Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เฉลยข้อสอบป.ธ.3วิชาไวยากรณ์ฉบับอัพเดต62

เฉลยข้อสอบป.ธ.3วิชาไวยากรณ์ฉบับอัพเดต62

Published by phrapradisth, 2019-12-05 01:23:07

Description: เฉลยข้อสอบป.ธ.3วิชาไวยากรณ์ฉบับอัพเดต62

Search

Read the Text Version

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๒ ๕. ต ปัจจยั ในกิรยิ ากิตก์ในที่เช่นไร ใชบ้ อกกตั ตุวาจก ? ในท่เี ช่นไร ใช้ บอกกัมมวาจก ? จงตอบพร้อมทง้ั ยกตัวอย่างประกอบ ? สขุ านุภวน (ฐาน), สุภานุปสฺสี ลงปัจจัยอะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงตั้ง วเิ คราะหม์ าด.ู ๕. ในท่ีลงหลังอกัมมธาตุ บอกกัตตุวาจก ตัวอย่าง มโต ฐิโต นิสินฺโน เปน็ ต้น ในท่ีลงหลังสกัมมธาตุ บอกกัมมวาจก ตัวอย่าง กโต หโต ทิฏฺโฐ เป็นตน้ สุขำนุภำวน (ฐำน) ลง ยุ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป อธิกรณสาธนะ ตั้งวเิ คราะห์ว่า สุข อนุ ภวติ เอตฺถาติ สุขานภุ วน (ฐาน). สุภำนุปสฺสี ลง ณี ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ลงในอรรถ แหง่ ตัสสลี ะ ต้งั วิเคราะห์ว่า สุภ อนปุ สฺสติ สีเลนาติ สุภานุปสสฺ ี หรือเป็นสมาสรูป ตัสสีลสาธนะ ตั้งวิเคราะห์ว่า สุภ อนุปสฺสํิตุ สลี มสสฺ าติ สภุ านุปสฺสี ฯ ๖. กัมมธารยสมาสกับตัปปุริสสมาส ต่างกันอย่างไร ? จงตอบพร้อม ท้ังยกตวั อย่างประกอบ ? อญญฺ าณาภภิ โู ต (ปุริโส), สวิญฺญาณก (ธน) เปน็ สมาสอะไรบ้าง ? จงตั้งวิเคราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. ตา่ งกันอย่างนี้ คอื กมั มธารยสมาส มวี ิภตั ติและวจนะเสมอกนั บทหนึง่ เป็นประธาน คือ เป็นนามนาม บทหน่ึงเป็นวิเสสนะ คือเป็น คุณนาม หรือเป็นคุณนามท้ัง ๒ บท มีบทอื่นเป็นประธานที่ท่าน ย่อเป็น บท

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๓ เดียวกัน ตวั อย่าง มหนฺโต ปุรโิ ส - มหาปุริโส, ขตตฺ ิยา กญฺญา - ขตฺติ ยกญฺญา, นลี อุปปฺ ล - นีลุปปฺ ล เปน็ ตน้ ฯ ส่วน ตัปปุริสสมาส มีวิภัตติและวจนะ ไม่เสมอกัน ตัวอย่าง สขุ ปตฺโต - สุขปปฺ ตโฺ ต, สลฺเลน วทิ ฺโธ - สลฺลวทิ โฺ ธ, รญฺโญ ปตุ ฺโต - ราช ปุตโฺ ต เป็นต้น ฯ อญฺญำณำภิภูโต (ปุริโส) เป็นตติยาตัปปุริสสมาส มี น บุพพบท กมั มธารยสมาส เปน็ ภายใน ตั้งวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั นี้ น. บพุ . กมั . ว.ิ น ญาณํ อญญฺ าณํ ต. ตัป. วิ. อญฺญาเณน อภิภโู ต อญฺญาณาภภิ โู ต (ปุรโิ ส)ฯ สวิญญฺ ำณก (ธน) เป็นสหบุพพบท พหุพพิหิสมาส ตัง้ วิเคราะห์ว่า สห วญิ ฺญาเณน ย วตฺตตีติ สวญิ ฺญาณก (ธน) ฯ ๗. วิภาคตัทธิตมีปัจจัยเท่าไร ? อะไรบ้าง ? ปัจจัยเหล่านั้น นิยมใช้ ประกอบกบั ศพั ท์ชนิดไหน ? อุฏฐฺ านวา, โสสานกิ า (ภิกฺขู) ลงปัจจัย อะไร ? ในตัทธติ ไหน ? จงต้งั วเิ คราะหม์ าดู ? ๗. มี ๒ ตวั ฯ คอื ธา โส ฯ นิยมใช้ประกอบกับศัพท์ดงั ต่อไปนค้ี ือ ธำ ปจั จยั นยิ มใชป้ ระกอบกับศัพท์ที่เป็นปกติสังขยา เชน่ เอกธา ทฺวิธา ติธา เป็นต้น โส ปัจจัย นิยมใช้ประกอบกับศัพท์ที่เป็นนามนาม เช่น สุตฺตโส พยญชฺ นโส ปทโส เปน็ ตน้ .

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๔ อุฏฺฐำนวำ ลง วนฺตุ ปัจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต ต้ังวิเคราะห์ว่า อุฏฐฺ าน อสสฺ อตฺถีติ อฏุ ฺฐานวา. โสสำนกิ ำ (ภกิ ขฺ ู) ลง ณกิ ปัจจยั ในตรตยาทิตัทธิต ตั้งวเิ คราะห์ ว่า สุสาเน วสนตฺ ีติ โสสานกิ า (ภิกขฺ )ู . พระราชปรยิ ตั เิ วที เขมจารี วัดทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๕ ประโยค ป.ธ. ๓ ปญั หำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบวนั ท่ี ๑๓ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๔๗ --------------------------------- ๑. อักขระพวกไหนช่อื วา่ นสิ ยั ? พวกไหนชื่อวา่ นสิ สิต ? เพราะเหตุไร จึงเรยี กอยา่ งน้ัน ? ๑. อักขระ ๘ ตัว ต้ังแต่ อ จนถึง โอ ชื่อว่า สระ ออกเสียงได้ตามลาพัง ตัวเองและทาพยัญชนะให้ออกเสียงได้ ช่ือว่า นิสสัย เพราะเป็นที่ อาศัยของพยัญชนะ อักขระที่เหลือจากสระ ๓๓ ตัว น้ัน มี ก เป็นต้น มีนิคคหิตเป็น ที่สุด ช่ือว่า พยัญชนะๆ แปลว่าทาเน้ือความให้ปรากฏ ชื่อว่า นิสสิต เพราะต้องอาศัยสระจงึ ออกเสียงได้ ฯ ๒. ในวิการสระสนธิ วิการแบ่งเป็นกอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? ยโถทเก จัดเข้า ในอย่างไหน ? เกวลญจฺ สสฺ าห เปน็ สนธิอะไร ? ตัดและต่ออย่างไร ? ๒. ในสระสนธิ วิการ แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ วิการในเบ้ืองต้น ๑ วิการใน เบือ้ งปลาย ๑ ฯ ยโถทเก จัดเข้าในวกิ ารเบ้ืองปลาย ฯ เกวลญจฺ สสฺ ำห เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตัดเป็น เกวล-จ-อสสฺ -อห

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๖ ระหว่าง เกวล-จ เม่ือพยัญชนะอยู่หลังนิคคหิตอยู่หน้า แปลง นิคคหิตเป็นพยัญชนะที่สุดวรรคได้ทั้ง ๕ ตามสมควร ในท่ีนี้แปลง นคิ คหิต เปน็ ญ ต่อเป็น เกวลญจฺ ระหว่าง เกวลญฺจ-อสฺส ถ้าสระทั้ง ๒ มีพยัญชนะคั่นในระหว่าง ลบสระเบอื้ งตน้ คอื อ ท่ี เกวลญจฺ เสีย ตอ่ เป็น เกวลญฺจสสฺ ระหว่าง เกวลญฺจสฺส-อห ถ้าสระท้ัง ๒ คือ สระหน้าและสระหลัง มีรปู เสมอกนั คอื เป็น อ หรือ อิ หรือ อุ ทั้ง ๒ ตัว เม่ือลบแล้วต้องทีฆะสระท่ีไม่ได้ลบ คือ ทีฆะ อ ท่ี อห เป็น อา ต่อเป็น เกวลญฺจสสฺ าห ฯ ๓. จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ก. เพราะเหตุไร ? คุณนามจงึ เป็นได้ทงั้ ๓ ลิงค์ ? ข. ในอติ ถีลงิ ค์ มีการันตเ์ ท่าไร ? อะไรบ้าง ? ค. ภวนฺโต เปน็ วิภตั ติอะไรไดบ้ ้าง ? จ. เอต ศัพท์เปน็ สัพพนามชนิดไหน ? ง. อปุ สคั มีวธิ ีใชอ้ ย่างไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามตอ่ ไปนี้ คือ ก. เพราะคุณนามเป็นนามที่แสดงลักษณะของนามนาม สาหรับ หมายให้รู้ว่านามนามน้ัน ดีหรือว่าชั่ว เป็นต้น เมื่อนามนาม สามารถเป็นได้ ๓ ลิงค์ คณุ นามทแ่ี สดงลักษณะของนามนามก็ ยอ่ มเป็นได้ ๓ ลิงค์ตามนามนามเหมอื นกัน ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๗ ข. ในอติ ถลี งิ ค์มกี ารนั ต์ ๕ คอื อา อิ อี อุ อู ฯ ค. ภควนฺโต เป็นได้ ๓ วิภัตติคือปฐมาวิภัตติ ๑ ทุติยาวิภัตติ ๑ อาลปนะวภิ ัตติ๑ ฝ่ายพหวุ จนะ ฯ จ. เอต ศัพท์เปน็ นิยมวิเสสนสัพพนาม ฯ ง. อุปสัคสาหรับใช้นาหน้านามและกิริยาให้วิเศษขึ้น เมื่อนาหน้า นามมีอาการคล้ายคุณศัพท์ เม่ือนาหน้ากิริยามีอาการคล้าย กริ ิยาวิเสสนะ ฯ ๔. ในอาขยาต อ อาคม และ อิ อาคม ใชป้ ระกอบกับกิริยาได้ทว่ั ไปหรือ มีข้อจากัดอย่างไร ? อวมญฺเญถ ในคาว่า “มาวมญฺเญถ ปาปสฺส” ประกอบดว้ ยเครือ่ งปรงุ อะไรบ้าง ? ๔. ใชป้ ระกอบกับกริ ิยาได้ไม่ทัว่ ไป มีจากดั ดังน้ี อ อำคม ใช้ประกอบกับกิริยาหมวด หิยัตตนีวิภัตติ อัชชัตตนี วภิ ัตติ และกาลาติปตั ตวิ ภิ ตั ติ อิ อำคม ใช้ประกอบกับกิริยาหมวด อัชชัตตนีวิภัตติ ภวิสฺสนฺติ วภิ ตั ติ และกาลาติปัตตวิ ิภัตติ ในหมวดธาตทุ ัง้ ปวง อวมญฺเญถ ประกอบด้วย อว บทหน้า มน ธาตุ ลง ย ปัจจัย แปลง ย กับท่ีสุดธาตุ คือ น เป็น ญฺญ ลง เอถ วิภัตติหมวดสัตตมี สาเร็จเป็น อวมญฺเญถ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๘ ๕. ในสาธนะท้ัง ๗ น้ัน สาธนะไหนเป็นได้ก่ีรูป อะไรบ้าง ? รโชหรณ (วตฺถ) ,ธมฺมชีวี ลงปัจจัยอะไร ? เป็นรูปและสานะอะไร ? จงตั้ง วเิ คราะหม์ าดู ? ๕. ในสาธนะทงั้ ๗ นัน้ กัตตสุ าธนะและอปทานสาธนะ เป็นกตั ตรุ ูปอยา่ ง เดียว ฯ กัมมสาธนะ กรณสาธนะ สมั ปทานสาธนะ อธกิ รณสาธสะ เปน็ ได้ ทง้ั กัตตรูปและกมั มรปู ฯส่วนภาวสาธนะ เปน็ ภาวรปู อยา่ งเดียว ฯ รโชหรณ (วตฺถ) ลง ยุ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ต้ัง วิเคราะหว์ ่า รช หรตตี ิ รโชหรณ (วตฺถ) หรอื ตั้งวิเคราะหว์ า่ รช หรติ เตนาติ รโชหรณ (วตถฺ ) ฯ ธมฺมชีวี ลง ณี ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ลงในอรรถ แหง่ ตัสสีละ ตัง้ วเิ คระห์วา่ ธมฺเมน ชวี ติ สีเลนาติ ธมมฺ ชีวี หรือเป็น สมาสรูปตัสสีละสาธนะ วิเคราะห์วา่ ธมฺเมน ชีวํติ ุ สีลมสสฺ าติ ธมมฺ ชวี ี ฯ ๖. สมาสว่าโดยกิจมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร ? มรณภยภีโต (ปรุ ิโส) ,อเปตวญิ ฺญาโณ (กาโย) เปน็ สมาสอะไร ? จงต้งั วเิ คราะห์ตามลาดับมาดู ฯ ๖. สมาสวา่ โดยกิจมี ๒ อยา่ ง คอื ลุตตสมาส ๑ อลตุ ตสมาส ๑ ต่างกันอย่างนี้ คือ ลุตตสมาส ได้แก่ สมาสท่ีท่านลบวิภัตติของ ศพั ทห์ น้าเสยี แล้วย่อเข้าเปน็ บทเดยี วกัน เช่น กฐนิ สสฺ ทุสฺส เปน็ กฐิน

