นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในส่วนของอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ มีจำนวน 385 คน ได้รับรองความเป็นคนไทยแล้ว 360 คน พิจารณาให้สัญชาติ แล้ว 191 คน คงเหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวง มหาดไทยอีก 169 คน (คำกล่าวของนายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร ปลัดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในพิธีมอบบัตรประจำตัวประชาชน ให้คนไทยผลัดถิ่นสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ตกค้างอยู่ในประเทศพม่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด่านสิงขรยังถูกที่บันทึกไว้ ในประวัติศาสตร์ไทย ว่าเป็นเส้นทางที่กองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นเส้น ทางเดินทัพผ่านเข้าประเทศพม่าโดยกำลังทหารญี่ปุ่น 1 กรม ผสมได้ยกพลขึ้นบกทางชายฝั่งทะเลของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกองบินน้อยที่ 5 บริเวณอ่าวมะนาว ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 จึงเกิดการสู้รบกัน ทำให้ฝ่ายทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตกว่า 400 นาย ฝ่ายไทยเสียชีวิต 42 คน ซึ่งประกอบด้วยทหารอากาศ 38 คน ยุวชนทหาร 1 คน ตำรวจ 1 คน และ ครอบครัว 2 คน ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นได้แจ้ง กับผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 ให้ทราบว่า ทางรัฐบาลยินยอมให้ ฝ่ายญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไปยังประเทศพม่าได้ เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติในวีรกรรมการต่อสู้อันห้าวหาญ ของนักรบแห่งกองบินน้อยที่ 5 ซึ่งยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้อง ผืนแผ่นดินไทย กองทัพอากาศจึงได้สร้าง อนุสาวรีย์ “วีรชน 8 ธันวาคม 2484 “ บริเวณที่เกิดการสู้รบ ณ กองบิน 5 ใน ปัจจุบัน โดยสร้างเสร็จเรียบร้อย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2493 32
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต และต่อมาได้จัดทำ “พิพิธภัณฑ์อุทยานประวัติศาสตร์กองบิน 5” และในวันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปี กองทัพอากาศได้กำหนด ประกอบพิธีวางพวงมาลาและสดุดีวีรกรรม 8 ธันวาคม 2484 ณ อนุสาวรีย์ และบำเพ็ญกุศลแด่วีรชนผู้ล่วงลับ โดยมีผู้บังคับ บัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศ ส่วนราชการต่างๆ ตลอดจน พี่น้องประชาชน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาร่วมพิธีรำลึกถึง และสดุดีเหล่าวีรชนเป็นประจำทุกปี ดา่ นสิงขรในปัจจุบนั และอนาคต ในปัจจุบัน ด่านสิงขร ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 6 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ตรงข้ามกับเขตเมืองตะนาวศรีของ เมียนมาร์ ห่างจากเมืองมะริด ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญฝั่ง อันดามันของเมียนมาร์ประมาณ 180 กิโลเมตร ยังเป็นช่องทาง ที่สำคัญในการติดต่อทางการค้าระหว่างไทย-เมียนมาร์ ด่านสิงขรถูกกำหนดให้เป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าระหว่าง ประชาชนในพื้นที่ของทั้ง 2 ประเทศ มาตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2540 โดยมีการกำหนดการซื้อขายผ่านจุดผ่อนปรนได้ใน วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท ต่อคน กำหนดเวลา เปิด-ปิด ระหว่าง 08.00-18.00 น. สถานการณ์การค้าและความสัมพันธ์ในระดับ พื้นที่เป็นไปด้วยดี ภาครัฐและเอกชนของทั้ง 2 ประเทศเดินทาง ไปเยี่ยมเยือนกัน ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2553 และพยายามผลักดันด่าน สิงขร ให้เป็น “จุดผ่านแดนถาวรสิงขร” โดยเชื่อว่าจะช่วย พัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้ขยายตัว และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งกับประเทศ เมียนมาร์และประเทศอื่นๆ ในประชาคมอาเซียน 33
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อขับเคลื่อนด่านสิงขรให้เป็น “จุดผ่านแดนถาวร สิงขร” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา ชายแดนขึ้น และจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 – 2558 วงเงิน 27 ล้าน และงบประมาณ สำหรับพัฒนาเฉพาะพื้นที่ด่านสิงขรเพื่อรองรับการขยายตัว ทางการค้าและชุมชน ถึง 1,200 ล้านบาท รวมทั้งเสนอขอ อนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี เพื่อจัดตั้งศูนย์ราชการรองรับการเป็นด่านถาวรอีกด้วย และ พิจารณาผลักดันให้สนามบิน กองบิน 5 ของกองทัพอากาศ ซง่ึ ตง้ั อยใู่ นอา่ วมะนาว อำเภอเมอื งประจวบครี ขี นั ธเ์ ปน็ สนามบนิ พาณิชย์ เพื่อรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้า ด่านสิงขรเป็นจุดผ่านแดนถาวร ความก้าวหน้าสำคัญในการผลักดันให้ด่านสองขรเป็น ด่านถาวร คือ การเดินทางไปลงนามบันทึกความเข้าใจสถาปนา เมืองพี่เมืองน้องระหว่างประจวบคีรีขันธ์-มะริด ที่กรุงเนปิดอ สหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ของนายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้ารักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีของ เมียนมาร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือในการ พัฒนาด่านสิงขร เป็นจุดผ่านแดนถาวรเป็นไปด้วยความล่าช้า คือ ในช่วงแรกสหภาพเมียนมาร์ยังมีปัญหาชนกลุ่มน้อย กระเหรี่ยง KNU และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสหภาพ 34
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต เมียนมาร์ โดยเฉพาะถนนจากด่านสิงขรไปยังเมืองมะริด รวมทั้งปัญหาการปักปันและการรับรองเขตแดนระหว่างไทย- เมียนมาร์ ของทั้ง 2 ประเทศ ด้วยปัญหาการปักปันเขตแดน ระหว่างไทย-เมียนมาร์ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ คณะรัฐมนตรีจึงได้มี มติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558 เห็นชอบให้ด่านสิงขรเป็น เพียง “จุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร” โดยพิจารณา เห็นว่า ด่านสิงขรมีความเจริญเติบโต มีการพัฒนาความพร้อม ด้านการค้าชายแดน ที่สามารถส่งเสริมภาคธุรกิจทั้งของไทย และเมียนมาร์ในการพัฒนาการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ระหว่างเมืองมะริดและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ จึงเห็นชอบ ให้เปิดจุดผ่อนปรนการค้าพิเศษด่านสิงขร โดยให้ดำเนินการ 3 ข้อ 1) พื้นที่อนุญาตในการเดินทาง ให้สามารถเดินทางถึง อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ได้ 2) เอกสารที่ใช้ในการเดินทาง ให้ใช้พาสปอร์ต บอร์ดเดอร์พาส และบัตรผ่านแดนชั่วคราว 3) ระยะเวลา คือให้พักค้างได้ 1 คืน และโดยที่การปักปัน เขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดน และไม่ถือว่าเป็นจุดผ่านแดนถาวรแต่อย่างใด ทั้งนี้ ได้มอบให้ กระทรวงมหาดไทยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติช่วยดำเนินการต่อไป การพัฒนาด่านสิงขร ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็น อีกหนึ่งยุทธศาสตร์ในการสร้างความเชื่อมโยงทางการค้า และ ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับประชาชนในประชาคม อาเซียน (ASEAN Connectivity) ในรูปของการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน 35
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.6.2. พื้นที่แห่งการเทิดพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ไทย กล่าวได้ว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นพื้นแห่งการ เทิดพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ไทย เนื่องจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มี ประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ และพระราช กรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชสมัยต่างๆ ใน ประวัติศาสตร์จวบจนปัจจุบัน รัฐบาล ภาคเอกชนและ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงได้ร่วมกันสร้าง สถานที่ต่างๆ เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ไทย ดังนี้ 2.6.2.1 พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จ อ ม เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” : อุทยานวิทยาศาสตร์ พระจอมเกล้า หว้ากอ ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง ประจวบครี ขี ันธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 4 ทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปี ว่าจะเกิดสุริยุปราคา เต็มดวงในวันอังคาร เดือน 9 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 โดยเส้นศูนย์กลาง ของอุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ บ้านหว้ากอ แขวงเมือง ประจวบคีรีขันธ์ ในพระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเล ตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดาทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 99 องศา 39 ลิปดาทิศตะวันออก โดยคราสเริ่มจับเวลา 36
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต 10 นาฬิกา 4 นาที จับเต็มดวง เวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที คลายคราสออกเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที 45 วินาที ซึ่งไม่ปรากฏว่า มีหลักฐาน การคำนวณจากประเทศตะวันตกมาก่อนหน้านี้ พระองค์ทรง โปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มาสร้างค่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้เป็น ห้องทดลองวิทยาศาสตร์กลางแจ้ง และเป็นที่ชุมนุมของ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและคณะทูตานุทูตประเทศต่างๆ โดย พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช เพื่อทรงพิสูจน์การคำนวณ สถานที่และเวลาการเกิดสุริยุปราคา เต็มดวงได้อย่างถูกต้องชัดเจน ปรากฎการณ์สุริยุปราคาเต็ม ดวงเกิดขึ้นตามที่พระองค์ทรงคำนวณโดยไม่คลาดเคลื่อน ทำให้พระเกียรติคุณในด้านวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับแก่นานา ประเทศ แต่หลังจากนั้น ประชาชนชาวไทยก็ต้องประสบกับ ความสญู เสียครั้งใหญ่ เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพฯ ได้เพียง 5 วัน ก็ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้มาเลเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระองค์และวันสำคัญ ทางประวัติศาสตร์นั้น เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” พร้อมทั้ง กำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2511 ได้มีการจัดงานขึ้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 37
