Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 62นักการเมืองถิ่นประจวบคีรีขันธ์

62นักการเมืองถิ่นประจวบคีรีขันธ์

Description: 62นักการเมืองถิ่นประจวบคีรีขันธ์

Search

Read the Text Version

บ4ทท ่ี พัฒนาการทางการเมือง และนักการเมืองถิ่น ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บทสำรวจแนวคิด งานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง และข้อมูลนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4.1 คำถามการวิจัย การศึกษาประวัติศาสตร์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และ ประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ นักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้บริบทการเมือง ระดับชาติ ในบทที่ 2 และ 3 สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลง บริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ และการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมือง ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ ระบบการเลอื กตง้ั พรรคการเมอื ง รวมทง้ั วฒั นธรรม ทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในรูปของสัดส่วนการใช้สิทธิ เลือกตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้ง

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย คำถามสำคัญของการวิจัยนี้ คือ ปัจจัยอะไรที่ทำให ้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งได้รับเลือกตั้งมาเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร หรือนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขาเหล่านั้นมีภูมิหลัง ประสบการณ์ และการเข้าสู่เส้นทาง การเมืองอย่างไร เบื้องหลังความสำเร็จคืออะไร และเมื่อได้เป็น สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแลว้ เขามบี ทบาทในฐานะนกั การเมอื ง ระดับชาติอย่างไร คำถามเหล่านี้จะได้รับคำตอบผ่านการสำรวจแนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการสำรวจข้อมูลนักการเมืองแบบ เจาะลึก ก่อนที่จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อชี้ให้เห็น พัฒนาการทางการเมืองของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ วิพากษ์แนวคิดและงานวิจัยที่ผ่านมาโดยเทียบเคียงกับ ปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งนักการเมือง ถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้วิจัยได้กำหนดประเด็นเพื่อใช้เป็นกรอบในการสำรวจ แนวคิดและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนศึกษาข้อมูลเชิงลึก ดังนี้ 1) ปัจจัยเชิงสถาบันที่ส่งผลให้นักการเมืองถิ่นคนใด คนหนึ่งได้รับการเลือกตั้ง อาทิ การเปลี่ยนแปลงระบบการ เลือกตั้ง (รวมเขต แบ่งเขต แบบผสมแบ่งเขต/รวมเขต แบบผสม ระบบแบ่งเขต/บัญชีรายชื่อ แบบแบ่งเขต/สัดส่วน) การเปลี่ยนแปลงหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการเลือกตั้ง บทบาท ของพรรคการเมืองที่สังกัด 133

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลของนักการเมืองถิ่น อาทิ ภูมิหลัง (เป็นชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด หรือผู้สมัครจากนอกพื้นที่) อาชีพก่อนมาสมัครเป็นผู้แทนราษฎร ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทางการเมือง วิธีการหาเสียงและเครือข่าย ผู้สนับสนุน 3) วัฒนธรรมทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละ ยุคสมัยที่ส่งผลต่อสัดส่วนการใช้สิทธิเลือกตั้ง และคุณสมบัติ ของนักการเมืองถิ่น 4.2 แนวคิดและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ผู้วิจัยให้ความสำคัญกับแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา สถาบันการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมืองซึ่งมีสมมติฐาน เบื้องต้นว่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางการเมืองและ นักการเมืองถิ่นของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4.2.1 แนวความคิดเก่ียวกับพรรคการเมือง การเลือกต้ัง และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยที่พรรคการเมืองเป็นกลไกที่มีความสำคัญในการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นกลไกเชื่อมโยง ระหว่างประชาชนกับผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ชงคชาญ สุวรรณมณี (2558) ได้ศึกษาแนวคิด เกี่ยวกับพรรคการเมืองและกฎหมายพรรคการเมืองที่มีต่อ การพัฒนาประชาธิปไตยไทย สรุปได้ ดังนี้ 134

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ความหมายของพรรคการเมือง ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ให้ความหมายว่า “พรรคการเมือง หมายถึง คณะบุคคล ซึ่งร่วมก่อตั้งเป็น พรรคขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะรวบรวมความคิดเห็น ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กำหนดเป็นนโยบาย ของพรรคการเมืองเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งผู้แทน โดย วิถีทางประชาธิปไตย” ศาสตราจารย์ ดร. เกษม อุทยานิน ให้ความหมายว่า “พรรคการเมือง คือ กลุ่มของพลเมือง ซึ่งมีความคิดเห็น ในปัญหาสาธารณะร่วมกันและปฏิบัติการร่วมกัน (Organized) เป็นหน่วยการเมือง เพื่อแสวงหาการควบคุมรัฐบาล โดยตั้งใจ ส่งเสริมการกำหนดการ (program) และนโยบาย (policy) ซึ่งเขา เชื่อถือ” ศาสตราจารย์ จรูญ สุภาพ ให้ความหมาย “พรรค การเมืองเป็นกลุ่มของเอกชนที่มี ผลประโยชน์คล้ายคลึงและ ความต้องการอย่างเดียวกัน โดยรวมกันขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ ที่จะเข้าควบคุมและกำหนดนโยบายของรัฐโดยการเอาชนะ ในการเลือกตั้ง การออกกฎหมายและการบริหาร” ความสำคัญของพรรคการเมืองต่อการพัฒนา ประชาธิปไตย พรรคการเมืองจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนา ประชาธิปไตย ดังนี้ 135

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1) พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากและมีโอกาส เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสามารถนำนโยบายของ พรรคการเมืองนั้นเป็นนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน ต่อไป 2) พรรคการเมืองเป็นศูนย์กลางที่จะรับทราบความ คิดเห็น ตลอดจนความต้องการของประชาชน 3) พรรคการเมืองจะเป็นผู้ประสานงานระหว่างฝ่าย นิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ววิ ฒั นาการพรรคการเมอื งในประเทศไทย วิวัฒนาการพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 นั้น เริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมี พระราชดำริให้ทดลองใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบ ประชาธิปไตยขึ้นมาในเมืองจำลอง คือ เมืองดุสิตธานี ฐานันดร ศักดิ์ทั้งหลายที่มีกันอยู่ จะไม่มีผลใดๆ เมื่อเข้ามาในดุสิตธานีนี้ ซึ่งเป็นเมืองที่พลเมืองมีความเท่าเทียมกัน มีการปกครองตนเอง โดยให้พลเมืองเลือกพรรคที่มีอยู่สองพรรคว่าพรรคใดควรจะเข้า มาทำหน้าที่บริหารเมืองดุสิตธานี โดยทรงใช้สัญลักษณ์ของ สองพรรคเป็นแถบสี คือ พรรคแพรแถบสีน้ำเงิน (โดยมีพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระนามแฝงว่า “ท่านราม ณ กรุงเทพ” เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคแพรแถบสีแดง (โดยมี พลเอก พระยารามราฆพ เป็นหัวหน้าพรรค) หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นสมาคมคณะราษฎร 136

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นสมาคมที่มี วัตถุประสงค์ทางการเมือง โดยไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นๆ ได้ ดำเนินการทำนองเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 มีการแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยความริเริ่มของนายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม) ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้น สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2489 นี้ ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิของชนชาวไทยในการ ตั้งคณะพรรคการเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก คือ พระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พ.ศ. 2489 อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า การบัญญัติรับรองสิทธิในการตั้งคณะพรรคการเมืองเช่นนี ้ เป็นเพียงการยอมรับสภาพความเป็นจริงเท่านั้น เพราะได้มี การจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ และจากการที่ไม่มีการวางเกณฑ์เกี่ยวกับพรรค การเมือง พรรคการเมืองจึงกลายเป็นเพียงฐานอำนาจทาง การเมืองเพื่อการแสวงหาประโยชน์ และกลายเป็นสาเหตุหนึ่ง ของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กฎหมายพรรคการเมืองไทยฉบับต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้ง แต่อดีตถึงปัจจุบัน มีจำนวน 6 ฉบับ ดังนี้ 1) พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นกฎหมาย พรรคการเมืองฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 14 ทำให้ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา 23 พรรค ก่อนที่จะ มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 การเลือกตั้ง 137

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครั้งนั้นมีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมีที่นั่งในสภา 8 พรรค ค ื อ พ ร ร ค เ ส ร ี ม น ั ง ค ศ ิ ล า พ ร ร ค ป ร ะ ช า ธ ิ ป ั ต ย ์ พ ร ร ค เสรีประชาธิปไตย พรรคเศรษฐกร พรรคธรรมาธิปัตย์ พรรคชาตินิยม พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคอิสระ และ ไม่สังกัดพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง หลังจากการเลือกตั้งครั้งนั้นแล้ว ได้มีผู้จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีก 7 พรรค รวมเป็น 30 พรรค ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 ได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยมีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมีที่นั่งในสภาจำนวน 9 พรรค เมื่อคณะปฏิวัติประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ ได้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 ทำให้พรรคการเมืองทั้งหลายที่จัดตั้งขึ้นไว้ให้สิ้นสุดลงด้วย ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2501 เป็นต้นไป 2) พระราชบัญญัตพิ รรคการเมอื ง พ.ศ. 2511 หลงั จากทใ่ี ชป้ ระกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทยพุทธศักราช 2511 ได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการรวมกันเป็น พรรคการเมืองไว้ใน มาตรา 37 วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคล ย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง เพื่อ ดำเนินกิจการในทางการเมือง โดยวิถีทางประชาธิปไตย และ ไม่ขัดต่อระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญนี้” และวรรคสอง บัญญัติว่า “การจัดตั้งและการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง” ดังนั้นในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2511 จึงได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 หลังจากที่มีการประกาศใช้กฎหมายนี้แล้ว ได้มีการ ขอจัดตั้งพรรคการเมือง 12 พรรค ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 138

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 มีพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง มีที่นั่งในสภาจำนวน 8 พรรค คือ พรรคสหประชาไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคแนวร่วมประชาธิปไตย พรรคแนวร่วม เศรษฐกร พรรคประชาชน พรรคชาวนาชาวไร่ พรรคสัมมาชีพ- ช่วยชาวนา พรรคเสรีประชาธิปไตย และผู้สมัครอิสระไม่สังกัด พรรค พรรคแกนนำซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจเดิม ได้รวบรวม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระและมารวมกลุ่ม กันจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองในภายหลัง กลายเป็นพรรค เฉพาะกิจ และทำให้จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นหัวหน้า รัฐบาลในขณะนั้น กระทำรัฐประหารตนเองยึดอำนาจ การปกครอง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 3) พระราชบญั ญตั ิพรรคการเมอื ง พ.ศ. 2517 ก ฎ ห ม า ย พ ร ร ค ก า ร เ ม ื อ ง ฉ บ ั บ น ี ้ เ ก ิ ด จ า ก ผ ล พ ว ง ของการเรียกร้องประชาธิปไตยจนเกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วาง หลักเกณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองไว้ในมาตรา 45 วรรคแรก บัญญัติ ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการ รวมกันเป็นพรรคการเมือง เพื่อดำเนินกิจการในทางการเมือง ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้” และวรรคสอง บัญญัติว่า “การจัดตั้ง และ การดำเนินกิจการของพรรคการเมืองย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายแห่งกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง” และ 139

