นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลำดับที่ 38 สังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งในครั้ง ดังกล่าวด้วย ขณะที่นายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้ตัดสินใจ ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบแบ่งเขต ส่วนนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้ส่งบุตรชาย คือ พ.ต.อ.ทนงศักดิ์ ทั่งทอง (ยศใน ขณะนั้น) ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตเช่นเดียวกัน และ ไม่ได้รับเลือกตั้งทั้ง 2 คน หลังจากนั้น นายวิเศษ ใจใหญ่ได้วางมือทางการเมือง ระดับชาติ โดยยังมีบุตรชายทำงานการเมืองในระดับท้องถิ่น ใน พ.ศ. 2557 ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นายวิเศษ ใจใหญ่ ล้มละลาย (http://isranews.org/isranews-news/item/ 36853-news_36853.html) 4.3.11 ร้อยตำรวจเอก พเยาว์ พูนธรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2544 รอ้ ยตำรวจ เอกพเยาว์ พนู ธรตั น์ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 15 ตลุ าคม พ.ศ. 2499 ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชื่อเล่น จ้อน ร้อยตำรวจ เอกพเยาว์ พูนธรัตน์ สำเร็จการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนในอำเภอบางสะพาน และ ศึกษาต่อที่โรงเรียนราชสิทธาราม แผนกช่างก่อสร้าง โดยได้รับ ทุนการศึกษา ม.ล.ปิ่น มาลากุล จนจบชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 และเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขต 232
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เทคนิคกรุงเทพ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณทิต สาขาวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทเวศร์ ใน พ.ศ. 2531 สมัยวัยรุ่น ร้อยตำรวจเอกพเยาว์ พูนธรัตน์ มีอาชีพเป็น นักมวย โดยชกมวยไทยในชื่อ “เพชรพเยาว์ ศิษย์ครูทัศน์” ต่อมา จึงไปชกมวยสากลสมัครเล่น จนประสบความสำเร็จ จนติดทีมชาติ และชกชนะได้แชมป์หลายรายการ เช่น แชมป์ มวยคิงส์คัพ, แชมป์โกลเด้นคัพ ที่ประเทศเคนยา, เหรียญเงิน มวยสมัครเล่นชิงแชมป์โลก ที่สหรัฐอเมริกา รายการที่สำคัญ คือ ได้เหรียญทองแดงในรุ่นไลท์ฟลายเวท (48.9 กิโลกรัม) ใน พ.ศ. 2519 และนับเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญรางวัล จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ในขณะที่ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ มีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น หลังจากนั้น ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ได้ก้าวเข้าสู่วงการ มวยสากลอาชีพ และประสบความสำเร็จเรื่อยมา จนสามารถ ชงิ แชมปโ์ ลกในรนุ่ ซเู ปอรฟ์ ลายเวท (115 ปอนด)์ ของสภามวยโลก (WBC) ได้ใน พ.ศ. 2526 จนกระทั่งมาชกพ่ายแพ้ให้กับ ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ นักมวยสากลหน้าใหม่ ในช่วงปลาย พ.ศ. 2527 เขาจึงประกาศเลิกชกมวย และไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการ มวยอีกเลย ต่อมา ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ จึงได้เข้าทำงานใน ธนาคารกรุงเทพ สาขาสำนักงานใหญ่ สีลม ในแผนกสินเชื่อ ก่อสร้าง ก่อนจะลาออกมารับราชการตำรวจ ประจำกอง โยธาธิการ กรมตำรวจ โดยได้ยศสูงสุดคือ ร้อยตำรวจเอก 233
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในด้านชีวิตครอบครัว ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ สมรสกับ นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ รมณี พนู ธรัตน์ (บุตรสาว) และ บัณณพัฒน์ พนู ธรัตน์ (บุตรชาย) การเข้าสู่เส้นทางการเมือง : สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ลาออกจากราชการตำรวจ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พ.ศ. 2538 ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ยังคงลงผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ เป็นครั้งที่ 2 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 แต่ยังคงไม่ได้รับเลือกตั้ง ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ประสบความสำเร็จในการเป็น สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั ประจวบครขี นั ธ์ ในการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ซึ่งใน การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ครบทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย นายมนตรี ปาน้อยนนท์ เขต 1 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เขต 2 และ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ เขต 3 และนับเป็นครั้งที่ 2 ของการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจาก พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับตั้งแต่นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งและปักธงพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัด 234