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๒๙๙ ทุสฺส ผ้าเพื่อกฐิน เป็นต้น อลุตตสมาส ได้แก่ สมาสที่ท่านไม่ได้ลบ วิภัตติของศัพท์หน้า คงไว้ตามเดิม เช่น ทูเร นิทาน เป็น ทูเรนิทาน วัตถุมีนิทานในทไ่ี กล เป็นตน้ ฯ มรณภยภีโต (ปุริโส) เป็นปัญจมีตัปปุริสสมาส มีอวธารณ บพุ พบท กัมมธารยสมาส เป็นภายใน ตั้งวิเคราะหต์ ามลาดบั ดงั น้ี อว.บพุ พ.กัมม. วิ มรณ เอว ภย มรณภย ปญจฺ .ตปฺ. ว.ิ มรณภยสมฺ า ภโี ต มรณภยภีโต (ปรุ ิโส) ฯ อเปตวิญฺญำโณ (กำโย) เป็นปัญจมีตัปปุริสสมาส วิ. อเปต วิญฺญาณ ยสมฺ า โส อเปตวญิ ฺญาโณ (กาโย) ฯ ๗. ปูรณตัทธิต มีปัจจัยเท่าไร ? อะไรบ้าง ? ปณฺณรสี ,พาลฺย , โสกิณี (ปชา) ลงปจั จัยอะไร ? ในตัทธิตไหน ? จงตัง้ วเิ คราะหม์ าดู ๗. ในปูรณตัทธิต มีปัจจยั ๕ ตวั ฯ คอื ติย ถ ฐ ม อี ฯ ปณณฺ รสี ลง อี ปัจจยั ในปรู ณตทั ธติ วิ. ปณฺณรสนฺน ปรู ณี ปณณฺ รสี พำลยฺ ลง ณฺย ปัจจัย ในภาวตัทธิต วิ. พาลสฺส ภาโว พาลฺย โสกินี (ปชำ) ลง อี ปัจจยั ในตทัสสัตถติ ัทธติ ว.ิ โสโก อสสฺ อตถฺ ตี ิ โสกนิ ี (ปชา) (ทเี่ ปน็ โสกนิ ี ลง อินี เครื่องหมายอิตถีลงิ ค)์ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๐ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลไี วยำกรณ์ สอบวนั ที่ ๗ มนี ำคม ๒๕๔๘ ---------------- ๑. ลักษณะที่จะประกอบสังโยคได้ เฉพาะในพยัญชนะวรรคมีหลัก อย่างไร ? อหิงฺสา ,อพฺปาเทสิ, วุฏฺโฒ, เอกกฺคตา, ปนฺยาญิ ประกอบ สงั โยคผดิ หรอื ถูก ? ถ้าผดิ จงแกใ้ หถ้ ูก ฯ ๑. ลักษณะท่ีจะประกอบสังโยคได้ เฉพาะในพยัญชนะวรรคมหี ลกั ดังนี้ คือ พยญั ชนะท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยญั ชนะท่ี ๑ ที่ ๒ ในวรรคของตนได้ , พยัญชนะที่ ๓ ซอ้ นหน้าพยญั ชนะท่ี ๓ ที่ ๔ ในวรรคของตนได้, พยัญชนะท่ี ๕ สุดวรรค ซ้อนหน้าพยัญชนะในวรรคของตนได้ ท้ัง ๕ ตัว ยกเสยี แต่ ง ซงึ่ เป็นตวั สะกดอย่างเดียวมไิ ด้มีสาเนียงใน ภาษาบาลี ซ้อนหนา้ ตวั เองไม่ได้ ฯ อหิงสฺ ำ ประกอบสงั โยคผิด แก้ใหถ้ กู เป็น อหึสา อพฺปำเทสิ ประกอบสังโยคผดิ แก้ให้ถูกเปน็ อุปฺปาเทสิ วฏุ ฺโฒ ประกอบสังโยคผิด แก้ใหถ้ ูกเป็น วฑุ โฺ ฒ เอกกฺคตำ ประกอบสังโยคผิด แกใ้ ห้ถูกเปน็ เอกคฺคตา ปนฺยำญิ ประกอบสงั โยคผิด แก้ใหถ้ กู เป็น ปญฺญายิ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๑ ๒. โลปนิคคหิตสนธิ ในท่ีเช่นไร ? จึงลบนิคคหิตได้ ? จงตอบพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างมาประกอบด้วย ? สมปฺ ทเมเวต เปน็ สนธิอะไร ? ตัดและ ต่ออยา่ งไร ? ๒. ในที่เช่นน้ีคือ เมื่อมีสระหรือพยัญชนะอยู่เบ้ืองหลัง ลบนิคคหิตซึ่งอยู่ หน้าบา้ งก็ได้ ฯ ตัวอย่างที่มีสระอยู่เบ้ืองหลัง เช่น ตาส-อห เป็น ตาสาห,วิทูน- อคคฺ เปน็ วทิ ูนคฺค ตวั อย่างทม่ี ีพยญั ชนะอยเู่ บือ้ งหลงั เช่น อริยสจจฺ าน- ทสฺสน เป็น อริสจจฺ านทสสฺ น , พุทธฺ าน-สาสน เปน็ พุทธฺ านสาสน ฯ สมฺปทำนเมเวต เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตัด เปน็ สมฺปท-เอว ระหว่าง สมฺปท-เอว นคิ คหติ อยูห่ นา้ สระอยูหลงั แปลงนิคคหิต เปน็ ม ตอ่ เปน็ สมปฺ ทเมว ระหว่าง สมฺปทเมว-เอต ถ้าสระหน้าเป็นรัสสะ สระหลังเป็น ทีฆะ ลบสระหน้า คือลบ อ ที่ สมฺปทานเมว เสีย ต่อเป็น สมฺปทาน เมเวต ฯ ๓.จงตอบคาถามดังต่อไปน้ี ก. ราชคห เปน็ นามนามชนดิ ไหน ? ข. ศัพทม์ โนคณะเมือ่ เขา้ สมาสแล้วนิยมทาอยา่ งไร ? ค. อาสฺมโต เป็นวิภตั ตอิ ะไรไดบ้ า้ ง ? จ. อมฺห ศัพทเ์ ปน็ สพั พนามชนดิ ไหน ?

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๒ ง. โต ตฺถ ปัจจยั เปน็ เครอ่ื งหมายวภิ ตั ตอิ ะไร ? ๓.ได้ตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี ก. ราชคห เป็นนามนามชนดิ อสาธารณนาม ฯ ข. ศัพท์มโนคณะ เม่อื เข้าสมาสแล้วนิยมเอาสระทส่ี ุดของตนเป็น โอ ไดเ้ หมือนคาว่า มโนคโณ หม่แู หง่ คณะ อโยมย ของบุคคล ทาด้วยเหล็ก เปน็ ต้น เวน้ วจ ศัพท์ ไม่นยิ มทาเช่นน้นั แต่นิยม เอาสระที่สุดของตนเป็น อี เหมือนคาว่า วจีกมฺม วจีทฺวาร เปน็ ตน้ ฯ ค. อายสฺโต เปน็ ได้ ๒ วิภัตติคอื จตุตถวี ภิ ตั ติและฉฏั ฐิวิภตั ติ ฯ จ. อมฺห ศัพท์ เป็นสัพพนามชนดิ ปุริสสพั พนาม ฯ ง. โต ปจั จยั เปน็ เครือ่ งหมายตติยาวภิ ัตติและปัญจมีวิภตั ติ สว่ น ตถฺ ปัจจัย เปน็ เครือ่ งหมายสัตตมีวิภัตติ ฯ ๔. ในอาขยาต แบ่งธาตอุ อกเป็นก่ชี นดิ ? ชนดิ ไหนเปน็ ได้กว่ี าจก ? อุทปาทิ และ วิโสธเย ในคาว่า “ตสฺมา สีล วิโสธเย” ประกอบด้วยเครื่องปรุง อะไรบา้ ง ? ๔. ในอาขยาตท่านแบ่งธาตุออกเป็น ๒ ชนิดคือ สกัมมธาตุ และ อกัมม ธาตุ ฯ สกัมมธาตุ เป็นได้ ๔ วาจก คือ กัตตุวาจก กัมมวาจก เหตุกัตตุ วาจก และเหตุกมั มวาจก