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วรรคท้าย บัญญัติว่า “พรรคการเมืองต้องแสดงที่มาของรายได้ และการใชจ้ า่ ยโดยเปดิ เผย” ซง่ึ ในพระราชบญั ญตั พิ รรคการเมอื ง พ.ศ. 2517 ได้กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรค การเมอื งและกำหนดเปน็ คณุ สมบตั ขิ องสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ให้ต้องมีพรรคสังกัด ซึ่งเป็นการสรุปบทเรียนจากพฤติกรรมของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สมัครเข้ามาโดยไม่สังกัดพรรค 4) พระราชบัญญตั พิ รรคการเมือง พ.ศ. 2524 หลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 แล้ว โฉมหน้าของพรรคการเมือง เริ่มเปลี่ยนแปลงให้ต้องมีความผูกพันกับทุนทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เล็งเห็นว่า การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยจำเป็นจะต้องมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง จึงเรียกร้องให้พรรคการเมืองต้องมีฐานที่กว้างขึ้นและกำหนด จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคจะต้องส่งในการเลือกตั้งทั่วไป แต่ละครั้ง รวมทั้งบัญญัติให้พรรคการเมืองต้องจัดทำบัญชี แสดงทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ ฉบับ พุทธศักราช 2517 ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองต้องแสดง ที่มาของรายได้และการใช้จ่ายโดยเปิดเผย และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พ.ศ. 2524 ซึ่งได้รับการแก้ไขเติมเติมเล็กน้อย เมื่อปี พ.ศ. 2535 เพื่อเป็นการอนุวัติตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 140

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมอื ง พ.ศ. 2541 กฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 เกิดขึ้นตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย” ซึ่งได้นำแนวความคิดจากทางกฎหมาย พื้นฐานของประเทศ เยอรมนีค่อนข้างมาก ในเรื่องของพรรคการเมืองก็เช่นกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติคุ้มครองเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองไว้ อีกทั้ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ก็บัญญัติให้การจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นไปได้ง่าย กว่ากฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 6) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายพรรคการเมือง ในปจั จบุ นั ภายใตก้ ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย พุทธศักราช 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 กำหนดให้พรรคการเมือง ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนญู ฉบับใหม่ พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์ (2557) ได้ศึกษาศึกษา เปรียบเทียบกฎหมายพรรคการเมืองทั้ง 6 ฉบับ ที่มีการใช้ในปี 141

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2498, 2511, 2517, 2524, 2541 และ 2550 ว่ามีความ เหมือนและความแตกต่างอย่างไร และบทบัญญัติในกฎหมาย เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทางการเมืองในประเทศไทยอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการ พัฒนากฎหมายดังกล่าว และพัฒนาพรรคการเมืองของไทย ให้มีความเข้มแข็ง และนำไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง ในอนาคต ผลการศึกษา พบว่า กฎหมายพรรคการเมืองของ ประเทศไทยไม่ได้ทำให้เกิดการพัฒนาพรรคการเมืองอย่าง แท้จริง หลายพรรคการเมืองเกิดขึ้น ถูกยกเลิก หรือโดนยุบ พรรคไปในเวลาอันสั้น พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้พัฒนาเป็น สถาบันทางการเมือง แต่ยังคงเป็นฐานอำนาจในการสนับสนุน บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทางการเมืองเท่านั้น สาเหตุเนื่องมาจาก 1) ข้อบัญญัติในกฎหมายพรรคการเมืองเป็นการ ควบคุมพรรคการเมืองมากเกินไป ทำให้พรรคการเมืองไม่เป็น อิสระ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน แต่เป็นองค์กรที่ถูก กำกับโดยรัฐ การออกกฎหมายยุบพรรคการเมือง ทำให้ พรรคการเมืองไม่กล้าริเริ่ม หรือดำเนินกิจกรรมทางการเมือง อย่างเต็มที่ เนื่องจากเกรงว่าจะถกู ยุบพรรค 2) ความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองเนื่องจากการ รัฐประหาร ทำให้กฎหมายพรรคการเมืองถูกยกเลิก ไม่สามารถ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อ การพัฒนา 3) ข้อบังคับในกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้กระตุ้นให้ ประชาชนสร้างอุดมคติร่วมกับพรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบ หรือ 142

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย กระตุ้นให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และ มีส่วนร่วมทางการเมือง แต่กลับให้ความสำคัญกับการ ตรวจสอบพรรคการเมืองเป็นสำคัญ การที่พรรคการเมืองจะมี ความมั่นคงและพัฒนาไปสู่การเป็นสถาบันการเมืองได้นั้น บุคลากร หรือสมาชิกที่มีความจงรักภักดีต่อพรรคมีความสำคัญ แต่กฎหมายพรรคการเมืองไม่เอื้อต่อการพัฒนาคนให้เป็น ส่วนหนึ่งของพรรค แต่สมาชิกพรรค หรือบุคลากรภายในพรรค ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในพรรคเท่านั้น เมื่อผู้มีอิทธิพลในพรรคออกจากพรรค หรือยุติบทบาทในพรรค แล้ว สมาชิกหรือบุคคลที่เคยทำงานในพรรคมาก่อนก็อาจยุติ หน้าที่ของตนเองตามบุคคลเหล่านั้นเช่นกัน จึงยากที่พรรค การเมืองจะมีความมั่นคงและดำเนินการทางการเมืองได้อย่าง ต่อเนื่อง ความอ่อนแอของพรรคการเมืองไทยที่ทำให้ไม่สามารถ พัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองได้ แต่เป็นแค่กลุ่มการเมือง (Political faction and political clique) จึงทำให้พรรคการเมืองเกิด ขึ้นและยกเลิก หรือถูกยุบพรรคง่าย บางพรรคการเมืองถกู จัดตั้ง ขึ้นเพื่อสนับสนุนนักการเมืองบางคน บางกลุ่มในการเลือกตั้ง เมื่อสมาชิกแพ้การเลือกตั้ง พรรคการเมืองนั้นก็อาจสลายตัวไป หรือถูกควบรวมกับพรรคอื่น หรือทำให้เกิดการย้ายพรรคของ สมาชิกพรรคตลอดเวลา เนื่องจากสมาชิกพรรคไม่มีความ ศรัทธาต่อพรรคการเมืองอย่างแท้จริง แต่เข้ามาเป็นสมาชิก พรรคเพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น ตำแหน่ง ทางการเมือง เป็นต้น ความอ่อนแอของพรรคการเมืองไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่มั่นคง 143

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (http://wiki.kpi.ac.th/index. php?title=กลุ่มการเมืองภายในพรรคการเมือง) ศึกษาแนวคิด เกี่ยวกับกลุ่มการเมือง โดยได้อธิบายว่า คำว่า Faction ในอดีต เคยถูกใช้ในความหมายของการเป็นพรรคการเมือง ก่อนที่จะมี การพัฒนามาเป็นคำว่า Political Party ในเวลาต่อมา ในปัจจุบัน Faction หมายถึง กลุ่มการเมือง หรือการ รวมตัวของกลุ่มต่างๆ ของสมาชิกภายในพรรคการเมืองอันเป็น ลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกภายในพรรคการเมือง กลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มย่อยที่ก่อตั้งขึ้นมาในลักษณะของการ แข่งขันให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์เชิงอำนาจภายในกลุ่มใหญ่ ที่กลุ่มเหล่านั้นดำรงอยู่ โดยสามารถจำแนกประเภทของ กลุ่มการเมืองภายในพรรคการเมืองออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) กลุ่มภายในพรรคที่เป็น “กลุ่มพรรคพวก (factional cliques)” เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นจากบุคคลที่มีผลประโยชน์ บางอย่างร่วมกัน เช่น อุดมการณ์ นโยบาย เรื่องส่วนตัวหรือ อื่นๆ โดยที่ไม่ได้มีเป้าหมายในการรวมตัวกัน เพื่อแสวงหา เป้าหมายหรือผลประโยชน์ของกลุ่ม กลุ่มการเมืองภายในพรรค ประเภทนี้มักเป็นกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ สมาชิกของกลุ่มมี จำนวนไม่แน่นอนและความเหนียวแน่นของสมาชิกในกลุ่ม ค่อนข้างสั้น กลุ่มประเภทนี้มักจะปรากฏในช่วงที่มีประเด็น ปัญหาหนึ่งภายในพรรคหรือในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 2) กลุ่มภายในพรรคที่เป็นกลุ่มอุปถัมภ์และความ สัมพันธ์ส่วนตัว (personal and client-group factions) หมายถึง กลุ่มผู้อุปถัมภ์-ผู้รับการอุปถัมภ์ มีการรวมกลุ่มกันอย่างเป็น 144

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย รูปธรรม มีกระบวนการวิธีการสรรหาและรักษาความสัมพันธ์ ระหว่างผู้นำกลุ่มกับสมาชิก กลุ่มในพรรคการเมืองประเภทนี้ จะอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำกลุ่มเป็นสำคัญ ทำให้ สมาชิกของกลุ่มประเภทนี้มีจำนวนน้อย และมักใช้หรืออ้างถึง หัวหน้ากลุ่มมาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม ด้านความยั่งยืนของ กลุ่มลักษณะนี้ขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมืองของผู้นำกลุ่มเป็น สำคัญ 3) กลุ่มภายในพรรคที่มีความเป็นสถาบันหรือองค์การ (institutionalized or organizational factions) กลุ่มในลักษณะนี้ มักเป็นกลุ่มที่มีความเป็นทางการ หรือกลุ่มที่มีพัฒนาการ ไม่พึ่งพิงหรือผูกพันกันด้วยความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์กัน ระหว่างผู้นำกับสมาชิก แต่จะมีลักษณะความสัมพันธ์แบบ ร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม มีตำแหน่งหรือกฎระเบียบที่แน่นอน ทั้งนี้ พื้นฐานของการดำรงอยู่ของกลุ่มแบบนี้ คือ ผลประโยชน์ ในทกุ ๆ เรอ่ื งตง้ั แตเ่ ชงิ อดุ มการณ์ ประโยชนเ์ ชงิ วตั ถุ ผลประโยชน์ สาธารณะ ไปจนถึงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยสมาชิกในกลุ่ม แบบนี้มักมีการรวมกลุ่มกันอย่างถาวรหรือเป็นระยะเวลา ยาวนาน โดยทั่วไป การเกิดกลุ่มภายในพรรคการเมืองมีแนวโน้ม นำไปสู่ความอ่อนแอและความไม่เป็นเอกภาพในพรรคการเมือง นั้น เนื่องจากมักมีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายใน พรรคการเมือง และการต่อสู้ฉกฉวยโอกาสกันระหว่างแกนนำ สำคัญในพรรคการเมือง ซึ่งอาจสร้างบรรยากาศกดดันและ ความตึงเครียด และในท้ายที่สุดมักออกมาในรูปของการ 145

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แยกตัวออกไปของกลุ่มบางกลุ่ม เพื่อออกไปตั้งพรรคการเมือง ใหม่หรือร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับพรรคการเมือง เดิมในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามต่อไป กลุ่มการเมืองภายในพรรคการเมืองของไทย มักนิยม เรียกในชื่อของ “มุ้ง” “กลุ่ม” หรือ “วัง” ต่างๆ ซึ่งกลุ่มการเมือง เหล่านี้มักมีพื้นฐานมาจากสายสัมพันธ์ส่วนตัวในแง่ของ การอุปถัมภ์ เครือญาติหรือการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ในลักษณะต่างๆ รวมไปถึงการมีอุดมการณ์ร่วมกัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดของความขัดแย้งระหว่างสมาชิกหรือ เกิดกลุ่มภายในพรรคการเมืองไทย สรุปได้ ดังนี้ 1) ความขัดแย้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ (Clash of Interests) เป็นสำคัญ โดยมีความไม่พอใจส่วนตัวเป็น ส่วนเสริมทำให้ความขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์รุนแรงขึ้น 2) ผลประโยชน์ที่เป็นพื้นฐานของความขัดแย้งเป็น ผลประโยชน์เฉพาะตัว เฉพาะกลุ่มมากกว่าเป็นผลประโยชน์ ส่วนรวมหรือของพรรค 3) ความขัดแย้งภายในพรรคที่รุนแรง มักเป็นความ ขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นนำของพรรคมากกว่าสมาชิกพรรค ในระดับล่าง 4) พรรคการเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก จะมีโอกาสเกิด ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มได้โดยง่าย 5) พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีผลประโยชน์ที่นำไปสู่ ความขัดแย้งของสมาชิก หรือกลุ่มต่างๆ ได้มาก 146

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวอย่างกลุ่มการเมืองในพรรคการเมืองที่มีบทบาท สำคญั “กลุม่ วังน้ำเย็น” กลุ่มการเมืองที่มีบทบาทสำคัญ คือ “กลุ่มวังน้ำเย็น” นำโดย นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ถิ่นฐานธุรกิจและการเมือง ดั้งเดิมของนายเสนาะ เทียนทอง เดิมที “กลุ่มวังน้ำเย็น” เป็น สมาชิกพรรคชาติไทย ซึ่งมี นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้า พรรค และสมาชิกพรรคได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวนมากและเป็นเสียงข้างมากในสภา ผู้แทนราษฎร ทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชา สามารถขึ้นสู่ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขานุการพรรคมีความสำคัญอย่าง มากในพรรคชาติไทย จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อ พ.ศ.2539 กลุ่ม วังน้ำเย็นกดดันให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา ลาออกจาก ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสนับสนุนให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ซึ่งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทน ในเบื้องต้นนายบรรหาร ศิลปอาชา ถูกกดดันจนต้อง ประกาศว่าจะลาออก แต่หลังผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายบรรหาร เปลี่ยนใจไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกใช้อำนาจในการยุบสภา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใหม่ เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มวังน้ำเย็น 147

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จงึ ไดล้ าออกจากพรรคชาตไิ ทยไปเขา้ รว่ มกบั พรรคความหวงั ใหม่ ที่มี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค โดยนายเสนาะ เทียนทอง ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค และสามารถ สนับสนุนให้พรรคความหวังใหม่ได้เสียงข้างมากในสภา ผแู้ ทนราษฎร และพลเอกชวลติ ยงใจยทุ ธ ขน้ึ เปน็ นายกรฐั มนตรี คนที่ 22 ของประเทศไทย ตวั อยา่ งความขดั แยง้ จากกลมุ่ ภายในพรรคการเมอื ง ไ ท ย แ ล้ ว แ ย ก ตั ว อ อ ก ไ ป ตั้ ง พ ร ร ค ใ ห ม่ ก ร ณี พ ร ร ค ประชาธิปัตย ์ หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์เกิดความแตกแยกขึ้น ภายในพรรค ช่วง พ.ศ. 2519 ส่งผลให้มีสมาชิกพรรค ประชาธิปัตย์ทั้งที่เป็นและไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2522 อาทิเช่น พรรคประชากรไทย นำโดย นายสมัคร สุนทรเวช พรรคเสรีธรรม นำโดยนายบุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์ พรรครวมไทย เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง พล.ต.ต.สง่า กิตติขจร อดีตสมาชิกพรรคประชาไทย กับ นายส่งสุข ภัคเกษม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มของนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ สมาชิกคนสำคัญของ กลุ่มหนุ่มในพรรคชาติไทย กลุ่มธรรมนูญ นำโดย นายธรรมนูญ เทียนเงิน อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น 148

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวอย่างกลุ่มการเมืองในพรรคขนาดใหญ่และ ศักยภาพในการจัดต้ังรัฐบาลพรรคเดียว : กรณีกลุ่ม การเมอื งในพรรคไทยรกั ไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีบทบัญญัติที่เอื้อต่อการเติบโตและดำรงอยู่ของพรรคการเมือง ขนาดใหญ่ พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. 2541 จึงเติบโตและมีอิทธิพลขึ้นอย่างมาก จากการรวบรวมกลุ่มในพรรคการเมืองอื่นๆ มาอยู่ในพรรค เดียวกัน และการควบรวมพรรคการเมืองอื่น หลังจากการจัดตั้ง รัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2544 หลังจากนั้น ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของ จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ทำให้พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคการเมืองแรกที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ได้สำเร็จ พรรคไทยรักไทยจึงเป็นพรรคที่ประกอบด้วยกลุ่ม การเมืองต่างๆ จำนวนมาก ได้แก่ กลุ่มบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในพรรคไทยรักไทย นำโดย พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กลุ่ม วังบัวบาน นำโดย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในภาคเหนือ กลุ่มวังน้ำยม นำโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กลุ่มวังพญานาค หรือ พรรคเสรีธรรมเดิม นำโดย นายพินิจ จารุสมบัติ กลุ่มวังน้ำเย็น นำโดย นายเสนาะ เทียนทอง กลุ่มทานตะวัน หรือพรรค ความหวังใหม่เดิม นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลุ่มวาดะห์ ภายใต้การนำของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่ ส.ส. กลุ่ม วังค้างคาว นำโดยนายประชา มาลีนนท์ กลุ่มบุรีรัมย์ นำโดย 149

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายเนวิน ชิดชอบ กลุ่มกทม. นำโดยนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นหัวหน้ากลุ่ม เหล่า ส.ส. เมืองหลวง กลุ่มวังมะนาว (กลุ่ม 16 เดิม) มีสมาชิกที่โดดเด่น เช่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายธานี ยี่สาร นายจำลอง ครุฑขุนทด เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ (ในชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2524 น.153-191) ศึกษาเรื่องการพัฒนาพรรคการเมือง กรณีพรรค ประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2521 พบว่า พัฒนาการของ พรรคการเมืองไทยเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้แทนราษฎร ในรัฐสภา ซึ่งโดยปกติพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ มีความจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรในระดับท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และแสวงหาการสนับสนุนจาก กลุ่มประชาชน แต่พรรคการเมืองไทยให้ความสำคัญกับ การแข่งขันทางการเมืองเพื่อชิงชัยในการเลือกตั้ง เมื่อไม่มี การเลือกตั้งก็หยุดดำเนินการ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง พรรคการเมืองและประชาชนขาดความต่อเนื่อง จากการศึกษา การขยายตัวของพรรคการเมืองจากกรณีการจัดตั้งสาขาพรรค ของพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า อุปสรรคของพรรคการเมือง ที่ต้องการพัฒนาจากฐานสนับสนุนที่แคบไปสู่การสนับสนุนจาก ประชาชนในวงกว้างนั้น มีปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ดังนี้ 1) ความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองจากการรัฐประหาร ทำให้พรรคไม่สามารถพัฒนาองค์กรไปสู่ความเป็นพรรค การเมืองที่มั่นคงได้ เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวทาง การเมือง ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร โดยเฉพาะการขยายฐานสนับสนุนในแนวดิ่ง 150

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 2) ในระยะแรก พรรคการเมืองต้องแสวงหาการ สนับสนุนจากกลุ่มพลังการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะคณะทหาร และทำความเข้าใจกับคณะทหารเกี่ยวกับนโยบายและบทบาท ของพรรคในขณะนั้นๆ อย่างชัดเจน แต่การขยายฐาน การสนับสนุนผ่านการขยายสาขาพรรคกระทำได้ยาก เนื่องจาก ต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ ทั้งเงินทุน บุคลากร และความชำนาญ ในการจัดการ รวมทั้งต้องเผชิญกับการต่อต้านของพื้นที่ เนื่องจากสาขาของพรรคจะเข้าไปทำลายระบบลูกพี่ - ลูกน้อง (patron-client) และระบบหัวคะแนนอีกด้วย 3) การขยายสาขาพรรคไปยังพื้นที่ต่างๆ เป็นสิ่งที่ จำเป็นสำหรับพรรคการเมือง โดยสาขาพรรคควรมีบทบาท ในการเมืองระดับท้องถิ่น เพื่อฝึกฝนและพัฒนาผู้นำท้องถิ่น และทำหน้าที่ช่วยเหลือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการรวบรวม ความต้องการและปัญหาของท้องถิ่นที่จำเป็นต้องได้รับ การแก้ไขโดยนโยบายระดับชาติ การวิจัยนี้สรุปได้ว่า ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการพัฒนา พรรคการเมือง คือ ความต่อเนื่องของระบบพรรคการเมืองและ การที่พรรคเร่งขยายฐานสนับสนุนจากประชาชนให้มากขึ้น กนก วงษ์ตระหง่าน (2530) ได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และบทบาทของสภา ผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตยไทย ยุคก่อน พ.ศ. 2530 ผ่านการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า แม้ว่าความไม่ต่อเนื่องทาง การเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ แต่ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้พรรคการเมืองไม่มีบทบาทในฐานะ 151