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เพื่อเทิด พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดา แห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน นามสถานที่แห่งนี้ว่า “อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์” โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งขึ้น เป็นสถานศึกษาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2536 ปัจจุบัน สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย ให้บริการฐานการเรียนรู้ใน 3 กลุ่มการเรียนรู้ ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน กลุ่มดาราศาสตร์ และอวกาศ และกลุ่มธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี จะมีพิธีวางพาน พุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ ไทย” เนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ณ ลานพระบรมราชา- นุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.6.2.2 พระที่นั่งคูหาสวรรค์ ตราสัญลักษณ์ประจำ จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสถ้ำพระยานคร ในคราวเสด็จประพาสแหลม 38
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต มาลายู เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 และได้ทรงโปรดให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงษ์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ออกแบบพระที่นั่งทรงจตุรมุข เพื่อเป็นที่ประทับเวลาเสด็จมา ทอดพระเนตรอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด พระที่นั่งดังกล่าวเป็นพระที่นั่งที่สร้างที่ กรุงเทพมหานคร แล้วส่งมาประกอบภายหลัง โดยมีพระยาชล ยุทธโยธินป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินมายกช่อฟ้า ด้วยพระองค์เอง พระราชทานชื่อว่า “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์” และได้จารึกพระปรมาภิไธย จ.ป.ร. ไว้ ณ บริเวณผนังถ้ำ ด้านเหนือของพระที่นั่ง ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า- เจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาประพาสถ้ำพระยานคร เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2469 และได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ป.ป.ร. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จมาประพาสถ้ำพระยานคร 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2501 และวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 ในปัจจุบัน พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ อยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อำเภอสามร้อยยอด โดยได้ รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2495 และยังถูกนำมาเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์จนถึงปัจจุบัน โดยข้อมูลของหอจดหมายเหตุ แห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2483 ปรากฏหลักฐานว่า คณะกรมการ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยขุนบำรุงรัตนบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ในสมัยนั้น ได้เสนอร่างเครื่องหมายหรือ 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตราจังหวัด จำนวน ๓ แบบ ไปยังกรมศิลปากรเพื่อพิจารณา คัดเลือก กรมศิลปากร โดยหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งดำรง ตำแหน่งอธิบดี ได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแบบตรา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2484 โดยให้ “… บนบกทำเป็นรูปพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ หลังฉากเป็นทะเล และเห็นเกาะหลัก เกาะแรด …” เมื่อกรมศิลปากรได้พิจารณา เห็นชอบแบบตราจังหวัดแล้วได้เสนอไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้เป็น เครื่องหมายประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จนถึงปัจจุบัน 2.6.2.3 วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน : ท่ีประทับ แปรพระราชฐานของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล- อดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ชุมชนหัวหินก่อตั้งขึ้น ในราว พ.ศ. 2377 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า- เจ้าอยู่หัว โดยตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสมอเรียง” ต่อมา พระเจ้า บรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายกฤษดา- ภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร) ได้มาสร้างตำหนักหลังใหญ่ชื่อ “แสนสำราญสุขเวศน์” ที่ด้านใต้ของหมู่หินริมทะเล จึงทรง ขนานนามหาดทรายบริเวณนี้เสียใหม่ว่า “หัวหิน” หลังจากนั้น ได้มีการสร้างพระตำหนักของ พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ อาทิ พระบรมสมเด็จเจ้าฟ้า จักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งทรงสร้าง ตำหนักใหญ่ คือ ตำหนักขาว และตำหนักเทาและเรือนเล็ก 40
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต อีกหลายหลัง ทำให้ตำบลหัวหินได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น กิ่งอำเภอ ในวันที่ 10 มิถุนายน 2449 ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จาก พระคลังข้างที่ให้สร้างพระตำหนักขึ้น เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2469 เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โดยหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ผู้อำนวยการศิลปากรสถานในขณะนั้นเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง เพื่อใช้งานในการแปรพระราชฐาน มาพักในจังหวัดริมทะเล โดยรัชกาลที่ 7 ทรงออกพระนาม เรียกวังแห่งนี้ว่า “สวนไกลกังวล” และประทับตราสัญลักษณ์ ของวังไว้ เมื่อ พ.ศ. 2472 ในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังไกล กังวล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ต้นราชสกุลบุรฉัตร ก็ได้จัดสร้าง “ตลาดฉัตร์ไชย” ขึ้นในที่ดิน พระคลังข้างที่ โดยตั้งชื่อจากพระนามเดิมของพระองค์ คือ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร มีการออกแบบให้มีหลังคารูปโค้ง ครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน 7 โค้ง เพื่อสื่อความหมายว่าเป็น การสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 7 ทั้งตัวอาคารและแผงขายสินค้าเป็น คอนกรีต เสริมเหล็ก ตัวตลาดโล่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก และจัดว่าเป็นตลาดที่ถูกสุขลักษณะที่สุดของประเทศไทย ในขณะนั้น ในปัจจุบันตลาดฉัตร์ไชยเป็นสัญลักษณ์ของ ชายทะเลหัวหิน 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิ่งอำเภอหัวหิน จึงได้รับการยกฐานะเป็น อำเภอหัวหินเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2492 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มี ความเจริญ เป็นที่ตั้งของวังไกลกังวล และเป็นสถานที่ ตากอากาศที่เป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบัน “สวนไกลกังวล” หรือ “วังไกลกังวล” เป็นที่ประทับ แปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ปัจจุบัน 2.6.2.4 พระมหาเจดีย์ภักดีย์ประกาศ : เป็นเจดีย์ ทผ่ี ภู้ ักดีสรา้ งถวาย ชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และพุทธศาสนิกชน ได้ร่วมกันบริจาคเงินสร้างพระมหาเจดีย์ภักดีย์ประกาศ ซึ่งชื่อ ของพระมหาเจดีย์นั้น มีความหมายว่า “เป็นเจดีย์ที่ผู้จงรักภักดี สร้างถวาย” พระมหาเจดีย์ภักดีย์ประกาศ ตั้งอยู่บนเขา ธงชยั ตำบลเขาธงชยั อำเภอบางสะพาน จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 50 ปี ตามแบบ สถาปัตยกรรมไทย และเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย ของ ม.ร.ว. มิตรารุณ เกษมศรี ศิลปินแห่งชาติ ใช้เวลาก่อสร้างนาน 9 ปี 8 เดือน 12 วัน (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 – 25 มกราคม พ.ศ. 2548) พระมหาเจดีย์ภักดีย์ประกาศ เป็นอาคารชุด หลังเดียวขนาดใหญ่ ประกอบด้วยชั้นต่างๆ 5 ชั้น มีความสูง 50 เมตร ความกวา้ ง 50 เมตร และยาว 50 เมตร เปน็ ความหมาย 42
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต ถึงระยะเวลา 50 ปี ที่ครองราชย์มา ประกอบด้วยหมู่เจดีย์ 9 องค์ โดยมีเจดีย์รายล้อมอยู่ 4 ทิศ 8 องค์ ภายในอาคาร มีพระพุทธรูปปางงดงามที่เลือกสรรมาจากทั่วประเทศมารวมไว้ บนอาคารชั้นที่ 5 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุวาง ในบุษบก และประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำปางประจำ พระชลมวารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในส่วนของชั้น 5 เปิดให้พุทธศาสนิกชนและ นักท่องเที่ยวได้สักการะเฉพาะเทศกาลวันวิสาขบูชา รวม 3 วัน คือ ขึ้น 14 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 1 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ส่วนชั้น 1-4 เปิดให้ชมได้ทุกวัน 6.2.2.5 วดั หว้ ยมงคล : สำนกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ในโครงการพัฒนาอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคล (อันเนื่องมาจาก พระราชดำริ) ตำบลทองมงคล อำเภอหัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่เสด็จ พระราชดำเนินทอดพระเนตรกาลักน้ำพระราชทานที่คลอง ส่งน้ำสาย 23 โครงการชลประทานปราณบุรี หมู่ที่ 6 บ้าน หนองไพรวัลย์ ตำบลไร่เก่า อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2523 พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับงาน ชลประทาน และทรงพระราชทานคำแนะนำให้กรมชลประทาน ว่า ควรพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล เพื่อจัดหาน้ำส่งให้กับพื้นที่เพาะปลูกบริเวณหมู่บ้านห้วยมงคล 43