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ประจวบคีรีขันธ์เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ใน พ.ศ. 2545 ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ป่วยเป็นโรค เส้นเลือดในสมองตีบ และ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS จนกระทั่งเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น โดยได้รับ การช่วยเหลือจากหลายภาคส่วนของสังคม เช่น การกีฬาแห่ง ประเทศไทย, รัฐสภาและพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ต่อมา ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ มีอาการทรุดหนัก ไม่สามารถหาเสียงได้ ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงได้เตรียมให้ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ขึ้นเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 ขณะที่นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ ภรรยาของ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ไม่มั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะจัดให้ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ลงบัญชีรายชื่ออันดับเท่าใด จึงแสดงความประสงค ์ ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขตแทนสามี อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ได้สำรวจคะแนนนิยมในพื้นที่แล้ว พบว่า นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีคะแนน ดีกว่า จึงตัดสินใจเลือกนายประมวล พงศ์ถาวราเดช เป็น ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 3 แทน แม้ว่า ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ได้ฝากข้อความไปถึงผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ โดยการใช้ ปากคาบปากกาเขยี นขอ้ ความวา่ “ฝากเมยี ผมดว้ ย” นางอดาวลั ย์ พูนธรัตน์ จึงตัดสินใจมาลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 3 ในนาม พรรคไทยรักไทยแทน แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง 235
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่โรงพยาบาลศิริราช อายุ 50 ปี 4.3.12 นายมนตรี ปาน้อยนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัย นายมนตรี ปาน้อยนนท์ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ที่อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บิดา ชื่อ นายประยูร ปาน้อยนนท์ มารดาชื่อ นางบักเจียง ปาน้อยนนท์ (สกุลเดิม สุดลาภา) มีพี่น้อง 5 คน สมรสกับ นางนภัสลักษณ์ ปาน้อยนนท์ ครอบครัวประกอบธุรกิจ ฟาร์มสุกรและศูนย์บำรุงพันธุ์สุกร “บูรพาฟาร์ม” ในอำเภอ สามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายมนตรี ปาน้อยนนท์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา ตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์และปริญญาโท รัฐประศาสนศาตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด เส้นทางการเมอื ง นายมนตรี ปาน้อยนนท์ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมือง จากการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ระหว่าง พ.ศ. 2539 -2543 ในตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ รองประธานสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในเวลาต่อมา นายมนตรี ปาน้อยนนท์ให้สัมภาษณ์ว่า ใน พ.ศ. 2542 ได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการการเมืองระดับชาติจาก 236
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ พรรคกิจสังคม แต่นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ปฏิเสธ และไปสมัคร เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในปีเดียวกัน หลังจากที่ได้รับ การชักชวนจากนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งทำหน้าที่ดแู ลภาคกลางในสมัยนั้น นายมนตรี ปานอ้ ยนนท์ ใหส้ มั ภาษณว์ า่ เขามปี ระสบการณ์ ทางการเมืองในพื้นที่ทั้งในฐานะประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง และนักการเมืองท้องถิ่น จึงทราบดีว่าการเมืองในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์เป็นอย่างไร จึงไม่คิดจะสมัครเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในขณะนั้น แต่เนื่องจากการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2544 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ หลายประการ โดยเฉพาะการกำหนดให้แต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เพียง 1 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คนหนึ่งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในเขตได้เพียงเขตละ 1 คนเท่านั้น และการกำหนดให้คณะ กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มาทำหน้าที่กำกับดูแล การเลือกตั้งแทนกระทรวงมหาดไทย ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าจะมี การเปลี่ยนแปลงการเมืองในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์อย่าง แน่นอน จึงตัดสินใจลงสมัครลงรับสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรค ประชาธปิ ตั ย์ และไดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสมัยแรก โดยสามารถเอาชนะอดีต ส.