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สถาบันการเมืองและนำไปสู่การลดทอนคุณค่าของระบบ รัฐสภา ปัจจัยอื่นที่สำคัญ ได้แก่ 1) บทบาทของพรรคการเมืองในการกระบวนการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ปัจจัยที่ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งชนะการเลือกตั้ง คือ คุณสมบัติส่วนตัว ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประชาชนจะนำคุณสมบัติส่วนตัวของ ผู้สมัครมาพิจารณาว่าสมควรจะลงคะแนนให้หรือไม่ โดย พิจารณาจากความสัมพันธ์ในระดับบุคคลต่อบุคคล ระหว่าง ผู้สมัครรับเลือกตั้งกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครที่มี ฐานเสียงหรือคะแนนนิยมดี มักจะต้องเป็นบุคคลที่กว้างขวาง เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน มีการพบปะกับประชาชนอยู่เสมอ มีอัธยาศัยดี เคยให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน โดยเฉพาะในยาม ที่เดือดร้อน คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครจึงมีความสำคัญกว่า พรรคการเมือง จะเห็นได้จากการที่พรรคการเมืองจะเลือก ผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยพิจารณาจากคะแนนนิยมหรือฐานเสียง ในพื้นที่ เพราะรู้ดีว่าลำพังชื่อเสียงของพรรคและกลไกของพรรค ไม่สามารถทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งชนะการเลือกตั้งได้ นอกจากนั้น จากบทบาทการช่วยหาเสียงของพรรคช่วยผู้สมัคร ที่มีอย่างจำกัด ทำให้สิ่งแรกที่ผู้สมัครคิดถึงพรรคการเมือง คือ “เงิน” ของพรรคการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่มีฐานเสียงดีอยู่แล้ว ในทางกลับกันหากผู้สมัครคนใดชนะการเลือกตั้งเพราะ พรรคการเมืองที่สังกัดช่วยเหลือ สมาชิกพรรคการเมืองนั้นๆ 152

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ก็จะปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบของพรรคการเมือง การแตกแถว ออกจากพรรคมีน้อย ดังนั้น เงื่อนไขข้อแรกที่จะทำให้สมาชิก พรรคการเมืองเคารพกติกาพรรคและปฏิบัติตามระเบียบพรรค คือ พรรคต้องเป็นปัจจัยผลักดันให้ชนะการเลือกตั้ง ถ้าพรรคการเมืองใดไม่มีขีดความสามารถดังกล่าว พรรคการเมืองนั้นก็ไม่มีความหมายกับสมาชิกพรรคการเมือง นั้นๆ แต่อย่างใด ขณะเดียวกันผู้ที่มีอิทธิพลในพรรค คือ ผู้ที่ ทำให้ผู้สมัครหรือสมาชิกพรรคชนะการเลือกตั้ง ในทัศนะของ กนก ผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งมาด้วยคุณสมบัติส่วนตัว ขณะที่ พรรคการเมืองอ่อนแอ จะส่งผลต่อการทำหน้าที่ทั้งในรัฐสภา และนอกรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองที่อ่อนแอมักจะไม่มีกลไกหรือระบบ สนับสนุนการทำงานของสมาชิกพรรคในรัฐสภา เช่น ไม่มีระบบ ข้อมูล ระบบการศึกษาวิจัย งบประมาณและบริการต่างๆ ที่จะสนับสนุนการทำหน้าที่ในรัฐสภา ดังนั้น สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่มีคุณสมบัติส่วนตัวดี เช่น มีการศึกษาสูง มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีประสบการณ์การทำงาน และมีความ พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น กลุ่มอดีตข้าราชการ เป็นต้น ก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีกว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมาเพราะ การสนับสนุนการหาเสียงเลือกตั้งจากพรรคการเมือง ไม่ว่าจะ เป็นการอภิปราย การตั้งกระทู้ การตรวจสอบรัฐบาล เป็นต้น นอกจากการทำหน้าที่ในรัฐสภาแล้ว สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรยังต้องทำหน้าที่นอกรัฐสภา เนื่องจากต้องรักษา ฐานเสียงไว้ ด้วยการพยายามช่วยเหลือชาวบ้าน หรือทำตาม 153

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ความต้องการของชาวบ้าน เนื่องจากประชาชนคาดหวังว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องแก้ไขปัญหา หรือความเดือดร้อน ของตนเอง ครอบครัวและชุมชนได้ ส่วนปัญหาของชาติ ในภาพรวมนั้นดูจะเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเหตุให้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรต้องพยายามช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้ง หรือคำนึงถึงผลประโยชน์ของท้องถิ่นตนเอง เช่น ช่วยเหลือ ติดต่อราชการ หรือนำงบประมาณจากราชการมาแก้ปัญหาให้ กับชาวบ้าน เป็นต้น ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็น มิตรกับข้าราชการ เพื่อให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ซึ่งยิ่งทำให้ประชาชนเห็นว่าคุณสมบัติส่วนตัวของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมีความสำคัญ แม้ว่าพรรคการเมืองจะมีความ สำคัญในการสนับสนุนบทบาทการทำงานนอกสภาของสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรได้บ้าง แต่มีความสำคัญแตกต่างกันระหว่าง พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล และพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน การเป็นพรรครัฐบาลมีความสำคัญสำหรับการเมืองไทย เพราะ รัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ตัดสินใจแผนงาน โครงการต่างๆ ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของ ข้าราชการ ข้าราชการจึงต้องตอบสนองนโยบายและข้อสั่งการ ส่วนพรรคฝ่ายค้านถ้าไม่มีคุณสมบัติพิเศษก็ไม่สามารถ ดึงทรัพยากรจากภาครัฐมาได้ จนเป็นที่กล่าวกันว่า “พรรค การเมืองในสภามี 2 ฝ่าย คือ พรรครัฐบาล กับพรรคอยากร่วม รัฐบาล โดยไม่มีฝ่ายค้าน” (น.354) 2) ปัจจัยที่ทำให้พรรคการเมืองในประเทศไทยอ่อนแอ มาจากกลไกภายในของพรรคการเมืองเอง กล่าวคือ 154

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1) การไม่มีกลไกในการคัดกรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ ไม่มีระบบคัดกรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง จากพื้นที่ต่างๆ ผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนใหญ่มาจากการแนะนำ โดยบุคคลสำคัญในพรรค โดยพิจารณาจากคุณสมบัติส่วน บุคคล ฐานเสียง ว่ามีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งหรือไม่ โดยไม่ได้ สนใจว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งยึดมั่นในอุดมการณ์ทางการเมือง หรือนโยบายของพรรคหรือไม่ ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวสำคัญต่อ การทำหน้าที่ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเมื่อได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอนาคต 2.2) การสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งในการหาเสียง เลือกตั้ง พรรคการเมืองทุกพรรคมีค่าใช้จ่าย ทั้งเพื่อสนับสนุน ผู้สมัครรับเลือกตั้งในการหาเสียง และบริหารพรรค การหาเงิน มาใช้จ่ายในพรรคจึงเป็นภารกิจที่สำคัญ ผู้ที่สามารถหาเงินให้ พรรคได้จึงเป็นผู้มีอิทธิพลในพรรค จนมีคำกล่าวว่า “ผู้ที่กุม ถุงเงินคือผู้ที่กุมพรรคอย่างแท้จริง” ในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองมักจะทำได้ เพยี งการสนบั สนนุ ทางการเงนิ วสั ดอุ ปุ กรณใ์ นการประชาสมั พนั ธ์ หรือจัดทีมไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งการสนับสนุนของพรรค ดังกล่าวมักจะไม่เพียงพอ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องหา งบประมาณเอง หรือหาแหล่งสนับสนุนจากแหล่งอื่น ผู้สมัคร รับเลือกตั้งหลายคนได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารของพรรค เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในนามพรรค เมื่อผู้สมัครดังกล่าวได้รับ การเลือกตั้ง ทำให้ต้องมีความภักดีกับผู้สนับสนุนดังกล่าว ทำให้เกิดกลุ่มการเมืองในพรรคการเมืองนั้นๆ ทำให้พรรคไม่มี 155

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เอกภาพ ไมส่ ามารถควบคมุ พรรคได้ นำไปสปู่ ญั หาการแตกแยก ในพรรค การย้ายพรรค หรือการต่อรองตำแหน่งทางการเมือง ความอ่อนแอของพรรคการเมือง ทำให้ความสัมพันธ์ ส่วนบุคคลระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งและประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งมีลักษณะของความช่วยเหลือตามระบบอุปถัมภ์ อย่างไรก็ดี ในระยะต่อมา การใช้เงินจะมีความสำคัญในการ หาเสียงมากขึ้นและเงินยังมีความสำคัญในการซื้อเสียงด้วย โดยในแต่ละพื้นที่จะมีหัวคะแนนในแต่ละพื้นที่กำกับดูแล การลงคะแนน และนำเงินไปจ่ายให้กับผู้ที่ไปลงคะแนนเสียงให้ ในการหาเสียงเลือกตั้งในระยะหลัง เงินมีความ หมายมากกว่าความดีหรือความชื่นชมส่วนตัวในตัวผู้สมัคร ทำให้ผู้สมัครเองก็ลดความช่วยเหลือประชาชนลง แต่แสวงหา ผลประโยชน์เพื่อให้ได้เงินมาใช้ในการเลือกตั้ง ส่งผลให้ความ รู้สึกว่าเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน ลดความสำคัญลง ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถ นำไปแสวงหาผลประโยชน์ได้ หลายคนจึงแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อหาเงินไปแสวงหาอำนาจ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าระบบรัฐสภาสามารถเปลี่ยนเงิน เป็นอำนาจ และเปลี่ยนอำนาจเป็นเงิน ทำให้เข้าใจได้ว่า “เวที การเลือกตั้งเปรียบเสมือนตลาดที่อำนวยให้เงินสามารถเปลี่ยน เป็นอำนาจได้ สภาผู้แทนราษฎรเป็นตลาดที่ทำให้อำนาจ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้” (น.362) ระบบรัฐสภาก่อให้เกิด “ตลาดทางการเมือง” ทำให้ระบบรัฐสภาลดคุณค่าลง 156

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2556) นำเสนอแนวคิดเรื่อง “สองนคราประชาธิปไตย” เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ทาง การเมืองที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างเมืองและชนบท ในช่วง ปี พ.ศ. 2533-2536 และข้อเสนอเพื่อปฏิรูปประชาธิปไตยไทย ซึ่งต่อมาภายหลังก็เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวยังสามารถอธิบาย ปรากฎการณ์การเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2537-2540 ได้อีกด้วย 1) สภาพปญั หา เอนก เห็นว่าการที่ประชาธิปไตยในประเทศไทย ยงั ไมล่ งตวั เพราะชนชน้ั กลาง และชาวชนบท มองประชาธปิ ไตย ไม่เหมือนกัน 1.1) ประชาธิปไตยในมุมมองของชาวชนบท ชาวชนบทโดยทั่วไปมองประชาธิปไตยว่า เป็นเรื่องของผู้น้อยหรือลูกน้องที่ใช้การลงคะแนนเสียง เป็น ทางเลือกว่าจะเชื่อมโยงตนเองและชุมชนเข้ากับเจ้านายหรือ สายอุปถัมภ์สายใด การที่ชาวชนบทจะสนับสนุนใครในทาง การเมืองนั้น ขึ้นอยู่กับบุญคุณที่ผู้สมัคร หรือเครือข่ายของเขามี ต่อตนเองและครอบครัว หรือพวกพ้องในอดีตเป็นสำคัญ รวมทั้งขึ้นอยู่กับความคาดหวังว่า จะได้รับความช่วยเหลือ คุ้มครองจากผู้สมัครและบริวาร ดังนั้น เมื่อชาวชนบทหย่อนบัตรเลือกตั้ง จึงไม่ สามารถแยกการเมืองออกจากความผูกพันและความภักดี เป็นการส่วนตัว ทั้งยังไม่ได้มองว่าการลงคะแนนให้กับผู้ที่ให ้ เงินทองแก่ตนเองหรือกลุ่มของตนในระหว่างการหาเสียง เลือกตั้งเป็นการรับอามิสสินจ้าง 157

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวได้ว่า วิวัฒนาการของชาวชนบทกับ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งและการซื้อเสียงเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิต ระบบอุปถัมภ์ที่สืบทอดมาจากสังคมเกษตรดั่งเดิม ในยุคแรก นั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องให้อามิสสินจ้าง เพียงขอให้ ผู้อุปถัมภ์ในหมู่บ้าน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พระ ครู ช่วย หาเสียงชักจูงให้ชาวบ้านเลือกตน ก็เพียงพอแล้ว แต่ปรากฎ การณ์การใช้เงินหาเสียงในการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2518-2519 ที่คณะทหารไม่สนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่ง จึงไม่สามารถพึ่งกองทัพ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจาก การแต่งตั้งได้ ดังนั้น การมีพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มา จากการเลือกตั้งเท่านั้นที่จะปูทางไปสู่การเป็นคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีได้ ผู้ที่ต้องการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง จึงลงสมัครรับเลือกตั้งและยอมทุ่มเทเงินทองเพื่อให้ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การดำรงอยู่ของระบบ อุปถัมภ์ยังขึ้นอยู่กับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม การอพยพ ของชาวชนบทเข้าสู่เมือง ทำให้ชนบทมีแต่คนชรา แม่บ้าน และ เด็กๆ ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่พึ่งตนเองได้จำกัด และต้องพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์การซื้อขายเสียงในหมู่บ้านชนบท พื้นที่ที่มีปัญหาความยากจนจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การซื้อ ขายเสียงรุนแรงและเป็นแหล่งรองรับ “ หมาหลง” หรือคนนอก พื้นที่ที่ลงไปสมัครรับเลือกตั้งโดยใช้เงินเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนเสียงของ ชาวชนบท ที่เรียกว่าการซื้อขายเสียงนั้น นอกจากเงินแล้ว ยังมี ปัจจัยอื่นที่สำคัญ เพราะไม่ใช่ผู้สมัครทุกคนที่ใช้เงินแล้วจะได้ รับเลือกตั้ง สิ่งที่ผู้เลือกตั้งคำนึงถึง คือ เงินและผลงานด้วย 158

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึง การใช้เงินและความช่วยเหลือพวกเขาอย่างจริงจัง หลังจากการเลือกตั้ง ดังนั้น นักการเมืองจึงต้องจ่ายเงินเพื่อ หล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ชี้ให้เห็นว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่า อามิสสินจ้างในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนั้น ยังหมาย รวมถึงความสามารถของนักการเมืองในการนำโครงการต่างๆ ของรัฐบาล มาลงในท้องถิ่นได้ด้วย สะท้อนให้เห็นว่า แม ้ ชาวบ้านจะไม่สนใจหลักการและนโยบาย แต่ไม่ได้หมายความ ว่าเขาจะสนใจแต่เงินและอามิสสินจ้าง เพราะ “โครงการ” แม้ว่าจะไม่เป็นรูปธรรมเท่า “เงินและอามิสสินจ้าง” ในระบบ อุปถัมภ์ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เป็นนามธรรมเท่ากับ “ นโยบายและ หลักการ” ข้อสังเกตที่น่าสนใจของเอนก คือ นักการเมือง ที่ประสบความสำเร็จ คือ สามารถขึ้นไปบริหารในระดับสูงสุด ได้ การพิสูจน์ตัวเองที่ระดับชาติไม่สำคัญเท่ากับการพิสูจน์ ตนเองที่ระดับท้องถิ่น นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จต้องรู้ ปัญหาและความต้องการของชาวบ้านในเขตเลือกตั้งให้มาก ที่สุด ต้องเอาชนะใจคนท้องถิ่นด้วยระบบอุปถัมภ์ และ ด้วยการนำโครงการต่างๆ ของรัฐบาลไปให้ท้องถิ่น เพื่อที่จะ ทำให้ตนเองได้รับเลือกตั้งขึ้นไปบริหารงานในส่วนกลาง ปัจจัย เหล่านี้ล้วนทำให้เราได้นักการเมืองที่ช่ำชองการเมืองท้องถิ่น ไปบริหารงานในระดับชาติ ซึ่งในทางทฤษฎี นักการเมืองเหล่านี้ ควรเป็นตัวแทนของชาวไทยทั้งประเทศ มีความรู้ความสามารถ ในการแก้ปัญหาระดับชาติ และทำงานเพื่อให้บรรลุผลประโยชน์ ระดับชาติ 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1.2) มุมมองประชาธิปไตยของชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางในเมืองโดยทั่วไป ค่อนข้างจะใช้ มาตรฐานตะวันตกในการมองประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ที่ถกู ต้องและแท้จริง ในความเห็นของชนชั้นกลางในเมืองจึงเป็น ประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับนโยบาย อุดมการณ์ และ คุณธรรมความสามารถของพรรคการเมืองและนักการเมือง ในการนำพาประเทศ นอกจากนั้น ยังเห็นว่าในการลงคะแนน เสียงเลือกตั้งของประชาชนต้องกระทำในฐานะปัจเจกชน ผู้ใช้วิจารณญาณทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความผูกพันหรือ หนี้บุญคุณที่มีต่อผู้สมัคร และต้องไม่รับอามิสสินจ้างใดๆ มุมมองที่ต่างกันดังกล่าว ทำให้ชนชั้นกลาง รังเกียจเดียดฉันท์นักการเมืองที่ชาวชนบทเลือกมาด้วยเหตุผล ต่างๆ อาทิเป็นคนที่มีลักษณะท้องถิ่น หรือภูมิภาค บางคน เป็นเจ้าพ่อ หรือนักเลง มีจุดอ่อนด้านความซื่อสัตย์สุจริต การประกอบสัมมาอาชีพ และไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือ ศ ั ก ย ภ า พ พ อ ท ี ่ จ ะ เ ป ็ น ผู ้ บ ร ิ ห า ร ห ร ื อ ผู ้ น ำ ร ะ ด ั บ ช า ต ิ กล่าวได้ว่า ชาวชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเป็น ผู้ตั้งรัฐบาล หรือเป็น “ฐานเสียง” ให้กับรัฐบาล แต่กลับ ไม่สามารถกำหนดนโยบายแห่งรัฐได้มากนัก เนื่องจากหลังจาก การเลือกตั้งแล้วรัฐบาลมักฟังความเห็นและสนองตอบความ ต้องการของชนชั้นกลางมากกว่า การที่รัฐบาลจะอยู่ในตำแหน่ง ได้หรือไม่ นานเพียงใด ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของ “เมือง” ไม่ใช่ “ชนบท” ดังนั้น ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จึงเกิด ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “คนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้ม รัฐบาล” 160

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 2) ข้อเสนอการปฏริ ปู ประชาธิปไตยไทยของเอนก คือ ทำอย่างไรให้ชาวชนบทไม่เป็นเพียงฐานเสียง แต่เป็นฐานนโยบายด้วย ขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางต้องไม่เป็น เพียงคนที่ล้มรัฐบาลแต่สามารถตั้งรัฐบาลได้ด้วย คือ เป็นทั้ง ฐานนโยบาย และฐานเสียง คือ ทำให้คะแนนเสียงของ ชนชั้นกลางกำหนดชัยชนะในการเลือกตั้งมากขึ้น และมีส่วนใน การตั้งรัฐบาล 2.1) การสร้างชาวชนบทให้เป็นฐานนโยบาย เอนก เห็นว่า การที่ชาวบ้านเลือกนักการเมือง โดยไม่คำนึงถึงนโยบายและหลักการ เนื่องจากจินตภาพเรื่อง สาธารณประโยชน์และขอบเขตของชุมชนการเมืองของชาวบ้าน ในท้องถิ่นจำกัดอยู่ที่ระดับท้องถิ่น หรือจังหวัดเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ระบบอุปถัมภ์และการให้สินจ้างในการเลือกตั้งลดความ สำคัญลง ควรต้องมีมาตรการทางการเมือง ดังนี้ 2.1.1) ทำให้พรรคและนักการเมืองที่เสนอ ทางเลือกใหม่ในเชิงนโยบายได้มีโอกาสพัฒนาขึ้นมาด้วยระบบ การเลือกตั้งแบบสัดส่วน โดยชนชั้นกลางนักปฏิรูปทั้งหลาย ควรจัดตั้งพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือกให้ชาวชนบทมากขึ้น 2.1.2) ทำให้ชาวชนบทมีโอกาสตัดสินประเด็น นโยบายสาธารณะที่เป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย และเกี่ยวข้องกับ ตนเองมากที่สุด เช่น ให้ประชาชนมีสิทธิลงมติรับหรือไม่รับ กฎหมายหรือโครงการที่มีผลกระทบต่อชีวิต การงาน สภาพ แวดล้อมของคนในท้องถิ่น หรือมีสิทธิในการเสนอกฎหมายหรือ ถอดถอนผู้แทนราษฎรในเขตตนเอง เป็นต้น 161

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.1.3) สร้างชุมชนการเมืองที่ใกล้ชิดกับชีวิต และการงานของชาวชนบทจำนวนมาก เพื่อให้เขาใช้สิทธิ ประชาธิปไตยอย่างมีความหมาย โดยได้เสนอการปฏิรูป ประชาธิปไตยใน 2 ระดับ คือ การสร้างประชาธิปไตยในระดับ กลุ่ม เช่น กลุ่มสังคมในชนบทที่มีสิทธิในการใช้สอย ดูแลป่าไม้ และต้นน้ำในชุมชน เป็นต้น และการสร้างประชาธิปไตยที่ระดับ การปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อการปกครองท้องถิ่นมีบทบาท มากขึ้น จะทำให้ชาวบ้านสนใจการเลือกตั้งท้องถิ่นมากขึ้น และ ได้ฝึกฝนการตัดสินใจทางการเมืองด้วยประเด็นเชิงนโยบาย มากขึ้น ในขณะเดียวกัน จะเป็นการลดการกดดันของชาวบ้าน ที่เคยมีต่อการเมืองระดับชาติลง จะทำให้นักการเมืองระดับชาติ มีเวลาในการทำงานระดับชาติและระดับนานาชาติมากขึ้น ในการสนับสนุนการให้อำนาจแก่ท้องถิ่นของ เอนกนั้น เขาไม่ได้เริ่มจากเรื่องการกระจายอำนาจ หรือ การปรับปรุงบริการของรัฐในระดับท้องถิ่น แต่ยุทธศาสตร์ สำคัญ คือ การทำให้การเมืองระดับชาติถูกกำหนดโดยปัจจัย และอิทธิพลท้องถิ่นน้อยลง (delocalization of national politics) ควบคู่ไปกับการทำให้การเมืองท้องถิ่นถูกจำกัด หรือถูกกำหนด โดยส่วนกลางให้น้อยลง (denationalization of local politics) 2.2) การสร้างชนชั้นกลางให้เป็นฐานเสียง เพื่อทำให้นโยบายของพรรคการเมืองมีความ สำคัญมากขึ้นและชนชั้นกลางมีโอกาสเพิ่มที่นั่งในสภา ผู้แทนราษฎร เอนก ได้เสนอมาตรการในการปรับระบบ การเลือกตั้ง 2 มาตรการ 162

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย มาตรการแรก คือ การใช้ระบบเลือกตั้งแบบ เดิม แต่ลดขนาดเขตเลือกตั้ง โดยการที่ 1 เขตเลือกตั้งม ี ผู้แทนได้หลายคน ทำให้เสียงของชนบทกลบเสียงเมือง ทำให้ ชนชั้นกลางในเขตเมืองไม่สามารถส่งผู้แทนที่ต้องการเข้าสู่สภา มาตรการที่ 2 คือ การสร้างระบบเลือกตั้งแบบ สัดส่วน (proportional representation) โดยใช้ทั้งประเทศ หรือ ทั่วทั้งภาคเป็นเขตเลือกตั้ง ระบบใหม่นี้จะทำให้ประชาชน เลือกตั้งเป็นพรรค โดยพรรคใดที่รับคะแนนเสียงรวมมากกว่า ร้อยละ 5 ขึ้นไป จะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรตามสัดส่วน คะแนนที่ได้รับ การเลือกตั้งแบบนี้จะทำให้ “ท้องที่” ลดความ สำคัญลง แต่ “หลักการและนโยบาย” และความต้องการของ “กลุ่ม” ที่ไม่กระจุกตัวอยู่ในท้องที่หนึ่งๆ ทวีความสำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เห็นว่า การปฏิรูป การเมืองแม้จะมีความสำคัญ แต่คงไม่สามารถแก้ปัญหา ทางการเมืองได้ จำเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดย มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงความล้าหลังในชนบท ให้เป็นเมือง ก้าวหน้า หลุดพ้นจากระบบอุปถัมภ์ ประชาชนพึ่งตนเองทาง เศรษฐกิจได้ มีการศึกษา ความรับรู้ และจิตสำนึกทางการเมือง ที่ไม่คำนึงถึงอามิสสินจ้าง บุญคุณ ความผูกพันต่อบุคคล และ เป็นปัจเจกชนที่มีเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น ข้อเสนอทางออกประชาธิปไตยไทย ในทัศนะของเอนก จึงไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงผู้นำ หรือ leadership หรือ elite เป็นหลัก แต่เป็นการเปลี่ยน followership หรือการเปลี่ยนแปลง ที่ประชาชนที่เป็นฐานให้ผู้นำ หรือนักการเมืองขึ้นสู่อำนาจ 163

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มากกว่า เพราะตราบใดที่ชาวชนบทยังเป็นเสียงส่วนใหญ่ของ ประเทศ ขณะที่ชาวเมืองชนชั้นกลาง และชาวกรุงเทพฯ ยังมี สัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 50 ของประชากร ชนบทและกึ่งชนบท จะยังกำหนดการเมืองไทยไปอีกนาน และประชาธิปไตยไทย ที่ยั่งยืนจะต้องเป็นการปรองดองสมานฉันท์ของภาคชนบทและ ภาคเมือง ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2524) ได้ศึกษาพฤติกรรมการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรณีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2518 เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องสังกัดพรรคการเมือง เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของ พรรคการเมืองกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และคุณสมบัติของ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง 1) พรรคการเมือง การแข่งขันทางการเมือง และ พฤตกิ รรมการเลือกตง้ั การศึกษาเปรียบเทียบการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2518 กับการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2512 พบว่า 1.1) ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2518 มีจำนวนพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นจาก 12 พรรค ในการ เลือกตั้ง พ.ศ. 2512 เป็น 42 พรรค เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 250 1.2) มีการแข่งขันทางการเมืองสูง จากจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2512 ที่มีจำนวน 219 คน 164

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย และเพิ่มขึ้นเป็น 269 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วน การเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยละ 22.83 ขณะที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 76.34 1.3) ในจำนวนพรรคการเมือง 42 พรรค มีพรรค การเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง 22 พรรค และมีเพียง 6 พรรคที่ได้รับ เลือกตั้งทุกภาค โดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ประสบ ความสำเร็จในแง่ของจำนวนผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามามาก ที่สุด 1.4) จากการเปรียบเทียบคะแนนนิยมกับที่นั่งใน สภาของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง ชี้ให้เห็นว่าคะแนนนิยม ไม่ใช่สิ่งที่แปรผันไปตามจำนวนที่นั่งในสภาเสมอไป บางพรรค ที่นั่งในสภาน้อย แต่คะแนนนิยมมีมาก และจากการพิจารณา คะแนนนิยม ทำให้เห็นว่าไม่มีพรรคการเมืองใดเป็นที่ไว้วางใจ จากประชาชน โดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่นิยมเลือกพรรค การเมือง เนื่องจากยังขาดความเข้าใจในระบบพรรคการเมือง อย่างไรก็ดี ผู้มีสิทธิออกเสียงในกรุงเทพฯและภาคใต้ตัดสินใจ ลงคะแนนเลือกตั้งโดยพิจารณาจากพรรคการเมืองมากกว่า พิจารณาคุณสมบัติของบุคคล ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และนิยม พรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด 2) การใชส้ ิทธใิ นการเลอื กตงั้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก ใน พ.ศ. 2476 จนถึง การเลือกตั้งในครั้งนี้ รวม 10 ครั้ง การใช้สิทธิเลือกตั้งของ ประชาชนอยใู่ นระดบั ตำ่ คอื ไมถ่ งึ รอ้ ยละ 50 ยกเวน้ การเลอื กตง้ั ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ที่มีผู้มาใช้สิทธิถึงร้อยละ 165

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 57.50 แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นมีการทุจริตการเลือกตั้งมาก ดังนั้น การวิจัยนี้จึงเห็นว่าอัตราของการใช้สิทธิลงคะแนนที่แท้จริง ต้องต่ำกว่าร้อยละ 57.50 และแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตย ซึ่งน่าจะทำให้ ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น แต่การใช้สิทธิเลือกตั้ง ในครั้งนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ คือร้อยละ 47.17 โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย คือ ความตื่นตัวทาง การเมืองยังจำกัดอยู่ในกลุ่มนิสิต นักศึกษา นอกจากนั้น การวิจัยครั้งนี้ยังพบว่า ปัจจัยด้านจำนวนพรรคการเมืองและ จำนวนผู้สมัครจำนวนมากและการไม่ศรัทธาในพรรคการเมือง ส่งผลใช้การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย เนื่องจากการเลือกตั้ง ในครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งแบบผสม ทั้งรวมเขตและแบ่งเขต ในการวิจัยนี้ จึงได้ทดสอบสมมิตฐานว่า การแบ่งเขตเลือกตั้ง จะส่งผลต่อสัดส่วนการมาให้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ พบว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งไม่ได้เป็นปัจจัยให้การมาใช้สิทธิเลือกตั้ง น้อยลงเสมอไป โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบจังหวัดที่มีผู้มาใช้ สิทธิเลือกตั้งมากเกินกว่าร้อยละ 60 ซึ่งมีทั้งจังหวัดที่มีเขต เลือกตั้งเดียวและมากกว่า 1 เขต ขณะที่จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้งต่ำกว่าร้อยละ 40 ก็มีจังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งเดียว เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพียงร้อยละ 39.39 เป็นต้น 3) คณุ สมบัตหิ รือภูมิหลังผ้ทู ่ไี ดร้ บั เลอื กต้งั จากการวิเคราะห์คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้ รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีข้อสรุป ดังนี้ 166

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 3.1) ผู้ได้รับเลือกตั้งส่วนใหญ่ คือร้อยละ 68.77 เป็นการได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่จึงไม่เคยมี ประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อนทั้งในระดับชาติและระดับ ท้องถิ่น ในจำนวน ส.ส. 269 คน มีผู้ที่เคยมีประสบการณ ์ ท้องถิ่น เช่น เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด หรือเทศบาลมาแล้ว เพียง 70 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 26.02 3.2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 98.89 เป็นเพศชาย 3.3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่วุฒิการศึกษาระดับปริญญาหรือเทียบเท่า 3.4) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่ เป็นนักธุรกิจ รองลงมา คือ อาชีพทนายความ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (2529) ได้ ศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้สิทธิเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2529 สรุปได้ ดังนี้ 1) ปัจจัยท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการไปเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร 1.1) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชนบทไม่สนใจการเมืองแต่ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าคนเมือง โดยถูกชักชวนให้ไปใช้สิทธิ จากคนใกล้ชิด 1.2) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจเลือกผู้สมัครจาก คุณสมบัติส่วนตัว 167

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1.3) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มเลือก ผู้สมัครโดยคำนึงถึงพรรคการเมืองที่สังกัด และไปใช้สิทธ ิ โดยคำนึงถึงหน้าที่พลเมือง 1.4) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีการศึกษาน้อยถูกชักจูง ได้ง่าย 1.5) ผู้มีสิทธิเลือกที่เลือกโดยคำนึงถึงพรรคการเมือง เพราะมีความรู้สึกผกู พันกับพรรคการเมืองนั้นๆ 1.6) ประเด็นที่หาเสียงที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิ เลือกตั้ง คือ นโยบายและการแก้ปัญหา และคุณสมบัติส่วนตัว 2) ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองกับการ เลือกต้ัง 2.1) พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครมากเกินไปมักจะ ได้รับความนิยมต่ำ เนื่องจากพรรคที่ส่งผู้สมัครมากมักเป็น พรรคที่ไม่อยู่ในความนิยมของประชาชน 2.2) ประชาชนให้ความนิยมผู้สมัครจากพรรค ร่วมรัฐบาลมากกว่าพรรคที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล 3) วธิ ีการหาเสยี ง วิธีการหาเสียงของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง ครั้งนี้มีการพัฒนาขึ้น โดยมุ่งเน้นการชี้แจงนโยบายของพรรค หรือของผู้สมัคร เพื่อสร้างความเข้าใจ และมีแนวโน้ม ที่จะเข้าหาประชาชนมากขึ้น แต่การใช้เงิน หรือทรัพย์สินเพื่อ แลกกับคะแนนเสียงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น 168

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดให้มี โครงการวิจัยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2531 โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ 2 ประเด็น คือ วิธีการหาเสียงที่ ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนำมาใช้ การประชาสัมพันธ ์ การเลือกตั้ง และพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง 1) วิธีการหาเสียงที่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนำมาใช้ คือ การให้หัวคะแนนไปชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้สมัคร นั้นๆ การเชิญชวน แจกใบปลิว ติดป้ายประชาสัมพันธ์ 2) วิธีการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งที่ได้ผลในทัศนะ ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คือ การใช้สื่อโทรทัศน์ในการประชา- สัมพันธ์การเลือกตั้ง วิธีการหาเสียงที่ได้ผล คือ การเดินหาเสียง ถึงตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3) ในขั้นตอนการตัดสินใจไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง บุคคลที่สามารถชักชวนให้ไปลงคะแนนเสียงได้มาก คือ คณะกรรมการหมู่บ้านและหัวหน้าคุ้ม รองลงมา คือ เจ้าหน้าที่ ของทางราชการ กลุ่มอาชีพ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และ ผู้ที่ประชาชนให้ความนับถือหรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ประชากร กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ ร้อยละ 60.3 ตัดสินใจ ลงคะแนนโดยคำนึงถึงพรรคการเมือง โดยให้ความสำคัญกับ นโยบายพรรคการเมือง หรือศรัทธาในชื่อเสียงของพรรค เป็นต้น ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่คำนึงถึงคุณสมบัติผู้สมัคร จะให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มีความรู้สูง หรือมีความคุ้นเคย กับผู้สมัคร 169

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ Michael H. Nelson (2005) ศึกษาการเมืองท้องถิ่น และกระบวนการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น พ.ศ. 2547 ผ่าน การเลือกตั้งนักการเมืองท้องถิ่น และนักการเมืองระดับชาติ โดยชี้เห็นว่า การที่พรรคการเมืองขาดการขยายองค์กรลงไปใน ระดับจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ในการส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้ก่อให้เกิดระบบพรรคพวก กลุ่มการเมือง และหัวคะแนน ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ และการคัดสรรและส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของตระกูลต่างๆ ในพื้นที่ที่มีบารมีและอิทธิพล และ ถ่ายทอดไปยังลูกหลานของตระกูล ดังนั้น ความจงรักภักดี ทางการเมือง (political loyalties) จึงไม่ได้เกิดจากความศรัทธา ในอุดมการณ์ หรือนโยบายของพรรคการเมือง แต่เกิดจากภาวะ การนำของนักการเมืองแต่ละคน ภายใต้ครอบครัวหรือตระกูล ต่างๆ ในพื้นที่ที่มีบารมี ซึ่งถ้าทายาททางการเมืองไม่สามารถ ประสบความสำเร็จได้เท่ากับรุ่นพ่อแม่ ก็จะมีคนใหม่ๆ (ผู้สมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน) เข้ามาช่วงชิงอำนาจในพื้นที่ ทั้งการเลือกตั้งในระดับท้องที่และท้องถิ่น เช่น การเลือกตั้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด เพราะผล จากการเลือกตั้งในระดับท้องที่และท้องถิ่นจะเป็นตัวชี้วัดฐาน เสียงในพื้นที่ของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Nelson ได้แสดงโครงสร้างการเมืองไทยที่แสดงถึงปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เชื่อมโยง 3 ระดับ คือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น และความสำคัญ ของกลุ่มการเมืองอย่างไม่เป็นทางการในฐานะตัวแสดงทาง การเมืองที่จะมีบทบาทสำคัญในการเมืองทุกระดับ อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งในประเทศไทยสามารถมีความเป็นประชาธิปไตยได้ 170

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ถ้าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสาร และความเคลื่อนไหวในการเมืองระดับชาติ เพื่อเป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งของ ตนเอง Nelson (ในสถาบันพระปกเกล้า, 2550) เห็นว่า การที่ พรรคการเมืองไม่มีโครงสร้างในระดับจังหวัด ทำให้การเลือกตั้ง อยู่ภายใต้ระบบหัวคะแนนและพรรคพวก ซึ่งถ้าแก้ระบบ การเมืองแบบนี้ได้ ก็จะช่วยลดปัญหาการซื้อเสียงได้ โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ปรากฎตามแผนภาพที่ 4.1 171

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แผนภาพท่ี 4.1 โครงสร้างความสัมพันธ์ทางการเมือง แผรนะภดาพับที่ ท4.1อ้ โงครถงสิน่ รา้-งรคะวาดมสับมั พชันาธต์ทาใิ งกนารปเมรืองะรเะทดับศท้อไงทถน่ิ ย-ร ะดบั ชาตใิ นประเทศไทย National Government Level Parliament Political leaders Factions (mung, klum) of Political Parties (phak kanmueang) MPs under a leader: provincial, regional, interregional Provincial MP candidates / Families (trakun) Level Cliques (phankphuak or phuak) (political recruitment) Local May cover the entire province Local governments: Level or more limited area; territories PAOs, municipalities, may overlap, causing electoral TAOs (the section of a competition; leader might not be a phuak running in a local election is called candidate himself klum or thim) Vote canvassers (hua khanaen) Sub-district chiefs, village headmen, members of TAO councils, TAO executives, other village-level leaders, teachers, religious leaders, field officials Village/ tambon and family-based, politically Unspecific social networks and relationships, Voters e.g., village/tambon-level factions or cliques Hทม่ีuท aาี่มK: Mาhai cn:h aaeenl ,H2.0N0MT5ehlsiaocnihla,anAendla l:yHzPi.nhgNuPearolksv,ionTcniraa,lkPAuolnnitia,claaylnzSidtnrugcHtuPuraeroinKviThnhacaniilaaalnedPn:o,Pl2ihtu0ica0ka5l, TS ratrkuunct,uarned in 4-22 172

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 4.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ใน ไชยยันต์ ไชยพร, สถาบัน พระปกเกล้า, 2558,น.135-172) นิยามความหมายของ “วัฒนธรรมทางการเมือง” ว่าหมายถึง “วิถีชีวิต วิถีความคิด และค่านิยมของสังคมนั้นๆ เคยชินที่จะมองเห็นว่าอำนาจ ที่ชอบธรรมนั้นต้องสัมพันธ์กันอย่างนั้นๆ” โดยที่วัฒนธรรม ทางการเมืองได้รับอิทธิผลจากจารีตประเพณีทางการปกครอง และการเมืองที่ดำรงอยู่ในสังคมหนี่งๆ ดังนั้น การศึกษา ทำความเข้าใจในวัฒนธรรมทางการเมืองในสังคมหนึ่งๆ เท่านั้น จะช่วยให้เราเข้าใจปรากฎการณ์และวิกฤตการณ์ทางการเมือง ของสังคมนั้นๆ ได้ นิธิ เห็นว่า ตลอดระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงทาง การเมือง นักวิชาการให้ความสำคัญกับการออกแบบ รัฐธรรมนูญในการแก้ปัญหาและวิกฤติทางการเมือง เนื่องจาก รัฐธรรมนูญนั้นกำหนดว่าบุคคลและสถาบันต่างๆ ในรัฐหนึ่งๆ นั้นจะมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจกันอย่างไร แต่นิธิไม่เชื่อว่า รัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ นั้นจะสามารถกำหนด ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ เชิงอำนาจในสังคมได้จริง แต่เห็นว่าวัฒนธรรมทางการเมือง จะเป็นข้อกำหนดสูงสุดในเรื่องสัมพันธภาพทางอำนาจ “วัฒนธรรมทางการเมือง” จึงเป็นรัฐธรรมนญู ที่แท้จริงของรัฐ คุณลักษณะสำคัญบางประการของวัฒนธรรมไทย ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองไทยในคำอธิบายของนิธิ คือ วัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม – สัมฤทธิผลนิยม วัฒนธรรมแบบ 173

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อำนาจนิยม ไม่ได้หมายความถึงระบอบเผด็จการเพียงอย่าง เดียว แต่ยังหมายถึงความเชื่อว่า การจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีอยู่อย่างเดียว คือ การใช้อำนาจเด็ดขาด ดังนั้น นักการเมือง หรือผู้นำทางการเมืองคนใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย กส็ ามารถกลายเปน็ “วรี บรุ ษุ ทางวฒั นธรรมของไทยปจั จบุ นั ” ได้ หากมภี าพหลกั ความสามารถในการจดั การอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ตัวอย่างเช่น นายสมัคร สุนทรเวช และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม – สัมฤทธิผลนิยมในสังคมไทย ยังทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองไทยเป็นวัฒนธรรมที่ไม่มีมิติ การตรวจสอบควบคุมให้เกิดความยุติธรรมในสังคมได้ สายชล สัตยานุรักษ์ (สถาบันพระปกเกล้า, 2558, น.95-134) ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมการเมือง ไทยกับหลักนิติธรรมว่า การยึดมั่นในหลักนิติธรรมในสังคมไทย จะเกิดขึ้นต้องเร่งสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองไทยในระบอบ ประชาธิปไตย เช่น วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้น โดยได้นิยามความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง และหลักนิติธรรมไว้ ดังนี้ วัฒนธรรมทางการเมือง หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ เชิงอำนาจที่คลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนระบบคุณค่าและอุดมการณ์ และเนื่องจาก สังคมไทยประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลายที่ดำเนินชีวิตอยู่ ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่าง กัน ทำให้มีวัฒนธรรมการเมืองที่แตกต่างหลากหลายโดยที่คน ทุกกลุ่มล้วนแต่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยเดียวกัน 174

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย แต่มีสิทธิ อำนาจและอิทธิพลไม่เท่าเทียมกันและต่างต้องการ เข้าถึงหรือได้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัฐให้มากที่สุด จึงเกิด การต่อสู้และต่อรองทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ รวมทั้ง มีการสร้างความหมายของมโนทัศน์ต่างๆ เกี่ยวกับระบอบ การเมือง บุคคลและสถาบันที่สำคัญๆ จากจุดยืนและมุมมอง ที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องของความแตกต่างทาง ความคิดเท่านั้น ยังเป็นการสร้างความหมายเพื่อมุ่งใช้ประโยชน์ ในการต่อสู้ทางการเมืองด้วย หลกั นติ ธิ รรม (Rule of law) หมายถงึ การจดั ความสมั พนั ธ์ เชิงอำนาจในระบอบประชาธิปไตย โดยยึดหลักกฎหมาย ซึ่งกฎหมายทุกประเภทต้องมีความชอบธรรมจากความยินยอม ของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย และทุกคนจะ ต้องเสมอกันภายใต้กฎหมาย โดยกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ใช้อำนาจ บริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการแทนประชาชน จะต้องยึดโยงกับประชาชน ทั้งในแง่ความชอบธรรมในการ ครอบครองอำนาจ การใช้อำนาจ และการมีความรับผิด (accountability) จากการใช้อำนาจ ทั้งนี้ ต้องเป็นการใช้อำนาจ อย่างจำกัดภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยไม่ละเมิดสิทธิและ เสรีภาพของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งสิทธิ เสรีภาพในการกำกับ ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกัน ประชาชนก็มีเสรีภาพ โอกาส และความสะดวกที่จะเข้ามามี ส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ของรัฐอย่างกว้างขวางทั้งใน ระดับชาติและระดับท้องถิ่น 175

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการทบทวนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองใน สังคมไทย สายชลมีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อการจะบรรลุ หลักนิติธรรม จำเป็นต้องปฏิรูปสถาบันทางการเมืองเก่า และ สร้างสถาบันใหม่ๆ ขึ้นมา การปฏิรูปสถาบันสำคัญในสังคมไทย ที่ควรเกิดขึ้นโดยเร็ว คือ 1. การปฏิรูปกฎหมาย ให้ทันสมัยสอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ในสังคม และเพื่อให้กฎหมาย มีบทบาทในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม จนทุกฝ่าย ยอมรับในความศักดิ์สิทธิของกฎหมายและไม่ยอมรับ การละเมิดกฎหมาย 2. การปฏิรูปสถาบันการปกครองส่วนท้องถิ่น การกระจายอำนาจทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของ ประชาชนเป็นหนทางสำคัญที่จะบรรลุหลักนิติธรรม เพราะ จะทำให้ประชาชนมีสิทธิและอำนาจมากขึ้น 3. การปฏิรูประบบการเรียนรู้เพื่อสร้างพลังทางปัญญา ของสังคม การปฏิรูประบบการศึกษาให้สามารถเสริมสร้าง วัฒนธรรมทางความคิดที่จะทำให้ผู้คนในสังคมมองตนเอง ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม หรือเป็นปัจเจกชนที่มี จิตสาธารณะและเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น (active citizen) สายชลเห็นว่า เนื่องจากความชอบธรรมทางการเมืองควรอยู่บน หลักการประชาธิปไตยมากกว่าศีลธรรม เพราะคนมักมีทัศนะ เกี่ยวกับศีลธรรมแตกต่างกัน ระบบการศึกษาจึงควรส่งเสริม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเสมอภาค เพื่อก่อ 176

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ให้เกิดความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับเกณฑ์หรือระบบคุณค่า ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นรากฐานของความชอบธรรม ทางการเมือง จากการสำรวจแนวคิดและการวิจัยที่ผ่านมาทั้งแนวคิด ด้านสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมการเมือง ผู้วิจัยมีความ เห็นในเบื้องต้นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพื้นที่ หรือนักการเมืองถิ่น เป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงสถาบัน ทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในพื้นที่ ที่มีความแตกต่างหลากหลายและมีพลวัติ การสำรวจข้อมูล นักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในรอบ 78 ปี ตั้งแต่ การเลือกตั้งครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2476–2554 จะเป็นข้อเท็จจริง เชิงประจักษ์ที่สนับสนุนแนวคิดและผลการวิจัยที่ผ่านมาหรือ อาจจะนำไปสู่ข้อค้นพบใหม่ๆ 4.3 บทสำรวจข้อมูลนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4.3.1 นายมิ่ง เลาห์เรณู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนแรกของจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2480) และสมาชิกพฤฒสภา (24 พฤษภาคม พ.ศ.2489 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490) ประวัตสิ ว่ นตวั จากบันทึกของ ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช ในหัวข้อ ชีวิต ที่พอเพียง ประวัติศาสตร์บอกเล่าชาวชุมพร ประมวลได้ว่า 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายมง่ิ เลาหเ์ รณู เปน็ บตุ รของ นายเพย้ี น เลาหเ์ รณู มตี น้ ตระกลู อยู่ที่ตำบลท่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร และนางงิ้ว เลาห์เรณู ซึ่งเป็นชาวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ บิดาและมารดาแต่งงานกันแล้วจึงได้ไปอยู่ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (https://www.gotoknow.org/posts/ 550398) ด้านชีวิตครอบครัวและการทำงาน นายมิ่ง เลาห์เรณู สมรสกับนางอุไร เลาห์เรณู มีธุรกิจโรงสีอยู่ที่เพชรบุรี ชื่อ โรงสี ‘เลาหวัฒน์’ รวมทั้งมีกิจการแพปลา “เม้งกี่” ที่จังหวัดเพชรบุรี และมีกิจการเรือประมงตั้งแต่อำเภอหัวหิน ถึงอำเภอ บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บทบาททางการเมอื ง นายมิ่ง เลาห์เรณู ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และดำรง ตำแหน่งระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ต่อมา ใน พ.ศ 2489 ได้รับการเลือกตั้งให้เป็น สมาชิกพฤฒสภา ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ภายใต้การนำของนายพลผิน ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ทำให้คณะ รัฐมนตรี ที่มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี พฤฒสภา และสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลง นายมิ่ง เลาห์เรณู เป็นบุคคลสำคัญในประวัติการเมือง ไทย เนื่องจากเป็นผู้ช่วยเหลือนายปรีดี พนมยงค์ ให้สามารถ 178

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เดินทางออกไปยังท่าเรือที่สิงคโปร์ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป ยังปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2492 ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “ไม่ขอรับ เกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น 95 ปี 4 เดือน 9 วัน พูนศุข พนมยงค์” ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492 (Thanapol Eawsakul, 2008, น. 185-201) ว่า “....ข้าพเจ้าได้ติดต่อขอความ ชว่ ยเหลอื จากคณุ มง่ิ เลาหเ์ รณู อดตี ส.ส.จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ที่มีกิจการประมงตั้งแต่หัวหินถึงบางสะพาน คุณมิ่งให้ยืมเรือ ประมง 1 ลำ.......” (น.190) เครอื ข่ายการเมือง จากบันทึกของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ต้นตระกูล เลาห์เรณู และ ประจวบเหมาะ มาจากจังหวัดชุมพร และทั้ง 2 ตระกูลนี้ เป็นเครือญาติกัน เนื่องจากนายมิ่ง เลาห์เรณู เป็นพี่ชายคนโตของนางดัด เลาห์เรณู ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกับ นายประกอบ ประจวบเหมาะ ในบันทึกของ ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช (อ้างแล้ว) เล่าว่า “นางดัด ประจวบเหมาะ เป็นเศรษฐีมี บารมีมาก ชาวบ้านรักนับถือและกลัวด้วย ชาวบ้านเรียกว่า ‘คุณนายดัด’ มรว. คึกฤทธิ์ เคยเขียนเรื่องคุณนายดัด ลงหน้า 5 หนังสือพิมพ์สยามรัฐ อธิบายความหมายเดิมของคำว่า “คุณนาย” ว่า ไม่ใช่ความหมายในปัจจุบัน หม่อมคึกฤทธิ์ อธิบายทำนองว่า คุณนายต้องเป็นผู้หญิงแกร่ง กล้า มีความ สามารถสูง และเป็นผู้หญิงทำงาน” นางดัด ประจวบเหมาะ จึงมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ของ นายต้าน ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จงั หวดั 179

นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2500 และนายสำเภา ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 9 สมัย รวมทั้งยังเป็นมารดาของนายนิกร ประจวบเหมาะ อดีต ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไม่สังกัดพรรคการเมือง ในการเลือกตั้ง ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 นายสมหมาย เลาห์เรณู ซึ่งเป็นลูกชาย จากภรรยาคนเก่าของนายมิ่ง เลาห์เรณู ลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยในสังกัดพรรคเศรษฐกร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยผู้ที่ได้รับ เลือกตั้ง คือ นายต้าน ประจวบเหมาะ จากพรรคสหภมู ิ 4.3.2 นายทองสืบ ศุภมาร์ค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3 สมัย (พ.ศ. 2480 2495 2500) ประวัตสิ ว่ นตวั นายทองสืบ ศุภะมาร์ค เกิดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2442 เป็นบุตรของนายมาก กับนางเสน ศุภะมาร์ค เป็น ชาวประจวบคีรีขันธ์โดยกำเนิด สมรสกับนางสะอาด ศุภะมาร์ค มีบุตร-ธิดา รวม ๕ คน นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ไม่ได้ศึกษาในระดับชั้นประถม ศึกษาหรือมัธยมศึกษา แต่ได้เริ่มเรียนที่บ้านกับบิดาจน อ่านออกเขียนได้ ในปี พ.ศ. 2459 จึงบวชเป็นสามเณรที่วัด มกุฎกษัตริยาราม มีพระธรรมปาโมกข์ (ถม) เป็นพระอุปัชฌาย์ 180

ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย และได้อุปสมบทที่วัดมกุฎกษัตริยาราม มีสมเด็จพระสังฆราช เจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระศาสนา โสภณ (แจ่ม) เป็นพระกรรมการวาจาจารย์ จนสามารถสอบ ได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2478 และได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่วัดพระศรีวิสุทธวงศ์ ในปี พ.ศ. 2479 (มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2546) บทบาททางการเมือง นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ได้ลาสิกขาและมาลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 1 ต่อมา นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ไดร้ บั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ เป็นสมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 จากประวัติการก่อสร้างโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ระบุว่า โรงพยาบาล ประจวบคีรีขันธ์ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2496 ด้วยการ สนับสนุนของกรมการแพทย์และท่านมหาทองสืบ ศุภะมารฺ์ค สมาชิกผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในสมัยนั้น โดยได้ ขอซื้อที่ดินเอกชนจำนวน 19 ไร่ 3 งาน 9 ตารางวา ก่อสร้างเป็น ส่วนให้บริการของโรงพยาบาล และขอใช้ที่ดินราชพัสดุ จำนวน 1 ไร่ 4 ตารางวา สำหรับปลูกสร้างอาคารบ้านพักข้าราชการ และเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 181