นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ (สำนักงาน สารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2553) นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 สังกัดพรรค เสรีมนังคศิลา โดยผู้ที่มีคะแนนตามมาเป็นอันดับ 2 คือ นายต้าน ประจวบเหมาะ ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งแบบไม่สังกัด พรรคการเมือง นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 8 ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 โดยไมส่ งั กดั พรรค ในขณะทน่ี ายตา้ น ประจวบเหมาะ ลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคสหภูมิ นายทองสืบ ศุภะมาร์ค ไม่ได้รับเลือกตั้ง และมีคะแนนน้อยกว่านายต้าน ประจวบเหมาะ ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในครั้งนอ้ี ยา่ งมาก (นายต้าน ประจวบเหมาะ 9,541 นายทองสบื ศุภมาร์ค 3,585) บทบาทดา้ นวิชาการ นายทองสบื ศุภะมาร์ค เป็นผ้ทู ่ีมคี วามมุ่งมนั่ รกั การอา่ น และเป็นผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้ในด้านต่างๆ ทั้งทางด้าน ประวัติศาสตร์และภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ได้หันมาศึกษางานวิชาการทางด้านภาษาตะวันออก จนมีความรู้แตกฉานในภาษาตะวันออกหลายภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาเขมร ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษา ปรากฤต ตลอดจนรอบรู้ทางภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็น 182
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย อย่างดีอีกด้วย จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิต และเป็น กรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และ โบราณคดี และมีผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวกับจารึกจำนวน มาก ทั้งที่เป็นบทความและหนังสือ อาทิ “บันทึกจารึก จัมปานคร”, 2505 แว่นวรรณกรรม ศิลาจารึกหลักที่ 1, 2507 “กำเนิดอักษรไทย”, 2508 “อักษรปฏิรูปและอักษรปฏิวัติ”, 2509 พระพุทธศาสนาในกัมพูชา/พุทธศาสนาบัณฑิตยสถาน, 2514 ประวัติอักษรไทย, พ.ศ. 2515 ตำนานพระแก้วมรกต, ศิลาจารึกพระเจ้าอโศก, ตุลาคม 2516 ประวัติวัดมกุฎ- กษัตริยาราม ราชวรวิหาร, 2521พระราชพงศาวดารเขมร, 2526 พงศาวดารลาว, 2528 นอกจากนั้น ยังมีหนังสือที่เป็นผลงาน ของนายทองสืบ ศุภมาร์ค อีกจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถ หาข้อมลู ทางบรรณานุกรมให้ครบได้ ด้วยผลงานทางวิชาการจำนวนมาก นายทองสืบ ศุภะมาร์ค จึงได้รับมอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ (สาขาภาษาตะวันออก) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับการยกย่องให้เป็นบูรพาจารย์ด้านจารึกศึกษา ทั้งนี้ ไม่พบประวัติปีที่เสียชีวิต 4.3.3 หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2481 ประวตั สิ ่วนตัว หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย เกิดวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2449 เป็นบุตรของ พระยาสีหศักดิ์สนิทวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ถัด 183
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมสาย) กับคุณหญิงสีหศักดิ์สนิทวงศ์ (ติ๊ โภคาสมบัติ) เป็นชาวพระนคร เกิดที่บ้านหลังวัดสังขเวชวิศยราม บางลำพ ู มีพี่น้องจำนวน 7 คน ได้แก่ หม่อมหลวงติ๋ว ชุมสาย (ญ) หม่อมหลวงต๋อย ชุมสาย (ช) หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย (ช) ศ.ดร หม่อมหลวงตุ้ย ชุมสาย (ช) หม่อมหลวงต่อ ชุมสาย (ญ) หม่อมหลวงเติบ ชุมสาย (ญ) และหม่อมหลวงสีตอง ชุมสาย (ญ) มีบุตรธิดา 3 คน คือ พัชนี ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สอนหลักสูตรตำรับอาหารไทยรัตนโกสินทร์ และสีหศักดิ์ ชุมสาย ณ อยุธยา (ต๋อม) เป็นช่างภาพเช่นเดียวกับบิดา และ ลักษมัณ ชุมสาย ณ อยุธยา เจ้าของร้านอาหารครัวชุมสาย หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สด กูรมะโรหิต และมาลัย ชูพินิจ ฯลฯ ศึกษาอยู่จนกระทั่งจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 และตัดสินใจไม่เรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2467 ทางกระทรวงศึกษาธิการได้เปิดโรงเรียนกสิกรรม ชั้นสูงขึ้นที่ตำบลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมหลวงต้อยจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่นั่นจนกระทั่งจบในชั้น สูงสุดใช้เวลาเรียนอยู่ 2 ปี โดยมีอาจารย์ที่ฝึกฝนด้าน เกษตรกรรมให้ คือ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และหลวง ผลสัมฤทธิ์กสิกรรม บทบาททางการเมอื ง หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 184
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 32 ปี และดำรงตำแหน่งอยู่ถึง 7 ปี นานเกินกว่าวาระปกติ 4 ปี เนื่องจากอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสภาผู้แทนราษฎร ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2485 และออกกฎหมายขยายเวลา วาระการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 2 ครั้ง จนมี การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2488 เพื่อกำหนด ให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 บทบาทในอาชีพอนื่ ๆ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย มีความสามารถด้านการเขียน และเข้าสู่วงการนักเขียนตั้งแต่ครั้งยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน เทพศิรินทร์ (ระหว่างปี พ.ศ. 2465-2467) โดยได้ช่วยเพื่อนๆ ทำหนังสือคัดลอกด้วยลายมือชื่อ “ดรุณสาส์น” หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ได้สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งที่ อำเภอปราณบุรีนี้ ชื่อ “บ้านละอองดาว” เพื่อเป็นศูนย์กลาง การสังสรรค์ พักผ่อนและการท่องเที่ยวของเพื่อนๆ โดยเฉพาะ การเที่ยวป่าของเพื่อนๆ นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ร่วมสมัยเดียวกัน จนเชื่อกันว่าที่อำเภอปราณบุรีนี่เอง เป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบของนวนิยายผจญภัย เรื่องล่องไพร ของมาลัย ชูพินิจ หรือ น้อย อินทนนท์ ด้วยว่าพรานป่า ชาวกระเหรี่ยง ที่ชื่อ ‘ตาเกิ้น’ ที่เป็นเพื่อนคู่ใจของตัวละครเอก ในหนังสือเรื่องล่องไพรนั้น มีตัวตนจริงชื่อ นายใช้ ห้วงน้ำ เป็น คนปราณบุรีที่ภายหลังย้ายไปอยู่ที่หัวหิน รวมทั้งยังเป็นแหล่ง วัตถุดิบของหนังสือเรื่องเที่ยวป่าล่าสัตว์ ของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ที่ชื่อ ‘ทุ่งพลายงาม’ หนังสือเล่นนี้ถือว่ามีค่าอย่างยิ่ง 185
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปัจจุบนั เนื่องจากเปน็ หนังสอื ท่ีเหมือนสารคดีก่ึงจดหมายเหตุ ผู้ที่อยู่ในเรื่องนั้นมีชื่อจริง นามสกุลจริง เหตุการณ์และสถานที่ จริง หนังสือเล่มนี้จึงนับเป็นสารคดีบันเทิงเกี่ยวกับป่า ที่มีลีลา การเขียนเป็นเอกลักษณ์ แสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการใช้ ภาษาเรียบง่ายและสละสลวย ตื่นเต้น เร้าใจ ให้ภาพชีวิตและ วิญญาณป่าอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา นอกจากนั้น ยังฉายให้เห็นถึงวิถีชีวิต การกินอยู่ โรคภัยไข้เจ็บ และความเชื่อ เกี่ยวกับป่า และแสดงให้เห็นถึงความสมบรู ณ์ของป่าสมัยก่อน งานเขียนของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ยังปรากฏอยู่ใน หนังสือ “สุภาพบุรุษรายปักษ์” (หนังสือพิมพ์รายปักษ์ ตีพิมพ์ ระหว่างปี พ.ศ. 2472-2473 มีกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็น บรรณาธิการ) ในคอลัมน์ “จดหมายขุนอารี” นอกจากนั้นยังมี ปรากฏใน “สยามสมัย” รายสัปดาห์เป็นประจำ (วารสาร ยุค พ.ศ. 2490) อีกทั้ง ม.ล.ต้อย ยังเป็นผู้ออกแบบปกและเขียน รูปประกอบให้กับนิตยสารดังกล่าวบางฉบับด้วย ช่างภาพเปลือยคนแรกของประเทศไทย นอกจากหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย จะเป็นที่รู้จักในฐานะ นักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนเรื่องป่าไม้แล้ว เขายังมีฝีมือ การถ่ายภาพที่เป็นที่ยอมรับของศิลปินรุ่นหลังว่าเป็น “ศิลปิน ทางการถ่ายภาพเปลือยของไทยคนแรก” ที่ได้รับการยอมรับ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จากการค้นคว้าประวัติการทำงานของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย โดยนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ช่างภาพชื่อดังและเจ้าของ คัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี ถนนปั้น สีลม ซึ่งได้จัดทำ “โครงการ 186
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ค้นหาครูถ่ายภาพไทย (Seeking Forgotten Thai Photographers) ขึ้นในปี พ.ศ. 2555 พบว่า หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย น่าจะเป็น คนแรกที่ทำงานภาพถ่ายนู้ดในแง่มุมเชิงศิลปะ ไม่ใช่แค่ถ่าย ผู้หญิงแก้ผ้าอย่างที่เรียกว่าภาพอนาจาร เนื่องจากมีการจัด แสงเงา มีการจัดท่าทางของนางแบบ มีการเลือกสถานที่ มีรายละเอียดต่างๆ โดยหม่อมหลวงต้อยไปทำบังกะโลที่พัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อทำเป็นสตูดิโอถ่ายภาพเปลือยโดยเฉพาะ และเมื่อผลงานเสร็จ ก็จะมีการนำมาแสดงให้สาธารณชนดูใน งานกาชาด โดยเอาผ้าล้อมให้คนเสียเงินเข้าไปดู มีอัลบั้มภาพ จำหน่าย โดยผู้หญิงที่เลือกมาเป็นแบบให้ก็เป็นผู้หญิงดีๆ มีการศึกษา ในสมัยนั้น ผลงานภาพถ่ายนู้ดของหม่อมหลวง ต้อย ชุมสาย ได้รับการตีพิมพ์ ในวารสาร ‘ชาวกรุง’ ถึง 3 ครั้ง (วารสาร ‘ชาวกรุง’ เป็นหนังสือวารสารที่เริ่มตีพิมพ์ปีแรกใน พ.ศ. 2494) มานิต ศรีวานิชภูมิ ยังให้ความเห็นว่า “หากลองมอง ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน ท่ามกลางบรรยากาศยุค “รัฐนิยม ชาตินิยม” ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อรัฐไทยพยายาม เข้าควบคุมวิถีชีวิตและความคิดของผู้คน ตั้งแต่เรื่องกินอยู่ หลับนอนจนถึงการทำสงครามกับเพื่อนบ้านเพื่อขยาย อาณานิคม ภาพนู้ดของ ม.ล.ต้อย ชุมสาย จึงเป็นมากกว่าภาพ ผู้หญิงแก้ผ้า แต่ยังแสดงถึงการท้าทายอำนาจรัฐและค่านิยม สังคมพับเพียบเรียบร้อย” โครงการค้นหาครูถ่ายภาพไทย (Seeking Forgotten Thai Photographers) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานภาพถ่าย ของช่างภาพรุ่นเก่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา หลังจาก 187