ส. 7 สมัย อย่างนายสำเภา ประจวบเหมาะ ผู้สมัครจากพรรค ไทยรักไทย ด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างกันเกือบเท่าตัว (นายมนตรี 237
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปาน้อยนนท์ 36,951 นายสำเภา ประจวบเหมาะ 20,330) และ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกเป็นสมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 และสมัยที่ 3 ใน พ.ศ. 2550 เครือข่ายการเมืองและกลยุทธ์ในการสร้างคะแนน นิยม นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจัยที่ทำให้ เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ คือ ความนิยมส่วนบุคคลผสมผสานกับ ความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ความนิยมตัวบุคคลอาจมี สัดส่วนมากกว่า ความนิยมส่วนบุคคลเกิดจากยุทธศาสตร์ “ประจวบ โมเดล” หรือการวางเครือข่ายการเมืองในทุกระดับในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองท้องถิ่น การปกครองท้องที่ เพื่อให้เป็น ฐานเสียงและสามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง และต่อเนื่อง เช่น น้องชายของนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ดำรง ตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลไร่ใหม่ อำเภอสามร้อยยอด เป็นต้น และเครือข่ายดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับการเมือง ระดับชาติได้กลยุทธ์ที่สำคัญในการรักษาฐานเสียงในพื้นที่ คือ การต้องอยู่ในพื้นที่และร่วมกิจกรรมกับชาวบ้านด้วยตัวเอง อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น แม้ว่าบางงานจะเวลาตรงกัน ก็จะส่งทีมงานไปก่อน และตามไปร่วมงานด้วยตัวเอง นอกจากนั้นยังต้องทำหน้าที่รับ เรื่องราวร้องทุกข์ของชาวบ้านในพื้นที่ และร่วมมือกับหน่วยงาน ภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เช่น ชาวประมงมาร้องทุกข์ 238
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ปัญหาเรื่องประมงนอกพื้นที่มาคราดหอยลายในพื้นที่ชายฝั่ง ทะเล อำเภอกุยบุรี สร้างความเดือดร้อนให้กับประมงพื้นบ้าน การแก้ปัญหาชุมชนท้องถิ่นและชาวไร่กุยบุรีได้รับความ เดือดร้อนจากช้างป่าอกมาหากินและเหยียบย่ำทำลายพืชผล ทางการเกษตรของชาวไร่ จนนำไปสู่ “ข้อตกลงร่วมระหว่าง อุทยานแห่งชาติกุยบุรีและชาวไร่ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า” รวมทั้ง “ข้อตกลงแต่งตั้งคณะกรรมการของชมรมคนรักช้างป่า กุยบุรี” เป็นต้น ส ่ ว น ก า ร ส น ั บ ส น ุ น จ า ก พ ร ร ค ก า ร เ ม ื อ ง ท ี ่ ส ั ง ก ั ด ในการหาเสียงในพื้นที่ที่สำคัญ คือ การเชิญผู้บริหารพรรค ประชาธิปัตย์มาช่วยปราศรัยหาเสียงในพื้นที่ และร่วมกิจกรรม กับชาวบ้าน บทบาทในสภาผู้แทนราษฎรของนายมนตรี ปาน้อยนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4 สมัย คือ การได้รับการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นรองประธาน คณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัย ธรรมชาติและสาธารณภัย ใน พ.ศ. 2552 และประธาน กรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2554 ส่วนบทบาทของนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ในพรรค ประชาธิปัตย์นั้น ในการประชุมใหญ่วิสามัญประจำ พ.ศ. 2556 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็น 1 ใน 5 ของคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์สำรอง แต่ต่อมาเขาได้ลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว 239
