Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

Description: เล่มที่39นักการเมืองถิ่นนราธิวาส

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส โดย รุจน์จาลกั ษณร์ ายา คณานุรักษ์ ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data รุจน์จาลกั ษณร์ ายา คณานรุ ักษ์. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นราธวิ าส- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2558. 374 หน้า. 1. นักการเมือง - - นราธิวาส. 2. นราธิวาส - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 324.2092 ISBN : 978-974-449-800-7 รหสั สิ่งพิมพข์ องสถาบันพระปกเกลา้ สวพ.58-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สือ 978-974-449-800-7 ราคา พมิ พค์ ร้งั ท่ี 1 2558 จำนวนพมิ พ์ 500 เล่ม ลขิ สทิ ธ ์ิ สถาบันพระปกเกล้า ทีป่ รึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ) นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผแู้ ตง่ รุจน์จาลักษณ์รายา คณานุรักษ์ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พ์ท่ี บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถิ่น จังหวัดนราธิวาส รุจน์จาลักษณ์รายา คณานุรักษ์ สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ รายงานการวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส ได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยได้รับความร่วมมือจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในอดีตและปัจจุบัน และผู้ให้ข้อมูล สำคัญทุกๆ ท่านที่นักวิจัยได้ลงไปทำการพูดคุย สัมภาษณ์ และ เก็บข้อมลู งานวจิ ยั นเ้ี ปน็ การศกึ ษาเพอ่ื นำเสนอภาพ “การเมอื งถน่ิ และนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส” ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน (พ.ศ.2554) ผ่านทางภูมิหลัง เครือข่าย ความสัมพันธ์ กลุ่มผลประโยชน์ บทบาทความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ ตัวนักการเมือง และกลวิธีการหาเสียง ดิฉัน ผู้วิจัย ขอขอบคุณ สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบัน พระปกเกลา้ ทใ่ี หท้ นุ สนบั สนนุ การทำงานวจิ ยั ฉบบั น้ี ขอขอบคณุ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสทุกท่าน ขอขอบคุณครอบครัว ผู้ใกล้ชิด เครือญาติของนักการเมืองถิ่นทุกท่าน ขอขอบคุณผู้ให้ ข้อมูลสำคัญทุกท่าน และขอขอบพระคุณ พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และพันเอกสมพล ปานกุล รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนราธิวาส ที่ได้

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส อนุเคราะห์ยานพาหนะ และที่พัก ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ทำให้งานวิจัยฉบับนี้สมบูรณ์ในด้านเนื้อหาต่างๆ ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วง ดิฉันหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้คงมีประโยชน์ในการศึกษา เรอ่ื งการเมืองไทยไม่มากก็น้อย และทสี่ ำคญั จะเป็นประโยชนแ์ ก่ อนชุ นคนรนุ่ หลงั เพอ่ื ทราบถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาของนกั การเมอื ง และปรากฏการณ์ทางการเมืองของจังหวัดนราธิวาสอย่าง ชัดเจนยิ่งขึ้น รุจน์จาลกั ษณ์รายา คณานรุ กั ษ์ พฤษภาคม 2557

บทคัดย่อ จากการวิจัยเรื่อง โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ในประเด็นความเป็น มาของการเมืองถิ่น และนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ตง้ั แต่ อดีตถึงปัจจุบัน ผ่านทางภูมิหลัง เครือข่าย ความสัมพันธ์ กลุ่ม ผลประโยชน์ บทบาทความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ ตัวนักการเมือง และกลวิธีการหาเสียงของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) โดยลงพื้นที่เก็บ รวบรวมข้อมูลจากนักการเมืองถิ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ยัง มีชีวิตอยู่ จากครอบครัว เครือญาติ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ผู้ที่ เกี่ยวข้อง โดยการสัมภาษณ์ พูดคุย เสวนา สอบถามในช่วง เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2554 ผลการศึกษา พบว่า เมื่อประเทศไทยเริ่มจัดให้มีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 จนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2554 จังหวัดนราธิวาสมีการเลือกตั้ง มาแล้วทั้งสิ้น 24 ครั้ง ความสนใจในการเลือกตั้งทำให้มองเห็น ความต้องการของประชาชนจังหวัดนราธิวาสที่จะให้รัฐบาล ตอบสนองถึงสิทธิและความต้องการของประชาชนผ่านตัวแทน ที่ตนเองไว้วางใจ

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส การเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส มีการเปลี่ยนแปลงและ มีพัฒนาการทางการเมืองตลอดเวลา ความเป็นมาของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึง ปัจจุบัน มีนักการเมืองท้องถิ่น (สมาชิกสภาจังหวัด) เลื่อน ระดับตนเองมาสู่นักการเมืองระดับชาติ (สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร) หลายคน ปัจจุบันบางท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว และบาง ท่านยังมีชีวิตอยู่ และดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน ปัจจุบัน การเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 นักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่ยังไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง นักการเมืองถิ่นแต่ละคนนั้นจะมีพื้นฐานทางการเมืองที่แตกต่าง กันออกไปตามช่วงเวลาและสถานภาพที่ตนเองดำรงอยู่ ไม่มี เรื่องเชื้อชาติ หรือศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการหาเสียง เป็น เพียงบุคคลที่รู้จักกันในระดับท้องถิ่น การเมืองถิ่นของจังหวัด นราธิวาสยุคนี้ไม่มีกลุ่มอิทธิพล ไม่มีกลุ่มศาสนา ไม่มีอำนาจ การเมืองจากภายนอกมาแย่งชิงผลประโยชน์ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสส่วนใหญ่มีวิธีการ หาเสียงและการปราศรัยเป็นแบบของตนเอง คือ การปราศรัย ด้วยภาษามลายูถิ่น ถึงแม้ว่าจะเป็นคนไทยพุทธ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในยุคนี้สามารถพูดภาษามลายูท้องถิ่นได้ทุกคน ทำให้สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ได้อย่างดี และต่างคนต่างมีวิธีการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แตกต่างกันออกไป คือต่างคนต่างทำเพื่อสนองต่อเป้าหมาย ของตัวเอง VII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส การเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 นั้นไม่มีการต่อสู่ทางการเมืองที่เข้มข้น เป็นการเมือง ที่เรียบง่าย และไม่มีพรรคการเมืองใดได้ครองอำนาจได้อย่าง เบ็ดเสร็จ กล่าวคือ ผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเป็น ประชาชนธรรมดาที่มีบทบาททางการเมืองระดับท้องถิ่น มีคุณงามความดี ประชาชนจึงเรียกร้องให้สมัครเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่แทนพวกเขา และทุกคนก็ทำหน้าที่ ของตนเองอย่างดีที่สุดต่อบ้านเมืองของตนเอง นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2501 ถึง พ.ศ.2526 การเมืองถิ่นยุคนี้เป็นยุคที่มีประชาธิปไตยเบ่งบาน นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นราธวิ าสมบี ทบาททเ่ี ปน็ ตวั ตนของตนเอง แต่มีความคิดที่จะทำงานเพื่อส่วนร่วมและประชาชนเป็นหลัก เนอ่ื งจากนกั การเมอื งถน่ิ สว่ นใหญเ่ ปน็ ปญั ญาชน เปน็ ขา้ ราชการ และเป็นนักวิชาการ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มองเห็นความเดือดร้อน และความต้องการของประชาชน นักการเมืองยุคนี้จึงทุ่มเทชีวิต และจิตใจเพื่อประชาชน นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ ไม่มีกลุ่ม ผลประโยชน์สนับสนุนมากนัก ส่วนใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุน จะเป็นบุคคลในเครือญาติ หรือเพื่อนฝูงในวงการที่ตนเองสังกัด อยู่ และนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ได้รับการยอมรับ จากประชาชนเพราะเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยุคนี้ไม่ได้ติดยึดอยู่กับ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง VIII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส กลวิธีการหาเสียงนั้น นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคนี้เป็นยุคที่เด่นในการปราศรัย เนื่องจากนักการเมืองถิ่น ทุกคนปราศรัยเป็นภาษามาลายูถิ่น ทำให้เกิดความเข้าใจ และ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ เครือข่ายของนักการเมืองถิ่นยุคนี้เป็นกลุ่มญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงที่สนับสนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง การแข่งขันทาง การเมืองยังไม่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่เป็นคนมา จากต่างพื้นที่มาอยู่ในจังหวัด หรือย้ายมาประกอบอาชีพใน จังหวัดนราธิวาส เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง บารมี และได้รับการสนับสนุน บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมของนักการเมืองถิ่นยุคนี้ จะเป็นนักวิชาการ นักต่อสู้เพื่อชาวบ้าน เป็นยุคที่เริ่มมี พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดใน ยุคนี้ ครองพื้นที่แบบพรรคเดียว มีพรรคการเมืองหลากหลาย ชาวบ้านที่ทำการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขานั้น เลือกเพราะตัวบุคคลมากกว่าเลือกพรรค ประชาชนจังหวัด นราธิวาสมีความเข้าใจในการเมืองและการเลือกตั้งมาก ประชาชนจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับ จังหวัด ไม่มีการซื้อสิทธิและขายสิทธิ ยังไม่มีการผูกขาด ทางการเมือง นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสก้าวมาอีกยุคหนึ่ง คือ ยุคของคนรุ่นใหม่ มีการศึกษา การเมืองยุคนี้จะเน้นไปที่ อัตลักษณ์ของนักการเมืองถิ่น และการเป็นตัวแทนของพี่น้อง ชาวมุสลิม พรรคการเมืองยุคนี้เป็นการแข่งขันกันหลายพรรค IX