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ที่สะท้อนให้เห็นว่าภาพถ่าย มีบทบาทอย่างไรต่อการแสดงออกของผู้คนบ้าง ในงานดังกล่าว มีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย โดยหนึ่งในภาพถ่ายที่ถูกนำมาจัด นิทรรศการ คือ ผลงานภาพถ่ายต้นฉบับชุดสุดท้าย (ผลิต ระหว่างปี พ.ศ. 2489 - 2504) ที่เหลืออยู่ประมาณ 120 ภาพ โดยคัดเลือกมาแสดง 30 ภาพ โดยผู้จัดงานเห็นว่า การศึกษา ผลงานภาพถ่ายเปลือยของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ชุดนี้ จะทำให้มองเห็นปรากฎการณ์ทางสังคมไทยในยุคสมัยหนึ่ง รวมถึงพัฒนาการทางความคิด มุมมอง และการยอมรับ การสร้างสรรค์ศิลปะแนวทาง ‘ภาพถ่ายเปลือย’ งานชุดนี้ทำให้ เราเห็นพัฒนาการของการยอมรับงานศิลปะภาพนู้ด การแสดงภาพถ่ายเปลือย ผลงานของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ครั้งล่าสุด คือ งานเทศกาลโฟโต้บางกอก 2015 (Photo Bangkok Festival 2015) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม – 4 ตลุ าคม พ.ศ. 2558 โดยหอศลิ ปวฒั นธรรมแหง่ กรงุ เทพมหานคร และพันธมิตรแกลลอรี่ ซึ่งนับเป็นการจัดเทศกาลภาพถ่าย ครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร และจะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ทุกสามปี โดยงานภาพถ่ายของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย จะถูก จัดแสดงในกลุ่ม “ปรมาจารย์ที่ถูกลืม” (REDISCOVERING FORGOTTEN THAI MASTERS OF PHOTOGRAPHY) หัวข้อ “หนึ่งภาพแทนคำพูดพันความหมาย” ร่วมกับผลงานของ 7 ช่างภาพชั้นครู รวมถึงพุทธทาสภิกขุ, เลี้ยงอิ้ว, รงค์ วงษ์สวรรค์, เอส.เอช.ลิม, พรศักดิ์ ศักดิ์แดนไพร และแสงจันทร์ ลิ่มโลหะกุล เพื่อนำพาผู้ชมสู่ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ เชิงวัฒนธรรมของไทย 188
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย นอกจากผลงานการเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และ ช่างภาพ แล้ว หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ยังเคยเป็นอาจารย์ สอนการถ่ายภาพ ให้กับ “รงค์ วงษ์สวรรค์” นักเขียนชื่อดัง และ เป็นผู้แนะนำ “รงค์ วงษ์สวรรค์” เข้าสู่แวดวงนักหนังสือพิมพ์ โดยพาไปรู้จักคนในวงการหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งได้เข้าทำงาน ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ในปี พ.ศ. 2497 หม่อมหลวงต้อม ชุมสาย ได้เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2504 และพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 4.3.4 หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) หรือหลวงอุปกรรัถวิถี (ษระ แสง-ชูโต) (รัชนี อังตระกูล และคนอื่นๆ, 2542. 67 ปี สมาชิกรัฐสภาไทย พ.ศ. 2475 – 2542) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2489 ประวตั ิส่วนตัวและประสบการณ์ทำงาน ข ้ อ มู ล เ ก ี ่ ย ว ก ั บ ช ี ว ิ ต ส ่ ว น ต ั ว แ ล ะ ก า ร ท ำ ง า น ข อ ง นายสระ แสง-ชูโต หรือ หลวงอุปกรณ์รัถวิถี ก่อนที่จะได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2489 เท่าที่สามารถค้นหาได้ คือ หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) ได้รับการศึกษาจาก กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายก สมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยคนแรก ในปี พ.ศ. 2468 โดยมีครูคำดี (หลวงสิริ-ธารารักษ์) เทียนศิริ เป็นเลขาธิการ 189
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ต่อมาเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาคมศิษย์เก่า กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยจึงยื่นจดทะเบียนเลิกกิจกรรม และ มาก่อตั้งขึ้นใหม่หลังสงครามโลกยุติลง หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) รับราชการใน ตำแหน่งนายช่างแขวงการทาง และมีความก้าวหน้าในอาชีพ ตามลำดับ ดังนี้ - พ.ศ. 2470-2471 ดำรงตำแหน่งเป็นนายช่างแขวง การทางเชียงใหม่ที่ 1 - พ.ศ. 2479-2480 ดำรงตำแหน่งนายช่างหัวหน้า กองทาง - พ.ศ. 2481- 2483 ดำรงตำแหน่งนายช่างหัวหน้า กองทาง - พ . ศ . 2 4 8 6 - 2 4 8 7 น า ย ช ่ า ง แ ข ว ง ก า ร ท า ง ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 - พ.ศ. 2489 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 ก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่งหลังการยึดอำนาจ ของพลโทผิน ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 - พ.ศ. 2491 ได้รับแต่งตั้งเป็นนายช่างใหญ่กรมทาง 190
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย - พ.ศ. 2493 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศ ขนานนามทางหลวงแผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ เกยี รตแิ กผ่ ปู้ ระกอบ คุณงามความดีต่อประเทศ ในราชกิจจานุชบกษา วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2493 โดยทางหลวงแผ่นดิน สาย สามแยกดอนกระเบื้อง-กาญจนบุรี-ปิล็อก ให้ขนานนามว่า ถนน “แสงชูโต” เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงอุปกรณ์รัฐวิถี (สระ แสงชูโต) อดีตนายช่าง ใหญ่กรมทาง 4.3.5 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2491 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ประสูติเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2426 เปน็ โอรสของพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ (พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร พระโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น) กับหม่อม สุภาพ ทรงมีพี่น้องร่วมอุทรมารดา เรียงตามลำดับ ดังนี้ หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ หม่อมเจ้าบวรเดช หม่อมเจ้าเศรษฐศิริ หม่อมเจ้าสิทธิพร หม่อมเจ้าอมรทัต หม่อมเจ้าเขจรจรัสฤทธิ์ และหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เดินทางไปศึกษา ณ Harrow School City and Guild’s Technical College (ซึ่งต่อมารวมเข้า เป็นส่วนหนึ่งของ University of London) ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ ชั้นประถมจนถึงอุดมศึกษา ระหว่าง พ.ศ. 2434-2444 สาขา วิชาชีพที่สนพระทัย คือ วิชาวิศวกรรมเครื่องกล 191
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร สมรสกับหม่อมคำทิพย์ เมื่อ พ.ศ.2447 มีบุตรชาย 1 คน คือ หม่อมราชวงศ์อำนวยพร กฤดากร ต่อมา หม่อมคำทิพย์ เสียชีวิต จึงได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ให้เษกสมรสกับเจ้าศรีพรหมา ธิดาเจ้าสุริยพงศ์ผลิตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน และทรงมีบุตรชายกับหม่อมศรีพรหมา เป็นชาย 1 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร กฤดากร และบุตรสาว 1 คน คือ หม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี กฤดากร ประวตั ิการทำงานและประสบการณท์ างการเมอื ง - หลังจากเสด็จกลับประเทศไทย ใน พ.ศ. 2444 ได้ทรงช่วยเหลือกิจการโรงงานทำปูนขาวของ ครอบครัวที่จังหวัดสระบุรี - ใน พ.ศ. 2449 เข้ารับราชการเป็นเลขานุการ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ และระหว่างนี้ ได้ทรงพัฒนาวิธีการเขียนชวเลขไทย และส่งประกวด ไดร้ บั รางวลั ท่ี 1 จากสมเดจ็ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ - โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดีกรมฝิ่น กระทรวงการคลัง เนื่องจากมีความรู้ดีเรื่อง เครื่องจักรกล เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจัดสร้าง และดำเนินงานโรงงานใหม่ ใน พ.ศ. 2453 - โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกษาปณ์สิทธิการ ใน พ.ศ. 2456 ในระหว่างดำรงตำแหน่งได้ดำเนินการ ปรับปรุงเครื่องทำเหรียญกษาปณ์ 192
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย - ย้ายกลับไปเป็นอธิบดีกรมฝิ่น ใน พ.ศ. 2458 โดยได้ ทรงปรับปรุงระบบจำหน่ายฝิ่นจนทำให้กรมฝิ่น มีรายได้มากถึงร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด ทั้งยัง เคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งถือว่าเป็นทีมชาติไทยชุดแรก - ใน พ.ศ. 2464 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร กราบ บังคมทลู ลาออกจากราชการ และเสด็จจากกรุงเทพฯ พร้อมครอบครัว ไปตั้งรกรากอยู่ที่บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ชายาของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เล่าไว้เมื่อให้สัมภาษณ์คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือ “อัตชีวประวัติ” ของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร ว่า หม่อมเจ้า สิทธิพร กฤดากร ทรงสนพระทัยเรื่องเกษตรมาตั้งแต่ ทรงมีโอกาสอ่านรายงานเกี่ยวกับการเกษตรของประเทศ สหรัฐอเมริกา สมัยที่ทรงงานที่กระทรวงการต่างประเทศ และ เมื่อได้ศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรมากขึ้น ก็ทรงปรารถนาที่จะ สร้างแบบอย่างของ “กสิกรชั้นกลาง” ซึ่งหมายถึง ผู้ประกอบ อาชีพการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์โดยอาศัยวิชาความรู้อย่างมี หลักการ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงเชื่อมั่นว่าจะเป็นทาง เลือกใหม่ให้แก่สังคมไทยมากขึ้น เนื่องจากหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงเห็นการณ์ไกลว่าราชการไม่อาจขยายตำแหน่ง ได้เพียงพอรองรับคนรุ่นใหม่ จึงจำเป็นต้องหาอาชีพอื่นเตรียมไว้ โดยทรงเห็นว่า อาชีพกสิกรรมเป็นอาชีพที่มีโอกาสเหลือเฝือ ไม่ต้องแข่งขันกับใคร นอกจากตัวเอง 193
