Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:05:57

Description: ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้า ฯ

Search

Read the Text Version

๒๒๘ ๘. ข้อใดเปน็ “ภินนาธิกรณพหพุ พิหิสมาส” ข. ทินนฺ สงโฺ ก (ราชา) ก. ฉตตฺ ปาณิ (อปุ าสโก) ง. ฉินนฺ หตโฺ ถ (ปรุ ิโส) ค. นิคคฺ ตชโน (คาโม) ๙. ขอ้ ใดเปน็ “น บพุ พบท พหุพพิหสิ มาส” ข. พหนิ คร ก. สุวณฺณวณโฺ ณ ง. อนาลโย (ภกิ ฺขุ) ค. สมจฺเฉร (จติ ฺต) ๑๐. “พหู ตาปสา ยสมฺ ึ โส = พหตุ าปโส” เป็นบทวิเคราะห์ของสมาสใด ก. จตตุ ถตี ลุ ยาธิกรณพหุพพิหิ ค. ฉัฏฐตี ุลยาธกิ รณพหุพพิหิ ข. ปญั จมตี ลุ ยธกิ รณพหุพพหิ ิ ง. สัตตมตี ุลยาธิกรณพหุพพิหิ

๒๒๙ แบบฝกึ หัดที่ ๑๑.๒ ให้จบั คู่ขอ้ ความทางซา้ ยมือกับช่อื สมาสทางขวามือที่มีความหมายตรงหรือสัมพันธก์ ัน ……… ๑. สมาสทม่ี ีอปุ สคั หรือนิบาตอยหู่ นา้ ก. ทวนั ทวสมาส ……… ๒. นามนามตง้ั แต่สองศัพทข์ ้ึนไปยอ่ ข. ตปั ปรุ ิสสมาส เขา้ เปน็ บทเดียวกัน ค. สมาหารทวันทวสมาส ……… ๓. สมาสทม่ี ีสังขยาอยูห่ น้า ง. อวธารณบพุ พบท กมั มธารยสมาส ……… ๔. นามศพั ทม์ ี อํ วภิ ัตติเป็นต้นยอ่ เขา้ ด้วย จ. อพั ยยภี าวสมาส บทเบ้อื งปลาย ฉ. พหพุ พหิ ิสมาส ……… ๕. สมาสอยา่ งหน่ึงมีบทอื่นเปน็ ประธาน ช. อัพยยภี าวสมาส ……… ๖. พุทฺโธ เอว รตน พทุ ฺธรตนํ ซ. ทิคสุ มาส ……… ๗. สมโถ จ วปิ สฺสนา จ สมถวิปสสฺ นํ ฌ. ฉัฏฐตี ัปปรุ ิสสมาส ……… ๘. ภตตฺ สฺส ปจฺฉา ปจฺฉาภตฺตํ ญ. สตั ตมตี ุลยาธิกรณพหุพพหิ ิสมาส ……… ๙. ร ฺโ ปตุ โฺ ต ราชปตุ โฺ ต ฎ. อสมาหารทวันทวสมาส ……… ๑๐. จนฺทมิ า จ สุรโิ ย จ จนทฺ มิ สุรยิ า ……… ๑๑. ฐิตา สิริ ยสมฺ ึ โส ฐติ สิริ

๒๓๐ แบบฝึกหดั ที่ ๑๑.๓ ก. ใหอ้ า่ นข้อความต่อไปน้ี แล้วขีดเสน้ ใต้ศัพทท์ เี่ ปน็ คาํ สมาส โส ตาส ตมตฺถ อาโรเจสิ. อถ น ตาอาหสุ “ตาต มา จินฺตยิตฺถ, มย ต อตฺตโน วเส กตฺวา อาเนสฺสามาต.ิ “น สกฺกา อมมฺ า เอส เกนจิ วเส กาตนุ ฺติ.“ตาต มย อิตฺถิโย นาม อิทาเนว น ราคปาสาทีหิ พนฺธิตฺวา อาเนสฺสาม, ตุมฺเห มา จินฺตยิตฺถาติ สตฺถาร อุปสงฺกมิตฺวา “ปาเท เต สมณ ปริจาเรมาติ อาหสุ. สตฺถา เนว ตาส วจน มนสากาสิ, น อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลเกสิ. ปุน มารธีตโร “อุจจาวโจ โข ปุริสาน อธิปฺปาโย, เกส จฺ ิ มชฺฌิมวเย ฐิตาสุ, เกส จฺ ิ ปจฺฉิมวเย ฐิตาสุ; นานปฺปกาเรหิ ต ปโลภิสฺสามาติ เอเกกา กุมาริกาวณฺณาทิวเสน สต สต อตฺตภาเว อภินิมฺมินิตฺวา กุมาริกาโย อวิชาตา สกึวิชาตา ทุวิชาตา มชฺฌิมิตฺถีโย มหลฺลกิตฺถิโย จ หุตฺวา ฉกฺขตฺตุ ภควนฺต อุปสงฺกมิตฺวา “ปาเท เต สมณ ปริจาเรมาติ อาหสุ. ตปิ ภควา น มนสากาสิ, ยถา ต อนตุ ฺตเร อปุ ธิสงฺขเย อธมิ ุตฺโตติ.๒ ข. ให้อ่านขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วขดี เส้นใตศ้ พั ท์ที่เปน็ วเิ สสนตุ ตรบท กัมมธารยสมาส และวงรอบ ศัพท์ท่เี ปน็ สมาหารทวันทวสมาส โสปิ “นสฺส วสลีติ กุชฺฌิตฺวา อ ฺ สฺส ฆร อคมาสิ. ตโตปิ กติปาหจฺจเยน อิมินา ว อุปาเยน ปลาปิโต ว “อ ฺ สฺสาติ เอว เอกฆเรปิ ปเวสน อลภมาโน ปณฺฑรงฺคปพฺพชฺช ปพฺพชิตฺวา ภิกฺขาย จรนฺโต กาลจฺจเยน ชราชิณฺโณ ทุพฺโภชนทุกฺขเสยฺยาหิ มิลาตสรีโร ภิกฺขาย จรนฺโต อาคมฺม ปิฏฺ ฐิกาย นิปนฺโน นิทฺท โอกฺกมิตฺวา อุฏฺ าย นิสินฺโน ปฏิปสฺสทฺธทรถ อตฺตาน โอโลเกตวฺ า ปตุ ฺเตสุ อตตฺ โน ปติฏฺฐํ อปสฺสนฺโต จนิ ฺเตสิ “สมโณ กิร โคตโม อพฺภากฏุ ิโก อุตตฺ าน- มุโข สุขสมฺภาโส ปฏิสนฺถารกุสโล, สกฺกา สมณ โคตม อุปสงฺกมิตฺวา ปฏิสนฺถาร ลภิตุนฺติ. โส นวิ าสนปารุปน สณฺ เปตฺวา ภิกฺขาภาชน คเหตฺวา ทณฺฑ อาทาย ภควโต สนฺติก อคมาสิ. วุตฺตปิ เจต “อถโข อ ฺ ตโร พรฺ าหฺมณมหาสาโล ลโู ข ลูขปาวุรโณ เยน ภควา, เตนุปสงฺมีติ.๓ ๒ ธ.อ. ๖/๖๔. ๓ ธ.อ. ๗/๑๔๑

๒๓๑ เอกสารอา้ งองิ ประจําบทท่ี ๑๑ กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๐. กลมุ่ ศึกษานิรตุ ตศิ าสตร.์ คัมภีร์ปทรปู สทิ ธแิ ปลและอธบิ าย เล่ม ๑. กรงุ เทพฯ: อษุ าการพิมพ,์ ๒๕๓๖. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา, กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระธรรมกติ ติ (พระคนั ธสาราภวิ งศ์ ชาระ). พาลาวตาโร. ลาปาง: จติ วฒั นาการพมิ พ,์ ๒๕๔๑. พระพุทธปั ปยิ ะ. ปทรปู สิทธฺ ิ. กรุงเทพฯ: เฉลมิ ชาญการพมิ พ์, ๒๕๒๖. พระมหาสมใจ ป ฺ าทโี ป. ปทรูปสทิ ธแิ ปล. กรงุ เทพฯ: พทิ กั ษ์การพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักด์ิ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ อาขยาตและ กิตก์. กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒. สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). มลู น้อยอาศัยมูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๑.

บทที่ ตทั ธติ ๑๒ Noun words: Words followed by suffixes วตั ถปุ ระสงค์ประจําบทที่ ๑๒ เมื่อศึกษาบทท่ี ๑๒ จบแล้ว นักศกึ ษา/ผูท้ ่ีสนใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของตัทธติ ได้ ๒. จาแนกประเภทของตัทธติ ได้ ๓. บอกตัทธติ แตล่ ะประเภทไดถ้ ูกตอ้ ง ๑๒.๑ ความนาํ ในภาษาบาลี มีศัพท์ประเภทหน่ึงท่ีสาเร็จด้วยปัจจัยซึ่งเป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่เนื้อความย่อ เรียกว่า “ตัทธิต” ตัทธิตน้ี แบ่งออกได้ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ สามัญญตัทธิต ภาวตัทธติ และอัพยย- ตัทธิต ในบทน้ี จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเก่ียวกับตัทธิต จานวน ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมาย ของตทั ธิต และ ๒) ประเภทของตัทธิต โดยมรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ ๑๒.๒ ความหมายของตทั ธิต คาวา่ “ตัทธิต” ในภาษาบาลี มาจาก ต ศัพท์ และ หิต ศัพท์ โดยแปลง ห เป็น ธ ซอ้ น ทฺ หน้า ธ สาเร็จรูปเป็นตัทธิต๑ แปลว่า ประโยชน์เก้ือกูลแก่เนื้อความย่อ หมายถึง ศัพท์ท่ีสาเรจ็ ด้วยปัจจัยมี ณ ๑ คาว่า “ตัทธิต” มีวิเคราะห์ว่า ตสฺส หิต ตทฺธิตํ (ณปจฺจยาทิการิย) แปลว่า (สัททรูปอันบุคคลทาให้สาเร็จ ด้วยปัจจัยมี ณ เป็นต้น) เป็นประโยชน์เก้ือกูล แก่เน้ือความแห่งศัพท์มี วาสิฏฺ เป็นต้น (วาสิฏฺ าพิกสฺส อตฺถสฺส) น้ัน ชอ่ื ว่า ตทั ธิต

๒๓๓ เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่เนื้อความย่อ (หรือบทนาม) หรือศัพท์ท่ีลงปัจจัยแทนศัพท์จาพวก หน่ึง เช่น สฺยาเม ชาโต = สฺยามิโก (ผู้เกิดในสยาม) คาว่า สฺยามิโก เป็นเนื้อความย่อโดยมีบทนาม คือ สยฺ าม (สะ-หยา-มะ) แปลวา่ สยาม (สะ–หยาม) ลง ณิก ปัจจัยในตัทธติ แทนศัพท์ ชาโต สาเร็จรูปเป็น สฺยามิโก แปลว่า ผู้เกิดในสยาม จะเห็นว่า ณิก ปัจจัย เป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่เนื้อความย่อ (หรือบท นาม) คือสฺยามิโก หรือศัพท์ คือสฺยาม (สะ-หยา-มะ) ทาให้บทนามหรือศัพท์มีความหมายพิเศษข้ึนมา ใหม่ ๑๒.๓ ประเภทของตทั ธติ ตัทธิตในภาษาบาลี อาจแบ่งออกได้ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ สามัญญตัทธิต, ภาวตัทธิต และ อพั ยยตัทธิต โดยแตล่ ะประเภท มรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี ๑๒.๓.๑ สามัญญตัทธิต สามัญญตัทธิตนี้แบ่งย่อยได้ ๑๓ ประเภท๒ ได้แก่ โคตตตัทธิต, ตรัตยาทิตัทธิต, ราคาทิตัทธิต, ชาตาทิตัทธิต, สมุหตัทธิต, ฐานตัทธิต, พหุลตัทธิต, เสฏฐตัทธิต, ตทัสสัตถติ ัทธติ , ปกตติ ัทธติ , สงั ขยาตทั ธิต, ปูรณตทั ธติ และ วิภาคตทั ธิต มีรายละเอียด ดงั น้ี ๑) โคตตตัทธิต มีปัจจัย ๘ ตัว ได้แก่ ณ, ณายน, ณาน, เณยฺย, ณิ, ณิก, ณว, เณร ใช้สาหรบั ลงแทน อปจจฺ ศัพท์ แปลวา่ “เหล่ากอแห่ง...” ดงั น้ี ณ ปัจจัย เช่น โคตมสฺส อปจจฺ = โคตโม เหล่ากอแห่งโคตมะ ช่อื วา่ โคตรมะ ณายน ปัจจยั เช่น กจฺจสสฺ อปจฺจ = กจฺจายโน เหล่ากอแหง่ กจั จะ ชื่อวา่ กัจจายนะ ณาน ปัจจัย เชน่ โมคฺคลลฺ สสฺ อปจฺจ = โมคคฺ ลฺลาโน เหล่ากอแหง่ โมคคลั ละ ชื่อวา่ โมคคลั ลานะ เณยยฺ ปัจจยั เช่น ภคินยิ า อปจจฺ = ภาคิเณยโฺ ย เหลา่ กอแหง่ พน่ี ้องหญิง ชือ่ ว่า ภาคิเนยยะ ณิ ปจั จยั เช่น วรณุ สสฺ อปจจฺ = วารณุ ิ เหลา่ กอแหง่ วรณุ ะ ชอื่ ว่า วารุณิ ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาค ภาคท่ี ๒ สมาส และตัทธิต, (กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๑๓๔.

๒๓๔ ณิก ปจั จยั เช่น สกยฺ ปุตตฺ สฺส อปจฺจ = สากฺยปตุ ฺติโก เหลา่ กอแหง่ สกั ยบุตร ช่ือวา่ สากยปุตตกิ ะ ณว ปัจจยั เชน่ มนุโน อปจฺจ = มานโว เหลา่ กอแห่งมนุ ชื่อวา่ มานวะ เณร ปัจจัย เชน่ สมณสฺส อปจฺจ = สามเณโร เหล่ากอแหง่ สมณะ ชอื่ ว่า สามเณระ ๒) ตรัตยาทิตัทธิต ลงปัจจัย ๑ ตัว คือ ณิก ปัจจัย สาหรับแทนศัพท์และกริยา ทงั้ หมด มี ตรติ ศพั ท์ เปน็ ตน้ เช่น นาวาย ตรตี-ติ = นาวิโก (ชโน) (ชน) ยอ่ มข้ามดว้ ยเรือ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ ว่า นาวิกะ สกเฏน จรตี-ติ = สากฏิโก (ชโน) (ชน) ยอ่ มเทยี่ วไป ด้วยเกวยี น เพราะเหตนุ ้นั ชื่อว่า สากฏิกะ ๓) ราคาทิตัทธิต ลงปัจจัย ๑ ตัว คือ ณ ปัจจัย สาหรับแทนศัพท์ทั้งหลาย มี รตฺต ศัพท์ เป็นตน้ เชน่ กสาเวน รตตฺ วตถฺ = กาสาวํ ผา้ (อันบุคคล) ย้อมแลว้ ดว้ ยน้าฝาด ช่ือวา่ กาสาวะ มคเธ ชาโต = มาคโธ (ชโน) (ชน) เกิดแลว้ ในแวน่ แคว้นมคธ ช่อื มาคธะ ๔) ชาตาทิตัทธิต ลงปัจจัย ๓ ตัว ได้แก่ อิม, อิย, กิย, สาหรับแทนศัพท์ท้ังหลายมี ชาต ศัพท์ เป็นตน้ ดังน้ี อมิ ปจั จัย เชน่ ปุเร ชาโต = ปุรโิ ม (ชโน) (ชน) เกดิ แล้ว ในก่อน ชอ่ื วา่ ปุริมะ อิย ปัจจัย เช่น มนุสสฺ ชาติยา ชาโต = มนุสสฺ ชาติโย (ชโน) (ชน) เกิดแล้ว โดยชาติแหง่ มนษุ ย์ ชื่อว่า มนุสสชาตยิ ะ

๒๓๕ กยิ ปัจจยั เชน่ ชาติยา นิยุตโฺ ต = ชาติกิโย (ชโน) (ชน) ประกอบแล้ว ด้วยชาติ ชือ่ ว่า ชาตกิ ิยะ ๕) สมุหตทั ธิต ลงปัจจยั ๓ ตัว ไดแ้ ก่ กณฺ, ณ, ตา สาหรับแทน สมุห ศพั ท์ แปลว่า “หมู่...” หรือ “ประชมุ ...” ดังน้ี กณฺ ปัจจยั เชน่ มนุสสฺ าน สมุโห = มานุสโก หมูแ่ ห่งมนษุ ย์ ท. ช่ือวา่ มานสุ กะ ณ ปัจจัย เช่น ปุริสาน สมโุ ห = โปริโส ประชุมแหง่ บุรษุ ท. ชอ่ื ว่า โปรสิ ะ ตา ปัจจัย เชน่ คามาน สมุโห = คามตา ประชมุ แห่งชาวบา้ น ท. ช่อื ว่า คามตา ๖) ฐานตัทธติ ลงปจั จยั ๑ ตวั คือ อีย ปัจจยั สาหรบั แทน าน ศัพท์ เช่น มทนสฺส าน = มทนียํ ทต่ี ้ัง แหง่ ความเมา ชอื่ วา่ มทนยี ะ ขอ้ สงั เกต: อีย ปัจจยั น้ี อาจใชส้ าหรับลงแทน อรห ศัพท์ เชน่ ทสฺสน อรหตี-ติ = ทสฺสนโี ย (ชโน) (ชน) ยอ่ มควร ซง่ึ การเหน็ เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า ทสั สนียะ และบางคร้ังใช้ เอยฺย ปัจจัย ลงแทน อรห ศัพท์ ได้ด้วย เชน่ ปชู น อรหตี-ติ = ปชู เนยฺโย (ชโน) (ชน) ยอ่ มควร ซ่ึงการบูชา เพราะเหตุน้ัน ชอื่ ว่า ปชู เนยยะ ๗) พหุลตัทธิต ลงปัจจัย ๑ ตัว คือ อาลุ ปัจจัย สาหรับแทน พหุล ศัพท์ แปลว่า “มาก” และ แทน ปกติ ศพั ท์ แปลวา่ “เปน็ ปกติ” เชน่ สีต เอตถฺ พหลุ = สตี าลุ (ปเทโส) หนาว ในประเทศน้นั มาก (ประเทศนั้น) ชือ่ วา่ มีหนาวมาก

๒๓๖ อภชิ ฺฌา อสฺส ปกติ = อภิชฌฺ าลุ อภิชฌา เป็นปกติ ของชนนัน้ (ชนนั้น) ช่อื วา่ มีอภชิ ฌาเปน็ ปกติ ๘) เสฏฐตัทธิต ลงปัจจัย ๕ ตัว ได้แก่ ตร, ตม, อิยิสฺสก, อิย, อิฏฺ สาหรับแทน วเิ สส ศพั ท์ แปลว่า “…กวา่ ” และแทน อติวิเสส ศพั ท์ แปลวา่ “...ท่สี ุด” ดังนี้ ตร ปัจจยั เช่น สพเฺ พ อเิ ม ปาปา, อยมิเมส วเิ สเสน ปาโปติ = ปาปตโร (ชโน) ชน ท. เหล่านี้ ท้ังปวง เป็นบาป, ชนนี้ เป็นบาปกว่า กว่าชน ท้ังหลายเหลา่ นี้ เพราะเหตุนน้ั (ชนน้ี) ชือ่ ว่า เปน็ บาปกว่า ตม ปัจจัย เชน่ สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มส อตวิ ิเสเสน ปาโปติ = ปาปตโม (ชโน) ชน ท. เหล่านี้ ทั้งปวง เป็นบาป, ชนนี้ เป็นบาปที่สุด กว่าชน ท. เหลา่ นี้ เพราะเหตุนน้ั (ชนน)้ี ชอ่ื วา่ เป็นบาปทส่ี ดุ อิยสิ สฺ ก ปัจจัย เช่น สพเฺ พ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มส วเิ สเสน ปาโปติ = ปาปิยสิ สฺ โก (ชโน) ชน ท. เหล่านี้ ทงั้ ปวง เปน็ บาป, ชนน้ี เปน็ บาปกว่า กวา่ ชน ท. เหล่านี้ เพราะเหตนุ ั้น (ชนน้ี) ชอื่ ว่า เปน็ บาปกวา่ อยิ ปจั จัย เช่น สพฺเพ อิเม ปาปา, อยมเิ มส วเิ สเสน ปาโปติ = ปาปิโย (ชโน) ชน ท. เหลา่ น้ี ทั้งปวง เป็นบาป, ชนน้ี เปน็ บาปกว่า กวา่ ชน ท. เหลา่ น้ี เพราะเหตนุ ้ัน (ชนน้ี) ชื่อวา่ เป็นบาปกว่า อฏิ ฺ ปัจจยั เชน่ สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มส อตวิ เิ สเสน ปาโปติ = ปาปฏิ ฺ โ (ชโน) ชน ท. เหลา่ นี้ ท้งั ปวง เป็นบาป, ชนนี้ เป็นบาปทสี่ ุด กว่าชน ท. เหล่าน้ี เพราะเหตุน้นั (ชนนี)้ ชื่อวา่ เปน็ บาปทีส่ ดุ ๙) ตทัสสัตถิตัทธิต ลงปัจจัย ๙ ตัว ได้แก่ วี, ส, สี, อิก, อี, ร, วนฺตุ, มนฺตุ, ณ สาหรับแทน อตถฺ ิ ศพั ท์ แปลวา่ “มี...” ดงั น้ี วี ปจั จัย เช่น เมธา อสสฺ อตฺถี-ติ = เมธาวี (ชโน) ปัญญา ของชนนนั้ มีอยู่ เพราะเหตุนั้น (ชนนน้ั ) ชือ่ วา่ มีปญั ญา ส ปัจจัย เชน่ โลมา อสฺส อตฺถี-ติ = โลมโส (ชโน) ขน ของชนน้นั มอี ยู่ เพราะเหตนุ ั้น (ชนนน้ั ) ชอื่ ว่า มีขน

๒๓๗ สี ปัจจัย เช่น ตโป อสสฺ อตถฺ ี-ติ = ตปสี ตบะ ของชนน้ัน มอี ยู่ เพราะเหตนุ ั้น (ชนนั้น) ชอ่ื วา่ มีตบะ อิก ปจั จัย เช่น ทณฺโฑ อสฺส อตถฺ ี-ติ = ทณฺฑิโก ไมเ้ ทา้ ของชนนน้ั มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั (ชนนัน้ ) ช่อื ว่า มีไมเ้ ทา้ อี ปัจจัย เชน่ สุข อสฺส อตฺถี-ติ = สุขี สขุ ของชนนนั้ มีอยู่ เพราะเหตนุ ้นั (ชนนน้ั ) ชอื่ วา่ มีสุข ร ปจั จยั เช่น มธุ อสสฺ อตถฺ ี-ติ = มธุโร น้าผึ้ง ของขนมนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น (ขนมนน้ั ) ช่อื วา่ มนี าํ้ ผึ้ง (มีรสหวาน) วนตฺ ุ ปจั จัย เชน่ ธน อสฺส อตฺถ-ี ติ = ธนวา ทรัพย์ ของชนนนั้ มีอยู่ เพราะเหตุน้นั (ชนนัน้ ) ช่อื วา่ มีทรัพย์ มนฺตุ ปัจจยั เชน่ สติ อสฺส อตฺถี-ติ = สตมิ า สติ ของชนนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั (ชนนน้ั ) ชือ่ ว่า มีสติ ณ ปจั จยั เช่น สทธฺ า อสสฺ อตฺถี-ติ = สทฺโธ ศรทั ธา ของชนน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้นั (ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีศรัทธา ๑๐) ปกติตัทธิต มีปัจจัย ๑ ตัว คือ มย ปัจจยั ใช้สาหรับลงแทน ปกต ศัพท์ แปลว่า “(อนั บุคคล) ทําแล้ว” หรือ “อนั สาํ เรจ็ แลว้ ” และแทน วิการ ศัพท์ แปลวา่ “เปน็ วิการ...” เช่น สวุ ณเณน ปกต = โสวณฺณมยํ (ภาชน) (ภาชนะ) อนั บุคคลทาแล้ว ด้วยทอง ชือ่ วา่ โสวณั ณมยะ มตฺตกิ าย วิกาโร = มตตฺ กิ ามยํ (ภาชน) (ภาชนะ) เปน็ วกิ าร แห่งดนิ ช่ือว่า มัตติกามยะ ๑๑) สังขยาตัทธิต มีปัจจัย ๑ ตัว คือ ก ปัจจัย ใช้สาหรับลงแทน ปริมาณ ศัพท์ แปลว่า “มีปริมาณ...” เชน่ เทฺว ปริมาณานิ อสฺสาติ = ทฺวิกํ (วตถฺ ุ) ปริมาณ ท. ของวัตถุน้ัน ๒ เพราะฉะนน้ั (วตั ถุนน้ั ) ช่ือวา่ มีปริมาณ ๒

๒๓๘ ๑๒) ปูรณตัทธติ มีปัจจัย ๕ ตัว ได้แก่ ติย, ถ, , ม, อี ใช้สาหรับลงแทน ปรู ณ ศัพท์ แปลว่า “เปน็ ท่เี ต็ม...” หรอื “ท.ี่ ..” ซึ่งโดยท่ัวไปจะใช้ลงหลังปกตสิ ังขยา สาเรจ็ รูปแลว้ เปน็ ปูรณสงั ขยา ดงั น้ี ตยิ ปจั จยั เชน่ ทวฺ ินนฺ ปูรโณ = ทตุ โิ ย (ชโน) (ชน) เป็นท่เี ต็ม แห่งชน ท. ๒ ชื่อวา่ ที่ ๒ ถ ปจั จัย เช่น จตนุ นฺ ปรู โณ = จตตุ โฺ ถ (ชโน) (ชน) เปน็ ที่เต็ม แหง่ ชน ท. ๔ ชอ่ื วา่ ที่ ๔ ปัจจัย เชน่ ฉนฺน ปรู โณ = ฉฏฺ โ (ชโน) (ชน) เปน็ ท่เี ตม็ แหง่ ชน ท. ๖ ช่ือว่า ท่ี ๖ ม ปัจจยั เชน่ ป ฺจนฺน ปูรโณ = ป ฺจโม (ชโน) (ชน) เปน็ ที่เต็ม แหง่ ชน ท. ๕ ชือ่ วา่ ที่ ๕ อี ปจั จยั เชน่ เอกาทสนฺน ปูรณี = เอกาทสี (อิตฺถ)ี (หญิง) เปน็ ท่เี ต็ม แห่งหญิง ท. ๑๑ ชอื่ ว่า ที่ ๑๑ ข้อสงั เกต: อี ปจั จยั ใช้ลงหลังปกตสิ ังขยาต้ังแต่ เอกาทส ถงึ อฏฺ ารส เพ่อื ทาใหเ้ ปน็ อติ ถีลงิ ค์ ๑๓) วิภาคตัทธิต มีปจั จัย ๒ ตวั ไดแ้ ก่ ธา, โส ใชส้ าหรับลงแทน วภิ าค ศพั ท์ แปลวา่ “โดยสว่ น...”, “โดยจําแนก...” ดังนี้ ธา ปจั จยั เชน่ เอเกน วิภาเคน = เอกธา โดยสว่ นเดียว ชอ่ื วา่ เอกธา โส ปัจจยั เช่น ปเทน วภิ าเคน = ปทโส โดยการจาแนก โดยบท ชอื่ ว่า ปทโส ๑๒.๓.๒ ภาวตทั ธติ ในภาวตัทธติ น้ี มปี จั จยั ๖ ตัว ไดแ้ ก่ ตฺต, ณฺย, ตตฺ น, ตา, ณ, กณฺ ใช้ สาหรบั ลงแทน ภาว ศพั ท์ แปลวา่ “ความเป็น...” ดงั นี้ ตตฺ ปจั จัย เชน่ จนทฺ สสฺ ภาโว = จนทฺ ตตฺ ํ ความเป็น แห่งพระจันทร์ ชอ่ื วา่ จันทัตตะ

๒๓๙ ณฺย ปัจจัย เช่น ปณฑฺ ติ สสฺ ภาโว = ปณฑฺ จิ จฺ ํ ความเป็น แหง่ บัณฑิต ชือ่ วา่ ปณั ฑิจจะ ตฺตน ปจั จยั เช่น ปุถุชนสสฺ ภาโว = ปุถชุ ชฺ นตตฺ นํ ความเป็น แห่งปุถุชน ชื่อวา่ ปถุ ุชชนตั ตนะ ตา ปัจจยั เช่น มุทโุ น ภาโว = มุทตุ า ความเปน็ แห่งคนอ่อน (คนใจอ่อนโยน) ชือ่ วา่ มุทุตา ณ ปจั จัย เช่น สจุ ิโน ภาโว = โสจํ ความเปน็ แหง่ ของสะอาด ช่ือวา่ โสจะ กณฺ ปัจจัย เช่น รมณยี สสฺ ภาโว = รามณียกํ ความเป็น แห่งของอันบุคคลพงึ ยนิ ดี ชอื่ ว่า รามณียกะ ๑๒.๓.๓ อัพยยตัทธิต ในอัพยยตัทธิตนี้ มีปัจจัย ๒ ตัว ได้แก่ ถา, ถํ ใช้สาหรับลงหลัง สพั พนาม แทน ปการ ศัพท์ แปลวา่ “ โดยประการ...” เช่น ถา ปจั จัย เชน่ เยน ปกาเรน = ยถา โดยประการใด เตน ปกาเรน = ตถา โดยประการน้ัน ถํ ปัจจยั เช่น เกน ปกาเรน = กถํ โดยประการไร อมิ ินา ปกาเรน = อิตถฺ ํ โดยประการน้ี

๒๔๐ ๑๒.๔ สรปุ ท้ายบท ตัทธิต แปลว่า ประโยชน์เก้ือกูลแก่เน้ือความย่อ หมายถึง ศัพท์ท่ีลงปัจจัยแทนศัพท์จาพวก หน่ึง ซ่ึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เน้ือความย่อหรือบทนาม ตัทธิตแบ่งออกได้ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ๑) สามัญญตัทธิต ๒) ภาวตัทธิต และ ๓) อัพยยตัทธิต ตัทธิตดังกล่าวน้ี แตกต่างจากสมาส กล่าวคือ ตัทธิตเป็นการสร้างคําใหม่ โดยลงปัจจัยแทนศัพท์ซ่ึงเป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่เน้ือความย่อ ส่วน สมาสเปน็ การยอ่ บทนามเข้าเป็นบทเดียวกนั และเกิดเป็นคาํ ใหม่