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หมู่บ้านท่าเรือและหมู่บ้านใกล้เคียง ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้สามารถทำการเพาะปลูก ได้ทั้งฤดูฝน และฤดูแล้ง และมีน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภคของ ราษฏรในบริเวณหมู่บ้านดังกล่าวตลอดทั้งปี และได้ พระราชทานแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่ทรงวางโครงการ ไว้ให้กรมชลประทานเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อชาวห้วยมงคล พระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ปัจจุบัน (เดิมใช้ชื่อว่า วัดห้วยคต) ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาและเป็น ที่เคารพของคนในชุมชน และพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุล รอง สมุหราชองครักษ์ ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ ที่สุดในโลก เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้ง เผยแผ่และสืบทอดพระพุทธศาสนา จึงก่อให้เกิดความร่วมมือ ร่วมใจกันทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างประติมากรรม องค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสมเด็จ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถทรงเสด็จพระราชดำเนินทอด พระเนตรหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการ จัดสร้างฯ อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐาน ที่หน้าองค์รปู หล่อองค์หลวงพ่อทวด ปัจจุบัน มีพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศเดินทาง มาเคารพสักการะและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมจำนวนมาก 44
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต 2.6.2.6 อุทยานราชภักดิ์ : อุทยานแห่งความจงรัก ภกั ดี เทดิ ทนู และประกาศเกยี รตคิ ณุ สมเดจ็ พระมหากษตั รยิ ์ แห่งสยาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กองทัพบก จัดสร้าง “พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์ แห่งสยาม” พร้อมจัดสร้างอุทยานประวัติศาสตร์ โดยพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อว่า “อุทยานราชภักดิ์” กองทัพบกได้ดำเนินการจัดสร้าง “อุทยานราชภักดิ์” ภายใน พื้นที่ของกองทัพบก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้พื้นที่ก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 222 ไร่เศษ มีโครงสร้างหลัก ที่สำคัญ จำนวน 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 : พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จ พระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม จำนวน 7 พระองค์ โดยพิจารณา เลือกพระมหากษัตริย์แต่ละยุคสมัยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ ชึ่งพระนามแต่ละพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่ ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้แก่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ - เจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยใช้พื้นที่ในส่วนนี้ ประมาณ 5 ไร่ รูปแบบของพระบรม- ราชานุสาวรีย์ สร้างในลักษณะพระอิริยาบถทรงยืน ความสูง เฉลี่ยไม่เกิน 13.9 เมตร หล่อด้วยโลหะสำริดนอก 45
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนที่ 2 ลานอเนกประสงค์ มีเนื้อที่ประมาณ 91 ไร่ ใช้สำหรับกระทำพิธีที่สำคัญของกองทัพ และรับรอง บุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ส่วนที่ 3 : อาคารพิพิธภัณฑ์ หรือห้องจัดแสดง นิทรรศการประวัติศาสตร์ โดยการค้นคว้า รวบรวม และจัดทำ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญของบูรพกษัตริย์ ไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยจะ ดำเนนิ การจดั สรา้ งบรเิ วณดา้ นลา่ งของฐานพระบรมราชานสุ าวรยี ์ พื้นที่ ส่วนที่เหลือจำนวน 126 ไร่ จะเป็นสภาพ ภูมิทัศน์โดยรอบ และการจัดสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อ อำนวยความสะดวก ในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จ พระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม จำนวน 7 พระองค์ และการก่อสร้าง ลานอเนกประสงค์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557– สิงหาคม พ.ศ. 2558 รวมระยะเวลา 10 เดือน ส่วนการจัดทำนิทรรศการแสดงพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพกษัตริย์ ตั้งแต่สมัย กรุงสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ภายในห้องพิพิธภัณฑ์ จะเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป หรือภายหลัง จากการก่อสร้างฐานและพระบรมราชานุสาวรีย์เสร็จเรียบร้อย ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง รวมทั้งหมดกว่า 700 ล้านบาท โดยกองทัพบกได้เชิญชวนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมใน การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี 46
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็น ประธานในพิธีบวงสรวงและมหามังคลาภิเษก 7 บูรพกษัตริย์ แห่งสยาม ณ อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.09 น. กองทัพบกคาดหวังว่า “อุทยานราชภักดิ์” จะ เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง จิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย และจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แห่งใหม่ของทั้งนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 2.6.2.7 พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานบนศาลาทรงจัตุรมุขกลาง อ่างเก็บน้ำเขาเต่า โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ ประเภทแหล่งน้ำ แหง่ แรกของประเทศไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกรมโยธาธิการและ ผังเมือง ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ร่วมกัน จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐาน บนศาลาทรงจตุรมุข กลางอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประเภทแหล่งน้ำแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา ใน พ.ศ. 2560 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมด้วยการ บริจาคเงินสมทบ 47
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการจัดสร้างครั้งนี้ กรมโยธาธิการและ ผังเมือง รับผิดชอบการจัดสร้างศาลาจัตุรมุขกลางน้ำสำหรับ ประดิษฐานพระบรมรูป ลักษณะศาลาทรงจัตุรมุขกลางน้ำ ขนาดระเบียงกว้างยาวสงู 14.32 x18.52 x 9.80 เมตร พื้นอาคาร ยกสูงจากพื้นน้ำประมาณ 2.59 เมตร สำหรับที่ประดิษฐาน พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะจำลองแบบ พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ถ้ำพระยานคร ลักษณะเป็นอาคาร คอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว ตั้งอยู่กลางอ่างเก็บน้ำเขาเต่า คาด ว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 ส่วนการจัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะหล่อด้วยโลหะสำริดนอก ขนาด 1.5 เท่าของ พระองค์จริง พระอิริยาบถทรงงาน ประทับยืนบนแท่นฐาน ทรงกลม ทรงสะพายกล้องฉายพระรูปสองพระหัตถ์ทรงจับ กล้อง ข้อพระหัตถ์ซ้ายทรงหนีบแผนที่โครงงาน ดำเนินการโดย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะมีการส่งมอบให้กับ เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดูแลบำรุงรักษา และมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ช่วยประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งจะสอดรับกับการจัด สร้างอุทยานราชภักดิ์ที่กองทัพบกเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากสถานที่อยู่ใกล้เคียงกัน คาดว่าหลังจากดำเนินการ แล้วเสร็จจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ได้เป็นอย่างมาก 48
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต 2.6.2.8 การจัดตั้งมหาวิทยาลัยพ่อหลวง จังหวัด ประจวบคีรขี ันธ ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้เสนอจัดตั้ง มหาวิทยาลัยพ่อหลวงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นการ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาส พระชนมายุครบ 90 พรรษา ในปี พ.ศ. 2560 และเพื่อผลิต บัณฑิตที่มีคุณธรรมจริยธรรมคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อน ประโยชน์ส่วนตัว รู้ เข้าใจ และดำรงตนตามแนวปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนในเรื่องเศรษฐกิจ พอเพียงพลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยใช้พื้นที่ก่อสร้างประมาณ กว่า 900 ไร่ ในตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ และ ขออนุมัติงบประมาณดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 จำนวน 77,000,000 บาท เพื่อทำการก่อสร้างอาคารสำนักงาน โครงการฯ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ นอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2558 ระหว่าง วันที่ 27 - 28 มีนาคม พ.ศ.2558 ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยพ่อหลวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยให้ ดำเนินการจัดหาที่ดินที่จะใช้จัดตั้งมหาวิทยาลัยและดำเนินการ อย่างต่อเนื่อง โดยจัดทำโครงการของบประมาณผูกพัน เพื่อ สนองตอบด้านแรงงานและควรแบ่งการเรียนเป็น 2 ระยะ เช่น เรียน 3 ปีได้วุฒิการศึกษาระดับ ปวส. ออกไปทำงานกลับมา เรียนอีก 1 ปี ได้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาที่เปิดสอน ควรเน้นด้านเทคโนโลยีการเกษตร ต่อมาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 49
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ (ก.บ.จ.ปข.) ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 2/ 2558 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2558 เห็นชอบให้เสนอโครงการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยพ่อหลวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อขอรับ การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลผ่านกระทรวงมหาดไทย เปน็ งบผกู พนั ปงี บประมาณ พ.ศ. 2558-2560 เปน็ เงนิ งบประมาณ 3,043,460,000 บาท 2.7 บทสรุป จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นหนึ่งในจังหวัดชายแดน ที่มี พรมแดนติดกับประเทศเมียนมาร์ และมีพื้นที่ชายฝั่งทะเล ที่อุดมสมบูรณ์ ในประวัติศาสตร์จึงเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบ และ เส้นทางการค้าขายระหว่างประเทศ ประกอบกับการเป็นพื้นที ่ ที่ความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และทิวทัศน์ที่สวยงาม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงเป็นพื้นที่ที่ได้รับการเลือกสรรให้เป็น สถานที่แปรพระราชฐานและที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย หลายพระองค์ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ในปัจจุบัน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีศักยภาพในด้าน เกษตรกรรมจนทำให้เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกสัปะรดมากที่สุด ในโลก และพื้นที่ปลูกมะพร้าวมากที่สุดในประเทศไทย ในอนาคตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มุ่งหน้าสู่การพัฒนาศักยภาพ ทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวผ่านเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์ซึ่งปรากฎอยู่ใน การสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่เคยเป็น หน่วยงานความมั่นคง เช่น กองบิน 5 ของกองทัพอากาศ และ 50