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมเจ้าสิทธิพร และหม่อมศรีพรหมา กฤดากร จึงสร้าง “ ฟาร์มบางเบิด “ ขึ้น เพื่อเป็นทั้งบ้านและไร่นา กล่าวคือ เป็นที่อยู่อาศัยที่พึ่งพาตนเองได้และเป็นที่หาเลี้ยงชีพ ได้ และเพื่อให้เป็นตัวอย่าง ทรงนำพืชและสัตว์พันธุ์ใหม่ๆ จากต่างประเทศมาทดลองปลูกและเลี้ยง ทรงทดลองนำ เครื่องจักรกลมาใช้ทุ่นแรง ใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ทั้งชนิด วิทยาศาสตร์และชีวภาพมาทดลองเปรียบเทียบผลดี ผลเสีย รวมทั้งนำระบบบริหารจัดการไร่แบบใหม่มาใช้ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก “ฟาร์มบางเบิด” จึงเป็นต้นกำเนิดพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่สามารถปลูกได้อย่างดีในประเทศไทย ในเวลาต่อมา เช่น แตงโมบางเบิด ข้าวโพด ยาสูบ เป็นต้น ฟาร์มบางเบิด จึงกลายเป็นสถานีฝึกงานและศึกษางานของนักเกษตรรุ่นใหม่ - ใน พ.ศ. 2458 ด้วยความคิดที่ว่าในการประกอบ อาชีพเกษตรกรรมเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังสั่งสอน หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร จึงรับหน้าที่เป็น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ กสิกร กับหนุ่มนักเรียน นอก ซึ่งเป็นครูโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ที่บางสะพาน และข้าราชการกรมกสิกรรม ได้แก่ พระช่วงเกษตรศิลปกร ซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม หลวงสุวรรณ วาจกกสกิ จิ หลวงองิ คศรกี สกิ าร และขนุ ศรสี พุ รรณราช เป็นต้น โดยหม่อมเจ้าสิทธิพร และหม่อมศรีพรหมา เป็นผู้เขียนคอลัมน์ประจำ นำเสนอผลจาการปฏิบัติ งานจริงที่ฟาร์มบางเบิดสู่ประชาชนติดต่อกันเป็น เวลาหลายปี 194
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย - ใน พ.ศ. 2474 เนื่องจากข้าวราคาตกต่ำจากสภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้า สิทธิพร กฤดากร กลับเข้ารับราชการเป็นอธิบดีกรม ตรวจกสิกรรม โดยได้มีการตั้งสถานีทดลองพืชดอน ขึ้น 3 แห่ง ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา และสงขลา โดยผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้า สถานีทดลอง และเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนประถม กสิกรรมในสังกัดกระทรวงธรรมการ คือ พระช่วง เกษตรศิลปการ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และ หลวงอิงคศรีกสิการ ซึ่งทั้งสามท่านได้สมญาว่าเป็น สามเสือแห่งเกษตร ที่ทำให้การจัดการศึกษาวิชา เกษตรศาสตร์กลับมาอยู่ในกระทรวงเกษตราธิการ หลังจากถูกแยกไปไว้กับกระทรวงธรรมการเมื่อ พ.ศ. 2456 - พ.ศ. 2476-2487 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ถูก กล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมก่อการกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พระเชษฐา ในกบฏบวรเดช เมื่อ พ.ศ. 2476 ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คุมขังที่เรือนจำบางขวาง แล้วย้ายไปคุมขังที่ ทัณฑนิคม เกาะตะรุเตา ก่อนย้ายมาเกาะเต่า อย่างไรก็ตาม งานค้นคว้าทดลองการเกษตรที่ฟาร์ม บางเบิดยังดำเนินต่อไป โดยทรงให้คำแนะนำปรึกษาในการ ทำงานทางจดหมายแก่หม่อมศรีพรหมา ชายา อย่างสม่ำเสมอ 195
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนั้น ระหว่างอยู่ที่คุกบางขวาง หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ใช้เวลาว่างในการสอนเพาะปลูกให้นักโทษและนิพนธ์ ตำราสมัยใหม่ทางการเกษตรเล่มแรก ของประเทศไทย ชื่อว่า กสิกรรมบนดอย โดยทรงขยายความท้ายหนังสือว่า หลัก วิทยาศาสตร์และคำแนะนำสำหรับทำจริง หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2479 และสมาคมนิสิตเก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์นำมาพิมพ ์ อีกครั้งเพื่อมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้มาร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ ท่านผู้นิพนธ์ ใน พ.ศ. 2514 - พ.ศ. 2487 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ได้รับ พระราชทานอภัยโทษ และเสด็จกลับไปทดลอง การเกษตรที่ฟาร์มบางเบิด บางสะพาน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ - พ.ศ. 2490 รัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ได้ปรับปรุง คณะรัฐมนตรี โดยนายควง อภัยวงศ์ได้ลาออกจาก การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 และทูลขอให้ หม่อมหลวงสิทธิพร กฤดากร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตราธิการแทน - หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2490 – 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 - หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 196
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 และได้รับการ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แต่คณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้ถูกบีบบังคับจาก คณะรัฐประหารของจอมพลผิน ชุณหะวัณ ให้ลาออก เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 - หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์การอาหารและ การเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้จัดตั้ง คณะกรรมการข้าวนานาชาติ (International Rice Commission – IRC) ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนข้าว และหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงได้รับแต่งตั้ง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของประเทศไทยและได้ทรง รับการเลือกเป็นประธานคณะกรรมการ ระหว่างปี พ.ศ. 2492 - 2495 และในปี พ.ศ.2492 หม่อมเจ้า ส ิ ท ธ ิ พ ร ก ฤ ด า ก ร ย ั ง ไ ด ้ ร ั บ พ ร ะ ร า ช ท า น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นปฐมจุลจอมเกล้าอันเป็น เครื่องอิสริยภรณ์อันแสดงยศเสมอด้วยเจ้านาย ชั้นพระองค์เจ้า - พ.ศ. 2503 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงชราภาพ เกินกว่าจะตรากตรำและบุตรธิดาไม่ประสงค์จะสืบ งานฟาร์มบางเบิดต่อดังที่ทรงคาดหวังตั้งแต่ต้น จึงทรงขายฟาร์มบางเบิดให้กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากกระทรวงเกษตร ปฏิเสธที่จะรับซื้อ 197
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไว้เนื่องจากไม่มีงบประมาณ โดยนำเงินที่ได้มาซื้อ ที่ดินขนาดย่อมเหมาะแก่กำลังที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และดำเนินการทดลองด้าน การเกษตรต่อ - พ.ศ. 2510 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ได้รับการ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขากสิกร รมและสัตวบาลจากสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรางวัลด้านบริการสาธารณะ สาขาพัฒนาการ เกษตรแผนใหม่ จากมูลนิธิรามอน แมกไซไซ - พ.ศ. 2511 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงริเริ่ม ก่อตั้งพรรคการเมือง ชื่อ พรรคสัมมาชีพ – ช่วยชาวนา โดยมี พระช่วงเกษตรศิลปการ (หนึ่งใน สามเสือเกษตร บูรพาจารย์ของมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์) เป็นหัวพรรค “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” ประโยคทองนี้ถือเป็นวาทะสำคัญ ของม.จ.สิทธิพร ในระหว่างที่ ทรงประกาศเรียกร้องมาตรการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ ครอบคลุมครัวเรือนเกษตรกร โดยมุ่งหวังให้สามารถผลิตอาหาร พึ่งตนเองได้เอง และหลุดพ้นจากความยากจน ไม่ถูกนายทุน เงินกู้เอาเปรียบ ทั้งประเทศชาติก็จะมีอนาคตที่มั่นคงได้ อันจะ เป็นประโยชน์สงู สุด หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงตอกย้ำความสำคัญเรื่อง ให้การศึกษาแก่เกษตรกร โดยได้ใช้เงิน จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรางวัลแมกไซไซ ให้กับโครงการอบรม 198
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ลูกหลานชาวไร่ชาวนา และโครงการนาสาธิต ที่ทรงลงมือทำ ด้วยตนเองโดยตลอด จนความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์สนับสนุนโครงการอบรมลูกหลานชาวนาของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร และต่อมาได้ทรงพระกรุณานำไป ต่อยอดในโครงการพระราชดำริต่างๆ อีกมากมาย หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงงานหนักจนกระทั่ง ชราภาพ และทรงถึงชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 สิริชันษายืนยาวถึง 88 ปี เพื่อสืบทอดมรดกอุดมการณ์ของ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร และเพื่อให้มีสิ่งน้อมใจอนุชนให้รำลึกถึงท่านผู้อุทิศตนเพื่อ พัฒนาการเกษตรและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้ดำเนินการจัดสร้างสถานีวิจัย และอนุสรณ์สถานขึ้นบนพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฟาร์มบางเบิด โดยได้รับอนุมัติจากกรมธนารักษ์และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งชื่อสถานีวิจัยแห่งนี้เฉลิมพระนามของท่านว่า “สถานีวิจัย สิทธิพรกฤดากร” 4.3.6 นายต้าน ประจวบเหมาะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัด พรรคสหภมู ิ (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501) นายต้าน ประจวบเหมาะ เกิดประมาณ พ.ศ. 2474 เป็น ชาวอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบุตรของ นายพิเคราะห์ และนางกิมลี้ ประจวบเหมาะ เป็นพี่ชายของ 199