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส มีการใช้ปัจจัยสูงในการแข่งขัน ไม่เน้นการหาเสียงที่เป็น การปราศรัย การหาเสียงนั้นจะเดินลงพื้นที่ไปตามมัสยิด ตาม สถานที่ละหมาดใหญ่ ๆ การได้มาซึ่งการเป็นนักการเมืองถิ่นมีปัจจัยสนับสนุน มากมาย มีการใช้อำนาจทั้งทางการเมือง และอิทธิพลส่วน บุคคล ยุคสมัยนี้มีการแข่งขันทางการเมืองสูงมาก ผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งจะมีอำนาจทางการเงินสงู

Abstract The research project for the compilation of local politician data is aimed at studying the history of local politics and politicians up to the present in respect to their backgrounds, linkages, relations and benefits; the role of the relationship between politicians and political parties; and the strategies used in campaigning for votes in the province. Data has been gathered from living politicians, and from politicians’ family members and close associates. The data was gathered through interviews, talks, and discussions from May to July 2011. The research results revealed that since Thailand’s first national election in 1933 until now in 2011, Narathiwat Province has gone through 24 general elections. Their willing in local elections revealed their intention to make government know their needs and give them rights via their trusted representatives. Local politics in Narathiwat has been changing and developing continuously, in doing so changing local politicians.

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส Many politicians have graduated from being local representatives to being members of the national parliament. Some have passed away, but some are still alive and serve as national representatives. From 1932 to 1957, most local politicians did not belong to any political party. They had various political bases, depending on the period in time and their status. Racial and religious factors were not involved in the election campaigns. Most successful politicians were locally well- known people; they did not belong to any pressure group or religious group, or any outside political group. The local politicians in Narathiwat had their own styles of campaigning speeches and strategies for seeking votes. Most of them, even the Buddhist Thais, could speak local Malayan language. At that time, all the representatives could speak local Malayan language to encourage local people to vote on election day. Each candidate campaigned alone, not as a team. From 1932 to 1957, there was no strong political competition. Political campaigns were simple and no single political party could control power absolutely. We could say that the members of the House of Representatives were good, moral people. Most of them acted for the benefit of their constituents. From 1958 to 1983, local politics in Narathiwat was quite progressive. The politicians in Narathiwat still played their roles as they did before, but ideas of working for the masses became more important. This is because most candidates XII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส were educated. They were officials and academicians in the new political arena. These politicians could see the problems and needs of the people. The politicians in this period devoted their lives to locals’ affairs. Local politicians at this time did receive much assistance from supporters. For most, supporters were their relatives or friends. Most politicians became successful because of their knowledge and capability. They did not belong to any political party. The strategy most commonly used by candidates campaigning in Narathiwat was to deliver campaign speeches in Malayan language, which could make the people understand and efficiently encourage them to vote. Linkages of the local politicians were their relatives and friends who supported them. The candidates were from different areas, but had moved to live or work in Narathiwat province. However, they were accepted by the people because they were well-known persons with prestige. The people voted in favor of their representatives because they preferred them personally, not because of association with any party. They understood the political and election concepts. They voted for the candidates who worked for them. There was no vote-buying. There was no monopoly of politics by any single powerful person. Local politicians of Narathiwat reach to a new generation time. Both politicians and citizens are well- XIII

educated. Politics is geared for having a political identity and only a representative of Muslims. There are many political parties that compete with each other. Strong competition factors are emphasized not only for campaign speeches as occurred in the past, but by going to Masjid and Muslims’ mosque instead. The factors of success as a local politician in Narathiwat are that one must have political power and prestige. There is still strong competition in each election. A successful candidate must have high financial power.

สารบัญ หน้า คำนำ IV บทคัดย่อ VI Abstract XI บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญของการศึกษา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 5 1.3 ขอบเขตการศึกษา 5 1.4 วิธีดำเนินการศึกษา 6 1.5 ระยะเวลาการศึกษา 6 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7 บทท่ี 2 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวดั นราธิวาส 9 2.1 ที่ตั้งและสภาพภมู ิศาสตร์ 9 2.2 สภาพเศรษฐกิจ 14 2.3 สภาพสังคมและวัฒนธรรม 18 2.4 การศึกษา 27 2.5 การบริหารและการปกครอง 28 บทท่ี 3 แนวคิดและทฤษฎ ี 39 3.1 แนวคิดทฤษฎี 40 3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 46

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หน้า บทที่ 4 การเมืองและนักการเมืองถนิ่ จังหวัดนราธวิ าส 53 4.1 ภูมิหลังการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 53 4.2 การเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 60 จังหวัดนราธิวาสตั้งแต่ พ.ศ. 2475 - ปัจจุบัน (พ.ศ.2554) 4.3 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่ 115 พ.ศ.2475 - ปัจจุบัน (พ.ศ.2554) 4.3.1 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 1 116 พ.ศ.2547 - 2500 4.3.2 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 2 155 พ.ศ.2501 - 2526 4.3.3 นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 3 180 พ.ศ.2527 - 2554 4.4 นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นราธวิ าสในสายตาของประชาชน 279 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 319 5.1 สรุปภาพรวมการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 319 5.1.1 สรุปนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 1 323 5.1.2 สรุปนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 2 325 5.1.3 สรุปนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ยุคที่ 3 327 5.2 อภิปรายผล 328 5.3 ข้อเสนอแนะ 334 บรรณานุกรม 335 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 339 ภาคผนวก ข ตารางรายชอ่ื สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั นราธวิ าส 341 ตั้งแต่ พ.ศ.2475 - 2550 ภาคผนวก ค ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่ 347 พ.ศ.2475 - 2550 ประวตั ผิ ู้วจิ ยั 355 XVI

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สารบัญภาพ หนา้ 11 รปู ที่ 1 แสดงอาณาเขตจังหวัดนราธิวาส 16 รูปที่ 2 แสดงสถานภาพแรงงานของจังหวัดนราธิวาสในปี 2551 33 รปู ที่ 3 แสดงจำนวนประชากรและจำนวนครัวเรือน 38 ของจังหวัดนราธิวาสระหว่างปี 2546 - 2551 รปู ที่ 4 แสดงแผนที่จังหวัดนราธิวาส XVII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส สารบัญตาราง หน้า 35 ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลสถิติเกี่ยวกับประชากรจังหวัดนราธิวาส XVIII

บ1ทท ่ี บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของการศึกษา การศึกษาการเมืองการปกครองไทยที่ผ่านมามุ่งศึกษา เหตุการณ์และกิจกรรมทางการเมืองของนักการเมืองระดับชาติ หรือการเมืองในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร โดยจะทำ การศึกษานักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาล หรือ ดำรงตำแหน่งในรัฐสภา และส่วนใหญ่ก็จะเป็นที่รู้จักจากการ ติดตามทางสื่อมวลชนที่นำเสนอข้อมูลในการทำหน้าที่และ กิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะๆ จนละเลยที่จะทำการศึกษา และติดตามบทบาททางการเมืองในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เช่น การพบปะประชาชนของนักการเมืองในพื้นที่ การทำกิจกรรม การสร้างเครือข่ายการเมือง และการหาเสียงในพื้นที่จังหวัด ต่างๆ ทั้งในช่วงเวลาก่อน หรือหลังการเลือกตั้งทั้งที่นักการเมือง ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ นั้นเป็นฐานที่สำคัญของการเมืองในระดับ ชาติ นอกจากนี้นักการเมืองที่ได้คะแนนเสียงในจังหวัด และได้ รับการเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนในฐานะ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา แต่ไม่ได้เป็น

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ที่รู้จักในระดับประเทศ เพราะอาจจะเพิ่งเริ่มเข้ามามีบทบาท หรือไม่ค่อยมีบทบาทที่สำคัญมากนักในการเมืองในระดับ ประเทศ อีกทั้งยังไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ขณะที่ ทางด้านวิชาการยังขาดการศึกษา วิเคราะห์การเมืองและ นักการเมืองในพื้นที่จังหวัดต่างๆ จากนักวิชาการและสถาบัน การศึกษาอย่างเป็นระบบ ดังนั้นการศึกษาข้อมูลการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่น ซึ่งหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ในจังหวัดต่างๆ จึงควรมีการศึกษาในลักษณะคู่ขนาน เป็นการ ศึกษาเรื่องราวของการเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณท้องถิ่น ในจงั หวดั ตา่ งๆ ในประเทศไทยทป่ี รากฏการณท์ เ่ี ปน็ ภาพคขู่ นาน ไปกับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวที การเมืองในสภาหรือที่ศูนย์กลางของประเทศกำลังต่อสู้ ชิงไหว ชิงพริบของนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ อีกภาพหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัด ท้องถิ่น ผู้สมัคร พรรคพวก และผู้สนับสนุนทั้ง หลายกำลังดำเนินการกิจกรรมต่างๆ เพื่อรักษาฐานเสียง ในพื้นที่ของตนเองเช่นเดียวกัน และทันที่ที่มีการยุติบทบาททาง สภา ภารกิจส่วนกลางสิ้นสุด นักการเมืองถิ่นจะลงพื้นที่พบปะ ประชาชนตามสถานที่ต่างๆ เช่น งานบุญ งานแต่ง งานศพ งานประเพณีต่างๆ นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยภาพดังกล่าวก็เกิดขึ้น แต่จะแตกต่าง กันตามลักษณะของบริบททางสังคม ความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และศาสนา ก็เป็นปัจจัยหรือ เงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญต่อการได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นตัวแทน ของนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส

บทนำ ภาพกิจกรรม หรือบทบาทของนักการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาส เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลายสิ่งหลายอย่างของ การเมืองไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แง่มุมอาจถูก มองข้ามไปในการศึกษาการเมืองระดับชาติ การเมืองถิ่นและ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสบางช่วงบางตอนขาดหายไป จึงเป็นเรื่องที่จะศึกษาเพิ่มเติมองค์ความรู้ที่ขาดหายไป และจะ ทำให้ได้ข้อมูลด้านปัจจัยความสำเร็จ และอุปสรรคของการ ได้รับการเลือกตั้ง วิธีการสร้างเครือข่ายและวิธีการหาเสียง ตลอดจนบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ ข้อมูลเหล่านี้ จะทำให้ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสเกิดความชัดเจน มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเติมเต็มองค์ความรู้ที่ขาดหายไป ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการเมืองถิ่นจังหวัด นราธิวาสมีลักษณะเป็นพลวัต กล่าวคือมีการเปลี่ยนแปลงใน พื้นที่โดยขึ้นอยู่กับบริบท ช่วงเวลา และสถานการณ์ ซึ่งทำให้ กิจกรรมทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส หรือ พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน จังหวัดนราธิวาสเป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มี สถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นมาอย่างตลอดและยาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภาพการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่น จึงถูกมองว่าหยุดนิ่งกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่และ ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ความมั่นคง มาบดบังสถานการณ์ทางการเมืองจนหมดสิ้น แต่หากพิจารณา ข้อมูลทางการเมือง นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสยังคง ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเท่าที่ทำได้ภายใต้ สถานการณ์ความไม่สงบ

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ความพิเศษของจังหวัดนราธิวาสไม่เหมือนจังหวัดใน ภาคอื่น คือ จังหวัดนราธิวาสมีลักษณะวัฒนธรรมที่หลากหลาย ระหว่างคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม และไทยจีน ตลอดจนชาวไทย เชื้อสายมลายู จึงมีความแตกต่างทางอัตลักษณ์ประเพณี ภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นภายในพื้นที่ และโดยเฉพาะกลุ่ม นักการเมืองถิ่นที่ผูกพันกับพรรคและผู้สนับสนุนเครือข่ายและ ประชาชน โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น จงั หวดั นราธวิ าส จะทำการศกึ ษาเรอ่ื งราวตา่ งๆ ของนกั การเมอื ง ถน่ิ และนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นราธวิ าสตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั (การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2550) การศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสครั้งนี้เป็นการศึกษา เฉพาะกรณีนักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสย้อนไปในอดีต เท่าที่สามารถทำได้ ในประเด็นประวัติความเป็นมา ผลงาน ภูมิหลังและเครือข่ายความสัมพันธ์ บทบาทและความสัมพันธ์ ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ บทบาทและ ความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมือง และกลวิธีการ หาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองของแต่ละคนในจังหวัด นราธิวาส

บทนำ 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อรู้จักนักการเมืองถิ่นที่เคยได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดนราธิวาส 2. เพื่อทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองถิ่นในจังหวัดนราธิวาส 3. เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมืองถิ่นในจังหวัดนราธิวาส 4. เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของ พรรคการเมืองกับนักการเมืองถิ่นในจังหวัดนราธิวาส 5. เพื่อทราบถึงวิธีการหาเสียงการเลือกตั้งของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 1.3 ขอบเขตการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการเมืองถิ่นและ นักการเมืองถิ่นของจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง ปัจจุบัน (พ.ศ.2554) ทำการศึกษาจากเอกสาร สอบถามประวัติ นักการเมืองถิ่นรุ่นเก่า จากบุคคลที่เกี่ยวข้องและผู้ที่สามารถให้ ข้อมูลเชื่อมโยงถึงนักการเมืองถิ่นที่เสียชีวิตไปแล้ว สัมภาษณ์ ครอบครัวบุคคลที่ใกล้ชิด หัวคะแนน และประชาชนทั่วไปใน จังหวัดนราธิวาส

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 1.4 วิธีดำเนินการศึกษา การศกึ ษาครง้ั นเ้ี ปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทางสงั คมศาสตร์ ศึกษาข้อมูลปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการติดต่อนักการเมืองถิ่นที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำการสัมภาษณ์ ถึงประวัติ ผลงาน เครือข่ายความสัมพันธ์ บทบาทกลุ่มผล ประโยชน์ที่สนับสนุน ความสัมพันธ์ของนักการเมืองถิ่นกับ พรรคการเมือง และวิธีการหาเสียง สัมภาษณ์บุคคลที่ใกล้ชิด และบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลเชื่อมโยงถึงนักการเมืองถิ่น ในอดีตของจังหวัดนราธิวาส และสัมภาษณ์ประชาชนทั่วไปใน พื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อขอทราบข้อมูลการเมืองถิ่นและ นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาจะทำการวิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้มา โดยการจัดระบบ แยกประเภทตามวัตถุประสงค์ แล้วประมวลข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ นำไปอภิปรายผลใน ภาพรวม รายงานผลการศึกษา นำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการ พรรณนาวิเคราะห์ 1.5 ระยะเวลาการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2554 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2554 รวม 8 เดือน

บทนำ 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เข้าใจกลไกทางการเมืองในจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) 2. ไดท้ ราบถงึ ภมู หิ ลงั ประวตั ิ ผลงานของนกั การเมอื งถิ่น จังหวัดนราธิวาส 3. ไดท้ ราบถงึ เครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดนราธิวาส 4. ได้ทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัดนราธิวาส 5. ได้ทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรค การเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดนราธิวาส 6. ไดท้ ราบถงึ วธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตง้ั ของนกั การเมอื ง ในจังหวัดนราธิวาส 7. ได้สร้างองค์ความรู้ทางการเมืองการปกครองใน จังหวัดนราธิวาส และข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองถิ่น สำหรับใช้เป็นองค์ความรู้ในการศึกษาวิจัยต่อไป

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส

บ2ทท ่ี ข้อมูลท่ัวไป ของจังหวัดนราธิวาส 2.1 ท่ีต้ังและสภาพภูมิศาสตร์ นราธิวาสจัดเป็นเมืองใต้สุดของประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ บนส่วนปลายของแหลมมลายูที่ยื่นยาวออกไปสู่คาบสมุทร อินโดจีน ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ถึง 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด ทิวเขา มากมายเหล่านี้ เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกในตอนต้น มหายุคซีโนโซอิก ทอดตัวเหยียดยาวในแนวเหนือ-ใต้ โดยมี เทือกเขาสันการาคีรีทอดตัวจากจังหวัดสตูลเลาะเลียบเขตแดน ไทยและประเทศมาเลเซีย เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของ คาบสมุทร นอกจากนี้ยังปรากฏรอยเลื่อนขนาดใหญ่เกิดขึ้น หลายแนว พื้นที่ส่วนใหญ่จึงมีลักษณะสูงต่ำแตกต่างกันออกไป เป็นอย่างมาก

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ป่าพรุสิรินธร อ่าวมะนาว เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร บริเวณด้านทิศตะวันตกของคาบสมุทรผืนแผ่นดินมีการ ยกตัวสูงขึ้นแล้วลาดเอียงไปสู่ที่ราบต่ำด้านทิศตะวันออกจด ท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ทิวเขาเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดลำน้ำสำคัญ ของจังหวัดนราธิวาส 4 สายคือ แม่น้ำบางนรา แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำตากใบ และแม่น้ำสุไหงโก-ลก ไหลจากทิศตะวันตกลงสู่ ที่ราบด้านทิศตะวันออกไปลงท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย บริเวณปาก แม่น้ำและริมฝั่งชายทะเลปรากฏตะกอนดินยุคควาเทอร์นารี ที่ถูกพัดมากับสายน้ำ ทับถมต่อเนื่องเป็นที่ราบเหยียดยาว ขนานไปกับท้องทะเลหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนกลายเป็น ป่าชายเลนและหาดเลน ขณะที่พื้นที่บางส่วนต่อมาภายหลัง ได้แปรเปลี่ยนเป็นผืนแผ่นดินแห่งใหม่ ลักษณะเดียวกับการเกิด ใหม่ของผืนแผ่นดินบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ยื่นยาวออกไปสู่ ท้องทะเลตลอดเวลา ด้วยเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของไทย ซึ่งเป็นเขตรับ ลมมรสุมจากฝั่งทะเลอันดามันและทางฟากฝั่งอ่าวไทยตลอด ทั้งปี ในรอบปีจึงมีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน โดยฤดูร้อนอากาศ จะร้อนชื้น ส่วนฤดูฝนฝนจะตกหนักต่อเนื่องในช่วงเดือนตุลาคม 10

ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนราธิวาส ถึงเดือนมกราคม อุณหภมู ิเฉลี่ยตลอดทั้งปีจึงสูงเพียง 27 องศา เซลเซียส จังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศ ไทยเป็นจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทย มีอาณาเขต ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลตะวันออกของ แหลมมลายู ห่างจากกรุงเทพฯ ทางรถยนต์ประมาณ 1,149 กิโลเมตร โดยมีเนื้อที่ประมาณ 4,475.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,797,143.75 ไร่ รูปที่ 1 แสดงอาณาเขตจงั หวดั นราธวิ าส 11

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดปัตตานีในเขตอำเภอ สายบุรี อำเภอไม้แก่น และอ่าวไทย ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ่าวไทย และรัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซีย ทิศใต้ ติดต่อกับ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดยะลา ในเขตอำเภอ บันนังสตา พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนราธิวาสเป็นป่าไม้และภูเขา 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด มีป่าพรุประมาณ 361,860 ไร่ ทางแถบ ทิศตะวันตกเฉียงใต้จดทิวเขาสันกาลาคีรีซึ่งเป็นแนวกั้น พรมแดนไทย-มาเลเซีย ลักษณะพื้นที่จะมีความลาดเอียงจาก ทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่บริเวณ ติดกับอ่าวไทยและที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำ บางนรา แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำตากใบ และแม่น้ำโก-ลก มีประชากรจำนวน 717,366 คน แยกเป็นชาย 356,229 คน หญิง 361,137 คน โดยจังหวัดนราธิวาสมีศูนย์กลางทาง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการอุตสาหกรรมอยู่ที่อำเภอ สุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่และมีความเจริญกว่า ตัวจังหวัดนราธิวาสมาก คำขวัญประจำจังหวัดนราธิวาส ทักษิณราชตำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน 12

ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนราธิวาส ต้นไม้ประจำจังหวัด คือ ตะเคียนชันตาแมว (Balanocarpus heimit King) เป็นไม้มงคลประจำจังหวัดนราธิวาส พบมากบนภูเขาสูงในป่า เขตจังหวัดนราธิวาส เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อไม้ในการ ก่อสร้างอาคารบ้านเรือน เช่น ทำเสา รอด ตง ขื่อ ใช้ต่อเรือ ทำ หมอนรองรางรถไฟ เครื่องแต่งบ้าน เสาเขื่อน เรือสำเภาเดิน ทะเล เสากระโดงเรือ ชันของไม้ชนิดนี้มีราคาสูง ใช้ผสมน้ำมัน ทาไม้ และน้ำมันชักเงาอย่างดี ดอกไม้ประจำจังหวัด คือ ดอกบานบุรีเหลือง (Allsmsnda cathartica) ต้นเป็น พุ่มโคนต้นแข็งปลายกิ่งอ่อนโค้งดอกสีเหลืองสดออกช่อ สัญลักษณ์จังหวัดนราธิวาส “รปู เรอื ใบเตม็ กำลงั แล่นกางใบ” รู ป เ ร ื อ ใ บ เ ต ็ ม ก ำ ล ั ง แ ล ่ น กางใบ สัญลักษณ์จังหวัดนี้เดิมเป็น รูปต้นยางกับคนกรีดยาง หมายถึง 13

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส อาชีพในการทำสวนยางพาราขอชาวเมืองนราธิวาส ส่งยางไป จำหน่ายยังต่างประเทศปีละมากๆ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นรูปเรือ ใบเต็มกำลังแล่นกางใบ 2.2 สภาพเศรษฐกิจของจังหวัดนราธิวาส 2.2.1 การเกษตรกรรม พื้นที่ถือครองเพื่อเกษตรกรรมกระจายอยู่ในทุก อำเภอ รวม 1,659,710 ไร่ หรือร้อยละ 59.34 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สวนยางพารา 878,233 ไร่ รองลงมาเป็น พื้นที่ปลูกข้าว 164,626 ไร่ ไม้ผล มะพร้าว พื้นที่ปลูก 63,397 ไร่ และพืชไร่ พืชผักตามลำดับ ผลไม้ที่มีชื่อเสียงและทำรายได้ให้ แก่จังหวัดมากได้แก่ ลองกอง 2.2.2 การประมง จังหวัดนราธิวาสมีประชากรที่เป็นชาวประมง 17 หมู่บ้าน จำนวน 3,321 ครัวเรือน ประชากรชาวประมง 14,778 คน เรือประมงจังหวัดนราธิวาส 857 ลำ เรือประมง พื้นบ้านขนาดไม่เกิน 12 เมตร จำนวน 757 ลำ เรือประมง พาณิชย์ขนาดใหญ่ และขนาดกลางตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป จำนวน 100 ลำ ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ ปี 2549 รวม มูลค่า 457 ล้านบาท มีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งกระจายอยู่ในทุกอำเภอ สำหรับการทำ ประมงทะเลทำในท้องที่อำเภอเมืองนราธิวาส และอำเภอ ตากใบ 14

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส 2.2.3 การปศุสัตว์ จังหวัดนราธิวาสมีการเลี้ยงสัตว์โดยทั่วไป เช่น โค กระบือ แพะ แกะ สุกร เป็ด ไก่ ห่าน ส่วนใหญ่เลี้ยงเพื่อใช้ ในการบริโภคในครัวเรือน ส่วนที่เหลือขายเป็นรายได้เสริมใน ครัวเรือน สายพันธุ์สัตว์ที่เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งให้ ผลผลิตต่ำ ยกเว้นสุกร ไก่กระทง และไก่ไข่ ซึ่งได้มีการเลี้ยงสัตว์ สายพันธุ์ดี ซึ่งให้ผลผลิตสูงตามความต้องการของตลาด สำหรับชนิดของสัตว์เลี้ยงมีความผูกพันกับวิธีการดำรงชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม และประเพณีที่มีอยู่ ซึ่งภาพรวมใน การผลิตสัตว์ของจังหวัดนราธิวาสยังไม่เพียงพอกับความ ต้องการของตลาด โดยเฉพาะ โค กระบือ แพะ แกะ สุกร ต้อง อาศัยการนำเข้าจากภาคกลาง และจังหวัดใกล้เคียงเป็นจำนวน มาก ซึ่งผลของการเคลื่อนย้ายสัตว์ก่อให้เกิดการนำเอา โรคระบาดสัตว์หลายชนิดเข้ามาด้วย ทางราชการจึงได้จัดทำ โครงการที่จะพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ โดยการอบรมให้ความรู้ด้าน การเลี้ยงสัตว์ต่างๆ แก่เกษตรกรสนับสนุนการเลี้ยงสัตว์พันธุ์ดี และให้บริการผสมเทียมโค สนับสนุนเวชภัณฑ์และบริการฉีด วัคซีนป้องกันโรคระบาดสัตว์ เพื่อลดอัตราการตายของสัตว์ เลี้ยง และเร่งการผลิตสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของ ผู้บริโภค ที่เหลือจำหน่ายเป็นรายได้เสริมในครัวเรือน 2.2.4 การอุตสาหกรรม จังหวัดนราธิวาส ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรม การบริการ และอุตสาหกรรมเพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตร ในท้องถิ่น โรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญในจังหวัดนราธิวาส 15

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ โรงงานผลิตยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน แปรรูปไม้ยางพารา อบ อัด น้ำยา โรงโม่บดย่อยหิน คอนกรีตผสมเสร็จ บะหมี่ สำเร็จรูป โรงน้ำแข็ง โรงงานผลิตล้อแม็กรถยนต์ โรงงานผลิต โคมไฟดิสโก้ ซึ่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะอยู่ในอำเภอเมือง และอำเภอสุไหงโก-ลก ภาวการณ์ปัจจุบันของภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ขาดสภาพคล่อง เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การลงทุนด้านอุตสาหกรรมลดลง ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลา เดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กและเป็นนักลงทุน ในท้องถิ่น ปัญหาเรื่องความปลอดภัยทำให้นักลงทุนจากที่อื่น ไม่กล้าที่จะมาลงทุนในจังหวัดนราธิวาส รปู ท่ี 2 แสดงสถานภาพแรงงานของจงั หวดั นราธวิ าสในปี 2551 จากรูปพบว่าสถานภาพแรงงานในจังหวัด นราธิวาสโดยการแบ่งออกเป็น 4 สถานภาพ คือ สถานภาพ 16

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส กำลังแรงงานปัจจุบัน กำลังแรงงานที่รอฤดูกาล ผู้ไม่อยู่ในกำลัง แรงงานอายุ 15 ปีขึ้นไป และอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งในแต่ละ สถานภาพได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างชายและหญิง ซึ่งพบ ว่ากำลังแรงงานชายในปัจจุบันมากกว่ากำลังแรงงานหญิง ในปัจจุบันคิดเป็น 28.49 % และในส่วนสถานภาพแรงงานของ ผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงานอายุ 15 ปีขึ้นไป จะเห็นได้ว่าสถานภาพ แรงงานหญิงจะสูงกว่าชายมากถึง 134.81 % ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นสถานภาพที่เกี่ยวกับ การทำงานบ้าน เรียนหนังสือ วัยเด็ก และวัยชรา เป็นต้น 2.2.5 การพาณิชย์ ส่วนใหญ่เป็นการค้าส่งและค้าปลีกในสาขา เกษตรกรรมที่เกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตรและการประมง และเนื่องจากจังหวัดนราธิวาสมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศ มาเลเซีย จึงมีการค้าชายแดนระหว่างไทย - มาเลเซีย โดยมี ช่องทางผ่านเข้า-ออก 3 ช่องทาง คือ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ด่านศุลกากรตากใบ และด่านศุลกากรบเู ก๊ะตา อำเภอแว้ง - สินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ ผลไม้สดตามฤดูกาล ปลาสด สินค้านำเข้าสำคัญ คือ ไม้แปรรปู - การค้าชายแดน ปี 2550 จำนวน 3,639.94 ล้านบาท แยกเป็น * มลู ค่าการส่งออก จำนวน 1,418.71 ล้านบาท * มลู ค่าการนำเข้า จำนวน 2,221.23 ล้านบาท 17

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส 2.2.6 การท่องเที่ยว จังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวัดหนึ่งที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2526 ให้เป็นท้องที่ที่เป็นแหล่ง ท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งประเภทธรรมชาติ ประเภท ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน และประเภทศิลปวัฒนธรรม ประเพณีรวมแล้วกว่า 50 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ จังหวัดได้แก่ พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลวัดเขากง น้ำตกปาโจ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดใบไม้สีทองแห่งเดียวในจังหวัดนราธิวาส และ ป่าพรุโต๊ะแดง หรือป่าพรุสิรินธร ซึ่งเป็นป่าพรุที่มีขนาดใหญ่ใน ประเทศไทย สมบูรณ์ด้วยสัตว์และพืชพันธุ์ไม้ งานของดีเมือง นรา เป็นงานประจำปี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-25 เดือนกันยายน ของทุกปี ในงานมีการประกวดผลไม้ ศิลปาชีพ หัตถกรรม ประกวดนกเขา และการแข่งขันเรือกอและชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ที่มา : สำนักงานจังหวัดนราธิวาส การทอ่ งเทย่ี วจงั หวดั นราธวิ าส. เอกสารเผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ)์ 2.3 สภาพสังคมและวัฒนธรรม จังหวัดนราธิวาส มีสังคมแบ่งออกได้ตามภาษาและ ศาสนา เป็น 3 รูปแบบคือ 1. สังคมชุมชนที่พูดภาษามลายูถิ่น และนับถือศาสนา อิสลาม 2. สังคมชุมชนที่พดู ภาษาไทยและนับถือศาสนาพุทธ 3. สังคมชุมชนที่พูดภาษาจีนและนับถือศาสนาอื่น เช่น พุทธ และคริสต์ 18

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส สังคมชุมชนที่พูดภาษามลายูถิ่นและนับถือศาสนา อิสลามนั้น มักตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่ม ไม่ปะปนกับชุมชน ที่นับถือศาสนาอื่น อยู่เป็นหมู่บ้านๆ ประกอบอาชีพด้วยกัน ในชุมชนเดียวกัน ส่วนน้อยที่ปะปนกัน ถ้าจำเป็นก็อยู่ปะปนกัน บ้าง การนับถือศาสนา ต่างคนต่างปฏิบัติศาสนกิจของตนไป ไม่เบียดเบียนกัน อยู่ด้วยกันโดยสันติ มีบ้างที่ไม่ลงรอยกันใน เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย ปัจจุบันผู้ที่พูดภาษามลายูถิ่น ก็สามารถพูดภาษาไทยได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะการศึกษาสูงขึ้น กว้างออกไปตามความเจริญของท้องถิ่น และความจำเป็นที่ ต้องประกอบอาชีพสัมพันธ์กัน สำหรับชาวพุทธที่พูดภาษาไทย ก็สามารถพูดภาษามลายูถิ่นได้ นับเป็นวิวัฒนาการด้าน วัฒนธรรมแห่งยุคโลกาภิวัตน์ รูปแบบของชุมชนมักเกิดขึ้นโดย ถือศาสนสถานเป็นจุดศูนย์กลาง เช่น วัด มัสยิด หรือสุเหร่า เพราะต้องอาศัยคนที่รวมกันเข้าเป็นชุมชนที่สนับสนุนค้ำจุน ชาวไทยทน่ี บั ถอื ศาสนาพทุ ธ มวี ฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม และประเพณีทค่ี ลา้ ยคลึงกันและไมแ่ ตกตา่ ง ไปจากจังหวัดอื่นๆ เช่น การแต่งกาย การขึ้นบ้านใหม่ วันสงกรานต์ การบวชนาค วันออกพรรษา ประเพณีเดือนสิบ (วันสารทไทย) และประเพณี วันลอยกระทง ชาวไทยที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็จะมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับ จังหวัดอื่นๆ สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จะมีความ แตกต่างไปบ้าง การแต่งกาย ชาวนราธิวาสปัจจุบัน แต่งกายกันตาม ลัทธิศาสนาที่ตนนับถือ ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามก็แต่งกายแบบ 19

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ที่นิยมของชาวมุสลิมโดยทั่วไป ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธก็แต่งกาย ตามแบบของชาวไทยที่นิยมโดยทั่วไป ชาวพุทธไม่ได้นิยม เครื่องแต่งกายแบบชาวฮินดูหรือชาวอินเดียอันเป็นแหล่งของ ศาสนาพุทธ ชาวพุทธในชนบทแต่งกายแบบไทยแท้ตามสบาย ถ้าอยู่ในเมืองแต่งกายแบบสากลหรือตามที่ทางราชการไทย บัญญัติ นิยมค่อนข้างไปทางยุโรป ในจังหวัดนราธิวาส มีผู้นับถือศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ ฮินดู น้อย ชาวชนบทที่กล่าวว่าแต่งกายตามสบายนั้น เพราะ ภาคใต้มีอากาศแบ่งเป็น 2 ฤดู คือฤดูร้อน กับฤดูฝน เท่านั้น ไม่มีฤดูหนาว ชาวชนบทที่เรียกว่าชาวบ้านนั้น ส่วนมาก ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เรื่องการสวมเสื้อมีความจำเป็น น้อย สิ้นเปลือง จึงไม่ใคร่สวมเสื้อ เว้นแต่ผู้หญิง ผู้ชายจะนุ่ง โสร่งหรือกางเกงขาสั้น โพกหัวหรือคลุมหัว ทำไร่ ทำนา ทำสวน หรือหาปลา ถ้าเข้าเมืองหรือเข้าสังคม ก็แต่งกายเรียบร้อย ตาม ความนิยมของสังคมในท้องถิ่นนั้น สำหรับชาวมุสลิมผู้คงแก่ เรียนในทางศาสนา มักนิยมแบบชาวอาหรับก็มีอยู่เป็นอันมาก จะเห็นอยู่ทั่วไป ในยุคโลกาภิวัตน์นี้การแต่งกายของคนรุ่นใหม่ มักวิวัฒนาการไปตามรูปแบบของชาวยุโรปมาก โดยเฉพาะ บุคคลที่ประกอบอาชีพรับราชการ ธุรกิจ หรือรัฐวิสาหกิจต่างๆ 2.3.1 เช้ือชาติ ส่วนมากเป็นชาวไทยเชื้อสายมลายูดั้งเดิม ชาว ไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยพุทธ และชาวมาเลเซียจากมาเลเซีย 20

ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนราธิวาส 2.3.2 ศาสนา นับถือศาสนาอิสลาม 82 % ชาวไทยพุทธ 17.9% และอื่น ๆ 0.1% 2.3.3 ภาษา ส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูปัตตานี 80% นอกจาก นี้ยังมีการใช้ภาษาถิ่นใต้ ภาษาไทยตากใบ และภาษาจีน 2.3.4 ศิลปะและวัฒนธรรม ลิเกฮลู ู (ดิเกฮลู )ู มะโย่ง โนราแขก 2.3.5 ประเพณี 2.3.5.1. ประเพณขี องชาวไทยพทุ ธ - ประเพณีชิงเปรต การชิงเปรตเป็นประเพณี เนื่องในเทศกาลเดือนสิบของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ โดย จัดในวัดทุกวัด ในวันแรม 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เดือน 10 โดยทำ ร้านจัดสำรับอาหารคาวหวาน ไปวางเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ เปรตชน (ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้ว) ร้านที่ วางอาหารเรียกว่า ร้านเปรต สร้างไว้กลางวัด ยกเสาสูง 4 เสา บ้าง เสาเดียวบ้าง และนิยมจัดทำร้านเปรต 2 ร้าน โดยแบ่งออก เป็นร้านเสาสูง สำหรับคนหนุ่มที่มีกำลังวังชาในการปีนป่าย อีกร้านเป็นเสาเตี้ยสูงแค่เอว สำหรับให้เด็กและผู้หญิง ได้แย่ง ชิงเพื่อความสนุกสนาน บนร้านเปรตจะมีสายสิญจน์วงล้อม ไว้รอบ และต่อยาวไปจนถึงที่พระสงฆ์นั่งทำพิธีกรรม เมื่อทำพิธี เสร็จแล้ว จะมีผู้ตีระฆังให้สัญญาณ บรรดาผู้มาร่วมทำบุญ 21

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส ก็จะเข้าไปรุมแย่งสิ่งของอาหารคาวหวานที่อยู่บนร้านเปรต อย่างสนุกสนาน ซึ่งเรียกกันว่า ชิงเปรต - ประเพณีบังกุลบัว การบังกุลบัวคือการ ทำบุญระลึกถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และนำกระดูกมาบรรจุไว้ ในบัว (ที่บรรจุอัฐิ) ประจำหมู่บ้าน ในแต่ละวัดหรือบัวประจำ ตระกูล มีขึ้นระหว่างเดือน 5 แรม 1 ค่ำ ของทุกปีเป็นต้นไป ถือ เป็นการชุมนุมญาติของแต่ละหมู่บ้านตำบล โดยเมื่อถึงวันบัง กุลบัว ญาติพี่น้องลูกหลาน ที่ไปประกอบอาชีพหรือไปอยู่ ต่างถิ่น จะพร้อมใจกันกลับบ้าน เพื่อทำบุญในวันนี้ และจะมี การทำความสะอาดตกแต่งบัว บางที่เรียกประเพณีนี้ว่า ทำบุญ รดน้ำบัว - ประเพณีลาซัง ลาซัง เป็นประเพณีประจำปี ของชาวไทยพุทธ แถวอำเภอตากใบ เรียกว่า ล้มซัง กินขนมจีน ประเพณีเกิดขึ้นเนื่องจากความเชื่อเรื่องที่นา เรื่องแม่โพสพ โดยเชื่อว่าถ้าจัดทำพิธีนี้แล้วจะทำให้นาข้าวปีต่อไปงอกงาม ให้ผลผลิตสูง เพราะชาวนารู้คุณเจ้าที่นาและแม่โพสพ หลังจาก ที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ผู้นำชุมชนก็จะกำหนดวันล้มซัง พร้อม นิมนต์พระจากวัดใกล้ๆ 3-5 รูป เพื่อทำพิธีทางศาสนา หลังเสร็จ พิธีแล้ว ชาวบ้านจะนำขนมจีนมาถวายพระ เมื่อพระฉันเสร็จ ผู้มาร่วมงานก็จะร่วมรับประทานอาหารคือ ขนมจีนร่วมกัน ในภาคบ่ายจะมีกิจกรรมการละเล่นต่างๆ เป็นการสนุกสนาน เช่น ชักเย่อ แย้ชิงรู ชนวัว (ปัจจุบันไม่ค่อยจัดแล้ว) ตีไก่ เล่นไพ่ เล่นลูกกอเจาะ(ลูกเต๋า) เล่นโป ในบางตำบลของอำเภอตากใบ เช่น ตำบลพร่อน ตำบลเกาะสะท้อน ตำบลโฆษิต จะจัดเป็น 22

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส เทศกาลประจำปี มีภาพยนตร์ หนังตะลุง และการแสดงอื่นๆ ในภาคกลางคืนด้วย - ประเพณีลากพระ ลากพระหรือชักพระ จะกระทำกันหลังจากวันมหาปวารณาหรือวันออกพรรษา 1 วัน คือตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พุทธศาสนิกชนจะพร้อมใจกัน อาราธนาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่วางอยู่เหนือรถ หรือล้อเลื่อน แล้วแห่แหนชักลากไปตามถนนไปรวมกัน ณ จุดที่ นัดหมายอาจจะเป็นวัดใดวัดหนึ่งหรือสถานที่ที่ผู้จัดงานกำหนด ไว้ รถหรือล้อเลื่อนนั้น ชาวบ้านมักเรียกว่า เรือพระ ปกติจะ ตกแต่งเป็นรูปเรือ โดยใช้คนลากเชือกเป็น 2 สาย บนเรือพระ จะมีคนตีโพน การตีโพนนั้นเพื่อปลุกใจให้ชาวบ้านกระตือรือร้น มาร่วมพิธีลากพระ และเรียกให้ชาวบ้านที่อยู่แนวถนนได้มาร่วม พิธีเท่าที่มีเวลา อาจจะเพียงช่วงระยะทาง 10-20 เมตร และ ร่วมทำบุญตามศรัทธา เมื่อเรือพระแต่ละลำเดินทางไปถึงจุดนัด หมาย ก็จะมีพิธีกรรมและกิจกรรม โดยชาวบ้านจะนำอาหาร ถวายพระสงฆ์ที่มาพร้อมกับเรือพระ หรือพระสงฆ์ที่ชาวบ้าน นิมนต์มาเพื่อร่วมงานลากพระ เพื่อพระฉันเสร็จแล้ว ชาวบ้าน ก็จะร่วมรับประทานอาหาร และร่วมกิจกรรมเพื่อความ สนุกสนานและความสามัคคี กิจกรรมที่จัดในงานประเพณี ลากพระ ได้แก่ การประกวดเรือพระ การแข่งขันตีโพนหรือ กลองใหญ่ แข่งขันซัดต้ม แข่งขันกีฬาพื้นบ้าน - ประเพณีกินวาน หมายถึง การไหว้วานให้ เพื่อนบ้านมาช่วยกันลงแรงทำงาน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ งานหนักหรืองานเร่งด่วนสำเร็จลุล่วงทันการ โดยผู้ที่ร่วมลงแรง 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส ไม่คิดค่าแรง งานบางอย่างอาจผลัดเปลี่ยนช่วยกันทำเป็นบ้านๆ ไป เช่นเดียวกับทางภาคกลางที่เรียกว่า ลงแขก การไหว้วานใช้ วิธีบอกกล่าวกันด้วยวาจา ผู้ไหว้วานอาจจะไปบอกด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้คนอื่นไปบอกแทน จึงเรียกการไหว้วานนี้ว่า ออกปาก และถือเป็นประเพณีที่เจ้าภาพจะต้องเลี้ยงอาหารผู้มา ร่วมลงแรง ผู้ที่ไปร่วมจึงมักใช้คำว่า ไปกินวาน ปัจจุบัน ประเพณีนี้ กำลังสูญหายไปเนื่องจากมีเครื่องจักรกลมาทำ หน้าที่แทนแรงคน จึงหลงเหลืออยู่ในกลุ่มเครือญาติ เพื่อนสนิท กลุ่มเล็กหรือในกลุ่มคนยากจนที่ไม่มีกำลังที่จะจัดซื้อเครื่องมือ กล 2.3.5.2. ประเพณีชองชาวไทยมุสลมิ - มาแกปูโละ “มาแกปูโละ” เป็นภาษาท้องถิ่น แปลว่า “กินเหนียว” ประเพณีการกินเหนียวของชาวไทยที่ นับถือศาสนาอิสลาม จะใช้ในหลายโอกาส เช่น แต่งงาน และ เข้าสุหนัต คำว่า “กินเหนียว” มิใช่ว่าเจ้าของจะบริการอาหาร เฉพาะข้าวเหนียวเท่านั้น แต่เป็นการเลี้ยงอาหารธรรมดาทั่วไป นั่นเอง - การเข้าสุหนัต เป็นหลักการของศาสนา อิสลาม อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องความสะอาด คือการขลิบผิวหนัง หุ้มส่วนปลายอวัยวะเพศชาย หรือเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “มาโซะยาวี” ซึ่งจะทำแก่เด็กชายที่มีอายุระหว่าง 2-10 ปีส่วน การจัดเลี้ยงอาหารในวันเข้าสุหนัตถือว่าเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง 24

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส - การถือศีลอด หรือชาวไทยเชื้อสายมุสลิมและ ผู้นับถือทั่วไปจะเริ่มถือศีลอดในเดือนรอมฎอน หรือช่วงเดือน พฤศจิกายนของไทย ผู้ถือศีลอดจะต้องมีอายุ 10 ปีขึ้นไป ทำการถือศีลอดอย่างเคร่งครัดตลอด 30 วันตั้งแต่พระอาทิตย์ แรกขึ้นจนกระทั่งตกดิน โดยงดทั้งน้ำและอาหารทุกชนิด สำรวม กิเลสทางใจ รวมทั้งถือศีลตามหลักศาสนา หลังถือศีลอดจะมี การหยุดงานอย่างน้อย 1 วัน เพื่อพบปะระหว่างญาติพี่น้องและ ถือเป็นวันพักผ่อนประจำปี 2.3.5.3 วันฮารีรายอ มีอยู่ 2 วันคือ - วันอิฏิลฟิตรี หรือที่เรียกว่า วันฮารีรายอปอซอ เป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องจากการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือน รอมฎอน เป็นการกลับเข้าสู่สภาพเดิมคือ สภาพที่ไม่ต้องอด อาหาร ไม่ต้องอดน้ำ ฯลฯ อีกต่อไป ซึ่งตรงกับวันที่หนึ่งของ เดือนเซาวาล เป็นเดือนที่ 10 ทางจันทรคติ และทางราชการ กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยกเว้นสงขลา) 1 วัน - วันอิฎิลอัตฮา หรือที่เรียกว่า วันฮารีรายอ หัจญี หมายถึงวันเฉลิมฉลองเนื่องในวันเชือดสัตว์พลีเป็นทาน บริจาคอาหารแก่คนยากจนและประชาชนทั่วไป ตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลอิจญะ เป็นเวลาเดียวกับการประกอบพิธีหัจญ์ ณ นครเมกกะของมุสลิมทั่วโลก ดังนั้นชาวไทยมุสลิมจึงนิยมเรียก วันตรุษนี้ว่า วันอีดใหญ่หรือวันรายอหัจญี และทางราชการ กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยกเว้นสงขลา) 1 วัน 25

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 2.3.5.4 วันเมาลิด เมาลิด เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า เกิด ที่เกิด หรือวันเกิด ซึ่งหมายถึงวันสมภพของ นบีมูฮัมหมัด ตรงกับวันที่ 12 ของเดือนรอบีอุลอาวาล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอาหรับ วันเมาลิด นอกจากจะเป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องในวันสมภพของ นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) แล้ว ยังเป็นการรำลึกถึงวันที่ท่านลี้ภัยจาก นครเมกกะไปสู่นครมาดีนะห์ และเป็นวันมรณกรรมของท่าน อีกด้วย ซึ่งตรงกันทั้งสามวัน กิจกรรมต่างๆ ในวันเมาลิด ได้แก่ การอัญเชิญคัมภีร์ อัล-กุรอ่าน การแสดงปาฐกถาธรรม การ แสดงนิทรรศการ การเลี้ยงอาหาร ฯลฯ 2.3.5.5 วนั อาซรู อ อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง วันที่ 10 ของ เดือนมุฮัรรอน ซึ่งเป็นเดือนทางศักราชอิสลาม ในสมัยท่าน นบีนุฮ์ ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ยังความเสียหายแก่ทรัพย์สินไร่นา ของประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดการขาดอาหารบริโภค จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของที่เหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอา มากองรวมกัน เนื่องจากต่างคนต่างมีของคนละอย่างไม่เหมือน กัน ท่านนบีนุฮ์ ให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน สาวกของ ท่านก็ได้รับประทานอาหารโดยทั่วกันและเหมือนกัน ในสมัย ท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ็อล) ได้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขณะ ที่กองทหารของท่านกลับจากการรบที่บาดัร ปรากฏว่าทหาร มีอาหารไม่พอกิน ท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ็อล) จึงใช้วิธีการของ ท่าน นบีนุฮ์ โดยให้ทุกคนเอาข้าวของที่รับประทานได้มากวน เข้าด้วยกัน แล้วแบ่งกันรับประทานในหมู่ทหาร 26

ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนราธิวาส 2.4 การศึกษา จังหวัดนราธิวาสมีการจัดการศึกษาหลายระดับ แยก เป็นในส่วนที่รัฐบาลดำเนินการคือตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น ตอนปลาย อาชีวศึกษา ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งมีสถานศึกษา 2 แห่งที่เปิดสอนคือ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และวิทยาลัยชุมชนนราธิวาส ซึ่งเปิดสอนในระดับ ต่ำกว่าปริญญา อีกทั้งยังมีโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สถาบันการศึกษาปอเนาะ และศูนย์การศึกษาประจำมัสยิด (ตาดีกา) ที่ภาคเอกชนดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของ หน่วยงานรัฐ จำนวนสถานศึกษาแสดงตามเขตพื้นที่การศึกษา ทั้ง 3 เขตในจังหวัด ปัจจุบันมีสถานศึกษารวมทั้งหมด 488 แห่ง (ไม่รวม แหล่งวิชาการนอกระบบ) สังกัด สปช. 255 แห่ง สังกัด สศ. 18 แห่ง สังกัด สช. 82 แห่ง สังกัด กศป. 15 แห่ง สังกัดเทศบาล 10 แห่ง สถาบันศึกษาปอเนาะที่จดทะเบียน 76 สถาบัน จำนวน นักศึกษาก่อนประถมศึกษา 31,200 คน ระดับประถมศึกษา 88,200 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 17,300 คน ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. 9,400 คน ระดับอุดมศึกษา (ปวส.) 900 คน ระดับอุดมศึกษา (วิทยาลัยพยาบาล) 800 คน รวม 147,700 คน (ที่มา : สำนักงานการศึกษาจังหวัดนราธิวาส, 2552) 27

นักการเมืองถ่ินจังหวัดนราธิวาส 2.5 การบริหารและการปกครอง 2.5.1 การปกครอง จังหวัดนราธิวาส แบ่งการปกครองท้องที่เป็น 13 อำเภอ 77 ตำบล 593 หมู่บ้าน และจัดการปกครองท้องถิ่น ดังนี้ 1. รูปแบบองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 1 แห่ง โดยใช้พื้นที่ทั้งจังหวัด 2. รูปแบบเทศบาล ใช้พื้นที่ตำบลทั้งตำบล แต่ เทศบาลบางแห่งไม่ครบทั้งพื้นที่ตำบล มีจำนวน 14 เทศบาล แยกเป็นเทศบาลเมือง จำนวน 3 แห่ง เทศบาลตำบล จำนวน 11 แห่ง 3. และรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล ใช้ พื้นที่ตำบลทั้งตำบล และบางแห่งรวมพื้นที่ตำบลอื่นหรือพื้นที่ ติดเขตเทศบาล มีจำนวน 74 แห่ง จังหวัดนราธิวาส มีสถานที่ ตั้งอยู่ที่อาคารศาลากลางจังหวัด ถนนพิชิตบำรุง อำเภอเมือง นราธิวาส ซึ่งมีพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 3 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2506 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ จ.ศ. 1325 เวลา 12.05 น. โดย ฯพณฯ พลเอกประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน เมื่อก่อสร้าง แล้วเสร็จ ได้มีพิธีเปิดอาคารศาลากลางจังหวัด เมื่อวันจันทร์ที่ 23 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2507 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง จ.ศ. 1326 โดย ฯพณฯ นายทวี แรงขำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย เป็นประธาน ปัจจุบันมีส่วนราชการระดับสำนักและ 28

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส กอง ในราชการส่วนภูมิภาคและราชการส่วนกลางตั้งอยู่ คือ สำนักงานจังหวัด ที่ทำการปกครองจังหวัด สำนักงานพัฒนา ชุมชนจังหวัด สำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสัสดีจังหวัด สำนักงานพลังงานจังหวัด และสำนักงานท้องถิ่นจังหวัด จังหวัดนราธิวาสได้ก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัด หลังใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2549 บริเวณศูนย์ราชการ หมู่ที่ 9 ตำบล โคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส ซึ่งการก่อสร้างใกล้เสร็จ สมบูรณ์แล้ว และจะดำเนินการย้ายสถานที่ทำการ ภายใน เดือนกันยายน พ.ศ. 2551 อาคารศาลากลางจังหวัดนราธิวาส เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 5 ชั้น เป็นการก่อสร้างขึ้น ใหม่เมื่อ พ.ศ. 2549 โดยใช้งบยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดปี 2549 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตน- ราชสุดาฯ เสด็จฯวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2549 ใช้ประโยชน์เมื่อเดือนสิงหาคม 2551 ต่อมาสมเด็จพระเทพ- 29

นักการเมืองถิ่นจังหวัดนราธิวาส รัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จฯ เป็นประธานเปิดอาคารเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2551 ส่วนราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เป็น หน่วยงานระดับสำนัก กอง และอำเภอ 13 อำเภอ ตามพระราช- บัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไข เพิ่มเติม ประกอบกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวง กรม พ.ศ. 2545 คือ ราชการส่วนภูมิภาค(ส่วนราชการประจำ จังหวัดและอำเภอ) ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนท้องถิ่น องค์กรมหาชน และรูปแบบองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 รวมทั้งรัฐวิสาหกิจตามกฎหมาย ว่าด้วยการจัดตั้ง การปกครองจังหวัดนราธิวาส แบ่งออกเป็น 13 อำเภอ 77 ตำบล 551 หมู่บ้าน 30

ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดนราธิวาส 1. อำเภอเมืองนราธิวาส 2. อำเภอตากใบ 3. อำเภอบาเจาะ 4. อำเภอยี่งอ 5. อำเภอระแงะ 6. อำเภอรือเสาะ 7. อำเภอศรีสาคร 8. อำเภอแว้ง 9. อำเภอสุคิริน 10. อำเภอสุไหงโก-ลก 11. อำเภอสุไหงปาดี 12. อำเภอจะแนะ 13. อำเภอเจาะไอร้อง เทศบาลจังหวัดนราธวิ าส 1. อำเภอเมืองนราธิวาส เทศบาลเมืองนราธิวาส 2. อำเภอตากใบ เทศบาลเมืองตากใบ 3. อำเภอบาเจาะ เทศบาลตำบลบาเจาะ เทศบาลตำบลต้นไทร 4. อำเภอยี่งอ เทศบาลตำบลยี่งอ 5. อำเภอระแงะ เทศบาลตำบลตันหยงมัส เทศบาลตำบลมะรือโบตก 6. อำเภอรือเสาะ เทศบาลตำบลรือเสาะ 7. อำเภอศรีสาคร เทศบาลตำบลศรีสาคร 8. อำเภอแว้ง เทศบาลตำบลบูเก๊ะตา เทศบาลตำบลแว้ง 31