ประวัติความเป็นมา สภาพปัจจุบัน และทิศทางการพัฒนาในอนาคต พื้นที่ของกองทัพบก เช่น ค่ายธนะรัชต์ และสถานที่แห่งการ เทิดพระเกียรติ์และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อ พระมหากษัตริย์ไทย เช่น อุทยานราชภักดิ์ พระบรมรูปพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานบนศาลาทรงจตุมุข กลางอ่าง เก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน เป็นต้น การประมวลข้อมูลเบื้องต้นของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังกล่าวข้างต้น จะช่วยสร้างความเข้าใจภูมิหลังและเส้นทาง ทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจและการศึกษายังเป็น ปัจจัยที่สำคัญต่อการออกแบบสถาบันการเมืองและคุณสมบัติ ของนักการเมือง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงอำนาจทาง การเมืองของกลุ่มต่างๆ ที่แตกต่างกัน 51
บ3ทท ี่ ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3.1 บทนำ น ั บ ต ั ้ ง แ ต ่ เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง ก า ร ป ก ค ร อ ง จ า ก ร ะ บ อ บ สมบูรณาญาสิทธิราษฎร์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข หลังจากการประกาศใช้พระราช บ ั ญ ญ ั ต ิ ธ ร ร ม นู ญ ก า ร ป ก ค ร อ ง แ ผ ่ น ด ิ น ส ย า ม ช ั ่ ว ค ร า ว พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด ฉบับแรกของไทย ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 28 ครั้ง นับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก ใน พ.ศ. 2476 จนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 โดยเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั่วไป 25 ครั้ง และการเลือกตั้งเพิ่มเติมในบาง
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญฯ 3 ครั้ง ได้แก่ การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพิ่มเติม) ในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 การเลือกตั้งในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 และ การเลือกตั้งในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 25 ครั้ง มีการเลือกตั้งที่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และการเลือกตั้งสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรทว่ั ไป ในวนั ท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ 2557 ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร ท ี ่ ผ ่ า น ม า มีพัฒนาการสำคัญในหลายมิติ อาทิ การพัฒนารูปแบบ การเลือกตั้งจากการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งเป็นการเลือกตั้ง ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 มาเป็นการเลือกตั้งทางตรง การพัฒนา วิธีการเลือกตั้ง ตั้งแต่จากการแบ่งเขต มาเป็นแบบรวมเขต และ ระบบผสมที่ผสมทั้งการรวมเขตและแบ่งเขต การพัฒนา กฎหมายพรรคการเมือง การจัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งในระดับต่างๆ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของ พลเมืองชาวไทย เป็นต้น 53
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3.2 ประวัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการประมวลเหตุการณ์ทางการเมืองและพัฒนา การการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่การเลือกตั้ง ครั้งแรกจนถึงการเลือกตั้งในวันที่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2557 สามารถสรุปผลการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ได้ ดังนี้ 3.2.1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ัวไป คร้ังที่ 1 วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ประเทศไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการ ปกครองแผน่ ดนิ สยามชว่ั คราว พทุ ธศกั ราช 2475 เปน็ รฐั ธรรมนญู หรือกฎหมายสูงสุดฉบับแรกของไทย แต่นำมาใช้ชั่วคราว จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร สยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งนับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่สองและเป็นฉบับถาวรฉบับแรก บทบัญญัติในมาตรา 16 แห่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กำหนดให้มีสภา ผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ประเภท มีจำนวนเท่ากัน คือ สมาชิกประเภทที่ 1 มาจาก การเลือกตั้งจากราษฎร และสมาชิกประเภทที่ 2 มาจาก การแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ดี บทเฉพาะกาล มาตรา 65 บัญญัติให้นำเอา บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม 54
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาใช้จนกว่าราษฎรผู้มีสิทธ ิ ออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีระดับการศึกษา ในระดับประถมศึกษามากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด แต่อย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้ รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ประกาศ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบล และสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 พุทธศักราช 2476 วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2476 กำหนดกรอบเวลาในการจัดให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 ดังนี้ - กรมการอำเภอดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนตำบล โดยกำหนดรับสมัครผู้แทนตำบลระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน พ.ศ. 2476 - รับสมัครผู้แทนราษฎร โดยให้ไปยื่นใบสมัครด้วย ตนเองก่อนเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 - ใหผ้ วู้ า่ ราชการจงั หวดั กำหนดวนั เลอื กตง้ั ผแู้ ทนราษฎร ระหว่างเดือนพฤศจิกายน- เดือนธันวาคม พ.ศ.2476 ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรฯ ได้เกิดเหตุความวุ่นวายทางการเมืองสำคัญ คือ การทำรัฐประหารโดยความร่วมมือของพระยาพหล- พลพยุหเสนา หลวงพิบูลสงคราม และหลวงศุภชลาศัย เมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 และพระยาพหลพลพยุหเสนา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 55
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ที่เรียกว่า กบฏวรเดช ขึ้น ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 และ ฝ่ายรัฐบาลสามารถปราบกบฏให้ยอมจำนนได้ในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476 (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2549) พระยาพหล- พลพยุหเสนา จึงได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ว่า ได้ปราบกบฏเรียบร้อย และให้ดำเนินการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม กล่าวคือ ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะทำการเลือกผู้แทนตำบล ของตนขึ้นมาตำบลละหนึ่งคน เพื่อให้ผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง โดยกำหนดให้กรมการ อำเภอ ดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนตำบลขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จากนั้น ผู้แทนตำบลก็จะไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกขั้นหนึ่ง กฎหมายได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นผู้แทนราษฎรไว้อย่างเดียวกันกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้แทนตำบลทุกประการ เว้นแต่ในด้านความรู้ ซึ่งพระราช- กฤษฎีกาดำเนินการเลือกตั้งมาตรา 6 กำหนดไว้ว่าผู้สมัครรับ เลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรต้องมีความรู้เทียบชั้นประถมสามัญ กล่าวคือ ต้องเป็นผู้ที่สอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หรือ สอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามแผนการศึกษาของชาติ ในขณะนั้น นอกจากนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรของ จังหวัดใดก็ต้องมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือมีอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดนั้น 56
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้ง แบบรวมเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยใช้เกณฑ์ราษฎร สองแสนคนจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้หนึ่งคน กรณีจังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่าสองแสนคน ให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ทุก ๆ จำนวน ราษฎร สองแสนคน ในขณะนั้นประเทศไทย หรือ สยาม มี 70 จังหวัด สามารถเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประเภทที่หนึ่ง ได้ทั้งหมด 78 คน โดยจังหวัดส่วนใหญ่เลือก ส.ส. ได้จังหวัดละ 1 คน มีจังหวัดที่มี ส.ส. ได้ 2 คน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา จังหวัดพระนคร และ จังหวัดอุบลราชธานี มี ส.ส.ได้ 3 คน และรวมกับ ส.ส.ประเภท ที่สองที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้นอีก 78 คน รวมทั้งสิ้น เป็น 156 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 4,278,231 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 1,773,532 คน คิดเป็น ร้อยละ 41.5 โดยจังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบุรี คิดเป็นร้อยละ 78.82 และจังหวัดที่มีผู้ออกไปใช้ สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 17.71 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้จัดให้การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างเดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม พ.ศ. 2476 (ภาคผนวก 1, สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้ง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) มีผู้มีสิทธิ 57
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 13,075 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 5,515 คน คิดเป็นร้อยละ 42.18 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายมิ่ง เลาหเรณู การที่รัฐบาลยังไม่ให้ราษฎรเลือกตั้งผู้แทนโดยตรงนั้น ก็เนื่องจากว่า ราษฎรยังไม่เคยชินต่อการออกเสียงเลือกตั้ง และ จำนวนผู้ที่อ่านออกเขียนได้ในขณะนั้นก็ยังมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น รัฐบาลจึงให้มีการเลือกตั้งโดยทางอ้อมดังได้กล่าวมา แล้ว การเลือกตั้งแบบทางอ้อมทำให้ถูกมองว่า ประชาชนไม่มี สิทธิในการเลือกตั้งตัวแทนของตนเองโดยตรง และรัฐบาล ยังขาดความเชื่อมั่นในความพร้อมของประชาชนที่จะปกครอง ตน การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมที่เกิดขึ้น ครั้งเดียวและครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หลังจากการเลือกตั้ง พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่ 2 พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ที่ถือเป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ของประเทศไทย อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้กราบ บังคมลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2477 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบความตกลงระหว่าง ประเทศ เรื่อง ควบคุมการจำกัดยางที่รัฐบาลได้ลงนามไปแล้ว 3.2.2. การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ครบวาระดำรง 58
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่ง 4 ปี จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1ขึ้นใหม่ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 และเป็นการเลือกตั้งภายใต้บทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และ พระราชกฤษฎีกาดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2481 ซึ่งกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีระบบสภาเดียว และ พรรคการเมืองที่มีบทบาทในการเลือกตั้งยังคงมีเพียงพรรคเดียว คือ พรรคคณะราษฎร การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้ง ทางตรงแบบแบ่งเขต กล่าวคือ ราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยตรงไม่ต้องผ่านบุคคลอื่น แต่ยังใช้พื้นที่ จังหวัดเป็นเขตการเลือกตั้ง เลือกสมาชิกสภาผู้แทนได้เขตละ หนึ่งคน ถ้าจังหวัดใดมีจำนวนราษฎรเกินสองแสนคน ให้จังหวัด นั้น มีเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเขต เศษของหนึ่งแสน ถ้าถึง หรือเกินกว่าหนึ่งแสนให้นับเป็นสองแสน การเลือกตั้งครั้งนี้ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 91 คน มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งสิ้น 6,123,239 คน มีผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้ง 2,462,535 คน คิดเป็นร้อยละ 40.22 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดนครนายก คิดเป็นร้อยละ 80.50 และน้อยที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 22.24 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง 22,580 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 11,820 คน คิดเป็นร้อยละ 52.35 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายทองสืบ ศุภมาร์ค หลังการเลือกตั้งแล้ว ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ 59
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และมีการตั้งคณะรัฐมนตร ี ชุดใหม่ขึ้นมารวมทั้งสิ้น 18 คน นับเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 8 ต่อมา รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาแพ้การ ลงมติในญัตติขอแก้ไขข้อบังคับการประชุม และการปรึกษา ของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณประจำปี ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2481 พระยา พหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี จึงได้ถวายบังคมขอลาออก จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ แต่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมรับใบลา โดยให้เหตุผลว่าสภาพการณ์โลกในช่วงนั้นอยู่ในสภาวะปั่นป่วน และคับขัน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีจะต้องเตรียมการรับเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ที่จะเสด็จกลับพระนคร ทำให้ พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 ทำให้สภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลง 3.2.3 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ัวไป คร้ังท่ี 3 วันท่ี 12 พฤศจิกายน 2481 หลังจากพระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจประกาศ ยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 ทำให้ สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง จึงได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ซึ่งนับเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั่วไป ครั้งที่ 3 การเลือกตั้งครั้งนี้ยังอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 60
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นระบบและ วิธีการเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 91 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,310,172 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,210,332 คน คิดเป็นร้อยละ 35.05 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดนครนายก คิดเป็น ร้อยละ 67.36 และมาใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ จังหวัดตรัง คิดเป็น ร้อยละ 16.28 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทั้งหมด 22,580 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 11,820 คน คิดเป็นร้อยละ 52.35 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ ม.ล.ต้อย ชุมสาย ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ได้มีการแต่งตั้ง พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการลงนามของ คณะผสู้ ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ (พระองคเ์ จา้ อาทติ ยท์ พิ อาภา, เจา้ พระยายมราช, เจา้ พระยาพชิ เยนทรโยธนิ ) ในพระปรมาภไิ ธย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ และการเลือกตั้งซ่อมหรือการเลือกตั้งเพิ่มเติมได้อยู่ในตำแหน่ง เกินกว่าวาระปกติ 4 ปี เนื่องจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กระจายเข้ามาถึงประเทศไทยและสภาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อ พ.ศ. 2485 และออกกฎหมายขยายเวลาของวาระการดำรง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไป 2 ครั้ง จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2488 ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี จึงได้ ดำเนินการให้มีการยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ 61
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3.2.4. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ัวไป ครั้งที่ 4 วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 หลังจากหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตร ี ได้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2488 ขึ้น เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2488 ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งขึ้น ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็น ครั้งหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลัง สงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 คือ ซึ่งกำหนดให้ฝ่าย นิติบัญญัติมีระบบสภาเดียว เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบ แบ่งเขต ที่กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 ประเภท คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนทั่วไปเลือก และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือก สัดส่วน ประชากรสองแสนคนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน โดย ประชาชนเลือกได้เขตละหนึ่งคน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 96 คน ในการเลือกตั้ง ครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกพรรค ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด 5 พรรค ได้แก่ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ พรรคอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคประชาชน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 6,431,827 คน มาใช้สิทธิ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จำนวน 2,091,788 คน คิดเป็นร้อยละ 32.52 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด คือ จังหวัด บุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 54.65 และจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธ ิ เลือกตั้งน้อยที่สุด คือ จังหวัดสุพรรณบุรี คิดเป็นร้อยละ 13.40 62
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครง้ั น้ี 25,344 คน มผี อู้ อกไปใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตง้ั จำนวน 12,563 คน คิดเป็นร้อยละ 49.69 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ หลวงอุปกรณ์รัถวิถ ี (สระ แสงชูโต) ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช รักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่จน กระทั่งถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2489 หลังจากนั้นรัฐสภา ไดเ้ ลอื กนายควง อภยั วงศ์ เปน็ นายกรฐั มนตรี และคณะรฐั มนตรี คณะที่ 14 ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 รัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ แพ้มติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่าย ของประชาชน ในภาวะคับขัน พ.ศ....ในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 65 ต่อ 63 นายควง อภัยวงศ์ จึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสภาก็ได้เสนอชื่อ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี ภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ คือ การร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ที่ส่งผลให้เกิด การเปลย่ี นระบบสภาจากสภาเดยี ว คอื สภาผแู้ ทนราษฎร มาเปน็ ระบบสองสภา ประกอบด้วย พฤฒสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยให้ยกเลิกสมาชิกประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้ง พฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ทางอ้อม โดยผ่านผู้แทนตำบล มีจำนวน 80 คน อยู่ในวาระ คราวละ 6 ปี และเมื่อครบ 3 ปี ให้จับสลากออกกึ่งหนึ่ง สมาชิก พฤฒสภาต้องมีอายุ 40 ปีขึ้นไป และต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และ ต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ 63