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสำเภา ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจวบคีรีขันธ์ เป็นญาติกับนายสมหมาย เลาห์เรณู (บุตรชาย ของนายมิ่ง เลาห์เรณู) ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ครั้งนี้ด้วย นายต้าน ประจวบเหมาะ จบการศึกษาระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนประจวบวิทยาลัย หลังจากนั้น ได้ประกอบอาชีพเป็นครูในโรงเรียนเอกชนจีน ในอำเภอกุยบุรี ชื่อ โรงเรียนเกี๊ยวกวง ซึ่งปัจจุบันยังเปิดดำเนินการ นายต้าน ประจวบเหมาะ สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ครง้ั แรกในการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด และไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยพ่ายแพ้ ให้กับนายทองสืบ ศุภะมาร์ค ด้วยคะแนนที่ห่างกันไม่มาก (นายทองสืบ ศุภะมาร์ค 7,342 นายต้าน ประจวบเหมาะ 6,025) ต่อมา จึงได้รับทาบทามจากพรรคสหภูมิให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ขณะที่ นายทองสืบ ศุภะมาร์ค อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ 3 สมัย ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย พรรคสหภูมิเป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตั้งพรรค เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2500 ภายใต้การสนับสนุนจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก และรองนายก- รัฐมนตรี ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนายสุกิจ นิมมานเหมินท์ อดีต ส.ส. พรรคเสรีมนังคศิลา ที่ได้ลาออกมา เป็นหัวหน้าพรรค 200
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ สมาชิกจากพรรคสหภูมิได้รับ เลือกตั้งมากที่สุด จำนวน 45 คน ซึ่งรวมถึงนายต้าน ประจวบเหมาะ ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คนแรกของตระกูล ประจวบเหมาะ ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 25 ปี นายต้าน ประจวบเหมาะเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2501 อายุ 27 ปี ขณะขณะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร 4.3.7 นายอุดมศักด์ิ ท่ังทอง สมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 11 สมัย (พ.ศ. 2512 - 2540) ประวัติส่วนตัว นายอดุ มศกั ด์ิ ทง่ั ทอง เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 4 สงิ หาคม พ.ศ. 2472 เป็นชาวอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบุตรของ นายพรหม นางชอ้ ย ทง่ั ทอง สำเรจ็ การศกึ ษา ระดบั มธั ยมศกึ ษา ชั้นปีที่ 6 จากโรงเรียนประจวบวิทยาลัย นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง สมรสครั้งแรกกับนางสุนันท์ ทั่งทอง มีบุตร-ธิดารวม 5 คน คือ นางอวยพร คีรีวิเชียร นางสาวเอื้อมพร ทั่งทอง พลตำรวจโท พนมศักดิ์ ทั่งทอง นางสาวศุลีพร ทั่งทอง และ พลตำรวจตรี ทนงศักดิ์ ทั่งทอง ต่อมานายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้สมรสครั้งที่ สองกับนางเบญจพร ทั่งทอง มีบุตร 1 คน คือ นายเกียรติศักดิ์ ทั่งทอง นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง เป็นที่รู้จักของชาวประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะเจ้าของบ้าน “กระท่อมทั่งทอง” เจ้าของกิจการ 201
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงเลื่อย และได้รับสัมปทานป่าไม้ และเหมืองแร่ดีบุก ก่อนได้ รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง เคยรับราชการครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงมหาดไทย นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถึง 11 ครั้ง ในสังกัด พรรคการเมือง 4 พรรค ครั้งแรกในการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 9 ในปี พ.ศ. 2512 และครั้งสุดท้าย ในการเลือกตั้งครั้งที่ 19 ในปี พ.ศ. 2539 นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง จึงมีเครือข่ายการเมืองอย่าง กว้างขวาง ทั้งในระดับชาติ และในพื้นที่ บนเส้นทางการเมือง 27 ปี นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับ การแต่งตั้งเป็นคณะรัฐมนตรีใน 4 รัฐบาล ผ่านประสบการณ์ การบริหารงานใน 3 กระทรวง นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้วางมือทางการเมือง หลังจาก การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 11 สมัย และรัฐมนตรีใน 3 กระทรวง ตำแหน่งสุดท้าย คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ.2540 และแม้ว่าจะมีบุตรชาย และบุตรสาวเป็นทายาททางการเมือง แต่ก็ไม่ประสบความ สำเร็จ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง เสียชีวิตด้วยโรคตับ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554 สิริอายุรวม 81 ปี 202
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เส้นทางการเมือง : จากนักธุรกิจสู่การเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 11 สมยั เส้นทางการเมืองของ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 11 สมัย ลำดับเหตุการณ์ได้ ดังนี้ 1) หลังจากนายต้าน ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2500 เสียชีวิตลง นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง จึงตัดสินใจ ลงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ในสังกัดพรรคสหประชาไทย ที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค โดยการชักชวนของพันเอก ณรงค์ กิตติขจร ลูกชายของจอมพลถนอม กิตติขจร ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีทายาทตระกูลประจวบเหมาะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย คือ นายนิกร ประจวบเหมาะ ลูกชายของนางดัด ประจวบเหมาะ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายมิ่ง เลาห์เรณู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์คนแรก โดยนายนิกร ประจวบเหมาะ ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่สังกัดพรรคใดๆ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยแรก และในการ เลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครของพรรคสหประชาไทยได้รับเลือกตั้ง ทั้งหมด 74 คน และได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าพรรคสหประชาไทย ดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 203
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 2 คน นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง คู่กับนายสำเภา ประจวบเหมาะ น้องชายของนายต้าน ประจวบเหมาะ ในสังกัด พรรคธรรมสังคม ซึ่งมีนายทวิช กลิ่นประทุม เป็นหัวหน้าพรรค นายบุญเลิศ เลิศปรีชา เป็นเลขาธิการพรรค ทั้งนี้ เนื่องจาก พรรคสหประชาไทยได้ถูกยุบไปจากการรัฐประหารตัวเองของ จอมพลถนอม กิตติขจร ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 และได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งยกเลิกพรรคการเมืองทั้งหมด นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 2 ในนามพรรคธรรมสังคม ในขณะที่ นายสำเภา ประจวบเหมาะ ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เนื่องจาก พ่ายแพ้ให้กับนายพีระพงศ์ อิศรภักดี จากพรรคประชาธิปัตย ์ ไปเพียง 15 คะแนน ในภาพรวมทั้งประเทศ พรรคธรรมสังคม ได้รับ เลือกตั้ง 45 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ 72 ที่นั่ง และเป็น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภากลับไม่ได้รับการยอมรับ และเปิดทาง ให้พรรคกิจสังคม ซึ่งมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคอื่นๆ อีก 6 พรรค ซึ่งรวมทั้งพรรคธรรมสังคม ที่นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง สังกัดด้วย 204
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 3) ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ยังคงลงสมัคร รับเลือกตั้งในสังกัดพรรคธรรมสังคม ขณะที่นายสำเภา ประจวบเหมาะ ซึ่งเคยสังกัดพรรคธรรมสังคมได้ย้ายไปลงสมัคร ในสังกัดพรรคชาติไทย ซึ่งขณะนั้นมี พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ส่งนายพีระพงศ์ อิศรภักดี อดีต ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1 สมัย (พ.ศ. 2518) และนายบัญชา ยังพะกลู ลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งปรากฎว่านายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์สมัยที่ 3 แต่มี คะแนนเปน็ อนั ดบั 2 (25,604) รองจากนายสำเภา ประจวบเหมาะ ( 30,819) ส่วนผลการเลือกตั้งครั้งนี้ในภาพรวมทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้ง 114 ที่นั่ง ได้เป็นแกนนำ จัดตั้งรัฐบาล มี มร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ พรรคชาติไทยได้ 56 ที่นั่ง และพรรคธรรมสังคมได้เพียง 28 ที่นั่ง แต่ได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ 4) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ยังคงได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 แต่เนื่องจากเป็น การเลือกตั้งหลังจากการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครอง และเพิ่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 แต่ยังไม่มีกฎหมายพรรคการเมือง ผู้สมัครรับ เลือกตั้งจึงไม่สังกัดพรรคการเมืองใด (แต่สามารถสังกัด กลุ่มการเมือง) โดยผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด 205
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจวบคีรีขันธ์ยังคงเป็นนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และนายสำเภา ประจวบเหมาะ 5) นับตั้งแต่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 จังหวัดประจวบ- ครีรีขันธ์ มี ส.ส. ได้ 3 คน นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง จึงได้ย้ายไป สมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติไทย ร่วมกับนายสำเภา ประจวบเหมาะ ซึ่งเคยสังกัดพรรคชาติไทยอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2519 และนายวิเศษ ใจใหญ่ ซึ่งลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์เป็นครั้งแรก ทีมผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคชาติไทย ทั้ง 3 คน ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยนับเป็น การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 5 นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายวิเศษ ใจใหญ่ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรคชาติไทย รวม 6 ครั้ง ได้แก่ การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในปี พ.ศ. 2526, 2531, 12 มีนาคม 2535, 13 กันยายน 2535 และปี พ.ศ. 2538 ซึ่งผู้สมัครทั้ง 3 คน จากพรรคชาติไทย ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทุกครั้ง 6) ในปี พ.ศ. 2539 ได้เกิดกลุ่มการเมืองขึ้นในพรรค ชาตไิ ทย ทเ่ี รยี กวา่ “กลมุ่ วงั นำ้ เยน็ ” โดยมี นายเสนาะ เทยี นทอง เป็นหัวหน้า โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ทั้ง 3 คน คือ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายวิเศษ ใจใหญ่ เป็นสมาชิกกลุ่มด้วย 206