๒๔๑ แบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ ๑๒ แบบฝึกหดั ท่ี ๑๒.๑ ใหเ้ ลือกคําตอบท่ถี ูกที่สุดเพียงขอ้ เดยี ว ๑. ขอ้ ใด ไม่เกี่ยวขอ้ ง กบั ตัทธิต ก. ปจั จัยหมู่หน่งึ ใช้ลงแทนศัพท์ ข. ปัจจัยหมู่หนึ่งท่ีเปน็ ประโยชน์เก้อื กูลแก่บทนาม ค. ปจั จยั หมู่หนง่ึ ลงหลงั บทนามทาให้บทนามมีความหมายพิเศษข้นึ มาใหม่ ง. ปัจจยั หมู่หนง่ึ ทบ่ี อก วิภตั ติ และ วจนะท่ีตรงกับบทประธาน ๒. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ ปจั จยั ในโคตตตทั ธิต ข. ณิก ก. ณ ง. กยิ ค. เณร ๓. ปจั จัยในโคตตตัทธติ ใชล้ งแทนศพั ท์ใด ข. อปจฺจ ก. ตรติ ง. รตตฺ ค. ชาต ๔. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ปจั จัยในชาตาทติ ัทธติ ข. อิย ก. อมิ ง. อีย ค. กิย ๕. “สมหุ ศพั ท์ แปลวา่ หมู่” ใช้ปจั จยั ใดลงแทน ก. กณฺ, ณ, ตา ข. อิม, อยิ , กิย ค. ตร, ตม, อิฏฺ ง. วี, ส, สี ๖. “ าน ศัพท์ แปลว่า ท่ตี ้ัง” ใช้ปัจจยั ใดลงแทน ก. ณิก ข. ณ ค. อีย ง. อาลุ ๗. ในเสฏฐตทั ธติ มปี จั จัยกีต่ ัว และใช้ลงแทนศัพท์ใด ก. ๒ ตวั ใช้ลงแทน วภิ าค ศัพท์ ข. ๙ ตวั ใช้ลงแทน อตถฺ ิ ศพั ท์ ค. ๑ ตัว ใช้ลงแทน ปกต และ วกิ าร ศัพท์ ง. ๕ ตัว ใชล้ งแทน วเิ สส และ อติวเิ สส ศัพท์

๒๔๒ ๘. “เอกธา” แปลว่า โดยสว่ นเดียว คาว่า “ธา” เปน็ ปัจจยั ลงแทนศัพท์ใด ก. วิภาค ศพั ท์ ข. ภาว ศัพท์ ค. ปรมิ าณ ศพั ท์ ง. ปูรณ ศพั ท์ ๙. “อตฺถิ ศัพท์ แปลว่า มี...” ใช้ปัจจยั ในตัทธิตใดลงแทน ก. ฐานตัทธติ ข. พหลุ ตัทธติ ค. ตทัสสตั ถิตัทธิต ง. เสฏฐตทั ธติ ๑๐. มย ปัจจยั ในปกตติ ัทธิต ใช้ลงแทนศัพท์ใด ก. ปกต ศพั ท์ ข. วิการ ศัพท์ ค. ปรู ณ ศพั ท์ ง. ขอ้ ก. และ ข. ถกู

๒๔๓ แบบฝึกหดั ท่ี ๑๒.๒ ใหจ้ บั คู่คาํ ศพั ทด์ า้ นซา้ ยมือกับปจั จยั ทางขวามือท่ีมีความหมายตรงหรอื สมั พันธก์ นั ….... ๑. อปจฺจ (เหลา่ กอ) ก. อาลุ ....... ๒. ตรติ (ขา้ ม) ข. กณ,ฺ ณ, ตา ....... ๓. รตฺต (ย้อม) ค. ณ ....... ๔. ชาต (เกดิ ) ง. ณ, ณายน, ณาน, เณยยฺ , ณ,ิ ณกิ , ณว, เณร ....... ๕. สมุห (หม่,ู ประชุม) จ. ณกิ ....... ๖. าน (ทต่ี ง้ั ) ฉ. อิม, อยิ , กิย ....... ๗. พหลุ , ปกต,ิ (มาก, เปน็ ปกต)ิ ช. อีย ....... ๘. วเิ สส, อตวิ เิ สส (กว่า, ท่ีสดุ ) ซ. มย ....... ๙. อตถฺ ิ (มี) ฌ. ถ ญ. ตร, ตม, อยิ สิ ฺสก, อิย, อิฏฺ ..... ๑๐. ปกต, วิการ (อันสาเรจ็ , เปน็ วกิ าร) ฎ. วี, ส, สี, อิก, อ,ี ร, วนฺต,ุ มนตฺ ุ, ณ ฐ. ถา, ถ ..... ๑๑. ปริมาณ (มปี ริมาณ) ฑ. ธา, โส ..... ๑๒. ปรู ณ (เปน็ ทีเ่ ต็ม) ฒ. ตยิ , ถ, , ม, อี ..... ๑๓. วิภาค (โดยสว่ น, โดยจาแนก) ณ. ตตฺ , ณยฺ , ตฺตน, ตา, ณ, กณฺ ..... ๑๔. ภาว (ความเป็น) ..... ๑๕. ปการ (โดยประการ)

๒๔๔ แบบฝกึ หัดที่ ๑๒.๓ ใหบ้ อกวา่ ศพั ทต์ ัทธิตต่อไปน้ี ลงปัจจัยอะไร และมคี ําแปลวา่ อยา่ งไร ศัพท์ตัทธติ ปัจจัย คาํ แปลศัพท์ ๑. สามเณโร .................................... ............................................................ ๒. นาวิโก (ชโน) .................................... ............................................................ ๓. กาสาว .................................... ............................................................ ๔. ปรุ โิ ม (ชโน) .................................... ............................................................ ๕. มานสุ โก .................................... ............................................................ ๖. มทนีย .................................... ............................................................ ๗. สีตาลุ (ปเทโส) .................................... ............................................................ ๘. ปาปตโร (ชโน) .................................... ............................................................ ๙. เมธาวี (ชโน) .................................... ............................................................ ๑๐. โสวณฺณมย (ภาชน) .................................... ............................................................ ๑๑. ทฺวิก (วตถฺ )ุ .................................... ............................................................ ๑๒. ทุตโิ ย (ชโน) .................................... ............................................................ ๑๓. ปทโส .................................... ............................................................ ๑๔. จนฺทตฺต .................................... ............................................................ ๑๕. ยถา .................................... ............................................................

๒๔๕ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๒.๔ ให้อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วขีดเสน้ ใตศ้ พั ท์ท่เี ปน็ ตทั ธติ สตฺถา อปปฺ วิสติ ฺวา ว อานนทฺ ตเฺ ถร โอโลเกสิ. เถโร โอโลกติ ส ฺ าเยว วตฺถาน อนกฺกมน ภาว ตฺวา “สหร ราชกุมาร ทุสสฺ าน,ิ น ภควา เจลปฏกิ อกกฺ มิสฺสต,ิ ปจฺฉิม ชนต ตถาคโต โอโลเกตีติ ทสุ สฺ านิ สหราเปสิ. โส ทุสฺสานิ สหรติ วฺ า สตถฺ าร อนฺโต ปเวเสตฺวา ยาคุ ขชชฺ เกน สนฺตปฺเปตวฺ า เอกมนฺต นิสินโฺ น วนทฺ ติ ฺวา อาห “อห ภนฺเต ตุมหฺ าก อปุ ฏฺ าโก ติกฺขตฺตุ สรณ คโต: กุจฉฺ ิคโต จ กิรมฺหิ เอกวาร สรณ คโต, ทุตยิ มปฺ ิ ตรุณทารกกาเล, ตติยมปฺ ิ วิ ฺ ภุ าว ปตฺตากาเล; ตสฺส เม กสฺมา เจลปฏกิ น อกกฺ มติ ฺถาติ. “กึ ปน ตฺว กุมาร จินฺเตตวฺ า เจลปฏกิ อตถฺ รตี ิ. “สเจ ปุตฺต วา ธรี ต วา ลจฉฺ ามิ, สตฺถา เม เจลปฏิก อกกฺ มิสฺสตีติ อิท จนิ ฺเตตฺวา ภนฺเตต.ิ “เตนาห กมุ าร น อกฺกมนิ ฺติ. “กึ ปนาห ภนฺเต ปตุ ตฺ วา ธตี ร วา เนว ลจฉฺ ามตี ิ. “อาม กมุ าราติ. “กึการณา ภนเฺ ตติ. “ปรุ ิมตฺต- ภาเว ชายาย สทธฺ ึ ปมาท อาปนฺนตตฺ าติ. “กสฺมึ กาเล ภนเฺ ตติ. อถสสฺ สตถฺ า อตีต อาหริตฺวา ทสเฺ สสิ.

๒๔๖ เอกสารอา้ งองิ ประจาํ บทท่ี ๑๒ กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐. กลุ่มศึกษานริ ุตติศาสตร.์ คมั ภรี ์ปทรูปสิทธแิ ปลและอธบิ าย เล่ม ๑. กรงุ เทพฯ: อษุ าการพิมพ์, ๒๕๓๖. จตุรังคพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสุทธิพงศ์ ปริวรรต). อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา. กรุงเทพฯ: เทคนิค, ๒๕๒๗. พระธรรมกติ ติ (พระคนั ธสาราภิวงศ์ ชาระ). พาลาวตาโร. ลาปาง: จิตวฒั นาการพมิ พ์, ๒๕๔๑. พระพทุ ธปั ปิยะ. ปทรูปสทิ ฺธิ. กรุงเทพฯ: เฉลมิ ชาญการพิมพ,์ ๒๕๒๖. พระมหาสมใจ ป ฺ าทีโป. ปทรปู สิทธิแปล. กรงุ เทพฯ: พิทกั ษก์ ารพิมพ์, ๒๕๒๘. พระศรีสุทธิพงศ์ (สมศักด์ิ อุปสโม). กจฺจายนสงฺเขป ปริวรรตจากอักษรบาลีพม่า. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมสาร, ๒๕๓๑. วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาคท่ี ๒ อาขยาตและ กิตก์. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒. สมเด็จพระวันรัต (ฑติ อุทยมหาเถระ). มูลนอ้ ยอาศยั มูลใหญ่. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.

บทท่ี ประโยค ๑๓ Sentences วัตถปุ ระสงคป์ ระจาบทที่ ๑๓ เมอื่ ศึกษาบทท่ี ๑๓ จบแล้ว นกั ศกึ ษา/ผทู้ ่สี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของประโยคได้ ๒. จาแนกองคป์ ระกอบของประโยคไดถ้ ูกต้อง ๓. บอกชนิดของประโยคได้ ๔. อธิบายประโยคชนดิ ต่าง ๆ ได้ถกู ต้อง ๑๓.๑ ความนา ในการศึกษาภาษาบาลีเพื่อค้นคว้าพระพุทธศาสนาน้ัน นอกจากจะต้องมีความรู้เบื้องต้น เก่ียวกับภาษาบาลีและชนิดของคาต่าง ๆ ทางไวยากรณ์บาลีแล้ว ยังจะต้องทาความเข้าใจเก่ียวกับ ประโยคต่าง ๆ ทางภาษาบาลีด้วย เพราะการท่ีจะสามารถเข้าใจคาสอนในพระพุทธศาสนาได้ ต้อง เข้าใจประโยคท่ีใช้สาหรบั การส่ือความหมายด้วย ดังน้ัน ในบทนี้ จะนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเกี่ยวกับ ประโยค จานวน ๓ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของประโยค ๒) องค์ประกอบของประโยค และ ๓) ชนิดของประโยค โดยมรี ายละเอยี ด ดังต่อไปนี้ ๑๓.๒ ความหมายของประโยค ประโยค หมายถึง กลุ่มคา ซง่ึ นามาประกอบเข้าด้วยกันตามระเบียบของแต่ละภาษา เพื่อแสดง ขอ้ ความอย่างใดอย่างหน่ึง ท่ีสามารถทาให้ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจเน้ือความได้ชัดเจนในภาษา น้ัน ๆ เช่น ประโยคในภาษาไทยว่า คุณเข้าใจผม. ผมมาโดยรถประจาทาง. ฯลฯ ประโยคใน ภาษาอังกฤษว่า He goes to school. (เขาไปโรงเรียน) She goes for a walk. (หล่อนไปเดิน เล่น) ฯลฯ ประโยคในภาษาบาลี ก็คอื ขอ้ ความที่เป็นรปู ประโยค ซึ่งอ่านหรอื ฟงั เขา้ ใจได้ตามรูปแบบหรือ

๒๔๘ ชนิดของประโยคน้ัน ๆ เช่น พุทฺธสฺส สาวโก. (สาวก ของพระพุทธเจ้า) สูโท โอทน ปจติ. (พ่อครัว หุงข้าว) ฯลฯ ๑๓.๓ องค์ประกอบของประโยค ประโยคในภาษาบาลี ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนท่ีเป็นภาคประธาน (Subject) และส่วนทเ่ี ป็นภาคแสดง (Predicate) โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๑๓.๓.๑ ภาคประธาน (Subject) เป็นส่วนท่ีประกอบด้วยนามนาม หรือสัพพนามซึ่งเป็น ผูก้ ระทากริยาในภาคแสดง ๑๓.๓.๒ ภาคแสดง (Predicate) เปน็ ส่วนที่ต่อจากภาคประธาน บอกการกระทาของประธาน ในประโยคหรอื บอกว่าประธานในประโยคเป็นใคร ซึ่งมคี ากริยาเป็นตัวบอกการกระทาและอาจจะมีสว่ น ขยายอน่ื ๆ ตามมา ดูตวั อย่างภาคประธานและภาคแสดง ภาคประธาน ภาคแสดง ขยายประธาน ประธาน ขยายกริยา กรยิ า - ปิตา อมหฺ าก ปิโย โหติ. อปปฺ ํ โหต.ิ มนุสสฺ าน ชีวติ มหาหสิต หส.ิ สา อติ ถฺ ี ๑๓.๔ ชนดิ ของประโยค ประโยคในภาษาบาลี เม่ือพิจารณาตามลักษณะของไวยากรณ์แล้วก็คือ ข้อความท่ีเป็นรูป ประโยควลี ซ่งึ อา่ นหรือฟังเข้าใจได้ แต่ไม่ได้ความเต็มที่ เรียกว่า “ประโยคลิงคัตถะ” และข้อความท่ีเรา เรียกตามวาจกท้ัง ๕ ชนิด ประโยคในภาษาบาลีจึงมี ๖ ชนิด ตามลักษณะของไวยากรณ์ อย่างไรก็ตาม ประโยคในภาษาบาลี ถ้าจะแบ่งตามลักษณะของเนื้อความในประโยค ก็อาจแบ่งได้ ๓ ชนิด นอกจากน้ี ในภาษาบาลี ยังมีประโยคท่ีมีลักษณะพิเศษอีกชนิดหน่ึงเรียกว่า “ประโยค ย กริยาปรามาส” และมี ประโยคแทรกอีก ๒ ชนิด เรียกว่า “ประโยคอนาทร” และ “ประโยคลักขณะ” ประโยคแต่ละชนิด ดังกลา่ วมาน้ี มีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้

๒๔๙ ๑๓.๔.๑ ประโยคภาษาบาลตี ามลกั ษณะของไวยากรณ์ แบ่งออกได้ ๖ ชนดิ ดงั นี้ ๑) ประโยคลิงคัตถะ (Noun Phrase) คอื ประโยคคาพูดซึ่งฟังยงั ไม่ได้ความเตม็ ที่ ไม่ มีคากริยาของนามศัพท์ควบคุมโดยสมบรู ณ์ เช่น พทุ ฺธสฺส สาวโก. อ. สาวก ของพระพุทธเจา้ ปปุ ผฺ าน คนฺโธ อ. กลน่ิ แหง่ ดอกไม้ ท. ๒) ประโยคกัตตุวาจก (Active Voice) คือ ประโยคที่มีรูปกริยา ซึ่งประธานเป็น ผูก้ ระทา หรือแสดงกรยิ าตวั นน้ั เช่น สูโท โอทน ปวต.ิ อ. พอ่ ครวั หุงอยู่ ซ่งึ ข้าว กสกา เขตตฺ กสนฺติ. อ. ชาวนา ท. ยอ่ มไถ ซง่ึ นา ๓) ประโยคกัมมวาจก (Passive Voice) คอื ประโยคที่มีรูปกริยา ซึ่งประธานของมัน เป็นผถู้ ูก (ผู้อน่ื ) กระทากรยิ าตวั นนั้ หรอื ได้รับผลจากกรยิ าตัวนน้ั เชน่ สิสเฺ สน สปิ ปฺ ํ สกิ ขฺ ยิ เต. อ. ศิลปะ อนั ศษิ ย์ ศึกษาอยู่ ชเนหิ กมฺมานิ กรยิ นฺเต. การงาน ท. อันชน ท. ทาอยู่ ๔) ประโยคภาววาจก (Impersonal Voice) คือ ประโยคท่ีมีรูปกริยา ซ่ึงประธาน หรือกัตตา (ผู้ทา) ทม่ี ีรปู ตตยิ าวิภัตติ เป็นผ้กู ระทาหรอื แสดงกริยาตวั นั้น เช่น เตน มรยเต. อนั เขา ย่อมตาย ชเนหิ ภยเต. อันชน ท. เป็นอยู่