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 โดย 1 ใน 80 สมาชิกพฤฒสภาที่ได้รับ เลือกตั้ง คือ นายมิ่ง เลาห์เรณู อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนแรกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการเลือกตั้งทางอ้อม ครั้งแรกและครั้งเดียว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 ที่อยู่ใน ตำแหน่งก่อนหน้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ยังคงให้ดำรง ตำแหน่งต่อไป แต่ต้องมีการจัดการเลือกตั้งเพิ่มเติมอีกจำนวน 82 คน ใน 47 จังหวัด เนื่องจากบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ กำหนดเกณฑ์คำนวณจำนวนราษฎรต่อสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหนึ่งคนลดลง จากราษฎรสองแสนคนเหลือ หนึ่งแสนคน ทำให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ใน 47 จังหวัด ถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 โดยยัง เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบแบ่งเขต เหมือนกับการเลือกตั้ง ทั่วไป ครั้งที่ 2 - 4 ทั้งนี้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไม่ได้เป็น 1 ใน 47 จังหวัด ที่ต้องจัดการเลือกตั้งเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ การปกครองประเทศภายใต้การนำ ของพลโท ผิน ชุณหะวัณ ทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 คณะรัฐมนตรี พฤฒสภา และสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง 64
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3.2.5 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งท่ี 5 วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 เนื่องจากมีการรัฐประหารภายใต้การนำของพลโท ผิน ชุณหะวัณ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และทาง คณะรัฐประหารให้แต่งตั้งให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้มีการยกเลิก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 และให้ คณะรัฐมนตรี พฤฒสภา และสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง และ ต่อมาได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ในบทเฉพาะกาลได้บัญญัติให้มีการ เลือกตั้งสมาชิกผู้แทนภายใน 90 วัน นับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญ จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้รัฐบาลนำโดยนายควง อภยั วงศ์ นายกรฐั มนตรี ซง่ึ ได้รบั การแต่งตัง้ โดยคณะรฐั ประหาร เพื่อทำหน้าที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาล ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และพระราชกฤษฎีกาดำเนินการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2490 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง โดยวิธี รวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตการเลือกตั้ง หนึ่ง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัดคำนวณโดยถือเอา จำนวนประชาชน 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ทำให้มี จำนวนผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งนี้จำนวน 99 คน ผลการ เลือกตั้ง พบว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 65
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งหมด 7,176,891 คน มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จำนวน 2,117,474 คน คิดเป็นร้อยละ 26.54 ของจำนวนผู้มีสิทธิ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง มากที่สุดคือ จังหวัดระนอง มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง คิดเป็น ร้อยละ 58.69 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ จังหวัด สมุทรปราการ คิดเป็นร้อยละ 15.68 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทั้งหมด 29,642 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 12,971 คน คิดเป็นร้อยละ 43.75 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ผลการเลือกตั้งในภาพรวม พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 53 ที่นั่ง พรรคประชาชน ได้ 12 ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ ได้ 5 ที่นั่ง และผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่สังกัดพรรคใด จำนวน 3 ที่นั่ง ซึ่งต่อมาสมาชิกที่ไม่สังกัด พรรคใดได้เข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำ จัดตั้งรัฐบาลในสภา โดย นายควง อภัยวงศ์ ได้รับพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 นับเป็นการดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 และต่อมาก็ได้มีการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี จำนวนทั้งสิ้น 24 คน ขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 นับเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 20 ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะรัฐประหาร ของจอมพล ผนิ ชณุ หวณั ทท่ี ำรฐั ประหารเมอ่ื วนั ท่ี 8 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2490 ได้บีบบังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจาก 66
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่ง โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจว่ารัฐบาลไม่สามารถ แก้ปัญหาได้ทันท่วงที และมีมติให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสงครามโลก ครั้งที่สองขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้มีการเลือกตั้ง เพิ่มเติม ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 เนื่องจากมีการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 ซึ่งตามบทเฉพาะกาลได้กำหนด ให้สมาชิกสภาผู้แทนซึ่งได้รับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 คงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และให้ดำเนิน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นให้ครบถ้วนตามที่ รัฐธรรมนูญฉบับที่กำหนดไว้ โดยที่เกณฑ์คำนวณราษฎรที่จะ นำมาคำนวณจำนวนสมาชิกลดลง เหลือหนึ่งแสนห้าหมื่นคน ต่อสมาชิกหนึ่งคน (เดิมใช้จำนวนราษฎรสองแสนคนต่อสมาชิก หนึ่งคน) ซึ่งทำให้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นจากเดิม และ จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งเพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวน 21 คน ใน 19 จังหวัด ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบรวมเขตเหมือนกับ การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 5 ต่างกันเพียงเกณฑ์คำนวณจำนวน ราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนเท่านั้น การเลือกตั้งเพิ่มเติมมีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งสิ้น 3,518,276 คน ไปใช้สิทธิ 870,208 คน คิดเป็นร้อยละ 24.73 จังหวัดสกลนครมีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ ร้อยละ 45.12 และ จังหวัดอุดรธานี มีผู้ใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ ร้อยละ 12.02 จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ต้องมีการเลือกตั้ง เพิ่มเติม 67
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3.2.6 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยทั่วไปคร้ังที่ 6 วันท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ทำการรัฐประหารตัวเอง โดย อ้างเหตุว่ารัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2492 ที่ใช้อยู่ขณะนั้นไม่สะดวก แก่การบริหารประเทศชาติ ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมดพ้นสมาชิกภาพ ต่อมา ได้นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2495 ออกมาใน วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 มาใช้ ส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติกลับ มามีสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิกสภา 2 ประเภท คือ สมาชิก ที่มาจากการเลือกตั้ง และสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง โดย คณะรัฐประหารได้แต่งตั้งบุคคลในคณะรัฐประหารและ ข้าราชการทหาร พลเรือน สมาชิกสภาประเภทที่ 2 ทำหน้าที่ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับ สมาชิกสภาประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง โดยได้จัดให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่ใน วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 นับเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 8 ของประเทศไทย เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นการรัฐประหาร จึงมี การประกาศห้ามมิให้มีการชุมนุมทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคการเมืองที่สนับสนุน รัฐบาลในรูปของสหพรรค และพรรคฝ่ายค้านได้สลายตัวและ ไม่มีบทบาทในการเลือกตั้งเช่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะพรรค ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญได้ประกาศถอนตัว 68
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการเมือง ไม่ยอมส่งผู้สมัครของพรรคลงรับเลือกตั้ง ยกเว้น ผู้สมัครคนใดที่ต้องการสมัครรับเลือกตั้งอิสระในนามของตัวเอง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบรวมเขต เหมือนกับการเลือกตั้งเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 กล่าวคือ ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยตรง โดยให้รวมเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งเดียวและถือเกณฑ์ คำนวณราษฎรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หนึ่งคน ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นคนก็ให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดได้หนึ่งคน ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคนก็ให้มีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง คนต่อจำนวนราษฎรทุกหนึ่งแสนห้าหมื่นคน เศษของหนึ่งแสน ห้าหมื่น ถ้าถึงเจ็ดหมื่นห้าพันหรือมากว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งแสน ห้าหมื่น ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 123 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 7,602,591 คน ผลปรากฎว่ามีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,961,291 คน คิดเป็นร้อยละ 38.95 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากทีสุด คือ จังหวัดสระบุรี คิดเป็นร้อยละ 77.78 และน้อยที่สุด คือ จังหวัด พระนคร คิดเป็นร้อยละ 23.30 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทั้งหมด 32,308 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 13,967 คน คิดเป็นร้อยละ 42.82 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายทองสืบ ศุภมาร์ค หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถบริหาร ประเทศได้ยาวนานจนครบวาระของสภาผู้แทนราษฎร และมี การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 3.2.7 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยท่ัวไป คร้ังท่ี 7 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้นได้แก้ไขอายุของสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี เป็น 5 ปี ทำให้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดที่ได้รับการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ครบวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปีในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้เป็น การเลือกตั้งทางตรงแบบรวมเขต คือถือเขตจังหวัดเป็นเขต เลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 160 คน ดังนั้น ในบาง จังหวัดจึงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่า 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ยังนับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ที่มีพรรคการเมืองภายใต้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พุทธศักราช 2498 ซึ่งนับเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ออกมาให้มี การจัดตั้งพรรคการเมืองได้โดยตรง เนื่องจากก่อนหน้านั้น เป็นการจัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 และจอมพล ป. 70
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พิบูลสงคราม ได้ตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาขึ้นและได้ลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในการเลือกตั้งครั้งมีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครเข้ารับ การเลือกตั้งถึง 23 พรรค ได้แก่ พรรคเสรีมนังคศิลา พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคเศรษฐกร พรรค ธรรมาธิปัตย์ พรรคกรรมกร พรรคชาวนา พรรคสังคม ประชาธิปไตย พรรคสงเคราะห์อาชีพและการกุศล พรรค ชาตินิยม พรรคสหภราดร พรรคสังคมนิยม พรรคไฮด์ปาร์ค พรรคชาติประชาธิปไตย พรรคหนุ่มไทย พรรคสหพันธเกษตรกร พรรคราษฎร พรรคคนดี พรรคอิสระ พรรคประชาชน พรรค ศรีอริยเมตไตย พรรคไทยมุสลิม และพรรคสยามประเทศ เนื่องจากประชาชนรู้สึกเบื่อหน่ายต่อรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามที่ครองอำนาจอย่างยาวนานและมีแนวโน้ม จะอยู่ในอำนาจต่อไป การเลือกตั้งครั้งนี้จึงทำให้เกิดการตื่นตัว ของประชาชนและสื่อสารมวลชนอย่างกว้างขวาง และ เป็นความหวังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึง รัฐบาลเองก็ได้รณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิของ ตนเองผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวางจึงทำให้บรรยากาศของ การเลือกตั้งเป็นไปอย่างคึกคัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะนำเสนอ นโยบายของตนเองแข่งขันกันอย่างกว้างขวาง แต่ผลการ เลือกตั้งกลับปรากฏว่า มีเพียง 8 พรรค เท่านั้นที่สมาชิกของ พรรคได้รับเลือกตั้ง จากจำนวนพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครของ ตนลงแข่งขันทั้งหมด 23 พรรค และมีเพียงพรรคเสรีมนังคศิลา 71
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน มากที่สุด ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ แม้จะมีผู้สมัครรับ เลือกตั้งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาบ้าง แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก กล่าวคือ ในจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 160 คน มี สมาชิกของพรรคการเมืองต่างๆ ได้รับเลือกตั้ง ดังนี้ พรรค เสรีมนังคศิลา 83 คน พรรคประชาธิปัตย์ 28 คน พรรค เสรีประชาธิปไตย 11 คน พรรคธรรมาธิปัตย์ 10 คน พรรค เศรษฐกร 8 คน พรรคชาตินิยม 3 คนพรรคขบวนการไฮปาร์ค 2 คน พรรคอิสระ 2 คน ไม่สังกัดพรรคใด 13 คน และด้วยการ รณรงค์หาเสียงโดยพรรคการเมืองอย่างกว้างขวาง จนเป็น การเลือกตั้งที่มีผู้ไปใช้สิทธิมากกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 9,859,039 คน มีผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้ง 5,668,566 คน คิดเป็นร้อยละ 57.50 จังหวัดที่มีผู้มาใช้ สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดสระบุรี (ร้อยละ 93.30) และจังหวัดที่มี ผู้มาใช้น้อยที่สุด คือ จังหวัดสุพรรณบุรี (ร้อยละ 42.06) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทั้งหมด 48,855 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 27,274 คน คิดเป็นร้อยละ 55.83 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายทองสืบ ศุภมาร์ค สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนที่ไม่ยอมรับผลการเลือก ตั้ง เพราะเห็นว่ารัฐบาลโกงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในหมู่นิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้งด้วยตนเอง และพบการ โกงการเลือกตั้งหลายรูปแบบ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งประชาชนทั่วไป 72
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ร่วมกันเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งครั้งนี้ ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 อย่างไรก็ดี ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2500 ได้มีพระบรม ราชโองการแต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2500 มีการแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศท่ามกลางความขัดแย้ง ที่ได้ขยายตัวจนกลายเป็นความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มทหาร และตำรวจที่สนับสนุน จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก และนำไปสู่การ รัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 3.2.8 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ัวไป ครั้งที่ 10 วันท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2550 มีการประกาศกฎอัยการศึก และยุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ สภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีนสิ้นสุดลง แต่ไม่ได้ยกเลิก รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนั้น หลังจากนั้น ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2500 จึงได้มี การประกาศพระบรมราชโองการ เรื่อง การใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 และได้แต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 จำนวน 121 คน ทำหน้าที่รัฐสภา และเลือกสรรนายกรัฐมนตรี โดยได้มีมติให้ นายพจน์ สารสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง 73
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบ รวมเขต ซึ่งเป็นระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 6 และ 7 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 160 คน พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้ง มีทั้งพรรค การเมืองเดิมที่เคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาแล้ว พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคเศรษฐกร พรรคธรรมาธิปัตย์ พรรคกรรมกร พรรคชาวนา พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคสงเคราะห์อาชีพและการกุศล พรรคชาตินิยม พรรคสหภราดร พรรคสังคมนิยม พรรค ไฮด์ปาร์ค พรรคชาติประชาธิปไตย พรรคหนุ่มไทย พรรค สหพันธเกษตรกร พรรคราษฎร พรรคคนดี พรรคอิสระ พรรคประชาชน พรรคศรีอริยเมตไตร พรรคไทยมุสลิม และ พรรคสยามประเทศ และพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อ ส่งผู้สมัครของพรรคลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ พรรคสหภูมิ พรรคขบวนการสหพันธรัฐสากลนิยม พรรคอิสาน พรรคชาติสังคม พรรคปิตุภูมิ พรรคประชาราษฎร และพรรคสหพันธ์ประชาธิปไตย ผลการเลือกตั้งปรากฎว่ามีสมาชิกของพรรคการเมือง ที่ได้รับเลือกตั้ง 7 พรรค ได้แก่ พรรคสหภูมิ 45 คน พรรค ประชาธปิ ตั ย์ 39 คน พรรคเศรษฐกร 6 คน พรรคเสรปี ระชาธปิ ไตย 5 คน พรรคเสรีมนังคศิลา 4 คน พรรคชาตินิยม 1 คน พรรค ไฮดป์ ารค์ 1 คน พรรคอสิ ระ 1 คน ไมส่ งั กดั พรรคการเมอื ง 58 คน 74
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้นจำนวน 9,917,417 คน มีผู้มา ใช้สิทธิเลือกตั้ง 4,370,789 คน คิดเป็นร้อยละ ร้อยละ 44.07 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดระนอง คิดเป็น ร้อยละ 73.30 และน้อยที่สุด คือ จังหวัดอุดรธานี คิดเป็นร้อยละ 29.92 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทั้งหมด จำนวน 49,749 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 20,476 คน คิดเป็นร้อยละ 41.15 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายต้าน ประจวบเหมาะ สังกัดพรรคสหภูมิ ห ล ั ง จ า ก ด ำ เ น ิ น ก า ร จ ั ด ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายพจน์ สารสิน ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และด้วยเหตุที่การ เลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในสภา จึงต้อง สรรหาตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ เนื่องจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คณะทหารจึงมีความเห็นให้ พลโท ถนอม กิตติขจร ขึ้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่า นอกจากจะเป็น บคุ คลสำคญั ในคณะรฐั ประหารแลว้ ยงั ดำรงตำแหนง่ รองหวั หนา้ พรรคชาติสังคม และสามารถรวบรวมสมาชิกสภาสังกัดพรรค สหภูมิและพรรคอื่นๆ รวมทั้งที่ไม่ได้สังกัดพรรคมาเข้าร่วมเป็น สมาชิกได้ถึง 80 คน และเมื่อรวมกับเสียงสนับสนุนใน หมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่สองด้วยแล้วก็ทำให้ พรรคชาติสังคมมีเสียงสนับสนุนในสภามากเพียงพอที่จะจัดตั้ง รัฐบาลได้ 75
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พลโทถนอม กิติขจร ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก เมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2501 ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี พลโทถนอม กิติขจร ได้จัดสรรโควตาตำแหน่งรัฐมนตรี ระหว่างคณะทหาร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคชาติสังคม และ ข้าราชการประจำที่เคยร่วมเป็นรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลชั่วคราว ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลของพลโทถนอม กิตติขจร อยู่ในตำแหน่งจนถึง วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงได้เข้ายดึ อำนาจและประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพรรคการเมือง และสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทน 3.2.9 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ัวไป ครั้งท่ี 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ภายหลังการปฏิวัติโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ได้มีการประกาศกฎอัยการศึก ยุบสภา ผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี และได้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 โดยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ การปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 บังคับใช้แทน เป็นการชั่วคราว ต่อมา ได้แต่งตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น โดยมี นายทวี บุณยเกตุ เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้ เวลาร่างนานถึง 9 ปี จึงแล้วเสร็จและนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อ ทรงลงพระปรมาภิไธย ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 และ 76
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศใช้กฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พุทธศักราช 2511 และพระราชบัญญัติเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทน พุทธศักราช 2511 ทำให้มีการจดทะเบียน ก่อตั้งพรรคการเมืองต่างๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ พรรคสหประชาไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคแนวร่วมเศรษฐกร พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรค แนวประชาธิปไตย พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา พรรคชาวนา ชาวไร่ พรรคสยามใหม่ พรรคประชาพัฒนา พรรคแรงงาน พรรคไทยธิปัตย์ พรรคอิสรธรรม พรรคชาติประชาธิปไตย เป็นต้น โดยมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรค สหประชาไทย ซึ่งก่อตั้งโดยคณะทหาร และมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และพลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค รัฐบาลได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทั่วไปขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ซึ่งเป็นไป ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 180 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้น ภายใน 240 วัน การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 9 ของประเทศไทย ที่มีระยะห่างจาก การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 8 เกือบ 12 ปี เนื่องจากการรัฐประหาร 77
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยึดอำนาจโดยคณะทหารและการใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญ ใหม่นานมากเกือบ 10 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต โดย ถือเอาหนึ่งจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้ง โดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอา จำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน ทำให้มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรได้ 219 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 14,820,400 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,283,837 คน คิดเป็นร้อยละ 49.16 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดระนอง คิดเป็น ร้อยละ 73.95 และน้อยที่สุดคือ จังหวัดพระนคร คิดเป็นร้อยละ 34.66 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในครั้งนี้ ทั้งหมด 99,217 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 53,260 คน คิดเป็นร้อยละ 53.68 ผู้ที่ได้รับเลือก คือ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง สังกัดพรรคสหประชาไทย แม้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากส่งผู้สมัครสังกัด พรรคของตนลงแข่งขันรับเลือกตั้ง แต่มีเพียง 2 พรรค คือ พรรคสหประชาไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งสมาชิก ลงสมัครรับเลือกครบทุกที่นั่ง โดยพรรคสหประชาไทยมีผู้สมัคร ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง ได้ ส.ส.ทั้งหมด 74 คน ได้เป็น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ทั้งหมด 55 คน ทำหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่ผู้สมัครจากพรรคอื่น และผู้สมัครอิสระรวมกันมีจำนวน 90 คน 78
ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2512 ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี นับเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ของจอมพลถนอม กิตติขจร และเป็นรัฐบาลชุดที่ 31 ของประเทศไทย การบริหารงานของรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ดำเนนิ ไปทา่ มกลางความขดั แยง้ ระหวา่ งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร กับรัฐบาล และระหว่างรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้จอมพลถนอม กิตติขจร ตัดสินใจทำการปฏิวัติตนเอง เมือ่ วนั ที่ 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2514 และยกเลิกรฐั ธรรมนญู แห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ที่ร่างกันมายาวนานถึง 9 ปี ทำให้รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมทั้งการยกเลิก พระราชบัญญัติพรรคการเมือง และยุบพรรคการเมือง ตาม ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 9 วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2514 จึงได้มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 34 ตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้นมา โดยมี จอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติทำหน้าที่เป็นประธานสภา บริหารคณะปฏิวัติ และมีกรรมการสภาบริหารคณะปฏิวัติอีก 15 คน ทำหน้าที่คณะรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร ปกครองบ้านเมืองภายใต้ สภาบริหารคณะปฏิวัติมาจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้ประกาศใช้รัฐธรรมนญู ปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 และแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งจัดตั้ง รัฐบาลที่มี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยใช้ มาตรา 17 เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศ ทำให้ 79
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สถานการณ์เลวร้ายและสร้างความไม่พอใจรัฐบาล จนขยาย ตัวอย่างกว้างขวางมากขึ้น ทั้งในหมู่นักการเมือง นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป มีการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่ง ร่างรัฐธรรมนูญออกประกาศใช้โดยเร็ว จนนำไปสู่เหตุการณ์ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้จอมพลถนอม กิตติขจร ต้อง ลาออก ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และได้เดินทางออก นอกประเทศ พร้อมกับจอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอก ณรงค์ กิตติขจร 3.2.10 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 10 วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 หลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ลาออกจาก ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และได้ เดินทางออกนอกประเทศ พร้อมกับจอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั ใหน้ ายสญั ญา ธรรมศกั ด์ิ เปน็ นายกรฐั มนตรี และจัดตั้งรัฐบาลเข้าบริหารประเทศแทนรัฐบาลจอมพลถนอม กติ ตขิ จร รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ ร่างรัฐธรรมนูญ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วประเทศได้แสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้น ด้วยการ เลือกตัวแทนประชาชนจากสาขาอาชีพต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวน 2,347 คน ร่วมกันเป็นสมัชชาแห่งชาติ เพื่อประชุม คัดเลือกตัวแทนสำหรับทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน 299 คน 80
ประวัติการเลือกต้ังนักการเมืองถ่ิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 กำหนดให้รัฐสภาเป็น แบบสองสภา และกำหนดวันเลือกตั้งครั้งแรกหลังการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนารมณ์ที่จะสร้าง ความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองและรัฐสภามากขึ้น จึงได้มี บทบัญญัติให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องสังกัดพรรคการเมือง และผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้อง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงให้มีการตราพระราชบัญญัติ พรรคการเมือง พ.ศ. 2517 ขึ้น เมอ่ื พระราชบญั ญตั พิ รรคการเมอื ง พ.ศ. 2517 ประกาศใช้ มีพรรคการเมืองต่างๆ ยื่นขอจดทะเบียนพรรคการเมืองเป็น จำนวนมากถงึ 44 พรรค มสี มาชิกตง้ั แต่ 1,111 คน ถงึ 3,740 คน และเกือบทุกพรรคส่งสมาชิกลงสมัครแข่งขันรับการเลือกตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบผสม ระหว่างรวมเขตและแบ่งเขต โดยถือ เกณฑ์คำนวณจำนวน ราษฎรหนึ่งแสนห้าหมื่นคนต่อสมาชิกหนึ่งคน ดังนั้น จังหวัด หนึ่งอย่างน้อยให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได ้ ไม่เกิน 3 คนให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยจัดให้แต่ละเขต เลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละสามคน 81
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369