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยกลุ่มวังน้ำเย็นได้ลาออกจากพรรคชาติไทย ไปเข้าร่วมกับ พรรคความหวังใหม่ที่มี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้า พรรค และต่อมานายเสนาะ เทียนทอง ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม วังน้ำเย็นได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค นายอุดมศักด์ ทั่งทอง นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายวิเศษ ใจใหญ่ จึงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ และได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้ง 3 คน โดยนับเป็นการเป็น ส.ส.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 11 ของนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ประสบการณ์ทางการเมืองในคณะรัฐมนตรี ใน 4 รัฐบาล บนเส้นทางการเมืองที่ได้รับการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 11 สมัยในช่วง 27 ปี นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับ แต่งตั้งเป็นคณะรัฐมนตรีใน 4 รัฐบาล 3 กระทรวง ดังนี้ - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในระหว่างวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2531 - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ระหว่างวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2535 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2535 207
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2540 – 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 เครือขา่ ยทางการเมืองและกลยุทธก์ ารหาเสียง จากประสบการณ์ในอาชีพข้าราชการและการเป็น นักธุรกิจสัมปทานป่าไม้ และเหมืองแร่ และพรรคการเมืองแรก ที่เข้าสังกัดในสมัยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ทำให้นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง มีเครือข่ายการเมืองกว้างขวาง ทั้งนายทหาร ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มทุนสัมปทาน ป่าไม้ เหมืองแร่ คนงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ โรงเลื่อย เหมืองแร่ และชาวบ้านที่ยังต้องพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ หรือได้รับ ประโยชน์จากโครงการที่นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ริเริ่มขึ้นในพื้นที่ เช่น การขุดลอกคลอง การจัดตั้งสหกรณ์ปศุสัตว์ทับสะแก เป็นต้น นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง จึงถูกมองว่าเป็นผู้มีบารมีและ ผู้กว้างขวางของจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เป็น “บ้านใหญ่ ทับสะแก” ที่เป็นเป้าหมายที่นักการเมืองท้องถิ่น (ซึ่งรวมถึง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในปัจจุบันที่ยอมรับว่าในสมัยที่เป็น นักการเมืองท้องถิ่นก็เป็นฐานเสียงให้กับนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง) ข้าราชการต้องไปคารวะและขอรับการสนับสนุน เพื่อให ้ การทำงานในพื้นที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 208
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย บทบาทของตระกลู ทัง่ ทองในปัจจบุ ัน นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้วางมือทางการเมืองหลังจาก การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ในปี พ.ศ.2540 แต่บุตรสาวและบุตรชาย เริ่มเข้ามามี บทบาททางการเมือง โดยนางอวยพร คีรีวิเชียร บุตรสาว ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2543 พ.ต.อ.ทนงศักดิ์ ทั่งทอง (ยศในขณะนั้น) สมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดพรรค ไทยรักไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2544 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งทั้ง 2 ตำแหน่ง ปจั จบุ นั ตระกลู ทง่ั ทองยงั คงทำงานดา้ นสาธารณประโยชน์ และสานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยนางอวยพร คีรีวิเชียร รับหน้าที่เป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทับสะแก เนื่องจาก เห็นว่าจะเป็นการช่วยดำรงรักษาวิถีชีวิตที่น่าชื่นชมของชาว ทับสะแก ทั้งการนำผลผลิตและวัตถุดิบต่างๆ มาสร้างสรรค์ โดยผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นถิ่นยังช่วยสร้างรายได้ให้กับ ชาวบ้านอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนธุรกิจของครอบครัวก่อนที่จะเข้าสู่วงการการเมือง คือ สัมปทานป่าไม้และเหมืองแร่ นั้น นางอวยพร คีรีวิเชียร บุตรสาวของนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจาก รัฐบาลประกาศยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2532 กิจการสัมปทาน ป่าไม้และเหมืองจึงได้เลิกกิจการไป และได้แปลงสภาพเหมืองแร่ดีบุก เนื้อที่ 1,924 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบล อ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่มีสภาพ 209
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เสื่อมโทรมเป็นหินและดินทราย ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก มาเป็นฟาร์มเครือข่ายกรมปศุสัตว์ โดยได้ขออนุญาตจาก กรมป่าไม้เข้าทำประโยชน์ในโครงการวนเกษตรปศุสัตว์ อนุรักษ์ ทรัพยากรป่าไม้ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ใช้ชื่อว่า “US อุดมสุขฟาร์ม” โดยได้เริ่มเลี้ยงโคเนื้อสายพันธุ์อเมริกันวัวบราห์ มันแท้ และยังคงให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ โดยเฉพาะมะพร้าว เนื่องจากอำเภอทับสะแกขึ้นชื่อว่ามี มะพร้าวแกงดีที่สุดในประเทศไทย 4.3.8 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2518 สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2537-2539 ประวัตสิ ว่ นตวั นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 เป็นบุตรของนายพิพัฒน์ และนางอุไรลักษณ์ อิศรภักดี เป็นชาวกรุงเทพฯ แต่เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กใน “บ้าน หาดสวรรค์” อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากมี คุณลุง คือ นายประสงค์ อิศรภักดี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถึง 2 สมัย คือ ระหว่าง พ.ศ. 2494-2495 และระหว่าง พ.ศ. 2497- 2499 และมีคุณพ่อ คือ นายพิพัฒน์ อิศรภักดี ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่าง พ.ศ. 2501 – 2504 รวมทั้งคุณแม่ คือ นางอุไรลักษณ์ อิศรภักดี เป็นผู้ริเริ่มธุรกิจสามล้อพ่วงข้างขึ้นเป็นครั้งแรกในอำเภอหัวหิน ใน พ.ศ. 2500 210
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ที่เรียกกันว่า “รุ่น นิติ 01” มีเพื่อน ร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงหลายคน อาทิ นายชวน หลีกภัย นายสมัคร สุนทรเวช นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นต้น เขาได้รับสมญานามจาก เพื่อนร่วมรุ่นว่า“ไอ้หนวดงิ้วการเมือง” จากบทบาทการแสดงงิ้ว ธรรมศาสตร์ หรืองิ้วล้อการเมืองที่มีกำเนิดจากคณะนิติศาสตร์ ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นการแสดงครั้งแรกร่วมกับ นายชวน หลีกภัย และนายวิทยา สุขดำรงค์ โดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นคนเขียนบท เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมา ได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านกฎหมายในระดับปริญญาโทและ ปริญญาเอกด้านกฎหมายจากประเทศสหรัฐอเมริกา (LLm. & Juris Doctor) บทบาททางการเมือง นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ปักธงลงในพื้นที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2518 หลังจากที่ นายพรี ะพงศ์ อศิ รภกั ดไี ดร้ บั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์คนแรกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 10 เมื่อ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี มีประสบการณ์การทำงาน ทั้งด้านกฎหมาย การเมืองและการบริหาร และนักพูด ตำแหน่ง ทางการเมืองที่สำคัญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด 211
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2518 และสมาชิกวุฒิสภา ชุดที่ 6 พ.ศ. 2535-2539 ตำแหน่งทางการบริหารที่สำคัญ คือ ผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 2 สมัย ระหว่าง พ.ศ. 2543 – 2546 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมือง หัวหิน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจและสร้างทีมงานให้กับ ผู้บริหารและทีมงานต่างๆ เสน้ ทางการเมอื ง 1) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ พ.ศ. 2518 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ให้สัมภาษณ์ว่า ใน พ.ศ. 2517 นายชวน หลีกภัย และนายสมัคร สุนทรเวช เพื่อนร่วมรุ่น นิติ 01 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเดินทางมาพบปะกันที่อำเภอหัวหินบ่อยครั้ง ได้ชักชวนให้เขา ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในนาม พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากในขณะนั้นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีประชากรเพิ่มมากขึ้นและมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 151,605 คน ทำให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถมี ส.ส. เพิ่มได้เป็น 2 คน ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2517 ที่ถือเกณฑ์คำนวณจำนวนราษฎร หนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ซึ่งในขณะนั้นทำงานเป็น ผู้จัดการฝ่ายขาย (Sale Manager) อยู่ที่บริษัทสายการบินไทย แอร์เวย์ ตัดสินใจลาออกจากงานมาสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในนามพรรค 212