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๓ อกัมมธาตุ เป็นได้ ๓ วาจก คือ กัตตุวาจก ภาววาจก และ เหตุกตั ตวุ าจก ฯ อุทปำทิ ประกอบด้วยเครื่องปรุงคือ อุ บทหน้า ปท ธาตุ ลง อ ปัจจยั แปลง อี อัชชัตตนี เปน็ อิ แล้ว ลง อ อาคม หนา้ ธาตุ ได้ รูปเป็น อ-ุ อปาทิ แล้วลง ท อาคม สาเร็จรูปเป็น อทุ ปาทิ ฯ วิโสธเย ประกอบด้วยเคร่ืองปรุงคือ วิ บทหน้า สุธ ธาตุ ลง ณย ปัจจยั ปัจจยั ที่เนอ่ื งด้วย ณ พฤธ์ิ อุ ทีส่ ุด สธุ เปน็ โอ ลง เอยยฺ สตั ตมี วิภตั ติ ลบ เอยยฺ คงไว้แต่ เอ สาเรจ็ รปู เป็น วโิ สธเย ฯ ๕. ปัจจัยนามกิตก์ แบง่ เป็นกีพ่ วก ? และใชต้ ่างกนั อย่างไร ? จวี รปารุปน (ฐาน), โคโป, ทุลฺลโภ ลงปัจจัยอะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงตั้งวเิ คราะห์มาดู ? ๕. ปัจจยั แห่งนามกติ ก์แบง่ เป็น ๓ พวก คือ กติ ปัจจัย ใช้ประกอบกับศัพที่เป็นกตั ตรุ ปู อยา่ งเดียว กจิ จปัจจัย ใช้ประกอบกบั ศัพท์ทีเ่ ป็นกมั มรปู และภาวรปู กิตกจิ จปัจจัย ใชป้ ระกอบกับศัพทแ์ ม้ทัง้ ๓ เหล่าคอื กัตตรุ ปู กัมมรปู ภาวรูป ฯ จีวรปำรุปน (ฐำน) เป็น กัตตุรูป อธิกรณสาธนะ ต้ังวิเคราะห์ว่า จีวร ปารุปติ เอตฺถาติ จวี รปารปุ (ฐาน) ฯ โคโป ลง กวฺ ิ ปัจจัย เปน็ กัตตรุ ปู กัตตสุ าธนะ ตง้ั วเิ คราะห์ว่า คาโว ปาเลตีติ โคโป ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๔ ทุลฺลโภ ลง ข ปัจจัย เป็นกัมมรูป กัมมสาธนะ ต้ังวิเคราะห์ ว่า ทุกฺเขน ลพภฺ ตีติ ทลุ ฺลโภ ฯ ๖. สมาสเช่นไร ช่ือว่า กัมมธารยสมาส ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? เทวมนุสฺสปูชิโต (สตฺถา) , อนฺโตเคห เป็นสมาสอะไรบ้าง จงตั้ง วเิ คราะห์มาตามลาดับ ? ๖. นามศัพท์ ๒ บท มีวิภัตติและวจนะเป็นอย่างเดียวกัน บทหนึ่งเป็น ประธานคือเป็นนามนาม บทหนึ่งเป็นวิเสสนะ คือเป็นคุณนาม หรือ เป็นเป็นคุณนามท้ัง ๒ บท มีบทอ่ืนเป็นประธาน ที่ท่านย่อเข้าเป็นบท เดยี วกัน ชอื่ วา่ กมั มธารยสมาส ฯ มี ๖ อยา่ งคอื วิเสสนบพุ พฺ บท วเิ สสนตุ ตฺ รบท วเิ สสโนภยบท วิเสสโนปมบท สมฺภาวนบุพพฺ บท อวธารณบพุ พฺ บท ฯ เทวมนุสฺสปชู โิ ต (สตฺถำ) เป็นตติยาตัปปุรสิ สมาส มี อสมาหารท วันทวสมาส เปน็ ท้อง ตง้ั วเิ คราะห์ตามลาดลั ดังนี้ อสมาหาร.ทวัน. ว.ิ เทวา จ มนสุ ฺสา จ เทวมนสุ สฺ า หรือ เทโว จ มนสุ ฺโส จ เทวมนสุ สฺ า ตตยิ าตปั . วิ.เทวมนสุ เฺ สหิ ปูชิโต เทวมนสุ สฺ ปูชโิ ต (สตถฺ า) ฯ อนฺโตเคห เปน็ นบิ าตพปพุ พก อพั ยยีภาวสมาส ตง้ั วเิ คราะหว์ ่า เคหสสฺ อนโฺ ต อนโฺ ต เคห ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๕ ๗. เสฏฐตัทธติ มปี ัจจัยเท่าไร ? อะไรบ้าง ? อรหตฺต, เหรญญฺ โิ ก, อฏฐฺ โม ลงปัจจัยอะไร ? ในตัทธิตไหน ? จงตัง้ วเิ คราะห์มาดู ฯ ๗. เสฏฐตทั ธิต มีปจั จัย ๕ ตัว คอื ตร,ตม,อยิ ิสสฺ ก,อิย,อิฏฐฺ ฯ อรหตฺต ลง ตฺต ปัจจัย ในภาวตัทธิต ตั้งวเิ คราะหว์ า่ อรหโต ภาโว อหรตตฺ ฯ เหรญญฺ ิโก ลง ณกิ ปัจจยั ในตรยาทติ ทั ธติ ต้งั วิเคราะหว์ า่ หริ ญเฺ ญสุ นยิ ุตฺโต เหรญญฺ ิ โก ฯ อฏฺฐโม ลง ม ปัจจยั ในปูรณตทั ธติ ต้งั วเิ คราะห์วา่ อฏฺฐนนฺ ปรู โณ อฏฺฐโม ฯ พระเทพปริยตั มิ นุ ี เขมจารี วดั ทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๖ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบครงั้ ที่ ๒ วนั ที่ ๕ พฤษภำคม ๒๕๔๘ -------------------------------- ๑. ชิวฺหคฺค – ปลายลิ้น เป็นกรณ์ของอักขระอะไรบ้าง ? อักขระ เหลา่ นัน้ เกดิ ในฐานไหน ? เรยี กว่าอะไร ? ๑. ชวิ หฺ คคฺ – ปลายล้ิน เปน็ กรณ์ของอกั ขระ ๗ ตัว คือ ต, ถ, ท, ธ, น, ล, ส ฯ อกั ขระเหลา่ นนั้ เกิดที่ฟนั ฯ เรยี กวา่ ทันตชา ฯ ๒. ในสนธิ การต่อมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? จงตอบพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ ? มยหฺ เมเวโส เป็นสนธอิ ะไร ? ตัดและต่ออย่างไร ? ๒. ในสนธมิ ตี ่อ ๒ อย่าง คือ ตอ่ ศัพท์ท่มี ีวิภัตติให้เน่ืองด้วยศพั ท์ท่ีมวี ิภตั ติ ตัวอย่างเช่น จตฺตาโร – อิเม ตอ่ เป็น จตตฺ าโรเม เป็นต้น ๑ ฯ ต่อบทสมาส ย่ออักษรให้น้อยลง ตวั อย่างเชน่ กต – อุปกาโร ต่อเขา้ เป็น กโตปการโร เป็นตน้ ๑ ฯ มยหฺ เมเวโส เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตัดเป็น มยหฺ – เอว – เอโส ระหว่าง มยฺห นิคคหิตอยู่หน้า ถ้าพยัญชนะอยู่เบ้ืองปลาย แปลงนิคคหิตเป็น ม ตอ่ เป็น มยหฺ เมว

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๗ ระหวา่ ง มยหฺ เมว – เอโส ถา้ สระหนา้ และสระหลงั ไมม่ พี ยญั ชนะ ค่ันในระหวา่ งลบสระหนา้ คือ อ ที่ มยฺหเมว ต่อเปน็ มยฺหเมเวโส ฯ ๓. จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ก. เสยฺโย เป็นคณุ นามชัน้ ไหน ? ข. ในปุงลิงค์ มีการนั ตอ์ ะไรบ้าง ? ค. ปสโว เปน็ วิภตั ติอะไรไดบ้ า้ ง ? ฆ. เอต ศพั ท์ เปน็ สัพพนามชนิดไหน ? ง. ภเณ, เหฏฐา เปน็ นบิ าตบอกอะไร ? ๓. ได้ตอบคาถาม ต่อไปน้ี คือ ก. เสยฺโย เป็นคณุ นามช้ันวเิ สส ฯ ข. ในปุงลงิ ค์มีการันต์ ๕ คือ อ อิ อี อุ อู ฯ ค. ปสโว เป็นได้ ๓ วิภัตติ คือ ปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ และ อาลปนะ ฯ ฆ. เอต ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนดิ นยิ มสัพพนาม ฯ ง. ภเณ เปน็ นิบาตบอกอาลปนะ ส่วน เหฏฺฐา เป็นนิบาตบอกที่ ฯ ๔. อาย, อิย ปัจจยั เปน็ ไปในความอะไร ? ใช้ประกอบกบั อะไร ? ทสสฺ ามิ, และ ปจจฺ สฺโสํสุ ประกอบด้วยเครื่องปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. อาย, อิย ปจั จยั เป็นไปในความประพฤติ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๘ ใช้ประกอบกับนามศัพท์ทั้งท่ีเป็น นามนาม ทั้งที่เป็นคุณนาม ใหเ้ ปน็ กิรยิ าศพั ท์ ฯ ทสฺสำมิ ประกอบด้วยเครื่องปรุง คือ ทา ธาตุ อ ปัจจัย สฺสามิ วภิ ตั ติ หมวดภวสิ สนั ติวิภัตติ สาเร็จรูปเป็น ทสสฺ ามิ ฯ ปจฺจสฺโสํสุ ประกอบด้วยเครื่องปรุง คือ ปฏิ บทหน้า อ บทหน้า สุ ธาตุ ลง อ ปัจจัย ลง ํอุ วิภัตติ หมวดอัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม สาเร็จรูปเป็น ปจจฺ สฺโสํสุ ฯ ๕. กิรยิ ากติ ก์ มเี คร่ืองประกอบตา่ งจากกิรยิ าอาขยาตอยา่ งไร ? หตถฺ ิ มารโก, โพธิ (ญาณ), ปมาโท ลงปัจจัยอะไร ? เป็นรูปและสาธนะ อะไร จงตงั้ วิเคราะห์มาดู ? ๕. กริ ยิ ากิตก์ มีเครือ่ งประกอบต่างจากกิรยิ าอาขยาต คือ ไม่มีบทหน้า และบรุ ุษเท่านั้น ฯ หตฺถิมำรโก ลง ณวุ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กัตุสาธนะ ตั้งวิเคราะห์ วา่ หตถฺ ึ มาเรตตี ิ หตถฺ มิ ารโก ฯ โพธิ (ญำณ) ลง อิ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กรณสาธนะ ตัง้ วิเคราะห์ วา่ พชุ ฌฺ ติ เตนาติ โพธิ (ญาณ) ฯ ปมำโท ลง ณ ปัจจัย เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ตั้งวิเคราะห์ ว่า ปมชชฺ น ปมาโท หรือ เป็นกัตตุรูป กรณสาธนะ ตั้งวิเคราะห์วา่ ปมชฺชติ เตนาติ ปมาโท ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๐๙ ๖. ตัปปรุ สิ มาส กบั อัพยยีภาวสมาส ต่างกันอย่างไร ? ปาปรทโิ ต (ภิกฺขุ), สสาวกสงฺโฆ (ตถาคโต) เป็นสมาสอะไรบ้าง จงตั้งวิเคราะห์มา ตามลาดบั ? ๖. ต่างกันอย่างนี้ คือ นามศัพท์มี อ วิภัตติเป็นต้นในที่สุด ท่านย่อ เข้าด้วยบทเบ้ืองปลาย ช่ือตัปปุริสสมาส สมาสท่ีมีอุปสัคหรือนิบาต อย่หู น้า ชอื่ อพั ยยีภาวสมาส ฯ ปำปรหโิ ต (ภกิ ฺข)ุ เป็นปญั จมตี ปั ปรุ สิ สมาส ต้งั วิเคราะห์วา่ รหโิ ต ปาปรหิโต (ภิกขฺ ุ) สสำวกสงฺโฆ (ตถำคโต) เป็นสหบุพพบทพหุพพิหิสมาส มี ฉฏั ฐตี ปั ปรุ สิ สมาสเป็นภายใน มีวเิ คราะห์ตามลาดับดังน้ี ฉ. ตัป. วิ. สาวกานฎ สงโฺ ฆ สาวกสงฺโฆ ส. พหุพ. ว.ิ สห สาวกสงฺเฆน โย วตตฺ ตีติ สสาวกสงฺโฆ (ตถาคโต) ฯ ๗. ณิก ปัจจัย มีในตัทธิตไหนบ้าง และใช้ต่างกันอย่างไร ? มณิมย (รถจกฺก), เวร,ี โกสลลฺ , ลงปจั จัยอะไร ? ในตัทธติ ไหน ? จงตง้ั วิเคราะห์ มาดู ? ๗. ณกิ ปัจจัย มีในโคตตตัทธิต และตรตยาทติ ทั ธิต ฯ ใช้ต่างกันอย่างนี้ คือ ณิก ปัจจัย ในโคตตตตัทธิตใช้แทนศัพท์ ได้เฉพาะ “อปจฺจ” ศัพทอ์ ย่างเดยี ว สว่ น ณิก ปัจจัยในตรยาทิตัทธติ ใชแ้ ทนศัพทไ์ ด้ทวั่ ไปไมจ่ ากัด ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๐ มณิมย (รถจกกฺ ) ลง มย ปจั จัย ในปกตติ ัทธติ ต้ังวเิ คราะห์ว่า มณนิ า ปกต มณมิ ย (รถจกฺก) ฯ หรอื มณิสสฺ วิกาโร มณมิ ย (รถจกฺก) ฯ เวรี ลง อี ปัจจัย ในตทัสสตั ถิตทั ธิต ตงั้ วิเคราะหว์ ่า เวร อสสฺ อตฺถีติ เวรี ฯ โกสลลฺ ลง ณยฺ ปจั จยั ในภาวตทั ธติ ต้ังวิเคราะห์วา่ กสุ ลสฺส ภาโว โกสลฺล ฯ พระเทพปริยตั มิ ุนี เขมจารี วดั ทองนพคุณ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๑ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบวนั ท่ี ๒๕ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๔๙ -------------------------- ๑. อะไรช่ือว่า อักขระ ? และอักขระนัน้ แปลวา่ อะไร ? อักขระท่ีใชใ้ น ภาษาบาลีมเี ทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? ๑. เสยี งกด็ ี ตวั หนงั สอื ก็ดี ชอื่ ว่า อักขระ ฯ อกั ขระแปลวา่ ไม่รจู้ กั สน้ิ อย่างหน่งึ ไมเ่ ป็นของแขง็ อย่างหนงึ่ ฯ อกั ขระทใ่ี ช้ในภาษาบาลี มี ๔๑ ตัว คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๘ ตวั นี้ ชื่อว่า สระ ฯ ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว ส ห ฬ อ ๓๓ ตัวน้ี ช่ือว่า พยญั ชนะ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๒ ๒. สนธิกิริโยปกรณ์ มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? ชีวิตญฺจิท เป็นสนธิอะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. สนธิกิริโยปกรณม์ ี ๘ อยา่ ง คือ โลโป อาเทโส อาคโม วกิ าโร ปกติ ทีโฆ รสฺส สญโฺ ญโค ฯ ชีวิตญฺจิท เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิ ตัดเป็น ชวี ติ -จ-อิท ระหว่าง ชีวิต-จ ถ้าพยัญชนะวรรคอยู่ข้างหลัง มีนิคคหิตอยู่หน้า ให้แปลงนิคคหิตเปน็ พยญั ชนะทสี่ ุดวรรคได้ คอื ในทีน่ ีแ้ ปลงนคิ คหิตที่ ชี วติ เปน็ ญ ต่อเปน็ ชีวติ ญฺจ ระหวา่ ง ชีวิตญจฺ -อิท ถ้าสระหนา้ และสระหลงั เปน็ รัสสะมีรปู เสมอ กนั ลบสระหนา้ คือ อ ท่ี ชีวิตญฺจ ตอ่ เป็น ชวี ติ ญฺจิท ฯ ๓.จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ก. นามศัพทท์ ง้ั ๓ เมอื่ นาไปใช้ ต้องประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ? ข. สุขาย,เทวตาย เปน็ วภิ ตั ตอิ ะไรไดบ้ ้าง ? ค. เอกูนวีสติ กบั เอกูนวสี ตโิ ม ต่างกันอย่างไร ? จ. อญฺญ, ตุมฺห ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนดิ ไหน ? ง. นบิ าตน้ัน สาหรับใชอ้ ย่างไร ? ๓. ได้ตอบคาถามนน้ั ตอ่ ไปน้ี