๒๕๐ ๕) ประโยคเหตุกัตตุวาจก (Causative Voice) คือ ประโยคท่ีมีรูปกริยา ซ่ึงประธาน ของมนั เป็นเหตุให้ผ้อู ืน่ กระทากริยาตัวนัน้ เชน่ ครุ สิสฺส สปิ ฺปํ สิกฺขาเปต.ิ อ. ครู ยงั ศิษย์ ใหศ้ กึ ษาอยู่ ซ่ึงศิลปะ สามิโก สเู ทน โอทน ปาเจต.ิ อ. นาย ยังพอ่ ครวั ใหห้ ุงอยู่ ซ่งึ ข้าว ๖) ประโยคเหตุกัมมวาจก (Causal Passive Voice) คือ ประโยคท่ีมีรูปกริยา ซ่ึง ประธานของมนั ถูกผ้อู ่ืน (หรอื สงิ่ อน่ื หรือตนคือตวั ประธานเอง) ให้กระทากรยิ าตัวนน้ั เชน่ อาหาโร มาตรา ปตุ ตฺ ภุญชฺ าปิยเต. อ. อาหาร อนั มารดา ยงั บุตร ใหบ้ ริโภคอยู่ สามเิ กน สูเทน โอทโน ปาจาปยิ เต. อ. ข้าว อนั นาย ยังพ่อครัว ให้หุงอยู่ ข้อสังเกต: ประโยคลิงคัตถะมีเพียงตัวประธานเท่าน้ัน ไม่มีกริยาหลัก (กริยาคุมพากย์) ใน ประโยค สว่ นประโยคนอกจากนี้มีท้งั ตัวประธานและกริยาหลัก ๑๓.๔.๒ ประโยคภาษาบาลตี ามลักษณะของเนื้อความ การแบ่งประโยคภาษาบาลีดังกล่าวมาข้างต้น เป็นการแบ่งตามลักษณะของไวยากรณ์ ถ้าจะ แบ่งตามลกั ษณะของเนื้อความในประโยค อาจแบ่งออกไดเ้ ป็น ๓ ชนิด ดังน้ี ๑) เอกัตถประโยค (Simple Sentence) คือ ประโยคความเดียว มีความหมายครบ บริบูรณ์ในตอนเดียว อาจจะมีเฉพาะตัวประธานกับกริยาหลัก (กริยาคุมพากย์) เท่านั้น หรือมีบทขยาย ประธานและบทขยายกรยิ าดว้ ยก็ได้ เชน่ โส สยติ. เขา ย่อมนอน สาวกาน สงฺโฆ พุทธฺ สสฺ ธมฺม จรติ. อ. หมู่ แหง่ สาวก ท. ย่อมประพฤติ ซึ่งธรรม ของพระพทุ ธเจา้

๒๕๑ ตสฺมา ตทิวส สตฺถา ตสฺส (มหาปาลสฺส) อุปนิสฺสย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนฺโต อนุปพุ พฺ ีกถ กเถสิ. (๑/๕) เพระฉะนั้น ในวันนั้น อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ซึ่งอุปนิสัย ของกุฎุมพีชื่อ ว่ามหาปาละนน้ั เม่ือทรงแสดง ซ่งึ ธรรม ตรสั แลว้ ซง่ึ อนปุ ุพพกี ถา ๒) อเนกัตถประโยค (Compound Sentence) คือ ประโยคความรวม ซึ่งเกิดจากการ รวมประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน โดยมีอิสระจากกัน คาว่า มีอิสระ (Independent) หมายความว่า แต่ละส่วนไม่ขึน้ แก่กัน กล่าวคือ เม่อื แยกออกจากกนั แลว้ ต่างก็เป็นอิสระไมข่ ึน้ แก่กนั ต่างก็เป็นประโยค ย่อย (อนุประโยค) ที่ได้ใจความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยท่ัวไป อเนกัตถประโยคจะมีคาเช่ือมที่เรียกว่า “สันธานนิบาต” (นิบาตเชื่อมความ) ลงเชื่อมความไว้ในประโยคหลัง มีข้อความคล้อยตามกันบ้าง ขดั แย้งกันบ้าง ให้เลือกเอาอยา่ งใดอย่างหนึ่งบ้าง เปน็ เหตุเป็นผลของกันและกันบา้ ง เพ่ือประกอบความ เข้าใจทีช่ ดั เจน อาจแสดงโครงสร้างของอเนกตั ถประโยค ดงั แผนภาพที่ ๑๓.๑ อเนกตั ถประโยค อนปุ ระโยคอสิ ระ + สันธานนิบาต + อนปุ ระโยคอิสระ แผนภาพที่ ๑๓.๑ โครงสร้างของอเนกัตถประโยค จากแผนภาพท่ี ๑๓.๑ อเนกัตถประโยคดังกล่าวข้างต้นน้ี อาจแบ่งย่อยออกเป็น ๔ ชนิด ตามลักษณะของเนอื้ ความ ดังน้ี (๑) อนวยาเนกัตถประโยค คือ อเนกัตถประโยคท่ีมีเนื้อความคล้อยตามกัน มัก เช่อื มด้วยสันธานนบิ าตต่อไปน้ี เชน่ จ= และ, ด้วย, ก็, อนงึ่ , จรงิ อยู่ หิ = ก็, จรงิ อย่,ู แทจ้ ริง ปน = ก็, กแ็ ล ตัวอยา่ ง สวิ ิกาโย จ รเถ จ คเหตวฺ า คจฉฺ ถ. (๑/๘๑) อ. ท่าน ท. ถอื เอาแล้ว ซึ่งวอ ท. ดว้ ย ซึ่งรถ ท. ดว้ ย จงไป (= ท่านทงั้ หลาย ถือเอาวอและรถทัง้ หลายแล้ว จงไป)

๒๕๒ จากตวั อยา่ งนี้ อาจแยกประโยคออกจากกนั โดยเปน็ อิสระจากกันได้ ดงั น้ี (๑) สวิ ิกาโย คเหตวฺ า คจฉฺ ถ. …จ...จ... (๒) รเถ คเหตฺวา คจฉฺ ถ. ซง่ึ ประโยคท้ังใน (๑) และ (๒) เป็นประโยคท่ีมีความหมายชดั เจนในตัวเอง โดยมี...จ...จ... เป็นสันธานนบิ าตเชือ่ มข้อความคล้อยตามกัน (๒) พยติเรกาเนกัตถประโยค คือ อเนกัตถประโยคท่ีมีเน้ือความขัดแย้งกัน มัก เช่ือมด้วยสนั ธานนบิ าตต่อไปน้ี เช่น ปน = แต่, แต่วา่ , ส่วนวา่ , ฝา่ ยว่า, ถงึ อย่างน้ัน จ = สว่ นวา่ , ฝา่ ยวา่ ตวั อยา่ ง ภนฺเต อห มหลฺลกกาเล ปพฺพชิโต คนฺถธุร ปูเรต น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุร ปน ปูเรสสฺ ามิ. (๑/๗) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ จักไม่อาจ เพื่ออันยังคันถธุระให้เต็ม เพราะความที่แห่งข้าพระองค์เป็นผู้บวชแล้ว ในกาลแห่งตนถือเอาซึ่งความ เปน็ แหง่ คนแก่ แต่วา่ อ. ข้าพระองค์ ยงั วปิ ัสสนาธุระ จกั ใหเ้ ต็ม จากตวั อยา่ งดังกลา่ วนี้ อาจแยกประโยคออกจากกนั โดยเปน็ อสิ ระจากกันได้ ดงั น้ี (๑) ภนเฺ ต อห มหลฺลกกาเล ปพฺพชิโต คนฺถธรุ ปูเรต น สกขฺ สิ สฺ ามิ. …ปน... (๒) วปิ สสฺ นาธุร ปูเรสฺสามิ. ซ่ึงประโยคท้ังใน (๑) และ (๒) เป็นประโยคท่ีมีความหมายชัดเจนในตัวเอง โดยมี...ปน... เปน็ สนั ธานนิบาตเช่ือมขอ้ ความทข่ี ัดแย้งกนั (๒) วิกัปปาเนกัตถประโยค คือ อเนกัตถประโยค ที่มีเน้ือความให้เลือกเอาอย่าง ใดอยา่ งหนง่ึ มักเช่อื มดว้ ยสันธานนิบาตต่อไปนี้ เช่น

๒๕๓ วา = หรอื , กด็ ี, กต็ าม, บ้าง อถวา = อีกอยา่ งหนง่ึ วา ปน = กห็ รือวา่ อาทู = หรอื วา่ ตวั อยา่ ง ปุตฺต วา ธตี ร วา ลภิตวฺ า ตมุ ฺหาก มหาสกฺการ กริสสฺ าม.ิ (๑/๓) อ. เรา ได้แล้ว ซึ่งบตุ ร หรือ หรือว่า ซ่งึ ธดิ า จักกระทา ซึ่งสักการะใหญ่ แกท่ า่ น (= เราไดบ้ ตุ ร หรอื ธิดาแลว้ จกั ทาสกั การะใหญ่แกท่ า่ น) จากตัวอย่างดงั กลา่ วน้ี อาจแยกประโยคออกจากกนั โดยเปน็ อิสระจากกันได้ ดงั นี้ (๑) ปตุ ฺต ลภติ ฺวา ตมุ หฺ าก มหาสกกฺ าร กรสิ ฺสามิ. ...วา...วา... (๒) ธีตร ลภิตวฺ า ตุมหฺ าก มหาสกฺการ กริสสฺ ามิ. ซง่ึ ประโยคทง้ั ใน (๑) และ (๒) เปน็ ประโยคท่ีมีความหมายชัดเจนในตัวเอง โดยมี...วา...วา ...เปน็ สันธานนิบาตเชื่อมข้อความที่ให้เลือกเอาอย่างใดอยา่ งหนึง่ (๓) เหตวาเนกัตถประโยค คือ อเนกัตถประโยค ท่ีมีเน้ือความเป็นเหตุเป็นผล ของกันและกัน มกั เชื่อมดว้ ยสนั ธานนบิ าตต่อไปน้ี เชน่ หิ = เพราะวา่ , เหตวุ า่ ยสมฺ า...ตสมฺ า = เหตุใด...เพราะเหตนุ ้ัน, เพราะฉะนน้ั ตัวอย่าง ภชิ ชฺ ติ ปตู สิ นฺเทโห, มรณนฺต หิ ชวี ิต. (๕/๑๐๐) อ. กายอนั เป่อื ยเนา่ ย่อมแตกไป, เพราะว่า อ.ชีวติ เปน็ ธรรมชาติ มีความตายเป็นท่สี ุด (ยอ่ มเปน็ ) จากตัวอย่างดงั กล่าวนี้ อาจแยกประโยคออกจากกนั โดยเป็นอสิ ระจากกนั ได้ ดังนี้ (๑) ภชิ ชฺ ติ ปูตสิ นเฺ ทโห. …หิ... (๒) มรณนตฺ ชีวิต.

๒๕๔ ซง่ึ ประโยคทงั้ ใน (๑) และ (๒) เป็นประโยคที่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง โดยมี…ห.ิ ..เป็น สันธานนบิ าตเช่อื มขอ้ ความท่เี ปน็ เหตเุ ป็นผลของกันและกัน ๓) สังกรประโยค (Complex Sentence) คือ ประโยคความซ้อน ซึ่งเกิดจากการรวม ประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน โดยมีสว่ นหนึ่งขึ้นอยกู่ ับอีกส่วนหนึ่ง น่ันคือ สงั กรประโยค ประกอบด้วย ประโยคหลัก (Principle clause) หรือ ประโยคสาคัญ (Main clause) หน่ึงประโยค และ ประโยค อาศัย (Dependent clause) หรือ ประโยคแฝง (Subordinate clause) หนึ่งหรือสองประโยคข้ึนไป ทั้งน้ี ประโยคอาศัยหรอื ประโยคแฝงดังกล่าว จะมีคาเชื่อมประโยคด้วย และอยู่ลอย ๆ ไม่ได้ ต้องอาศัย หรือแฝงอยู่กบั ประโยคหลัก หรือประโยคสาคัญ จงึ จะมีความหมายสมบูรณ์ ในภาษาบาลี ประโยคที่มีลักษณะดังกล่าวมาน้ี ได้แก่ประโยคท่ีเราเรียกว่า “ประโยค ย-ต” น่ันเอง ซ่ึงประโยค ย-ต ดังกล่าวก็คือประโยคที่มีคาแปลว่า “ใด-น้ัน”, “ฉันใด-ฉันน้ัน”, “เพียงใด-เพียงน้ัน” หรือ “เหตุใด-เพราะเหตุนั้น” อยู่ในประโยค ดังนั้น ประโยค ย-ต จึงหมายถึง อนุประโยค (ประโยคย่อย) ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปที่รวมกันอยู่ โดยมี ย-ต เป็นคาเชื่อมข้อความ และ ถือว่า อนุประโยค ต เป็นประโยคหลักหรือประโยคสาคัญ ส่วนอนุประโยค ย เป็นประโยคอาศัยหรือ ประโยคแฝง (คือแฝงหรืออาศัยประโยคหลัก จึงจะอ่านหรือฟังได้ความสมบูรณ์) ทาหน้าที่ขยาย อนุประโยค ต ในลักษณะเป็นประโยควิเสสนะ (adjective clause) บ้าง ประโยคกริยาวิเสสนะ (adverb clause) บ้าง ตวั อย่างเชน่ โย จ โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ปสสฺ ติ, โส ม ปสสฺ ติ นาม. ดูกอ่ นวกั กลิ ก็ อ.บคุ คลใดแล ย่อมเห็น ซง่ึ ธรรม, อ. บุคคลนน้ั ชอื่ ว่า ยอ่ มเห็น ซึง่ เรา จากตัวอย่างน้ี อาจแยกประโยคออกได้ ดงั น้ี (๑) โย จ โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ปสฺสต.ิ (๒) โส ม ปสฺสติ นาม. ซึ่งประโยค (๑) เป็นอนุประโยค ย หรือประโยคอาศัย ส่วนประโยค (๒) เป็นอนุประโยค ต หรอื ประโยคหลัก และในที่นี้ อนุประโยค ย ทาหน้าทเ่ี ปน็ ประโยควเิ สสนะ คอื ขยายอนปุ ระโยค ต เพื่อประกอบความเข้าใจที่ชัดเจนย่ิงขึ้น อาจแสดงตัวอย่างโครงสร้างของประโยค ย-ต ใน รปู ของแผนภาพ ดงั แผนภาพที่ ๑๓.๒

๒๕๕ โย จ โข วกฺกลิ ธมมฺ ปสฺสติ, โส ม ปสฺสติ นาม ประโยค ย-ต (complex sentence) โย จ โข วกฺกลิ ธมฺม ปสฺสติ โส ม ปสฺสติ นาม ประโยค ย ประโยค ต (subordinate clause) (main clause) แผนภาพที่ ๑๓.๒ ตัวอย่างโครงสรา้ งของประโยค ย-ต อย่างไรก็ตาม ประโยค ย-ต ในภาษาบาลี อาจจาแนกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) ประโยค ย-ต สามัญ ๒) ประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย ๓) ประโยค ย-ต ปการัตถะ ๔) ประโยค ย-ต ปริจเฉท (หรือ ปรจิ เฉทนัตถะ) และ ๕) ประโยค ย-ต เหตุ โดยมคี าเชอ่ื มประเภทสพั พนามและนบิ าตเป็นคู่ ๆ ดงั นี้ คาเชือ่ มของประโยค ย-ต ประโยค ย ประโยค ต ย (โย, ย...) ใด ต (โส, ต...) นน้ั ยถา (หรอื เสยยฺ ถา) ฉนั ใด เอว (หรือ ตถา) ฉนั น้ัน ยาว เพยี งใด ตาว เพยี งนน้ั ยสฺมา เหตุใด ตสฺมา เพราะเหตนุ น้ั รายละเอยี ดเก่ียวกับประโยค ย-ต ท้งั ๕ ประเภท มีดังตอ่ ไปน้ี (๑) ประโยค ย-ต สามัญ คือ ประโยคที่มี ย-ต สัพพนาม เป็นคาเชื่อมความ แปลว่า “ใด-นนั้ ” “ผูซ้ ่งึ ...” “ผ้ทู .ี่ ..” “ท.่ี ..หรอื อนั ...” เชน่ โย ธมมฺ ปสฺสติ, โส ม ปสสฺ ติ. อ. บุคคลใด ยอ่ มเหน็ ซ่งึ ธรรม, อ. บุคคลนั้น ช่อื วา่ ยอ่ มเหน็ ซง่ึ เรา

๒๕๖ (๒) ประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย คือ ประโยคที่มีนิบาต คือ ยถา (หรือ เสยฺยถา)-เอว (หรอื ตถา) เป็นคาเชอ่ื ม แปลวา่ “ฉนั ใด-ฉนั น้นั ” “เหมอื น...” หรือ “เปรียบเหมือน...” เช่น ยเถว ตุมเฺ ห ต น ปสฺสถ, ตถา โสปิ เต ปาณเก น ปสฺสติ. (๑/๑๙) อ. ท่าน ท. ย่อมไม่เห็น ซึ่งพระจักขุบาลนนั้ ฉันใดนัน่ เทยี ว, อ. พระจกั ขบุ าล แมน้ น้ั ย่อมไมเ่ หน็ ซ่งึ สตั วเ์ ลก็ ท. เหล่านนั้ ฉนั นั้น (๓) ประโยค ย-ต ปการัตถะ คือ ประโยคท่ีมีนิบาต คือ ยถา-ตถา (หรือ เอว) เป็น คาเชื่อมความ แปลวา่ “โดยประการใด-โดยประการน้นั ” หรอื “โดยประการท.่ี ..” เช่น ยถา ทารก น ลภติ; ตเถว น กาตุ วฏฺฏต.ิ (๑/๔๓) อ. นางกุลธิดาน้ี จะไม่ได้ ซ่ึงทารก โดยประการใด, อ. อันอันเรากระทา ซึ่งนางกุลธิดานั้น โดยประการน้นั นัน่ เทยี ว ย่อมควร (๔) ประโยค ย-ต ปริจเฉท (หรือ ย-ต ปริจเฉทนัตถะ) คือ ประโยคท่ีมีนิบาต คือ ยาว-ตาว เป็นคาเชื่อม แปลวา่ “เพียงใด-เพียงน้นั ” หรือ “ตราบเท่าท.ี่ ..” เชน่ ยาว เม ปสนฺนจิตตฺ น ปฏิกฏุ ติ; ตาวเทว ปชู กรสิ ฺสามิ. (๓/๑๓๕) อ. จิตอนั เล่ือมใสแล้ว ของเรา ยอ่ มไม่คลาย (ยอ่ มไม่งอกลับ) เพยี งใด อ. เรา จักกระทา ซง่ึ การบชู า เพียงน้นั นัน่ เทยี ว (๕) ประโยค ย-ต เหตุ คือ ประโยคที่มีนิบาต คือ ยสฺมา-ตสฺมา เป็นคาเชื่อมความ แปลวา่ “เหตใุ ด-เพราะเหตุนั้น” “เพราะ…ฉะนนั้ ” หรอื “เพราะเหตุนนั้ ...ฉะน้ัน” เช่น ยสมฺ า สปฺปรุ โิ ส สีลคนฺเธน สพพฺ า ทิสา อชโฺ ฌตฺถวติ ฺวา คจฉฺ ติ; ตสมฺ า “ตสฺส คนโฺ ธ ปฏิวาตเมตีติ วตตฺ พโฺ พ. (๓/๗๙-๘๐) อ. สตั บรุ ษุ ครอบงาแล้ว ซ่ึงทิศ ท. ท้งั ปวง ดว้ ยกลิ่นแหง่ ศลี ย่อมไป เหตุใด; เพราะเหตุน้นั อ. สตั บุรษุ น้ัน อนั บณั ฑิต พึงกล่าวว่า อ. กลน่ิ แห่งสตั บรุ ุษนั้น ยอ่ มฟุ้งไป สูท่ ี่เปน็ ที่ทวนลม ดังน้ี จะเห็นได้ว่า ประโยคในภาษาบาลี ถ้าแบ่งตามลักษณะของเนื้อความ ก็มี ๓ ชนิด คือ เอกัตถ ประโยค (ประโยคความเดียว) อเนกัตถประโยค (ประโยคความรวม) และสังกรประโยค (ประโยคความ ซ้อน) ดงั กล่าวมาแล้ว

๒๕๗ ๑๓.๔.๓ ประโยค ย กรยิ าปรามาส ในภาษาบาลี มีประโยคพิเศษชนิดหน่ึงซ่ึงมีลักษณะเป็นประโยค ย-ต เรียกว่า “ประโยค ย กริยาปรามาส” เป็นประโยคท่ีมี ย ปรากฏอยู่ ซึ่งคาว่า “ย” น้ี นิยมวางไว้ต้นประโยค และมักจะมาคู่ กับประโยค ต (ต หรือ เอต) เสมอ โดยประโยค ต วางอยู่ข้างหน้า ส่วนประโยค ย กริยาปรามาส วาง อย่ขู ้างหลัง แปลว่า “ใด-นัน้ ” หรอื “ข้อที.่ ..นน้ั ” เชน่ อนจฉฺ ริย โข ปเนต ภิกฺขุ, ย ตวฺ มาทิส อาจรยิ ลภิตฺวา อปฺปิจฺโฉ อโหส.ิ (๒/๑๑๘) ดกู ่อนภิกษุ ก็, อ. เธอ ไดแ้ ล้ว ซึ่งอาจารย์ ผเู้ ช่นกบั ดว้ ยเรา เป็นผมู้ ีความปรารถนาน้อย ได้เป็นแล้ว ใด, อ. ความท่ีแห่งเธอได้แล้ว ซ่ึงอาจารย์ ผู้เช่นกับด้วยเรา เป็นผู้มีความ ปรารถนานอ้ ย (ตว มาทิส อาจริย ลภติ วฺ า อปฺปจิ ฉฺ ตตฺ ) น้ัน ไมน่ ่าอัศจรรย์แล ๑๓.๔.๔ ประโยคแทรก ในภาษาบาลี ยังมีประโยคอีก ๒ ชนิด ซ่ึงมีลักษณะเป็นประโยคท่ีมีเนื้อความไม่สมบูรณ์นัก คอยแทรกอยู่ในประโยคหลัก เพ่ือให้ประโยคหลักมีเนื้อความสมบูรณ์ขึ้น ประโยคทั้ง ๒ ชนิดดังกล่าวน้ี เรยี กวา่ “ประโยคแทรก” ไดแ้ ก่ ประโยคอนาทรและประโยคลกั ขณะ ซง่ึ อาจแสดงรายละเอยี ดได้ ดงั นี้ ๑) ประโยคอนาทร หมายถึง ประโยคแทรกท่ีแทรกเข้ามาในประโยคหลักซ่ึงเป็น ประโยคยืน โดยแทรกหน้าประโยคหลักบ้าง ท่ามกลางประโยคหลักบ้าง หมายถึง บทนามนามที่เป็นรูป ฉัฏฐีวิภัตติ แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “เม่ือ...” ทาหน้าท่ีเป็นประธานในประโยค และมีกริยาคุม พากย์ เรียกว่า “กริยาอนาทร” ประกอบด้วย ต, อนฺต หรือ มาน ปัจจัย โดยประกอบเป็นรูป ฉัฏฐีวิภัตติเหมอื นกับบทประธาน (มีลิงค์, วจนะ และวภิ ัตติ ตรงกับบทประธานเสมอ) เช่น สามเณรสฺส ธมฺม กเถนฺตสฺส, อนฺธกาโร ชาโต. อ. ความมืด, เมอื่ สามเณร แสดงอยู่ ซึ่งธรรม, เกิดแลว้ เสฏฺฐิโน ภริยา, ตสฺส วน คตสสฺ , คาเม กมมฺ กโรติ. อ. ภรรยา ของเศรษฐี, เมอ่ื เศรษฐีน้ัน ไปแล้ว สปู่ ่า, ยอ่ มทา ซง่ึ การงาน ในบา้ น ๒) ประโยคลักขณะ (หรือประโยคลักขณวันตะ) หมายถึง ประโยคแทรกท่ีแทรกเข้า มาในประโยคหลกั ซ่ึงเป็นประโยคยืนในลักษณะเดียวกับประโยคอนาทร หมายถึง บทนามนามท่ีเป็นรูป สัตตมีวิภัตติ แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ครั้นเม่ือ...” ทาหน้าท่ีเป็นประธานในประโยค และมี กริยาคุมพากย์ เรยี กว่า “กริยาลักขณะ” หรือ “กริยาลักขณวันตะ” ประกอบด้วย ต, อนฺต หรือ มาน ปัจจัย เหมือนประโยคอนาทร แต่ประกอบเป็นรูปสัตตมีวิภัตติ เหมือนกับบทประธาน (มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบทประธานเสมอ) เช่น

๒๕๘ รญฺเ อาคเต, สพฺเพ ชนา ปกฺกมนตฺ .ิ อ.ชน ท., คร้ันเมื่อพระราชา เสดจ็ มาแล้ว, ย่อมหลีกไป นโิ คฺรธสสฺ ปตฺตาน,ิ เทเว วุฏฺเ , ผลนฺติ. อ. ใบ ท. แหง่ ต้นไทร, ครนั้ เม่ือฝน ตกแลว้ , ยอ่ มผลิ ๑๓.๕ สรปุ ท้ายบท ประโยค หมายถึง กลุ่มคา ซ่ึงนามาประกอบเข้าด้วยกันตามระเบียบของแต่ละภาษาเพื่อ แสดงข้อความอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่ีสามารถทาให้ผู้อื่นซ่ึงอาจเป็นผู้อ่านหรือผู้ฟัง เข้าใจเนื้อความได้ ชัดเจนในภาษานั้น ๆ ประโยคในภาษาบาลี ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนที่เป็น ภาคประธาน (Subject) และสว่ นท่ีเป็นภาคแสดง (Predicate) ชนดิ ของประโยคในภาษาบาลี แบ่งตาม ลักษณะของไวยากรณ์ได้ ๖ ชนิด ได้แก่ ๑) ประโยคลิงคัตถะ (Noun Phrase) ๒) ประโยคกัตตุวาจก (Active Voice) ๓) ประโยคกัมมวาจก (Passive Voice) ๔) ประโยคภาววาจก (Impersonal Voice) ๕) ประโยคเหตุกัตตุวาจก (Causative Voice) และ ๖) ประโยคเหตุกัมมวาจก (Causal Passive Voice) แต่แบ่งตามลักษณะของเนื้อความในประโยคได้ ๓ ชนิด ได้แก่ ๑) เอกัตถประโยค (Simple Sentence) ๒) อเนกัตถประโยค (Compound Sentence) และ ๓) สังกรประโยค (Complex Sentence) นอกจากนี้ ในภาษาบาลี ยังมีประโยคท่ีมีลักษณะพิเศษชนิดหน่ึง เรียกว่า “ประโยค ย กริยาปรามาส” และมปี ระโยคแทรกอกี ๒ ชนดิ เรยี กวา่ “ประโยคอนาทร” และ “ประโยคลกั ขณะ” ประโยคแต่ละชนิดดังกล่าวมาน้ีมีความสาคัญมาก เพราะจะสามารถสื่อความด้านหลักธรรมคาสั่งสอน ทางพระพทุ ธศาสนาไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ผู้ศึกษาภาษาบาลีจึงควรเรียนรแู้ ละทาความเข้าใจให้ดี

๒๕๙ แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี ๑๓ แบบฝกึ หัดที่ ๑๓.๑ ให้เลือกคาตอบทีถ่ ูกที่สดุ เพยี งขอ้ เดียว ๑. ประโยคท่ีฟังยงั ไม่ได้ความเต็มท่ี ไม่มีคากริยาควบคุมโดยสมบูรณ์ เรียกว่าประโยคอะไร ก. ประโยคภาววาจก ค. ประโยคลิงคัตถะ ข. ประโยคเหตกุ ตั ตวุ าจก ง. ประโยคกตั ตวุ าจก ๒. ประโยคใดทต่ี ัวประธานหรือกัตตาเปน็ ตตยิ าวภิ ตั ติ ค. ประโยคเหตุกตั ตวุ าจก ก. ประโยคลิงคัตถะ ง. ประโยคเหตกุ ัมมวาจก ข. ประโยคภาววาจก ๓. ประโยคในข้อใดที่ประธานเป็นผ้ใู ช้ใหท้ า ค. ประโยคเหตกุ ัตตวุ าจก ก. ประโยคกัตตวุ าจก ง. ประโยคเหตุกมั มวาจก ข. ประโยคกัมมวาจก ๔. กรยิ าศัพท์ในขอ้ ใด เปน็ เหตุกัมมวาจก ค. มรยเต ก. ภุ ชฺ าปิยเต ง. กรยิ นฺเต ข. สิกขฺ าเปติ ๕. “สามิโก สเู ทน (สทู ) โอทน ปาเจติ.” เปน็ ประโยคอะไร ก. ประโยคกตั ตุวาจก ค. ประโยคเหตกุ ตั ตวุ าจก ข. ประโยคกมั มวาจก ง. ประโยคเหตุกัมมวาจก

๒๖๐ แบบฝึกหัดที่ ๑๓.๒ ให้บอกวา่ ประโยคต่อไปนเี้ ป็นประโยคชนดิ ใด โดยดูประโยคแรกเปน็ ตัวอย่าง เอกตั ถประโยค = เอก. อเนกตั ถประโยค = อเนก. สังกรประโยค = สงั กร. เอก. ๑. สาวกาน สงโฺ ฆ พุทธฺ สสฺ ธมฺม จรต.ิ ๒. ภนฺเต อห มหลฺลกกาเล ปพฺพชิโต คนฺถธุร ปูเรตุ น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุร ปน ปเู รสสฺ าม.ิ ๓. ยถา ทารก น ลภติ; ตเถว น กาตุ วฏฺฏต.ิ ๔. ยสฺมา สปฺปุริโส สีลคนฺเธน สพฺพา ทิสา อชฺโฌตฺถริตฺวา คจฺฉติ; ตสฺมา “ตสฺส คนฺโธ ปฏิวาตเมตีติ วตฺตพโฺ พ. ๕. ยาว เม ปสนนฺ จิตตฺ น ปฏกิ ุฏติ; ตาวเทว ปชู กริสฺสามิ. ๖. ยเถว ตุมเฺ ห ต น ปสฺสถ, ตถา โสปิ เต ปาณเก น ปสสฺ ติ. ๗. โย ธมฺม ปสสฺ ต,ิ โส ม ปสฺสติ. ๘. ภชิ ชฺ ติ ปตู ิสนฺเทโห, มรณนฺต หิ ชีวติ . ๙. สิวกิ าโย จ รเถ จ คเหตวฺ า คจฺฉถ. ๑๐. ตสฺมา ตทิวส สตฺถา ตสฺส (มหาปาลสฺส) อุปนิสฺสย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนฺโต อนุปพุ พฺ กี ถา กเถส.ิ

๒๖๑ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๓.๓ ใหว้ งรอบอนุประโยค ย และขีดเส้นใต้อนุประโยค ต ตามตวั อยา่ ง ตวั อยา่ ง: ย (โจร) นสิ ฺสาย เต (โจรา) ต กมมฺ กโรนตฺ ิ ; โส ทตฺโต วา มตฺโต วา ‘เตส ปุพพฺ งคฺ โมติ วุจจฺ ต.ิ ๑. กึ ปน (ตสสฺ ) เม ตวฺ ปาปิม ปสฺสสิ, ย ม ตวฺ เอว วเทสิ. (๗/๑๖๔) ๒. อิท วสิ ฺสชเฺ ชตฺวา ยทนู , ต ปเู รยยฺ าส.ิ (๑/๗๔) ๓. ยถา ปน ทารุอาทีหิ นิปฺผนฺนานิ ตานิ ตานิ ภณฺฑานิ ทารุมยาทีนิ นาม โหนฺติ; ตถา เอเตปิ มนโต นิปฺผนฺนตตฺ า มโนมยา นาม. (๑/๒๑) ๔. สตฺถา ตสฺสา อาคมนภาว ตฺวา, ยถา อตฺตโน สนฺตเิ ก นสิ ินฺนา ภิกฺขู น ปญฺ ายนฺติ; เอวมกาสิ. (๔/ ๑๙) ๕. เตนหิ สามิ อาคเมหิ ตาว; ยาวาห กุจฉฺ ิคต ทารก วิชายาม.ิ (๔/๔๗)

๒๖๒ แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๓.๔ ใหบ้ อกวา่ ประโยคต่อไปนี้ ประโยคใดเป็นอนุประโยค ย และประโยคใดเปน็ อนปุ ระโยค ต ตัวอย่าง: อนุประโยค ย ยถา อตตฺ โน สนฺตเิ ก นิสนิ ฺนา ภิกขฺ ู น ปญฺ ายนฺติ. _________________๑. อนจฺฉรยิ โข ปเนต. _________________๒. ย ตฺว มาทสิ อาจริย ลภติ วฺ า อปฺปิจโฺ ฉ อโหสิ. (๒/๑๑๘) _________________๓. ยาว อิท พนธฺ น น พนฺธติ. _________________๔. ตาวเทว ฉินทฺ ิสสฺ าม.ิ (๑/๗๗) _________________๕. ยถา เม ธนจฺเฉโท น โหต.ิ _________________๖. ตถา กริสฺสามิ. (๑/๒๓) _________________๗. ยสมฺ า พทุ ฺธา อปุ ฺปชฺชมานา มหาชน ราคกนตฺ าราทีหิ ตาเรนฺติ. _________________๘. ตสมฺ า พุทธฺ าน อุปปฺ าโท สุโข. (๑/๑๑๔) _________________๙. าน โข ปเนต วิชฺชต.ิ ________________๑๐. ย ตวฺ กุมาโรว สมาโน กาล กเรยยฺ าสิ. (๑/๑๓๐)

๒๖๓ แบบฝึกหัดที่ ๑๓.๕ ใหเ้ ติม ย หรือ ต ลงในช่องว่างเพอ่ื เชอื่ มประโยคใหส้ มบูรณ์ ตวั อย่าง: โย จ โข วกฺกลิ ธมฺม ปสสฺ ต,ิ โส ม ปสสฺ ติ นาม. ๑. เตนหิ สามิ อาคเมหิ ____________; ยาวาห กุจฺฉิคต ทารก วิชายาม.ิ (๔/๔๗) ๒. อาคเมหิ_____________เมฆยิ , เอกโกมฺหิ ยาว อ ฺโ ปิ โกจิ ภิกฺขุ ทิสสฺ ติ. (๒/๑๑๖) ๓. ยถา นสิ ฺสทฺทา หุตวฺ า คณหฺ นตฺ ,ิ _______________เม อุปาโย กโต. (๒/๓๐) ๔. เอโก สุวราชา, ยเทว อวสิฏฺ ฐํ โหติ องฺกุโร วา ปตฺต วา ตโจ วา,______________ขาทิตฺวา คงฺคาย ปานีย ปิวิตวฺ า ฯเปฯ... (๔/๑๑๓) ๕. สตฺถา ตสฺสา อาคมนภาว ตฺวา,______________อตฺตโน สนฺติเก นิสินฺนา ภิกฺขู น ปญฺ ายนฺติ; เอวมากาสิ.

๒๖๔ แบบฝึกหัดท่ี ๑๓.๖ ก. ให้อ่านขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แลว้ ขีดเสน้ ใตป้ ระโยคเหตุกตั ตวุ าจก วตฺ ถุ อปฺ ป มาท วคฺคสฺ ส อาทิ คาถาวณฺ ณ น าย วิตฺ ถาริตเม ว. วุตฺต เห ต ตตฺ ถ “มาคนฺทิยา ตาส กิญฺ จิ กาตุ อสกฺกุณิ ตฺวา ‘สมณ สฺส โคตมสฺเสว กตฺตพฺพ กริสฺสามีติ นาคราน ลญฺ จ ทตฺวา ‘สมณ โคตม อนฺ โตนคร ปวิสิตฺวา วิจรนฺต ทาสกมฺมกรโปริเสหิ สทฺธึ อกฺโกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา ปลาเปถาติ อาห. มิจฺฉา ทิฏฺ ฐิกา ตีสุ รตเนสุ อปฺปสนฺนา อนฺโตนคร ปวิฏฺ ฐํ สตฺถาร อนุพนฺธติ ฺวา ‘โจโรสิ พาโลสิ มูฬฺโหสิ โอฏฺ โ สิ โคโณสิ คทฺรโภสิ เนรยิโกสิ ติรจฺฉานคโตสิ, นตฺถิ ตุยฺห สุคติ, ทุคฺคติเยว ตุยฺห ปาฏิกงฺขาติ ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ. ต สุตฺวา อายสฺมา อานนฺโท สตฺถาร เอตทโวจ ‘ภนฺเต อิเม นาครา อมฺเห อกฺโกสนฺติ ปริภาสนติ, อิโต อญฺ ตฺถ คจฺฉามาติ. ‘กุหึ อานนฺทาติ. ‘อญฺ นคร ภนฺเตติ. ‘ตตฺถ มนุสฺเสสุ อกฺโกสนฺเตสุ ปริภาสนฺเตสุ ปุน กตฺถ คมสิ ฺสาม อานนฺทาต.ิ ‘ตโตปิ อญฺ นคร ภนเฺ ตต.ิ ‘ตตฺถ มนุสเฺ สสุ อกฺโกสนฺเตสุ ปริภาสนฺเตสุ กุหึ คมิสฺสาม อานนฺทาติ. ‘ตโตปิ อญฺ นคร ภนฺเตติ. ‘อานนฺท น เอว กาตุ วฏฺฏติ, ยตฺถ อธิกรณ อุปฺปนฺน, ตตฺเถว ตสฺมึ วูปสนฺเต อญฺ คนฺตุ วฏฺ ฏติ; เก ปน เต อานนฺท อกฺโกสนฺตีติ. ‘ภนฺเต ทาสกมฺมกเร อุปาทาย สพฺเพ อกฺโกสนฺตีติ. ‘อห อานนฺท สงฺคาม โอติณฺณหตฺถิสทิโส, สงฺคาม โอติณฺณหตฺถิโน หิ จตูหิ ทิสาหิ อาคเต สเร สหิตุ ภาโร, ตเถว พหูหิปิ ทุสฺสีเลหิ กถิตกถาน สหน นาม มยฺห ภาโรติ วตฺวา อตฺตาน อารพฺภ ธมฺม เทเสนฺโต นาควคฺเค อิมา คาถา อภาสิ๑ ข. ใหอ้ า่ นขอ้ ความตอ่ ไปน้ีแล้วขีดเส้นใต้สังกรประโยค ต อาจรเิ ย อปุ สงกฺ มิตฺวา อคุ ฺคณหฺ ิตฺวา พหมุ ฺปิ ปเรส ภาสมาโน วาเจนฺโต กเถนฺโต, ต ธมมฺ สุตฺวา ย การเกน ปคุ ฺคเลน กตตฺ พพฺ , ตกกฺ โร น โหต,ิ กุกกฺ ุฏสฺส ปกขฺ ปหรณมตตฺ มฺปิ อนิจจฺ าทิวเสน มนสกิ าร นปฺปวตฺเตสิ; เอโส, ยถา นาม ทวิ เส ภตยิ า คาโว รกขฺ นฺโต โคโป ปาโตว สมปฺ ฏจิ ฺฉติ วฺ า สาย คเณตวฺ า สามิกาน นยิ ยฺ าเทตฺวา ทิวสภตมิ ตตฺ คณหฺ าติ, ยถารุจิยา ปน ปญฺจโครเส ปรภิ ุญฺชิตุ น ลภติ; เอวเมว เกวล อนฺเตวาสิกาน สนฺตกิ า วตฺตปฏวิ ตฺตกรณมตฺตสฺส ภาคี โหต,ิ สามญฺ สสฺ ปน ภาคี น โหติ, ยถา ปน โคปาลเกน นิยยฺ าทิตาน คนุ ฺน ปญฺจโครส โคสามิกาว ปรภิ ญุ ชฺ นตฺ ิ; ตถา เตน กถิต ธมฺม สุตวฺ า การกปุคคฺ ลา ยถานุสิฏฺฐํ ปฏิปชฺชติ ฺวา, เกจิ ป มชฺฌานาทีนิ ปาปุณนฺติ, เกจิ วปิ สฺสน วฑฺเฒตฺวา มคฺคผลานิ ปาปุณนตฺ ิ, โคสามกิ า โครสสฺเสว, สามญฺ สฺส ภาคิโน โหนตฺ ิ; อิติ สตถฺ า สลี สมฺปนนฺ สสฺ พหุสฺสุตสสฺ ปมาทวิหาริโน อนิจจฺ าทิวเสน โยนโิ สมนสิกาเร อปฺปวตฺตสสฺ ภิกขฺ ุ โน วเสน ป ม คาถ กเถส,ิ น ทสุ ฺสีลสฺส.๒ ๑ ธ.อ. ๗/๑๓๖ – ๑๓๖. ๒ ธ.อ. ๑/๑๔๗.

๒๖๕ เอกสารอา้ งองิ ประจาบทท่ี ๑๓ บุญสืบ อินสาร. เทคนิคการแปลธรรมบท ฉบับสืบสานปริยัติ. (พิมพ์คร้ังท่ี ๗.) นนทบุรี: สืบสานพุทธ ศาสน,์ ๒๕๔๔. ปราณี บานชืน่ . การแปลขน้ั สงู . พระนคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๒๓. ปรยี า อนุ รัตน์. การแปลองั กฤษเปน็ ไทย. พระนคร: ดวงกมล, ๒๕๓๓. พระธรรมกติ ตวิ งศ์. หลกั การแปลไทยเป็นมคธ. กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชียง, ๒๕๔๑. พระมหานยิ ม อตุ ฺตโม. วธิ ีแปลภาษามคธเป็นภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: เล่ียงเชยี ง, ๒๕๓๒. พระราชวิสทุ ธิโมลี. คูม่ ือการศึกษาบาลี. กรงุ เทพฯ: การศาสนา, ๒๕๒๗. พระอุดมญาณโมลี. คู่มือฝึกหัดแต่งไทยเป็นมคธ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๕). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. อเนก ขาทอง. คู่มือการแปลประโยคท่ีน่าสนใจ สาหรับประโยค ๑-๒ เล่ม ๑-๔. กรุงเทพฯ: การ ศาสนา, ๒๕๓๔-๒๕๓๕. อเนก ขาทอง. คู่มือการแปลประโยคที่น่าสนใจ สาหรับประโยค ๑-๒ เล่ม ๕-๘. กรุงเทพฯ: การ ศาสนา, ๒๕๓๖.

บทท่ี คาถาและอรรถกถา ๑๔ Verses and Commentaries วตั ถปุ ระสงค์ประจาบทท่ี ๑๔ เม่อื ศึกษาบทที่ ๑๔ จบแล้ว นกั ศกึ ษา/ผู้ที่สนใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของคาถาและอรรถกถาได้ ๒. จาแนกประเภทของคาถาได้ ๓. บอกลกั ษณะของถ้อยคาทเ่ี กีย่ วข้องกับคาถาได้ ๔. บอกลกั ษณะของคาถาท่ีเปน็ ฉันทช์ นดิ ตา่ ง ๆ ได้ ๕. บอกลกั ษณะของอรรถกถาไดถ้ ูกตอ้ ง ๑๔.๑ ความนา ในภาษาบาลีหรือคัมภีร์ภาษาบาลีนั้น มีภาษาหรือถ้อยคาอยู่ ๒ ประเภท คือ ภาษาที่เรียกว่า “ภาษาร้อยแก้ว” และภาษาที่เรียกว่า “ภาษาร้อยกรอง” ภาษาร้อยแก้ว อาจเรียกว่า “อรรถกถา” หรือ “กถา” หมายถึง สานวนความท่ีเรียบเรียงไปตามลาดับ เรียบร้อยสุภาพ อ่านแล้วฟังแล้วเป็น ระเบียบ สบายตาสบายหูท้ังผู้อ่านและผู้ฟัง เป็นความเรียงไปตามลาดับเรื่อง ไม่ใช่ลักษณะของ บทประพันธ์ ส่วนภาษาร้อยกรอง อาจเรียกว่า “คาถา” หมายถึง สานวนความที่เรียบเรียงขึ้นมาโดย ผ่านการกล่ันกรองแล้วกล่ันกรองอีก เป็นกระบวนการหลายช้ัน มีความถูกต้องตามลักษณะบทกาหนด ได้อรรถรส มีสุนทรียรส เป็นสากล และมีรสนิยมหลายอย่างประกอบกัน ในบทน้ี จะนาเสนอเนื้อหา สาระสาคัญเกี่ยวกับคาถาและอรรถกถา จานวน ๕ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของคาถาและ อรรถกถา ๒) ประเภทของคาถา ๓) ลกั ษณะของถ้อยคาทเี่ กี่ยวข้องกบั คาถา ๔) ลกั ษณะของคาถาที่เป็น ฉนั ท์ชนดิ ต่าง ๆ และ ๕) ลักษณะของอรรถกถา โดยมีรายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี

๒๖๗ ๑๔.๒ ความหมายของคาถาและอรรถกถา คาว่า “คาถา” ในภาษาบาลีหรือคัมภีร์ภาษาบาลีทั่วๆไป ก็คือภาษาหรือคาประพันธ์ที่หมายรู้ กันว่า “ฉันท์” หมายถึง สานวนความที่เรียบเรียงข้ึนมาโดยผ่านการกล่ันกรองแล้วกล่ันกรองอีก มี ความถูกต้องตามลักษณะบทกาหนด ได้อรรถรส มีสุนทรียรส และสากลและมีรสนิยมหลายอย่าง ประกอบกัน เช่น บทคาถาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บาลีต่างๆ อาทิ คัมภีร์ธรรมบท คัมภีร์มังคลัตถทีปนี คมั ภรี ์พระไตรปิฎก เปน็ บทร้อยกรอง หรอื คาถา หรือ ฉนั ท์ท่ไี พเราะจบั ใจ ชวนให้นา่ คดิ และตดิ ตาม ส่วนคาว่า “อรรถกถา” คือ ถ้อยคาหรือข้อความท่ีอธิบายพระพุทธพจน์ เป็นความเรียงไป ตามลาดับ ไม่ใช่ลักษณะของบทประพันธ์ เป็นสานวนความที่อธิบายความ เป็นระเบียบ เป็นข้ันตอน และไดค้ วามชัดเจน ๑๔.๓ ประเภทของคาถา คาถาในภาษาบาลีหรอื คมั ภรี ์ทางพระพุทธศาสนาท้งั หมด อาจแบง่ ออกได้ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑๔.๓.๑ พระคาถา หมายถึง คาถาท่ีพระพุทธเจ้าตรัสเอง คาถาประเภทนี้ อาจสังเกตได้ว่า เลขนอก (นอกเครื่องหมายคาพูด) มีคาว่า สตฺถา หรือ ภควา เป็นต้น เป็นประธาน ในการแปลต้องแปล บท คาถ ว่า “ซ่ึงพระคาถา” และแปลบท คาถา หรือ คาถาโย ว่า “ซงึ่ พระคาถา ท.” ๑๔.๓.๒ คาถา หมายถึง คาถาทีพ่ ระสาวก ฤาษี และเทวดา เป็นตน้ กล่าว คาถาประเภทน้ี ใน เวลาแปลให้แปลบท คาถ ว่า “ซึ่งคาถา” และแปลบท คาถา หรือ คาถาโย ว่า “ซ่ึงคาถา ท.” (ไม่ใช้ คาว่า ซ่ึงพระคาถา หรือ ซ่ึงพระคาถา ท. เพราะคาราชาศัพท์จะไม่ใช้กับพระสาวก ฤาษี และเทวดา เปน็ ตน้ ) ๑๔.๔ ลักษณะของถ้อยคาที่เกยี่ วขอ้ งกับคาถา ลักษณะของถอ้ ยคาทเี่ กย่ี วข้องกบั คาถา ไดแ้ ก่ คาพูดดังตอ่ ไปน้ี ๑๔.๔.๑ ศัพท์ หมายถึง คาพดู จาพวกนิบาตต่าง ๆ ใน อพั ยยศัพท์ เช่น หิ, จ, ปน, อถโข, เจ, สเจ เปน็ ตน้ คานบิ าตเหลา่ นท้ี ง้ั หมดลงวภิ ตั ตไิ ม่ได้ รปู เดิมเปน็ อยา่ งไรก็คงใชเ้ ป็นรูปอยา่ งน้ันทกุ แห่งไป ๑๔.๔.๒ บท หมายถึง คาพูดท้ังหมดที่เป็นคา นามนาม, คุณนาม, สัพพนาม, สังขยา, กรยิ ากิตก์ และ นามกติ ก์ ทีล่ งวิภัตตินาม และคากริยาอาขยาตท่ีลงวภิ ัตตอิ าขยาตแลว้ ๑๔.๔.๓ บาท หมายถึง คาพูดท่ีจัดเรียงไว้เป็นวรรค ๆ ตอน ๆ โดยประกอบด้วยคาศัพท์และ บท ท่จี ากดั จานวนคาพูดไว้ บาทหน่ึง ๆ อาจมี ๘ คา ๑๑ คา หรือ ๑๔ คา แล้วแต่ชนิดของคาถาหรอื ฉันท์ เช่น คาถาที่เป็น ปัฐยาวัตรฉันท์ ในบาทหน่ึงๆ มี ๘ คา (คาวา่ คา บางครง้ั เรียกกันว่า อักขระ หรือ อักษร) และในคาถา

๒๖๘ หน่ึงๆ มีอยู่ ๔ บาท เมื่อรวม ๔ บาทเข้าด้วยกันจัดเป็น ๑ คาถา กล่าวโดยสรุป ๘ คา (หรือ ๘ อักษร) เป็น ๑ บาท, ๔ บาท เปน็ ๑ คาถา ๑๔.๕ ลักษณะของคาถาทเ่ี ปน็ ฉนั ทช์ นิดตา่ ง ๆ คาถาทพี่ บมากในเวลาแปลภาษาบาลีหรือคัมภีรภ์ าษาบาลีกค็ ือ คาประพันธท์ ่ีเรียกว่า “ฉันท์”๑ ซ่งึ มีอยู่ ๖ ฉนั ท์ (หรือ ๖ ชนดิ ) ได้แก่ ปฐั ยาวัตร, อินทรวเิ ชยี ร, อุเปนทรวเิ ชียร, อินทรวงศ์, วังสฏั ฐ์ และ วสนั ตดลิ ก มีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ ๑๔.๕.๑ ปัฐยาวัตรฉันท์๒ คาถาท่ีเป็นปัฐยาวัตรฉันท์ มีบาทละ ๘ คา, ๑ คาถา จะเขียนเป็น ๒ บรรทัด และบรรทัดหนึ่ง ๆ มี ๒ บาท คือ บาทซ้ายและบาทขวา หรือที่เรียกว่า บาทคี่ (บาทขอน) และบาทคู่ ดังน้ัน ๒ บรรทัดจะมี ๔ บาท และ ๔ บาทรวมเรียกว่า ๑ คาถา (ถ้า ๘ บาทก็จะเป็น ๒ คาถา, ๑๒ บาทก็จะเป็น ๓ คาถา ฯลฯ) เช่น ปุพเฺ พว สนนฺ ิวาเสน ปจฺจุปฺปนฺนหเิ ตน วา เอวนฺต ชายเต เปม อุปปฺ ลว ยโถทเก.๓ ฉันท์นี้นับเป็น ๑ คาถา มีอยู่ ๔ บาท และบาทหนึ่ง ๆ มี ๘ คา ผู้แปลอาจนับดูเพ่ือความแน่ใจ ว่า บาทหน่ึงจะมี ๘ คา จริงหรือไม่ ดังนี้ บาทที่ ๑ : ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน นับว่า ๑) ปุพฺ ๒) เพ ๓) ว ๔) สนฺ ๕) นิ ๖) วา ๗) เส ๘) น สรุปวา่ บาทที่ ๑ นี้ มี ๘ คา บาทท่ี ๒ : ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน วานับว่า ๑) ปจฺ ๒) จุปฺ ๓) ปนฺ ๔) น ๕) หิ ๖) เต ๗) น ๘) วา สรปุ ว่าบาทที่ ๒ นี้ กม็ ี ๘ คา บาทท่ี ๓ : เอวนฺต ชายเต เปม นับว่า ๑) เอ ๒) วนฺ ๓) ต ๔) ชา ๕) ย ๖) เต ๗) เป ๘) ม สรปุ วา่ บาทท่ี ๓ นกี้ ็มี ๘ คาอีก ๑ คาว่า “ฉันท์” มาจาก ฉันท ศัพท์ แปลว่า ความพอใจ ความชอบใจ ความรักใคร่ บทประพันธ์ท่ีเรียกว่า ฉันท์ ซ่ึงมีความหมายว่า เป็นบทท่ีประพันธ์ขึ้นด้วยใจรัก ด้วยความพอใจ ด้วยความชอบใจของผู้ประพันธ์ท่ีต้ังใจ อยากจะประพันธ์บทฉันท์น้ัน ซง่ึ มีลักษณะรูปแบบเป็นอย่างน้นั และอาจมีผลพลอยได้ล่วงเลยไปถึงผู้อ่านผู้พบเหน็ ได้ ลิ้มรส แล้วพากันรัก พอใจชอบใจบทประพันธ์บทนั้นไปด้วย อนึ่ง คาว่า “ฉันท์” น้ี มาจากคากริยาที่ว่า ฉนฺทติ สาเร็จรูปเป็นคาว่า ฉันท์ แปลว่า ตัดความสงสัยในจานวนคาประพันธ์ คือ การกาหนดรู้จานวนคาแต่ละฉันท์เพราะมี ความแมน่ ยาในกฎเกณฑข์ องฉนั ทลกั ษณ์ จานวนของคา จานวนครุ ลหุ ๒ คาถาประพันธ์ท่ีประกอบด้วย ชะคณะ (มี ๓ คา คอื คาที่เป็น ลหุ-ครุ-ลุห) จาก ๔ คาแรก (คอื คาที่ ๕-๖- ๗) ในบาทคู่ (คอื บาทท่ี ๒ และ บาทท่ี ๔) มีชอื่ เรยี กวา่ “ปัฐยาวัตรฉันท์” ซง่ึ แปลวา่ คาถาทีส่ วดเป็นทานองจตรุ าวตั ร คอื หยดุ ทุก ๔ คา และมีวิเคราะห์ว่า ปฐติ พพฺ โต ป ยฺ า จ สา จตุราวตเฺ ตน ปรวิ ตฺตพพฺ โต วตฺต ฺจาติ ป ยฺ าวตฺต. ๓ ธ.อ. ๒/๒๑.

๒๖๙ บาทท่ี ๔ : อุปฺปลว ยโถทเก นับว่า ๑) อุปฺ ๒) ป ๓) ล ๔) ว ๕) ย ๖) โถ ๗) ท ๘) เก สรุปว่า บาทสุดท้าย คือ บาทท่ี ๔ นี้ก็มี ๘ คาอีกเหมือนกัน จึงเป็นอันแน่ใจว่า คาถาที่เป็นปัฐยาวัตร ฉนั ทม์ บี าทละ ๘ คา ดังกล่าวแล้วข้างตน้ ๑๔.๕.๒ อินทรวิเชียรฉันท์๔ คาถาที่เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ มีบาทละ ๑๑ คา (หรือ ๑๑ อกั ษร), ๑ คาถา จะเขียนเป็น ๔ บรรทัด และบรรทัดหนึ่ง ๆ มี ๑ บาท (ไมม่ ีบาทซ้ายบาทขวา) ดงั นน้ั ๔ บรรทดั จะมี ๔ บาท และ ๔ บาทรวมเรยี กว่า ๑ คาถา เชน่ โย จกฺ ขฺ ุมา โมหมลาปกฏฺ โ สาม ว พทุ ฺโธ สุคโต วิมตุ ฺโต มารสสฺ ปาสา วินโิ มจยนฺโต ปาเปสิ เขม ชนต วิเนยฺย.๕ ฉนั ทน์ ้นี ับเป็น ๑ คาถา มอี ยู่ ๔ บาท และบาทหนง่ึ ๆ มี ๑๑ คา ผู้แปลอาจนบั ดเู พ่ือความแนใ่ จ ว่า บาทหน่ึงจะมี ๑๑ คา จริงหรอื ไม่ ดังน้ี บาทที่ ๑ : โย จกฺขุมา โมหมลาปกฏฺ โ นับว่า ๑) โย ๒) จกฺ ๓) ขุ ๔) มา ๕) โม ๖) ห ๗) ม ๘) ลา ๙) ป ๑๐) กฏฺ ๑๑) โ สรปุ วา่ บาทท่ี ๑ น้ีมี ๑๑ คา บาทที่ ๒ : สาม ว พุทฺโธ สุคโต วิมุตฺโต นับว่า ๑) สา ๒) ม ๓ ว) ๔) พุทฺ ๕) โธ ๖) สุ ๗) ค ๘) โต ๙) วิ ๑๐) มุตฺ ๑๑) โต สรปุ ว่า บาทที่ ๒ น้ี กม็ ี ๑๑ คา บาทที่ ๓ : มารสฺส ปาสา วินิโมจยนฺโต นับว่า ๑) มา ๒) รสฺ ๓) ส ๔) ปา ๕) สา ๖) วิ ๗) นิ ๘) โม ๙) จ ๑๐) ยนฺ ๑๑) โต สรุปว่า บาทท่ี ๓ นกี้ ็มี ๑๑ คาอกี บาทท่ี ๔ : ปาเปสิ เขม ชนต วิเนยฺย นับว่า ๑) ปา ๒) เป ๓) สิ ๔) เข ๕) ม ๖) ช ๗) น ๘) ต ๙) วิ ๑๐) เนยฺ ๑๑) ย สรุปว่า บาทสุดท้ายคือบาทท่ี ๔ นี้ก็มี ๑๑ คาอีกเหมือนกัน จึงเป็นอันแน่ใจว่า คาถาที่เปน็ อินทรวเิ ชียรฉันทม์ บี าทละ ๑๑ คา ดงั ตัวอย่างขา้ งต้น ๑๔.๕.๓ อุเปนทรวิเชียรฉันท์๖ คาถาที่เป็นอุเปนทรวิเชียรฉันท์ มีบาทละ ๑๑ คา (หรือ ๑๑ อักษร), ๑ คาถามี ๔ บาท และจะเขียนบาทละ ๑ บรรทัด เช่นเดียวกับอินทรวิเชียรฉันท์ ต่างกันเพียง คาหรืออักษรตวั ท่ี ๑ ซึง่ อนิ ทรวิเชียรฉนั ท์เป็นครุ สว่ นอุเปนทรวเิ ชยี รฉันท์เปน็ ลหุ เชน่ ๔ อินทรวิเชียรฉันท์นี้ในภาษาบาลีช่ือวา่ “อินทวชิรา” แปลว่า ฉันท์มีครุหนักมากเหมือนคทาเพชรของพระ อินทร์ เพราะมี ตะ คณะ (มีครุอยู่ต้น, อยู่กลาง และมีลหุอยู่ท้าย) เรียงกัน ๒ คณะ โดยมีความหมายว่า เป็นฉันท์ท่ีมี บทลีลาเหมือนดังแก้วมณขี ององค์อนิ ทร์ คอื มีประกายงดงามด้วยคาครแุ ละลหุท่ีทาให้เกิดความออ่ นชอ้ ย ๕ ฉันท์น้ี เป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดูในสมเด็จ พระสังฆราช (ปสุ สฺ เทว), สวดมนต์ฉบบั หลวง, (กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๑๓), หนา้ ๒. ๖ อุเปนทรวิเชียรฉันท์น้ี ในภาษาบาลีช่ือว่า “อุเปนฺทวชิรา” แปลว่า ฉันท์มีคณะใกล้เคียงกับอินทรวิเชียร เพราะมลี ักษณะใกล้เคียงกบั อินทวชริ าฉนั ท์

๒๗๐ น พรฺ าหมฺ ณสเฺ สตทกิ จฺ ิ เสยฺโย ยทานิเสโธ มนโส ปเิ ยหิ ยโต ยโต หสึ มโน นิวตฺติ ตโต ตโต สมมฺ ตเมว ทกุ ฺข.๗ ฉันท์นี้ก็นับเป็น ๑ คาถา มีอยู่ ๔ บาท และบาทหนึ่ง ๆ มี ๑๑ คา เช่นเดียวกับอินทรวิเชียร ฉนั ท์ ต่างกนั เฉพาะคาหรอื อกั ษรตัวท่ี ๑ ซึ่งอินทรวเิ ชยี รฉนั ท์ตามตวั อย่างในข้อ ๑๔.๕.๒ เปน็ ครุ คอื โย สว่ น อุเปนทรวเิ ชยี รฉนั ทต์ ามตัวอย่างนี้เป็น ลหุ คือ น ๑๔.๕.๔ อินทรวงศฉันท์๘ คาถาที่เป็นอินทรวงศฉันท์มีบาทละ ๑๒ คา (หรือ ๑๒ อักษร) เท่ากัน เหมือนกันหมดท้ัง ๔ บาท รวม ๔ บาทเป็น ๑ คาถา และจะเขียนบาทละ ๑ บรรทัด เชน่ เดยี วกับอนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์และอเุ ปนทรวิเชยี รฉนั ท์ เชน่ พุทโฺ ธ สุสุทโฺ ธ กรุณามหณณฺ โว โยจฺจนตฺ สทุ ธฺ พฺพร าณโลจโน โลกสฺส ปาปูปกิเลสฆาตโก วนฺทามิ พุทฺธ อหมาทเรน ต.๙ ฉันท์น้ีก็นับเป็น ๑ คาถา มีอยู่ ๔ บาท และบาทหนึ่ง ๆ มี ๑๒ คา มากกว่าอินทรวิเชียรฉันท์ และอุเปนทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ๒ คา ๑๔.๕.๕ วังสัฏฐฉนั ท์๑๐ คาถาทีเ่ ป็นวงั สัฏฐฉันท์มีบาทละ ๑๒ คา (หรือ ๑๒ อกั ษร) ๑ คาถามี ๔ บาท และจะเขียนบาทละ ๑ บรรทัด เช่นเดียวกับอินทรวงศ์ฉันท์ ต่างกันเพียงคาหรืออักษรตัวท่ี ๑ ซ่งึ อินทรวงศฉันท์เป็นครุ สว่ นวงั สัฏฐฉนั ท์เป็นลหุ เช่น กิกีว อณฺฑ จมรวี วาลธึ ปิยว ปตุ ฺต นยนว เอกก ตเถว สลี อนุรกขฺ มานกา สเุ ปสลา โหถ สทา สคารวา.๑๑ ๗ ธ.อ. ๘/๑๒-๑๓. ๘ อนิ ทรวงศฉนั ท์น้ี เป็นฉันท์ที่มชี ื่อเกย่ี วขอ้ งกับพระอินทร์เช่นเดียวกับอินทรวเิ ชียรฉันท์และอเุ ปนทร วเิ ชียร ฉนั ท์ แปลกันวา่ ฉันท์มีเสยี งไพเราะเหมอื นป่ีพระอนิ ทร์ หรือ ฉันทท์ เ่ี ปน็ เชอื้ สายของพระอินทร์ ๙ ฉันท์นี้ เปน็ พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ดูในสมเด็จพระสงั ฆราช (ปุสฺสเทว), สวดมนตฉ์ บบั หลวง, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๓), หน้า ๒๕๐. ๑๐ วังสฏั ฐฉันท์ แปลว่า ฉนั ทเ์ ป็นที่ตัง้ แหง่ คณะมเี สยี งไมส่ มา่ เสมอกนั เหมอื นดนตรสี ุสริ ะ คือ ปี่ หรอื ขลยุ่ (วส = ป,่ี ขลยุ่ )

๒๗๑ ฉันท์นี้ก็นับเป็น ๑ คาถา มีอยู่ ๔ บาท และบาทหน่ึง ๆ มี ๑๒ คา เช่นเดียวกับอินทรวงศฉันท์ ต่างกันเฉพาะคาหรืออักษรตัวท่ี ๑ ซึ่งอินทรวงศฉันท์ตามตัวอย่างในข้อ ๑๔.๕.๔ เป็นครุ คือ พุทฺ ส่วน วงั สัฏฐฉันท์ ตามตวั อย่างนีเ้ ปน็ ลหุ คือ กิ ๑๔.๕.๖ วสันตดิลกฉันท์๑๒ คาถาท่เี ปน็ วสันตดิลกฉนั ท์ มบี าทละ ๑๔ คา (หรอื ๑๔ อักษร) ๑ คาถา มี ๔ บาท และจะเขียนบาทละ ๑ บรรทัด เช่นเดียวกับอินทรวิเชียรฉันท์, อุเปนทรวิเชียรฉันท์, อินทรวงศฉันท์ และ วงั สัฏฐฉนั ท์ เชน่ พุทฺธวารหนฺตวรตาทิคณุ าภิยุตฺโต สทุ ฺธาภิ าณกรุณาหิ สมาคตตฺโต โพเธสิ โย สุชนต กมล ว สโู ร วนฺทามห ตมรณ สิรสา ชเิ นนฺท.๑๓ สรุป: คาถาท่ีเป็นปัฐยาวัตร มีบาทละ ๘ คา, ๑ คาถา จะเขียนเป็น ๒ บรรทัด และเขียน บรรทัดละ ๒ บาท คือ บาทซ้าย และบาทขวา ส่วนคาถาท่ีเป็นอินทรวิเชียรและอุเปนทรวิเชียร มีบาท ละ ๑๑ คา, คาถาที่เป็นอินทรวงศและวังสัฏฐ์ มีบาทละ ๑๒ คา, และคาถาที่เป็นวสันตดิลก มีบาทละ ๑๔ คา ไม่มบี าทซา้ ยและบาทขวา และจะเขยี นบรรทัดละ ๑ บาท, ๔ บาท เป็น ๑ คาถา๑๔ ๑๔.๖ ลกั ษณะของอรรถกถา อรรถกถา คือ ถ้อยคาหรอื ข้อความท่ีอธบิ ายบทบาลีมาติกา มีลักษณะท่ีเกี่ยวข้องกับบท ๒ บท คือ บทบาลีมาติกาและบทอรรถกถา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑๔.๖.๑ บทบาลีมาตกิ า (บทต้งั ) เป็นบทที่นามาจากคาถาโดยต้งั ประกอบกับ อติ ิ ศัพท์ ๑๔.๖.๒ บทอรรถกถา (บทแก)้ เปน็ บททอี่ ธบิ ายขยายบทบาลมี าติกา ดูตวั อยา่ ง ๑๑ วสิ ทุ ธฺ ิมคฺค. ๑/๔๔. ๑๒ วสนั ตดลิ กฉันท์ แปลวา่ ฉันท์มคี ณะเหมือนเมฆท่มี ืดมนในเดอื น ๕ เดอื น ๖ อนั เป็นส่วนของฤดูฝน ๑๓ ฉนั ทน์ ้ีเปน็ พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูในสมเดจ็ พระสังฆราช (ปสุ ฺสเทว) , สวดมนตฉ์ บับหลวง, (กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๑๓), หนา้ ๒๕๓. ๑๔ พึงเข้าใจว่า คาถาท่ีเป็นฉันท์อะไรก็ตาม บางครั้งในบาทหน่ึง ๆ มิใช่ว่าจะมี ๘ คา, ๑๑ คา ๑๒ คา หรือ ๑๔ คา ดังกล่าวแล้วเสมอไปทุกบาท กล่าวคือ อาจจะมีคาเกินหรือน้อยกว่าจานวนท่ีกาหนดไว้บ้าง แต่ไม่มากนักจน เสยี รูปคาถาหรอื ฉันท์

๒๗๒  ตตฺถ “อนิกกฺ สาโวต”ิ กามราคาทหี ิ กสาเวหิ สกสาโว.๑๕ จากตัวอย่างน้ี ท่านผู้รจนาคัมภีร์ ได้นาบทบาลี คือ อนิกฺกสาโว มาจากคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปท (พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๕) ต้ังประกอบ อิติ ศัพท์ แล้วท่านก็แต่งอธิบายขยายบทบาลีดังกล่าว ด้วยข้อความว่า กามราคาทีหิ กสาเวหิ สกสาโว การนาเอาบทบาลีมาเปน็ บทตั้งแล้วก็แตง่ อรรถาธบิ าย (อธิบายขยายความบทบาล)ี น้ี เรียกว่า “อรรถกถา” เพอื่ ความเข้าใจย่งิ ข้นึ จะอธบิ ายบทตา่ ง ๆ ในตัวอย่างขา้ งต้นตามลาดับ ดังนี้ ๑) คาว่า “ตตฺถ” เป็นบทแสดงท่ีมา (ซง่ึ ในท่ีน้หี มายถึงพระคาถา) ๒) คาวา่ “อนกิ ฺกสาโว” เปน็ บทบาลีมาติกา (หรือบทต้ัง) นามาจากคาถาธรรมบท ๓) คาว่า “-ติ” หมายถึง อิติ ศัพท์ ใชค้ มุ บทบาลีมาติกา ๔) ขอ้ ความว่า “กามราคาทีหิ กสาเวหิ สกสาโว” เป็นบทอรรถกถา (หรือบทแก้) ท่ที า่ นผู้ รจนาคัมภรี ์แตง่ อรรถาธิบายบทบาลมี าตกิ า คอื อนกิ ฺกสาโว ๑๔.๗ สรุปทา้ ยบท คาว่า “คาถา” ในภาษาบาลีหรือคัมภีร์ภาษาบาลีทั่ว ๆไป ก็คือ คาประพันธ์ท่ีหมายรู้กันว่า “ฉันท์” หมายถึง สานวนความที่เรียบเรียงข้ึนมาโดยผ่านการกลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก มีความถูก ต้องตามลักษณะบทกาหนด และได้อรรถรส ส่วนคาว่า “อรรถกถา” คือ ถ้อยคาหรือข้อความท่ีอธิบาย พระพุทธพจน์ หรือบทบาลีมาติกา อรรถกถาจึงมีลักษณะท่ีเกี่ยวข้องกับบท ๒ บท คือ บทมาติกา (บทต้งั ) ซ่งึ เปน็ บทท่ีนามาจากคาถา และบทอรรถกถา (บทแก้) ซ่งึ เปน็ บทท่ีอธบิ ายขยายบทบาลีมาตกิ า ๑๕ ธ.อ. ๑/๗๔.

๒๗๓ แบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี ๑๔ แบบฝึกหัดท่ี ๑๔.๑ ใหเ้ ลอื กคาตอบท่ถี ูกที่สุดเพียงขอ้ เดียว ๑. ขอ้ ใดเป็นความหมายของคาถา ก. คาประพันธท์ ่เี ปน็ คาร้อยกรอง ข. สานวนความที่เรยี บเรียงโดยผา่ นการกล่ันกรอง ค. คารอ้ ยแกว้ ที่เปน็ ความเรียงภาษาบาลี ง. ขอ้ ก. และ ข. ถูก ๒. คาถาในคัมภรี ์ทางพระพุทธศาสนามีที่มาอยา่ งไร ข. พระสาวกของพระพทุ ธเจ้ากลา่ ว ก. พระพุทธเจา้ ตรัสเอง ง. ถกู ตอ้ งทุกข้อ ค. ฤาษี และ เทวดา เปน็ ตน้ กล่าว ๓. โดยทว่ั ไป ๑ คาถามกี ีบ่ าท ข. ๒ บาท ก. ๑ บาท ง. ๔ บาท ค. ๓ บาท ๔. หน่ึงบาทแห่งคาถาท่เี ปน็ ปัฐยาวตั รฉันท์ มีก่ีคา ข. ๑๑ คา ก. ๘ คา ง. ๑๔ คา ค. ๑๒ คา ๕. หน่ึงบาทแหง่ คาถาทเ่ี ปน็ วังสัฏฐฉันท์ มีกีค่ า ข. ๑๑ คา ก. ๘ คา ง. ๑๔ คา ค. ๑๒ คา ๖. คาถาตอ่ ไปนี้ เป็นฉันท์อะไร ปุพเฺ พว สนนฺ ิวาเสน ปจฺจปุ นฺนหเิ ตน วา เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปปฺ ลํว ยโถทเก.๑๖ ก. อนิ ทรวิเชยี รฉนั ท์ ข. อุเปนทรวิเชียรฉนั ท์ ค. อนิ ทรวงศฉนั ท์ ง. ปัฐยาวัตรฉนั ท์ ๑๖ ธ.อ. ๒/๒๑.

๒๗๔ ๗. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้อง ก. คาหรืออักษรท่ี ๑ ในอนิ ทรวเิ ชียรฉันทเ์ ปน็ ครุ ข. คาหรืออักษรท่ี ๑ ในอเุ ปนทรวเิ ชียรฉันท์เป็น ลหุ ค. คาหรอื อักษรท่ี ๑ ในอินทรวงศฉนั ท์เปน็ ครุ ง. คาหรอื อกั ษรท่ี ๑ ในวสันตดิลกฉนั ทเ์ ป็น ลหุ ๘. ถ้อยคาหรอื ขอ้ ความท่ีอธิบายบทบาลมี าติกา เรียกว่าอะไร ข. กถา ก. คาถา ง. อรรถกถา ค. ฉนั ท์ ๙. บทท่นี ามาจากคาถาเพื่ออธิบายขยายความ เรียกว่าอะไร ข. บทต้งั ก. บทบาลมี าติกา ง. ขอ้ ก. และ ข. ถูก ค. บทอรรถกถา ๑๐. ให้พจิ ารณาข้อความต่อไปน้ี แล้วเลอื กวา่ ข้อใดไมถ่ กู ต้อง ตตถฺ “อนกิ กฺ สาโวติ” กามราคาทีหิ กสาเวหิ สกสาโว.๑๗ . ก. คาว่า “ตตถฺ ” เปน็ บทแสดงทม่ี า ข. คาวา่ “อนกิ ฺกสาโว” เป็นบทบาลีมาติกา ค. คาวา่ “-ติ” หมายถงึ อติ ิ ศพั ท์ ใช้คุมบทบาลีมาตกิ า ง. ข้อความวา่ “กามราคาทีหิ กสาเวหิ สกสาโว” เปน็ บทคาถา ๑๗ธ.อ. ๑/๗๔.

๒๗๕ แบบฝกึ หดั ที่ ๑๔.๒ ให้เลือกคาตอบทถี่ กู ท่ีสุดเพียงข้อเดียว ๑. สตถฺ า...อมิ คาถมาห คาวา่ “คาถมาห” แยกศัพท์และแปลวา่ อย่างไร ก. คาถ อาห = ตรสั แลว้ ซึ่งพระคาถา ข. คาถ มาห = ตรสั แลว้ ซึ่งพระคาถา ค. คาถ อาห = กล่าวแลว้ ซ่งึ คาถา ง. คาถ มาห = กลา่ วแล้ว ซ่งึ คาถา ๒. โส (เทวทตฺโต) ...อิม คาถมาห คาว่า “คาถมาห” แยกศพั ท์และแปลว่าอย่างไร ก. คาถ อาห = ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา ข. คาถ อาห = กลา่ วแลว้ ซ่ึงคาถา ค. คาถ มาห = ตรสั แล้ว ซึ่งพระคาถา ง. คาถ มาห = กล่าวแลว้ ซ่ึงคาถา ๓. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจน อเวเรน จ สมฺมนตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนตฺ โนติ.๑๘ พระคาถาน้ี อาจเรียกว่าฉนั ท์อะไร ก. วสนั ตดิลกฉนั ท์ ข. อุเปนทรวิเชยี รฉนั ท์ ค. ปฐั ยาวัตรฉนั ท์ ง. อนิ ทรวงศฉันท์ ๔. อเิ มหิ อฏฺ ฐีหิ ตมคฺคปคุ คฺ ล เทวาติเทว นรทมฺมสารถึ สมนฺตจกฺขุ สตปุ ฺ ลกขฺ ณ ปาเณหิ พทุ ฺธ สรณ คโตสมฺ ีติ. คาถานี้ อาจเรยี กว่าฉนั ท์อะไร ๑๘ ธ.อ. ๑/๔๖.

๒๗๖ ก. วงั สัฏฐฉันท์ ข. อินทรวงศฉันท์ ค. อนิ ทรวเิ ชียรฉนั ท์ ง. อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๕. ตตฺถ พาลาต:ิ พาเลฺยน สมนนฺ าคตา อิธโลกปรโลกตถฺ อชานนตฺ า. จากข้อความนี้ ข้อใดจดั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของอรรถกถา ก. ตตถฺ ข. พาล ค. อิติ ง. พาเลยฺ น

๒๗๗ เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ ๑๔ กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๑. (พิมพ์คร้ังท่ี ๘). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๘. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๑๕. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. วิธีแปลไทยเป็นมคธ วิธีแต่งฉันท์. (พิมพ์ครั้งที่ ๙). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑. ธงชัย สมุ นจกั ร. ประมวลฉนั ทลักษณ์. กรงุ เทพฯ: การศาสนา, ๒๕๓๘. พระพุทธโฆษาจารย์. ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๑. (พิมพ์ครั้งที่ ๒๒). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๘. พระพุทธโฆษาจารย์. ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๘. (พิมพ์คร้ังที่ ๑๖). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๐๙. พระพุทธโฆษาจารย์. วิสุทฺธิมคฺค ปกรณวิเสส ภาค ๑. (พิมพ์คร้ังท่ี ๖). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๒๒. พระศาสนโศภน. (แจ่ม จตฺตสลฺโล). สวดมนต์แปล. (พิมพ์คร้ังที่ ๓). พระนคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๔๙๕.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook