บทท่ี การแปลบาลเี ป็ นไทย ๑๕ Pali Translation intoThai วตั ถุประสงค์ประจาบทที่ ๑๕ เมอ่ื ศึกษาบทท่ี ๑๕ จบแล้ว นักศึกษา/ผู้ท่สี นใจศึกษา สามารถ ๑. บอกความหมายของการแปลได้ ๒. จาแนกวิธกี ารแปลได้ ๓. บอกหลักการและวิธีการแปลอาลปนะ นบิ าตตน้ ข้อความ ฯลฯ ได้ ๔. แปลขอ้ ความภาษาบาลีจากเอกสารหรอื คัมภรี บ์ าลตี า่ ง ๆ เป็นภาษาไทยได้ ๑๕.๑ ความนา โดยท่ัวไป การศึกษาภาษาบาลีเพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนาจาก คัมภีร์ภาษาบาลีท่ีบันทึกคาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในระดับต่าง ๆ เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์ อรรถกถา ฯลฯ จะมีการศึกษาเกี่ยวกับการแปลถ่ายทอดจากภาษาบาลีเป็นภาษาของผู้ศึกษาเองเสมอ ท้ังนี้เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีการแปล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการแปลหรือถ่ายทอด คาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาจากภาษาบาลีเป็นอีกภาษาหนึ่ง (ภาษาฉบับแปล) อันจะทาให้คนท่ีรู้ ภาษาฉบับแปลซ่ึงไม่มีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าคาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในคัมภีร์ภาษาบาลีด้วย ตนเอง ได้อ่านเข้าใจได้ และจะเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในวงกว้างอีกด้วย ดังน้ัน ในบทน้ี จะ นาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญเก่ียวกับการแปลบาลีเป็นไทย จานวน ๑๔ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมาย ของการแปล ๒) วิธีการแปล ๓) การแปลบาลีเป็นไทย ๔) การแปลอาลปนะ ๕) การแปลนิบาตต้น ข้อความ ๖) การแปลกาลสัตตมี ๗) การแปลบทประธาน ๘) การแปลบทที่เน่ืองด้วยบทประธาน ๙) การแปลกริยาในระหว่าง ๑๐) การแปลบทท่ีเน่ืองด้วยกริยาในระหว่าง ๑๑) การแปลประโยคแทรก ๑๒) การแปลกริยาคุมพากย์ ๑๓) การแปลบทท่ีเนื่องด้วยกริยาคุมพากย์ และ ๑๔) การแปลคาถาและ อรรถกถา โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
๒๗๙ ๑๕.๒ ความหมายของการแปล การแปล หมายถึง การถ่ายทอดความหมายจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง จากวัฒนธรรม หนึ่งไปสู่อีกวัฒนธรรมหน่ึง ทาให้ผู้อ่านงานแปลน้ันมีความเข้าใจ และรู้สึกซาบซ้ึง ทั้งนี้ข้อความที่ ถ่ายทอดแล้วนั้นมีใจความครบถ้วนตรงตามต้นฉบับทุกประการ การแปลสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบ หนึ่งเป็นอกี รูปแบบหน่ึง กลา่ วคือ สามารถเปลีย่ นจากภาษาตน้ ฉบบั (Source Language) เปน็ อีกภาษา หน่ึง (Receptor Language) ได้ โดยการแทนที่, เก็บความ, ตัดต่อ และ/หรือ เพ่ิมเติม ตามความ เหมาะสม การถ่ายทอดความหมายจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง หรือการเปล่ียนจากภาษาต้นฉบับ เป็นภาษาฉบับแปลนั้น อาจแสดงใหเ้ หน็ ขั้นตอนได้ ดังแผนภาพที่ ๑๕.๑ ภาษาท่ี ๑ ถ่ายทอดข้อความทง้ั หมด ภาษาที่ ๒ ภาษาต้นฉบบั ภาษาฉบับแปล (Source Language) (Receptor Language) ขอ้ ความทีจ่ ะแปล ขอ้ ความท่ีแปลแล้ว แผนภาพที่ ๑๕.๑ การถ่ายทอดขอ้ ความจากภาษาตน้ ฉบับเป็นภาษาฉบับแปล ๑๕.๓ วธิ ีการแปล การแปลโดยทัว่ ไป อาจแบง่ ออกเป็น ๒ วิธี ดังนี้ ๑๕.๓.๑ การแปลโดยพยัญชนะ (Literal Translation) เป็นวิธีการแปลตามข้อความแบบคา ต่อคา (word-for-word) โดยมุ่งท่ีจะคงรูปแบบ (forms) อันได้แก่ คา (words) การเรียงคา (word orders) ว ลี (phrases) อ นุ ป ร ะ โย ค (clauses) ป ร ะ โย ค (sentences) แ ล ะ ย่ อ ห น้ า ต่ า งๆ (paragraphs) ซึ่งใช้ในภาษาต้นฉบับ เป็นวิธีการแปลท่ีรักษาสภาพเดิมของต้นฉบับไว้อย่างเคร่งครัด ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบและระมัดระวัง โดยเฉพาะในเรอื่ งไวยากรณ์และโครงสรา้ ง วิธีการแปล เช่นน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษารูปแบบ (forms) ของภาษาต้นฉบับ ผู้แปลที่ยังมีปัญหาในเรื่อง ไวยากรณ์และโครงสร้าง ควรเริ่มฝึกแปลโดยวิธีนี้ให้มาก เพราะเป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้ ได้ใช้ และไดเ้ กิด ทักษะในเร่ืองไวยากรณ์และโครงสร้างของภาษาต้นฉบับน้ันเป็นอย่างดี วิธีการแปลชนิดน้ีมักจะใช้กับ
๒๘๐ การแปลงานเขียนประเภทที่จะผิดไม่ได้ เช่น กฎหมาย เอกสารสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คัมภีร์ ศาสนา และข้อความอ่นื ๆ ท่ตี ้องการรกั ษาความศกั ดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ๑๕.๓.๒ การแปลโดยอรรถ (Meaning-based Translation) เป็นวิธีการแปลโดยมุ่งท่ีจะ รักษาความหมาย (Meaning) ของภาษาต้นฉบับไว้ ผู้แปลอาจจะ ตีความ, ตัดความ, หรือ เติมความ ให้เป็นภาษาที่สละสลวยตามหลักวรรณศิลป์ในภาษาฉบับแปลก็ได้ วิธีการแปลชนิดน้ี นิยมใช้กับการ แปลทีม่ ไิ ด้มงุ่ เนน้ ทีจ่ ะรกั ษารปู แบบ (forms) เชน่ การแปลขา่ วต่างประเทศ ข่าวโทรเลข นวนิยาย ฯลฯ ๑๕.๔ การแปลบาลเี ปน็ ไทย ๑๕.๔.๑ วธิ ีการแปลบาลีเปน็ ไทย ในการแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย โดยทั่วไป ก็มีวิธีการแปลคล้ายๆ กับวิธีการแปลภาษา ทว่ั ไป ซ่ึงอาจแบ่งย่อยตามวธิ ีการแปลท่ีถือปฏิบัติอยู่ในวงการศึกษาไทย (โดยเฉพาะในวงการศึกษาของ คณะสงฆ์ไทย) ในยคุ ปัจจบุ ัน ได้ ๓ วิธี ดังน้ี ๑) การแปลโดยยกศพั ท์ เป็นวิธีการแปลท่ีผู้แปลตอ้ งอ่านคาบาลีก่อนแล้วจงึ แปลเป็น ภาษาไทย (แปลด้วยปาก) การแปลแบบน้ี นิยมใช้ในชั่วโมงการเรียนกับครูอาจารย์ เวลาแปล ครูผู้สอน จะกาหนดเร่ืองให้นักเรียนคนใดคนหน่ึงแปลตามหัวข้อเร่ืองที่สอนในชั่วโมงนั้น โดยผู้แปลอ่านคาบาลีท่ี จะแปลก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทยตามตัวอักษร ซึ่งต้องออกสาเนียงอายตนิบาตให้ตรงกบั วิภัตติน้ัน ๆ ศัพท์ไหนต้องแปลก่อนหรือแปลหลัง ต้องรู้หลักเกณฑ์การแปลเป็นอย่างดี ถ้าไม่รู้หลักเกณฑ์การแปล และไม่รู้จักศัพท์ทางไวยากรณ์ที่สาคัญ เช่น ไม่รู้ว่านามคาไหนเป็นวิภัตติอะไร คากริยาของบทประธาน เป็นวาจกอะไร ฯลฯ ก็จะรู้สึกอึดอัดใจและแปลไม่ได้ แต่ถ้ารู้หลักเกณฑ์การแปลและรู้จักศัพท์สาคัญ ดังกล่าวไดด้ ี ก็จะแปลไดท้ นั ที เชน่ บาลี: ทารกิ า อาจริยสสฺ อทุ ก ปวิ ติ. แปล: ทาริกา อ. เด็กหญิง, ปิวติ ย่อมดื่ม อุทก ซึ่งน้า, วหิ าเร ในวิหาร, อาจริยสฺส ของอาจารย์ ๒) การแปลโดยพยัญชนะ เป็นวิธีการแปลตามตัวอักษรเช่นเดียวกับการแปลโดยยก ศัพท์ กล่าวคือ เอาคาที่คิดว่ามีความหมายเหมือนกันเข้าไปแทนท่ี แต่ยังคงมุ่งที่จะรักษารูปแบบ อัน ได้แก่ คา การเรียงคา วลี ประโยค และย่อหน้าต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษาบาลี เป็นวิธีการแปลท่ีรักษาสภาพ เดิมของต้นฉบับบาลีไว้อย่างเคร่งครัด ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบและระมัดระวัง โดยเฉพาะใน เรื่องไวยากรณ์และโครงสร้าง เวลาแปล ให้คงสาเนียงอายตนิบาตของวิภัตติต่าง ๆ ไว้ทั้ง ๒ วจนะ เพื่อให้เกิดทักษะในเร่ืองของวิภัตติว่า นามศัพท์ใดเป็นวิภัตติอะไร ออกสาเนียงอายตนิบาตว่าอย่างไร เช่น
๒๘๑ บาลี: อาจริยสฺส สสิ ฺสา คามสมฺ ึ วหิ าเร วสนฺติ. แปล: อ. ศิษย์ ท. ของอาจารย์ ย่อมอยู่ ในวหิ าร ใกลบ้ ้าน ๓) การแปลโดยอรรถ เป็นวธิ ีการแปลเอาความที่มกี ารเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ งบ้าง แต่ ภาษาที่ใช้ก็ยังไม่เป็นธรรมชาตินัก เมื่อผู้แปลเกิดความชานาญในการแปลโดยพยัญชนะแล้ว ให้เริ่มฝึก แปลโดยอรรถ โดยให้ตัดสาเนียงอายตนิบาตท่ีไม่จาเป็นออก คือเอาแต่ใจความตามภาษาไทย ฟังได้ ความชัดเจนยิ่งข้ึน กล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือให้ตัดสาเนียงคาแปลว่า “อันว่า...” ออก และตัดสาเนียงคา แปลอายตนิบาตอื่น ๆ ท่ีไม่จาเป็นต่อใจความออก เช่น “ซ่ึง..., สู่ ..., ยัง..., ส้ิน...” ฯลฯ ออกได้บ้าง ท้ังนี้ข้ึนอยกู่ ับวา่ ได้ความชดั เจนหรอื ไม่อยา่ งไร เช่น บาลี: สาวกาน สงฺโฆ พทุ ธฺ สฺส ธมมฺ จรติ. แปล: หมูพ่ ระสาวก ยอ่ มประพฤติธรรมของพระพุทธเจ้า จะเห็นได้ว่า วิธีการแปลภาษาบาลีดังกล่าวมาน้ี มีวิธีแปลและความมุ่งหมายต่างกัน วิธีการ แปลโดยยกศัพทแ์ ละวิธีการแปลโดยพยัญชนะน้ัน ใชใ้ นกรณีที่ต้องการจะรกั ษาสภาพเดมิ ของตน้ ฉบบั ไว้ อย่างเคร่งครัด ส่วนวิธีการแปลโดยอรรถ ใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการจะรักษาสภาพเดิมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีถ้าใช้วิธีการแปลโดยพยัญชนะ ก็จะไม่ช่วยในการส่ือความหมายที่ดี เพราะ ข้อความที่แปลแล้วไม่เป็นธรรมชาติ และไม่ถูกต้องตามสานวนการเขียนในภาษาฉบับแปล หรือในบาง กรณี ถ้าใช้วธิ ีการแปลโดยอรรถ ก็อาจจะทาให้ความหมายเดิมของภาษาบาลีโดยเฉพาะที่เป็นพุทธพจน์ เปล่ียนไป เพราะผู้แปลไม่รักษารูปแบบ มีการเปลี่ยนแปลงคา โครงสร้าง ฯลฯ ดังน้ัน ผู้แปลจะต้อง พจิ ารณาวา่ ในกรณใี ดควรใช้วิธีการแปลแบบใด จงึ จะเหมาะสมกับความมุ่งความของการแปล ๑๕.๔.๒ หลกั การแปลบาลเี ปน็ ไทย ในการแปลบาลีเป็นไทย ผู้แปลจะต้องศึกษาหลักการเบื้องต้นให้เข้าใจว่า ในประโยคหรือ ข้อความภาษาบาลีที่จะต้องแปลนั้น จะแปลโดยวิธีใด ศัพท์ใดจะต้องแปลก่อนหรือแปลหลัง หรือว่า ศพั ทใ์ ดจะตอ้ งแปลเป็นลาดับที่ ๑-๒-๓ ตามลาดบั จนหมดทกุ ศพั ท์ในประโยคน้นั ๆ เม่ือกล่าวถึงประโยค ผู้ศึกษาจะพบว่า ประโยคทั่ว ๆ ไปในภาษาบาลี จะเป็นประโยค กัตตุวาจก, กัมมวาจก, ภาววาจก, เหตุกัตตุวาจก หรือ เหตุกัมมวาจก หลักในการแปลองค์ประกอบ ตา่ ง ๆ ของประโยคดงั กล่าวเหลา่ น้ี เปน็ หลักการแปลตามลาดับ ๙ ประการ ซ่ึงถอื ว่าเป็นหลักที่สาคัญ มาก ผู้ศึกษาวิชาการแปลภาษาบาลีใหม่ ๆ ควรรู้ไว้ และให้ถือเป็นหลักการแปลภาษาบาลีโดย สมบูรณ์แบบ ไมว่ า่ จะเปน็ ประโยคหรอื วาจกใดกต็ าม ดูตารางท่ี ๑๕.๑
๒๘๒ ตารางที่ ๑๕.๑ หลกั การแปลประโยคภาษาบาลีตามลาดับ ๙ ประการ องค์ประกอบของประโยค ลาดบั การแปล ๑. อาลปนะ แปลลาดบั ท่ี ๑ ๒. นิบาตตน้ ข้อความ แปลลาดบั ที่ ๒ ๓. กาลสตั ตมี (ถ้ามี) แปลลาดับท่ี ๓ ๔. บทประธาน (กัตตุการก) แปลลาดับท่ี ๔ ๕. บททเ่ี น่อื งด้วยบทประธานหรือบทขยายบทประธาน (ถ้ามี) แปลลาดบั ที่ ๕ ๖. กรยิ าในระหว่างและบททเ่ี นือ่ งด้วยกริยาในระหวา่ ง (ถ้าม)ี แปลลาดับที่ ๖ ๗. ประโยคแทรก (ถ้ามี) แปลลาดบั ที่ ๗ ๘. กรยิ าคมุ พากย์ (ถ้ามี) แปลลาดับท่ี ๘ ๙. บทที่เนื่องด้วยกริยาคุมพากย์ หรือบทขยายกริยาคุมพากย์ (ถ้ามี) แปลลาดบั ท่ี ๙ จากตารางที่ ๑๕.๑ หลักการแปลประโยคภาษาบาลีตามลาดับท้ัง ๙ ประการนี้ ผู้ศึกษา จะต้องศกึ ษาองค์ประกอบต่าง ๆ ของประโยคให้เข้าใจตง้ั แตห่ มายเลข ๑ อาลปนะ ไดแ้ ก่ ศัพท์ประเภท ใด หมายเลข ๒ นิบาตต้นข้อความ ได้แก่ ศัพท์ประเภทใด ตลอดถึงหมายเลข ๙ และข้อสาคัญก็คือว่า เมื่อมีอาลปนะทั้ง ๒ ประเภท อยู่ในประโยคเดียวกัน เราจะแปลอาลปนะประเภทไหนก่อน จึงจะถือว่า ถกู ต้อง อย่างไรก็ตาม ในประโยคหนึ่ง ๆ อาจไม่ต้องใช้หลักการแปลตามลาดับครบทั้ง ๙ ประการ ดงั กล่าว เพราะองค์ประกอบตา่ ง ๆ ในประโยคมีไม่ครบ ซ่ึงก็แล้วแต่เนื้อความ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้อง มี ๒ องค์ประกอบ คือบทประธานกับบทที่เน่ืองด้วยบทประธานในประโยคลิงคัตถะ และมีประธานกับ กริยาในประโยคกัตตุวาจก เป็นตน้ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง ประโยค แปลโดยพยญั ชนะ ๑. พุทธสสฺ สาวโก. อ. สาวก ของพระพุทธเจ้า ๒. เอว กโรหิ มหาราช. ขา้ แต่มหาราช (อ. พระองค์) ขอจงทรงกระทาอยา่ งนี้ ๓. อห ภนเฺ ต ปพพฺ ชฺช ยาจาม.ิ ขา้ แต่ท่านผูเ้ จริญ อ. ข้าพเจา้ ย่อมขอซึง่ บรรพชา ๔. มย ภนเฺ ต ติสรเณน สห ปญจฺ สลี านิ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ข้าพเจ้า ท. ย่อมขอซ่ึงศีล ท. ห้า กับ ด้วยสรณะสาม ยาจาม. ดูกอ่ นภิกษุ ท. ก็ (อ. เรา) จกั แสดงซึ่งธรรม แกท่ ่าน ท. ๕. ธมมฺ หิ โว ภกิ ขฺ เว เทเสสฺสามิ. ดกู ่อนท่านผู้มีอายุ ก็ อ. ท่าน เปน็ ผู้อยู่แล้วตลอดพรรษา ในที่ ๖. กหุ ึ ปน ตฺว อาวุโส วสสฺ วุตฺโถ (โหส)ิ . ไหน (ย่อมเปน็ ) ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า อ. เศรษฐี นั้น ได้แล้ว ซ่ึงบุตร ๗. โส กริ ภนฺเต เสฏฺ ปตุ ตฺ ลภติ วฺ า, ปุตฺเต มเต, ครัน้ เมอ่ื บุตร ตายแล้ว ได้ไปแล้ว สู่วิหาร วิหาร อคมาส.ิ
๒๘๓ จากประโยคตัวอย่างขา้ งต้นนี้ จะเห็นว่า ในประโยคต่าง ๆ ทงั้ ๗ ประโยค นั้น อยา่ งน้อยท่ีสุดก็ ตอ้ งมี ๒ องค์ประกอบ คือบทประธานกับบทท่ีเน่ืองด้วยบทประธานในประโยคลิงคตั ถะ (ดูประโยคท่ี ๑) และมีประธานกับกริยาในประโยคกัตตวุ าจก (ดูประโยคท่ี ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗) ขอ้ ความจา : เมื่อองค์ประกอบต่าง ๆ ในประโยคใด มไี ม่ครบตามหลักการแปลตามลาดับทั้ง ๙ ประการ ก็ให้เลื่อนไปตามลาดับ แต่หมายเลข (๔) คือ บทประธาน นั้น หากไม่ปรากฏในประโยค ก็ให้ ขึ้นมาเอง (ยกเว้นประโยคภาววาจก) ๑๕.๕ การแปลอาลปนะ ๑๕.๕.๑ ความหมายของอาลปนะ อาลปนะ หมายถึง คาทักทาย หรือคาเรียกบุคคลตามฐานะและชั้นของบุคคล อาลปนะใน ภาษาบาลมี ีอยู่ ๒ ชนิด ดังนี้ (๑) อาลปนนาม คือ นามศัพท์ที่ประกอบด้วย สิ, โย อาลปนวิภัตติ หรือนามศัพท์ท่ี เปน็ รูปอาลปนการก ใชท้ กั ทายโดยออกชือ่ ทเ่ี ปน็ สาธารณนามบา้ ง อสาธารณนามบ้าง เช่น ภิกขฺ เว = ดูกอ่ นภิกษุ ท. สารปี ตุ ตฺ = ดูก่อนสารบี ุตร (๒) อาลปนนิบาต คือ นิบาตที่ใช้สาหรับทักทายหรือเรียกบุคคลตามฐานะและชั้น จดั เป็นอัพยยศพั ท์ คือ คงรูปอยูอ่ ย่างเดมิ โดยไม่เปลย่ี นแปลงดว้ ยการแจกวภิ ตั ติ เชน่ ภนฺเต = ขา้ แตท่ ่านผูเ้ จริญ (เป็นคาทคี่ ฤหสั ถ์หรือบรรพชติ ผู้นอ้ ยเรยี ก บรรพชิตผู้ใหญ)่ อาวโุ ส = ดูก่อนผู้มีอายุ (เป็นคาท่ีพระใช้เรยี กคฤหัสถ์ หรือพระผู้ใหญ่ ใชเ้ รียกพระผนู้ ้อย) ๑๕.๕.๒ หลักการแปลอาลปนะ ตามหลักการแปลประโยคภาษาบาลี เมอื่ มอี าลปนะในประโยค ใหแ้ ปลอาลปนะเป็นที่ ๑ ถ้า เป็น อาลปนนาม ให้ออกสาเนียงแปลตามฐานะและช้ันของบุคคลว่า “แน่ะ ...”, “ดูก่อน...”, หรือ “ขา้ แต่...”
๒๘๔ ดปู ระโยคตัวอย่าง สามิ เอโก ปุตโฺ ต ชาโต. (๒/๗๕) ข้าแต่นาย อ. บุตร คนหนงึ่ เกดิ แล้ว (อห) ธมมฺ โว ภกิ ขฺ เว เทเสสสฺ ามิ. ดูกอ่ นภกิ ษุ ท. (อ. เรา) จกั แสดง ซง่ึ ธรรม แก่เธอ ท. ตาต (ตวฺ ) สกเฏสุ อปปฺ มตฺโต โหห.ิ (๑/๖) แน่ะพ่อ (อ. เจา้ ) จงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ในเกวียน ท. จงเป็น แต่ถ้าเป็นอาลปนนิบาต ก็ให้ออกสาเนียงการแปลตามฐานะและชั้นของบุคคล เช่น ออก สาเนียงการแปลวา่ “ขอเดชะ...”, “ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จรญิ ...”, หรอื “แนะ่ พนาย...” เปน็ ต้น ดูประโยคตัวอย่าง กนฏิ ฺ ภาตา เม อตฺถิ ภนฺเต. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ อ. น้องชายผ้นู อ้ ยทีส่ ุด ของข้าพระองค์ มอี ย.ู่ (ตวฺ ) ยาหิ อาวโุ ส. ดกู ่อนท่านผ้มู ีอายุ อ. ทา่ น จงไป. อย่างไรกต็ าม ในประโยคภาษาบาลี ถา้ อาลปนะท้งั สองคอื อาลปนนามและอาลปนนิบาตอยู่ ในประโยคเดียวกัน ผู้ศึกษาจะพบว่า อาลปนนิบาตนิยมวางไว้หน้าอาลปนนามเสมอไป และในเวลา แปล ให้แปลอาลปนนามก่อน คือแปลเป็นตัวที่ ๑ แล้วจึงแปลอาลปนนิบาตเป็นตัวท่ี ๒ (แปลเป็น วิเสสนะวา่ “ผ.ู้ ..) ดปู ระโยคตวั อยา่ ง (ตวฺ ) วเทหิ ตาว อาวโุ ส ปาลติ . (๑/๑๐) แน่ะปาลติ ะ ผู้มอี ายุ (อ. ทา่ น) จงกลา่ ว ก่อน. โภ โคตม (ตวฺ ) อธิวาเสหิ เม อชฺชตนาย ภตตฺ สทฺธึ ภกิ ขฺ สุ งเฺ ฆน. (๑/๓๑) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ (อ. พระองค์) กับ ด้วยหมู่แห่งภิกษุ ยังภัตร ของขา้ พระองค์ ขอจงใหอ้ ยู่ทับ เพอ่ื อันจะมีในวันน้ี
๒๘๕ ๑๕.๖ การแปลนบิ าตต้นข้อความ ๑๕.๖.๑ ความหมายของนิบาตต้นข้อความ นิบาตต้นข้อความ หรือนิบาตบอกนัยต่าง ๆ เป็นศัพท์สาหรับใช้แทรกลงในระหว่างประโยค คาพูด เพ่ือเช่ือมเนื้อความให้เกิดประโยคใหม่ต่อไป คล้ายคาสันธานในภาษาไทย ทาให้มีความหมาย คล้อยตามกันหรือแย้งกัน หรือเพื่อเน้นคาให้มีความหมายหนักแน่นตามข้อเท็จจริงแห่งเรื่องนั้น ๆ โดย วางไวเ้ ปน็ ที่ ๒ บ้าง ที่ ๓ บา้ ง ท่ี ๔ บ้าง ๑๕.๖.๒ หลกั การแปลนบิ าตตน้ ขอ้ ความ ในเวลาแปลผู้แปลจะต้องแปลนิบาตต้นข้อความก่อนบทประธาน (กัตตุการก) โดยแปล เป็นหมายเลข ๒ ต่อจากศัพท์อาลปนะ ในประโยคใดไม่มีท้ังอาลปนะและนิบาต ก็ข้ามไปแปล หมายเลข ๓ คอื บทกาลสัตตมี หรือนบิ าตบอกกาลเวลา เช่น อถ ท่ีแปลว่า ครั้งนนั้ , เมื่อน้ัน, คราวนั้น ฯลฯ ถ้าไม่มีบทกาลสัตตมี (อธิกรณการก) ก็ให้แปลหมายเลข ๔ ซึ่งเป็นบทประธาน บทประธาน (กตั ตกุ ารก) จะขาดมิได้แม้จะไม่มีอยู่ในประโยคนั้น เวลาแปลตอ้ งหาบทประธานเพิ่มเข้ามาให้สอดคล้อง กับเรื่องโดยให้ดูท่ีกริยาคุมพากย์เป็นสาคัญ ดังนั้น ศัพท์ท่ีจะต้องแปลก่อนบทประธาน จึงมีเพียง ๓ ศัพท์ คือ (๑) อาลปนะ (๒) นบิ าต และ (๓) กาลสตั ตมี ดปู ระโยคตัวอยา่ ง ตฺว ต กมมฺ มา กโรติ, ต หิ ปาปํ โหติ. อ. ท่าน จงอย่าทา ซึ่งกรรมน้ัน, เพราะว่า อ. กรรมนั้น เป็นบาป ย่อมเป็น เอเต โข ภเณ เวชชฺ า นาม พหมุ ายา, มา จ อสฺส กิญฺจิ ปฏิคฺคเหส.ิ แน่ะพนาย ชื่อ อ. หมอ ท. เหล่าน่ันแล เป็นผู้มีมายามาก ย่อมเป็น, ก็ อ. ท่าน อย่าถอื เฉพาะแล้ว (อยา่ เชือ่ ถอื ) ซ่งึ คาอะไร ๆ ของหมอน้ัน ๑๕.๗ การแปลกาลสัตตมี ๑๕.๗.๑ ความหมายของกาลสัตตมี กาลสัตตมี หมายถึง บทสาหรับบอกกาลเวลา อาจจาแนกออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) นามศพั ท์ทเ่ี กย่ี วกบั กาล เวลา และสมยั ประกอบด้วย ทตุ ิยาวภิ ตั ติ, ตตยิ าวภิ ตั ติ, และ สัตตมีวภิ ัตติ แปลวา่ “ใน...” เชน่
๒๘๖ ต ทิวส = ในวันน้ัน (ทุตยิ าแปลเป็นสตั ตมี) = ในวันหนงึ่ (ทตุ ิยาแปลเปน็ สตั ตมี) เอกทวิ ส = ครั้งนนั้ ในวนั หนง่ึ , ครน้ั ภายหลัง ณ วนั หน่ึง อเถกทิวส๑ (ทตุ ยิ าแปลเป็นสัตตม)ี ๒) ศัพทท์ ีล่ งปจั จัย คอื ทา, ทานิ, รห,ิ ธุนา, ทาจน, ชชฺ , ชชฺ ุ เชน่ สพฺพทา = ในกาลทั้งปวง สทา = ในกาลทุกเม่อื เอตรหิ = ในกาลนี้, เด๋ยี วนี้ ๓) นบิ าตบอกกาลเวลา เช่น อถ = ครง้ั น้นั ปาโต = เชา้ ๑๕.๗.๒ หลักการแปลกาลสัตตมี ในการแปลบทกาลสัตตมีทั้ง ๓ ประเภทน้ัน โดยปกติจะแปลเป็นตัวท่ี ๓ ต่อจากอาลปนะ และนิบาตต้นขอ้ ความ (ถ้าม)ี แต่ถา้ อาลปนะและนิบาตต้นขอ้ ความไม่มี กใ็ หแ้ ปลเป็นตัวแรกในประโยค๒ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง เอกสฺมึ หิ ทวิ เส เถโร สตฺตาหจฺจเยน นิโรธา กุฏฺ าย นกิ ฺขมิ. (๓/๘๐) ความพิสดารว่า ในวันหน่ึง อ. พระเถระ ออกแล้ว จากสมาบัติช่ือว่านิโรธโดยการ ล่วงไปแหง่ วนั เจด็ ออกไปแล้ว... ๑ คาว่า อเถกทวิ ส น้นั ถ้าแปลรวม แปลว่า “คร้ันภายหลัง ณ วันหนึ่ง” แตถ่ ้าแปลแยกจะแปลว่า “คร้ังนั้น ในวันหนึง่ ” ๒ หากผู้แปลประสงค์จะแปลกาลสัตตมีหลังกริยาคุมพากย์ ก็ย่อมได้ นอกจากนั้น ให้พิจารณาดูว่า วางไว้ ตรงไหนและเน่ืองด้วยบทใด แลว้ แปลหลงั บทนั้นก็ได้เชน่ เดียวกัน อนึ่ง กาลสัตตมี ทั้ง ๓ นั้น หากบท เตน หรือ ตสฺมา (เฉพาะที่แปลว่า เพราะเหตุน้ัน) วางอยู่ข้างหน้าประโยค ให้แปล เตน หรือ ตสฺมา น้ันก่อน เช่น ตสฺมา ตทิวส สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนฺโต อนุปุพฺพีกถ กเถสิ. (๑/๑๕) เพราะเหตุนั้น ในวันนั้น อ. พระศาสดา ทรง แลดูแล้วซ่ึงอุปนิสัย ของกุฎุมพี ช่ือว่ามหาปาละ นั้น เม่ือทรงแสดง ซึ่งธรรม ตรัสแล้ว ซ่ึงวาจาเป็นเคร่ืองกล่าวโดย ลาดับ
๒๘๗ (หิ เป็นนิบาตต้นข้อความ จึงแปลก่อนว่า “ความพิสดารว่า” ส่วน เอกสฺมึ ทิวเส เป็นบทกาลสัตตมี ชนิดนามศัพท์ที่เกี่ยวกับกาลเวลา แปลต่อจากนิบาตต้นข้อความ วา่ “ในวันหน่งึ ”) ตทา สาวตฺถยิ สตฺต มนสุ สฺ โกฏิโย วสนฺติ (๑/๕) ในกาลนัน้ อ. โกฏิแหง่ มนุษย์ ท. เจ็ด ย่อมอยู่ ในเมืองช่อื ว่าสาวัตถี (ในประโยคนี้ ไม่มีอาลปนะและนิบาตต้นข้อความ แต่มีกาลสัตตมีประเภทศัพท์ท่ี ลง ปจั จัย คอื ตทา จึงต้องแปลกาลสตั ตมี คือ ตทา ก่อน) ๑๕.๘ การแปลบทประธาน ๑๕.๘.๑ ความหมายของบทประธาน บทประธาน หมายถงึ บททเี่ ป็นหัวหนา้ ส่วนสาคญั ในประโยค ซึง่ อาจเป็นผู้แสดงกริยาอาการ เอง ถูกแสดงกริยาอาการ ใช้ให้คนอ่ืนแสดงกรยิ าอาการ ถูกผอู้ ่ืนใชใ้ หแ้ สดงกริยาอาการ หรอื ไม่ได้แสดง กริยาอาการอะไรในประโยค ๑๕.๘.๒ ลักษณะของบทประธาน ลักษณะของบทท่ีเปน็ ประธานได้ อาจจาแนกเปน็ ๙ ชนดิ ดังน้ี ๑) บทนามนาม เปน็ บทท่ใี ชเ้ รียกชอ่ื คน, สัตว์, สถานที่ และส่งิ ของตา่ ง ๆ เชน่ ปรุ โิ ส = อ. บรุ ษุ อิตฺถี = อ. หญงิ เสฏฺฐี = อ. เศรษฐี กลุ = อ. ตระกูล อาจริยา = อ. อาจารย์ ท. ชนา = อ. ชน ท. ๒) บทปุริสสัพพนาม หมายถึง บทสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้ที่ร่วมวงสนทนา ดว้ ย เปน็ บทท่ีมาจากศัพท์ ๓ ศัพท์ คือ ต, ตมุ ฺห และ อมหฺ ศัพท์ ๓) บทนามกติ ก์ ทใ่ี ช้เป็นนามนาม หรือ ภาวนาม เช่น คมน = อ. การไป กรณ = อ. การกระทา จินตฺ น = อ. ความคิด มรณ = อ. ความตาย สาวโก = อ. พระสาวก ทายโก = อ. ทายก ...ตุ = ธารณ = อ. อันทรงไว้ ... อ. อนั ...
๒๘๘ ๔) บทกริยากิตก์ ท่ีใชเ้ ปน็ นามนาม หรอื กรยิ านาม เช่น พุทฺโธ๓ = อ. พระพุทธเจ้า ชีวติ ๓ = อ. ความเปน็ อยู่ คนตฺ พพฺ ๓ = อ. การไป, อ. อันไป ๕) บทสมาส ประเภทนาม เชน่ มหาเถโร = อ. พระมหาเถระ ราชปุตฺโต = อ. พระโอรสของพระราชา ปตฺตจีวร = อ. บาตรและจวี ร นตถฺ ิปูโว = อ. ขนมไม่มี ๖) บทตทั ธติ ประเภทนามนาม หรอื ภาวนาม เช่น คามตา = อ. ประชมุ แห่งชาวบ้าน สหายตา = อ. ประชุมแหง่ สหาย สามเณโร = อ. สามเณร สามญฺ = อ. ความเปน็ แหง่ สมณะ ๗) บทสังขยา๔ ประเภทนามนาม เช่น สต = อ. รอ้ ย สตานิ = อ. รอ้ ย ท. ๘) บทนบิ าต ที่ลงในอรรถปฐมาวิภตั ติ สามารถใชเ้ ปน็ ประธานได้ เชน่ เอว = อ. อย่างนั้น อล = อ. พอละ ตถา = อ. อย่างนัน้ สกฺกา = อ. อัน ...อาจ ๙) บทนามศัพท์ ที่ประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติบางศัพท์ สามารถใช้เป็นประธานใน ประโยคไดแ้ ละเรียกชอ่ื ทางสัมพนั ธ์ว่า “สตั ตมีปัจจัตตสยกัตตา” เช่น อสกุ คามคมนฏฺ าเน = อ. ทเ่ี ปน็ ทไ่ี ปส่บู า้ นชอื่ โนน้ อชฺช อิทานิ = อ. วันนี้ = อ. กาลนี้ ๓ คาวา่ “พทุ โฺ ธ” (พธุ ฺ + ต ), “ชวี ิต” (ชีวฺ + ต) และ “คนตฺ พพฺ ” (คมฺ + ตพฺพ) เป็นกริยากติ ก์ ทีใ่ ช้เป็นนาม นามหรือกริยานาม ซ่ึงสามารถใช้เป็นประธานในประโยคได้ อย่างไรก็ตาม กริยากิตก์ท่ีลง ต หรือ ตพฺพ ปัจจัย โดยมากมกั ใชเ้ ป็นกรยิ าคุมพากย์, วเิ สสนะ หรือ วกิ ติกตั ตา ๔ ปกติสังขยา ตงั้ แต่ เอกูนสต (๙๙) ขน้ึ ไป เป็นนามนาม สามารถใช้เป็นประธานในประโยคได้
๒๘๙ ๑๕.๘.๓ หลักการตรวจหาบทประธานในประโยค การจะรู้ว่าบทใดเป็นบทประธานในประโยคน้ัน ผู้แปลต้องพิจารณาดูลักษณะของบทท่ีควร จะเป็นประธานในประโยคได้ เม่ือพิจารณาเห็นว่าบทใดควรจะเป็นประธานในประโยคได้แล้ว ก็ให้ ตรวจสอบกับกรยิ าคุมพากย์๕ เพื่อให้แน่ใจว่า บทท่ีคดิ ว่าควรจะเป็นประธานในประโยคน้ัน สามารถเป็น ประธานได้จริง โดยมีหลกั ในการตรวจสอบ ดงั น้ี ๑) ตรวจกริยาอาขยาต ถ้ากริยาอาขยาตเป็นกริยาคุมพากย์ บทประธานกับกริยา อาขยาต ต้องมีวจนะและบุรุษตรงกัน แม้ในประโยคนั้น ๆ จะไมว่ างบทประธานไว้ ก็ต้องขึ้นมาโดยให้มี วจนะและบรุ ุษตรงกัน (ยกเวน้ ประโยคภาววาจก) และในการขนึ้ บทประธานมานั้น มหี ลักดงั นี้ (๑) กริยาคุมพากย์เป็นประถมบุรุษ เอกวจนะ ให้ข้ึนนามนามท่ัวไปที่เป็น เอกวจนะ เช่น ชโน ปุคคฺ โล ฯลฯ (๒) กริยาคุมพากย์เป็นประถมบุรุษ พหุวจนะ ให้ขึ้นนามนามทั่วไปที่เป็น พหวุ จนะ เชน่ ชนา ปุคคฺ ลา ฯลฯ (๓) กริยาคมุ พากยเ์ ปน็ มัธยมบุรุษ เอกวจนะ ใหข้ น้ึ ตวฺ (๔) กรยิ าคมุ พากยเ์ ป็นมัธยมบุรษุ พหุวจนะ ใหข้ นึ้ ตมุ ฺเห (๕) กริยาคุมพากย์เปน็ อุตตมบรุ ษุ เอกวจนะ ให้ข้นึ อห (๖) กรยิ าคุมพากย์เปน็ อตุ ตมบุรษุ พหุวจนะ ใหข้ ึน้ มย ๒) ตรวจกริยากิตก์๖ ถ้ากรยิ ากิตก์เป็นกริยาคุมพากย์ บทประธานกบั กริยาคุมพากย์ ตอ้ งมี ลงิ ค์, วจนะ, และวภิ ัตติ ตรงกนั ๑๕.๘.๔ หลักการแปลบทประธาน ตามหลักการแปล บทประธานตอ้ งแปลในลาดับถดั จากอาลปนะ นิบาตต้นขอ้ ความและกาล สัตตมี (หากบทเหล่าน้ีมีอยู่ในประโยค) และในการแปลบทประธานนั้น ถ้าแปลโดยพยัญชนะ จะออก สาเนียงอายตนิบาตว่า “อ. (อันว่า)...” (ในกรณีที่บทประธานเป็นเอกวจนะ) หรือว่า “อ. (อันว่า)... ท.” (ในกรณีท่ีบทประธานเป็นพหุวจนะ) แต่ถ้าแปลโดยอรรถ ก็จะไม่ใชค้ าว่า อ. (อันว่า) ส่วนคาว่า ท. (ท้ังหลาย) นั้น ใช้ได้บ้าง แต่ไม่ควรใช้บ่อย โดยมากให้ใช้คาแทน เช่นคาว่า เหล่า, หมู่, พวก ฯลฯ แต่ ถ้าบทประธานบทใด มีบทสังขยากากับนบั อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้คาวา่ ท. (ทั้งหลาย) เช่น จตฺตาโร ปุริสา = บุรุษ ๔ คน, ปญฺจ ภิกฺขู = ภกิ ษุ ๕ รูป ๕ ยกเวน้ ประโยคลิงคัตถะและอุปมาลิงคัตถะ ซงึ่ มบี ทประธาน แตไ่ มม่ ีกรยิ าคมุ พากย์ ๖ กริยากิตก์ท่ีลง ต อนีย หรือ ตพฺพ ปัจจัย นิยมใช้คุมพากย์เมื่อบทประธานเป็นประถมบุรุษเท่าน้ัน ถ้าบท ประธานเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษ นิยมแปลเป็น วิกติกัตตา ในกริยาอาขยาต เช่น อุปาสโก วิหาร คโต = อ. อุบาสก ไปแล้ว สู่วิหาร (ต ปัจจัยใช้คุมพากย์), ตฺว วิหาร คโต (อสิ) = อ. ท่าน เป็นผู้ไปแล้ว สู่วิหาร ย่อมเป็น (ต ปัจจยั แปลเป็น วกิ ตกิ ตั ตา ใน อสิ)
๒๙๐ ดปู ระโยคตวั อย่าง เอโก ปรุ โิ ส อตฺตโน อาวุธ ปมมฺ ุสสฺ ติ วฺ า นวิ ตโฺ ต ต คณหฺ นฺโต วฑิ ูฑภกุมารสฺส อกโฺ กสนสททฺ สุตวฺ า...(๓/๑๔) อ. บุรุษ คนหน่ึง ลืมทั่วแล้ว ซ่ึงอาวุธ ของตน กลับแล้ว ถือเอาอยู่ ซ่ึงอาวุธน้ัน ฟัง แลว้ ซ่งึ เสยี งแห่งการด่า ซง่ึ พระกุมารพระนามวา่ วฑิ ฑู ภะ... (ปุริโส เป็นบทนามนาม ทาหนา้ ที่เป็นประธานในประโยค แปลว่า “อ. บรุ ษุ ”) มาตา อตตฺ โน ปุตฺต อนสุ าสต,ิ โส ตสฺส โอวาเท ติฏฺ ต.ิ อ. มารดา ย่อมพร่าสอน ซ่ึงบุตร ของตน, อ. เขา (แทนบุตร) ย่อมตั้งอยู่ในโอวาท ของเขา (แทนมารดา) (โส เป็นปุริสสัพพนาม เอกวจนะ โดยแปลงรูปมาจาก ต ศัพท์ ทาหน้าท่ีเป็น ประธานในประโยคหลงั แปลวา่ “อ. เขา”) ๑๕.๙ การแปลบททเี่ นอ่ื งด้วยบทประธาน ๑๕.๙.๑ ความหมายของบทท่เี นือ่ งดว้ ยบทประธาน บทท่ีเน่ืองด้วยบทประธาน เป็นบทที่แปลหรือสัมพันธ์เข้ากับบทประธานได้ โดยปกติตาม หลักการแปล เมื่อผู้แปลไดแ้ ปลบทประธานแล้ว ก่อนจะแปลบทอ่ืนต่อไป จะต้องพิจารณาหาบทท่ีเน่ือง ด้วยบทประธาน เพ่ือแปลเป็นลาดบั ต่อไป (ถา้ ม)ี บททเี่ นื่องด้วยบทประธาน มี ๔ ลกั ษณะ ดงั น้ี ๑) บทวิเสสนะ เป็นบทขยายบทประธาน ซึ่งมีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบท ประธาน ได้แก่ บทต่อไปน้ี (๑) บทคณุ นาม เช่น กุสโล ปรุ ิโส = อ. บรุ ษุ ผู้ฉลาด ปณฺฑิโต สามเณโร = อ. สามเณร ผู้เปน็ บัณฑติ (๒) บทวิเสสนสัพพนาม เช่น โส สามเณโร = อ. สามเณร รปู นั้น อย เสฏฺฐี = อ. เศรษฐี นี้
๒๙๑ (๓) นามกิตก์ท่เี ป็นคณุ นาม เชน่ สาวตฺถีวาสโิ น ชนา = อ. ชน ท. ผูอ้ าศยั อยู่ในพระนครช่อื ว่า สาวตั ถี (๔) กรยิ ากิตก์ท่ีเป็นคณุ นาม เช่น คาม คโต ปุริโส = อ. บรุ ุษ ผไู้ ปแล้ว สบู่ า้ น (๕) สงั ขยาคุณนาม เชน่ เอโก ภิกขฺ ุ = อ. ภกิ ษุ รูปหนง่ึ ๒) บทนามนาม เป็นบทนามนามอื่น ๆ ที่ประกอบด้วย ฉัฏฐีวิภัตติ สัตตมีวิภัตติ หรือ เปน็ บทหรือศัพทท์ ส่ี ามารถสมั พนั ธเ์ ขา้ กบั บทประธานได้ ดูตัวอย่าง ดงั นี้ (๑) ฉฏั ฐวี ภิ ัตติ เช่น เถรสฺส ปตตฺ จีวร = อ. บาตรและจวี ร ของพระเถระ กุมาราน อาจริโย = อ. อาจารย์ ของกุมาร ท. (๒) สตั ตมีวภิ ัตติ เชน่ สาวตฺถยิ กริ กุลปตุ ฺโต = ไดย้ ินว่า อ. กลุ บุตร ในพระนครชื่อว่าสาวัตถี วหิ าเร อปุ าสโก = อ. อุบาสก ในวิหาร ๑๕.๙.๒ หลักการแปลบททเี่ นือ่ งดว้ ยบทประธาน บทวิเสสนะที่เป็นบทขยายประธานและบทนามนามที่สามารถสัมพันธ์เข้ากับบทประธานใน ฐานะบทท่ีเน่ืองด้วยบทประธาน เม่ือเรียงเข้าเป็นประโยคในรูปประโยคกัตตุวาจก ต้องประกอบด้วย หลกั การแปลตามลาดับ ๔ ประการ ดังนี้ (๑) บทประธาน (กัตตุการก) ใหแ้ ปลเป็นที่ ๑ (๒) บทขยายประธาน (ในฐานะเปน็ คุณนามหรอื สมั พันธการก) ให้แปลเปน็ ที่ ๒ (๓) กรยิ าคมุ พากย์ (กริยากัตตวุ าจก) ใหแ้ ปลเปน็ ที่ ๓ (๔) บทนามขยายกริยาคุมพากย์ (ในฐานะเป็นกมั มการก) ใหแ้ ปลเป็นท่ี ๔
๒๙๒ ดูประโยคตวั อย่าง พหุกา สกุณา อากาเสน มคฺค คจฉฺ นตฺ .ิ อ. นก ท. มาก ยอ่ มบินไป สู่หนทาง โดยอากาศ พุทฺธสฺส สาวกา กิเลส ภนิ ทฺ นตฺ .ิ อ. สาวก ท. ของพระพุทธเจ้า ย่อมทาลาย ซงึ่ กิเลส ข้อสังเกต: (๑) การแปลบทคุณนามท่ีขยายนามซ่ึงเป็นบทประธาน ในฐานะท่ีเป็นตัววิกติกัตตาอัน เก่ยี วเนอ่ื งดว้ ยกริยาว่า มี หรอื เปน็ ต้องแปลตวั วิกติกัตตาก่อนกริยาเสมอไป โดยใช้คาแปลประกอบเข้า ขา้ งหนา้ คุณนามวา่ เป็นผ.ู้ .., เปน็ ท.่ี .., เป็นสง่ิ ... เชน่ อาจริยสฺส สสิ ฺโส กุสโล โหต.ิ อ. ศษิ ย์ ของอาจารย์ เป็นผฉู้ ลาด ยอ่ มเปน็ (๒) แม้จะไม่เรียงคากริยาไว้ ก็เป็นที่เข้าใจกันได้ เวลาแปลโดยพยัญชนะ นิยมเติมคากริยา ว่า มี หรือ เป็น เขา้ มา เช่น อาจรยิ สฺส สิสฺโส ทกฺโข. อ. ศิษย์ ของอาจารย์ เป็นผ้ขู ยนั (โหติ ย่อมเปน็ ) อาจริยสสฺ สิสฺสา ทกขฺ า. อ. ศษิ ย์ ท. ของอาจารย์ เปน็ ผขู้ ยัน (โหนตฺ ิ ย่อมเปน็ ) (๓) บทขยายนาม มิได้หมายความว่า ใช้ขยายเฉพาะบทประธานซ่ึงเป็นกัตตุการกเท่านั้น แม้คานามท่ีอย่ใู นรูปการกอ่ืนๆ ก็ขยายได้ และในเวลาแปลไม่ต้องออกสาเนียงอายตนิบาต เช่น มนุสฺสา สนุ ทฺ ร อาหาร ภุญฺชนตฺ ิ. (สนุ ทฺ ร ขยาย อาหาร) อ. มนษุ ย์ ท. ยอ่ มกนิ ซึง่ อาหาร ที่ดี อริโย อคฺคสมฺ ึ พุทฺเธ ปสาเทน พรฺ หมฺ จริย จรต.ิ (อคฺคสมฺ ึ ขยาย พทุ ฺเธ) อ. พระอรยิ เจ้า ย่อมประพฤติ ซึ่งพรหมจรรย์ ด้วยความเล่อื มใสในพระพุทธเจ้า ผู้ ประเสรฐิ
๒๙๓ (๔) ปกติสงั ขยาต้ังแต่ เอก (๑) ถึง อฏฺ ารส (๑๘) ใชน้ ับนามนามได้ท้งั ๓ ลิงค์ มีฐานะเป็น คาคุณนามในประโยค ขยายนามบทใด นิยมแปลงท้ายคาให้มีวจนะและการกตรงกันและวางอยู่หน้า คานามทต่ี นขยายนัน้ ในเวลาแปลไมต่ ้องออกสาเนยี งอายตนิบาต เชน่ เอโก ปรุ โิ ส จตสฺโส อิตถฺ ิโย ปสฺสติ. อ. ชาย คนหนง่ึ เห็นอยู่ ซงึ่ หญิง ท. ๔ คน ปญฺจ ภกิ ขฺ ู อมิ สมฺ ึ อาวาเส วสนฺติ. อ. ภกิ ษุ ท. ๕ รูป ย่อมอยู่ ในอาวาส น้ี อห อฏฺ ารสหิ ปรุ เิ สหิ สทธฺ ึ วเน อจรึ. อ. ขา้ พเจา้ ไดเ้ ทย่ี วไปแลว้ ในป่า กบั ดว้ ยชาย ท. ๑๘ คน. (๕) ปกติสังขยา ต้ังแต่ เอกูนวีส (๑๙) ถึง อฏฺ นวุติ (๙๘) ใช้นับนามนาม มีฐานะเป็น คุณนามในประโยค นิยมแปลงท้ายคาเป็นเอกวจนะ และเป็นอิตถีลิงค์อย่างเดียว แม้จะใช้ขยายนาม ลิงค์ใด ซึ่งมีวจนะต่างกันก็ตาม ก็คงรูปเป็นเอกวจนะอยู่อย่างน้ัน ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เพ่ิมพยางค์ ท้ายศัพท์เป็นเอกวจนะ ให้มีรูปการกตรงกับนามที่ตนขยายเท่านั้น และในเวลาแปลไม่ต้องออกสาเนียง อายตนิบาต เชน่ ตึสติ ภิกขฺ ู อิมสฺมึ อาวาเส วสนฺติ. อ. ภิกษุ ท. ๓๐ รปู ย่อมอยู่ ในอาวาสน้ี อห ปญฺจวสี าย ปรุ สิ าน ปญจฺ วสี วตถฺ านิ เทม.ิ อ. เรา ยอ่ มให้ ซึง่ ผา้ ท. ๒๕ ผนื แก่ชาย ท. ๒๕ คน (๖) ปูรณสังขยา เม่ือนามาเรียงเข้าเป็นประโยคคาพูด ใช้ขยายนามบทใด ก็จะเรียงไว้หน้า นามที่ตนขยายนั้น โดยแปลงท้ายคาให้มี การนั ต์, ลงิ ค์, วจนะ และการก ตรงกัน เวลาแปลเป็นไทย ไม่ ตอ้ งออกสาเนียงอายตนิบาต เช่น มม ป โม ปตุ ฺโต วีสตวิ สฺโส โหต.ิ อ. บุตร คนท่ี ๑ ของขา้ พเจ้า เปน็ ผู้มกี าลฝน ๒๐ (มอี ายุ ๒๐ ปี) ย่อมเปน็ กา ตว ทตุ ยิ า ภริยา โหติ. อ. ใคร เป็นภรรยา คนที่ ๒ ของทา่ น ย่อมเป็น
๒๙๔ ๑๕.๑๐ การแปลกรยิ าในระหวา่ ง ๑๕.๑๐.๑ ความหมายของกรยิ าในระหวา่ ง กริยาในระหว่าง หมายถึง กริยากิตก์ที่อยู่ในระหว่างประโยค โดยปรากฏในข้อความตอน หน่ึง ๆ อาจเรียกชอ่ื อกี อย่างหน่งึ ว่า “อัพภันตรกริยา” ในประโยคคาพูดต่าง ๆ เฉพาะข้อความตอนหนึ่ง ๆ ต้องอาศัยกริยากิตก์ซ่ึงเรียกว่า “กริยาใน ระหว่าง” หรือ “อัพภันตรกริยา” เป็นกริยาช่วย และจะมีต่อเน่ืองกันได้หลายตัวโดยมีกริยาอาขยาต คุมพากย์อยู่สุดท้ายตัวเดียว ซึ่งถือว่าจบประโยค หมดข้อความตอนหน่ึง บรรดากริยากิตก์ท่ีเรียกว่า “กริยาในระหวา่ ง” นนั้ ก็คือกริยากติ ก์ท่ลี ง อนฺต, มาน และ ตูนาทิ ปัจจัย ๑๕.๑๐.๒ หลกั การแปลกริยากิตกท์ ่ีลง อนฺต และ มาน ปัจจยั ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต และ มาน ปัจจัยน้ี ผู้ศึกษาจะต้องพิจารณาถึงภารกิจหรือ หน้าท่ีของกริยากิตก์ดังกล่าวว่า ทาหน้าที่อะไรในประโยค เพราะคาแปลก็จะแตกต่างกันออกไปตาม ภารกจิ หรือหน้าท่ขี องกริยากิตกด์ งั กลา่ วนัน้ ดังนี้ ๑) อพั ภันตรกรยิ า (Auxiliary verb) วางอยู่หลังบทประธาน ทาหน้าที่เป็นกริยาใน ระหว่าง (หรือกริยาภายในหรือกริยาช่วย) แสดงเหตุการณ์ท่ีเป็นปัจจุบัน แปลว่า “...อยู่” หรือ “เมอ่ื ...” และการจะแปลว่า “...อย”ู่ หรือ “เมือ่ ...” มหี ลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) ถ้ากริยากิตก์ที่ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย มีธาตุไม่ซ้ากับกริยากิตก์หรือกริยา อาขยาตทมี่ าตามหลงั ใหแ้ ปลวา่ “...อย”ู่ เช่น โส โสตาปนฺโนปิ สมาโน เสฏฺ ฐี ธีตริ อุปฺปนฺนโสก อธวิ าเสตุ อสกฺโกนโฺ ต ธตี ุ สรีรกิจฺจ กาเรตฺวา... อ. เศรษฐี แม้ผู้เป็นพระโสดาบัน เป็น น้ัน ไม่อาจอยู่ เพื่ออันยังความ โศก อันเกิดข้ึนแล้วในเพราะธิดา ให้อยู่ทับ ยังบุคคลให้กระทาแล้ว ซ่ึง กิจคอื การเผาซ่งึ สรรี ะ ของธิดา... (อสกโฺ กนฺโต เปน็ กริยาท่ีมธี าตไุ มซ่ า้ กับ กาเรตวฺ า) (๒) แต่ถ้ากริยากิตก์ท่ีลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย น้ี มีธาตุซ้ากับกริยากิตก์ที่ลง ตวฺ า ปัจจยั หรอื กริยาอาขยาตทีอ่ ยู่ข้างหลงั ให้แปลวา่ “เมือ่ ...” เช่น อห จนฺโทปมุปฺปฏิปทญฺเจว อริยวสปฏิปทญฺจ กเถนฺโต กสฺสปํ อาทึ กตวฺ า กเถสิ. (๔/๕๗) อ. เรา เมื่อกล่าว ซึ่งปฏิปทา อันมีพระจันทร์เป็นเคร่ืองเปรียบด้วยนั่น เทียว ซึ่งปฏิปทาอันเป็นวงศ์แห่งพระอริยเจ้าด้วย กล่าวแล้ว กระทา ซ่งึ พระกัสสปะ ให้เป็นตน้ .
๒๙๕ (ในประโยคนี้ กเถนฺโต กับ กเถสึ เป็นกริยาท่ีมีธาตุตัวเดียวกัน จึงแปล กเถนโฺ ต วา่ เมอ่ื กลา่ ว) (๓) เม่ือกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย แสดงความมุ่งหมายหรือ วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้แปลว่า “เม่ือ...” แม้ว่ากริยาท่ีอยู่ข้างหลัง จะมีธาตุต่างกันก็ตาม เชน่ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนฺโต อนุปุพฺพีกถ กเถสิ. (๑/๕) อ. พระศาสดา ทรงตรวจดูแล้ว ซ่ึงธรรมอันเป็นอุปนิสัย แห่งกุฎุมพีชื่อ ว่ามหาปาละ นั้น เมื่อ (= เพื่อ) ทรงแสดง ซ่ึงธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งวาจา เปน็ เครอื่ งกลา่ วโดยลาดบั (ในประโยคนี้ เทเสนฺโต แสดงความมุง่ หมายเพื่อแสดงธรรม จึงแปลว่า เมื่อทรงแสดง) ๒) วิเสสนะ (Adjective) วางอยู่หน้าบทประธาน หรือหลังบทประธาน (เฉพาะที่ลง มาน ปัจจัย) ทาหน้าที่เป็นคาขยายหรือคุณศัพท์ ให้แปลว่า “ผู้..., ตัว… หรือ อัน…” ก่อนที่จะแปลว่า “...อย”ู่ หรอื “เม่ือ...” เช่น ภตฺตุฏฺ านฏฺ านปิ อชานนฺโต กุลปุตโต กมฺมนฺต นาม กึ ชานิสฺสติ. (๑/๑๒๖) อ. กุลบุตร ผู้ไม่รู้อยู่ แม้ซึ่งที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งภัตร จักรู้ช่ือซ่ึงการงาน อย่างไร. โส...ปุนปฺปุน วจุ ฺจมาโนปิ ตเถว วตวฺ า นสิ ที ิ. (๕/๔๑) อ. เจ้าศากยะพระนามว่าสุปปพุทธะน้ัน… แม้ผู้อันราชบุรุษ ท. กราบ ทูลอยู่ บ่อย ๆ ประทับนัง่ ตรสั แล้ว เหมือนอยา่ งนัน้ นน่ั เทยี ว กกุ กฺ ฏุ ี วชิ าตกาเล ต อตตฺ โน อณฺฑานิ คเหตวฺ า ขาทนตฺ ึ ทิสวฺ า...(๗/๙๘) อ. แม่ไก่ เห็นแลว้ ซ่ึงกมุ าริกาน้นั ผู้ถือซ่งึ ไข่ ท. ของตน แล้วจึงเคี้ยวกิน อยู่ ในกาลแห่งตนตกฟองแล้ว… ๓) สมานกาลกริยา (Simultaneity) วางอยู่หน้ากริยาคมุ พากย์ ไมม่ ีศัพท์อื่นค่ันอยู่ ทาหน้าที่เป็นกริยาท่ีทาพร้อมกับกริยาคุมพากย์ ถ้าแปลโดยพยัญชนะ ให้แปลว่า “...อยู่” แต่ถ้าแปล โดยอรรถ อาจแปลว่า “พร้อมกบั ..., ในขณะเดียวกบั ... ฯลฯ” ก็ได้ เช่น
๒๙๖ ... “ปุญฺ านิ กโรถ, อุโปสถทิวเสสุ อุโปสถ สมาทิยถ, ทาน เทถ, ธมฺม สุณาถ; พุทฺธรตนาทีหิ สทิส อญฺ นาม นตฺถิ, ติณฺณ รตนาน สกฺการ กโรถาติ อุคโฺ ฆเสนฺโต วจิ รามิ. (๕/๗๓) ...ย่อมเที่ยวไปป่าวประกาศอยู่ ว่า “อ. ท่าน ท. จงกระทา ซ่ึงบุญ ท. อ. ท่าน จงสมาทาน ซึ่งอุโบสถ ในวันแห่งอุโบสถ ท., อ. ท่าน ท. จงถวาย ซ่ึงทาน, อ. ท่าน ท. จงฟัง ซ่ึงธรรม, ช่ือ อ. รัตนะอื่น อันเป็น เช่นกับ ดว้ ยรัตนะ ท. มีพุทธรัตนะเป็นต้น ย่อมไม่มี, อ. ท่าน ท. จงทา ซง่ึ สักการะ แก่รัตนะ ท. สาม ดังนี้. (ในตัวอย่างน้ี คาว่า “ย่อมเท่ียวไปป่าวประกาศอยู่” อาจแปลโดย อรรถว่า “เท่ียวไปพรอ้ มกับป่าวประกาศ...”) ๔) กริยาวิเสสนะ (Adverb) วางอยู่หน้าบทประธาน ทาหน้าท่ีเป็นกริยาวิเศษณ์ หรือคาขยายกริยา ให้แปลทีหลังกริยาคุมพากย์ ถ้าแปลโดยพยัญชนะ ให้แปลว่า “...อยู่” แต่ถ้าแปล โดยอรรถ อาจแปลวา่ “ดว้ ย..., โดย...ฯลฯ” เช่น อถสฺส สรรี ผรมานา ปญจฺ วณณฺ า ปีติ อุปฺปชชฺ ิ (๕/๑) ครั้งน้ัน อ. ปีติ อันมีวรรณะห้า เกิดข้ึนแล้ว แผ่ไปอยู่ ตลอดสรีระ ของ พราหมณ์น้ัน. (คาว่า “แผ่ไปอยู่” อาจแปลโดยอรรถวา่ “โดยแผไ่ ป...”) ๕) วิกติกัตตา (Complement) กริยากิตก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ที่เข้ากับ กริยาว่ามีว่าเป็นโดยเฉพาะกริยาทม่ี าจาก ภู ธาตุ, หุ ธาตุ และ อสฺ ธาตุ ใหแ้ ปลเป็นวิกตกิ ัตตาวา่ “เป็น ผ.ู้ ..อย”ู่ หรือ “เป็นของ...อยู่” เช่น อิทาเนว มยา ปจฺฉโต นิกฺขมานา ตรุณิตฺถี อิทนฺนาม กโรนฺตี (หุตฺวา) ทฏฺ า. (๕/๔๙) อ. หญิงรุ่นสาว ผู้ออกไปอยู่ข้างหลัง เป็นผู้กระทาอยู่ เป็น ซ่ึงกิริยาช่ือ น้ีอนั ผมเห็นแล้ว ในกาลน้ีนน่ั เทยี ว. (ในประโยคน้ี คาว่า “กโรนฺตี” เป็นวิกติกัตตา ใน หุตฺวา แต่ถ้าไม่ขึ้น หุตฺวา มารับ ก็เป็นวิเสสนะ) ๖) อุปมาวิกติกัตตา (Analogy complement) กริยากิตก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ที่เข้ากับกริยาว่ามีว่าเป็นนั้น ถ้ามี วิย ศัพท์ อยู่ข้างหน้ากริยาว่ามีว่าเป็นน้ันด้วย เรียกว่า “อุปมาวกิ ติกตั ตา” แปลว่า “เป็นผ้รู าวกะว่า...อย”ู่ หรือ “เป็นของราวกะวา่ ...อย”ู่ เช่น
๒๙๗ (ยกฺขินี) ปวิสิตฺวา ปสฺสนฺตี วิย (หุตฺวา) ทารก คเหตฺวา ขาทิตฺวา คตา (๑/๔๕) อ. นางยักษินี ถ้าไปแล้ว เป็นผู้ราวกะว่าดูอยู่ เป็น จับแล้ว ซ่ึงทารก เคีย้ วกินแล้ว (ในประโยคนี้ คาว่า “ปสฺสนฺตี” เป็นอุปมาวิกติกัตตา เข้ากับ หุตฺวา แต่ถา้ ไมข่ ึ้น หตุ ฺวา มารับ กจ็ ะเปน็ อปุ มาวิเสสนะ) ๗) วิกติกัมมะ (Complement) กริยากติ ก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย เข้ากับกริยา วา่ ทา ใหแ้ ปลเป็นวกิ ตกิ มั มะว่า “ให้...อย”ู่ เชน่ สตถฺ า ตสฺส อชฺฌาสย วิทิตฺวา อตตฺ โน สงฺฆาฏึ สลิ าตล ปฏจิ ฺฉาทยมาน (กตวฺ า) ขิปิ. (๖/๘๓) อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซึ่งอัธยาศัย ของท้าวสักกะน้ัน ทรงโยน ไปแลว้ ซึ่งผา้ สังฆาฎิ ของพระองค์ กระทา ใหค้ ลุมอยู่ ซง่ึ พ้ืนแหง่ ศิลา. เพ่ือให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต และ มาน ปัจจัย อาจแสดงสรปุ ได้ ดงั ตารางท่ี ๑๕.๒ ตารางท่ี ๑๕.๒ สรปุ หลักการแปลกริยากิตก์ทลี่ ง อนตฺ และ มาน ปัจจัย ภารกิจ/หน้าที่ คาแปล ประโยคตวั อย่าง ๑. อพั ภันตรกริยา อย/ู่ เมือ่ โส เอกทิวส นหานตติ ฺถ คนตฺ ฺวา นหาตฺวา อาคจฺฉนโฺ ต ทิสวฺ า ปกฺกามิ. (Present participle) แปลโดยพยญั ชนะ ในวันหน่ึง อ. เศรษฐีน้ัน ไปแล้ว สู่ท่าเป็นท่ีอาบ อาบแล้ว มาอยู่ เห็นแล้ว หลกี ไปแลว้ อห จนโฺ ทปมุปปฺ ฏปิ ทญเฺ จว อรยิ วสปฏปิ ทญจฺ กเถนโฺ ต กสสฺ ปํ อาทึ กตฺวา กเถสิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. เรา เม่อื กล่าว ซึ่งปฏิปทา อนั มพี ระจันทรเ์ ป็นเคร่อื งเปรียบด้วย นนั่ เทยี ว ซึ่งปฏิปทาอนั เป็นวงศแ์ ห่งพระอริยเจ้าดว้ ย กลา่ วแล้ว กระทา ซึ่งพระกสั สปะ ใหเ้ ป็นต้น. สตถฺ า ตสสฺ อปุ นสิ สฺ ย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนโฺ ต อนุปพุ พฺ ีกถ กเถสิ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา ทรงตรวจดแู ลว้ ซ่ึงธรรมอันเป็นอุปนสิ ยั แห่งกุฎุมพี ช่ือว่ามหาปาละนนั้ เม่ือ (= เพ่อื ) ทรงแสดง ซ่งึ ธรรม ตรัสแลว้ ซึ่ง วาจาเปน็ เครอ่ื งกลา่ วโดยลาดบั
๒๙๘ ๒. วิเสสนะ ผู้/ตัว/อนั ขอ้ สงั เกต: (Adjective) ๑) กริยากิตกล์ ง อนฺต หรอื มาน ปัจจยั ท่ีเป็นอนั ภนั ตรกริยานี้ อยู่ (โดยอรรถ= ๓. สมานกาลกรยิ า พร้อมกับ/ขณะ จะมีลงิ ค์ วจนะ วภิ ัตตเิ หมือนกับบทประธานและวางอยู่หลงั บท (Simultaneity) เดยี วกับฯลฯ) ประธาน ๔. กรยิ าวิเสสนะ อยู่ (โดยอรรถ= ๒) กริยากิตก์ดังกล่าวนี้ถ้ามีธาตุไม่ซ้ากับกริยากิตก์หรือกริยา (Adverb) ดว้ ย/โดย… อาขยาตท่ีอยู่ข้างหลัง จะแปลว่า “อยู่” ถ้ามีธาตุซ้ากับกริยา ฯลฯ) อาขยาตที่อยู่ข้างหลัง จะแปลว่า“เม่ือ”และในกรณีท่ีแสดง วัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมาย จะแปลว่า “เมื่อ” แม้กริยา อาขยาตที่อยขู่ า้ งหลงั จะมธี าตตุ า่ งกนั กต็ าม ภตฺตฏุ ฺ านฏฺ านปิ อชานนฺโต กุลปตุ โต กมมฺ นตฺ นาม กึ ชานิสสฺ ติ. แปลโดยพยัญชนะ อ. กุลบุตร ผู้ไม่รู้อยู่ แม้ซ่ึงที่เป็นท่ีเกิดข้ึนแห่งภัตร จักรู้ชื่อซึ่งการ งานอยา่ งไร โส ปนุ ปปฺ นุ วุจฺจมาโนปิ ตเถว วตวฺ า นิสีท.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. เจ้าศากยะพระนามว่าสุปปพุทธะนั้น แม้ผู้อันราชบุรุษ ท. กราบทูลอยู่ บ่อย ๆ ประทบั นงั่ ตรัสแลว้ เหมอื นอยา่ งน้นั น่ันเทยี ว กุกฺกุฏี วิชาตกาเล ต อตฺตโน อณฺฑานิ คเหตฺวา ขาทนฺตึ ทิสฺวา... แปลโดยพยญั ชนะ อ. แม่ไก่ เห็นแล้ว ซ่ึงกุมาริกานั้น ผู้ถือซึ่งไข่ ท. ของตน แล้วจึง เคีย้ วกินอยู่ ในกาลแหง่ ตนตกฟองแลว้ … ข้อสังเกต: กรยิ ากิตก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัยจะทาหน้าที่เป็น วิเสสนะในกรณี ดงั น้ี ๑) ประกอบดว้ ยปฐมาวิภตั ติ และวางอยหู่ นา้ บทประธาน ๒) เป็นกัมมวาจก หรือเหตุกมั มวาจก (เฉพาะ มาน ปจั จัย) และวางอย่หู นา้ หรือหลงั บทประธาน ๓) ประกอบดว้ ยทุติยาวภิ ตั ตถิ ึงสตั ตมวี ิภัตติ สามิโกปิสสฺ า ต โอโลเกนฺโต อฏฺ าสิ. แปลโดยพยัญชนะ แม้ อ. สามขี องหญิงนนั้ ได้ยนื แลดูอย่แู ลว้ ซงึ่ หญิงสาวนน้ั วิสาขา สสรุ วชี มานา ฐิตา. แปลโดยพยัญชนะ อ. นางวสิ าขา ยนื พดั อยู่แล้ว ซ่งึ พอ่ สามี ขอ้ สังเกต: กริยากติ ก์ อนฺต หรอื มาน ปจั จัยที่ทาหนา้ ทเ่ี ป็น สมานกาลกริยา มักจะวางอยหู่ นา้ กริยาคมุ พากย์ อถสสฺ สรรี ผรมานา ป จฺ วณฺณา ปตี ิ อปุ ปฺ ชฺชต.ิ แปลโดยพยญั ชนะ คร้ังน้นั อ. ปีติ อันมีวรรณะห้า ยอ่ มเกิดข้ึน แผ่ไปอยู่ ตลอดสรีระ ของพราหมณน์ ัน้ ขอ้ สงั เกต: กริยากติ กล์ ง อนตฺ หรือ มาน ปจั จยั ที่ทาหนา้ ที่เปน็ วเิ สสนะ มกั จะวางหน้าบทประธานและแปลหลงั กริยาคุมพากย์
๒๙๙ ๕. วิกตกิ ัตตา เปน็ ผู้/ของ…อยู่ อทิ านิ มยา ปจฉฺ โต นกิ ขฺ มานา ตรณุ ติ ถฺ ี อทิ นนฺ าม กโรนฺตี (หุตฺวา) (Complement) ทิฏฺ า. เป็นผู้/เป็นของ แปลโดยพยัญชนะ ๖. อุปมาวิกติกัตตา ราวกะวา่ ...อยู่ อ. หญิงรุ่นสาว ผู้ออกไปอยู่ข้างหลัง เป็นผู้กระทาอยู่ เป็น ซึ่ง (Analogy กริ ยิ าชือ่ นี้ อันผมเห็นแลว้ ในกาลนนี้ น่ั เทียว complement) ให…้ อยู่ ข้อสังเกต: กโรนฺตี เป็นวิกติกัตตา ใน หุตฺวา แต่ถ้าไม่ข้ึน หุตฺวา ๗. วกิ ตกิ ัมมะ มารบั ก็จดั เป็นวเิ สสนะ (Complement) โส ปน พาโล เถร ทสิ วฺ าปิ อปสสฺ นฺโต วยิ หตุ ฺวา อโธมุโข (หุตฺวา) ภุญฺชเตว. แปลโดยพยญั ชนะ แต่ว่า อ. เศรษฐี ผู้เป็นพาลน้ัน แม้เห็นแล้ว ซึ่งพระเถระ เป็นผู้ ราวกะว่าไม่เห็นอยู่ เป็นผู้มีหน้าในเบ้ืองต่า เป็น ย่อมบริโภคน่ัน เทยี ว สตฺถา ตสสฺ อชฺฌาสย วทิ ิตฺวา อตฺตโน สงฆฺ าฏึ สิลาตล ปฏิจฺฉาทย มาน (กตฺวา) ขปิ ิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซ่ึงอัธยาศัย ของท้าวสักกะนั้น ทรง โยนไปแล้ว ซ่ึงผ้าสังฆาฏิ ของพระองค์ กระทา ให้คลุมอยู่ ซึ่งพ้ืน แห่งศิลา จากตารางที่ ๑๕.๒ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต และ มาน ปัจจัย คือ ให้ผู้ แปลพิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ที่ลง อนฺต และ มาน ปัจจัย ในประโยคก่อน แล้วจึง แปลโดยเลือกใชค้ าแปลใหส้ อดคล้องกบั ภารกจิ หรือหนา้ ทีข่ องกรยิ ากิตกน์ ัน้ ๆ กล่าวโดยสรุป ผ้แู ปลจะตอ้ งพจิ ารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ขี องกริยากิตก์ท่ีลง อนตฺ และ มาน ปจั จัย วา่ ทาหน้าที่เปน็ อะไร เพราะคาแปลก็จะแตกต่างกันออกไปตามภารกิจหรอื หนา้ ที่ของกริยากิตก์ ดังกล่าวนั้น คือ ๑) เป็นอัพภันตรกริยา แปลว่า “อยู่/เมื่อ” ๒) เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/ตัว/อัน” ๓) เป็นสมานกาลกริยา แปลว่า “อยู่” (ถ้าแปลโดยอรรถ แปลว่า พร้อมกับ/ขณะเดียวกับ…ฯลฯ) ๔) เป็น กริยาวิเสสนะ แปลว่า “อยู่” (ถ้าแปลโดยอรรถ แปลว่า ด้วย/โดย….ฯลฯ) ๕) เป็นวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/เป็นของ...อยู่” ๖) เป็นอุปมาวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/เป็นของราวกะว่า...อยู่” และ ๗) เป็นวกิ ตกิ มั มะ แปลว่า “ให…้ อย”ู่ ๑๕.๑๐.๓ หลักการแปลกรยิ ากติ กท์ ล่ี ง ต ปจั จัย ในการแปลกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย น้ี ผู้แปลพึงพิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ท่ี ลง ต ปัจจัย ว่า ทาหน้าท่ีอะไรในประโยคหรือข้อความน้ัน ๆ เช่นเดียวกับกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ดังกล่าวมาแล้วดังน้ี
๓๐๐ ๑) คุมพากย์ (Finite verb) กริยากิตกล์ ง ต ปจั จัย ท่ีใช้เป็นกริยาคุมพากย์ ให้แปลว่า “...แลว้ ” เชน่ ตสฺมา เตน อากปฺเปน นิราสงฺโก ว คนฺตวฺ า สตฺถาร วนฺทิตฺวา พุทฺธปฺปมุข ภิกฺขุสงฺฆ อาทาย อาคโต. (๑/๖๖) เพราะเหตุนนั้ อ. พระเถระช่ือว่า จุลลกาล เป็นผู้มคี วามรังเกียจออกแลว้ เทียวดว้ ย มารยาทนั้น ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มี พระพทุ ธเจ้าเป็นประมุข มาแล้ว (คาว่า “อาคโต” เป็นกริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ (Finite verb) ถ้าไม่ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ จะต้องแปลเป็นวิกติกัตตาว่า เป็นผู้มาแล้ว และต้องเตมิ โหติ ซึ่งเปน็ กรยิ าอาขยาตมาคมุ พากยแ์ ทน) ๒) วิเสสนะ (Adjective) วางอยู่หน้าหรือหลังบทประธาน (หรือบทนาม) โดยทา หน้าที่ขยายบทประธาน (หรือบทนาม) นั้น แปลวา่ “ผ.ู้ ..แล้ว” หรอื “อนั ...แลว้ ” เชน่ วฏฺฏ ปน เขเปตฺวา ฐิโต ขีณาสโว คตทฺธา นาม โหต.ิ (๔/๕๔) ส่วนว่า อ. พระขีณาสพ ผู้ยังวัฏฏะให้สิ้น แล้วจึงดารงอยู่แล้ว เป็นผู้ช่ือว่า มี ทางไกลอนั ถงึ แล้ว มยา ขิตฺโต สโร สลิ ปิ วชิ ฺฌติ วฺ า คจฉฺ ต.ิ (๒/๕๔) อ. ลกู ศร อนั อนั เรายิงแล้ว ยอ่ มเจาะไปได้ แมซ้ ่ึงศลิ า. (ขติ ฺโต แปลโดยอรรถวา่ ที่ (เรา) ยิง) ๓) อุปมาวิเสสนะ (Analogy adjective) กริยากิตก์ ลง ต ปัจจัย ท่ีทาหน้าท่ีเป็น วิเสสนะน้ัน ถ้ามี วิย หรือ อิว ศัพท์ อยู่ด้วย นิยมเรียกว่า “อุปมาวิเสสนะ” แปลว่า “ผู้ราวกะว่า... แล้ว”, “อันราวกะวา่ ... แล้ว”, “ผู้เพยี งดังวา่ ... แลว้ ” หรอื “อนั เพียงดงั ว่า... แล้ว” เชน่ อถ สตถฺ า คนธฺ กุฏิย นสิ ินฺโนว โอภาส ผริตวฺ า สมมฺ ุเข นสิ นิ โฺ น วยิ ... (๔/๑๔๙) ลาดบั นน้ั อ. พระศาสดา ผู้ประทบั นั่งแล้วเทียวในพระคันธกุฎี ทรงแผ่แล้ว ซง่ึ พระ รศั มี ผ้รู าวกะวา่ ประทับนง่ั แล้ว ในทีม่ ีหนา้ พร้อม ...(ดุจประทบั นง่ั ตรงหน้า) ๔) วิกติกัตตา (Complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย มีลิงค์, วจนะ และวิภัตติ เหมอื นนามนามที่เปน็ กัตตา และวางอย่ใู กล้กริยาวา่ มีว่าเปน็ ให้แปลเปน็ วิกตกิ ัตตาว่า “เปน็ …” เช่น
๓๐๑ อชฺช อมหฺ าก ราชภาโว ตมุ เฺ หหิ าโต ภวสิ ฺสต.ิ (๓/๔๓) อ. ความท่ีแห่งเรา ท. เป็นพระราชา จักเป็นภาวะ อันท่าน ท. รู้แล้วในวันน้ี จัก เป็น กห ปน ตฺว นิสนิ โฺ น๗ (อสิ). (๑/๓๖) ก็ อ. ทา่ น เป็นผนู้ ่ังแล้ว ณ ทไ่ี หน (ยอ่ มเปน็ ) ๕) อุปมาวิกติกัตตา (Analogy complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ท่ีทาหน้าท่ี เป็นวิกติกัตตานั้น ถ้ามี วิย หรือ อิว ศัพท์อยู่ด้วย นิยมเรียกว่า “อุปมาวิกติกัตตา” แปลว่า “เป็นผู้ ราวกะว่า...แล้ว”, “เป็นของราวกะว่า...แล้ว”, “เป็นราวกะว่า...แล้ว”, “เป็นผู้เพียงดังว่า...แล้ว”, “เป็นของเพยี งดงั วา่ ...แลว้ ”, หรอื “เปน็ เพียงดงั ว่า...แลว้ ” เชน่ ราชา...โกเธน สมฺปชฺชลิโต วยิ อโหส.ิ (๒/๕๓) พระราชา...เปน็ ผู้ราวกะวา่ อนั ความโกรธ ให้โพลงทั่วพร้อมแลว้ ได้เปน็ แล้ว ๖) วิกติกัมมะ (Complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจยั ประกอบด้วยทุตยิ าวภิ ัตติใน ประโยคกัตตุวาจก และประกอบด้วยปฐมาวิภัตติในประโยคกัมมวาจก ทาหน้าท่ีขยายตัวกรรมให้แปลก จากเดิมและเข้ากบั กรยิ าวา่ ทา เรยี กวา่ “วกิ ติกัมมะ” แปลว่า “ให้เป็น...” เชน่ อปปฺ มตตฺ ปน ปมตตฺ กโรส.ิ (๒ /๙๔) ก็ อ. ท่าน ย่อมกระทา ซ่ึงบุคคลผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว ให้เป็นบคุ คลผู้ประมาทแล้ว (ปมตตฺ ประกอบดว้ ยทตุ ยิ าวภิ ตั ตใิ นประโยคกัตตุวาจก เป็น วิกตกิ มั มะ เขา้ กบั กโรสิ) ๗) อุปมาวิกติกัมมะ (Analogy complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ท่ีทา หน้าที่เป็นวิกติกัมมะน้ัน ถ้ามี วิย หรือ อิว ศัพท์อยู่ด้วย ก็เรียกว่า “อุปมาวิกติกัมมะ” แปลว่า “ให้ เป็นราวกะว่า...”, “ให้เป็นเพยี งดงั วา่ ...” เชน่ อย นิจฺจกาล มยา กต วตฺต อตฺตนา กต วิย (กตวฺ า) ทสฺเสติ. (๓/๑๑๕) อ. ภิกษุนี้ ย่อมแสดง ซึ่งวัตร อันอันเรากระทาแล้ว (กระทา) ให้เป็นราวกะว่า วตั ร อนั อันตนกระทาแลว้ สิน้ กาลเป็นนติ ย์ ๗ กรยิ ากติ กล์ ง ต อนยี หรือ ตพฺพ ปจั จัย ใช้คมุ พากย์ได้ก็ตอ่ เมอื่ บทประธานเป็นประถมบุรษุ เทา่ นั้น ถ้าบท ประธานเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษ ให้แปลเป็นวิกติกัตตาในกริยาอาขยาต (ซ่ึงจะต้องข้ึนมา) กล่าวคือ ถ้าบท ประธานเป็น ตฺว ให้แปลเป็นวกิ ติกัตตาใน อสิ, บทประธานเป็น ตุมฺเห ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน อตฺถ, ถ้าบทประธาน เปน็ อห ใหแ้ ปลเป็นวกิ ตกิ ัตตาใน อมหฺ ,ิ และถา้ บทประธานเปน็ มย กใ็ หแ้ ปลเปน็ วิกตกิ ตั ตาใน อมฺม
๓๐๒ เพ่ือให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย อาจ แสดงสรุปได้ ดังตารางที่ ๑๕.๓ ตารางที่ ๑๕.๓ สรุปหลกั การแปลกรยิ ากติ กท์ ่ลี ง ต ปจั จัย ภารกิจ/หน้าท่ี คาแปล ประโยคตัวอย่าง ๑. คมุ พากย์ …แล้ว เอโก ปรุ โิ ส นทึ นหานาย คโต. (Finite verb) (แปลเป็นบทสดุ ท้าย) แปลโดยพยัญชนะ อ. ชายคนหนึ่ง ไปแลว้ สแู่ มน่ า้ เพือ่ อนั อาบ ๒. วิเสสนะ ผู้/อนั …แล้ว (Adjective) ราชา มหาชเนน มานิโต. แปลโดยพยัญชนะ ๓. อปุ มาวเิ สสนะ ผู้/อันราวกะวา่ ...แล้ว อ. พระราชา อนั มหาชน นบั ถือแลว้ (Analogy adjective) ข้อสังเกต: กรยิ ากติ ก์ลง ต ปัจจัย ใช้คมุ พากย์เมื่อบทประธาน ๔. วกิ ติกตั ตา เป็น… เป็นประถมบุรุษเท่าน้ัน ถ้าบทประธานเป็นมัธยมหรืออุตตม- (Complement) บุรุษ ให้ข้นึ กริยาอาขยาตมาคุมพากย์แทน ๕. อุปมาวิกตกิ ัตตา เปน็ ผ/ู้ ของราวกะว่า…แลว้ , มยา ขติ โฺ ต สโร สิลปิ วชิ ฺฌิตฺวา คจฺฉติ. แปลโดยพยญั ชนะ (Analogy complement) เป็นผู้/ของเพยี งดงั วา่ …แลว้ อ. ลูกศร อนั เรา ยงิ แล้ว ยอ่ มเจาะไปได้ แมซ้ ึง่ ศิลา ฯลฯ ปคุ ฺคล อิธ ฐติ ปสฺสาม.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. เรา เหน็ อยู่ ซง่ึ บุคคล ผู้ยนื อยแู่ ล้ว ในท่นี ้ี ชนา ตยา อกถติ วจน น ชานึส.ุ แปลโดยพยัญชนะ อ. ชน ท. ไมร่ ้แู ลว้ ซ่ึงถอ้ ยคา อนั ท่าน ไม่กลา่ วแล้ว ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ที่ทาหน้าท่ีเป็นวิเสสนะ อาจวางหนา้ หรือหลังบทประธาน (กตั ตกุ ารก) หรือบทนาม ที่ เปน็ การกอนื่ ๆ กไ็ ด้ อถ สตฺถา คนฺธกุฏิย นิสินฺโนว โอภาส ผริตฺวา สมฺมุเข นิสินฺโน วิย… แปลโดยพยญั ชนะ ลาดบั นนั้ อ. พระศาสดา ผ้ปู ระทบั น่งั แลว้ เทยี ว ในพระคันธกฎุ ี ทรงแผ่แล้ว ซ่ึงพระรัศมี ผู้ราวกะว่าประทับนั่งแล้ว ในท่ีมี หน้าพรอ้ ม... อชชฺ อมฺหาก ราชภาโว ตมุ เฺ หหิ าโต ภวสิ สฺ ต.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. ความที่แห่งเรา ท. เป็นพระราชา จักเปน็ ภาวะ อันท่าน ท. รูแ้ ลว้ ในวนั น้ี ราชา…โกเธน สมปฺ ชชฺ ลิโต วิย อโหส.ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. พระราชา…เป็นผู้ราวกะว่า อันความโกรธ ให้โพลงทั่ว พร้อมแลว้ ไดเ้ ป็นแลว้ .
๓๐๓ ๖. วกิ ตกิ มั มะ …ให้เป็น อปปฺ มตฺต ปน ปมตฺต กโรสิ. (Complement) แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. ท่าน ย่อมกระทา ซึ่งบุคคลผู้ไม่ประมาทแล้ว ให้เป็น ๗. อุปมาวิกติกมั มะ ให้เปน็ ราวกะ/เพยี งดงั ว่า… บคุ คลผู้ประมาทแลว้ (Analogy complement) อตฺตา สทุ นฺโต กาตพฺโพ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ตน อนั บคุ คลพงึ ทา ให้เป็นตนอนั ฝึกดีแลว้ . ข้อสังเกต: วิกติกัมมะ ในประโยคกตั ตุวาจก จะประกอบด้วย ทุตยิ าวิภัตติ ส่วนในประโยคกมั มวาจก จะประกอบดว้ ยปฐมา วิภัตติ อย นิจฺจกาล มยา กต วตฺต อตตฺ นา กต วิย (กตวฺ า) ทสฺเสติ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ภิกษุน้ี ย่อมแสดง ซ่ึงวัตรอันเรากระทาแล้ว (กระทา) ให้ เป็นราวกะวา่ วัตร อนั ตน กระทาแล้ว สนิ้ กาลเปน็ นิตย์ จากตารางท่ี ๑๕.๓ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย คือ ให้ผู้แปลพิจารณา ถึงภารกิจหรือหน้าที่ของกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย ในประโยคก่อน แล้วจึงแปลโดยเลือกใช้คาแปลให้ สอดคลอ้ งกับภารกจิ หรอื หน้าท่ีของกริยากติ กน์ ้นั ๆ กล่าวโดยสรุป ผู้แปลจะต้องพิจารณาถงึ ภารกิจหรือหนา้ ที่ของกริยากิตก์ท่ลี ง ต ปจั จยั ว่า ทา หนา้ ท่ีเป็นอะไรในประโยค เช่นเดยี วกับกรยิ ากิตก์ทีล่ ง อนตฺ หรือ มาน ปจั จัย ดงั กล่าวมาแล้ว เพราะคา แปลก็จะแตกต่างกันออกไปตามภารกิจหรอื หน้าท่ีของกรยิ ากิตก์ดังกล่าวน้ัน คือ ๑) เป็นกริยาคุมพากย์ แปลว่า “…แล้ว” (แปลเปน็ บทสุดท้าย) ๒) เปน็ วเิ สสนะ แปลว่า “ผู้/อัน…แล้ว” ๓) เป็นอุปมาวเิ สสนะ แปลว่า “ผ้/ู อันราวกะวา่ …แล้ว” ๔) เป็นวกิ ติกัตตา แปลว่า “เป็น…” ๕) เป็นอุปมาวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/ของราวกะว่า…แล้ว, เป็นผู้/ของเพียงดังว่า…แล้ว ฯลฯ” ๖) เป็นวิกติกัมมะ แปลว่า “…ให้ เป็น” และ ๗) เป็นอปุ มาวิกติกมั มะ แปลว่า “ให้เป็นราวกะ/เพียงดงั วา่ ...” ๑๕.๑๐.๔ หลักการแปลกริยากติ ก์ทล่ี ง ตูนาทิ ปัจจยั ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัยน้ัน ให้พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์น้ัน ในประโยคหรอื ข้อความนน้ั ๆ ดงั น้ี ๑) บุพพกาลกริยา (Precedence) เป็นกริยาที่ทาก่อนกริยาข้างหลัง ทาก่อนกริยา ใดกส็ มั พนั ธเ์ ข้ากับกริยานนั้ เวลาแปลมักมีคาว่า “...แล้ว” เช่น สนฺตติมหามตฺโตปิ นหานติตฺเถ ทิวสภาค อุทกกีฬ กีฬิตฺวา อุยฺยาน คนฺตฺวา อาปานภูมิย นิสที .ิ (๕/๗๒) แม้ อ. มหาอามาตย์ชื่อว่าสันตติ เล่นแล้ว เล่นด้วยน้า สิ้นกาลอันเป็นส่วนแห่งวัน ที่ท่าเป็นที่อาบ ไปแลว้ สสู่ วน นัง่ แลว้ บนพนื้ เป็นทีม่ าดื่ม.
๓๐๔ ๒) สมานกาลกริยา (Simultaneity) เป็นกริยาที่ทาพร้อมกับกริยาอ่ืน โดยมากจะ สัมพันธ์เข้ากับกริยาข้างหลังตน และในการแปล อาจจะแปลก่อนหรือแปลพร้อมกับกริยาตัวท่ีอยู่ข้าง หลังตนก็ได้ แต่จะไมแ่ ปลออกสาเนยี งวา่ “...แลว้ ” เหมอื นอยา่ งปุพพกาลกริยา เชน่ สตถฺ า...อนุสนธฺ ึ ฆเฏตฺวา ธมฺม เทเสนโฺ ต อิมา คาถา อภาส.ิ (๕/๕๒) อ. พระศาสดา...เม่ือทรงสืบต่อ ซ่ึงอนุสนธิ แสดง ซึ่งธรรม ได้ทรงภาษิตแล้ว ซ่ึง พระคาถา ท. เหล่านี้. (ฆเฏตฺวา แปลพร้อมกับ เทเสนฺโต โดยไม่ออกสาเนียงว่า “แล้ว” และเป็น สมานกาลกริยา ใน เทเสนฺโต คือ เปน็ กริยาทที่ าพรอ้ มกบั เทเสนฺโต) ๓) อปรกาลกริยา (Successtion) เป็นกริยาที่ทาทีหลังกริยาอื่นท้ังหมดในประโยค อาจวางอยู่หน้าหรือหลังกริยาคุมพากย์ก็ได้ และเวลาแปลจะแปลหลังกริยาคุมพากย์ โดยออกสาเนียง การแปลวา่ “...แลว้ ” เช่น คจฉฺ ตาส ทตวฺ า. (๒/๕๑) อ. เจ้า จงไป ใหแ้ ล้ว แกห่ ญงิ ท. เหลา่ นั้น (ทตวฺ า วางหลงั กริยาคมุ พากย์ เป็นอปรกาลกรยิ าใน คจฉฺ ) เตนสฺสา ทกขฺ ณิ ปาทตล ปเู รตวฺ า จนฺทลกฺขณ นิพพฺ ตตฺ ิ. (๗/๓๖) เพราะเหตุน้ัน อ. ลักษณะแห่งพระจันทร์ บังเกิดแล้ว ยังพ้ืนแห่งเท้าข้างขวา ของ ภรรยาของเศรษฐนี นั้ ให้เต็มแลว้ (ปูเรตฺวา วางหนา้ กริยาคุมพากย์ เป็นอปรกาลกริยาใน นพิ ฺพตฺติ) ๔) เหตุกาลกริยา (Causation) เป็นกริยาท่ีมีกัตตา (ผู้ทา) ต่างจากกัตตา (ผู้ทาหรือ ประธาน) ของกริยาคมุ พากยซ์ ึง่ อย่หู ลงั ตน เวลาแปลจะออกสาเนยี งว่า “เพราะ...” เชน่ รญโฺ ต สตุ วฺ า อธิมตตฺ ทุกขฺ อุปปฺ ชชฺ .ิ (๑/๑๐๘) อ. ความทุกข์ อันมีประมาณย่ิง เกิดขึ้นแล้ว แก่พระราชา เพราะทรงสดับ ซ่ึงข่าว สาสน์ นั้น. (กัตตา ของ สุตฺวา คือ รญฺโ ส่วนกัตตา ของ อุปฺปชฺชิ ซึ่งเป็นกริยาคุมพากย์ คอื ทุกฺข ฉะน้ัน สตุ ฺวา จึงเป็นเหตุใน อปุ ฺปชชฺ )ิ ๕) ปริโยสานกาลกริยา (Repetition) เป็นกริยาทีก่ ล่าวซา้ กับกริยาข้างต้น คือ กล่าว ซ้ากับกริยาท่ีมีอยู่ในอีกพากย์ (ประโยค) หน่ึงข้างต้น โดยในการกล่าวซ้านั้น อาจซ้าโดยธาตุ หรือ ซ้า โดยอรรถ (ความหมาย) เป็นกริยาท่ีแสดงว่าทาเสร็จแล้ว เวลาแปลจะออกสาเนียงว่า “คร้ัน...แล้ว” เชน่
๓๐๕ (๑) กล่าวซ้าโดยธาตุ โสปิ นิกฺขมิตวฺ า ปพฺพชิ; ปพพฺ ชิตฺวา จ ปน น จริ สฺเสว อรหตฺต ปาปณุ .ิ (๔/๔๘) อ. บุตรแม้น้ัน ออกแล้ว บวชแล้ว: ก็แล อ.บุตร น้ัน ครั้นบวชแล้ว บรรลุแล้ว ซ่ึง ความเปน็ แหง่ พระอรหันต์ ตอ่ กาลไม่นานนั่นเทียว (ปพพฺ ชิตวฺ า กล่าวซ้าโดยธาตุกบั ปพฺพชิ จึงเปน็ ปรโิ ยสานกาลกรยิ าใน ปพพฺ ช)ิ (๒) กล่าวซ้าโดยอรรถ สตฺถา...ภิกขฺ ูหิ ตสสฺ ปพุ พฺ กมฺม ปุฏฺโ พฺยากาสิ: … เอว สตฺถา ตสฺส ปุพพฺ กมมฺ กเถตวฺ า...วตวา...(๕/๕๕-๕๘) อ. พระศาสดา... ผู้อันภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว ซ่ึงกรรมอันมีในก่อนของเปรตนั้นทรง พยากรณ์แลว้ ว่า... อ. พระศาสดา ครั้นตรัสแล้ว ซึง่ กรรมอันมีในก่อนของเปรตนั้น อยา่ งนแ้ี ล้ว จึงตรัสแล้ววา่ ... (กเถตวฺ า กล่าวซา้ โดยอรรถ กับ พยฺ ากาสิ จึงเปน็ ปรโิ ยสานกาลกรยิ าใน พฺยากาสิ) ๖) วิเสสนะ (Adjective) เป็นกริยาที่ไม่ทาหน้าที่กริยา แตจ่ ะทาหน้าท่ีเป็นบทขยาย นามให้แปลกไปจากปกติ คือ แปลหลังนามโดยเข้ากับบทนามในฐานะวิเสสนะ และไม่ต้องออกสาเนียง ว่า “...แลว้ ” เชน่ มหาทคุ คฺ โต ม เปตฺวา อญฺ ภิกขฺ น ลภิสฺสติ. (๔/๒๖) อ. บุรุษชื่อวา่ มหาทคุ คตะ จักไม่ได้ ซงึ่ ภกิ ษุอื่น เวน้ ซ่ึงเรา ( เปตวฺ า วิเสสนะ ของ ภกิ ขฺ ) อมิ คาม นิสฺสาย โกจิ อารญฺ โก วิหาโร อตถฺ .ิ (๑/๑๓) อ. วหิ าร อนั ต้งั อยู่ในปา่ ไร ๆ อาศัย ซ่ึงบ้านน้ี มอี ยหู่ รอื (นิสฺสาย วเิ สสนะ ของ วหิ าโร) ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง ตูนาทิ ปัจจัย ดังในตัวอย่างข้างต้นน้ี แปลหลังบทนามในฐานะเป็นตัว ขยายบทนามนั้นให้แปลกออกไป เรียกว่า “วิเสสนะ” แต่ในบางกรณี อาจแปลหลงั กริยาไดใ้ นฐานะเป็น ตัวขยายบทกรยิ า ซง่ึ จะเรยี กว่า “กริยาวิเสสนะ” ๗) กริยาวิเสสนะ (Adverb) เป็นกริยาท่ีทาหน้าท่ีขยายบทกริยา (คุมพากย์หรือใน ระหว่าง) ให้แปลกไปจากปกติ แปลหลังกริยาและไม่ต้องออกสาเนียงว่า “...แล้ว” (ต่างจากอปรกาล กรยิ าทตี่ อ้ งออกสาเนยี งวา่ “...แล้ว”) เช่น
๓๐๖ อถ สตถฺ า ต พยฺ าธนิ า อภภิ ตู กตวฺ า ทสฺเสส.ิ (๕/๑๐๕) ลาดับนั้น อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึ่งรูปน้ัน ทรงกระทา ให้เป็นรูปอันพยาธิ ครอบงาแล้ว (กตฺวา แปลหลังกริยา ทสฺเสสิ ในฐานะเป็นตัวขยาย จึงเป็นกริยาวิเสสนะของ ทสฺเสส)ิ เพื่อให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัย อาจแสดงสรุปได้ ดงั ตารางท่ี ๑๕.๔ ตารางท่ี ๑๕.๔ หลักการแปลกริยากติ ก์ท่ีลง ตนู าทิ ปัจจัย ภารกิจ/หน้าที่ คาแปล ประโยคตัวอย่าง ๑. บพุ พกาลกริยา …แลว้ กสกา เขตเฺ ต กมมฺ านิ กรติ ฺวา อตฺตโน เคห อคมสึ ุ. (Precedence) (แปลกอ่ นกริยาอ่นื ๆ) แปลโดยพยญั ชนะ ๒. สมานกาลกริยา (Simultaneity) อ. ชาวนา ท. กระทาแล้ว ซ่ึงการงาน ท. ในนา ได้ ๓. อปรกาลกริยา ไปแลว้ สู่เรือนของตน ๆ (Cuccesstion) ไมต่ ้องมคี าว่า...แลว้ (แปลก่อน ฉตตฺ คเหตวฺ า คจฉฺ ติ. ๔. เหตกุ าลกรยิ า (เหตุ) (Causation) หรือพรอ้ มกับกรยิ าทอ่ี ย่หู ลงั ) แปลโดยพยญั ชนะ ๕. ปรโิ ยสานกาลกรยิ า (อ. เขา) ถอื เอา ซ่ึงรม่ เดนิ ไปอยู่ (Repetition) = (อ. เขา) ย่อมเดนิ ถอื รม่ ไป แปลโดยอรรถ เขาเดนิ กัน้ รม่ หรือเดินกางร่ม ข้อสังเกต: ถ้าแปล คเหตฺวา ว่า ถือเอาแล้วภารกิจ หรือหน้าท่ีของ คเหตฺวา จะเปล่ียนเป็นปุพพกาล- กริยา หมายถึง เขาถือร่มแลว้ จึงเดินไป ...แลว้ ธมฺมกถิโก ธมฺมาสเน นิสที ิ จิตฺตวชี นึ คเหตฺวา. (แปลหลงั กรยิ าคุมพากย์) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระธรรมกถึก น่ังแล้ว บนธรรมาสน์ จับแล้ว ซ่งึ พดั อันวิจิตร เพราะ… สหี ทิสฺวา ภย อุปปฺ ชชฺ ติ. (แปลหลังกรยิ าคมุ พากย)์ แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภยั ย่อมเกดิ ขนึ้ เพราะเห็น ซ่งึ ราชสีห์ (คาว่า เหน็ เป็นกริยาของคน ไม่ใชก่ ริยาของ ภัย) ครัน้ …แล้ว กล่าวซา้ โดยธาตุ (แปลหลงั กรยิ าคมุ พากย์ อานนฺโท เยน ภควา, เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา เอ ทีอ่ ยใู่ นอกี ประโยคหนงึ่ ข้างหน้า) กมนตฺ นิสีท.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระอานนท์ อ. พระผู้มพี ระภาคเจ้า (ประทับอยู่) โดยส่วนแห่งทิศใด เข้าไปเฝ้าแล้ว โดยส่วนแห่งทิศ
๓๐๗ ๖. วเิ สสนะ ไมต่ อ้ งมีคาวา่ ...แลว้ น้ัน, คร้ันเข้าไปเฝ้าแล้ว นั่งแล้ว ณ ที่สมควรส่วน (Adjective) (แปลหลงั บทนาม) ข้างหนง่ึ ๗. กรยิ าวิเสสนะ ไมต่ อ้ งมีคาวา่ ….แล้ว กลา่ วซ้าโดยอรรถ (Adverb) (แปลหลงั กรยิ า) สตฺถา…ภิกฺขูหิ ตสฺส ปุพฺพกมฺม ปุฏฺ โ พฺยากาสิ:... เอว สตถฺ า ตสสฺ ปุพฺพกมมฺ กเถตฺวา…วตฺวา… แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา…ผู้อันภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว ซึ่งกรรม อันมีในก่อนของเปรตน้ัน ทรงพยากรณ์แล้ว ว่า… อ. พระศาสดา ครั้นตรัสแล้ว ซึ่งกรรมอันมีในก่อน ของเปรตน้ัน อยา่ งนแ้ี ลว้ จงึ ตรัสแลว้ ว่า… เปตฺวา เทวฺ อคคฺ สาวเก อวเสสา อรหตตฺ ปาปุณสึ ุ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภิกษุ ท. ท่ีเหลือ เว้น ซึ่งพระอัครสาวก ท. สอง บรรลแุ ลว้ ซงึ่ พระอรหัต มหาทคุ ฺคโต ม เปตฺวา อญฺ ภิกขุ น ลภสิ ฺสติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุรุษชื่อว่ามหาทุคคตะ จักไม่ได้ ซ่ึงภิกษุอื่น เว้น ซึ่งเรา ตีณิ รตนานิ เปตฺวา อญฺ เม ปฏสิ รณ นตถฺ .ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. ท่ีพ่ึง อย่างอ่ืน ย่อมไม่มี แก่เรา เว้น ซึ่งรตนะ ท. สาม อถ สตฺถา ต พยฺ าธนิ า อภิภูต กตวฺ า ทสฺเสสิ. แปลโดยพยญั ชนะ ลาดับน้ัน อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซ่ึงรูปน้ัน ทรงกระทา ให้เปน็ รูปอนั พยาธิครอบงาแล้ว ข้อสังเกต: การแปลกริยาวิเสสนะ จะต่างจากกา แปลอปรกาลกรยิ า ทต่ี อ้ งออกสาเนยี งว่า…แล้ว. จากตารางที่ ๑๕.๔ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัย คือ ให้ผู้แปล พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัย ในประโยคก่อน แล้วจึงแปลโดย เลือกใช้คาแปลให้สอดคลอ้ งกบั ภารกจิ หรอื หน้าที่ของกริยากิตก์น้ัน ๆ กล่าวโดยสรุป ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัยน้ัน ให้พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ี ของกริยากิตก์นัน้ ในประโยคหรือข้อความน้นั ๆ เช่นเดยี วกับกริยากิตก์ที่ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย และ กริยากิตก์ทีล่ ง ต ปัจจัย ดังกล่าวมาแล้ว คือ ๑) เป็นบุพพกาลกริยา แปลว่า “…แล้ว” (แปลก่อนกริยา อน่ื ๆ) ๒) เป็นสมานกาลกริยา ให้แปล “ก่อนหรือพร้อมกับกริยาที่อยู่หลัง โดยไม่ต้องมีคาว่า...แล้ว” ๓) เป็นอปรกาลกรยิ า แปลวา่ “...แลว้ ” (แปลหลงั กรยิ าคุมพากย์) ๔) เป็นเหตุกาลกริยา (เหต)ุ แปลว่า
๓๐๘ “เพราะ…” (แปลหลังกริยาคุมพากย์) ๕) เป็นปริโยสานกาลกริยา แปลว่า “คร้ัน…แล้ว” (แปลหลัง กริยาคุมพากย์ท่ีอยู่ในอีกประโยคหน่ึงข้างหน้า) ๖) เป็นวิเสสนะ ให้แปล “หลังบทนาม โดยไม่ต้องมี คาว่า...แลว้ ” และ (๗) เป็นกริยาวิเสสนะ ให้แปล “หลังกริยา โดยไมต่ อ้ งมคี าวา่ …แลว้ ” ๑๕.๑๑ การแปลบททเ่ี น่อื งด้วยกริยาในระหว่าง เมื่อผู้แปลได้แปลกริยาในระหว่างจบแล้ว จะตอ้ งแปลบทที่เนื่องด้วยกริยาในระหว่างเปน็ ลาดับ ต่อไป จนกว่าจะหมดช่วงของกริยาในระหว่างน้ัน ๆ จึงจะแปลบทกริยาในระหว่างและบทที่เนื่องด้วย กรยิ าในระหว่างต่อไป เชน่ อุปาสกา จ อปุ าสิกาโย จ อาราม คนฺตวฺ า ทาน ทตวฺ า สลี สมาทยิตฺวา ธมมฺ สุณนฺติ. อ. อุบาสก ท. ดว้ ย อ. อบุ าสิกา ท. ด้วย ไปแล้ว สูอ่ าราม ใหแ้ ลว้ ซ่ึงทาน สมาทาน แล้ว ซึง่ ศีล ฟงั อยู่ ซงึ่ ธรรม. (อาราม, ทาน และ สีล เป็นบททเี่ น่อื งดว้ ยกรยิ าในระหวา่ ง) วาณชิ า วเิ ทสา ภณฑฺ านิ อาเนตวฺ า อาปเณสุ ตานิ วิกฺกีณนฺติ. อ. พ่อคา้ ท. นามาแล้ว ซ่ึงภัณฑะ ท. จากต่างประเทศ ย่อมขายซ่ึงภัณฑะ ท. เหล่านัน้ ในรา้ นคา้ ท. (วเิ ทสา และ ภณฺฑานิ เปน็ บทท่เี นอ่ื งดว้ ยกริยาในระหวา่ ง) ๑๕.๑๒ การแปลประโยคแทรก ประโยคแทรกในภาษาบาลี มี ๒ ชนิด คือ ประโยคอนาทร และประโยคลักขณะ มี รายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑๕.๒.๑ ประโยคอนาทร บทนามนามท่ีประกอบเป็นรปู ฉัฏฐีวิภัตติในประโยคอนาทรให้แปลว่า “เมื่อ...” ส่วนกริยา อนาทรท่ีใช้ อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ให้แปลว่า “เม่ือ...” หรือ “…อยู่” แต่ถ้าใช้ ต ปัจจัย ให้แปลว่า “...แล้ว” โดยมีหลักการแปล ดังน้ี ๑) กรณีท่ีแทรกหน้าประโยคหลัก จะแปลก่อน หรือแปลหลังบทประธานของ ประโยคกไ็ ด้ เช่น เถรสสฺ นิททฺ อโนกกฺ มนฺตสฺส,...อกขฺ ิมหฺ ิ โรโค อุปฺปชชฺ .ิ (๑/๘) แปลก่อนบทประธานของประโยคหลกั เมอื่ พระเถระ กา้ วลงอยู่ สคู่ วามหลับ, อ. โรค ในนัยนต์ า เกดิ ข้ึนแล้ว...
๓๐๙ แปลหลงั บทประธานของประโยคหลกั อ. โรค ในนยั นต์ า, เมอื่ พระเถระ ก้าวลงอยู่ สู่ความหลับ, เกิดข้ึนแลว้ ... (แปลโดยอรรถ = เม่ือพระเถระ กาลงั หลบั อยู่ โรคตา เกดิ ข้ึนแลว้ ) ๒) กรณีที่แทรกกลางประโยคหลัก ให้แปลเนื้อความของประโยคหลักไป ตามลาดับจนถึงประโยคแทรก (ประโยคอนาทร) หยุดการแปลเน้ือความของประโยคหลักไว้ แล้วแปล ประโยคแทรก (ประโยคอนาทร) ให้หมด จากน้ันจึงเริ่มแปลเน้ือความของประโยคหลักต่อไปจนจบ ประโยค เชน่ สามเณรา เอกโต ทูรรูปทสฺสเน กีฬ ปสฺสิตฺว, อาจริยสฺส อาคจฺฉโต, ปลายึสุ. อ. สามเณร ท. ดูแล้ว ซ่ึงการกีฬา ในวัตถุเป็นเครื่องซึ่งรูปในที่ไกล (โทรทศั น)์ โดยความเป็นอนั เดยี วกนั , เมอื่ อาจารย์ มาอย,ู่ หนีไปแลว้ ๑๕.๒.๒ ประโยคลกั ขณะ บทนามนามที่ประกอบเป็นรูปสัตตมีวิภัตติในประโยคลักขณะให้แปลว่า “ครั้นเม่ือ...” ส่วน กริยาลักขณะท่ีใช้ อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ให้แปลว่า “เมื่อ...” หรือ “...อยู่” และท่ีใช้ ต ปัจจัย ให้ แปลว่า “...แลว้ ” เชน่ เดยี วกับกริยาอนาทรดงั กลา่ วมาแล้ว สว่ นหลกั การแปล ก็เหมือนกับหลักการแปล ประโยคอนาทร ดังน้ี ๑) กรณีที่แทรกหน้าประโยคหลัก จะแปลก่อนหรือแปลหลังบทประธานของ ประโยคหลักก็ได้ เชน่ อตีเต พาราณสิย พฺรหฺมทตฺเต รชฺช กาเรนฺเต, ราชเคเห นิพทฺธ อฏฺ ปจเฺ จกพทุ ฺธา ภุญชฺ นตฺ ิ. (๒/๖๐) แปลก่อนบทประธานของประโยคหลัก ในกาลอันเป็นไปล่วงแล้ว ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัต ยงั บุคคลให้กระทา อยู่ ซึ่งความเป็นแห่งพระราชา เมืองสาวัตถี, อ. พระปัจเจกพุทธเจ้า ท. แปด ยอ่ มฉันในพระราชวงั เนืองนิตย์ แปลหลังบทประธานของประโยคหลัก ในการอันเป็นไปล่วงแล้ว อ. พระปัจเจกพุทธเจ้า ท. แปด, ครั้นเม่ือพระ เจ้าพรหมทัต ยังบุคคลให้กระทาอยู่ ซ่ึงความเป็นแห่งพระราชาในเมือง สาวตั ถ,ี ยอ่ มฉันในพระราชวังเนอื งนิตย์ (แปลโดยอรรถ = ในอดตี กาล เมื่อ พระเจา้ พรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ ในกรุงสาวัตถี พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ฉันอยู่ในพระราชวัง เนืองนติ ย์)
๓๑๐ ๒) กรณีที่แทรกกลางประโยคหลัก ก็ให้แปลเน้ือความของประโยคหลักไป ตามลาดับจนถึงประโยคแทรก (ประโยคลักขณะ) หยุดการแปลเน้ือความของประโยคหลักไว้แล้วแปล ประโยคแทรก (ประโยคลักขณะ) ให้หมด จากนั้นจึงเริ่มแปลเนื้อความของประโยคหลักต่อไปจนจบ ประโยค เชน่ อเถกทิวส ราชา, ปจฺเจกพทุ ฺเธสุ คเตสุ, ตา อติ ฺถิโย อาทาย นทยิ อทุ กกีฬ กฬี ิตุ คตา. (๒/๖๐) ครัง้ ภายหลัง ณ วนั หนึ่ง อ. พระราชา, ครนั้ เม่ือพระปจั เจกพทุ ธเจ้า ท. ไปแลว้ , ทรงพาเอา ซึ่งหญงิ ท. เหล่าน้ัน เสดจ็ ไปแล้ว เพอื่ อันทรงเลน่ ทรงเล่นซึ่งนา้ ในแมน่ ้า. (แปลโดยอรรถ = ตอ่ มาวันหนึง่ เมื่อพระปจั เจกพุทธเจ้าทง้ั หลายไปแล้ว พระราชาทรงพาหญงิ เหลา่ น้นั ไปเพื่อทรงเล่นนา้ ในแมน่ า้ ) ข้อสังเกต: ถ้าแปลโดยอรรถ นิยมแปลบทนามนามที่ประกอบเป็นรูปสัตตมี วภิ ตั ติในประโยคลกั ขณะว่า “เมือ่ ...” เช่นเดียวกับการแปลบทนามนามที่ประกอบเปน็ รปู ฉฏั ฐีวิภัตติใน ประโยคอนาทร ๑๕.๑๓ การแปลกรยิ าคุมพากย์ (Finite verb) ๑๕.๓.๑ ความหมายของกริยาคมุ พากย์ กริยาคุมพากย์ หมายถึง กริยาอาการที่เกิดขึ้นหรือที่กล่าวถึงเป็นตัวสุดท้ายของข้อความ ไม่ว่าจะวางอยู่ส่วนไหนของข้อความ จัดเป็นกริยาที่เป็นส่วนสาคัญของข้อความนั้น ๆ กริยาคุมพากย์ ไดแ้ ก่กริยาดังต่อไปน้ี ๑) กริยาอาขยาต ซ่ึงต้องมี วจนะ และ บุรุษ ตรงกับบทประธาน ยกเว้น ภาววาจกที่กาหนดใช้เฉพาะอกัมมธาตุเท่านั้น เม่ือเป็นกริยาคุมพากย์ในประโยค ลง ย ปัจจัย และใช้ เฉพาะ เต วัตตมานาวภิ ัตตติ ัวเดยี วเท่าน้ัน เชน่ ปุริโส ธน ลภต.ิ อ. บุรษุ ยอ่ มได้ ซ่งึ ทรัพย์ (ลภติ เป็นกรยิ าอาขยาต ใช้คุมพากย์ในประโยคกตั ตวุ าจก) เตน ภูยเต. อันเขา เป็นอยู่ (ภูยเต เป็นกริยาอาขยาต ลง ย ปัจจัย ใช้ เต วัตตมานาวิภัตติ คุมพากย์ ในประโยคภาววาจก)
๓๑๑ ๒) กริยากิตก์ ท่ปี ระกอบดว้ ย ต, อนีย หรือ ตพฺพ ปจั จัย๘ โดยไมม่ กี ริยาอาขยาต อยู่ในประโยคนั้น และจะตอ้ งมี ลิงค์, วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบทประธาน ยกเวน้ ภาววาจก ซงึ่ กริยา ต้องเป็นนปุงสกลิงค์ เอกวจนะเท่าน้ัน ส่วนบทประธานเป็นวจนะหรือบุรุษอะไรก็ได้ แต่จะ ประกอบดว้ ยตตยิ าวิภตั ติ เชน่ โส อุปาสโก ธมฺม สโุ ต. อ. อบุ าสกน้ัน ฟังแล้ว ซงึ่ ธรรม (สุโต เป็นกริยากติ กล์ ง ต ปจั จัย คุมพากยแ์ ละเปน็ กตั ตุวาจก) เตน สตตฺ เม ทวิ เส มรติ พพฺ . อนั เขา พึงตาย ในวันท่ีเจด็ (มริตพพฺ เป็นกริยากติ ก์ลง ตพฺพ ปัจจยั เปน็ นปงุ สกลิงค์ เอกวจนะ) ๓) นามกติ ก์ ท่ีลง ณยฺ ปจั จัย ใช้คมุ พากยไ์ ด้ เชน่ เต จ ปุคฺคลา คารยฺหา๙ ก็ อ. บุคคล ท. เหลา่ นนั้ อนั เขา พงึ ติเตยี น. (คารยฺหา เป็นนามกติ ก์ ลง ณฺย ปจั จยั ใชค้ มุ พากยไ์ ด้) ๔) ตฺวา ปัจจัย ที่ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ในประโยคกริยาปธานนัย เรียกว่า “กริยาปธานนยั ” เช่น เหฏฺ าคงฺคาย จ เทฺว อิตฺถิโย นหายมานา ต ภาชน อุทเกนาหริยมาน ทิสฺวา เอกา อติ ฺถี “มยหฺ เมต ภาชนนตฺ ิ อาห. (๘/๑๗๒) ๘ ต ปจั จยั เป็นได้ท้ัง ๕ วาจก (แต่ไม่นิยมใชใ้ นประโยคเหตุกัตตุวาจก) ส่วน อนีย และ ตพฺพ ปัจจัย ใช้เป็น กรยิ าคมุ พากยไ์ ด้ ๓ วาจก คอื กัมมวาจก ภาววาจก และเหตกุ มั มวาจก และปจั จัยทง้ั ๓ ตัวดังกลา่ วน้ี นิยมใชค้ ุมพากย์ ในกรณีท่ีบทประธานเป็นประถมบุรุษเทา่ นั้น ถ้าบทประธานเปน็ มธั ยมบุรษุ หรอื อุตตมบุรุษ ให้แปลเป็นวิกติ กัตตาใน กริยาอาขยาต เช่น ถ้าบทประธานเป็น ตฺว ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน อสิ หรือถ้าบทประธานเป็น อห ก็ให้แปลเป็น วิกติกตั ตาใน อมหฺ ิ ฯลฯ ๙ คารยฺหา เป็นศัพท์นามกิตก์ลง ณฺย ปัจจัย สาเร็จรูปมาจาก ครห + ณฺย เป็น คารยฺห โดยแปล ห ท่ีสุด ธาตุกบั ย เป็น ยฺห (สลบั ย ไว้หนา้ ห ไว้หลัง) และเน่ืองจากเปน็ ศัพทท์ เี่ ก่ียวด้วย ณยฺ ปจั จัย จึงใหล้ บ ณ เหลอื ไว้แต่ ย แลว้ มอี านาจทีฆะต้นธาตุ ประกอบรูปเป็น คารยหฺ า โดยมีลงิ ค์ วจนะ และวภิ ัตติ ตรงกบั บทประธานคือ ปุคคลา อน่ึง ณฺย ปัจจัยใช้คุมพากย์ได้เมื่อบทประธานเป็นประถมบุรุษเท่านั้น ถ้าประธานเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษให้แปล เป็นวิกติกัตตาในกริยาอาขยาต เชน่ เดียวกับ ต อนีย และ ตพฺพ ปจั จัย
๓๑๒ ก็ อ. หญิง ท. สอง อาบอยู่ ในภายใต้แห่งแม่น้าช่ือว่าคงคา เห็นแล้ว ซึ่ง ภาชนะน้นั อันอันน้าพดั มาอยู่ อ. หญิง คนหน่ึง กลา่ วแล้ว ว่า อ. ภาชนะ น่ัน ยอ่ มมี แกเ่ รา ดงั นี้ (ทิสฺวา เป็นกรยิ าปธานนัย) ๕) อนฺต, มาน และ ต ปัจจัย ที่ประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ ของประโยคอนาทร และท่ีประกอบด้วยสตั ตมีวิภัตติ ใชเ้ ปน็ กรยิ าคุมพากย์ของประโยคลักขณะ โดยต้อง ประกอบให้มีลงิ ค์, วจนะ และวภิ ตั ติ ตรงกับบทประธานเสมอ เช่น ตสฺส อิมินา นิยาเมเนว ชีวิต กปฺเปนฺตสฺส ปญฺจปณฺณาส วสฺสานิ อติกกฺ นฺตาน.ิ (๑/๑๗) เม่ือนายจุนทะนั้น สาเร็จอยู่ ซ่ึงชีวิต โดยทานองนี้ น่ันเทียว อ. ปี ท. ห้า สิบห้า กา้ วล่วงแลว้ (กปเฺ ปนฺตสสฺ ลง อนตฺ ปัจจยั ใช้คุมพากยใ์ นประโยคอนาทร) ๖) บทนิบาตบางตัว ที่เป็นอัพยยศัพท์ ลงในอรรถปฐมาวิภัตติ เช่น สกฺกา, อล, ลพฺภา ฯลฯ สามารถใช้เปน็ กริยาคมุ พากยไ์ ด้ เช่น ปารุปนสสฺ หิ อภาเวน น สกกฺ า อมฺเหหิ เอกโต คนตฺ ุ. (๕/๑) เพราะว่า อันเรา ท. ไม่อาจ เพ่ืออันไป โดยความเป็นอันเดียวกัน เพราะ ความไม่มแี ห่งผ้าเปน็ เครอ่ื งหม่ (สกกฺ า เปน็ อพั ยยศัพท์ ใช้เปน็ กรยิ าคมุ พากย์ โดยเป็นภาววาจก) ๗) บทกรยิ าพิเศษ ที่เป็นได้ทั้งเอกวจนะและพหุวจนะ ใช้คุมพากย์ในประโยคได้ ได้แก่ อตฺถิ และ นตถฺ ิ เชน่ ธน อตฺถิ. อ. ทรัพย์ มอี ยู่ (อตถฺ ิ เป็นกรยิ าคุมพากย์) ๑๕.๑๓.๒ หลักการแปลกริยาคมุ พากย์ ในการแปลภาษาบาลีโดยท่ัวไป ก่อนแปลข้อความใด ๆ ผู้แปลต้องกาหนดข้อความท่ีจะแปล ก่อนเป็นอันดับแรกว่า ข้อความน้ัน ๆ ส้ินสุดประโยคตรงไหน ซ่ึงหลักในการกาหนดข้อความดังกล่าว ก็คือ ให้กาหนดกริยาคุมพากย์เป็นสาคัญ เพราะกริยาคุมพากย์เป็นตัวกาหนดข้อความ หรือกริยา คุมพากย์เป็นตัวกาหนดวาจก การแปลโดยพยัญชนะท่ีถูกต้อง จะต้องกาหนดข้อความแล้วแปลให้ ถูกตอ้ งตามลกั ษณะของวาจกท้งั ๕ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง
๓๑๓ ๑) กรยิ าอาขยาต กัตตุวาจก ปรุ ิโส ธน ลภติ. อ. บุรษุ ยอ่ มได้ ซึง่ ทรพั ย์ กมั มวาจก ปรุ เิ สน ธน ลภิยเต. (ลพฺภติ) อ. ทรพั ย์ อันบุรษุ ย่อมได้ ภาววาจก เตน ภยู เต. อนั เขา เป็นอยู่ เหตกุ ัตตวุ าจก กุสโล อาจริโย สิสสฺ สนุ ทฺ ร สปิ ฺปํ สิกขฺ าเปติ. อ. อาจารย์ ผฉู้ ลาด ยังศิษย์ ให้ศึกษาอยู่ ซึ่งศลิ ปะ อนั ดี เหตกุ ัมมวาจก กุสเลน อาจรเิ ยน สสิ สฺ (สสิ เฺ สน) สนุ ฺทร สิปฺปํ สกิ ขฺ าปยิ เต. อ. ศลิ ปะ อันดี อนั อาจารย์ ผู้ฉลาด ยงั ศษิ ย์ ใหศ้ ึกษาอยู่ ข้อสังเกต: บทการิตกัมมะในประโยคเหตุกัมมวาจกได้แก่ สิสฺส ซึ่งประกอบเป็น รูปทุติยาวิภัตติ แปลออกอายตนิบาตว่า “ยัง...” หรืออาจประกอบเป็นรูปตติยาวิภัตติว่า สิสฺเสน ก็ได้ แตต่ อ้ งแปลหักวภิ ัตตเิ ปน็ ทตุ ยิ าโดยออกอายตนิบาตวา่ “ยัง...” เช่นเดิม ๒) กริยากิตก์ กัตตุวาจก โส อปุ าสโก ธมมฺ สุโต. อ. อบุ าสกน้ัน ฟงั แล้ว ซงึ่ ธรรม กัมมวาจก เตน อุปาสเกน ธมโฺ ม สโุ ต. อ. ธรรม อันอบุ าสกนน้ั ฟงั แล้ว ตยา กลฺยาณ กมมฺ กาตพฺพ. อ. กรรม อนั งาม อนั ท่าน พึงทา ชเนหิ กลฺยาณ กมมฺ กรณีย. อ. กรรม อันงาม อันชน ท. พึงทา
๓๑๔ ภาววาจก เตน สตตฺ เม ทิวเส มรติ พพฺ . อนั เขา พึงตาย ในวันที่เจด็ ตุมฺเหหิ อปฺปมตฺเตหิ ภวิตพพฺ . อันท่าน ท. พึงเป็นผไู้ มป่ ระมาทแล้ว พงึ เปน็ เตหิ ปุคคฺ เลหิ คมนีย อนั บคุ คล ท. เหล่านัน้ พงึ ไป ปุคฺคเลน คต อนั บคุ คล ไปแลว้ เหตุกัมมวาจก เตน โอทโน ปคุ ฺคล ปาจาเปตพโฺ พ. อ. ข้าว อันเขา ยงั บคุ คล พงึ ให้หงุ สามเิ กน ต กมฺม ทาส การาปนีย. อ. กรรมน้นั อันนาย ยังคนรบั ใช้ พึงใหท้ า เตน ปรุ ิเสน ปคุ ฺคล กมฺม การาปติ . อ. กรรม อนั บรุ ุษนนั้ ยังบุคคล ให้ทาแลว้ ๓) นามกิตก์ โส จ ธมฺโม คมโฺ ม๑๐. ก็ อ. ธรรมนัน้ อนั บคุ คล พึงถงึ (คมฺโม เปน็ กริยาคุมพากย์) โส จ อสฺโส ทมฺโม๑๑. : ก็ อ. มา้ ตัวน้นั อนั บุคคล พงึ ทรมานได้ (ทมฺโม เปน็ กริยาคมุ พากย)์ ๑๐ คมโฺ ม มาจาก คมฺ + ณฺย โดยลบ ณ และ เอา ม กบั ย เปน็ มฺม ๑๑ ทมฺโม มาจาก ทมฺ + ณยฺ โดยลบ ณ และ เอา ม กบั ย เปน็ มมฺ
๓๑๕ ตญจฺ กมฺม การิย๑๒. ก็ อ. กรรมนนั้ อนั บคุ คล พงึ ทา (การิย เปน็ กรยิ าคุมพากย์) โส จ ชโน เวเนยฺโย๑๓. ก็ อ. ชนนั้น อันบคุ คล พงึ แนะนาได้. (เวเนยฺโย เปน็ กรยิ าคมุ พากย)์ ตญฺจ วตฺถุ เทยฺย๑๔. ก็ อ. วัตถนุ น้ั อนั บุคคล พงึ ให.้ (เทยยฺ เปน็ กรยิ าคุมพากย์) ๔) ตวฺ า ปัจจัย อุโภปิ (ตาปสา) สาราณีย กถ กเถตฺวา สยนกาเล นารโท เทวลสฺส นิปชฺชนฏฺ านญฺจ ทฺวารญฺจ สลฺลกฺเขตฺวา นิปชฺชิ. (๑/๓๘) อ. ดาบส ท. แม้ทั้งสอง กล่าวแล้ว ซึ่งวาจาเป็นเคร่ืองกล่าว อันเป็นที่ตั้งแห่งการยังกันและกันให้ระลึก ในกาลเป็นท่ีนอน อ. ดาบสชื่อว่า นารทะ กาหนดแล้ว ซง่ึ ทเี่ ปน็ ท่ีนอนแห่งดาบส ชอ่ื ว่าเทวละด้วย ซง่ึ ประตดู ้วย นอนแล้ว. (กเถตฺวา เป็นกริยาคุมพากย์ เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “กริยา ปธานนัย”) ๕) อนฺต, มาน และ ต ปจั จยั เสฏฺ ฐิโน อิทญฺจิทญฺจ (กมฺม) กโรนฺตสฺเสว, ทารโก วฑฺฒิโต. (๒/๑๗) (กโรนฺตสฺส ลง อนฺต ปัจจัย ประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ เป็น กริยาคุมพากย์ ของประโยคอนาทร เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “อนาทรกริยา” โดยมีบทประธานของประโยคคือ เสฏฺ ฐิโน เรยี กช่อื ทางสมั พันธ์วา่ “อนาทร”) ๑๒ การิย มาจาก กรฺ + อิ + ณฺย โดยลง อิ อาคมทท่ี า้ ยธาตุ แลว้ ทฆี ะตน้ ธาตุ ๑๓ เวเนยฺโย มาจาก วิ + า + ณยฺ โดยแปลง ณฺย เปน็ เอยฺย ในเมื่อท่สี ดุ ธาตเุ ป็นสระ อา ๑๔ เทยยฺ มาจาก ทา + ณยฺ โดยแปลง ณฺย เป็น เอยฺย ในเม่อื ท่ีสุดธาตเุ ป็นสระ อา
๓๑๖ อเถกทิวส ราชา, ปจฺเจกพุทฺเธสุ คเตสุ, ตา อิตฺถิโย อาทาย นทิย อุทกกีฬ กีฬติ ุ คตา. (๒/๖๐) ครั้นภายหลัง ณ วันหนึ่ง อ. พระราชา, คร้ันเม่ือพระปัจเจก พทุ ธเจ้า ท. ไปแล้ว, ทรงพาเอา ซึ่งหญิง ท. เหล่าน้ัน เสด็จไป แลว้ เพื่ออนั ทรงเล่น ทรงเล่นซึ่งนา้ ในแมน่ ้า (คเตสุ ลง ต ปัจจัย ประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติ เป็นกริยา คุมพากย์ของประโยคลักขณะ เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “ลักขณกริยา” โดยมีบทประธานของประโยค คือ ปจฺเจก- พทุ ฺเธสุ เรยี กชอื่ ทางสมั พนั ธ์วา่ “ลักขณะ”) ๖) บทนิบาตบางตวั (สกฺกา, อล, ลพภฺ า) โกสลรญฺ าปิ สทธฺ ึ น สกฺกา เอกโต ภวิตุ. (๑/๑๒๙) (อันเรา) ไม่อาจ เพื่ออันเป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน กบั ด้วยพระราชาทรงพระนามวา่ โกศล (สกกฺ า เป็นกรยิ าคมุ พากย์ ภาววาจก) กมฺมวิปาโก นาม น สกกฺ า เกนจิ ปฏพิ าหิตุ. (๑/๑๑๘) ช่อื อ. ผลแห่งกรรม อันใคร ๆ ไม่อาจ เพ่ืออนั หา้ ม (สกกฺ า เป็นกรยิ าคุมพากย์ กมั มวาจก) (เถเรน) อล กาต. (อนั พระเถระ) อาจ เพ่อื อันกระทา (อล เปน็ กรยิ าคุมพากย์ ภาววาจก) นวหิ ภิกฺขเว องฺเคหิ สมนฺนาคต กุล (ภิกฺขุนา) อนุปคนฺตฺวา น อล อุปคนฺตุ. (๓/๘) ดูก่อนภิกษุ ท. อ. ตระกลู อันประกอบพร้อมแล้ว ด้วยองค์ ท. ๙ (อนั ภกิ ษุ) ไม่เขา้ ไปใกล้แล้ว ไมค่ วร เพ่ืออนั เขา้ ไปใกลด้ ้วย (อล เปน็ กริยาคุมพากย์ กมั มวาจก) น ลพภฺ า ตยา ปพฺพชิตุ...(สมนฺต. (๑/๒๓๖) อันเจ้า ไมพ่ ึงได้ เพ่อื อันบวช... (ลพภฺ เปน็ กริยาคมุ พากย์ ภาววาจก)
๓๑๗ ปเวณิรชฺช นาม ตาต อิท, (อิท ปเวณิรชฺช) น ลพฺภา เอว กาตุ. (๓/๖) แนะพ่อ อ. ความเป็นแห่งพระราชานี้ ชื่อว่าความเป็นแห่ง พระราชาตามประเพณี ย่อมเป็น อ. ความเป็นแห่งพระราชา ตามประเพณนี ้ี อันเจา้ ไม่พงึ ได้ เพอ่ื อนั กระทาอย่างน้ี (ลพฺภา เปน็ กรยิ าคมุ พากย์ กัมมวาจก) ข้อสังเกต: (๑) สกฺกา อล และ ลพฺภา เป็นศัพท์นิบาตพิเศษที่ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ได้ และ เป็นได้ท้งั กมั มวาจก และภาววาจก (๒) สกฺกา อล และ ลพฺภา ที่เป็นบทนิบาตน้ี ช่ือว่าเป็น “อัพยยศัพท์” เพราะ แจกด้วยวิภัตติท้ัง ๗ ไม่ได้ คือ รูปเดิมเป็นอย่างไรก็คงรูปอยู่อย่างนั้น และช่ือว่า “อัพยยกริยา” เพราะ ไม่เปลีย่ นลงิ คไ์ ปตามบทประธานหรือเพราะไม่ถูกแจกไปตามบทประธาน (๓) สกฺกา อล และ ลพฺภา ในประโยคที่ไม่มีบทนามนามหรือสัพพนามที่เป็น ปฐมาวิภัตติ ให้แปลเป็นกริยาภาววาจก และในประโยคท่ีมีบทนามนามหรือสัพพนามที่เป็นปฐมา วิภัตติและประถมบรุ ุษอยูด่ ้วย ให้แปลเป็นกริยากัมมวาจก แต่ถ้าบทนามนามหรือสพั พนามที่เปน็ ปฐมา วิภัตติน้ันเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษ นิยมแปล สกฺกา อล หรือ ลพฺภา เป็น วิกติกัตตา ในกริยา อาขยาต เช่น นาห ตาทสิ ีน สเตนปิ สหสฺเสนปิ สตสหสเฺ สนปิ สกกฺ า กมฺเปตุ. (๕/๑๑) อ. เรา เป็นผู้ อันร้อยบ้าง อันพันบ้าง อันแสนบ้าง แห่งเทวดา ท. ผู้เช่น กับด้วยท่าน ไม่อาจ เพื่ออันให้หวั่นไหว ย่อมเป็น (๔) ลพฺภา ที่เปลี่ยนลิงค์ไปตามบทประธาน เช่น เปล่ียนเป็น ลพฺโภ, ลพฺภา, ลพฺภ ตามบทประธานท่ีเป็นปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ และนปุงสกลิงค์ เอกวจนะ ตามลาดับ พึงทราบว่า เป็น บทนามกิตก์ท่ลี ง ณฺย ปัจจยั ใช้คุมพากยไ์ ด้ แตจ่ ะไม่เรียกวา่ เปน็ บทนบิ าต เชน่ ลพภฺ เมต (ผล) วชิ านตา. (โสนนทฺ ชาตก) ๒๘/๖๖) ผลนนั่ อันบุคคลผ้รู แู้ จง้ พึงได้ (ลพฺภ ในประโยคนี้ เป็นบทนามกิตก์ มาจาก ลภฺ ธาตุ ลง ณฺย ปัจจัย ลบ ณ แปลง ภย เป็น ภ ซ้อน พฺ สาเร็จเป็นรูปนปุงสกลิงค์ เอกวจนะ และปฐมาวภิ ตั ติตามบทประธาน ใช้เปน็ กรยิ าคมุ พากย์ภาววาจก)
๓๑๘ รญโฺ อาณา อกาตุ น ลพฺภา. (๒/๗๐) อ. พระอาญา ของพระราชา อันใคร ๆ ไม่พงึ ได้ เพ่อื อนั ไม่กระทา (ลพฺภา ในประโยคนี้ ก็เป็นบทนามกิตก์ เพราะมีลิงค์ วจนะและวิภัตติ เหมอื นบทประธานคอื อาณา และใชเ้ ปน็ กรยิ าคมุ พากย์ กัมมวาจก) ๗) บทกริยาพิเศษ (อตถฺ ิ, นตถฺ ิ๑๕) ธน อตฺถิ. อ. ทรัพย์ มีอย.ู่ (อตฺถิ ในประโยคน้ี เป็นกริยาอาขยาต มาจาก อสฺ ธาตุ อ ปัจจัย และ ติ วิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “อาขยาตบท กัตตวุ าจก”) ธนานิ อตถฺ ิ. อ. ทรัพย์ ท. มอี ยู่ (อตฺถิ ในประโยคน้ี เป็นนิบาตกริยา มีรูปคงเดิม ไม่เปล่ียนรูปไปตามบท ประธาน ไม่ได้สาเร็จรูปมาจาก ธาตุ ปัจจัย และวิภัตติอะไร เพราะเป็น อัพยยศัพท์ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ในประโยคท่ีมีบทประธานเป็นพหุวจนะ เรียกชือ่ ทางสัมพนั ธ์วา่ “นิบาตกรยิ ากัตตวุ าจก”) ๑๕.๑๔ การแปลบทท่เี นอื่ งดว้ ยกรยิ าคุมพากย์ ๑๕.๑๔.๑ บททเี่ น่ืองด้วยกรยิ าคมุ พากย์ บทที่เน่ืองด้วยกริยาคุมพากย์ คือ บทท่ีสามารถสัมพันธ์เข้ากับกริยาคุมพากย์ได้โดยตรง โดย อาจรวมบทหรือข้อความท่ีเก่ียวเนื่องถึงกันกับกริยาคุมพากย์ ซึ่งทาหน้าที่เป็นตัวขยายนามหรือบทท่ี สามารถสัมพันธ์เข้ากับกริยาคุมพากย์ได้โดยตรง บทหรือข้อความดังกล่าวน้ี อาจเป็นบทนาม, สัพพนาม, อัพยยศัพท์, กิตก์, สมาส หรือตัทธิต หรืออาจเป็นบทที่ประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ ถึง สัตตมี วิภัตติ หรือ อาจเป็นข้อความภายใน อิติ ศัพท์ทั้งหมดที่ทาหน้าท่ีขยายกริยาคุมพากย์ ถือว่าเป็นบทท่ี เนอื่ งด้วยกรยิ าคมุ พากย์ อาจวางอยูห่ นา้ กริยาคมุ พากย์หรอื หลงั กริยาคมุ พากย์ กไ็ ด้ เช่น ๑๕ นตฺถิ สาเร็จรูปมาจากการสนธิ น + อตฺถิ มีวธิ ีใช้เช่นเดียวกับ อตฺถิ เพียงแต่ใช้ในเชิงปฏิเสธ ซึ่งตรงข้าม กบั อตถฺ ิ ทใ่ี ช้ในเชิงยอมรบั .
๓๑๙ สตถฺ าปิ อุปฺปตติ วฺ า เชตวนเมว คโต. (๓/๒๑) แม้ อ. พระศาสดา ทรงเหาะข้ึนแล้ว เสด็จไปแล้ว สู่พระวิหารชื่อว่าเชตวัน น่ันเทยี ว (ที่เน้นตัวหนา เปน็ บทหรือขอ้ ความทีเ่ นื่องด้วยกรยิ าคมุ พากย์) ๑๕.๑๔.๒ หลักการแปลบทที่เน่อื งด้วยกริยาคุมพากย์ เม่ือผู้แปลได้แปลกริยาคุมพากย์แล้ว ลาดับต่อไปก็ให้แปลบทที่เน่ืองด้วยกริยาคุมพากย์ (ถ้ามี) ซงึ่ ถอื เป็นลาดับสดุ ท้ายแห่งหลักการแปลประโยคภาษาบาลี ดปู ระโยคตวั อย่าง ต่อไปน้ี เตวีสตยิ า กุมาราน อาจรโิ ย คาม ปวิฏฺโ . อ. อาจารย์ ของกมุ าร ท. ๒๓ คน เข้าไปแล้ว สบู่ า้ น (คาม เป็นบททุติยาวิภัตติ ที่สามารถสัมพันธ์เข้ากับกริยาคุมพากย์คือ ปวิฏฺโ ได้โดยตรง และวางไว้หน้ากรยิ าคมุ พากย์ จัดเป็นบททเ่ี นอ่ื งดว้ ยกริยาคุมพากย)์ วาณชิ า วเิ ทสา ภณฑฺ านิ อาเนตฺวา อาปเณสุ ตานิ วกิ ฺกีณนตฺ .ิ อ. พ่อค้า ท. นามาแล้ว ซ่ึงภัณฑะ ท. จากต่างประเทศ ย่อมขาย ซ่ึงภัณฑะ ท. เหล่านัน้ ในร้านคา้ ท. (อาปเณสุ ตานิ เป็นบทสัตตมีวิภัตติและทุติยาวิภัตติ ท่ีสามารถสัมพันธ์เข้ากับ กริยาคุมพากย์ คือ วิกฺกีณนฺติ ได้โดยตรงและวางไว้หน้ากริยาคุมพากย์ จึง จดั เป็นบท (๒ บท) ทเี่ น่อื งด้วยกริยาคุมพากย์) ๑๕.๑๕ การแปลคาถาและอรรถกถา ๑๕.๑๕.๑ การแปลคาถา การแปลคาถานั้น ส่วนใหญ่ก็มีหลักเกณฑ์การแปลเหมือนกับหลักเกณฑ์การแปลภาษาบาลี ทั่วไป อย่างไรก็ตาม มีข้อท่ีพึงสังเกตคือ ถ้าเป็นคาถาหรือฉันท์ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่นิยมแปลล้ม ประโยค กล่าวคือ ไม่นิยมแปลล้ม ย, ต หรือแปลประโยค ต ไปหาประโยค ย และคาว่า “คาถา” ที่ พระพทุ ธเจ้าตรสั นิยมแปลวา่ “พระคาถา” (เป็นราชาศัพท)์ สว่ นคาว่า “คาถา” นอกจากนี้ ซึง่ อาจจะ เป็นคาถาท่ีพระสาวก ฤาษี หรอื เทวดา เปน็ ต้น กล่าว นยิ มแปลวา่ “คาถา” (ไม่ใช่พระคาถา) เชน่ สตฺถา... อมิ คาถมาห น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตธี กทุ าจน อเวเรน จ สมฺมนตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนฺตโนต.ิ (ธ.อ. ๑/๔๖)
๓๒๐ พระศาสดา...ตรสั แล้ว ซึง่ พระคาถานวี้ า่ ก็ อ. เวร ท. ในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวร ในกาลไหน ๆ แต่ว่า อ. เวร ท. ย่อมระงับ ด้วยภาวะอันมิใช่เวร อ. ธรรมน่นั เป็นธรรมเกา่ ย่อมเป็น ดังนี้ โส (เทวทตโฺ ต)...คาถมาห อิเมหิ อฏฺ ฐีหิ ตมคคฺ ปุคฺคล เทวาติเทว นรทมมฺ สารถึ สมนตฺ จกขฺ สตปุญฺ ลกฺขณ ปาเณหิ พทุ ธฺ สรณ คโตสมฺ ตี ิ. อ. พระเทวทตั นน้ั ... กลา่ วแล้ว ซง่ึ คาถาวา่ อ. ข้าพเจ้า เป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า พระองค์น้ัน ผู้เป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้เป็นเทพย่ิงกว่า เทพ ผู้ยังนระอันพระองค์พึงฝึกให้แล่นไป ผู้มี พระจักษุโดยรอบ ผู้มีพระลักษณ ะอันเกิด แล้วแต่บุญ อันบัณฑิตนับด้วยร้อยว่าเป็นที่พ่ึง ด้วยกระดูก ท. เหล่าน้ี (กับ) ด้วยลมปราณ ท. ยอ่ มเป็น ดงั นี้ ข้อสังเกต: ในตัวอย่างแรกเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัส จึงแปลคาว่า “คาถ” ว่า “ซึ่งพระ คาถา” ส่วนในตัวอย่างหลังเป็นคาถาที่พระเทวทัตกล่าว จึงแปลคาว่า “คาถ” ว่า “ซึ่งคาถา” นอกจากน้ี รูปแบบการเขียนคาแปลของคาถาไม่ว่าจะเป็นคาถาท่ีพระพุทธเจ้าตรัสหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ ว่าจะเป็นฉันท์ชนิดใด ๆ ก็ตาม ก็คงรูปแบบเดิม คือ เขียนคาแปลลงก่ึงกลางหน้ากระดาษ โดยมี ระยะหา่ งจากขอบกระดาษดา้ นซ้ายและดา้ นขวา มากกวา่ คาแปลท้องเรื่องท่วั ไป ๑๕.๑๕.๒ การแปลอรรถกถา การแปลอรรถกถา คือ การแปลถ้อยคาหรือข้อความที่อธิบายบทบาลีมาติกา หรือท่ีเรียกกัน โดยทั่วไปว่า “การแปลแก้อรรถ” ซ่ึงในการแปลแก้อรรถหรือแปลอรรถกถาน้ี มีวิธีแปลซ่ึงอาจจาแนก ออกเป็น ๒ วธิ ี ดงั นี้ ๑) การแปลตั้งอรรถ คือ การแปลโดยการข้ึน อตฺโถ แลว้ แปลว่า “อ. อรรถวา่ ” เพ่ือ ใช้เปิด อิติ ศัพท์ หลงั บทอรรถกถา (บทแก้) หรือการแปลโดยการใช้ อตฺโถ ท่ีมีอยู่แล้วหลังบทอรรถกถา แล้วแปลวา่ “อ. อรรถว่า…” เพอ่ื เปดิ อิติ ศพั ท์ เช่น
๓๒๑ ตตถฺ ๑๖ “อปปฺ กาติ โถกา น พหู. (๔/๕๒) แปลโดยพยัญชนะ อ. อรรถว่า เป็นชนน้อย คือว่า เป็นชนไม่มาก (ย่อมเป็น) ดังน้ี แห่ง– ในบท ท. เหล่านน้ั หนา– บทว่า อปปฺ กา ดงั นี้ แปลโดยอรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปกา ได้แก่ เป็นชนน้อย คือว่า เป็นชนไม่มาก (ยอ่ มเป็น) จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่า ในการแปลโดยพยัญชนะ ได้โยค ปเทสุ มาประกอบ ตตฺถ เพิ่มบทรับ อิติ ที่บทบาลีมาติกาว่า ปทสฺส ใส่ อิติ และขึ้น อตฺโถ หลังบทอรรถกถา ส่วนในการแปลโดยอรรถได้ แปลบทบาลีมาติกา (หรือบทตั้ง) ก่อน กล่าวคือ แปล ปทสฺส ก่อน และคาว่า ปทสฺส ไม่แปลออก อายตนิบาตวา่ “แห่ง” คงแปลว่า “บทว่า”, อิติ ของบทบาลีมาตกิ า เปดิ แต่ไม่แปลลงว่า “ดังนี้”, อิติท่ี คุมหลังบทอรรถกถา (หรือ อิติ ที่ใช้ อตฺโถ เปิด) ก็ไม่แปลลงว่า “ดังน้ี” ส่วน อตฺโถ หลัง อิติ น้ัน แปลวา่ ได้แก่ จากตวั อย่างดงั กลา่ ว ถา้ จะขนึ้ ใหเ้ ตม็ รูปแบบกจ็ ะได้ ดังนี้ ตตถฺ (ปเทส)ุ “อปปฺ กาติ” (ปทสฺส)๑๗ โถกา น พหู (ติ อตฺโถ). ๒) การแปลไม่ต้ังอรรถ คือ การแปลโดยไม่ข้ึน อตฺโถ หรือไม่ใช้ อตฺโถ ที่มีอยู่แล้ว หลังบทอรรถกถา เพื่อออกสาเนยี งแปลว่า “อ. อรรถวา่ ..” ในการแปลไม่ตั้งอรรถน้ี ก่อนแปลผู้แปลควรกาหนดลักษณะโครงสร้าง (Structure) ของ อรรถกถาใหไ้ ด้เช่นเดียวกบั การแปลตงั้ อรรถ อย่างไรกต็ าม ก่อนกาหนดลักษณะโครงสรา้ งของอรรถกถา แล้วแปลโดยไม่ต้ังอรรถน้ี ขอให้ผู้แปลได้กาหนดหรือพึงระลึกไว้เสมอว่า ในบทอรรถกถาที่จะต้องแปล โดยไม่ตั้งอรรถน้ี โดยทั่วไปมักจะมีบทกริยา คา หรอื ศพั ท์ ซงึ่ อาจจัดได้เปน็ ๓ กลุ่มต่อไปนวี้ างอยูด่ ้วย ๑๖ เมอื่ มี ตตถฺ วางเป็นบทหนา้ เชน่ น้ี ก็ต้องโยค ปเทสุ มาประกอบ และต้องเพ่ิม ปทสฺส (ปททฺวยสสฺ , ปทาน, คาถาปาทสฺส หรือ คาถาปาททฺวยสฺส) เพื่อรับ อิติ ที่บทบาลีมาติกา ในกรณีเช่นนี้ให้แปลรวบถอนโดยมีสานวนการ แปลว่า “แห่ง...หนา” ซึ่งคาวา่ “หนา” นยิ มลงทา้ ยคาแปล ปเทสุ เพราะเป็นบทที่รวมกันอยู่ และจะต้องถูกถอนหรือ จะต้องถูกแยกออก (นิทฺธารณ) และคาว่า “แห่ง” เป็นการแปลออกอายตนิบาตของบทฉัฏฐีวิภัตติ คือ ปทสฺส ฯลฯ ซึง่ เปน็ บททก่ี ลา่ วถอนหรือบทถอนออก (นทิ ธฺ ารณิย) ๑๗ คาวา่ ปทสสฺ น้ี เปน็ บทเพ่มิ เข้ามารบั อิติ ท่ีบทบาลีมาติกา (บทต้ัง) แต่ยังมีบทเพิ่มรับ อิติ อีกหลายอยา่ ง ดังนี้ (๑) ถา้ บทบาลีมาติกา บทเดยี ว ให้เพม่ิ ปทสสฺ (แห่งบท...) (๒) ถ้าบทบาลมี าติกา ๒ บท ให้เพิ่ม ปททฺวยสสฺ (แห่งหมวดสองแห่งบท...) (๓) ถา้ บทบาลีมาติกา ๓ บทข้นึ ไป (แต่ไม่ครบบาทคาถา) ให้เพ่มิ ปทาน (แหง่ บท ท. ...) (๔) ถา้ บทบาลีมาติกาเปน็ ๑ บาทคาถา ใหเ้ พิม่ คาถาปาทสสฺ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) (๕) ถา้ บทบาลมี าติกาเป็น ๒ บาทคาถา ให้เพมิ่ คาถาปาททฺวยสฺส (แหง่ หมวดสองแหง่ บาทแหง่ พระ คาถา)
๓๒๒ (๑) กลุม่ คาหรือศัพท์ท่ใี ชเ้ ปน็ ประธาน กลมุ่ คาหรอื ศพั ทท์ ี่ใช้เป็นประธาน ปาโ = อ. พระบาลี ปา เสโส = อ. พระบาลที เี่ หลอื ตสฺสตฺโถ = อ. เน้ือความแห่งคาอนั เปน็ พระคาถาน้ัน อตฺโถ = อ. เนื้อความ, อ. อธบิ าย อยมตฺโถ = อ. เนอ้ื ความนี้ ปทจเฺ ฉโท = อ. การตัดซึ่งบท สทฺโท = อ. ศัพท์ วจน = อ. คา เอต (วจน) = อ. คาน่ัน (วิคฺคโห) = อ. วิเคราะห์ (วินิจฺฉโย) = อ. วินิจฉยั (๒) กลุ่มคาหรือศพั ทท์ ่ใี ชเ้ ป็นวิกตกิ ัตตา (ยกเวน้ อติ ิ ศัพท)์ กลมุ่ คาหรอื ศัพท์ท่ใี ชเ้ ป็นวกิ ตกิ ัตตา (ยกเวน้ อิติ ศพั ท์) นปิ าโต = เปน็ นบิ าต นปิ าตมตฺต = สักวา่ เป็นนิบาต วจน = เป็นคา ลงิ คฺ วปิ ลลฺ าโส = เป็นลงิ ควปิ ัลลาส อธวิ จน = เป็นช่อื นาม = เป็นชื่อ อิติ๑๘ = ชื่อวา่ ๑๘ อิติ ศพั ท์ โดยท่ัวไปแปลว่า “...ดังน้ี” และจะสัมพนั ธ์เข้ากับศัพท์ภายนอก อิติ, แต่ อิติ ศพั ท์ ในท่ีน้ีใช้คุม บทบาลีมาติกาซ่ึงเป็นประธานในคาถา แปลว่า “ช่ือว่า” เรียกชื่อทางสัมพันธ์ยว่า “สญฺ าโชตก” เข้ากับบทบาลี มาติกาที่คุมอยู่นั้น เช่น ตตฺถ อานนฺโทติ ตุฏฺ ิ. (๕/๙๓) อิติ ศัพท์ท่ีคุมบทวา่ “อานนฺโท” สัมพันธ์ว่า “สญฺ าโชตก” เข้ากับ “อานนฺโท” ฯลฯ
๓๒๓ (๓) กลุม่ กรยิ าที่ใช้คมุ พากย์ กลุ่มกรยิ าท่ีใช้คมุ พากย์ วจุ ฺจติ = (อนั ...) ยอ่ มกล่าว อธิปเฺ ปโต = (อนั ...) ประสงค์เอาแลว้ คหโิ ต = (อนั ...) ถือเอาแลว้ ลพฺภติ = (อัน...) ย่อมได้ เวทติ พฺโพ = (อนั ...) พึงทราบ อาลปติ = ยอ่ มเรยี ก ทสฺเสติ = ย่อมแสดง ทีเปติ = ย่อมแสดง เม่ือผู้แปลได้กาหนดกลุ่มคา หรือศัพท์และกริยาดังกล่าวแล้ว จึงควรแปลตามลักษณะ โครงสร้าง (Structure) ของอรรถกถาที่จะตอ้ งแปลโดยไมต่ ั้งอรรถตอ่ ไป เชน่ ตตถฺ คพฺภนฺติ อธิ มนสุ ฺสคพโฺ ภว อธิปฺเปโต. (๕/๓๔) แปลโดยพยัญชนะ อ. สัตว์ ผู้เกิดแลว้ ในครรภ์ของมนุษย์เทียว อนั พระผ้มู พี ระภาค ทรงประสงคเ์ อาแล้ว ในบทนวี้ ่า คพภฺ ดงั น้ี ในพระคาถานนั้ แปลโดยอรรถ ครรภ์มนุษย์นั่นเอง พระผู้มพี ระภาคทรงประสงคเ์ อาในบทว่า คพภฺ น้ี ในพระคาถา นน้ั ตตฺถ กิญจฺ าปิ “มโนติ อวเิ สเสน สพพฺ มฺปิ จตุภมู ิกจิตฺต วุจจฺ ติ. (๑/๓๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. จติ อนั เปน็ ไปในภมู สิ ี่ แมท้ ้งั ปวง อันบณั ฑติ ย่อมเรยี กวา่ อ.ใจ ดงั นี้ ในพระคาถาน้นั แปลโดยอรรถ จิตอันเป็นไปในภมู สิ ่ี แมท้ กุ ดวง บัณฑติ เรียกว่า ใจ ในพระคาถาน้ัน
๓๒๔ ๑๕.๑๖ สรปุ ทา้ ยบท การแปลบาลี คือ การถ่ายทอดความหมายจากภาษาบาลีไปยังอีกภาษาหนึ่ง โดยความหมาย หรือข้อความที่ถ่ายทอดแล้วนั้น มีใจความครบถ้วนตรงตามต้นฉบับทุกประการ ฉะน้ัน การแปลบาลี เปน็ ไทย ก็คือการถ่ายทอดความหมายหรือข้อความจากภาษาบาลเี ปน็ ภาษาไทยโดยมีใจความครบถว้ น ตรงตามตน้ ฉบบั ภาษาบาลีทุกประการ การแปลบาลเี ป็นไทยน้ี แบ่งยอ่ ยตามวิธีการแปลท่ถี ือปฏิบตั ิกันอยใู่ นวงการศกึ ษาไทยปัจจบุ ันได้ ๓ วธิ ี ได้แก่ ๑) การแปลโดยยกศพั ท์ ๒) การแปลโดยพยญั ชนะ และ ๓) การแปลโดยอรรถ หลักการแปลบาลีเป็นไทย อาจเรียกว่า หลักการแปลส่วนต่างๆ ของประโยคบาลีตามลาดับ ๙ ประการ ซึ่งถือว่าเป็นหลักที่สาคัญมาก ท่ีผู้แปลจะต้องกาหนดจดจาไว้เพื่อการแปลตามลาดับ ได้แก่ ๑) อาลปนะ ๒) นิบาตต้นขอ้ ความ ๓) กาลสัตตมี (ถ้ามี) ๔) บทประธาน (กัตตกุ ารก) ๕) บทที่เนื่องด้วย บทประธานหรือบทขยายบทประธาน (ถ้ามี) ๖) กริยาในระหว่างและบทที่เน่ืองด้วยกริยาในระหว่าง (ถ้ามี) ๗) ประโยคแทรก (ถ้ามี) ๘) กริยาคุมพากย์ (ถ้ามี) และ ๙) บทท่ีเน่ืองด้วยกริยาคุมพากย์หรือบท ขยายกริยาคุมพากย์ (ถ้าม)ี หลักการแปลบาลีเป็นไทยดังกล่าวน้ี เป็นหลักเกณฑ์การแปลทั่วไป ถ้าเป็นการแปลคาถาหรือ ฉันท์ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่นิยมแปลล้ม ย, ต หรือแปลประโยค ต ไปหาประโยค ย และคาว่า “คาถา” ท่ีพระพุทธเจ้าตรัส นิยมแปลว่า “พระคาถา” (เป็นราชาศัพท์) ส่วนคาว่า “คาถา” ที่พระ สาวก ฤาษี หรือเทวดา เป็นต้น กล่าว นิยมแปลว่า “คาถา” (ไมใ่ ช่พระคาถา)
๓๒๕ แบบฝกึ หดั ท้ายบทท่ี ๑๕ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๕.๑ (การแปลประโยคตามหลกั การแปลตามลาดับ) ให้แปลประโยคตอ่ ไปน้เี ป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. สามิ เอโก ปตุ ฺโต ชาโต. (๒/๗๕) ๒. เตนหิ ภเณ เสฺว (ตฺว) (เถร) โภเชหิ. ๓. (ตฺว) วเทหิ ตาว อาวโุ ส ปาลิต. (๑/๑๐) ๔. ภนเฺ ต อยฺยสสฺ กริ อกฺขี วาโต วชิ ฌฺ ต.ิ (๑/๙) ๕. ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปรสิ มชเฺ ฌ ธมฺม เทเสติ. (๑/๔๖) ๖. พทุ โฺ ธ โลเก อปุ ปฺ นฺโน (๑/๘๕) ๗. อญฺ ตโร ภิกฺขุ คาม ปิณฺฑาย ปวิฏฺโ . ๘. สเจ ภนเฺ ต อยฺโย อมิ สฺมึ าเน เอว วหิ รนฺโต ปพฺพชติ กจิ ฺจ มตถฺ ก ปาเปต สกฺขิสฺสติ. (๑/๖๓) ๙. ตสฺมา ตทวิ ส สตฺถา ตสสฺ อปุ นสิ สฺ ย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนโฺ ต อนุปพุ ฺพีกถ กเถสิ. (๑/๕) ๑๐. โย พาเล เสวต,ิ โส วินาส ปาปุณาต.ิ ๑๑. เอว สตฺถา เตส ภิกขฺ ูน ธมฺม เทเสส.ิ ๑๒. โส กริ ภนฺเต เสฏฺฐี ปุตฺต ลภติ วฺ า ปุตฺเต มเต วิหาร อคมาสิ. คาศัพท์ท่ีควรทราบ ๑. ชาโต = เกิดแลว้ ๑๕. ปพฺพชติ กิจฺจ = ยงั กจิ แห่งบรรพชิต ๒. โภเชหิ = ยงั ...จงให้ฉนั ๑๖. มตถฺ ก = ซง่ึ ทสี่ ดุ ๓. วเทหิ = จงกล่าว ๑๗. ปาเปตุ = เพื่ออนั ยงั ...ให้ถึง ๔. อกขฺ ี = ซ่ึงนัยน์ตา ท. ๑๘. สกฺขิสสฺ ติ = จกั อาจ ๕. วาโต = อ. ลม ๑๙. ตทวิ ส = ในวนั น้นั ๖. วชิ ฌฺ ติ = ย่อมเสียดแทง ๒๐. โอโลเกตฺวา = ทรงแลดูแลว้ ๗. ปริสมชฺเฌ = ในทา่ มกลางแหง่ บริษทั ๒๑. อนปุ พุ พฺ ีกถ = ซึง่ วาจาเป็นเครอื่ งกล่าวโดยลาดบั ๘. เทเสติ = ย่อมทรงแสดง ๒๒. กเถสิ = ตรสั แล้ว ๙. อุปปฺ นฺโน= อุบัติแล้ว ๒๓. เสวติ = ย่อมคบ ๑๐. อญฺ ตโร= รปู ใดรปู หน่ึง ๒๔. ปาปุณาติ = ย่อมถงึ ๑๑. ปณิ ฑฺ าย = เพือ่ บณิ ฑะ ๒๕. ลภติ วฺ า = ได้แล้ว ๑๒. ปวิฏฺโ = เข้าไปแลว้ ๒๖. มเต = ตายแลว้ ๑๓. อยฺโย = อ. พระผเู้ ป็นเจ้า ๒๗. อคมาสิ = ไดไ้ ปแลว้ ๑๔. วิหรนโฺ ต = อยู่ ๆ
๓๒๖ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๕.๒ (การแปลอาลปนะ) ให้แปลประโยคต่อไปนเ้ี ปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. (ตมุ ฺเห) มา จนิ ตฺ ยิตฺถ อานนฺท. ๒. อยฺเย (โฆสโก) สยเน นปิ นฺโน นทิ ทฺ ายติ. (๒/๒๑) ๓. อมฺโภ (ตวฺ ) มา เอว วท. (๓/๙๔) ๔. เตนหิ ภเณ เสฺว (ตฺว) (เถร) โภเชหิ. ๕. (ตฺว) ติฏฺ เร. ๖. อมโฺ ภ กุมารา เอส สาลกิ โปตโก, คณหฺ ถ (ตุมเฺ ห) น. (๕/๓๐)
๓๒๗ แบบฝกึ หัดท่ี ๑๕.๓ (การแปลนิบาตต้นขอ้ ความ) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปน้ีเปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. ภนเฺ ต อยยฺ สสฺ กริ อกฺขี วาโต วิชฌฺ ต.ิ (๑/๙) ๒. ภนฺเต สเจ อยยฺ า อิม เตมาส อธิ ( าเน) วเสยฺย. (๑/๘) ๓. พทุ ฺธา จ นาม น สกกฺ า สเ น อาราเธตุ. (๑/ ๘) คาศัพทท์ ่คี วรทราบ ๑. วิชฺฌติ = ยอ่ มเสียดแทง ๔. สเ น = ผู้โอ้อวด ๒. วเสยยฺ = พึงอยู่ ๕. อาราเธตุ = เพ่อื อันใหท้ รงยนิ ดี ๓. น สกฺกา = ไม่อาจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430