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๓ ก. นามทั้ง ๓ น้ัน เม่ือนาไปใช้ ต้องประกอบด้วยลิงค์ วจนะ วิภัตติ ฯ ข. สุขาย เป็น จตุตถีวิภัตติ ส่วน เทวตาย เป็นได้ ๕ วิภัตติ คือ ตติยาวิภัตติ จตุตถีวิภัตติ ปัญจมีวิภัตติ ฉัฏฐีวิภัตติ และสัตตมี วิภัตติ ค. ต่างกันอย่างน้ีคือ เอกูนวีสติ เป็น ปกติสังขยา ส่วน เอกูนวีสติ โม เปน็ ปรู ณสงั ขยา ฯ จ. อญฺญ ศพั ท์ เป็นสพั พนามชนดิ อนิยมวิเสสนสพั พนาม สว่ น ตมุ หฺ ศัพทเ์ ปน็ สัพพนามชนิดปุริสสพั พนาม ฯ ง. นิบาตนั้น สาหรับลงในระหว่างนามศัพท์บ้าง กิริยาศัพท์บา้ ง บอก อาลปนะ กาล ที่ ปริเฉท อุปไมย ปฏิเสธ ความได้ยิน เลา่ ลือ ความปรกิ ปั ความถาม ความรับ ความเตือน เป็นต้น ฯ ๔. วิภัตติอาขยาต เป็นเคร่ืองหมายให้รู้อะไรบ้าง ? จัดเป็นกี่หมวด ? ภินฺทติ กับ ภิชชฺ ติ แปลวา่ อะไร ? ลงปัจจยั อะไรบ้าง ? ในธาตหุ มวด ไหน ? ๔.วิภตั ติอาขยาต เปน็ เครื่องหมายใหร้ ู้ กาล บท วจนะ บุรุษ ฯ จัดเป็น ๘ หมวด ฯ ภินฺทติ แปลว่า ย่อมต่อย, ย่อมทาลาย ลง อ ปัจจัย ในหมวด รุธฺ ธาตุ ฯ ภิชชฺ ติ แปลวา่ ยอ่ มแตก ลง ย ปจั จัย ใน หมวด ทิวฺ ธาตุ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๔ ๕. กิตก์น้ันเป็นชื่อของอะไร ? แบ่งเป็นเท่าไร ? อะไรบ้าง ? มนาปาทายี และ สมฺปทา ในคาว่า “สีเลน โภคสมปฺ ทา” ลงปัจจัยอะไร ? เปน็ รูป และสาธนะอะไร ? จงตงั้ วิเคราะหม์ าดู ฯ ๕. กิตก์นน้ั เปน็ ชอื่ ของศัพทท์ ่ีท่านประกอบปัจจัยหมหู่ นงึ่ ซงึ่ เปน็ เครือ่ กาหนดหมายเน้อื ความของนามศพั ท์ และกริ ยิ าศัพท์ท่ตี า่ งๆ กัน กติ ก์น้ันแบ่งเปน็ ๒ อยา่ งคอื เป็นนามศพั ทอ์ ยา่ หน่ึง เปน็ กิริยา ศัพทอ์ ย่างหนึ่ง ฯ มนำปทำยี ลง ณี ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ตั้งวิเคราะห์ วา่ มนาปํ เทตตี ิ มนาปทายี หรือเป็น กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ ลงในอรรถ แห่งตัสสีละ วิ. มนาปํ เทติ สีเลนาติ มนาปทายี หรือ สมาสรูปตัสสีล สาธนะ ว.ิ มนาปํ ทาํตุ สีลมสสฺ าติ มนาปทายี ฯ สมฺปทำ ในคาว่า “สีเลน โภคสมฺปทา” ลง อ ปัจจัย เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ ว.ิ สมปฺ ชชฺ น สมปฺ ทา ฯ ๖. น บุพพบท กัมมธารยสมาส กบั น บุพพบท พหุพพหิ สิ มาส ตา่ งกัน อยา่ งไร ? สพฺพโรควิมตุ ฺโต (ปรุ โิ ส), นพิ ฺภยา (ชนา) เปน็ สมาสอะไร จง ตัง้ วเิ คราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. ต่างกันอยา่ งนค้ี ือ น บุพพบท กัมมธารยสมาส ใช้ปฏิเสธนามศัพท์ ซ่ึง แปลว่า ส่ิงน้ีไม่ใช่ส่ิงนั้น เช่น อนสฺโส สัตว์นี้ไม่ใช่ม้า ส่วน น บุพพบท พหพุ พิหิสมาส ใช้ปฏิเสธคณุ ศพั ท์และกิริยาศัพท์ ซง่ึ แปลวา่ มี-หามิได้ หรอื ว่า ไมม่ ี เช่น อปุตตฺ โก บุคคลมบี ุตรหามิได้หรอื บคุ คลไม่มีบตุ ร ฯ สพฺพโรควิมุตฺโต (ปุริโส) เป็นปัญจมีตัปปุริสสมาส มีวิเสสนบุพ พบท กมั มธารยสมาส เปน็ ภายใน ตง้ั วิเคราะหต์ ามลาดบั ดังนี้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๕ ว.ิ บุพ. วิ.สพเฺ พ โรคา สพฺพโรคา ปัญจ.ตัป. ว.ิ สพพฺ โรเคหิ วนิ ิมตุ ฺโต สพพฺ โรควิมตุ ฺโต (ปุรโิ ส) ฯ นิพฺภยำ (ชนำ) เป็นปัญจมีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส ต้ัง วเิ คราะห์วา่ นคิ ฺคต ภย เยหิ เต นิพฺภยา (ชนา) ฯ ๗. ปัจจยั ในสมหุ ตัทธติ ลงแทนศัพทอ์ ะไรบ้าง สาเร็จแล้วเป็นลงิ คอ์ ะไร ? พาหสุ จฺจ, พลวา, ปณฺณรสี, ลงปจั จัยอะไร ? จงตัง้ วเิ คราะห์มาดู ฯ ๗. ปัจจัยในสมุหตัทธิต ลงแทน สมุห ศัพท์ เม่ือเป็นรูปสาเร็จแล้ว ที่ลง กณฺ และ ณ ปัจจยั เปน็ ปุงลิงค์ สว่ นท่ลี ง ตา ปัจจัย ในภาวตัทธิต ฯ พำหุสจฺจ ลง ณยฺ ปัจจยั ในภาวตทั ธติ มฉี ัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิ สมาส เป็นท้อง ต้งั วเิ คราะหต์ ามลาดับดงั น้ี ฉ.ตุล.พหุพ. ว.ิ พหํุ สุต ยสสฺ โส พหสุ สฺ โุ ต ณยฺ ปจั จยั ในภาวตทั ธติ ว.ิ พหุสฺสุตตฺ สฺส ภาโว พาหุสจฺจ พลวำ ลง วนตฺ ุ ปัจจยั ในตทัสสตั ถิตทั ธติ ต้งั วิเคราะห์วา่ พล อสฺส อตฺถตี ิ พลวา ฯ ปณฺณรสี ลง อี ปัจจัย ในปรู ณตัทธิต ตงั้ วเิ คราะหว์ ่า ปณฺณรสนนฺ ปรู ณี ปณฺณรสี ฯ พระเทพปริยตั มิ นุ ี เขมจารี วัดทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๖ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลไี วยำกรณ์ สอบคร้งั ท่ี ๒ วันที่ ๒๕ เมษำยน ๒๕๔๙ -------------------- ๑. เอ และ โอ สระ ๒ ตัวนี้ ว่าโดยฐานต่างจากสระอื่นอย่างไร ? และเพราะเหตุไร จงึ จดั เปน็ สงั ยตุ ตสระด้วย ? ๑. เอ และ โอ สระทั้ง ๒ ตัวน้ี ว่าโดยฐานต่างจากสระอน่ื ดังน้ี เอ เกดิ ใน ๒ ฐาน คือ คอและเพดาน เรยี กว่า กณฺฐตาลุโช โอ เกิดใน ๒ ฐาน คอื คอและริมฝปี าก เรียกว่า กณโฐฏฺฐโช ฯ เพราะประกอบเสียงสระ ๒ ตัวเป็นเสียงเดียวกัน คือ อ กับ อิ ผสมกัน เอ, อ กับ อุ ผสมกัน เป็น โอ ฉะนั้น จึงจัดเป็นสังยุตตสระ ด้วย ฯ ๒. ในพยัญชนะสนธิ สัญโญโค มีวิธีซ้อนกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? นกฺขมติ จดั เข้าอย่างไหน ฯ อเิ ธวเมโส เปน็ สนธอิ ะไร ? ตดั และต่ออย่างไร ? ๒. ในพยัญชนะสนธิ สัญโญโค มีวิธซี ้อน ๒ อยา่ ง ฯ ซ้อนพยัญชนะท่ีมรี ปู เหมือนกนั อย่าง ๑ ซ้อนพยัญชนะทมี่ รี ูปไมเ่ หมอื นกนั อยา่ ง ๑ ฯ นกฺขมติ จัดเข้าในวธิ ีซอ้ นพยญั ชนะทมี่ รี ปู เสมอกัน ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๗ อเิ ธวเมโส เป็นโลปสระสนธิและนิคคหติ สนธิ ตดั เป็น อธิ – เอว – เอโส ระหว่าง อิธ – เอว ถา้ สระหนา้ และสระหลังไม่มีพยัญชนะคั่นใน ระหวา่ ง ลบสระหนา้ คอื อ ที่ อธิ ตอ่ เปน็ อเิ ธว ระหว่าง อิเธว – เอโส นิคคหิตอยู่หน้า สระอยู่เบื้องปลาย แปลงนิคคหิตเปน็ ม ตอ่ เป็น อิเธวเมโส ฯ ๓. สัพพนามคืออะไร ? แบง่ เป็นเทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? จงบอกคาทข่ี ดี เส้น ใต้ในประโยคต่อไปนี้ว่าเป็นสัพพนามชนิดไหน “อิท มยา เวชฺชกมฺม กตฺวา ลทธฺ , ตมุ เฺ ห อญญฺ ตฺถ เอวรปู ํ โภชน น ลภสิ ฺสถ, ต ภุญฺชถ” ? ๓. สพั พนาม คือ ศพั ท์สาหรับใชแ้ ทนนามนาม ทอ่ี อกชอื่ มาแล้วข้างต้น เพอ่ื จะไมใ่ หซ้ ้า ๆ ซาก ๆ ซึ่งไมเ่ พราะหู ฯ แบง่ เป็น ๒ อย่าง ฯ คอื ปรุ สิ สัพพนาม ๑ วิเสสนสพั พนาม ๑ ฯ ได้ตอบคาท่ีขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปน้ีคือ “อิท มยา เวชฺชกมฺม กตฺวา ลทธฺ , ตมุ ฺเห อญฺญตฺถ อวรูปํ โภชน น ลภิสฺสถ, ต ภุญฺชถ” ดงั น้ี อท เป็น วิเสสนสัพพนาม มยา เป็น ปุรสิ สัพพนาม ตมุ ฺเห เปน็ ปรุ ิสสัพพนาม ต เป็น วเิ สสนสพั พนาม หรือ ปรุ ิสสัพพนาม ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๘ ๔. ในอาขยาต วิภัตตไิ หน มัธยมบุรุษมีท่ีใชน้ ้อย แต่ใช้ปฐมบุรุษแทนเป็น สว่ นมาก ? ๔. ในอาขยาต มี โอ วิภัตติ มธั ยมบุรษุ ในหมวดหยิ ัตตนี และอัชชตั ตนี เอกวจนะมที ี่ใชน้ ้อยใช้ปฐมบุรษุ แทนเป็นส่วนมาก ฯ ๕. ปัจจัยในนามกิตก์ กับกิริยากติ ก์ เหมือนกนั และต่างกนั อยา่ งไร ฯ ๕. ปจั จยั ในนามกิตก์ กับกิรยิ ากติ ก์ เหมอื นกนั และต่างกัน ดังนี้ เหมอื นกนั คอื แบ่งเปน็ ๓ พวก ไดแ้ ก่กิตปัจจัย ๑ กิจจปัจจัย ๑ กิตกจิ จปจั จยั ๑ และใช้ประกอบกบั ธาตุ เป็นทต่ี ้งั ทง้ั ส้ิน ฯ ตา่ งกนั คอื ปจั จัยในนามกติ ก์ทาธาตุที่ประกอบน้นั ใหเ้ ปน็ สาธนะ นัน้ ๆ และใช้ในปฐมาวิภัตติและจตุตถีวิภัตติไดบ้ ้าง เชน่ กรณ ทายโก กาํตุ เป็นต้น ส่วนปัจจัยในกิริยากิตก์น้ัน ทาธาตุที่ประกอบให้เป็น กิรยิ า และเป็นเคร่ืองหมายใหร้ ู้กาลและวาจกได้ เชน่ คนฺตฺวา คจฺฉนโฺ ต นีหริยมาโน กรณีย คนฺตพฺพ เป็น ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๑๙ ๖. สมาส วา่ โดยกิจและวา่ โดยชอ่ื มีเท่าไร ? อะไรบา้ ง ? สมาส ว่าโดยกิจมี ๒ อย่าง คือสมาสท่ีท่านลบวิภัตติเสียแล้ว เรียกว่า ลุตฺตสมาโส, สมาสที่ท่านยังมิได้ลบวิภัตติ เรียกว่า อลุตฺต สมาโส ฯ สมาส ว่าโดยช่ือ มี ๖ อย่าง คือ กมฺมธารโย, ทิคุ, ตปฺปุริโส, ทวนทฺ โว, อพยฺ ยภี าโว, พหุพฺพิหิ ฯ ๗. อะไรเรยี กว่าตัทธติ ? โดยสงั เขปแบง่ เปน็ เท่าไร ? อะไรบ้าง ? ๗. ปัจจัยหมู่หน่ึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เนื้อความย่อ สาหรับใช้แทน ศัพท์ย่อคาพูดใหส้ ้ัน เรียกง่าย ๆ เหมือนคาวา่ สฺยาเม ชาโต เกิดใน สยาม ลงปัจจัยแทน ชาต เอาไว้แต่ สฺยามเป็น สยฺามิโก เรียกว่า ตทั ธิต ฯ คือ สามญญฺ ตทฺธติ , ภาวตทฺธิต, อพฺยยตทธฺ ติ ฯ โดยสงั เขป แบง่ เปน็ ๓ อย่าง ฯ คือ พระเทพปรยิ ตั ิมุนี เขมจารี วัดทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๐ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบวนั ท่ี ๑๔ กมุ ภำพันธ์ ๒๕๕๐ ----------------------- ๑. คาต่อไปนี้คือ ปุพฺผ, วงฺโส, สทฺโต, นิคฺขมติ, วุฒฺโฒ ประกอบ สังโยคผดิ จงแก้ให้ถูกต้องตามหลักของสงั โยค ? ฯ ๑. ไดแ้ ก้คาที่ประกอบสงั โยคผดิ ใหถ้ กู ต้องดงั นี้คือ ปุพผฺ แกถ้ กู เป็น ปุปฺผ วงโฺ ส แก้ถกู เป็น วโส สทโฺ ต แกถ้ ูกเป็น สตโฺ ต นคิ ขฺ มติ แก้ถูกเปน็ นิกขฺ มติ วฒุ โฺ ฒ แก้ถูกเปน็ วุฑฺโฒ ๒. สนธคิ อื อะไร ? มเี ทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ตตฺราภิรติมิจเฺ ฉยยฺ เป็นสนธิ อะไร ? ตดั และต่ออยา่ งไร ? ๒. สนธคิ อื การต่อศพั ทแ์ ละอกั ขระใหเ้ น่ืองกันดว้ ยอักขระ เพ่อื จะย่นอกั ษร ให้นอ้ ยลง เปน็ อปุ การะในการแตง่ ฉนั ท์และทาคาพูดใหส้ ละสลวย ฯ มี ๓ อย่าง ตามความที่เป็นประธานก่อน คือ สระสนธิ ต่อสระ๑ พยญั ชนะสนธิ ตอ่ พยัญชนะ๑ นคิ คหิตสนธิ ต่อนิคคหิต ๑ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๑ ตตฺรำภิรติมิจฺเฉยฺย เป็นโลปสระสนธิ และอาเทสนิคคหิตสนธิ ตดั เป็น ตตรฺ -อภริ ตึ – อิจฺเฉยฺย ระหวา่ ง ตตรฺ -อภิรตึ ถ้าสระทัง้ ๒ เปน็ รสั สะมรี ปู เสมอกัน คอื เป็น อ หรือเปน็ อิ หรือ เป็น อุ ทัง้ ๒ ตวั เม่อื ลบตัวใดตวั หน่ึงแล้วตอ้ งทีฆะ สระทีไ่ มไ่ ด้ลบ ต่อเปน็ ตตฺราภริ ตึ ระหว่าง ตตฺราภิรตึ – อิจฺเฉยฺย ถ้านิคคหิตอยู่หน้า สระอยู่หลัง แปลงนิคคหิตเปน็ ม ตอ่ เป็น ตตรฺ าภิรตมิ จิ เฺ ฉยยฺ ฯ ๓.จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ก. อะไรเรียกว่า การนั ต์ ? ข. ภกิ ฺขโว, โจเร เปน็ วภิ ตั ตอิ ะไรบ้าง ? ค. ตั้งแต่ เอกนู สติ จนถึง อฏฺฐนวตุ ิ เปน็ วจนะและลิงค์อะไร ? จ. เอกจเจ,เอต ศัพท์ เปน็ วเิ สสนสัพพนามชนิดไหน ? ง. ปัจจยั ในอพั ยยศัพทน์ ้ันลงท่ีไหน เป็นเครอ่ื งหมายของอะไร ? ๓. ได้ตอบคาถามต่อไปนี้คอื ก. สระที่สุดแหง่ ศพั ทเ์ รียกว่า การันต์ ฯ ข. ภิกฺขโว เป็นได้ ๓ วิภัตติ คือ ปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ และ อาลปนวิภตั ติ โจเร เปน็ ได้ ๒ วภิ ัตติคือ ทตุ ิยาวภิ ัตติ และสัตตมีวภิ ัตติ ฯ ค. ตั้งแต่ เอกนู สติ จนถงึ อฏฺฐนวตุ ิ เป็น เอกวจนะและอติ ถลี งิ ค์ อยา่ งเดียว ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๒ จ.เอกจจฺ ศัพท์ เป็นอนิยมวเิ สสนสัพพนาม เอต ศัพท์ เป็น นิยมวเิ สสนสพั พนาม ฯ ง.ปัจจยั ในอพั ยยศพั ทน์ ั้น ลงท้ายนามศพั ท์เป็นเครอื่ งหมาย วภิ ัตตบิ ้าง ลงทา้ ยธาตุ เปน็ เครือ่ งหมายกริ ิยาบ้าง ฯ ๔. การแยกวิภัตติอาขยาตออกเป็น ปรัสสบท และอัตตโนบท เพื่อ ประสงค์อะไร ? อานยึสุ และ วจุ จฺ เร ในคาวา่ “ เทวธมมฺ าติ วจุ จฺ เร” ประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงอะไรบา้ ง ? ๔. เพอื่ ประสงคจ์ ะไดก้ าหนดรู้วาจก เพราะปรสั สบท เป็นเครอ่ื งหมาย ให้รู้กิริยาที่เป็น กัตตุวาจก ส่วนอัตตโนบทเป็นเคร่อื งหมายใหร้ ู้กริ ยิ า ท่ีเปน็ กัมมวาจกและภาววาจก แตจ่ ะนยิ มลงเป็นแน่เลยทีเดียวกก็ไมไ่ ด้ บางคราวปรัสสบท เป็นกมั มวาจกและภาววาจกก็มี เหมอื นคาบาลีว่า สทโิ ส เม น วิชฺชติ คนเชน่ กบั ด้วยเรา (อนั ใครๆย่อมหามไิ ด)้ บางคราว อัตตโนบทเป็นกัตตุวาจกก็มี เหมือนคาบาลีว่า ปิยโต ชายเต โสโก ความโสกยอ่ มเกดิ แตข่ องอันเป็นทรี่ กั เป็นตน้ ฯ อำนยึสุ ประกอบดว้ ยเคร่อื งปรุง คือ อา บทหนา้ นี ธาตุ ในความ นาไป ลง อ ปัจจัย ํอุ อัชชัตตนีวิภัตติ แปลง อี ที่ นี ธาตุ เป็น อย แปลง ํอุ เป็น อึสุ สาเร็จเป็น อานยสึ ุ ฯ วุจฺจเร ประกอบด้วยเคร่ืองปรงุ คือ วจฺ ธาตุ ในความกล่าว ลง ย ปัจจัย ลง อนฺติ วภิ ัตติหมวดวัตตมานา แปลง ว เป็น วุ หรอื เอา อ ท่ี ว เป็น อุ แปลง ย กับ จ ท่ีสุดธาตุเป็น จฺจ แปลง อนฺติ เป็น เร สาเร็จ เป็น วจุ จฺ เร ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๓ ๕. สาธนะคืออะไร ? อุฏฺฐาน ในคาวา่ “อุฏฐฺ านกาเล” และ “อุฏฐฺ าน วิริยวนฺตสฺส” ลงปัจจัยอะไร ? เป็นรูปและสาธนะอะไร ? จงตั้ง วเิ คราะห์มาดู ฯ ๕. สาธนะ คือ ศพั ท์ท่ที ่านใหส้ าเร็จมาจากรูปวเิ คราะห์ ฯ อุฏฺฐำน ในคาว่า อุฏฺฐานกาเล ลง ยุ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กรณ สาธนะ ตง้ั วิเคราะห์วา่ อฏุ ฐฺ าติ เอตฺถาติ อุฏฺฐาโน (กาโล) ฯ อุฏฺฐำน ในคาว่า อุฏฺฐานวิริยนฺตสฺส ลง ยุ ปัจจัย เป็นกัตตุรูป กรณสาธนะ ต้งั วิเคราะหว์ ่า อุฏฺฐาติ เตนาติ อฏฺฐาน (วริ ยิ ) ฯ ๖. สมาสเช่นไร ชื่อว่า ตัปปุริสสมาส ? และตัปปุริสสมาสน้ัน มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? ตโยชนาวตถฺ ุ, ปูรติ ปารมี (สตโฺ ต ) เป็นสมาสอะไรบ้าง ? จงตั้งวเิ คราะหม์ าตามลาดบั ดู ฯ ๖. นามศัพท์มี อ วิภัตติเป็นต้น ในที่สุดท่านยอ่ เข้าด้วยบทเบือ้ งปลาย ชื่อ วา่ ตปั ปรุ ิสสมาส ฯ มี ๖ อย่างคือ ทุติยาตัปปุริสสมาส ตติยาตัปปุริสสมาส จตุตถีตัป ปุริสสมาส ปัญจมีตัปปุริสสมาส ฉฏฺฐีตัปปุริสสมาส สัตตมีตัปปุริส สมาส ฯ ตโยชโนวตฺถุ เป็นฉัฏฐีตัปปุริสสมาส มีอสมาหารทิคุสมาส เป็น ทอ้ ง ตั้งวเิ คราะหต์ ามลาดับดงั น้ี อ.ทคิ ุ. ว.ิ ตโย ชนา ตโยชนา ฉ.ตปั . วิ.ตโยชนาน วตฺถุ ตโยชนวตฺถุ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๔ ปูริตปำรมี (สตโฺ ต) เปน็ ตตยิ าพหพุ พหิ สิ มาส ต้ังวเิ คราะห์วา่ ปรู ติ า ปารมี เยน โส ปูริตปารมี (สตโฺ ต)ฯ ๗. ปูรณตทั ธติ มปี ัจจยั เท่าไร ? อะไรบ้าง ? เตปฏิ กา (ภิกขฺ ู) จตทุ ธฺ า, ยสวา ลงปัจจยั อะไร ? ในตัทธิตไหน ? ๗. ปรู ณตัทธิตมปี ัจจยั ๕ ตวั คือ ฯ ตยิ ถ ฐ ม อี ฯ เตปฏิ กำ (ภกิ ฺข)ู ลง ณ ปจั จัย ในราคาทิตัทธติ ฯ จตทุ ฺธำ ลง ธา ปัจจัย ในวภิ าคตัทธิต ฯ ยสวำ ลง วนตฺ ุ ปัจจัย ในตทัสสัตถิตัทธิต ฯ พระเทพปริยตั มิ ุนี เขมจารี วดั ทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๕ ประโยค ป.ธ. ๓ ปญั หำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบครัง้ ท่ี ๒ วันท่ี ๑๔ เมษำยน ๒๕๕๐ --------------------- ๑. พยญั ชนะในบาลภี าษา มเี ท่าไร อะไรบ้าง อาศยั อะไรจึงออกเสยี งได้ ? ๑. พยญั ชนะในบาลีภาษา มี ๓๓ ตัว ฯ คอื กขคฆง จ ฉ ช ฌญ ฏ ฐ ฑฒณ ปผพภม ย ร ล ว ส ห ฬ อฯ อาศยั สระ จงึ ออกเสยี งได้ ฯ ๒. สนธิ มีอุปการะแก่บาลีไวากรณ์อย่างไร สาลมโิ วตถฺ ต เปน็ สนธอิ ะไร ? ตัดและต่ออยา่ งไร ? ๒. สนธิ มีอุปการะแกบ่ าลไี วยากรณอ์ ย่างนี้ คอื ตอ่ ศพั ท์และอกั ขระให้ เนือ่ งถึงกันดว้ ยอกั ขระ เพือ่ ยน่ อกั ขระใหน้ ้อยลง เปน็ อุปการะในการ แต่งฉันท์และใหค้ าพดู สระสรวย ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๖ สำลมิโวตฺถต เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ และโลปสระสนธิตัดเป็น สาล - อวิ – โอตฺถต ระหว่าง สาล – อิว ถ้าสระอยหู่ ลงั นิคคหิตอยูห่ นา้ แปลงนิคคหิต เป็น ม ตอ่ เปน็ สาลมวิ ระหวา่ ง สาลมิว - โอตถฺ ต สระหน้าเป็นรสั สะ สระหลังอยู่หน้า พยัญชนะสังโยคบ้าง เปน็ ทีฆะบ้าง ใหล้ บสระหน้า คือ ลบ อ ในท่ีสุด แหง่ สาลมิว ต่อเปน็ สาลมิโวตฺถต ฯ ๓. สังขยาคอื อะไร มกี ชี่ นิด อะไรบ้าง ตงั้ แต่ไหนถึงไหน เป็นนามอะไร ? สังขยานาม กับ สังขยาคณุ ใช้ต่างกันอย่างไร ? ๓. สังขยา คือ ศัพท์ทเี่ ปน็ เครอื่ งกาหนดนับนามนาม ฯ มี ๒ ชนดิ ฯ คอื ปกติสงั ขยาอยา่ ง ๑ ปรู ณสงั ขยาอย่าง ๑ ฯ ปกตสิ งั ขยา ตงั้ แต่ เอก ถึง จตุ เปน็ สัพพนาม ตงั้ แต่ ปญฺจ ถงึ อฏฺฐนวุติ เปน็ คุณนาม ตงั้ แต่ เอกนู สต ข้นึ ไป เป็นนามนาม สว่ นปูรณสังขยา เป็นคุณนามแท้ ฯ ใช้ต่างกันอย่างนี้ คือ สังขยานาม ใช้เช่นเดยี วกบั นามนาม เมอ่ื ใชน้ บั จานวนนามนามบทใด ใหเ้ รยี งไวห้ ลังนามนามบทนน้ั ส่วนสังขยาคุณน้ันใช่เช่นเดียวกับคุณนาม คือ เมื่อใช้นับนาม นาม บทใด ให้เรยี งไวห้ น้านามนามบทนั้น ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๗ ๔. วาจกคอื อะไร ? ท่านจดั ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? วิธจี ะจาวาจกได้ แมน่ ยานน้ั ตอ้ งอาศยั อะไร ? ๔. วาจกคือกิริยาศพั ทท์ ี่กลา่ วบทท่เี ปน็ ประธานของกิริยา ฯ ทา่ นจดั ไว้ ๕ อย่าง คอื กตั ตวุ าจก ๑ กัมมวาจก ๑ ภาววาจก ๑ เหตกุ ัตตวุ าจก ๑ เหตกุ มั มวาจก ๑ ฯ วิธที ี่จะกาหนดไดแ้ มน่ ยา ตอ้ งอาศยั ปจั จยั ที่ประกอบ ฯ ๕. ปจั จยั ทสี่ าหรบั ประกอบกิรยิ ากติ ก์ แบ่งเป็นก่ีหมวด ? แต่ละหมวด มปี จั จัยอะไรบ้าง ? ปจั จยั ไหนบอกกาลอะไร ฯ ๕. ปัจจัยท่ีกาหนดสาหรับประกอบกับกิริยากิตก์ แบ่งออกเป็น ๓ หมวด ฯ แต่ละหมวด มปี จั จยั ดังน้ี กิตปัจจัย มีปัจจัย ๓ ตัว คือ อนตฺ ตวนตฺ ุ ตาวี กจิ จปจั จัย มีปัจจยั ๒ ตวั คือ อนีย ตพพฺ กิตกิจจปัจจัย มปี ัจจัย ๕ ตวั คอื มาน ต ตูน ตวฺ า ตวฺ าน ฯ ปจั จยั ทัง้ ๓ หมวดน้นั บอกกาล ดงั น้ี อนตฺ มาน ปจั จยั บอกปจั จบุ ันกาล ตวนตฺ ุ ตาวี ต ตูน ตวฺ า ตฺวาน บอกอดตี กาล อนยี ตพพฺ ปัจจัย บอกความจาเป็น ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๘ ๖. สมาสเช่นไร ช่ือว่าทวันทวสมาส ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? วิชฺชา จรณสมฺปนฺโน (ภควา) เป็นสมาสอะไรบ้าง จงตั้งวิเคราะห์มา ตามลาดับ ? ๖. สมาสที่มีนามนามตั้งแต่ ๒ ศัพท์ขึ้นไป ท่านย่อเข้าเป็นบทเดียวกัน ช่ือวา่ ทวันทวสมาส ฯ มี ๒ อยา่ ง ฯ คอื สมาหารทวันทวสมาส ๑ อสมาหารทวันทว สมาส ๑ ฯ วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน (ภควำ) เป็นตติยาตัปปุริสสมาส มี สมาหารทวันทวสมาส เปน็ ภายใน ตง้ั วิเคราะหต์ ามลาดบั ดังน้ี ส.ทวนั . ว.ิ วิชชฺ า จ จรณ จ วิชฺชาจรณ ต.ตัป. ว.ิ วชิ ฺชาจรณน สมฺปนโฺ น วชิ ชฺ าจรณสมฺปนฺโน (ภควา) ฯ ๗. ภาวตทั ธติ มีปจั จยั เทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? มทฺทว, ปญจฺ ก ลงปจั จัย อะไร ? ในตัทธติ ไหน ? จงตัง้ วเิ คราะหม์ าดู ฯ ๗. ภาวตัทธิต มปี จั จัย ๖ ตวั ฯ คอื ตตฺ ณฺย ตฺตน ตา ณ กณฺ ฯ มททฺ ว ลง ณ ปจั จยั ในภาวตทั ธติ วเิ คราะห์วา่ มทุ ุโน ภาโว มททฺ ว ฯ ปญฺจก ลง ก ปจั จยั ในสังขยาตทั ธติ วิเคราะหว์ ่า ปญจฺ ปรมิ าณานิ อสสฺ าติ ปญจฺ ก ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๒๙ ประโยค ป.ธ. ๓ ปญั หำและเฉลย บำลีไวยำกรณ์ สอบวนั ที่ ๔ มนี ำคม ๒๕๕๑ --------------------- ๑. ชิวฺหามชฺฌ - ท่ามกลางล้ิน เป็นกรณ์ของอักขระอะไรบ้าง ? และ อกั ขระเหลา่ นน้ั เกิดในฐานไหน ? เรยี กว่าอะไร ? ๑. ชิวฺหามชฺฌ - ท่ามกลางล้ิน เป็นกรณ์ของอักขระ ๘ ตัว คือ อิ อี, จ ฉ ช ฌ ญ ย ฯ และอกั ขระเหล่าน้นั เกดิ ที่เพดาน ฯ เรยี กว่า ตาลุชา ฯ ๒. อาเทสสระสนธิ ในท่เี ช่นไร จงึ แปลงสระเบอ้ื งหนา้ ได้ ? จงตอบพรอ้ ม ยกตัวอย่างประกอบ ? เอตมฺมงฺคลมุตฺตม เป็นสนธิอะไร ? ตัดและ ตอ่ อย่างไร ? ๒. อาเทสสระสนธิ แปลงสระเบ้ืองหน้าได้ในที่เช่นนี้ คือ ถ้า อิ เอ หรือ โอ อยู่หนา้ มีสระอยูเ่ บื้องหลัง แปลง อิ ตัวหน้าเป็น ย ถา้ พยญั ชนะ ซ้อนกัน ๓ ตัว ลบพยัญชนะท่ีมีรูปเสมอกันเสียตัวหน่ึง อุ. ปฏิสณฺฐารวุตฺติ - อสฺส เป็น ปฏิสณฺฐารวุตฺยสฺส, อคฺคิ – อาคาร เป็น อคฺยาคาร, เอา เอ เป็น ย อุ. ว่า เต - อสสฺ เปน็ ตยฺ สฺส, เม – อย เป็น มฺยาย, เต - อห เป็น ตฺยาห, เอา โอ เป็น ว อุ. ว่า อถโข - อสฺส เป็น อถขฺวสฺส เอา อุ เป็น ว อุ. ว่า พหุ – อาพาโธ เป็น พหฺ วาพาโธ, จกฺขุ - อาปาถ เปน็ จกฺขวฺ าปาถ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๐ เอตมฺมงฺคลมุตฺตม เป็นอาเทสนิคคหิตสนธิ ตัดเป็น เอต - มงฺคล – อตุ ตฺ ม ระหว่าง เอต - มงคฺ ล ถ้าพยญั ชนะอยหู่ ลัง นิคคหติ อยู่หน้า ให้ แปลงนิคคหติ เป็นพยัญชนะท่ีสุดวรรคได้ คือ แปลง นิคคหติ ที่ เอต เป็น ม ต่อเปน็ เอตมมฺ งคฺ ล ระหว่าง เอตมฺมงฺคล - อุตฺตม นิคคหิตอยู่หน้า ถ้าสระอยู่เบื้อง ปลาย แปลงนิคคหิตเป็น ม และ ท ในท่ีน้ีแปลงนิคคหิตท่ี เอตตมฺมงคฺ ล เป็น ม ต่อเปน็ เอตมมฺ งคฺ ลมุตตฺ ม ฯ ๓. จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ก. คณุ นามเชน่ ไร จดั เป็นอติวิเสส ? ข. ภควโต มวี ิธที าตัวอย่างไร ? ค. ปรู ณสงั ขยา มวี ธิ ใี ชอ้ ยา่ งไร ? ฆ. ต ศัพท์ เป็นสพั พนามชนิดไหน ? ง. ทานิ ปจั จยั ในอพั ยยศพั ท์ เป็นเคร่ืองหมายอะไร ? ๓. ไดต้ อบคถามต่อไปนี้ คือ ก. คุณนามท่ีแสดงความดีหรือชั่วมากท่ีสุดหรอื นอ้ ยที่สุด เหมือน คาว่า ปณฺฑิตตโม เป็นบัณฑิตที่สุด ปาปตโม เป็นบาปท่ีสุด จัดเปน็ อติวิเสส ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๑ ข. ภควโต ทาตัวอย่างนี้ คือศัพท์เดิมเป็น ภควนฺตุ เอา นฺตุ แห่ง วนฺตุ ปัจจัย กับ ส จตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติเป็น โต สาเร็จรูปเปน็ ภควโต ฯ ค. ปรู ณสังขยา มวี ธิ ใี ช้ดงั นี้ คือ สาหรับนบั นามนามที่เต็มในที่ นัน้ ๆ คอื นับเป็นชนั้ ๆ เป็นต้นวา่ ท่หี นึ่ง ทส่ี อง ที่สาม ที่ส่ี ท่ีห้า เหมือนคาพูดในภาษาของเราว่า บุตรชายท่ี ๑ ของผูม้ ชี ื่อไปเรียนหนงั สอื ท่ีสานักครทู ี่ ๒ พอถงึ ปที ี่ ๓ กส็ อบ ไลไ่ ดป้ ระโยคท่ี ๔ ยังไม่ถงึ ชัน้ ท่ี ๕ เปน็ ตน้ ฯ ฆ. ต ศัพท์ เปน็ ปุริสสพั พนาม ประถมบุรุษ และเปน็ นิยมวเิ สสน สัพพนาม ฯ ง. ทานิ ปัจจยั ในอัพยยศพั ท์ เป็นเครอื่ งหมายสัตตมวี ภิ ัตติลงใน กาล ฯ ๔. สกัมมธาตุ กับ อกัมมธาตุ ใช้ในวาจกอะไรได้บ้าง ฯ ภิทฺ ธาตุ และ มจุ ฺ ธาตุ เป็นสกัมมธาตุ หรอื เป็นอกมั มธาตุ จงอธิบาย ฯ ๔. สกัมมธาตุ ใช้ได้ใน ๔ วาจก คือ กัตตุวาจก กัมมวาจก เหตุกัตตุวาจก และเหตุกัมมวาจก อกัมมธาตุ ใช้ได้ใน ๓ วาจก คือ กัตตุวาจก ภาว วาจก และเหตกุ ัตตวุ าจก ฯ ภิทฺ ธาตุ และ มจุ ฺ ธาตุ เปน็ ได้ทงั้ สกัมมธาตุ ทั้งอกัมมธาตุ ภิทฺ ธาตุ ถ้าลงในหมวด รุธฺ ธาตุ เป็นสกัมมธาตุ เรียกหากรรม แปลว่า ต่อย หรือทาลาย อุ. สูโท ภาชน ภินฺทติ ถ้าลงในหมวด ทิวฺ ธาตุ เป็นอกมั มธาตุ ไม่เรียกหากรรม แปลวา่ แตก อ.ุ ภาชน ภิชฺชติ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๒ มุจฺ ธาตุ ถ้าลงในหมวด รุธฺ ธาตุ เป็นสกัมมธาตุ เรียกหากรรม แปลว่า ปล่อย หรือว่าง อุ. โคปาโล โคณ มุญฺจติ ถ้าลงในหมวด ทิวฺ ธาตุ เปน็ อกัมมธาตุ ไม่เรียกหากรรม แปลว่า หลุด หรอื พน้ อุ. โคโณ มุจจฺ ติ ฯ ๕. กัตตุสาธนะ ท่านบญั ญัตใหแ้ ปลว่าอย่างไร ฯ จงตอบพรอ้ มยกตัวอย่าง รูปวเิ คราะหป์ ระกอบ ? ทุททฺ โม (อตฺตา), มรณ ลงปจั จัยอะไร ฯ เปน็ รูปและสาธนะอะไร จงตง้ั วิเคราะห์มาดู ? ๕. กัตตุสาธนะ ท่านบัญญัตให้แปลว่า “ผู้” อุ. กุมฺภ กโรตีติ กุมฺโภกาโร ผู้ทาซ่ึงหม้อ, เทตีติ ทายโก ผู้ให้, ถ้าลงในอรรถคือตัสสีละ แปลว่า “ผู้ - โดยปกติ” อ.ุ ธมมฺ วทติ สเี ลนาติ ธมฺมวาที ผกู้ ล่าวซึ่งธรรมโดย ปกติ ปาปํ กโรติ สีเลนาติ ปาปการี ผู้ทาซ่ึงบาปโดยปกติ, ถ้าเป็น สมาสรูปตัสสีลสาธนะ แปลว่า “ผู้มีอัน – เป็นปกติ” อุ. ธมฺม จรํิตุ สีลมสฺสาติ ธมฺมจารี ผู้มีอันประพฤติ ซ่ึงธรรมเป็นปกติ ปาปํ กาํตุ สีลมสสฺ าติ ปาปการี ผูม้ อี ันทาซ่ึงบาปเป็นปกติ ฯ ทุทฺทโม (อตฺตำ) ลง ข ปัจจัย เป็นกัมมรูป กัมมสาธนะ ตั้ง วเิ คราะห์วา่ ทุกฺเขน ทมิยเตติ ททุ ฺทโม (อตฺตา) ฯ มรณ ลง ยุ ปจั จยั เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ ต้งั วิเคราะหว์ ่า มรณ มรณ หรอื มรยเต มรณ ฯ ๖. อะไรช่ือว่าทคิ ุสมาส ? ทคิ สุ มาส กบั วเิ สสนบุพพบท กัมมธารยสมาส ต่างกันอย่างไร ? อนฺโตเคหปฺปเวสน เป็นสมาสอะไรบ้าง จงต้ัง วิเคราะหม์ าตามลาดบั ? ๖. กมั มธารยสมาสมีสังขยาอยขู่ า้ งหน้าช่อื ว่า ทิคุสมาส ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๓ ต่างกนั อยา่ งนี้ คือ ทิคุสมาส เป็นสมาสท่ีมีสังขยาอยู่ข้างหน้า บทประธานอยู่หลัง อุ. ตโย โลกา = ติโลก ปญฺจ อนิ ฺทรฺ ยิ านิ = ปญฺจินฺทฺริย เปน็ ต้น ส่วนวิเสสนบุพพบท กัมมธารยสมาส เป็นสมาสท่ีมีบทวิเสสน อยู่ต้น บทประธานอยู่ข้างหลัง อุ. มหนฺโต ปุริโส = มหาปุริโส นลี อุปปฺ ล = นีลุปฺปล เป็นตน้ ฯ อนฺโตเคหปฺปเวสน เป็นฉัฏฐีตัปปุริสสมาส มีนิปาตปุพพกะ อัพยยีภาวสมาส เป็นภายใน ต้ังวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดังน้ี นิปาต. อพั ยยี. วิ. เคหสฺส อนฺโต อนฺโตเคห ฉ.ตัป ว.ิ อนฺโตเคหสฺส ปเสสน อนโฺ ตเคหปปฺ เวสน ฯ ๗. ตา ปัจจัย มีในตัทธิตไหนบ้าง ? และใช้ต่างกันอย่างไร ? ทุกฺขี (ชโน), ปาสาทิก (รปู ํ), ทฺวาทสโม (วคโฺ ค) ลงปจั จยั อะไร ? ในตทั ธติ ไหน ? จงตั้งวิเคราะห์มาดู ? ๗. ตา ปัจจยั มีใน ๒ ตัทธิต คือ สมหุ ตทั ธิต และภาวตัทธิต ฯ และใช้ต่างกนั อยา่ งนี้ คอื ในสมุหตัทธิต ใช้แทน สมุห ศัพท์ แปลว่า ประชุม อุ. สหายาน สมุโห สหายตา ประชุมแห่งสหาย ท. ชื่อว่า สหายตา ประชมุ แห่งสหาย ส่วนในภาวตัทธิต ใช้แทน ภาว ศัพท์ แปลว่า ความเป็น อุ. สหายสฺส ภาโว สหายตา ความเป็นแห่งสหาย ช่ือ วา่ สหายตา ความเป็นแห่งสหาย ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๔ ทุกฺขี (ชโน) ลง อี ปัจจัย ในตทัสสัตถติ ัทธิต ต้งั วเิ คราะหว์ ่า ทกุ ฺข อสสฺ อตฺถตี ิ ทุกฺขี (ชโน) ปำสำทิก (รูปํ) ลง ณิก ปัจจัย ในตรตยาทิตัทธิต ต้ัง วิเคราะห์วา่ ปสาท อาหรตตี ิ ปาสาทกิ (รปู )ํ ทฺวำทสโม (วคฺโค) ลง ม ปัจจัย ในปูรณตัทธิต ต้ังวิเคราะห์ วา่ ทฺวาทสนฺน ปูรโณ ทวฺ าทสโม (วคฺโค) ฯ ใหเ้ วลา ๓ ช่ัวโมง พระเทพปริยตั มิ นุ ี เขมจารี วดั ทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๕ ประโยค ป.ธ. ๓ ปัญหำและเฉลย บำลไี วยำกรณ์ สอบคร้ังที่ ๒ วนั ที่ ๒ พฤษภำคม ๒๕๕๑ --------------------- ๑. ในพยัญชนะวรรคท้ังหลาย มีวิธีการท่ีจะประกอบพยัญชนะสังโยคได้ อย่างไรบา้ ง ? ๑. ในพยญั ชนะวรรคท้ังหลาย มีวิธีการประกอบพยญั ชนะสงั โยคได้อย่างน้ี คอื พยัญชนะที่ ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ ๑ และ ท่ี ๒ ในวรรค ของตนได้ พยัญชนะที่ ๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะที่ ๓ และ ท่ี ๔ ในวรรค ของตนได้ พยัญชนะที่ ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะในวรรคของตนได้ทั้ง ๕ ตัว ยกเสยี แต่ตัว ง ซงึ่ เป็นตวั สะกดอย่างเดียว มิได้มสี าเนียงในภาษาบาลี ซอ้ นหน้าตัวเองไมไ่ ด้ ฯ ๒. วิการสระสนธิ ในท่ีเช่นไร จึงวิการในเบ้ืองต้นได้ ? จงตอบพร้อม ยกตวั อย่างประกอบ ? ๒. วิการสระสนธิ ในทเ่ี ช่นนีจ้ ึงวกิ ารในเบอื้ งตน้ ได้ คือ เม่ือลบสระ เบ้ืองปลายแล้ว เอาสระเบ้ืองหน้า คือ อิ เป็น เอ เอา อุ เป็น โอ ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๖ ยกตัวอย่างประกอบ เช่น มุนิ – อาลโย เป็น มุเนลโย, สุ – อตฺถี เป็น โสตถฺ ี ฯ ๓. จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ก. นามเชน่ ไร จัดเป็นสาธารณนาม ? ข. สุขาย มีวิธีทาตัวอย่างไร ? ค. ปกติสังขยา มีวิธีใชอ้ ยา่ งไร ? ฆ. ตมุ ฺห ศัพท์ ในสพั พนาม สาหรบั ใชอ้ ย่างไร ? ง. อธิ อชชฺ ลงในปัจจยั อะไรในอัพยยศพั ท์ ? ๓. ได้ตอบคาถามตอ่ ไปน้ี คอื ก. นามทั่วไปได้แกค่ น สัตว์ ท่ี อื่นได้ เหมือนคาวา่ มนุสโฺ ส มนุษย,์ ติรจฺฉาโน สัตวด์ ริ ัจฉาน, นคร เมอื ง เป็นตน้ จดั เปน็ สาธารณ นาม ฯ ข. สุขาย ทาตัวอย่างน้ี เอา อ กับ ส จตุตถีวิภัตติ เป็น อาย สาเร็จรปู เปน็ สุขาย ฯ ค. ปกติสังขยา มีวิธีใช้อย่างนี้ คือ สาหรับนับนามนามโดยปกติ เป็นต้น ว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เพื่อให้รู้ว่ามีประมาณเท่าใด เหมือนคาพูดในภาษาของเราว่า คนผู้หนึ่ง ถือสมุด ๒ เล่ม ดินสอขาว ๓ แท่ง ดินสอฝร่ัง ๔ แท่ง กระดาษ ๕ แผ่นเดินไป เปน็ ต้น ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๗ ฆ. ตุมฺห ศัพท์ ในสัพพนาม สาหรับใช้ออกช่ือคนท่ีผู้พูด พูด กับคนใด สาหรับออกชื่อคนนั้น เช่น คาในภาษาของเราว่า เจ้า, ท่าน, สู, เอง, มึง ตามคาสูงและต่า แต่ในภาษาบาลีไม่มีคาสูงคา ต่าอยา่ งน้ี ใช้ ตมุ ฺห ศพั ท์อย่างเดยี ว ฯ ง. อธิ ลง ธ ปัจจัย ในอพั ยยศพั ท์ ส่วน อชชฺ ลง ชฺช ปัจจัย ในอพั ยยศัพท์ ฯ ๔. อาคมในอาขยาตมีเทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? นิยมลงในทีเ่ ชน่ ไร ? ๔. อาคมในอาขยาต มี ๕ ตวั ฯ คอื อ อิ ส ห อ ฯ นิยมลงไดใ้ นทเ่ี ช่นนี้ คือ อ อาคม นยิ มลงหน้าธาตทุ ีป่ ระกอบด้วยวภิ ัตตหิ มวด หิยัตตนี อัชชตั ตนี และกาลาตปิ ัตติ อิ อาคม นยิ มลงทา้ ยธาตุและปจั จยั ที่ประกอบดว้ ยวิภัตติหมวด อชั ชตั ตนี ภวสิ สันติ และกาลาตปิ ัตติ ส อาคม นิยมลงทา้ ยธาตุท่ปี ระกอบดว้ ยวิภัตติหมวดอัชชัตตนี ในหมวดธาตุทง้ั ปวง ห อาคม นยิ มลงทา้ ย ฐา ธาตุ โดยไม่นิยมหมวดวิภัตติ นิคคหติ อาคม นยิ มลงกับธาตหุ มวด รุธฺ ธาตุ แล้วอาเทส เป็นพยัญชนะท่ีสดุ วรรค ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๘ ๕. อธิกรณสาธนะ ท่านบัญญัตให้แปลว่าอย่างไร ? จงตอบพร้อม ยกตัวอยา่ งรปู วเิ คราะห์ประกอบ ? ๕. อธกิ รณสาธนะ ทา่ นบัญญตั ใหแ้ ปลวา่ อยา่ งนี้ คอื ที่เป็นกัตตุรูป แปลว่า “เป็นท่ี....” ยกตัวอย่างรูปวิเคราะห์ ประกอบ เชน่ จีวร ปารุปนฺติ เอตฺถาติ จีวรปารุปน (ฐาน) ฯ ที่เป็นกัมมรูป แปลว่า “เป็นท่ีอันเขา...” ยกตัวอย่างรูปวเิ คราะห์ ประกอบ เชน่ จวี ร ปารปุ ิยติ เอตถฺ าติ จีวรปารุปน (ฐาน) ฯ ๖. อะไรช่ือว่าทวนั ทวสมาส ในทวันทวสมาสนี้ สมาหาโร กับ อสมาหาโร มีลักษณะต่างกันอยา่ งไร ? ๖. นามนามตั้งแต่ ๒ ศัพท์ขึ้นไป ท่านย่อมเข้าเป็นบทเดียวกัน ชอ่ื วา่ ทวนั ทวสมาส ฯ ในทวันทวสมาสน้ี สมาหารโร กับ อสมาหาโร มีลักษณะ ต่างกันอย่างน้ี คือ ทวันทวสมาสท่ีรวมนามศัพท์มีเนื้อความเป็น พหุจนะ ทาให้เป็นเอกวจนะ นปุงสกลิงค์ ชื่อว่าสมาหารโร ตัวอย่างเช่น สมโถ จ วิปสฺสนา จ สมถวิปสฺสน เป็นต้น ส่วนทวันทวสมาสท่ีท่านไม่ได้ทาอย่างน้ี ชื่อว่า อสมาหาโร ตัวอย่างเช่น สมโณ จ พรหฺ มฺ โณ สมณพรฺ าหมฺ ณา เป็นต้น ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๓๙ ๗. อี ปัจจยั มีในตัทธิตไหนบา้ ง ? และใช้ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ๗. อี ปัจจยั มใี น ๒ ตัทธิต คอื ตทัสสัตถิตทั ธิต และปูรณตทั ธติ ฯ ใช้ต่างกัน อย่างนี้ คือ อี ปัจจัย ในตทสั สตั ถิตัทธิต ใชล้ งท้ายศัพท์ นามนาม ทาศัพทน์ ามนาม ให้เป็นคณุ นาม ส่วน อี ปัจจัย ในปูรณตัทธิต ใช้ลงท้ายปกติสังขยา ต้ังแต่ เอ กาทส เป็นต้น ถึง อฏฺฐารส เฉพาะท่ีเป็นอติ ถีลิงค์ ทาปกติสังขยา ให้เป็นปรู ณสังขยา ฯ พระเทพปรยิ ตั ิมุนี เขมจารี วัดทองนพคณุ เฉลย สนามหลวงแผนกบาลี ตรวจแก้

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๔๐ ประโยค ป.ธ. ๓ ปญั หำและเฉลย บำลไี วยำกรณ์ สอบ วันท่ี ๒๑ กมุ ภำพันธ์ ๒๕๕๒ --------------------- ๑. สระในบาลีภาษานน้ั มีเทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? สระเช่นไร จดั เป็นครุ ? ๑. สระในบาลภี าษามี ๘ ตัว ฯ คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ฯ สระที่เป็นทีฆะล้วนเช่นนี้ คือ อา อี อู เอ โอ และที่เป็นรัสสะ คอื อ อิ อุ มีพยัญชนะสังโยค และนคิ คหิตอยูเ่ บื้องหลัง จดั เป็นครุ มเี สยี งหนกั เหมอื นคาวา่ ภปู าโล มนสุ สฺ นิ โท โกเสยยฺ เป็นตน้ ฯ ๒. ทีฆะสระสระสนธิ มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? ในที่เช่นไร จึงจะทีฆะ สระหนา้ ได้ ? อทิ าเนวาห เปน็ สนธิอะไร ? ตดั และต่ออย่างไร ? ๒. ทีฆะสระสระสนธิ มี ๒ ฯ คือ ทีฆะสระหน้าอย่าง ๑ ทีฆะสระ หลงั อย่าง ๑ ฯ ทีฆะสระหน้าในที่เช่นน้ี คือ เม่ือสระหลังลบแล้วทีฆะได้ ตัวอยา่ ง กึสุ – อิธ ลบ อิ ที่ อธิ แล้วทฆี ะสระหนา้ ได้ คอื ทฆี ะ อุ ที่ กึสุ เป็น อู เปน็ กสึ ธู หรอื สาธุ – อิติ เป็น สาธตู ิ เปน็ ตน้ หรอื มพี ยัญชนะ อยู่หลัง ทฆี ะสระหนา้ ได้ ตัวอย่าง มนุ ิ – จเร เปน็ มนุ ีจเร ฯ

ปั ญ ห ำ - เ ฉ ล ย วิ ช ำ บ ำ ลี ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ป . ธ . ๓ | ๓๔๑ ๓. จงตอบคาถามต่อไปนี้ ก. นามเช่นไร จดั เปน็ สาธารณนาม ? ข. สตฺถาโร มวี ธิ ีทาตัวอยา่ งไร ? ค. ปณณฺ รสี เปน็ สงั ขยาชนิดไหน ? ฆ. วเิ สสนสัพพนามมลี กั ษณะอย่างไร ? ง. ภนฺเต, สาย ในอัพยยศัพท์ เปน็ นิบาตอะไร ? ๓. ไดต้ อบคาถามต่อไปนี้ คือ ก. นามท่วั ไปไดแ้ ก่คน สตั ว์ ท่ี อ่นื ได้ เหมอื นคาวา่ มนสุ โฺ ส มนษุ ย,์ ติรจฺฉาโน สตั ว์ดิรจั ฉาน, นคร เมอื ง เป็นตน้ จดั เป็นสาธารณ นาม ฯ ข. สตฺถาโร มีวธิ ที าตัวอยา่ งนี้ คือ สตถฺ าโร ศัพทเ์ ดิมเป็น สตถฺ ุ ลง โย ปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ และอาลปนวิภัตติ พหุวจนะ เอา อุ การันต์ ที่ สตฺถุ เป็น อาร มีรูปศัพท์เป็น สตฺถาร แล้ว เอา โย ปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ และอาลปนวิภัตติ พหวุ จนะ เป็น โอ สาเร็จรูปเปน็ สตถฺ าโร ฯ ค. ปณณฺ รสี เป็นสังขยาชนิดปรู ณสังขยา ฯ ฆ. วิเสสนสัพพนาม มีลักษณะอย่างน้ี คือ คล้าย ๆ กับคุณนาม แต่มวี ิธแี จกไมเ่ หมือนคุณนาม ฯ ง. ภนฺเต เปน็ นบิ าตบอกอาลปนะ สาย เป็นนิบาตบอกกาล ฯ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook