เป็นกรณ์ของอักษรที่เหลือ (หมายความว่า นอกจากล้ินแล้ว ก็เอาฐานเกิดของอักษรนั้น ๆ เป็นกรณ์ เชน่ ก ข ค เกดิ จากคอ ก็เอาคอเปน็ ทัง้ ฐานและกรณ์) ๒.๖.๕ สรุปอักษรและฐานกรณ์ของอักษร อักษรและฐานกรณ์ของอักษรดังที่ได้กล่าวมา อาจแสดงสรุปได้ ดังในตารางที่ ๒.๓ และตารางท่ี ๒.๔ ตารางที่ ๒.๓ อกั ษรทีเ่ กิดจากฐานเดียวและฐานกรณ์ อกั ษร ฐาน กรณ์ อ อา, ก ข ค ฆ ง, ห คอ (กณ ) ฐานเกิดของตน (คอ/กณ ) อิ อี, จ ฉ ช ฌ , ย เพดาน (ตาล)ุ ท่ามกลางลิ้น (ชิวหามชฌ) ปุ่มเหงือก (มทุ ธ) ถดั ปลายลิ้นเขา้ มา (ชวิ โหปคค) ฏ ฑ ฒ ณ, ร ฬ ฟัน (ทนต) ปลายลิน้ (ชิวหคค) ต ถ ท ธ น, ล ส ริมฝปี าก (โอฏฺ ) ฐานเกดิ ของตน (รมิ ฝปี าก/โอฏฺ ) อุ อู, ป ผ พ ภ ม จมกู (นาสกิ ) ฐานเกดิ ของตน (จมกู /นาสกิ ) (อัง) ตารางที่ ๒.๔ อกั ษรท่เี กดิ จาก ๒ ฐานและฐานกรณ์ อกั ษร ฐาน กรณ์ เอ โอ คอและเพดาน (กณ + ตาลุ) คอและปลายลน้ิ (กณ + ชิวหามชฌ) คอและรมิ ฝีปาก (กณ + โอฏฺ ) คอและรมิ ฝีปาก (กณ + โอฏฺ ) ว ฟนั และรมิ ฝีปาก (ทนต + โอฏฺ ) ปลายลนิ้ และรมิ ฝีปาก (ชวิ หคค + โอฏฺ ) ฐานของตนและจมูก (สกฏฺ าน + นาสิก) ฐานเกิดของตนและจมกู (สกฏฺ าน + นาสิก) ง, , ณ, น, ม
๓๐ ๒.๗ มาตราการออกเสียงอกั ษร การออกเสียงอักษรในภาษาบาลีนั้น มีมาตราการออกเสียงซึ่งอาจสรุปเป็นข้อ ๆ เพ่ือความ เข้าใจไดโ้ ดยงา่ ย ดงั น้ี ๒.๗.๑ สระเสยี งส้ัน (รสั สะ) ไดแ้ ก่ อ, อิ, อี มี ๑ มาตรา คอื อ่านออกเสียงเท่าระยะกะพริบ ตา ๑ ครงั้ ๒.๗.๒ สระเสียงยาว (ทีฆะ) ได้แก่ อา, อี, อู, เอ, โอ มี ๒ มาตรา คือ อ่านออกเสียงเท่า ระยะกะพรบิ ตาตดิ ตอ่ กนั ๒ ครง้ั ๒.๗.๓ พยัญชนะท่ีไมม่ ีสระ เช่น ก, ข, ค ฯลฯ มีครึ่งมาตรา คือ อ่านออกเสียงเท่าระยะคร่ึง ของการกะพรบิ ตา ๒.๗.๔ พยัญชนะที่ผสมกับสระเสียงส้ัน (รัสสะ) เช่น ก, กิ, กุ มี ๑ มาตราครง่ึ คือ อ่านออก เสยี งเทา่ ระยะกะพริบตา ๑ ครัง้ กับอีกครึ่งหน่ึง ๒.๗.๕ พยัญชนะที่ผสมกับสระเสียงยาว (ทีฆะ) เช่น กา, กี กู, เก, โก มี ๒ มาตราครึ่ง คือ อ่านออกเสียงเทา่ ระยะกะพรบิ ตาตดิ ต่อกัน ๒ ครั้ง กับอีกคร่ึงหนึง่ ๒.๘ ลกั ษณะเสยี งของพยัญชนะ เสียงของพยัญชนะในภาษาบาลีนั้น มีลักษณะการออกเสียงซ่ึงอาจสรุปเป็นข้อ ๆ เพ่ือความ เข้าใจไดโ้ ดยง่าย ดังนี้ ๒.๘.๑ พยัญชนะมีลักษณะการออกเสียงเปน็ ๗ อยา่ ง ดงั น้ี ๑) อโฆสะ (ไมก่ ้อง) คือ ออกเสยี งไม่กอ้ ง ๒) โฆสะ (กอ้ ง) คือ ออกเสยี งกอ้ ง ๓) สถิ ลิ อโฆสะ (เบาไม่กอ้ ง) คือ ออกเสยี งเบาและไมก่ อ้ ง ๔) ธนติ อโฆสะ (หนักไมก่ ้อง) คือ ออกเสียงหนักแต่ไม่ก้อง ๕) สิถิลโฆสะ (เบากอ้ ง) คือ ออกเสียงเบาแต่กอ้ ง ๖) ธนิตโฆสะ (หนักก้อง) คือ ออกเสียงหนกั และกอ้ ง ๗) โฆสาโฆสวมิ ตุ ติ (พ้นจากก้องและไมก่ ้อง) คอื ออกเสยี งกอ้ งกไ็ ม่ใช่ ไม่ก้องก็ไมใ่ ช่ ๒.๘.๒ เสียงของพยัญชนะวรรคและพยัญชนะอวรรค อาจจาแนกตามลักษณะของการออก เสียงได้ ดังแสดงในตารางท่ี ๒.๕
๓๑ ตารางที่ ๒.๕ พยัญชนะวรรคและอวรรคตามลักษณะของการออกเสียง อโฆสะ พยญั ชนะวรรค พยญั ชนะอวรรค สถิ ลิ ธนิต โฆสะ อโฆสะ โฆสะ วมิ ตุ ติ กข สถิ ลิ ธนิต สิถลิ /วมิ ตุ ติ จฉ ฏ คฆ ง ส ยร ตถ ชฌ ลว ปผ ฑฒ ทธ ณ ห ฬ (อัง) พภ น ม ๒.๘.๓ สรุปเสียงของพยัญชนะวรรคและอวรรค เม่ือพิจารณาดูจากตารางแสดงพยัญชนะ วรรคและอวรรคตามลกั ษณะของเสียงในตารางตารางที่ ๒.๕ อาจกล่าวสรุปได้ ดงั นี้ ๑) พยัญชนะที่ ๑ ท่ี ๒ ในวรรค และ ส ในอวรรค เป็น อโฆสะ (เสยี งไม่กอ้ ง) ๒) พยัญชนะที่ ๓ ท่ี ๔ ที่ ๕ ในวรรค และ ย, ร, ล, ว, ห, ฬ ในอวรรคเป็น โฆสะ (เสยี งก้อง) ๓) พยญั ชนะที่ ๑ ท่ี ๓ ท่ี ๕ ในวรรค เปน็ สถิ ลิ (เสียงเบา) ๔) พยัญชนะที่ ๒ ท่ี ๔ ในวรรค เปน็ ธนิต (เสยี งหนกั ) ๕) พยัญชนะที่ ๑ ของทุกวรรค เปน็ สถิ ลิ อโฆสะ (เสยี งเบาไม่กอ้ ง) ๖) พยัญชนะท่ี ๒ ของทกุ วรรค เปน็ ธนิตอโฆสะ (เสียงหนักไม่ก้อง) ๗) พยญั ชนะที่ ๓ ที่ ๕ ของทุกวรรค เป็น สิถลิ โฆสะ (เสียงเบาก้อง) ๘) พยัญชนะท่ี ๔ ของทุกวรรค เปน็ ธนิตโฆสะ (เสยี งหนักกอ้ ง) ๙) พยญั ชนะ คือ ° ในอวรรค เปน็ วมิ ตุ ติ (พ้นจากโฆสะและอโฆสะ) ๒.๙ วธิ อี อกเสียงพยัญชนะบางตัว พยญั ชนะบางตวั ในภาษาบาลี มวี ธิ อี อกเสียงซึ่งอาจจาแนกออกเป็นข้อ ๆ ดงั น้ี ๒.๙.๑ พยัญชนะ ๔ ตัว คือ ย, ร, ล, ว ถ้าอยู่หลังพยัญชนะตัวอื่น ก็ให้ออกเสียงกล้ากับ พยัญชนะตวั หน้า เช่น คารยห อา่ นว่า คา-ไร-หยงั (ย ออกเสยี ง กล้ากับ ร) ๒.๙.๒ พยัญชนะ ๗ ตัว คือ ย, ร, ล, ว, ส, ห, ฬ จัดเป็น อัฑฒสระ มีเสียงก่ึงสระ คือ นอกจากเป็นตัวสะกดแล้ว ยังให้อา่ นเปน็ ตวั นาได้ดว้ ย เช่น มยห อ่านว่า ไม-หยัง (อา่ น ย เปน็ ตัวสะกดและเป็นตวั นาโดยออกเสียงสระกึง่ หนึง่ ) ชิวหา อ่านวา่ ชวิ -หวา (อ่าน ว เปน็ ตวั สะกดและเปน็ ตวั นาโดยออกเสยี งสระก่งึ หนง่ึ ) มูฬโห อา่ นวา่ มูน-โหล (อ่าน ฬ เป็นตวั สะกดและเป็นตวั นาโดยออกเสียงสระกึง่ หนึง่ )
๓๒ ๒.๙.๓ พยัญชนะคือ ห ถ้ามี ร นาหน้า หรือ ถ้ามีพยัญชนะ ๘ ตัว คือ , ณ, น, ม, ย, ล, ว, ฬ นาหน้า ให้ออกเสียงกล้ากับพยัญชนะท่ีนาหน้าน้ัน เช่น พรหม ให้อ่าน ห กล้ากับ ร ว่า พรัม-มะ (พระ-หะ-มะ) ๒.๑๐ พยัญชนะสงั โยค พยัญชนะสังโยค คอื พยัญชนะท่ีซอ้ นกนั โดยมีหลักการซ้อน ดังนี้ ๒.๑๐.๑ พยญั ชนะที่ ๑ ซ้อนหน้าพยญั ชนะท่ี ๑ และที่ ๒ ในวรรคของตนได้ เช่น กก, กข, จจ, จฉ, ฯลฯ ๒.๑๐.๒ พยัญชนะ ท่ี ๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ ๓ และท่ี ๔ ในวรรคของตนได้ เช่น คค, คฆ, ชช, ชฌ, ฯลฯ ๒.๑๐.๓ พยัญชนะท่ี ๕ ซ้อนพยัญชนะในวรรคของตนได้ทุกตัว ยกเว้น ง ไม่ซ้อนหน้าตัวเอง เช่น งก, งข, จ, ฉ, ณฏ, ณ , ฯลฯ ๒.๑๐.๔ พยัญชนะอวรรค คือ ย, ล, ว, ส, ห, ฬ สามารถซ้อนกันได้ เช่น ยย, ลล, สส, วฬ, ฬห, ยห, ฯลฯ ๒.๑๑ สรุปท้ายบท อักษรในภาษาบาลี เรียกว่า “อักขระ” แปลว่า ไม่รู้จักส้ินไปหรอื ไม่เป็นของแข็ง อนึ่ง อักษรใน ภาษาบาลี หมายถึง เสียง (คาพูด) และตัวหนังสือ อักษรในภาษาบาลี มจี านวน ๔๑ ตัว แบ่งเปน็ สระ ๘ ตัว และพยัญชนะ ๓๓ ตัว สระน้ันสามารถออกเสียงได้ตามลาพังตนเอง และทาพยัญชนะให้ออก เสียงได้ ส่วนพยัญชนะ แปลว่า ทาเนื้อความให้ปรากฏ คือ ต้องอาศัยสระจึงออกเสียงได้และเม่ือออก เสียงได้แล้ว ก็ทาให้มีเนื้อความชัดเจน จนเข้าใจความได้ สระยังแบ่งออกเป็นรัสสะและทีฆะ ส่วน พยัญชนะ จัดเป็น ๒ พวก คอื พยัญชนะวรรคและพยัญชนะอวรรค อักษรในภาษาบาลี มีฐานกรณ์ คือฐานท่ีเกิด ๖ ฐาน คือ คอ (กณโ ) เพดาน (ตาลุ) ศีรษะหรือปุ่มเหงือก (มุทธา) ฟัน (ทนโต) ริม ฝีปาก (โอฏฺโ ) และ จมูก (นาสกิ า) อักษรในภาษาบาลีมีมาตราการออกเสียง เช่น สระเสียงส้ัน (รัสสะ) ได้แก่ อ, อิ, อี มี ๑ มาตรา คือ อ่านออกเสียงเท่าระยะกะพริบตา ๑ คร้ัง ฯลฯ มีลักษณะเสียงของ พยัญชนะ ๗ อย่าง เช่น เป็นเสียงไม่ก้อง (อโฆสะ) เป็นเสียงก้อง (โฆสะ) ฯลฯ นอกจากนี้ อักษรใน ภาษาบาลี มีพยัญชนะสังโยค คือ พยัญชนะที่ซ้อนกัน โดยมีหลักการซ้อนท่ีแน่นอนชัดเจน เช่น พยัญชนะที่ ๑ ซ้อนหน้าพยญั ชนะท่ี ๑ และที่ ๒ ในวรรคของตนได้ ฯลฯ
๓๓ แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี ๒ แบบฝึกหัดที่ ๒.๑ ให้เลือกคาตอบทถี่ ูกที่สดุ เพยี งขอ้ เดยี ว ๑. อกั ษรที่ใช้ในภาษาบาลีมีก่ีตัว ข. ๒๕ ตวั ก. ๘ ตวั ง. ๔๑ ตวั ค. ๓๓ ตวั ๒. ข้อใด ไมใ่ ช่ อักษรในภาษาบาลี ข. ก, จ, ฏ, ต, ป ก. อิ, อี, อ,ุ อ,ู เอ ง. ฎ, ฝ, ฟ, ศ, ษ ค. ง, , ณ, น, ม ๓. ขอ้ ใด แตกตา่ ง จากพวก ข. ช, ฌ, ก. ค, ฆ, ง ง. ห, ฬ, ค. ฑ, ฒ, ณ ๔. ข้อใด เป็นพยัญชนะ วรรค ทั้งหมด ข. ป, ผ, ย, ภ, ม, ก. ฏ, , ฑ, ฒ, ณ ง. ต, ถ, ท, ธ, ฬ ค. จ, ฉ, ช, ล, ๕. ขอ้ ใด เป็นพยัญชนะ อวรรค ทง้ั หมด ข. ย, ร, ล, ว ก. ย, ร, ล, ง ง. อ,ุ อ,ู เอ, โอ ค. ส, ห, ฬ, ๖. สระในภาษาบาลมี ีท้ังหมดกต่ี ัว ข. ๕ ตวั ก. ๓ ตัว ง. ๒๕ ตวั ข. ๘ ตวั ๗. สระที่เป็น ทีฆะ ในภาษาบาลีมกี ่ีตัว ข. ๓ ตวั ก. ๒ ตวั ง. ๘ ตวั ค. ๕ ตวั ๘. สระในข้อใดช่อื วา่ “รัสสะ” ข. อา, อ,ี อู ก. อ, อ,ิ อุ ง. ก, ข, ค ค. อ,ู เอ, โอ
๓๔ ๙. พยญั ชนะในภาษาบาลีมีกต่ี วั ข. ๒๕ ตวั ก. ๘ ตวั ง. ๔๑ ตวั ค. ๓๓ ตวั ๑๐. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ ูกต้อง ก. สระออกเสียงได้ตามลาพังตนเอง ข. สระทาพยัญชนะให้ออกเสียงได้ ค. พยญั ชนะต้องอาศยั สระจึงจะออกเสียงได้ ง. สระชอ่ื ว่านสิ ิต พยัญชนะชื่อว่านสิ สัย ๑๑. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้อง ก. สระท่ีเป็นทฆี ะล้วน ช่อื ครุ ข. สระทเ่ี ป็นรัสสะลว้ น ช่ือ ลหุ ค. สระทเี่ ป็นรสั สะมีพยัญชนะสังโยคและนิคคหติ อยู่เบ้ืองหลังชอ่ื ลหุ ง. สระท่เี ปน็ รัสสะล้วนไม่มีพยญั ชนะสงั โยคและนิคคหติ อยู่เบอ้ื งหลงั ชือ่ ครุ ๑๒. คาในข้อใดชอ่ื ลหุ ข. ภูปาโล ก. ปติ ง. มนสุ สนิ โท ค. เอสี ๑๓. ข้อใดเปน็ ฐานทีเ่ กิดของอักษร ข. ทา่ มกลางลน้ิ (ชวิ หามชฌ) ก. ฐานของตน (สกฏฺ าน) ง. จมกู (นาสกิ ) ค. ปลายลิน้ (ชิวหคค) ๑๔. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง ก. อวัยวะทเ่ี คลื่อนไหวไมไ่ ด้เรยี กวา่ ฐาน ข. อวัยวะทเ่ี คลื่อนไหวได้เรยี กวา่ กรณ์ ค. กรณก์ ค็ ือลนิ้ นัน่ เอง ง. ฐานของอกั ษรมี ๔ ส่วนกรณ์ท่ีทาอักษรมี ๖ ๑๕. พยัญชนะที่เป็น อโฆสะ มกี ี่ตัว ข. ๕ ตวั ก. ๓ ตวั ง. ๑๑ ตวั ค. ๘ ตวั ๑๖. พยญั ชนะในขอ้ ใดเป็น โฆสะ ข. จ, ฉ, ฏ ก. ก, ข, จ ง. ค, ฆ, ง ค. ฏ, , ต
๓๕ ๑๗. พยัญชนะในข้อใดเปน็ อโฆสะ ข. ป, ผ, ส ก. ช, ฌ, ง. ว, ห, ฬ ค. ย, ร, ล ๑๘. พยัญชนะในข้อใดชอ่ื ว่า โฆสาโฆสวิมุตติ ก. ส ข. ค. ห ง. ฬ ๑๙. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกตอ้ ง ก. นคิ คหิต แปลวา่ กดสระหรือกรณ์ ข. การออกเสยี งนิคคหิตจะออกเสียงทางจมกู ไมต่ ้องอ้าปากกวา้ งเกนิ กวา่ ปกติ ค. อนุสาร แปลวา่ ไปตามสระคือไปตามหลงั สระรัสสะเท่านนั้ ง. นิคคหิตหรอื อนสุ ารต้องอาศัยสระอื่นออกเสียง ยกเวน้ อ อิ อุ ๒๐. พยญั ชนะในข้อใดเป็นพยญั ชนะท่สี ุดวรรค ฏ ก. ข. ณ ค. น ง. ม ๒๑. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้อง ก. พยญั ชนะท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ ๑ และท่ี ๒ ในวรรคของตนได้ ข. พยญั ชนะที่ ๓ ซ้อนหนา้ พยัญชนะท่ี ๓ และที่ ๔ ในวรรคของตนได้ ค. พยญั ชนะท่ี ๕ สดุ วรรค ซ้อนหน้าพยญั ชนะในวรรคของตนได้ท้งั ๕ ตวั ง. พยัญชนะ คือ ง ใช้เปน็ ตัวสะกดอยา่ งเดียว ซอ้ นหนา้ ตวั เองไม่ได้ ๒๒. พยัญชนะในข้อใดเปน็ สถิ ลิ ข. , ฒ ก. จ, ช ง. ผ, ภ ค. ถ, ธ ๒๓. พยญั ชนะในข้อใดเป็น ธนติ ข. ก, ค ก. ข, ฆ ง. ป, พ ค. จ, ช ๒๔. สระในข้อใดจดั เปน็ สังยตุ ตสระ ข. อ,ิ อี ก. อ, อา ง. เอ, โอ ค. อ,ุ อู
๓๖ ๒๕. พยัญชนะอาคมมกี ตี่ ัว ข. ๕ ตวั ก. ๓ ตวั ง. ๑๑ ตวั ค. ๘ ตวั ๒๖. ข้อใดเป็นพยัญชนะอาคมท้ังหมด ข. ย, ว, ม, ท ก. ย, ร, ล, ว ง. น, ต, ร, ล ข. ส, ห, ฬ, ๒๗. ขอ้ ใดไม่ได้ลงพยัญชนะอาคม ข. ฉฬายตน ก. ยถายทิ ง. เสยโย ค. ตสมาตหิ ๒๘. พยัญชนะกลมุ่ หนง่ึ เรยี กว่า “อวรรค” เพราะเหตุใด ก. เพราะมจี านวนนอ้ ยกวา่ พยัญชนะวรรค ข. เพราะออกเสียงต่างจากพยญั ชนะวรรค ค. เพราะเปน็ พยญั ชนะทเี่ ปน็ สว่ นเกินจากพยัญชนะวรรค ง. เพราะไม่เปน็ หมวดหมู่ตามฐานกรณ์ทีเ่ กดิ ๒๙. สระ โอ เกดิ ใน ๒ ฐาน คือข้อใด ข. คอ และรมิ ฝีปาก ก. คอ และเพดาน ง. ฐานของตนและจมูก ค. ฟัน และรมิ ฝีปาก ๓๐. สระในขอ้ ใดจดั เปน็ คู่ทแ่ี ตกต่างจากพวก ก. อ, อา ข. อ,ิ อี ค. อ,ุ อู ง. เอ, โอ
๓๗ แบบฝกึ หดั ท่ี ๒.๒ ก. ให้อา่ นขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แล้วขีดเสน้ ใต้คาศัพท์ที่มพี ยัญชนะท้ายวรรค จ และ ฏ สตถา “ทีฆายุโก โหตีติ อาห; ปชาปติยา วนทนกาเลปิ ตสสา ตเถว วตวา ปุตตสส วนทาปนกาเล ตุณหี อโหสิ. โส ปุริมนเยเนว สตถาร ปุจฉิ. สตถาปิสส ตเถว พยากาสิ. โส กิร พราหมโณ สพพ ตุ าณ อปปฏิวิชฌิตวา อตตโน มนต สพพ ตุ าเณน สสนเทสิ, ปฏิพาหนุปาย ปน น ชานาติ. พราหมโณ สตถาร ปุจฉิ “ อตถิ ปน ภนเต ปฏิพาหนุปาโยติ. “ภเวยย พราหมณาติ. “ กึ ภเวยยาต.ิ “สเจ ตว อตตโน เคหทวาเร มณฑปํ กตวา ตสส มชเฌ ปี ก กาเรตวา ต ปริกขิปนโต อฏฺ วา โสฬส วา อาสนานิ ป าเปตวา เตสุ มม สาวเก นสิ ีทาเปตวา สตตาห นิรนตร ปรติ ต กาเรตุ สกกุเณยยาสิ, เอวมสส อนตราโย วินสเสยยาติ. “โภ โคตมมยา มณฑปาทีนิ สกกา กาตุ, ตุมหาก ปน สาวเก กถ ลจฉามีต.ิ “ตยา เอตตเก กเต, อห มม สาวเก ปหิณิสสามีติ. “สาธุ โภ โคตมาติ โส อตตโน เคหทวาเร สพพนต กิจจ นิฏฺ าเปตวา สตถุ สนติก อคมาส.ิ ๔ ข. ให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แลว้ ขดี เสน้ ใต้คาศัพทท์ ม่ี ีพยัญชนะนคิ คิหติ ( ) โส (สิริคุตโต) ตสมึ ทวินน เคหาน อนตเร อุภโต ทีฆ อาวาฏ ขนาเปตวา คูถกลลสส ปูราเปสิ, พหิอาวาเฏ ทวีสุ ปริยนเตสุ ขานุเก โก ฏฺ ฏาเปตวา เตสุ รชชุโย พนธาเปตวา อาสนาน อุปริมปาเท อาวาฏสส ปุริมปสเส ปาเปตวา ปจฉิมปาเท รชชุเกสุ ปาเปสิ “เอว นิสินนกาเลเยว อวสิรา ปติสสนตีติ ม มาโน, ยถา อาวาโฏ น ป ายติ; เอว อาสนาน อุปริ ปจจตถรณานิ ทาเปสิ, มหนตมหนตา จาฏิโย โธวาเปตวา กทลิปณเณหิ จ ปิโลติ กาหิ จ มุขานิ พนธาเปตวา ตา ตุจฉาเอว เคหสส ปจฉาภาเค พหิยาคุภตตสิตถสปปิผาณิตปูว- จุณณมกขิตา กตวา ปาเปสิ. ครหทินโน ปาโตว ตสส ฆร เวเคน คนตวา “อยยาน สกกาโร สชชิโตติ ปจุ ฉ.ิ “ อาม สมม สชชโิ ตติ. “กห ปเนโสต.ิ “เอตาสุ เอตตกาสุ จาฏึสุ ยาคุ, เอตตกาสุ ภตต, เอตตกาสุ สปปิผาณิตปูวาทีนิ, อาสนานิ ป ตตานีติ. โส “สาธูติ วตวา คโต. ตสส คต- กาเล ป จสตา นคิ คณ า อาคมสึ .ุ ๕ ค. ใหอ้ า่ นข้อความต่อไปน้ี แล้วขดี เส้นใต้คาศพั ทท์ ม่ี พี ยัญชนะสังโยค วรรค ต (โส จุนทสูกริโก) ฉาตกกาเล สกเฏน วีหี อาทาย ชนปท คนตวา เอกนาฬิทวินาฬิ- มตเตน คามสูกรโปตเก กีณิตวา สกฏ ปูเรตวา อาคนตวา ปจฉานิเวสเน วช วิย เอกฏฺ าน ๔ ธ.อ. ๔/๑๑๔ – ๑๑๕. ๕ ธ.อ. ๓/๙๑ – ๙๒.
๓๘ ปริกขปิ ติ วา ตตเถว เตส นวิ าปํ โรเปตวา, เตสุ นานาคจเฉ จ สรีรวล ช จ ขาทิตวา วฑฒเิ ตสุ, ย ย มาเรตุกาโม โหติ, ต ต อาฬาหเน นิจจล พนธิตวา สรีรมสสส อุทธุมายิตวา พหลภาวตถ จตุรสสมุคคเรน โปเถตวา “พหลมโส ชาโตติ ตวา มุข วิวริตวา ทนตนตเร ทณฑก ทตวา โล หนาฬิยา ปกกฏุ ฺฐิต อุณโหทก มเุ ข อาสิ จติ. ต กจุ ฉิย ปวิสิตวา ปกกุฏฺ ฐติ กรีส อาทาย อโธภา เคน นิกขมิตวา, ยาว โถก กรีส อตถิ, ตาว อาวิล หุตวา นิกขมติ, สุทเธ อุทเร, อจฉ อนาวิล นกิ ขมติ. อถสส อวเสส อุทก ปิฏฺ ฐิย อาสิ จติ. ต กาฬจมม อปุ ปาเตตวา คจฉต.ิ ตโต ติณุกกาย โลมานิ ฌาเปตวา ติณเหน อสินา สีส ฉินทติ. ปคฆรนต โลหิต ภาชเนน ปฏิคคเหตวา มส โลหิเตน มททิตวา ปจติ วา ปตุ ตทารมชเฌ นสิ ินโน ขาทิตวา เสส วกิ กีณาติ.๖ ๖ ธ.อ. ๑/๑๑๖ – ๑๑๗.
๓๙ เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ ๒ จตุรังคพล, มหาอามาตย์ (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระพทุ ธปั ปิยะ. ปทรูปสทิ ธิ . กรงุ เทพฯ: เฉลมิ ชาญการพมิ พ,์ ๒๕๒๖. พระมหานยิ ม อตุ ตโม. บันทึกบทเรยี นบาลีไวยากรณ.์ ขอนแกน่ : คลังนานาวิทยา, ๒๕๒๓. พระมหาเวทย์ วรัญญ. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ สมัญญาภิธาน-สนธิ. (พิมพ์คร้ังที่ ๑). นครปฐม: สถาบันพฒั นาการสาธารณสขุ อาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๑. พระราชปริยัติโมลี. (สมศักดิ์ อุปสโม). ปทรูปสิทธิแปลโดยพยัญชนะ. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักด์ิ อุปสโม). กจจายนสงเขป,ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. พระอมราภิรักขิต. อธิบายบาลไี วยากรณ์ สมัญญาภิธาน และสนธิ. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑๔. กรุงเทพฯ: มหาม กุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๘. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๘. สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศัยมูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
บทที่ สนธิ ๓ Union วัตถุประสงค์ประจาบทท่ี ๓ เม่อื ศึกษาบทท่ี ๓ จบแลว้ นักศึกษา/ผู้ทสี่ นใจศกึ ษา สามารถ ๑. บอกความหมายของสนธไิ ด้ ๒. จาแนกประเภทของสนธไิ ด้ ๓. อธบิ ายวธิ ีทาสนธไิ ด้ ๔. อธิบายสระสนธิ พยญั ชนะสนธิ และ นิคคหิตสนธไิ ด้ ๕. วเิ คราะห์สระสนธิ พยญั ชนะสนธิ และ นิคคหิตสนธิได้ ๓.๑ ความนา ในภาษาบาลี มีการตอ่ ตวั อกั ษรให้เน่ืองกนั ด้วยอักษร ซึ่งเรียกวา่ “สนธิ” สนธใิ นภาษาบาลีมี ๓ อย่าง คือ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคคหิตสนธิ โดยมีวิธีทาสนธิ ๘ อย่าง คือ การลบ (โลป) การ แปลง (อาเทส) การลงอักษร (อาคม) การทาให้ผิดไปจากเดิม (วิการ) การคงท่ี (ปกติ) การทาให้ยาว (ทีฆ) การทาให้สัน้ (รสสฺ ) และการซอ้ นตวั อกั ษร (สญฺโ ค) ดงั นน้ั ในบทนี้ จะนาเสนอเนื้อหาสาระสาคัญ เกี่ยวกบั สนธิในภาษาบาลี ๖ ประเดน็ ได้แก่ ๑) ความหมายของสนธิ ๒) ประเภทของสนธิ ๓) วธิ ีทาสนธิ ๔) สระสนธิ ๕) พยัญชนะสนธิ และ ๖) นิคคหิตสนธิ โดยมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้ ๓.๒ ความหมายของสนธิ สนธิ หมายถึง การต่ออักษรใหเ้ นอ่ื งกนั ด้วยอกั ษร โดยย่ออักษรให้น้อยลง เพ่ือประโยชน์ในการ แตง่ ฉนั ท์ และทาคาพูดใหส้ ละสลวย
๔๑ ๓.๓ ประเภทของสนธิ สนธิ ในภาษาบาลี มี ๓ อย่าง ดังนี้ ๓.๓.๑ สระสนธิ ทาสนธโิ ดยการเชอื่ มด้วยสระ ๓.๓.๒ พยญั ชนะสนธิ ทาสนธโิ ดยการเชื่อมด้วยพยัญชนะ ๓.๓.๓ นคิ คหติ สนธิ ทาสนธิโดยการเช่อื มด้วยนคิ คหติ จากสนธิ ท้ัง ๓ อย่างน้ี สระสนธิมวี ิธที าสนธิ ๗ อยา่ ง พยัญชนะสนธิมีวิธีทาสนธิ ๕ อย่าง และ นิคคหติ สนธิมีวธิ ีทาสนธิ ๔ อย่าง โดยมีรายละเอยี ดจะไดอ้ ธบิ ายต่อไป ๓.๔ วิธีทาสนธิ วิธที าสนธิ ในภาษาบาลี เรยี กว่า สนธกิ ริ ิโยปกรณ์ มี ๘ อยา่ ง ดงั น้ี ๓.๔.๑ การลบ (โลป) ๓.๔.๒ การแปลง (อาเทส) ๓.๔.๓ การลงอกั ษร (อาคม) ๓.๔.๔ การทาให้ผิดไปจากเดิม (วกิ าร) ๓.๔.๕ การคงท่ี (ปกต)ิ ๓.๔.๖ การทาให้ยาว (ทฆี ) ๓.๔.๗ การทาให้ส้ัน (รสสฺ ) ๓.๔.๘ การซอ้ นตวั อักษร (ส โฺ ค) หมายเหตุ: คาย่อเพื่อจางา่ ย คอื โล, อา, อา, ว,ิ ป, ที, ร, ส ๓.๕ สระสนธิ ในสระสนธิ มวี ธิ ที าสนธิ ๗ อย่าง ดงั นี้ ๓.๕.๑ การลบ (โลป) เม่ือสระหน้าเป็นเสียงสั้น (รัสสสระ) ไม่มีพยัญชนะคั่นในระหวา่ ง ให้ลบ ได้ตัวหน่ึง ถ้ามีพยัญชนะค่นั ในระหว่าง ลบไม่ได้ อาจแบ่งการลบได้ ๒ อย่าง คือลบสระหน้าและลบสระ หลงั โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้ ๑) ลบสระหน้า มีหลกั เกณฑ์ในการลบ ดังนี้ (๑) ถ้าสระหน้าเป็นสระเสยี งสั้น สระหลงั มีพยญั ชนะสังโยค หรือเป็นสระเสยี งยาว ให้ ลบสระหนา้ เชน่
๔๒ ยสสฺ + อินฺทฺรยิ านิ เปน็ ยสฺสนิ ฺทรฺ ิยานิ (ลบสระหน้า คือ อ ในทส่ี ุดแห่งศพั ท์ ยสสฺ ) โนหิ + เอต เปน็ โนเหต (ลบสระหน้า คอื อิ ในท่ีสดุ แหง่ ศัพท์ โนห)ิ สเมตุ + อายสฺมา เปน็ สเมตายสมฺ า (ลบสระหนา้ คือ อุ ในท่ีสดุ แห่งศัพท์ สเมตุ) (๒) ถ้าสระทั้ง ๒ เปน็ สระเสียงสั้นและมีรูปเหมือนกัน คือ เป็น อ อิ หรอื อุ ท้งั ๒ ตวั ใหล้ บสระหน้า และทีฆสระหลงั เช่น ตฺตร + อย เปน็ ตตฺราย (ลบสระหน้า คือ อ ในที่สุดแห่งศัพท์ ตตฺร ทีฆะสระหลัง คือ ทา อ แห่งศัพท์ อย ให้ เป็น อา) (๓) ถ้าสระท้ัง ๒ เปน็ สระเสยี งสั้นมีรปู ไมเ่ หมือนกนั และสระหลังไม่มีพยญั ชนะสังโยค ใหล้ บสระหน้า ไม่ต้องทีฆะสระหลัง เชน่ จตหู ิ + อปาเยหิ เปน็ จตหู ปาเยหิ (ลบสระหนา้ คือ อิ ในที่สุดแห่งศพั ท์ จตูหิ ไม่ทฆี ะสระหลัง คือ อ แห่งศัพท์ อปาเยหิ) (๔) ถ้าสระหน้าเป็นสระเสียงยาว สระหลังเป็นสระเสียงส้ัน ไม่มีพยัญชนะสังโยค ใหล้ บสระหน้า ทฆี ะสระหลัง เชน่ สทฺธา + อธิ เปน็ สทธฺ ีธ (ลบสระหนา้ คอื อา ในทีส่ ุดแหง่ ศพั ท์ สทธฺ า ทีฆะสระหลงั คือ อิ แห่งศัพท์ อิธ เป็น อ)ี ๒) ลบสระหลัง มีหลักเกณฑ์ในการลบ ดงั น้ี (๑) ถ้าสระท้งั ๒ มีรูปไมเ่ สมอกัน ให้ลบสระหลงั ได้ เชน่ จตฺตาโร + อเิ ม เปน็ จตตฺ าโรเม (ลบสระหลงั คอื อิ แหง่ ศพั ท์ อิเม)
๔๓ กนิ ฺนุ + อิมา เปน็ กินฺนุมา (ลบสระหลัง คอื อิ แห่งศัพท์ อมิ า) (๒) ถ้านิคคหิตอยู่หนา้ ใหล้ บสระหลังได้ เช่น อภินนฺทุ + อิติ เป็น อภนิ นทฺ นุ ฺติ (ลบสระหลงั คือ อิ แหง่ ศัพท์ อติ ิ) ๓.๕.๒ การแปลง (อาเทส) คอื แปลงสระใหเ้ ปน็ พยัญชนะ ๑) แปลงสระหนา้ มหี ลักเกณฑ์ในการแปลง ดงั นี้ ถา้ สระ อิ เอ และ โอ อยู่หน้า มีสระอย่หู ลัง ให้แปลงสระ อิ และ เอ เป็น ย, แปลง โอ เป็น ว, และถา้ พยญั ชนะมีรปู เสมอกนั ซ้อนกนั อยู่ ๒ ตัว ให้ลบเสยี ตวั หนึ่ง เชน่ ปฏสิ ณฺ ารวตุ ตฺ ิ + อสสฺ เป็น ปฏิสณฺ ารวตุ ยฺ สฺส (แปลงสระ อิ ในที่สดุ แห่งศัพท์ ปฏิสณฺ ารวุตฺติ เป็น ย และ ลบ ต ซึ่งซ้อนกนั อยู่ เสียตัวหนงึ่ ) เต + อสฺส เป็น ตยฺ สฺส (แปลง เอ แหง่ ศัพท์ เต เปน็ ย) อถโข + อสสฺ เป็น อถขฺวสฺส (แปลง โอ แหง่ ศัพท์ อถโข เป็น ว) ๒) แปลงสระหลัง มเี กณฑใ์ นการแปลง ดงั นี้ ถา้ สระอยู่หนา้ และมี เอว ศัพท์อยู่หลัง ให้แปลง เอ แหง่ เอว ศัพท์ เปน็ ริ แล้ว รสั สะสระหนา้ ให้สน้ั เช่น ยถา + เอว เปน็ ยถริว (แปลง เอ แห่ง เอว ศัพท์ เป็น ริ และรสั สะสระหน้า คือ อา แห่ง ยถา ศัพท์ เป็น อ) ๓.๕.๓ การลงสระ (อาคม) มหี ลักเกณฑใ์ นการลงสระ ดังนี้ ๑) ถ้าสระอยูห่ น้า พยัญชนะอยู่หลัง ให้ลบสระ โอ แล้วลง อ อาคม เช่น โส + สลี วา เปน็ สสลี วา (ลบสระ โอ แห่งศัพท์ โส แล้วลง อ อาคมที่ ส)
๔๔ เอโส + ธมฺโม เป็น เอสธมโฺ ม (ลบสระ โอ แหง่ ศัพท์ เอโส แล้วลง อ อาคม ในท่สี ดุ แหง่ ศัพท์ เอส) ๒) ถา้ พยัญชนะอยู่หลัง ลง โอ อาคม ไดบ้ ้าง เชน่ ปร + สหสสฺ เป็น ปโรสหสสฺ (ลง โอ อาคม ในศัพท์ ปร) สรท + สต เป็น สรโทสต (ลง โอ อาคม ในศัพท์ สรท) ๓.๕.๔ การทาให้ผิดไปจากเดิม (วิการ) โดยการทาสระหน้าและสระหลัง ให้เป็นอีกสระหน่ึง ดงั น้ี ๑) การทาสระหน้าให้เป็นอีกสระหน่ึง มีหลักเกณฑ์คือ เม่ือลบสระหลังแล้ว ให้ทาสระ หนา้ คอื ทา อิ เปน็ เอ, อุ เปน็ โอ เช่น มุนิ + อาลโย เปน็ มเุ นลโย (ทาสระหน้า คือ อิ แห่งศัพท์ มุนิ เปน็ เอ) สุ + อตฺถิ เป็น โสตถฺ ิ (ทาสระหนา้ คือ อุ แห่งศัพท์ สุ เป็น โอ) ๒) การทาสระหลังให้เป็นอีกสระหนึ่ง มีหลักเกณฑ์คือ เม่ือลบสระหน้าแล้ว ให้ทาสระ หลงั คอื ทา อิ เป็น เอ, อุ เป็น โอ เชน่ พทุ ธฺ สฺส + อิว เปน็ พุทธฺ สฺเสว (ทาสระหลงั คือ อิ แห่งศพั ท์ อวิ เปน็ เอ) น + อเุ ปติ เปน็ โนเปติ (ทาสระหลัง คือ อุ แห่งศพั ท์ อเุ ปติ เปน็ โอ) ๓.๕.๕ การคงท่ี (ปกติ) คือ การคงท่ีท้ังสระหน้าและสระหลังไว้เป็นปกติ คือคงเดิม ไม่ เปลยี่ นแปลง ทงั้ ๆ ทม่ี สี ระหนา้ และสระหลังเรยี งกันอยูแ่ ละควรจะทาเปน็ สนธอิ ย่างใดอยา่ งหนึ่งได้ เชน่ โก + อิม เป็น โกอิม (คงสระ โอ แห่งศพั ท์ โก และ คงสระ อิ แห่งศัพท์ อิม ไว)้
๔๕ ๓.๕.๖ การทาให้ยาว (ทีฆ) โดยการทาสระหนา้ และสระหลงั ให้ยาว ดังน้ี ๑) การทาสระหน้าให้ยาว (ทีฆะสระหน้า) มีหลักเกณฑ์ คือ เม่ือลบสระหลังแล้ว ทา สระหน้าให้ยาวไดบ้ า้ ง เช่น กึสุ + อธิ เป็น กสึ ูธ (ทาสระหน้า คือ อุ แห่งศพั ท์ กสึ ุ เป็น อ)ู ๒) การทาสระหลังให้ยาว (ทีฆะสระหลงั ) มีหลักเกณฑ์คือ เมื่อลบสระหน้าแล้ว ทาสระ หลังให้ยาวไดบ้ ้าง เชน่ สทธฺ า + อธิ เปน็ สทฺธธี (ทาสระหลัง คือ อิ แหง่ ศัพท์ อธิ เป็น อ)ี ๓.๕.๗ การทาให้สั้น (รสฺส) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ถ้าพยญั ชนะ หรือ สระ เอ แห่ง เอว ศัพท์ อยูห่ ลัง ใหท้ าสระหนา้ ให้มีเสยี งส้นั (รัสสะ สระหน้า) เชน่ โภวาที + นาม เปน็ โภวาทนิ าม (ทาสระหนา้ คือ อี แห่ง โภวาที ศัพท์ เป็น อ)ิ ยถา + เอว เปน็ ยถรวิ (ทาสระหน้า คือ อา แห่งศพั ท์ ยถา เป็น อ) ๓.๖ พยัญชนะสนธิ ในพยัญชนะสนธิ มีวิธที าสนธิ ๕ อยา่ ง ดงั นี้ ๓.๖.๑ การลบ (โลป) มหี ลักเกณฑใ์ นการลบ ดงั นี้ เม่ือลบสระหลงั ทีม่ นี คิ คหติ อยหู่ นา้ แล้ว ถ้ามีพยญั ชนะทมี่ ีรปู เสมอกนั ซ้อนกันอยู่ ๒ ตัว ให้ลบเสยี ตวั หนึ่ง เช่น เอว + อสฺส สนธเิ ปน็ เอวส (ลบสระหลัง คอื อ แห่งศัพท์ อสสฺ และ ลบพยัญชนะ คอื สฺ แห่ง อสสฺ ศัพท์ ซึ่งมีรูป ซ้อนกันอยู่ ออก ๑ ตวั )
๔๖ ๓.๖.๒ การแปลง (อาเทส) มหี ลักเกณฑ์ในการแปลง ดงั นี้ ๑) ถ้าสระอยู่หลงั แปลง ติ เป็น ตฺย แลว้ แปลงใหเ้ ป็น จฺจ เชน่ อิติ + เอว สนธิเป็น อจิ ฺเจว (แปลง ติ แห่งศัพท์ อติ ิ เป็น ตยฺ แล้วแปลงเป็น จจฺ ) แปลง อภิ เปน็ อพภฺ เชน่ อภิ + อคุ คฺ จฺฉิ สนธิเป็น อพฺภคุ ฺคจฺฉิ แปลง อธิ เปน็ อชฌฺ เชน่ อธิ + โอกาโส สนธเิ ป็น อชโฺ ฌกาโส อธิ + อคมา สนธิเป็น อชฺฌคมา ๒) ถา้ เอก อยู่หนา้ ให้แปลง ธ เปน็ ท เช่น เอก + อิธ + อห เป็น เอกมิทาห ๓) ถ้าพยัญชนะอยหู่ ลัง ให้แปลง อว เป็น โอ เช่น อว + นทฺธา เป็น โอนทฺธา ๔) ถ้าไม่มีสระหรือพยัญชนะหลงั ให้แปลง ดงั นี้ (๑) แปลง ธ เปน็ ห เช่น สาธทุ สฺสน เป็น สาหุทสสฺ น (๒) แปลง ท เป็น ต เชน่ สุคโท เปน็ สคุ โต (๓) แปลง ต เป็น ฏ เช่น ทกุ กฺ ต เปน็ ทุกกฺ ฏ (๔) แปลง ต เปน็ ธ เชน่ คนฺตพฺโพ เปน็ คนธฺ พฺโพ (๕) แปลง ต เป็น ร เชน่ อตตฺ โช เปน็ อตฺรโช (๖) แปลง ต เปน็ ก เช่น นิยโต เปน็ นิยโก (๗) แปลง ต เป็น จ เชน่ ภโต เปน็ ภจโฺ จ (๘) แปลง ค เป็น ก เชน่ กลุ ุปโค เปน็ กลุ ุปโก (๙) แปลง ร เป็น ล เชน่ มหาสาโร เปน็ มหาสาโล (๑๐) แปลง ย เปน็ ช เช่น ควโย เปน็ ควโช (๑๑) แปลง ย เป็น ก เชน่ สย เปน็ สก (๑๒) แปลง ว เปน็ พ เชน่ กวุ โต เปน็ กพุ ฺพโต
๔๗ (๑๓) แปลง ช เป็น ย เช่น นิช เปน็ นยิ (๑๔) แปลง ป เปน็ ผ เชน่ นิปฺปตตฺ ิ เปน็ นปิ ผฺ ตฺติ ๓.๖.๓ การลงพยัญชนะ (อาคม) พยัญชนะอาคมที่นิยมลงมี ๘ ตัว คือ ย, ว, ม, ท, น, ต, ร, ฬ (รวมพยัญชนะเพื่อจาง่าย = ยวม-ทน-ตรฬ (อ่านว่า ยวม-ทน-ตะ-รน)) มีหลักเกณฑ์การลงพยัญชนะ อาคมในกรณีทมี่ สี ระอยู่หลัง ดงั นี้ ๑) ลง ย อาคม เชน่ ยถา + อิท เปน็ ยถยิท ๒) ลง ว อาคม เชน่ อุทิกฺขติ เป็น วุทกิ ขฺ ติ ๓) ลง ม อาคม เช่น ครุ + เอสสฺ ติ เปน็ ครเุ มสฺสติ ๔) ลง ท อาคม เช่น อตฺต + อตฺโถ เป็น อตฺตทตโฺ ถ ๕) ลง น อาคม เชน่ อิโต + อายติ เป็น อิโตนายติ ๖) ลง ต อาคม เชน่ ตสฺมา + อิห เปน็ ตสฺมาติห ๗) ลง ร อาคม เชน่ สพภฺ ิ + เอว เป็น สพฺภเิ รว ๘) ลง ฬ อาคม เช่น ฉ + อายตน เปน็ ฉฬายตน ๓.๖.๔ การคงท่ี (ปกติ) คือ การคงท่ีพยัญชนะไว้ โดยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการลบ การแปลง การลงอาคมหรอื การซ้อนพยญั ชนะแต่อย่างใด คงรูปไวต้ ามปกตหิ รอื ตามเดิม เชน่ สาธุ เป็น สาธุ (ไมแ่ ปลงพยญั ชนะคือ ธ แห่งศพั ท์ สาธุ เป็น ห) ๓.๖.๕ การซอ้ นพยญั ชนะ (ส โฺ ค) มีหลกั เกณฑ์ในการซอ้ นพยัญชนะ ดังน้ี ๑) ซอ้ นพยัญชนะท่มี ีรูปเหมือนกนั เช่น อธิ + ปโมทติ เปน็ อธิ ปปฺ โมทติ (ซ้อน ปฺ ซง่ึ เปน็ พยญั ชนะท่ีเหมือนกับ ป) ๒) ซ้อนพยัญชนะท่มี ีรปู ไม่เหมือนกนั เช่น จตฺตาริ + านานิ เปน็ จตตฺ าริฏฺ านานิ (ซ้อน ฏฺ ซ่ึงเป็นพยัญชนะที่มีรูปไม่เหมือนกบั ตามหลกั การซอ้ นพยัญชนะสังโยคใน สมญั ญาภธิ าน)
๔๘ ๓.๗ นคิ คหติ สนธิ ในนิคคหติ สนธิ มีวิธีทาสนธิ ๔ อยา่ ง ดงั นี้ ๓.๗.๑ การลบ (โลป) มีหลักเกณฑ์ในการลบ ดังน้ี เมื่อมีสระหรอื พยญั ชนะอยู่หลัง ให้ลบนคิ คหติ ท่ีอยหู่ นา้ เช่น ตาส + อห เปน็ ตาสาห (ลบนิคคหิต คือ แห่งศัพท์ ตาส) อรยิ สจจฺ าน + ทสฺสน เปน็ อริยสจฺจานทสสฺ น (ลบนคิ คหิต คือ แห่งศัพท์ อริยสจฺจาน) ๓.๗.๒ การแปลง (อาเทส) คอื การแปลงนิคคหิตเป็นพยัญชนะ มหี ลักเกณฑ์ในการแปลง ดังน้ี ๑) เมอ่ื มีพยญั ชนะวรรคอยูห่ ลงั นิคคหติ อยูห่ น้า ให้แปลง นคิ คหิต เป็น พยญั ชนะท่สี ดุ วรรค (คอื ง, , ณ, น, ม) เชน่ เอว +โข เป็น เอวงโฺ ข (แปลงนคิ คหิต แหง่ ศัพท์ เอว เป็น งฺ) ธมฺม + จเร เป็น ธมฺม ฺจเร (แปลงนคิ คหิตแหง่ ศัพท์ ธมฺม เปน็ ฺ) ๒) ถา้ เอ และ ห อยูห่ ลงั ให้แปลงนิคคหิต เปน็ เชน่ ปจจฺ ตตฺ + เอว เป็น ปจจฺ ตตฺ ฺเ ว (แปลงนิคคหิตแหง่ ศัพท์ ปจฺจตตฺ เป็น ฺ) ๓) ถา้ ย อยู่หลงั ใหแ้ ปลงนิคคหติ กบั ย เป็น ฺ เชน่ ส + โยโค เป็น ส โฺ โค (แปลงนคิ คหิตแหง่ ศัพท์ ส และ ย แห่งศัพท์ โยโค เป็น ฺ )
๔๙ ๔) ถา้ สระอยูห่ ลงั ให้แปลงนิคคหติ เป็น ม และ ท เช่น ต + อห เป็น ตมห (แปลงนคิ คหิต แห่งศัพท์ ต เปน็ ม) เอต + อโวจ เปน็ เอตทโวจ (แปลงนคิ คหิต แหง่ ศัพท์ เอต เปน็ ท) ๕) ถ้า ล อยหู่ ลัง ใหแ้ ปลงนิคคหติ เปน็ ล เช่น ปุ + ลงิ คฺ เป็น ปุลฺลิงฺค (แปลงนิคคหิตแหง่ ศัพท์ ปุ เป็น ลฺ) ส + ลกฺขณา เปน็ สลฺลกฺขณา (แปลงนิคคหิตแห่งศัพท์ ส เป็น ล)ฺ ๓.๗.๓ การลงนิคคหิต (อาคม) มหี ลักเกณฑใ์ นการลงนิคคหติ ดงั นี้ เมอ่ื สระหรือพยัญชนะอยู่หลงั ให้ลงนคิ คหิตอาคมได้ เช่น จกฺขุ + อทุ ปาทิ เปน็ จกฺขํอุ ทุ ปาทิ (ลงนคิ คหิตอาคมในศัพท์ จกฺขุ) อว + สโิ ร เป็น อวสโิ ร (ลงนคิ คหิตอาคม ในศัพท์ อว) ๓.๗.๔ การคงที่ (ปกติ) คือ การคงท่นี ิคคหติ ไว้ โดยไม่เปล่ียนแปลง ไม่มีการลบ การแปลง หรอื การลงอาคม แต่อยา่ งใด คงรูปไว้ตามปกติหรอื ตามเดิม เชน่ ธมฺม + จเร เป็น ธมฺมจเร (ไมแ่ ปลงนคิ คหติ แหง่ ศัพท์ ธมฺม เป็น ฺ )
๕๐ ๓.๘ สรปุ ท้ายบท สนธิ คือ การต่ออักษรให้เนื่องกันด้วยอักษรโดยย่ออักษรให้น้อยลงเพ่ือประโยชน์ในการแต่ง ฉนั ทแ์ ละทาคาพูดให้สละสลวย สนธมิ ี ๓ อย่าง คือ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคคหิตสนธิ มีวธิ ีทา ๘ อย่าง คือ การลบ (โลป) การแปลง (อาเทส) การลงอักษร (อาคม) การทาให้ผิดไปจากเดิม (วิการ) การคงท่ี (ปกติ) การทาให้ยาว (ทีฆ) การทาให้ส้ัน (รสฺส) และการซ้อนตัว (ส โฺ ค) ในสระสนธิมีวิธีทา สนธิ ๗ อยา่ ง คือ การลบ (โลป) การแปลง (อาเทส) การลงสระ (อาคม) การทาสระหน่งึ ให้เป็นอีกสระ หนึ่ง (วิการ) การคงท่ี (ปกติ) การทาสระส้ันให้เป็นสระยาว (ทีฆ) และการทาสระยาวให้เป็นสระส้ัน (รสฺส) ในพยัญชนะสนธิมีวิธีทาสนธิ ๕ อย่าง คือ การลบ (โลป) การแปลง (อาเทส) การลงพยัญชนะ (อาคม) การคงท่ี (ปกติ) และการซ้อนพยัญชนะ (ส ฺโ ค) ส่วนในนิคคหิตสนธิ มีวิธีทาสนธิ ๔ อย่าง คือ การลบ (โลป) การแปลง (อาเทส) การลงนิคคหติ (อาคม) และการคงที่ (ปกติ)
๕๑ แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี ๓ แบบฝึกหัดท่ี ๓.๑ ใหเ้ ลอื กคาตอบทถ่ี กู ที่สดุ เพียงขอ้ เดียว ๑. สนธิ คอื อะไร ข. การต่อสระดว้ ยพยัญชนะ ก. การต่ออักษรดว้ ยอักษร ง. การต่อพยัญชนะดว้ ยพยัญชนะ ค. การต่อสระดว้ ยสระ ๒. สนธใิ นภาษาบาลี จดั แบ่งเปน็ ก่อี ย่าง ข. ๓ อย่าง ก. ๒ อย่าง ง. ๕ อยา่ ง ค. ๔ อยา่ ง ๓. วธิ ีทาสนธิ (สนธิกริ โิ ยปกรณ)์ มีกีอ่ ย่าง ข. ๔ อยา่ ง ก. ๒ อยา่ ง ง. ๘ อย่าง ค. ๖ อยา่ ง ๔. วธิ ที าสนธิทเ่ี รยี กว่า “วกิ าโร” คือการทาในข้อใด ก. การลบ ข. การแปลง ค. การลงอกั ษรใหม่ ง. การทาใหผ้ ดิ ไปจากเดมิ ๕. “สเมตายสฺมา” เป็นสนธอิ ะไร ข. พยัญชนะสนธิ ก. สระสนธิ ง. ถกู ตอ้ งทกุ ข้อ ค. นิคคหิตสนธิ ๖. “อิจเฺ จว” เปน็ พยญั ชนะสนธิ แยกศัพท์อยา่ งไร ก. อิติ - เอว ข. อจิ ฺจ - เอว ค. อจิ ฺ - เจว ง. อิจเฺ จ - ว ๗. ข้อใดไมใ่ ช่วธิ ีการทาสนธใิ นสระสนธิ ก. การลบ ข. การซ้อนตัว ค. การแปลง ง. การลงตวั อกั ษรใหม่ ๘. “จตูหปาเยหิ” แยกศพั ท์อย่างไร ข. จตู - หปาเยหิ ก. จตหู - ปาเยหิ ง. จตูหป - อเยหิ ค. จตูหิ - อปาเยหิ
๕๒ ๙. ขอ้ ใดไม่ใช่วธิ ีการทาสนธิในนิคคหิตสนธิ ข. การแปลง (อาเทส) ก. การลบ (โลป) ง. การทาให้สั้น (รัสส) ค. การลงอกั ษร (อาคม) ข. วิทนู คฺ - ค ๑๐. “วิทูนคคฺ ” แยกศัพทอ์ ย่างไร ง. วิทู - นคคฺ ก. วทิ ูน - อคฺค ค. วทิ ูน - อคฺค ข. อริยสจจฺ าน - ทสฺสน ง. อรยิ สจฺจาน - ทสสฺ น ๑๑. “อรยิ สจฺจานทสสฺ น” แยกศัพท์อยา่ งไร ก. อริยสจฺ - จานทสสฺ น ข. การทาใหย้ าว (ทีฆ) ค. อรยิ - สจฺจานทสสฺ น ง. การลบ (โลป) ๑๒. ขอ้ ใดเปน็ วธิ กี ารทาสนธใิ นพยัญชนะสนธิ ข. เอว - อสฺส ก. การทาใหผ้ ิดไปจากของเดิม (วิการ) ง. เอว - อส ค. การทาให้ส้ัน (รสั ส) ข. อคฺ - ยาคาร ๑๓. “เอวส” แยกศัพท์อยา่ งไร ง. อคยฺ - อคาร ก. เอ - วส ค. เอว - ส ข. พยญั ชนะสนธิ ง. ขอ้ ข และ ค ถูก ๑๔. “อคยฺ าคาร” แยกศพั ท์อยา่ งไร ก. อคยฺ า - คาร ข. ธมมฺ - จเร = ธมฺมฺจฺ เร ค. อคฺคิ - อคาร ง. จิร - ปวาสึ = จริ ฺฺปวาสึ ๑๕. “สทธฺ ีธ” เปน็ สนธอิ ะไร ข. มี ห อยู่เบ้ืองหลัง ก. สระสนธิ ง. ถกู ต้องทกุ ข้อ ค. นคิ คหิตสนธิ ๑๖. อาเทสนคิ คหติ สนธิ ในขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง ก. เอว - โข = เอวงโฺ ข ค. ส - ติ = สณฺ ติ ๑๗. แปลงนคิ คหติ เป็น ไดใ้ นกรณใี ด ก. มี เอ อยูเ่ บือ้ งหลงั ค. มี จ อยู่เบอื้ งหลัง
๕๓ ๑๘. ฬ อาคม ในคาว่า ฉ - อายตน คือข้อใดถูกต้อง ก. ฉฬายตน ข. ฉฬอายตน ค. ฉโฬยตน ง. ฉฬาอายตน ๑๙. ขอ้ ใดตดั ต่อไมถ่ ูกต้อง ข. อโิ ต – อายติ = อโิ ตนายติ ก. อภนิ นทฺ ุ – อิติ = อภนิ นทฺ ุนฺติ ง. อธิ – ปโมทติ = อธิ นฺปโมทติ ค. ต – นิพพฺ ุต = ตนฺนิพฺพุต ๒๐. ข้อใดเป็นนคิ คหิตอาคมสนธิ ข. เอต – อโวจ = เอตทโวจ ก. อว – สิโร = อวสิโร ง. เอก – อธิ + อห = เอกมทิ าห ค. อตฺต – อตฺโถ = อตตฺ ทตโฺ ถ
๕๔ แบบฝึกหดั ที่ ๓.๒ ก. ใหอ้ ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แล้วขีดเสน้ ใตค้ าศัพทท์ ีเ่ ป็น สระสนธิ สา (มาตา) ต กิจฺเฉน โปสยมานา, ต อาทาย คตทิวเส กิ ฺจิ อลภิตฺวา, เคเห กตฺวา สยเมว คตทิวเส ภตึ ลภติ. อถ น ปิณฺฑาย จริตฺวา ชีวิตุ สมตฺถกาเล สา กปาล หตฺเถ เปตฺวา “ ตาต มยา ต นสิ สฺ าย มหาทุกฺข ปตฺต. อิทานิ น สกโฺ กมิ ต โปเสตุ, อิมสมฺ ึ นคเร กปณทฺธกิ าทิน ปฏยิ ตตฺ ภตฺตาทีนิ อตฺถิ, ตตฺถ ภิกฺขาย จริตฺวา ชีวาหีติ ต วิสฺสชฺเชสิ.โส ฆรปฺปฏิปาฏิยา จรนฺโต อานฺนทเสฏฺ ฐิกาเลนิพฺพตฺตฏฺ าน คนฺตฺวา ชาติสฺสโร หุตฺวา อตฺตโน เคห ปาวิสิ. ตีสุ น ทฺวารโกฏฺ เกสุ น โกจิ สลฺลกฺเขสิ. จตุตฺถทฺวาร- โกฏฺ เก มูลสิริเสฏฺ ฐิโน ปุตฺตกา ทิสฺวา อุพฺพิคฺคหทยา ปโรทึสุ. อถ น เสฏฺ ฐิปุริสา“ นิกฺขม กาลกณฺณีติ โปเถนฺตา นีหริตฺวา สงฺการฏฺ าเน ขิปึสุ. สตฺถา อานนฺทตฺเถเรน ปจฺฉาสมเณน ปิณฺฑาย จรนฺโต ต าน ปตฺโต เถร โอโลเกตฺวา เตน ปุฏฺโ ต ปวตฺตึ อาจิกฺขิ. เถโร มลู สิรึ ปกโฺ กสาเปส.ิ มหาชนกาโย สนนฺ ปิ ต.ิ ๑ ข. ให้อา่ นขอ้ ความต่อไปนี้ แล้วขีดเส้นใต้คาศพั ท์ทีเ่ ปน็ พยัญชนะสนธิ ต สุตฺวา เสฏฺ ฐี ปสนฺนมานโส จินฺเตสิ “ อโห อิมินา ทุกฺกร กต, ‘อห ทุคฺคโตติ ตุณฺหีภาว อนาปชฺชิตฺวา ‘ภตึ กตฺวา เอก ภิกฺขุ โภเชสฺสามีติ วทตีติ. เสฏฺ ฐิภริยาปิ ตสฺส ภริย ทิสฺวา “ อมฺม กึ กมฺม กริสฺสสีติ ปุจฺฉิตฺวา, “ย ตุมฺเห กาเรถาติ วุตฺเต, อุทุกฺขลสาล ปเวเสตฺวา สุปฺปมุสลาทีนิ ทาเปสิ. สา นจฺจนฺตี วิย ตุฏฺ หฏฺ า วีหี โกฏฺ เฏติ เจว โอผุนาติ จ. อถ น เสฏฺ ฐิภริยา ปุจฺฉิ “ อมฺม อติวิย ตุฏฺ - หฏฺ า กมฺม กโรสิ, กินฺนุ โข การณนฺติ . “อยฺย อิม ภตึ กตฺวา มยปิ เอก ภิกฺขุ โภเชสฺสามาติ. ต สุตฺวา เสฏฺ ฐิภริยาปิ ตสฺส “อโห อย ทุกฺกรการิกาติ ปสีทิ. เสฏฺ มหาทุคฺคตสฺส ทารูน ผาลิตกาเล “ อยนฺเต ภตีติ สาลีน จตสฺโส นาฬิโย ทาเปตฺวา “อยนฺเต ตุฏฺ ฐิทาโยติ อปราปิ จตสฺโส นาฬิโย ทาเปสิ. โส เคห คนฺตฺวา ภริย อาห “มยา ภตึ กตฺวา สาลิ ลทฺโธ, อย นิวาโป ภวิสฺสติ, ตยา ลทฺธาย ภติยา ทธิเตลกฏุก- ภณฺฑานิ คณฺหาหีติ. เสฏฺ ฐิภริยา ปน ตสฺสา เอก สปฺปิกรณฺฑก เฺ จว ทธิภาชน ฺจ กฏุกภณฺฑ จฺ สุทฺธ- สาลติ ณฑฺ ลุ นาฬิ ฺจ ทาเปส.ิ อิติ อุภนิ ฺนปิ ป ฺจ ตณฺฑลุ นาฬโิ ย อเหสุ๒ ค. ใหอ้ ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แล้วขดี เสน้ ใต้คาศพั ทท์ ่ีเปน็ นคิ คหิตสนธิ วิฑูฑโภปิ “ มยฺห อยฺยโก อิทานิ อาคมิสฺสตีติ อาคมยมาโน ว นิสีทิ; ตสฺมึ อติจิรายนฺเต, สเร วิจินาเปตฺวา ทีปาโลเกน ปุริสพฺภนฺตรานิปิ โอโลเกตฺวา อทิสฺวา “ คโต ภวิสฺสตีติ ปกฺกามิ. โส รตฺติภาเค อจิรวตึ ปตฺวา ขนฺธาวาร นิเวเสสิ. เอกจฺเจ อนฺโตนทิย วาลิกาปุลิเน นิปชฺชึสุ, เอกจฺเจ พหิ ถเล, อนฺโต ๑ ธ.อ. ๓/๑๒๑ – ๑๒๒. ๒ ธ.อ.๔/๒๕ – ๒๕.
๕๕ นิปนฺเนสุปิ ปุพเฺ พ อกตปาปกมมฺ า อตถฺ ,ิ พหิ นปิ นเฺ นสปุ ิ ปุพฺเพ กตปาปกมฺมา อตฺถิ; เตส นิปนฺนฏฺ าเนสุ กิปิลฺลิกา อุฏฺ หึสุ. เต “ มยฺห นิปนฺนฏฺ าเน กิปิลฺลิกา, มยฺห นิปนฺนฏฺ าเน กิปิลฺลิกาติ อุฏฺ หิตฺวา, อกตปาปกมฺมา อุตฺตริตฺวา ถเล นิปชฺชึสุ, กตปาปกมฺมา โอตริตฺวา วาลิกาปุลิเน นิปชฺชึสุ, ตสฺมึ ขเณ มหาเมโฆ อุฏฺ หิตฺวา ฆนกรกวสฺส วสฺสิ. นทิยา โอโฆ อาคนฺตฺวา วิฑูฑภ สทฺธึ ปริสาย สมุทฺทเมว ปาเปสิ. สพฺเพ ตตฺถ มจฺฉกจฺฉปภกขฺ า อเหสุ. มหาชโน กถ สมุฏฺ าเปสิ “สากิยาน มรณ อยุตฺต เอวนฺนาม โกฏฺ เฏตฺวา โกฏฺ เฏตฺวา สากิยา มาเรตพฺพาติ อนุจฺฉวิกเมตนฺติ. สตฺถา ต กถ สุตฺวา “ภิกฺขเว อิมสฺมึ อตฺตภาเว กิ จฺ าปิ สากิยาน เอว อยุตฺต, ปุพฺเพ กตปาปกมฺมวเสน ปน ยุตฺตเมว เอเตหิ ลทฺธนฺติ อาห. “กึ ปน ภนฺเต เอเต ปุพฺเพ อกสูติ. “ปุพฺเพ เอกโต หุตฺวา นทิย วสิ ปกขฺ ิปสึ ูต.ิ ๓ ๓ ธ.อ. ๓/๒๓ - ๒๔.
๕๖ เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี ๓ จตุรังคพล, มหาอามาตย์ (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระพทุ ธัปปิยะ. ปทรปู สิทฺธ.ิ กรงุ เทพฯ: เฉลิมชาญการพมิ พ์, ๒๕๒๖. พระมหานยิ ม อุตฺตโม. บันทึกบทเรยี นบาลไี วยากรณ์. ขอนแก่น: คลงั นานาวิทยา, ๒๕๒๓. พระมหาเวทย์ วรัญญู. แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ สมัญญาภิธาน-สนธิ. (พิมพ์คร้ังที่ ๑). นครปฐม: สถาบนั พัฒนาการสาธารณสขุ อาเซียน มหาวิทยาลัยมหดิ ล, ๒๕๔๑ พระราชปริยัติโมลี (สมศักด์ิ อุปสโม). ปทรูปสิทธิแปลโดยพยัญชนะ. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๓๖. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป. ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. พระสัทธมั มสิริเถระ. สทั ทนีติสตุ ฺตมาลา. กรงุ เทพฯ: พิทกั ษ์อักษร, ๒๕๔๕. พระอมราภิรักขิต. อธบิ ายบาลไี วยากรณ์ สมัญญาภิธาน และสนธิ. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒. พระอคั ควงั สเถระ. คมั ภีร์สทั ทนตี ิปทมาลา. กรุงเทพฯ: พิทกั ษ์อักษร, ๒๕๔๕. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ อักขรวิธี ภาคที่ ๑ สมัญญา ภิธาน และสนธ.ิ กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มูลน้อยอาศัยมูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
บทท่ี นามศพั ท:์ นามนาม ๔ Noun words: Nouns วัตถุประสงค์ประจาบทท่ี ๔ เมือ่ ศึกษาบทที่ ๔ จบแลว้ นักศกึ ษา/ผู้ทสี่ นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของนามนามได้ ๒. จาแนกประเภทของนามนามได้ ๓. อธิบายเร่อื งลิงค์ได้ ๔. จาแนกประเภทของลิงค์ได้ ๕. อธิบายเรอื่ งวจนะและวิภตั ตไิ ด้ ๖. บอกจานวนของวภิ ตั ตินามได้ ๗. บอกคาแปลประจาวภิ ัตตติ า่ ง ๆ ได้ ๘. อธิบายเรอ่ื งการันต์ได้ ๙. แจกนามศัพท์ด้วยวภิ ตั ตินามได้ถูกต้อง ๔.๑ ความนา บรรดาสภาวธรรมท้ังหลายในโลก ท้ังท่ีมีวิญญาณ และไม่มีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สถานท่ี เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อยังไม่มีใครสมมติเรียกช่ือ หรือตั้งชื่ออย่างใดอย่างหน่ึง ก็เป็นสัก แต่ว่ามีอยู่เท่านั้น เรียกว่า “นาม” แปลว่า ช่ือ โดยมีความหมายว่า มีอาการน้อมไปในคาพูดของภาษา น้ัน ๆ ตามแต่จะสมมตขิ นึ้ สว่ นสาเนียงหรืออกั ษรทีใ่ ชแ้ ทนสาเนยี ง ซึ่งปรากฏเปน็ ถอ้ ยคาได้ เช่น ปรุ ิโส (บุรุษ) อิตฺถี (หญิง) เป็นต้น เรียกว่า “ศัพท์” แปลว่า เสียงหรือสาเนียง คาว่า “นาม” และ “ศัพท์” ดังกล่าวมา รวมกันเรียกว่า “นามศัพท์” นามศัพท์น้ี แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ นามนาม คุณนาม และ สัพพนาม ในบทนี้ จะนาเสนอเนื้อหาสาระสาคัญเกี่ยวกับนามนามก่อน จานวน ๑๑ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของนามนาม ๒) ประเภทของนามนาม ๓) ลิงค์ ๔) ประเภทของลิงค์ ๕) ลิงค์ของนามนาม ๖) วจนะ ๗) วิภัตติ ๘) จานวนของวิภัตตินาม ๙) คาแปลประจาวิภัตติ ๑๐) การนั ต์ และ ๑๑) การแจกนามศพั ท์ดว้ ยวภิ ตั ตนิ าม โดยมรี ายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี
๕๘ ๔.๒ ความหมายของนามนาม นามนาม หมายถึง นามท่ีเป็นช่ือของคน สตั ว์ สถานท่ี สงิ่ ของ และสภาพต่าง ๆ นามนามท่เี ป็น ช่อื ของคน เช่น วิสาขา (นางวิสาขา) เทวทตฺโต (พระเทวทัต) สุนโข (สนุ ัข) นคร (เมอื ง) ฯลฯ ๔.๓ ประเภทของนามนาม นามนาม จดั แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท๑ ดงั น้ี ๔.๓.๑ สาธารณนาม (นามท่ัวไป) เป็นนามท่ีใช้เรียกท่ัวไปโดยไม่เจาะจง เช่น คาว่า มนุสฺส สาหรับเรียกมนุษย์ท่ัวไปได้ทุกคน, ติรจฺฉาน สาหรับเรียกสัตว์ท่ัวไปได้ทุกตัว, ปุริส สาหรับเรียกผู้ชาย ทวั่ ไปไดท้ ุกคน เป็นตน้ ๔.๓.๒ อสาธารณนาม (นามไม่ท่ัวไป) เป็นนามท่ีใช้เรียกเจาะจงไม่ท่ัวไป เช่น คาว่า วิสาขา สาหรบั ใช้เรยี กเจาะจง นางวสิ าขา, สาวตถฺ ี สาหรบั ใชเ้ รียกเจาะจงเมือง สาวัตถี เป็นตน้ นามนามดังกล่าวน้ี เมื่อจะนาไปพูดหรือเขียนเป็นประโยคภาษาบาลี ต้องประกอบด้วยลิงค์ วจนะ และวิภัตติกอ่ น ๔.๔ ลิงค์ ลิงค์ หมายถึง เพศของนามศัพท์ หรือส่วนท่ีแฝงอยู่ในบทนามศัพท์เพื่อทาหน้าที่เป็นตัว กาหนดให้เปลี่ยนแปลงวิภัตติ เช่น สิ ถ้าลงหลัง อ การนั ต์ในปงุ ลิงค์ (ลงหลงั ปุริส ศัพท์ เป็นต้น) จะต้อง แปลงเป็น โอ, แต่ถ้าลงหลัง อ การันต์ในนปุงสกลิงค์ (ลงหลัง กุล ศัพท์ เป็นต้น) จะต้องแปลงเป็น อ ฯลฯ ๔.๕ ประเภทของลิงค์ ลงิ ค์ในภาษาบาลี หมายถงึ เพศของคานาม ซ่ึงอาจจัดแบ่งตามลักษณะของเพศได้ ๓ ประเภท๒ แตอ่ าจจัดแบ่งตามลักษณะท่ีมาได้ ๒ ประเภท โดยมีรายละเอยี ด ดังต่อไปนี้ ๑ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ นามและ อัพยศพั ท์ (กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗), หนา้ ๒๙. ๒ พระอคั ควังสเถร, คัมภีร์สทั ทนตี สิ ตุ ตมาลา (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พทิ ักษ์อักษร), หน้า ๑๖๒-๑๖๖.
๕๙ ๔.๕.๑ ลงิ คแ์ บง่ ตามลักษณะของเพศได้ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑) ปงุ ลิงค์ หมายถึง เพศชาย เชน่ ปุริส (บุรษุ ), เสฏฺฐี (เศรษฐ)ี ฯลฯ ๒) อติ ถีลิงค์ หมายถึง เพศหญิง เชน่ ก า (สาวน้อย), รตฺติ (ราตรี) ฯลฯ ๓) นปุงสกลิงค์ หมายถึง เพศกลาง ๆ คือ มิใช่เพศชายมิใช่เพศหญิง หรือไม่สามารถ บอกเพศได้ เช่น ปณฺณ (ใบไม้) กลุ (ตระกลู ) ฯลฯ ๔.๕.๒ ลิงคแ์ บง่ ตามลักษณะท่ีมาได้ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑) ลิงค์โดยกาเนิด หมายถึง ศัพท์นั้น ๆ มีคาแปลหรือความหมายท่ีบ่งบอกให้ทราบ ว่าเป็นเพศอะไร กจ็ ัดเปน็ ลิงค์ตามศัพท์นนั้ ๆ และนาไปแจกด้วยวิภัตติตรงตามกาเนิดเดิม เชน่ ปุรสิ (บุรุษ) บง่ บอกให้ทราบว่าเพศชาย จดั เป็น ปุงลงิ ค์ กญฺ า (นางสาวนอ้ ย) บง่ บอกให้ทราบว่าเพศหญงิ จดั เป็น อิตถีลิงค์ วตถุ (สิง่ ของ) ไมบ่ ง่ บอกเพศชายหรือเพศหญิง จัดเปน็ นปุงสกลิงค์ ซ่ึงลงิ คโ์ ดยกาเนดิ ทงั้ ๓ น้ี นาไปแจกด้วยวภิ ัตติตามแบบ ปุรสิ , กญฺ า และ วตถฺ ุ โดยเฉพาะ ๒) ลิงค์โดยสมมติ หมายถึง ศัพท์นั้น ๆ แม้จะมีคาแปลหรือความหมายบ่งบอกให้ ทราบเพศอยู่แล้ว ก็ไม่จัดเป็นลิงค์ตามคาแปลหรือความหมายท่ีบ่งบอกนั้น แต่สมมติเป็นลิงค์อ่ืนแทน และนาไปแจกดว้ ยวิภตั ติไมต่ รงตามกาเนดิ ลิงค์เดิม เช่น ทาร (เมีย หรือ ภรรยา) บ่งบอกให้ทราบว่าเป็นผหู้ ญงิ แตจ่ ัดเปน็ ปุงลงิ ค์ ภูมิ (แผ่นดิน) ไม่บง่ บอกให้ทราบว่าเปน็ เพศชายหรือเพศหญงิ แตจ่ ัดเป็น อิตถีลิงค์ ซึ่งลิงค์โดยสมมติทั้ง ๒ น้ี นาไปแจกด้วยวิภัตติตามแบบ คือ ทาร นาไปแจกตามแบบ ปรุ สิ ในปุงลิงค์ และ ภมู ิ นาไปแจกตามแบบ รตตฺ ิ ในอิตถลี ิงค์ ๔.๖ ลงิ คข์ องนามนาม นามนาม เปน็ ได้ลงิ ค์เดยี วกม็ ี เป็นได้ ๒ ลงิ ค์ก็มี ดังน้ี ๔.๖.๑ นามนาม บางประเภทเป็นได้ลงิ ค์เดียว แจกตามวิภตั ติได้ลงิ คเ์ ดียว เช่น อมร (เทวดา) เปน็ ได้ลงิ คเ์ ดยี ว คอื เป็นนปุงลิงค์ อจฉฺ รา (นางอัปสร) เปน็ ได้ลิงคเ์ ดียว คอื เปน็ อติ ถีลิงค์ องคฺ (องค์) เปน็ ไดล้ งิ ค์เดยี ว คือ เปน็ นปุงสกลิงค์
๖๐ ๔.๖.๒ นามนาม บางประเภท เปน็ ได้ ๒ ลงิ ค์ แจกตามวิภตั ติได้ ๒ ลงิ ค์ เช่น อุปาสก (อุบาสก) เปน็ ได้ ๒ ลงิ ค์ คอื เป็นปงุ ลิงค์ (อุปาสโก) และเปน็ อติ ฺถีลิงค์ (อุปาสกิ า) ทิวส (วนั ) เปน็ ได้ ๒ ลิงค์ คือ เปน็ ปุงลิงค์ (ทิวโส) และเป็นนปงุ สกลงิ ค์ (ทวิ ส) ลิงค์ มีประโยชน์ในการนานามศัพท์ไปแจกตามวิภัตติให้ถูกต้อง และในการแจกนามศัพท์ตาม วภิ ัตตินน้ั จะตอ้ งทราบวา่ นามศพั ท์ท่ีจะแจกน้นั เปน็ ลิงค์และการนั ต์ใด เมื่อทราบแล้ว ก็ให้แจกตามแบบ ของนามศพั ท์ทเ่ี ป็นลงิ คแ์ ละการันต์เหมอื นกันนัน้ ๆ ๔.๗ วจนะ วจนะ แปลว่า คาพูด หมายถึง คาพูดที่เปล่งออกมาโดยบอกจานวนของนามนาม ว่ามีจานวน มากหรือนอ้ ยอย่างไร วจนะในภาษาบาลี มี ๒ อย่าง ดังนี้ ๔.๗.๑ เอกวจนะ คือ คาพูดบอกให้รวู้ า่ นามนามมีอยู่สง่ิ เดยี ว ๔.๗.๒ พหวุ จนะ คอื คาพดู บอกใหร้ ้วู ่า นามนามมีมาก คือ ตง้ั แต่ ๒ สิง่ ข้นึ ไป วจนะทง้ั ๒ นี้ จะมวี ภิ ัตตเิ ป็นตวั กาหนดหรือบอกให้ทราบ เช่น ปรุ ิโส (บุรษุ ) เปน็ เอกวจนะ มี สิ วภิ ตั ติ เป็นตัวกาหนด (เปล่ียน สิ เปน็ โอ) ปุริสา (บรุ ุษท้ังหลาย) เปน็ พหวุ จนะ มี โย วภิ ตั ติ เป็นตัวกาหนด (เปลีย่ น โย เป็น อา) ๔.๘ วิภัตติ วิภัตติ แปลว่า แจกหรือแบ่ง วิภัตติในภาษาบาลี มี ๒ ประเภท คือ วิภัตตินาม กับ วิภัตติ อาขยาต, วิภตั ตินามใชแ้ จกหรือประกอบกับนามศัพทเ์ พือ่ บอกให้รู้ลิงค์, วจนะ, การนั ต์ และอายตนิบาต ส่วน วิภัตติอาขยาต ใช้แจกหรือประกอบธาตุหรือมูลศัพท์ประเภทกริยาเพ่ือบอกให้รู้ กาล, บท, วจนะ และบุรุษ ในท่ีนี้ จะกล่าวเฉพาะวิภัตตินาม ส่วนวิภัตติขยาต จะกล่าวถึงในบทท่ีว่าด้วยอาขยาต โดยเฉพาะ
๖๑ ๔.๙ จานวนของวิภตั ตินาม วภิ ตั ตนิ าม มี ๑๔ ตวั จดั เปน็ ๒ ฝ่าย คอื ฝ่ายเอกวจนะ และฝ่ายพหวุ จนะ ดงั น้ี ลาดับ ชอื่ วิภตั ติ เอก. พห.ุ ทาหน้าท่ี ๑ ปฐมาวภิ ตั ติ สิ โย แสดงลิงค์, กตั ตา และอาลปนะ ๒ ทตุ ิยาวภิ ัตติ อ โย แสดงความเป็นกัมมะคือถูกกระทา ๓ ตติยาวิภัตติ นา หิ แสดงกตั ตาและกรณะคือเคร่ืองมือ ๔ จตตุ ถีวิภตั ติ ส น แสดงความเปน็ ผูร้ บั มอบ ๕ ปัญจมีวิภัตติ สฺมา หิ แสดงความเป็นแดนออก, สถานที่ออก ๖ ฉัฏฐีวิภตั ติ ส น แสดงความเปน็ เจ้าของ ๗ สตั ตมวี ภิ ัตติ สฺมึ สุ แสดงความเป็นสถานที่, โอกาส * อาลปนะวิภตั ติ สิ โย แสดงการรอ้ งเรยี ก หมายเหตุ: ปฐมาวิภตั ติ สามารถใชใ้ นความหมายของอาลปนะ คือ คาสาหรบั รอ้ งเรียกได้ดว้ ย ฉะนนั้ คัมภีร์บาลไี วยากรณ์บางเล่ม จึงบอกวา่ วิภตั ตินาม มี ๑๖ ตวั ๔.๑๐ คาแปลประจาวภิ ตั ติ คาแปลประจาวิภัตติ เรียกว่า “อายตนิบาต” คือ คาเช่ือมต่อให้เนื้อความเน่ืองเป็นใจความ เดยี วกัน ดังนี้ ชอื่ วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ อ. …ท. (อ่านว่า อนั วา่ ..ทงั้ หลาย) ปฐมา อ. (อ่านวา่ อันวา่ ) ซงึ่ , สู่, ยงั , สนิ้ , ตลอด, กะ, เฉพาะ ...ท. ดว้ ย, โดย, อนั , ตาม, เพราะ, มี, ดว้ ยทง้ั ...ท. ทุติยา ซ่งึ , สู,่ ยงั , สน้ิ , ตลอด, กะ, เฉพาะ แก่, เพื่อ, ต่อ ...ท. แต,่ จาก, กวา่ , เหตุ ...ท. ตติยา ด้วย, โดย, อนั , ตาม, เพราะ, ม,ี ดว้ ยท้งั แหง่ , ของ, เมอื่ ...ท. ใน, ใกล,้ ที่, ครน้ั เม่อื , ในเพราะ, เหนือ, บน...ท. จตุตถี แก,่ เพื่อ, ตอ่ แนะ่ , ดกู อ่ น, ขา้ แต่ …ท. ปญั จมี แต,่ จาก, กว่า, เหตุ ฉัฏฐี แห่ง, ของ, เม่ือ สัตตมี ใน, ใกล้, ท่ี, ครน้ั เมอ่ื , ในเพราะ, เหนือ, บน อาลปนะ แน่ะ, ดกู อ่ น, ขา้ แต่
๖๒ ๔.๑๑ การันต์ การันต์ คือ สระท่ีสุดศัพท์ เช่น ปุริส ศัพท์ มีสระ อ เป็นการันต์, กญฺ า ศัพท์ มีสระ อา เป็น การันต์, มุนิ ศัพท์ มีสระ อิ เป็นการันต์ ฯลฯ ศัพท์ท่ีเป็นลิงค์และมีการันต์เหมือนกัน มีวิธีแจกตาม วภิ ัตตินามเหมือนกนั การันต์ดงั กลา่ วน้ี มไี ดใ้ นทุกลงิ ค์ ดังนี้ ๔.๑๑.๑ การนั ต์ในปงุ ลงิ ค์ มี ๕ ตัว คือ อ, อ,ิ อ,ี อ,ุ อู ๔.๑๑.๒ การันตใ์ นอิตถลี ิงค์ มี ๕ ตวั คือ อา, อ,ิ อ,ี อ,ุ อู ๔.๑๑.๓ การันตใ์ นนปงุ สกลงิ ค์ มี ๓ ตวั คือ อ, อ,ิ อุ การันต์ เป็นประโยชน์ในการแจกนามศัพท์ด้วยวิภัตตินาม เพราะการแจกนามศัพท์ด้วยวิภัตติ นามน้ัน จะต้องแจกไปตามลงิ คแ์ ละการนั ต์ของศัพทน์ ัน้ ๆ ๔.๑๒ การแจกนามศัพทด์ ้วยวภิ ัตตนิ าม ในภาษาบาลี ศัพท์ท่ีสามารถแจกตามวิภัตตนิ ามได้ มี ๒ ชนิด คอื สามัญศัพท์ และกติปยศัพท์ โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้ ๔.๑๒.๑ สามัญศัพท์ ได้แก่ ศัพท์นามนามทเี่ ป็นลิงค์และมกี ารันตเ์ หมือนกนั ให้แจกด้วยวิภตั ติ นามตามแบบเดยี วกนั ศัพท์ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างของสามัญศัพท์จานวน ๑๓ ศัพท์ แจกตามลิงค์และการันต์ ซ่ึงจะได้ แจกเป็นตวั อยา่ ง (หรือเปน็ ต้นแบบ) โดยเร่มิ จาก ปรุ ิส ศัพท์ เป็นต้นไป ๑) ตวั อย่างสามัญศพั ทแ์ ยกตามลิงคแ์ ละการนั ต์ (๑) ปงุ ลงิ ค์ มี ๕ การันต์ ไดแ้ ก่ อ, อ,ิ อ,ี อ,ุ อู อ การนั ต์ แจกตามแบบ ปุริส (บุรษ) อิ การนั ต์ แจกตามแบบ มุนิ (ผรู้ ู้) อี การนั ต์ แจกตามแบบ เสฏฺฐี (เศรษฐ)ี อุ การันต์ แจกตามแบบ ครุ (คร)ู อู การันต์ แจกตามแบบ วิญฺ ู (ผรู้ ู้แจ้ง)