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 10 ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 โดยในเบื้องต้น คาดว่าจะเป็นการสมัครร่วมกันกับนายสำเภา ประจวบเหมาะ แต่ภายหลังนายสำเภา ประจวบเหมาะ เปลี่ยนใจไปร่วมทีมกับ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ทำให้เขากลายเป็นผู้สมัครคนเดียวจาก พรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งจำนวน 9 คน จาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคธรรมสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกิจสังคม พรรคเกษตรสังคม และ พรรคชาติไทย นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เป็นผู้สมัครหมายเลข 3 คู่แข่งสำคัญ คือ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และนายสำเภา ประจวบเหมาะ จากพรรคธรรมสังคม โดยนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ผู้กว้างขวางจากอำเภอทับสะแก และอดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จากพรรคสหประชาไทย ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยแรก ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 และนายสำเภา ประจวบเหมาะ ซึ่งเป็นทั้งอดีตกำนัน และคุณครูจากอำเภอกุยบุรี ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นครั้งแรก เนื่องจากการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งแบบ ผสมระหว่างรวมเขตและแบ่งเขต โดยที่จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็น เขตเลือกตั้ง (รวมเขต) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเขตเลือกตั้ง เพียง 1 เขต ดังนั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องหาเสียงเลือกตั้ง ทั้งจังหวัด 213
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ว่าเขาจะ เป็นคนกรุงเทพฯ แต่มีพื้นฐานครอบครัวและใช้ชีวิตวัยเด็ก ในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็น “คนนอก” ที่อาจหาญมาสมัครเป็นผู้แทนของชาว ประจวบคีรีขันธ์ แต่การเป็นผู้สมัครคนเดียวของพรรค ประชาธิปัตย์ และเป็นการสมัครครั้งแรก รวมทั้งมีเวลาหาเสียง เพียง 15 วัน หลังจากได้รับอนุมัติให้ลาออกจากงาน ทำให้ใน เบื้องต้นเขารู้สึกเคว้งคว้าง และไม่รู้ว่าจะเริ่มหาเสียงเลือกตั้ง อย่างไร นายพีระพงศ์ วิเคราะห์ว่า เขาพอจะมีคนที่รู้จัก บ้างแล้วในอำเภอหัวหิน ปราณบุรี และมีฐานเสียงที่สำคัญ คือ เครือข่ายข้าราชการและนักธุรกิจเอกชน ที่เคยร่วมงานกับ นายประสงค์ อิศรภักดี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้เป็นคุณลุง และนายพิพัฒน์ อิศรภักดี อดีตอัยการจังหวัด ผู้เป็นเป็นคุณพ่อ รวมทั้งนางอุไรลักษณ์ อิศรภักดี ผู้เป็นคุณแม่ เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นหาเสียงครั้งแรกในพื้นที่กิ่งอำเภอ บางสะพานน้อย โดยเดินทางไปแนะนำตัวเองกับชาวบ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังทำไร่ทำนากัน การลงไปหาเสียงในพื้นที่ทำให้เขารู้สึกท้อแท้มาก เพราะไม่มีใครให้ความสนใจการปรากฎตัวของเขาเลย ทั้งนี้ อาจเนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรในท้องไร่ ท้องนาของชาวบ้าน ประกอบกับชาวบ้านอาจไม่สนใจการเมือง และมีนักการเมืองที่เขาเลือกอยู่แล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คนแล้ว 214
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินทางกลับ เขาได้ยินคำพูดของ ชายชราผู้หนึ่งว่า “คนเราถ้าไม่เกลียดดินซะอย่าง ใช้ได้” ทำให้ เขาฮึกเหิมและมีกำลังใจที่จะลงไปพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ ต่อไป แม้ว่า ในสมัยนั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะยังไม่นิยม การตั้งเวทีปราศรัยหาเสียง แต่นิยมแจกสิ่งของในลักษณะ แนะนำผู้สมัครแลกกับการลงคะแนนเสียงแบบต่างตอบแทน แต่นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ได้เริ่มปราศรัยหาเสียงในกลุ่ม คนฟังเล็กๆ และเริ่มได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามีลีลา การอภิปรายที่จัดจ้าน ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง การเมืองและกฎหมาย ทั้งยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับ ปัญหาบ้านเมือง การทำงานของข้าราชการ และตอบโต้กับคน ฟังได้อย่างสนุกสนาน เขาให้คำมั่นกับประชาชนในระหว่าง การหาเสียงว่า เขาพร้อมสนับสนุนข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกต้อง ขณะเดียวกัน ถ้าเขาได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ก็ขอให้ เชื่อใจเขาว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี อีกหนึ่งวิธีในการหาเสียงของนายพีระพงศฺ์ อิศรภักดี คือ แทนที่จะแจกสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แจกพระเครื่องให้กับ ประชาชนที่มาฟังอภิปราย เพื่อแสดงนัยยะทางการเมืองว่า เขาจะใช้ธรรมะและคุณธรรมนำการเมือง โดยเขาอธิบายการใช้ คุณธรรมนำการเมืองเชื่อมโยงกับหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของเขา หมายเลข 3 ที่หมายถึงพระรัตนตรัย ผลการเลือกตั้งในครั้งนั้นปรากฎว่า นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนเสียง 215
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 20,934 นายพีระพงศ์ อิศรภักดีได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 2 ด้วยคะแนน 16,543 นายสำเภา ประจวบเหมาะ ที่ได้คะแนน เป็นอันดับ 3 (16,528) นายพีระพงศ์ อิศรภักดี จึงได้รับการ เลือกตั้ง โดยมีคะแนนมากกว่านายสำเภา ประจวบเหมาะ เพียง 15 คะแนน นายพรี ะพงศ์ อศิ รภกั ดี เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธไ์ ดไ้ มถ่ งึ 1 ปี เนอ่ื งจากในวนั ท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2519 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจ ยุบสภา และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ อีก 2 ครั้ง คือ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยมีคะแนนเป็นอันดับ 3 รองจากนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และนายสำเภา ประจวบเหมาะ ที่ได้รับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ให้สัมภาษณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2519 ได้แนะนำให้พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ ซึ่งรู้จักกัน ตั้งแต่สมัยทำอุตสาหกรรมสับปะรดที่จังหวัดเพชรบุรีและ ประจวบคีรีขันธ์ เข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจาก เห็นว่าพันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ จะเป็นผู้สนับสนุนทาง การเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ยอมรับเงื่อนไขการเป็นสมาชิกพรรคของพันเอกพล 216
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เรงิ ประเสรฐิ วทิ ย์ ทำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงเสน้ ทางทางการเมอื ง และเส้นทางอาชีพหลังจากนั้น เมื่อนายพีระพงศ์ อิศรภักดี ไม่สามารถผลักดัน ให้พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ให้เข้าเป็นสมาชิกพรรค ประชาธิปัตย์ได้ จึงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ไปสนับสนุนให้พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งในครั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และทำให้พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2526 พันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ ได้รวบรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด มาก่อนมาตั้ง “พรรคสยามประชาธิปไตย” และต่อมาได้ เปลี่ยนชื่อเป็น พรรคสหประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 และถูกยุบเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2535 พันเอกพล เรื่องประเสริฐวิทย์ จึงย้ายไปลงสมัครในพรรค ชาติไทย และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุทัยธานี ครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2538 ในนามสมาชิกพรรค ชาติไทยพัฒนา ด้วยความผูกพันกับการเมืองในจังหวัดอุทัยธานี และพันเอกพล เรื่องประเสริฐวิทย์ จึงปรากฎชื่อ นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ในรายชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชี 217
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายชื่อของพรรคชาติไทยพัฒนา ลำดับที่ 89 ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของนายนพดล พลเสน อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคชาติไทย จังหวัดอุทัยธานี ในปี พ.ศ. 2555 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ให้สัมภาษณ์ว่า เขาสนิท สนมกับนายนพดล พลเสน อดีต ส.ส. พรรคชาติไทย จังหวัด อุทัยธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เมื่อครั้งที่นายนพดล พลเสน ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคม (นายนิกร จำนง) และเขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หลังจากพรรคชาติไทยถูกยุบ ในปี พ.ศ. 2551และนายนพดล พลเสน ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชาหัวหน้าพรรคชาติไทย รวมทั้ง นายนพดล พลเสน ย้ายเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนา ในปี พ.ศ. 2556 2) ได้รับการแต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ชุดท่ี 6 (23 มนี าคม พ.ศ. 2535 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2539) นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิก วุฒิสภา ชุดที่ 6 (23 มีนาคม พ.ศ. 2535-22 มีนาคม พ.ศ. 2539) โดยเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2537 แทนพลเอกพิจิตร กุลวณิชย์ ที่ลาออกไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งในขณะนั้น (28 มิถุนายน พ.ศ. 2535 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2539) ประธานวุฒิสภา คือ นายมีชัย ฤชุพันธ์ เพื่อนร่วมรุ่น นิติ 01 218
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ในปี พ.ศ.2549 หลังจากดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 2 สมัย นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง กล่าวสู่การเป็นผู้บริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 2 สมัย ในปี พ.ศ. 2543 คณะ รัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้มีมติแต่งตั้ง นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เป็นผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพ สมัยแรก ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 – 1 เมษายน พ.ศ. 2544 และตอ่ มา ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ใหด้ ำรงตำแหนง่ เป็นผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ สมัยที่ 2 ระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2544 – 22 มิถุนายน พ.ศ. 2546 จากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว ทำให้นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาต่างๆ ยืดเยื้อยาวนานจนถึง ปี พ.ศ. 2558 ข้อกล่าวหาแรก คือ การจงใจยื่นบัญชีแสดง ทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็น เท็จและการบริหารงานที่เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมอื งไดพ้ พิ ากษาวา่ นายพรี ะพงศ์ อศิ รภกั ดี อดตี ผอู้ ำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 219
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2546 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 41 ส่วนข้อกล่าวหาอีก 2 กรณี ได้แก่ ช่วยเหลือบริษัท เอสแมพ จำกัด โดยลดหนี้การให้เช่าเนื้อที่โฆษณาข้างรถ โดยสารธรรมดาที่บริษัทค้างอยู่ แก้ไขรายละเอียดของแบบ สัญญาแนบท้ายประกาศประกวดราคา ก่อนลงนามในสัญญา อันเป็นการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เสนอราคาด้วยกัน และมิได้ยกเลิกการประกวดราคาครั้งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558 สำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประชุมพิจารณาแล้วมีมติให้ทั้ง 2 กรณีตกไป เนื่องจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า การแก้ไขดังกล่าวเป็นไปตาม ข้อสงวนสิทธิในประกาศประกวดราคาให้เช่าเนื้อที่โฆษณาของ รถยนต์โดยสารปรับอากาศและรถโดยสารปรับอากาศยูโรทู และไม่จำต้องยกเลิกการประกวดราคา หากเกิดประโยชน์แก่ องค์การ เนื่องจากเห็นว่าเป็นอำนาจในการบริหารจัดการ ไม่ขัดกับพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. 2519 ก้าวสู่การเมืองท้องถิ่น : ท่ีปรึกษานายกเทศมนตรี เมอื งหวั หนิ ครอบครัวของนายพีระพงศ์ อิศรภักดี มีความผูกพันกับ อำเภอหัวหินดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ระลึกเสมอว่า อำเภอหัวหินเป็นเมืองเจ้า เป็นเมืองสำคัญใน ประวัติศาสตร์ เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกให้กับ 220
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ปวงชนชาวไทย เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้ามาสร้าง วังไกลกังวลเป็นที่ประทับ ตราบจนในปัจจุบันวังไกลกังวล ยังเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงควรยกย่องสิ่งเหล่านี้ขึ้นเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัด และ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอำเภอหัวหินให้เป็นประตสู ู่ภาคใต้ และประตูของประเทศไทยสู่ภูมิภาคต่างๆ ด้วยการให้ความ สำคัญกับการพัฒนาหัวหินให้เป็นชายหาดที่สวยงาม รักษา ทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์และสิ่งแวดล้อมให้สะอาด อย่างไรก็ดี นายพีระพงศ์ อิศรภักดี เห็นว่า การพัฒนา และแก้ปัญหาในพื้นที่ควรเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ให้ความ สำคัญกับการพัฒนาหัวหินอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และภารกิจ ของเขาในฐานะอดีตนักการเมือง คือ การค้นหา “เพชรจากใน พื้นที่” และเจียรนัยให้ส่องประกาย เขาเปรียบเทียบการทำ หน้าที่ในฐานะพี่เลี้ยงให้กับคนในพื้นที่ว่า “ทำไมผมต้องขึ้นไป เก็บมะพร้าวเอง แต่ควรช่วยคิดว่าจะปอกมะพร้าวอย่างไร และ จะเอามะพร้าวไปทำอะไร” และอดีตนักการเมืองที่มีความตั้งใจ ดีอาจมารวมกลุ่มกันช่วยประเทศชาติได้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 นายพีระพงศ์ อิศรภักดี จึงให้ ความสำคัญกับการเขียนบทความกระตุ้นเตือนชาวหัวหิน ให้ร่วมกันพัฒนาหัวหิน และสนับสนุนให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนักการเมืองท้องถิ่นร่วมมือกันพัฒนาหัวหิน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เขาได้มีโอกาสเข้าไปร่วมเป็นกรรมการพัฒนาเมือง หัวหินให้เป็น City of Paradise รวมทั้ง โครงการวางและจัดทำ ผังเมืองเฉพาะหัวหิน (พ.ศ. 2549-2559) และได้รับแต่งตั้งเป็น 221
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหัวหิน (นายศิริพันธ์ กมลปราโมทย์) เพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาหัวหินร่วมกับ กลุ่มคนในพื้นที่ หนึ่งในภารกิจสำคัญที่นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ได้รับ มอบหมายในระหว่างการเป็นที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมือง หัวหิน คือ ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน ซึ่งเป็น โครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีจุดประสงค์เพื่อจัดการปัญหาเกี่ยวกับสุนัขจรจัดในหัวหิน โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวอย่างบริเวณชายหาดและแหล่ง ชุมชน และด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ได้พระราชทาน เงินจากการจำหน่ายเสื้อคุณทองแดง จำนวน 4,000,000 บาท ให้เป็นงบประมาณการก่อสร้างศูนย์รักษ์สุนัขในเบื้องต้น ศูนย์รักษ์สุนัขตั้งอยู่บริเวณวัดเขาอิติสุขโต ถนนหัวหิน- หนองพลับ มีเนื้อที่ 22ไร่เศษ โดยวัดเขาอิติสุขโตเป็นผู้มอบพื้นที่ ให้ กรมชลประทานเป็นผู้ออกแบบอาคาร และกองพันทหารช่าง ที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นผู้ก่อสร้าง ทั้งนี้ ได้มีการส่งมอบงานให้ เทศบาลเมืองหัวหินดูแล ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ปัจจุบันศูนย์รักษ์สุนัขหัวหินอยู่ในการดูแลของกองสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองหัวหิน โดยได้จัดสรรงบประมาณ เป็นค่าอาหาร เวชภัณฑ์ ค่าจ้างบุคลากร ฯลฯ นายพีระพงศ์ อิศรภักดี สรุปความเห็นจากประสบการณ์ การเมืองและการบริหารที่ผ่านมาว่า ในการพัฒนาการเมือง เราควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนก่อน ทั้งคนที่เป็น ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งและประชาชนที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 222
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ก่อนที่จะไปพัฒนา ระบบหรือกฎหมาย รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดูแล สวัสดิการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรมีการปรับโครงสร้าง เงินเดือนข้าราชการและ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้เขาเหล่านั้น มีสวัสดิการที่ดี มีความภูมิใจในตำแหน่งและภารกิจ ไม่คิดที่จะ ทุจริต คอร์รัปชัน ขณะเดียวกัน หากมีกรณีทุจริตเกิดขึ้นจากภาคเอกชน จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาดทั้งข้าราชการและเอกชนด้วย เพื่อ ให้สามารถหลุดพ้นวงจรอุบาทว์ของการทุจริตประพฤติมิชอบ ในปัจจุบัน นอกจาก นายพีระพงศ์ อิศรภักดี จะเป็นหนึ่ง ในทีมที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน เขายังเป็นนักพูด สร้างแรงบันดาลใจและสร้างทีมงานให้กับผู้บริหารหน่วยงาน ต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน 4.3.9 นายสำเภา ประจวบเหมาะ นายสำเภา ประจวบเหมาะ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 เป็นชาวอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบุตรของนายพิเคราะห์ และนางกิมลี้ ประจวบเหมาะ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียน ประจวบวิทยาลัย อาชีพดั่งเดิมของครอบครัว คือ การทำไร่ และการค้าขาย นายสำเภา ประจวบเหมาะ สมรสกับ นางประชัน ประจวบเหมาะ มีบุตร 4 คน คือ นายพีรพล ประจวบเหมาะ นายพฒั นพงษ์ ประจวบเหมาะ นายกฤษณพรรณ ประจวบเหมาะ และนายธราพงศ์ ประจวบเหมาะ 223
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสำเภา ประจวบเหมาะ มีอาชีพเป็นครูในโรงเรียน เอกชนจีน ในอำเภอกุยบุรี ชื่อโรงเรียนเกี๊ยวกวง ซึ่งปัจจุบัน ยังเปิดดำเนินการอยู่ ชาวกุยบุรี จึงมักเรียกนายสำเภา ประจวบเหมาะ ว่า “ครูเภา” แม้ว่าต่อมา นายสำเภาจะได้รับ การเลือกตั้งเป็นกำนันตำบลกุยบุรี อำเภอกุยบุรี ก่อนที่จะมา สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยแรก ใน พ.ศ. 2519 และไดร้ บั การเลอื กตง้ั ตอ่ มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง รวม 9 สมยั ในสังกัดพรรคการเมือง 2 พรรค คือ พรรคชาติไทย และพรรค ความหวังใหม่ บนเส้นทางการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธฺ์ 9 สมัย นายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้รับ การแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใน พ.ศ. 2531 และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539-24 ตุลาคม พ.ศ. 2540) ก่อนที่จะลาออกจากตำแหน่ง และเปิดโอกาสให้ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง มาดำรงตำแหน่ง จนถึงวันที่รัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 นายสำเภา ประจวบเหมาะ ในฐานะสมาชิก “กลุ่ม วังน้ำเย็น” ได้ลาออกจากพรรคความหวังใหม่ และไปลงสมัคร รับเลือกตั้ง ส.ส. ประจวบคีรีขันธ์ในสังกัดพรรคไทยรักไทยของ 224
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ ให้กับนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคไทยรักไทยจะได้ ส.ส. ทั่วประเทศมากถึง 247 ที่นั่ง และเป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาล นายสำเภา ประจวบเหมาะ จึงวางมือทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2552 นายสำเภา ประจวบเหมาะ และ นายกฤษณพรรณ ประจวบเหมาะ บุตรชายนายสำเภา ประจวบเหมาะ ซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลตำบล กุยบุรี ถูกศาลล้มละลายกลาง สั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เสน้ ทางส่กู ารเมือง นายสำเภา ประจวบเหมาะ เป็นน้องชายของนายต้าน ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สังกัดพรรคสหภูมิ (พ.ศ. 2500 - 2501) หลังจาก ทน่ี ายตา้ น ประจวบเหมาะ เสยี ชวี ติ ลง นายสำเภา ประจวบเหมาะ ยังไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ทายาทตระกูลประจวบเหมาะที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในครั้งนี้ คือ นายนิกร ประจวบเหมาะ โดยไม่สังกัดพรรคใด และไม่ได้รับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายอุดมศักด์ ทั่งทอง ได้รับการคัดเลือกจากพรรคสหประชาไทย ซึ่งเป็น พรรคของรัฐบาลจอมพลถนอม กิติขจร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยแรก 225
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจวบคีรีขันธ์สมัยแรก ในปี พ.ศ. 2518 แต่ไม่ได้รับ เลอื กตง้ั นายสำเภา ประจวบเหมาะ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครั้งแรก ในการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คน โดยลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคธรรมสังคม คู่กับ นายอดุ มศกั ด์ ทง่ั ทอง (นายสำเภา ประจวบเหมาะ ไมไ่ ดล้ งสมคั ร ในนามพรรคสหภูมิ เหมือนนายต้าน ประจวบเหมาะ เนื่องจาก พรรคสหภูมิ ได้ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยุบรวมกับ พรรคชาติสังคม ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2500) ผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น นายอุดมศักด์ ทั่งทอง และนายพีระพงศ์ อิศรภักดี ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ โดยนายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้คะแนน มาเป็นอันดับ 3 น้อยกว่านายพีระพงศ์ อิศรภักดี ไปเพียง 15 คะแนน ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์สมัยแรก พ.ศ. 2519 สังกดั พรรคชาตไิ ทย นายสำเภา ประจวบเหมาะ สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ในสังกัดพรรค ชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคที่จดทะเบียนจัดตั้งตามพระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พ.ศ. 2517 โดยมี พล.ต.อ. ประมาณ อดิเรกสาร 226
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เป็นหัวหน้าพรรค และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น เลขาธิการพรรค ขณะที่นายอุดมศักด์ ทั่งทอง ยังคงลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรค ธรรมสังคม คู่กับนายสุรวัตร สมมิตร ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์สมัยแรก โดยได้รับคะแนนมากเป็นอันดับหนึ่ง ถึง 30,819 คะแนน ขณะที่ นายอุดมศักด์ ทั่งทอง อดีตสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ประจวบคีรีขันธ์ 2 สมัย ที่สมัครในนาม พรรคธรรมสังคม ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 ด้วยคะแนน 25,604 และผู้สมัครร่วมพรรคอย่างนายสุรวัตร สมมิตร ได้รับคะแนนเพียง 1,563 คะแนน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลให ้ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ย้ายมาอยู่พรรคชาติไทยในการเลือกตั้ง ครั้งต่อมา นายสำเภา ประจวบเหมาะ ไดร้ บั เลอื กตง้ั เปน็ ส.ส.จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรคชาติมาอย่างต่อเนื่อง 8 สมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกดั พรรคชาติพฒั นา นายสำเภา ประจวบเหมาะ เป็นหนึ่งในกลุ่มวังน้ำเย็น ที่มีนายเสนาะ เทียนทอง เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้ย้ายออกจาก พรรคชาติไทย มาลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในสังกัด พรรคความหวังใหม่ ที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้า พรรค และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 9 227
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรค การเมืองที่มีคะแนนเสียงสูงสุด จึงเป็นแกนนำในการจัดตั้ง รฐั บาล โดยมพี ลเอกชวลติ ยงใจยทุ ธ ดำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี และนายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 24 ตุลาคม พ.ศ. 2540) ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2544 แต่พ่ายให้กับพรรคประชาธปิ ตั ย์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 กลุ่มวังน้ำเย็น ซึ่งรวมถึงนายสำเภา ประจวบเหมาะ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และนายวิเศษ ใจใหญ่ ได้ย้ายจากพรรคความหวังใหม่ ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง สังกัด พรรคไทยรักไทย ที่มี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้า พรรค โดยนายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ลงเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้ง ขณะที่นายวิเศษ ใจใหญ่ ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ นายสำเภา ประจวบเหมาะ ไม่ได้รับการเลือกตั้ง โดยพ่ายให้กับนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากนั้น นายสำเภา ประจวบเหมาะ จึงวางมือทางการเมือง เนอ่ื งจากปญั หาสขุ ภาพ แตท่ ายาทของนายสำเภา ประจวบเหมาะ คือ นายพีระพล ประจวบเหมาะ บุตรชาย ยังคงลงสมัครรับ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ในสังกัดพรรคมหาชน และการเลือกตั้ง 228
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ในสังกัดพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แต่ไม่ได้รรับการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง ครอบครัวของนายสำเภายังคงอยู่ในแวดวงการเมือง ท้องถิ่น และวงการธุรกิจ อาทิ นายพีระพล ประจวบเหมาะ อดีตกำนันตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรี นางธิดารัตน์ ประจวบเหมาะ ภรรยาของนายกฤษณพรรณ ประจวบเหมาะ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลกุยบุรี นายจักรพันธ์ ประจวบเหมาะ บุตรชายนายกฤษณพรรณ และนางธิดารัตน์ ประจวบเหมาะ และปัจจุบันเป็นนักการเงินอายุน้อยที่กำลัง โด่งดัง 4.3.10 นายวิเศษ ใจใหญ่ นายวิเศษ ใจใหญ่ เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2482 เป็นชาวตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายสมศักดิ์ และนางผึ้ง ใจใหญ่ สำเร็จ การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จากโรงเรยี นอำนวยศลิ ป์ พระนคร เรม่ิ ต้นจากตระกูลกำนัน นายสมศักดิ์ ใจใหญ่ บิดาของนายวิเศษ ใจใหญ่ เป็น อดีตกำนันตำบลอ่าวน้อยอำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสืบทอดการเป็นกำนันตำบลอ่าวน้อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังนี้ - นายวิเศษ ใจใหญ่ สืบต่อเส้นทางการเป็นกำนัน ตำบลอ่าวน้อยต่อจากนายสมศักดิ์ และลาออกใน 229
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2526 เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - นายประสม ใจใหญ่ น้องชายของนายวิเศษ ใจใหญ่ ระหว่าง พ.ศ. 2526-2551 (เกษียณ) ปัจจุบันประกอบ ธุรกิจหมู่บ้านจัดสรร “หมู่บ้านประสงค์สุข” อำเภอ เมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - นายพันธ์ศักดิ์ ใจใหญ่ ระหว่าง พ.ศ. 2551-2554 โดยลาออกเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การ บริหารส่วนตำบลอ่าวน้อย - นายสฤษดิ์ ใจใหญ่ น้องชายนายพันธ์ศักดิ์ ใจใหญ่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เส้นทางสู่การเมือง : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ ระบบเขตเลอื กตงั้ 7 สมัย เนื่องจากในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้แทนราษฎรได้ 3 คน นายวิเศษ ใจใหญ่ จึงได้รับการชักชวนจากนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และนายสำเภา ประจวบเหมาะ อดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรคชาติไทย ทำให้นายวิเศษ ใจใหญ่ ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกใน พ.ศ. 2526 สังกัดพรรค ชาติไทย และได้รับเลือกติดต่อกันในสังกัดพรรคชาติไทย รวม 6 ครั้ง คือ การเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 230
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 13 กันยายน พ.ศ.2535 และวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 โดย ในปี พ.ศ.2535 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อม ใน พ.ศ. 2538 ต่อมา ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 นายวิเศษ ใจใหญ่ ได้ย้ายไป ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ตาม “กลุ่ม วังน้ำเย็น” ก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นครั้งที่ 7 และได้รับ การแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ในช่วงที่ นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบเลือกต้ังแบบบัญชี รายชือ่ (Party List) พรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กำหนดให้มีระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ (Party List) โดยให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 100 คน และระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน นายวเิ ศษ ใจใหญ่ นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายอดุ มศกั ด์ิ ทั่งทอง ได้ตัดสินใจย้ายไปลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรค ไทยรักไทย ตาม “กลุ่มวังน้ำเย็น” โดยนายวิเศษ ใจใหญ่ ลงรับ สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ 231
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369