๖๓ (๒) อติ ถลี งิ ค์ มี ๕ การันต์ ได้แก่ อา, อ,ิ อ,ี อ,ุ อู อา การันต์ แจกตามแบบ กญฺ า (นางสาวนอ้ ย) อิ การนั ต์ แจกตามแบบ รตตฺ ิ (ราตรี) อี การันต์ แจกตามแบบ นารี (นาง) อุ การันต์ แจกตามแบบ รชฺชุ (เชอื ก) อู การันต์ แจกตามแบบ วธู (หญงิ สาว) (๓) นปุงสกลิงค์ มี ๓ การันต์ ไดแ้ ก่ อ, อ,ิ อุ อ การนั ต์ แจกตามแบบ กลุ (ตระกลู ) อิ การนั ต์ แจกตามแบบ อกฺขิ (นยั น์ตา) อุ การันต์ แจกตามแบบ วตฺถุ (วตั ถ)ุ ๒) ตัวอยา่ งการแจกสามัญศัพท์ดว้ ยวิภัตตินาม (๑) อ การนั ต์ในปุงลงิ ค์ แจกตามแบบ ปรุ สิ (บรุ ษุ ) ดังน้ี ชือ่ วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. ปุรโิ ส (สิ เป็น โอ) ปุรสิ า (โย เป็น อา ) ปรุ ิเส (โย เป็น เอ) ท.ุ ปรุ ิส (คง อ ไว้) ปรุ ิเสหิ, ปุริเสภิ (หิ เป็น เอห,ิ เอภ)ิ ปุรสิ าน (น เป็น อาน) ต. ปุรเิ สน (นา เปน็ เอน) ปรุ ิเสหิ, ปุริเสภิ (หิ เปน็ เอหิ, เอภ)ิ ปรุ สิ าน (น เป็น อาน) จ. ปุรสิ สฺส, ปุรสิ าย, ปุรสิ ตฺถ (ส เปน็ สสฺ , อาย, ตถ) ปุรเิ สสุ (อ เปน็ เอ) ปุรสิ า (โย เป็น อา) ปญฺ ปรุ สิ สมฺ า, ปรุ สิ มฺหา, ปรุ สิ า (สมฺ า เปน็ มหฺ า, อา) ฉ. ปุริสสสฺ (ส เป็น สสฺ ) ส. ปุริสสมฺ ึ, ปรุ ิสมหฺ ,ิ ปุริเส (สฺมึ เป็น มหฺ ิ, เอ) อา. ปุรสิ (ลบ ส)ิ
๖๔ ศพั ท์ทแี่ จกเหมือน ปุริส เช่น ๑๒. ปาวก = ไฟ ๑๓. ผลกิ = แก้วผลึก ๑. อาจรยิ = อาจารย์ ๑๔. พก = นกยาง ๒. กุมาร = เด็ก ๑๕. ภว = ภพ ๓. ขตตฺ ยิ = กษตั รยิ ์ ๑๖. มนสุ ฺส = มนุษย์ ๔. คณ = หมู่ ๑๗. ยกขฺ = ยกั ษ์ ๕. โจร = โจร ๑๘. รกุ ขฺ = ต้นไม้ ๖. ชน = ชน ๑๙. โลก = โลก ๗. ตรุ ค = ม้า ๒๐. วานร = ลิง ๘. เถน = ขโมย ๒๑. สหาย = เพ่อื น ๙. ทูต = ทตู ๒๒. หตถฺ = มอื ๑๐. ธช = ธง ๑๑. นร = คน (๒) อิ การันต์ในปุงลงิ ค์ แจกตามแบบ มนุ ิ (ผู้รู)้ ดงั น้ี ช่อื วิภตั ติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. มนุ ิ มนุ โย, มุนี ทุ. มุนึ มนุ โย, มนุ ี ต. มุนินา มนุ ีห,ิ มุนีภี จ. มนุ ิสสฺ , มุนิโน มุนนี ปฺ มนุ สิ มฺ า, มุนมิ หฺ า มุนีห,ิ มุนีภิ ฉ. มุนิสสฺ , มุนิโน มุนีน ส. มนุ สิ ฺมึ, มนุ ิมฺหิ มนุ สี ุ อา. มุนิ มุนโย, มนุ ี ศพั ท์ทแี่ จกเหมอื น มุนิ เชน่ ๖. ปติ = เจา้ , สามี ๗. มณิ = แกว้ มณี ๑. อคคฺ ิ = ไฟ ๘. วิธิ = วิธี ๒. อริ = ขา้ ศกึ ๙. วหี ิ = ขา้ วเปลือก ๓. อหิ = งู ๑๐. สมาธิ = สมาธิ ๔. ถปติ = ชา่ งไม้ ๕. นธิ ิ = ขมุ ทรัพย์
๖๕ (๓) อี การันต์ในปงุ ลิงค์ แจกตามแบบ เสฏฺ ฐี (เศรษฐ)ี ดังน้ี ชอื่ วภิ ัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ ป. ท.ุ เสฏฺ ฐี เสฏฺฐิโน, เสฏฺฐี ต. เสฏฺฐึ, เสฏฺฐินํ เสฏฺฐิโน, เสฏฺฐี จ. เสฏฺ ฐินา เสฏฺฐีห,ิ เสฏฺฐีภิ ปฺ เสฏฺฐิสฺส, เสฏฺฐิโน เสฏฺ ฐีน ฉ. เสฏฺฐิสมฺ า, เสฏฺฐิมหฺ า เสฏฺฐีห,ิ เสฏฺฐีภิ ส. เสฏฺฐิสฺส, เสฏฺฐิโน เสฏฺ ฐีน อา. เสฏฺฐิสมฺ ึ, เสฏฺฐิมฺหิ เสฏฺ ฐีสุ เสฏฺ ฐิ เสฏฺฐิโน, เสฏฺฐี ศพั ท์ทแ่ี จกเหมอื น เสฏฺ ฐี เช่น ๑. กรี = ชา้ ง ๖. มนตฺ ี = คนมคี วามคดิ ๒. ตปสี = คนมตี บะ ๗. เมธาวี = คนมีปัญญา ๓. ทณฑฺ ี = คนมีไม้เทา้ ๘. สขิ ี = นกยงู ๔. ภาณี = คนชา่ งพูด ๙. สุขี = คนมีความสุข ๕. โภคี = คนมีโภคะ ๑๐. หตถฺ ี = ชา้ ง (๔) อุ การันตใ์ นปุงลิงค์ แจกตามแบบ ครุ (คร)ู ดังนี้ ชอ่ื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ครุ ครโว, ครู ท.ุ ครุ ครโว, ครู ต. ครนุ า ครหู ิ, ครภู ิ จ. ครุสฺส, ครโุ น ครนู ปฺ ครสุ มฺ า, ครุมฺหา ครูหิ, ครูภิ ฉ. ครสุ สฺ , ครุโน ครนู ส. ครสุ มฺ ึ, ครมุ หฺ ิ ครูสุ อา. ครุ ครเว, ครโว
๖๖ ศัพท์ท่ีแจกเหมือน ครุ เชน่ ๖. ภกิ ขุ = ภิกษุ ๗. ริปุ = ขา้ ศกึ ๑. เกตุ = ธง ๘. สตฺตุ = ศตั รู ๒. ชนฺตุ = สัตวเ์ กดิ ๙. เสตุ = สะพาน ๓. ปสุ = สัตว์ของเล้ยี ง ๑๐. เหตุ = เหตุ ๔. พนฺธุ = พวกพ้อง ๕. พพฺพุ = เสอื ปลา, แมว (๕) อู การนั ต์ในปงุ ลงิ ค์ แจกตามแบบ วญิ ฺ ู (ผู้รู้วิเศษ) ดงั น้ี ชอื่ วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. วิญฺ ู วิ ฺ ุโน, วญิ ฺ ู ทุ. วญิ ฺ ุ วญิ ฺ ุโน, วิญฺ ู ต. วิญฺ ุนา วญิ ฺ ูหิ, วิ ฺ ูภิ จ. วิญฺ ุสสฺ , วิ ฺ ุโน วิญฺ ูน ปฺ วญิ ฺ ุสฺมา, วญิ ฺ มุ ฺหา วิ ฺ ูหิ, วิญฺ ูภิ ฉ. วิ ฺ สุ ฺส, วิ ฺ โุ น วิญฺ นู ส. วิ ฺ ุสมฺ ึ, วิ ฺ มุ หฺ ิ วิ ฺ สู ุ อา. วิ ฺ ุ วิ ฺ โุ น, วิ ฺ ู ศัพท์ที่แจกเหมอื น วญิ ฺ ู เช่น ๑. อภิภู = ผคู้ รอบงา ๕. กต ฺ ู = ผรู้ คู้ ณุ ๒. สยมภฺ ู = ผเู้ ปน็ เอง ๖. ธมมฺ ฺ ู = ผ้รู ธู้ รรม ๓. ปารคู = ผ้ถู งึ ฝ่ัง ๗. อตฺถ ฺ ู = ผรู้ อู้ รรถ ๔. เวทคู = ผ้ถู ึงเวท ๘. กาล ฺ ู = ผู้รู้กาล
๖๗ (๖) อา การันต์ในอติ ถีลงิ ค์ แจกตามแบบ กญฺ า (นางสาวนอ้ ย) ดังน้ี ช่อื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. กญฺ า กญฺ าโย, กญฺ า ทุ. กญฺ กญฺ าโย, กญฺ า ต. ก ฺ าย กญฺ าหิ, กญฺ าภิ จ. ก ฺ าย กญฺ าน ปฺ ก ฺ าย กญฺ าหิ, กญฺ าภิ ฉ. ก ฺ าย กญฺ าน ส. ก ฺ าย, ก ฺ าย กญฺ าสุ อา. ก เฺ กญฺ าโย, กญฺ า ศพั ท์ทแี่ จกเหมือน กญฺ า เช่น ๑. อจฉฺ รา = นางอปั สร ๑๕. ตารา = ดาว ๒. อาภา = รศั มี ๑๖. ถวิกา = ถุง ๓. อกิ ขฺ ณิกา = หญงิ แม่มด ๑๗. ทารกิ า = เด็กหญิง ๔. อสี า = งอนไถ ๑๘. โทลา = ชงิ ชา้ ๕. อกุ กฺ า = คบเพลงิ ๑๙. ธารา = ธารน้า ๖. อกู า = เล็น ๒๐. นารา = รศั มี ๗. เอสกิ า = เสาระเนียด ๒๑. ป ฺ า = ปัญญา ๘. โอชา = โอชา ๒๒. พาหา = แขน ๙. กจฺฉา = รกั แร้ ๒๓. ภาสา = ภาษา ๑๐. คทา = ตะบอง ๒๔. มาลา = ระเบยี บ ๑๑. ฆฏกิ า = ลมิ่ ๒๕. ลาขา = คร่ัง ๑๒. เจตนา = เจตนา ๒๖. สาลา = ศาลา ๑๓. ฉรุ ิกา = กฤช ๒๗. สิลา = ศลิ า ๑๔. ชปา = ชะบา ๒๘. หนุกา = คาง
๖๘ (๗) อิ การนั ต์ในอิตถลี งิ ค์ แจกตามแบบ รตตฺ ิ (ราตรี) ดงั นี้ ช่อื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. รตตฺ ิ รตฺติโย, รตตฺ ี ทุ. รตฺตึ รตตฺ ิโย, รตฺตี ต. รตตฺ ิยา รตฺตหี ิ, รตฺตีภิ จ. รตตฺ ิยา รตตฺ นี ปฺ รตฺตยิ า, รตฺยา รตฺตีหิ, รตฺตีภิ ฉ. รตตฺ ยิ า รตฺตีน ส. รตฺตยิ า, รตฺติย, รตฺย รตตฺ ีสุ อา. รตตฺ ิ รตฺตโิ ย, รตฺตี ศัพท์ท่แี จกเหมอื น รตตฺ ิ เช่น ๑. อาณิ = ล่ิม ๑๑. กฏิ = สะเอว ๒. อิทฺธิ = ฤทธ์ิ ๑๒. ขนฺติ = ความอดทน ๓. อตี ิ = จัญไร ๑๓. คณฑฺ ิ = ระฆัง ๔. อุกขฺ ลิ = หม้อข้าว ๑๔. ฉวิ = ผวิ ๕. อูมิ = คลื่น ๑๕. ชลฺลิ = สะเก็ดไม้ ๖. ตนฺติ = เส้นดา้ ย ๑๖. รติ = ความยนิ ดี ๗. นนฺทิ = ความเพลิดเพลิน ๑๗. ลทฺธิ = ลัทธิ ๘. ป ฺหิ = สน้ เทา้ ๑๘. วติ = ร้วั ๙. มติ = ความรู้ ๑๙. สตตฺ ิ = หอก ๑๐. ยฏฺฐิ = ไม้เทา้ ๒๐. สนธฺ ิ = ความต่อ (๘) อี การนั ต์ในอิตถีลงิ ค์ แจกตามแบบ นารี (นาง) ดังน้ี ช่อื วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. นารี นารโิ ย, นารี ท.ุ นาร,ึ นาริย นารโิ ย, นารี ต. นารยิ า นารีห,ิ นารภี ิ จ. นารยิ า นารีน
๖๙ ป ฺ นาริยา นาริห,ิ นารภี ิ ฉ. นาริยา นารนิ ส. นาริยา, นารยิ นารสี ุ อา. นาริ นารโิ ย, นารี ศพั ท์ท่แี จกเหมอื น นารี เช่น ๑. กุมารี = เด็กหญิง ๕. ป วี = แผน่ ดิน ๒. ฆรณี = หญงิ แมเ่ รือน ๖. มาตลุ านี = ป้า, นา้ ๓. ถี = หญิง ๗. วชี นี = พดั ๔. ธานี = เมอื ง ๘. สมิ ฺพลี = ไมง้ วิ้ (๙) อุ การนั ตใ์ นอติ ถลี ิงค์ แจกตามแบบ รชชฺ ุ (เชือก) ดังนี้ ชอ่ื วิภตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. รชชฺ ุ รชชฺ โุ ย, รชฺชู ท.ุ รชฺชุ รชชฺ โุ ย, รชฺชู ต. รชชฺ ยุ า รชชฺ หู ิ, รชฺชภู ิ จ. รชชฺ ุยา รชชฺ นู ปฺ รชชฺ ยุ า รชชฺ หู ิ, รชชฺ ภู ิ ฉ. รชฺชุยา รชชฺ ูน ส. รชฺชุยา, รชชฺ ุย รชชฺ สู ุ อา. รชชฺ ุ รชชฺ ุโย, รชฺชู ศพั ท์ทีแ่ จกเหมอื น รชฺชุ เช่น ๔. ยาคุ = ขา้ วต้ม ๕. ลาวุ = นา้ เตา้ ๑. อรุ ุ = ทราย ๖. วิชชฺ ุ = สายฟา้ ๒. กาสุ = หลุม ๓. เธนุ = แมโ่ คนม
๗๐ (๑๐) อู การันตใ์ นอติ ถีลงิ ค์ แจกตามแบบ วธู (หญงิ สาว) ดังนี้ ชอ่ื วภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. วธู วธุโย, วธู ทุ. วธุ วธุโย, วธู ต. วธุยา วธูหิ, วธูภิ จ. วธุยา วธนู ปฺ วธุยา วธูห,ิ วธภู ิ ฉ. วธยุ า วธูน ส. วธยุ า, วธยุ วธสู ุ อา. วธุ วธุโย, วธู ศพั ท์ทีแ่ จกเหมือน วธู เช่น ๔. วริ ู = เถาวลั ย์ ๕. สรพู = ตุก๊ แก ๑. จมู = เสนา ๖. สนิ ธฺ ู = แม่นา้ สินธู ๒. ชมฺพู = ไมห้ ว้า ๓. ภู = แผน่ ดนิ , คิว้ (๑๑) อ การันต์ในนปงุ สกลิงค์ แจกตามแบบ กลุ (ตระกลู ) ดังน้ี ชื่อวภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. กลุ กุลานิ ท.ุ กลุ กุลานิ ต. กเุ ลน กุเลหิ, กุเลภิ จ. กลุ สฺส, กุลาย, กุลตถฺ กลุ าน ปฺ กลุ สฺมา, กลุ มฺหา, กลุ า กเุ ลหิ, กุเลภิ ฉ. กลุ สฺส กุลาน ส. กลุ สฺมึ, กุลมฺห,ิ กุเล กุเลสุ อา. กุล กุลานิ
๗๑ ศพั ท์ทแี่ จกเหมือน กลุ เช่น ๑. องฺค = องค์ ๙. ฉตฺต = ฉัตร, ร่ม ๒. อณิ = หน้ี ๑๐. ชล = นา้ ๓. อทุ ร = ทอ้ ง ๑๑. ตล = พื้น ๔. โอฏฺ = รมิ ฝีปาก ๑๒. ธน = ทรัพย์ ๕. กฏฺ ๖. กมล = ไม้ ๑๓. ปณฺณ = ใบไม้, หนงั สือ ๗. ฆร ๘. จกฺก = ดอกบวั ๑๔. ผล = ผลไม้ = เรอื น ๑๕. พล = กาลัง, พล = จักร, ล้อ ๑๖. ภตตฺ = ขา้ วสวย (๑๒) อิ การันต์ในนปุงสกลงิ ค์ แจกตามแบบ อกฺขิ (นยั นต์ า) ดงั นี้ ช่ือวิภัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. อกฺขิ อกฺขีนิ, อกฺขี ท.ุ อกขฺ ึ อกขฺ นี ิ, อกขฺ ี ต. อกฺขนิ า อกขฺ ีห,ิ อกขฺ ีภิ จ. อกฺขสิ ฺส, อกฺขิโน อกฺขีน ปฺ อกขฺ ิสมฺ า, อกขฺ ิมฺหา อกขฺ หี ิ, อกฺขภี ิ ฉ. อกฺขิสฺส, อกฺขิโน อกขฺ ีน ส. อกขฺ ิสฺมึ, อกฺขิมหฺ ิ อกฺขสี ุ อา. อกฺขิ อกฺขนี ิ, อกขฺ ี ศพั ท์ที่แจกเหมือน อกขฺ ิ เชน่ ๓. ทธิ = นมส้ม ๔. สปฺปิ = เนยใส ๑. อจฺจิ = เปลวไฟ ๒. อฏฺฐิ = กระดกู
๗๒ (๑๓) อุ การนั ต์ในนปุงสกลงิ ค์ แจกตามแบบ วตถฺ ุ (พสั ดุ) ดังนี้ ชื่อวภิ ัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. วตฺถุ วตถฺ นู ิ, วตถฺ ู ทุ. วตฺถุ วตฺถนู ิ, วตฺถู ต. วตถฺ ุนา วตฺถหู ิ, วตถฺ ภู ิ จ. วตถฺ สุ สฺ , วตถฺ ุโน วตถฺ ูน ปฺ วตถฺ ุสฺมา, วตฺถมุ ฺหา วตฺถูหิ, วตถฺ ูภิ ฉ. วตถฺ ุสสฺ , วตถฺ ุโน วตฺถูน ส. วตถฺ ุสมฺ ึ, วตฺถมุ ฺหิ วตฺถสู ุ อา. วตฺถุ วตถฺ ูนิ, วตถฺ ู ศัพท์ทแี่ จกเหมือน วตฺถุ เชน่ ๑. อมฺพุ = น้า ๖. ชตุ = ยาง ๒. อสฺส = นา้ ตา ๗. ธนุ = ธนู ๓. อายุ = อายุ ๘. มธุ = นา้ ผึ้ง ๔. จกขฺ ุ = นัยน์ตา ๙. มสฺสุ = หนวด ๕. วปุ = กาย ๑๐. สชฌฺ ุ = เงิน ๔.๑๒.๒ กติปยศัพท์ (ปกิณณกศัพท์) ได้แก่ ศัพท์เล็กน้อย คือ มีจานวนน้อย เป็นศัพท์ เบ็ดเตล็ด แม้จะเป็นลิงค์และมีการันต์เหมือนกัน ก็ไม่แจกตามแบบเดียวกัน แต่จะมีวิธีแจกตามแบบ เฉพาะตน ๆ ศัพท์ต่อไปนี้ เป็นกติปยศัพท์ มีท้ังหมด ๑๒ ศัพท์ บางศัพท์มีวิธีแจกเฉพาะของตน ๆ ไม่แจก เหมอื นสามัญศพั ท์ดงั กล่าวมาแล้ว และไม่มีศัพท์อ่นื แจกตามได้ บางศัพท์มีศัพท์อ่นื แจกตามได้บ้าง แต่ไม่ มากนกั บางศพั ทเ์ ปน็ ลิงคเ์ ดียว บางศพั ทก์ เ็ ป็น ๒ ลงิ ค์
๗๓ ๑) กติปยศัพท์จานวน ๑๒ ศัพท์ ๑. อตฺต = ตน ๗. สตถฺ ุ = พระศาสดา ๒. พรฺ หมฺ = พรหม ๘. ปติ ุ = บิดา ๓. ราช = พระราชา ๙. มาตุ = มารดา ๔. ภควนฺตุ = พระผู้มีพระภาคเจ้า ๑๐. มน = ใจ ๕. อรหนตฺ = พระอรหันต์ ๑๑. กมมฺ = กรรม ๖. ภวนตฺ = ผูเ้ จริญ ๑๒. โค = โค ๒) การแจกกตปิ ยศพั ท์ (๑) อตฺต (ตน) เป็นปุงลงิ ค์ เอกวจนะอยา่ งเดียว แจกได้ ดังน้ี ชอ่ื วิภัตติ เอกวจนะ ป. อตตฺ า (สิ เป็น อา) ท.ุ อตฺตาน (อ เป็น อาน) ต. อตตฺ นา (คง นา ไว)้ จ. อตฺตโน (ส เป็น โน) ปฺ อตตฺ นา (สฺมา เป็น นา) ฉ. อตตฺ โน (ส เป็น โน) ส. อตฺตนิ (สฺมึ เปน็ นิ) อา. อตตฺ (ลบ สิ) ข้อควรจา: อตฺต ศัพท์ เป็นนามนาม เอกวจนะอย่างเดียว ไม่สามารถแจกเป็นพหุวจนะได้ ถ้า จะใช้เป็นพหุวจนะ ก็ให้เรยี งซ้ากัน ๒ ศพั ท์ เชน่ อตฺตโน อตฺตโน = ของตน ๆ เปน็ ต้น
๗๔ (๒) พรฺ หมฺ (พรหม) เป็นปุงลิงค์ แจกได้ ดงั นี้ ชือ่ วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. พฺรหฺมา พรฺ หมฺ าโน ทุ. พรฺ หมฺ าน พรฺ หฺมาโน ต. พฺรหฺมุนา พฺรหเฺ มหิ, พรฺ หเฺ มภิ จ. พรฺ หมฺ โุ น พฺรหฺมาน ปฺ พฺรหฺมนุ า พฺรหมฺ าน ส. พฺรหมฺ นิ พรฺ หฺเมสุ อา. พรฺ หเฺ ม พฺรหมฺ าโน (๓) ราช (พระราชา) เป็นทวฺ ลิ งิ ค์ (ปงุ ลิงคแ์ ละอิตถลี ิงค)์ ในปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดังน้ี ชือ่ วิภตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ราชา ราชาโน ทุ. ราชาน ราชาโน ต. รฺา ราชหู ิ, ราชูภิ จ. ร ฺโ , ราชิโน ร ฺ , ราชูน ปฺ รฺา ราชูหิ, ราชูภิ ฉ. ร ฺโ , ราชิโน ร ฺ , ราชนู ส. ร ฺ า, ราชินิ ราชสู ุ อา. ราช ราชาโน หมายเหตุ: ราช ศัพทใ์ นอติ ถีลงิ ค์ เปน็ ราชินี แจกตามแบบ นารี
๗๕ (๔) ภควนฺตุ (พระผู้มีพระภาคเจ้า) เป็นปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดังน้ี ชอ่ื วิภตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ภควา ภควนฺตา, ภควนฺโต ทุ. ภควนฺต ภควนฺเต, ภควนโฺ ต ต. ภควตา ภควนฺเตห,ิ ภควนฺเตภิ จ. ภควโต ภควต, ภควนตฺ าน ปฺ ภควตา ภควนฺเตหิ, ภควนเฺ ตภิ ฉ. ภควโต ภควต, ภควนฺตาน ส. ภควติ, ภควนเฺ ต ภควนฺเตสุ อา. ภคว, ภควา ภควนฺตา, ภควนโฺ ต ศัพท์ทแ่ี จกเหมอื น ภควนฺตุ ได้แก่ ๑. อายสฺมนฺตุ = คนมอี ายุ ๖. ธิตมิ นตฺ ุ = คนมปี ัญญา ๒. คณุ วนฺตุ = คนมคี ุณ ๗. ป ฺ วนฺตุ = คนมปี ญั ญา ๓. จกขฺ มุ นฺตุ = คนมีจกั ษุ ๘. ปุ ฺ วนฺตุ = คนมบี ุญ ๔. ชตุ ิมนตฺ ุ = คนมคี วามโพลง ๙. พนธฺ ุมนฺตุ = คนมพี วกพอ้ ง ๕. ธนวนฺตุ = คนมที รัพย์ ๑๐. สติมนตฺ ุ = คนมสี ติ (๕) อรหนฺต (พระอรหันต)์ เปน็ ทวฺ ิลิงค์ (ปงุ ลิงค์ และ อติ ถีลิงค)์ ในปุงลิงค์แจกได้ ดงั น้ี ชือ่ วิภัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. อรหา, อรห อรหนฺตา, อรหนโฺ ต ท.ุ อรหนตฺ อรหนฺเต, อรหนโฺ ต ต. อรหตา อรหนฺเตหิ, อรหนฺเตภิ จ. อรหโต, อรหนตฺ สสฺ อรหต, อรหนตฺ าน ปฺ อรหตา อรหนฺเตหิ, อรหนเฺ ตภิ ฉ. อรหโต, อรหนตฺ สสฺ อรหต, อรหนตฺ าน ส. อรหติ, อรหนฺเต อรหนฺเตสุ อา. อรห, อรหา อรหนฺตา, อรหนฺโต หมายเหตุ: อรหนฺตุ ศัพท์ ในอิตถลี งิ ค์ เปน็ อรหนฺตี แจกตามแบบ นารี
๗๖ (๖) ภวนตฺ (ผู้เจริญ) เปน็ ทฺวิลิงค์ (ปุงลงิ ค์และอิตถีลงิ ค์) ในปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดงั นี้ ชอ่ื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ภว ภวนฺตา, ภวนโฺ ต ทุ. ภวนฺต ภวนฺเต, ภวนฺโต ต. ภวตา, โภตา ภวนฺเตห,ิ ภวนฺเตภิ จ. ภวโต, โภโต ภวต, ภวนฺตาน ปฺ ภวตา, โภตา ภวนฺเตห,ิ ภวนฺเตภิ ฉ. ภวโต, โภโต ภวต, ภวนตฺ าน ส. ภวต,ิ ภวนเฺ ต ภวนฺเตสุ อา. โภ ภวนฺตา, ภวนโฺ ต, โภนตฺ า, โภนฺโต หมายเหตุ: ภวนตฺ ศัพท์ ในอิตถลี ิงค์ เป็น ภวนตฺ ี แจกตามแบบ นารี (๗) สตถฺ ุ (พระศาสดา) เป็นปงุ ลิงค์ แจกได้ ดงั นี้ ชอ่ื วภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. สตฺถา สตฺถาโร ทุ. สตถฺ าร สตฺถาโร ต. สตฺถารา, สตฺถุนา สตฺถาเรหิ, สตฺถาเรภิ จ. สตฺถุ, สตถฺ โุ น สตถฺ าราน ปฺ สตฺถารา สตถฺ าเรหิ, สตฺถาเรภิ ฉ. สตฺถุ, สตฺถโุ น สตฺถาราน ส. สตถฺ ริ สตฺถาเรสุ อา. สตถฺ า สตถฺ าโร ศัพทท์ ี่แจกเหมือน สตถฺ ุ ได้แก่ ๑. กตตฺ ุ = ผู้ทา ๖. เนตุ = ผู้นาไป ๒. ขตฺตุ = ผ้ขู ดุ ๗. ภตตฺ ุ = ผ้เู ล้ยี ง, สามี ๓. าตุ = ผูร้ ู้ ๘. วตตฺ ุ = ผู้กล่าว ๔. ทาตุ = ผู้ให้ ๙. โสตุ = ผู้ฟงั ๕. นตตฺ ุ = หลาน ๑๐. หนตฺ ุ = ผู้ฆา่
๗๗ (๘) ปิตุ (พ่อ) เปน็ ปงุ ลงิ ค์ แจกได้ ดังนี้ ชอื่ วิภัตติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. ปิตา ปติ โร ท.ุ ปติ ร ปิตโร ต. ปิตรา, ปิตุนา ปิตเรหิ, ปติ เรภ,ิ ปิตูหิ, ปติ ูภิ จ. ปิต,ุ ปิตโุ น ปิตราน, ปิตูน ปฺ ปติ รา ปิตเรหิ, ปิตเรภ,ิ ปิตหู ,ิ ปติ ูภิ ฉ. ปิต,ุ ปติ ุโน ปติ ราน, ปิตูน ส. ปติ ริ ปิตเรสุ, ปิตสู ุ อา. ปิตา ปติ โร ศพั ทท์ แ่ี จกเหมือน ปติ ุ ได้แก่ ภาตุ (พช่ี าย) และ ชามาตุ (ลูกเขย) (๙) มาตุ (แม่) เปน็ อิตถลี งิ ค์ แจกได้ ดงั น้ี ช่ือวภิ ตั ติ เอกวจนะ พหวุ จนะ ป. มาตา มาตโร ท.ุ มาตร มาตโร ต. มาตรา, มาตยุ า มาตราหิ, มาตราภิ, มาตหู ิ, มาตูภิ จ. มาต,ุ มาตุยา มาตราน, มาตูน ปฺ มาตรา มาตราหิ, มาตราภิ, มาตูหิ, มาตภู ิ ฉ. มาต,ุ มาตุยา มาตราน, มาตนู ส. มาตริ มาตราสุ, มาตสู ุ อา. มาตา มาตโร ศัพท์ทแ่ี จกเหมือน มาตุ ได้แก่ ธตี ุ (ธดิ า)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430