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2552 นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ต้องเผชิญ กับข่าวการย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกันกับ นายเฉลมิ ชยั ศรอี อ่ น เนอ่ื งจากความสนทิ สนมกบั นายศกั ดส์ิ ยาม ชิดชอบ สมาชิกพรรคภูมิใจไทยขณะนั้น และนายเนวิน ชิดชอบ จากกิจกรรมการก่อตั้งทีมฟุตบอล “ประจวบ FC” รวมทั้งข่าวการตั้งกลุ่ม “เพื่อนเฉลิมชัย” เพื่อต่อรองตำแหน่ง รัฐมนตรีในพรรค ซึ่งนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ยืนยันมาตลอดว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และจะยังลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ต่อไป หลังจากการสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใน พ.ศ. 2554 นายมนตรี ปาน้อยนนท์ รายงานทรัพย์สินและหนี้สินของเขา และคู่สมรสว่า มีทรัพย์สินรวมจำนวน 30,018,845 ล้านบาท และมีหนี้สิน จำนวน 10,836,972 ล้านบาท 4.3.13 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และอดีตเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เกิดวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2508 ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชื่อเล่นว่า “ต่อ” เป็นบุตรของ นายหลียักหมิ่น แซ่ลี และนางหลวย ศรีอ่อน มีพี่น้อง 10 คน เขาเป็นคนสุดท้อง สมรสกับนางธันยวีร์ ศรีอ่อน ซึ่งปัจจุบัน 240
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลปราณบุรี มีบุตร 1 คน คือ สรวิศ ศรีอ่อน ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อนให้สัมภาษณ์ (รายการกฤษณะ ล้วงลูก 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555) ว่า คุณพ่อเขาเดินทางมาจาก เมืองจีน เดิมมีอาชีพปลูกผัก เลี้ยงหมู จนสามารถเลี้ยง ครอบครัวและพัฒนามาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงงานสับปะรด และ อุตสาหกรรมแปรรูปด้านการเกษตร รวมทั้งสวนปาล์มและ สวนมะม่วงในปัจจุบัน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี ระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และระดับ ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขานโยบายและการ วางแผน จากมหาวิทยาลัยเกริก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเลือกเรียน คณะนิติศาสตร์เพราะอยากรับราชการเป็นตำรวจ แต่ใน พ.ศ. 2530 หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาคณะนิติศาสตร์ บัณฑิต และอยู่ในระหว่างฝึกเป็นทนายความและรอเรียกบรรจุ ในตำแหน่งปลัดอำเภอ ได้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผัน เส้นทางชีวิตของเขา เมื่อคุณพ่อเขาเสียชีวิตลง ทำให้เขา ตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์เพื่อดูแลคุณแม่และกิจการของครอบครัว 241
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เส้นทางสู่การเมือง : จากการเมืองท้องถ่ินสู่ การเมืองระดับชาต ิ กา้ วแรก : นักการเมอื งท้องถนิ่ (พ.ศ. 2533-2544) หลังจากที่ต้องกลับมาดูแลครอบครัวที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ต้องการพัฒนา ท้องถิ่นของตนเอง แต่ในสายตาของเด็กรุ่นใหม่ เขาเห็นว่า การเมืองในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีสภาพแบบเดิมๆ มา หลายปี ใน พ.ศ. 2533 เพื่อนๆ และชาวบ้านในอำเภอปราณบุรี จ ึ ง ส น ั บ ส น ุ น ใ ห ้ เ ข า ส ม ั ค ร ร ั บ เ ล ื อ ก ต ั ้ ง เ ป ็ น น ั ก ก า ร เ ม ื อ ง ในพื้นที่ เขาจึงสมัครลงรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เขตอำเภอปราณบุรี และได้รับเลือกตั้งเรื่อยมา จนถึง พ.ศ. 2543 ในระหว่างที่เป็นสมาชิกสภาจังหวัดได้ทุ่มเท ทำงานในพื้นที่อย่างหนัก และได้รวมกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ที่มีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกันมาร่วมสร้างเครือข่ายและ ทำกิจกรรมต่างๆ ในระหว่าง พ.ศ. 2538 - 2540 เขาจึงได้รับการ ยอมรับจากสมาชิกสภาจังหวัดให้ดำรงตำแหน่งประธานสภา จังหวัด ก้าวสู่นกั การเมืองระดบั ชาติ (พ.ศ. 2544-ปจั จุบนั ) หลงั จากการประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2540 นายเฉลิมชัย ศรอ่อน จึงเห็นว่าเป็นช่วงเวลา ที่เหมาะสมที่การเมืองประจวบคีรีขันธ์จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่การเมืองระดับชาติ โดยสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใน พ.ศ. 2544 ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากครอบครัวของ 242
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน มีความสนิทสนมกับครอบครัวของ นายพีระพงศ์ อิศรภักดี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2518 และได้มีโอกาส รู้จักกับ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ในช่วงที่มาเป็นพี่เลี้ยง หาเสียงให้กับ ร.ต.อ. พเยาว์ พูลธรัตน์ ในการเลือกตั้ง ส.ส. ใน พ.ศ. 2538 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วยนายมนตรี ปาน้อยนนท์ เขต 1 (อำเภอเมืองกุยบุรี และสามร้อยยอด) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เขต 2 (อำเภอหัวหิน ปราณบุรี) และ ร.ต.อ. พเยาว์ พูลธรัตน์ เขต 3 (ทับสะแก บางสะพาน และ บางสะพานน้อย) และพาทีมผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต่อเนื่อง มาอีก 3 สมัย คือ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เริ่มบทบาทการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2544 ด้วยการ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมาธิการตำรวจ และ หลังจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ใน พ.ศ. 2548 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการสาธารณสุข และได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการตำรวจใน พ.ศ. 2551 243
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับบทบาทในพรรคประชาธิปัตย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็น กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 และดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคกลาง ในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กา้ วสกู่ ารเปน็ รัฐมนตรี (พ.ศ. 2553 - 2554) ใน พ.ศ. 2552 มีข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่ม “เพื่อนเฉลิมชัย” ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 40 คน เพื่อให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปรับคณะรัฐมนตรี และข่าวการย้ายพรรคของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 40 คน ขณะมีภาพนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ใส่เสื้อน้ำเงินไปรับนายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในระหวา่ งมาตรวจราชการทป่ี ระจวบครี ขี นั ธ์ ซึ่งในเรื่องนี้ นายเฉลิมชัย ปฏิเสธข่าวดังกล่าว และแม้ว่าข่าว ดังกล่าวจะออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์เอง เขาก็ไม่ได้ตอบโต้ ข้อกล่าวหาดังกล่าว อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2553 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แทนนายไพฑูรย์ แก้วทอง ในการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เฉลมิ ชยั ศรอี อ่ น ใหส้ มั ภาษณว์ า่ นายอภสิ ทิ ธ์ิ เวชชาชวี ะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชื่นชมผลงานของเขาสมัย 244
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานว่าทำได้ดีกว่าที่ พรรคคาดหวังและตั้งเป้าหมายไว้ ส่วนงานที่เขาภาคภูมิใจ คือ ในยุคที่เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีการออก กฎหมายที่ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของแรงงานและแรงงาน นอกระบบจำนวนมาก รวมทั้งการปรับค่าแรงที่มีอัตราการเพิ่ม ของค่าแรงมากที่สุด มีการเดินทางไปดูแลความเป็นอยู่ของ แรงงานในต่างประเทศ รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่าง กระทรวงแรงงานและภาคส่วนต่างๆ ในการลงนามในประกาศ “ปฏิญญา 3 สิงหาคม เพื่อการทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี” ที่มี วัตถุประสงค์หลักเพื่อลดค่าบริการจัดหางาน ปราบปราม ผู้ดำเนินการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและคุ้มครอง สิทธิและสวัสดิการแรงงานย้ายถิ่นข้ามชาติ โดยมีบริษัท จดั หางานจำนวน 87 บรษิ ทั เขา้ รว่ มลงนามสตั ยาบนั หลงั จากนน้ั ใน พ.ศ. 2554 กระทรวงแรงงานและกระทรวงการคลังยังได้ ลงนามร่วมกันเพื่อให้ธนาคารของรัฐให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับ แรงงานที่ไปหางานทำในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้แรงงานต้อง กงั วลภาวะหนีส้ นิ ในระหวา่ งทำงานในต่างประเทศ นายเฉลมิ ชยั ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเลือกการลงนามปฏิญญาดังกล่าว ในวันที่ 3 สิงหาคม เนื่องจากวันที่ 3 สิงหาคม เป็นวันคล้าย วันเกิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เขาทำงาน ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คิดจะหากินกับหยาดเหงื่อแรงกายของแรงงานไทย ดังนั้น ใน พ.ศ. 2555 เมื่อนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรี 245
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าการกระทรวงแรงงาน ในขณะนั้นออกมาระบุว่า มีการเก็บ ค่าหัวคิวในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล กว่า 6 พันล้านบาท โดยมีนักการเมืองและข้าราชการร่วม ในกระบวนการ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้ออกมาตอบโต้ว่า “ผมยืนยันว่าสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรี ถ้าพบว่าผมมีส่วนเรียกรับ เงินหรือมีผลประโยชนย์กับพี่น้องแรงงานไทย แม้สตางค์ แดงเดียว ผมจะเลิกเล่นการเมือง” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานจนถึงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2554 หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภา ผู้แทนราษฎร ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 และคณะ กรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ก้าวสู่การเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2554-2556) หลังจากพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั่วไปให้กับพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า พรรคประชาธปิ ตั ยล์ าออกจากตำแหนง่ และทำใหค้ ณะกรรมการ บริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ รวมทั้งตำแหน่ง เลขาธิการพรรคของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อมา สมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรค ประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง 246
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ด้วยคะแนนร้อยละ 96.038 และมีมติให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ด้วยคะแนนเสียง ร้อยละ 72.19 ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 70 ทำให้เกิดกระแส วจิ ารณถ์ งึ ความแตกแยกในพรรคประชาธปิ ตั ยแ์ ละการไมย่ อมรบั นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า เขาได้รับการสนับสนุนจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มภาคกลาง และกลุ่มกรุงเทพฯ ในส่วนนายกรณ์ จาติกวณิช ร่วมทั้ง กลุ่มภาคเหนือของกลุ่มนายไพฑูรย์ แก้วทอง โดยกลุ่มเหล่านี้ เห็นว่า นายเฉลิมชัยมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นเลขาธิการพรรค คือ “ใจถึง พึ่งได้ และมีพรรคพวกมาก” ทั้งในพรรคและ นอกพรรค โดยเฉพาะอยู่ในกลุ่มเดียวกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่สำคัญ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อนยังจัดอยู่ในสายตรงคนวงในของ นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของสื่อมวลชนและกระแสสังคม หลายคน ให้ความสนใจฐานะทางการเงินว่า “ว่าที่เลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์” มีฐานะทางการเงินมากพอที่จะเป็น “ถังเงิน” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ และพบว่า จากการรายงาน ทรัพย์สินและหนี้สินของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน คู่สมรสและ บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลังจากการพ้นตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน 71,051,385 บาท 247
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะเดียวกัน พบว่า นายวิรัช ปิยพรไพบูลย์ พี่ชายของ นายเฉลิมชัย มีธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร และ อสังหาริมทรัพย์ถึง 10 บริษัท มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 1,104,936,637 บาท ถังเงินของนายเฉลิมชัยและเครือญาติ จึงเหมาะสมกับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ ในเชิงเปรียบเทียบกับอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เลือกนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน มาเป็นเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์คนที่ 15 ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของพรรคต่อเนื่องกว่า 10 ปี เป็นคนที่มุ่งมั่น ตั้งใจ ทำงานหนักในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญ สำหรับการต่อสู้ทางการเมืองของพรรค โดยเห็นว่า พื้นที่ช่วงชิง ทส่ี ำคญั ทส่ี ดุ คอื พน้ื ทก่ี รงุ เทพฯ และภาคกลาง จากการเลอื กตง้ั ที่ผ่านมา คะแนนเสียงหลายเขตในภาคกลางพรรคประชาธิปัตย์ แพ้เพียงเล็กน้อย ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะพลิกกลับมาได้ นอกจากนั้น ที่ผ่านมาสมาชิกอาจจะรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการบริหารพรรค น้อยเกินไป การที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ซึ่งเป็นคนที่มีพรรคพวก มากมาเป็นเลขาธิการพรรคจะสามารถดึงการมีส่วนร่วมของ สมาชิกได้มากขึ้น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จุดหลักที่นายอภิสิทธิ์เลือกเขามาเป็นเลขาธิการพรรค เพราะมี ประสบการณ์การทำงานร่วมกันในคณะรัฐมนตรี เมื่อครั้งที่ เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผลงาน 248
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย 1 ปีกว่าๆ ที่เขาทำงานด้วยความทุ่มเท ไม่เรื่องมาก และ มีระเบียบวินัยสูงมาก ทำให้ได้รับคำชื่นชมจากทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ามีผลงานเป็นอันดับ 1 ในคณะรัฐมนตรีชุดนั้น และคำชมเชยจากนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค ผู้ซึ่งคนยกย่องว่าเป็นนักการเมืองมือสะอาดว่า เขาทำงานให้ พรรคโดยไม่มีอะไรด่างพร้อย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ถึงกับ กล่าวว่า “เขาขาวพอที่จะนั่งตำแหน่งนี้” (เลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์-ผู้วิจัย) และตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นความภาคภมู ิใจที่สุดในชีวิตของเขา อย่างไรก็ดี มีเสียงวิจารณ์เรื่องการทำงานของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย ์ ที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ออกสื่อ ขณะเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคยังคงมีบทบาทในพรรค อย่างมาก จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีเลขาธิการพรรค 2 คน คือนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมทั้งกระแสวิจารณ์ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน บารมีไม่ถึงที่จะเป็นเลขาธิการพรรค เป็นต้น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อได้รับตำแหน่ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขาได้แจ้งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ทราบวิธีการและ เป้าหมายการทำงานของเขาแล้วว่า เขาจะขอทำงานอยู่ เบื้องหลัง โดย 1. จะไม่ให้ข่าวกับสื่อมวลชน แม้ว่าเขาจะมี สายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน 2. จะไม่เป็นศัตรูหรือต่อสู้กับใคร และเขาสามารถแยกความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความรับผิดชอบ 249
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อองค์กรได้ 3. จะเดินหน้าปฏิรูปพรรคเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สำคัญ 2 ประการ คือ เพิ่มจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ พรรคประชาธิปัตย์ให้มากกว่าเดิม และชนะการเลือกตั้ง เพื่อกลับมาเป็นรัฐบาล และทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ อีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคใหญ่ การจะชนะการเลือกตั้งจึงไม่ใช่สิ่งที่เพ้อฝันแต่อย่างใด ดังนั้น งานสำคัญของเขาในฐานะเลขาธิการพรรค คือ การปฏิรูปพรรค เพื่อให้มีการทำงานเป็นทีมมากขึ้น ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีความเป็นสถาบัน และ เป็นพรรคที่จะทำงานเพื่อประชาชนทุกระดับ ไม่ใช่พรรคของ ชนชั้นสูง หรือพรรคของนายทุน สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ จะทำคือ การออกแบบประเทศไทย เพื่อนำเสนอทางเลือกใน ทางการเมือง โดยมองประโยชน์ของประชาชน มากกว่า มองประโยชน์ของพรรค ส่วนที่จะคงอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์ คอื หลกั การและอดุ มการณ์ แตจ่ ำเปน็ ตอ้ งจดั ระบบ ยทุ ธศาสตร์ การคัดเลือกผู้สมัคร และเขตเป้าหมายให้ชัดเจน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ทำงานในตำแหน่งเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ท่ามกลางแรงกดดันจากสมาชิกภายในพรรค ประชาธิปัตย์ เริ่มตั้งแต่การที่ไม่สามารถผลักดันนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้สำเร็จ แต่เขาก็ประสบ ความสำเร็จในการทำให้ ม.ร.ว สุขุมพันธ์ บริพัตร ได้รับ 250
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย การเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 โดยได้รับคะแนนสูงสุดในการ เลือกตั้งครั้งนี้ ถึง 1,256,231 เสียง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปพรรค ประชาธิปัตย์ เขากล่าวว่า “เพราะวันที่เราก่อตั้งพรรคเมื่อ 67 ปี ก่อน สถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมต่างจาก วันนี้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนก็จะเป็นเต่าล้านปี การปฏิรูปพรรค จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แม้พรรคประชาธิปัตย์จะมีนักการเมืองดี มีความสามารถมากเพียงไร แต่ก็ไร้ประโยชน์ หากเราไม่ได้รับ โอกาสจากประชาชน” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากการดำรง ตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ของเขาใน พ.ศ. 2556 ว่า ในปีที่ผ่านมา จากการลงพื้นที่พบว่า ประชาชนให้การตอบรับ พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคอีสาน ซึ่งเขาเห็นว่า เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องยอมรับ และ ต้องกำหนดยุทธศาสตร์เจาะพื้นที่ในภาคอีสาน และภาคเหนือ การปรับยุทธศาสตร์การสื่อสารให้ถึงคนอีสาน ต้องให้ใกล้ชิด และให้ความเข้าใจคนอีสาน “วันนี้หลายนโยบาย เราก็ พยายามทำให้คนอีสานรู้ว่า เขาคือส่วนหนึ่งของเรา เขาเป็น ส่วนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นของคนทุกภาค ถ้าเราสามารถเอายุทธศาสตร์แต่ละภาค ขึ้นมาปรับ เพื่อพัฒนาพื้นที่อย่างเท่าเทียม ไม่มีการแบ่งแยก หรือเลือกปฏิบัติ แล้วทำเป็นกรอบยุทธศาสตร์รายภาคของ 251
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พรรคได้ ก็จะสามารถลงไปถึงกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้อย่าง ชัดเจน และให้ความใกล้ชิดสนิทสนม นี่เป็นสิ่งที่เราจะมีให้ หรือ ต้องลงไปเพิ่มโดยการจัดกิจกรรมต่างๆ กับชาวบ้านให้มากขึ้น มีการไปพบปะเยี่ยมเยียน รับฟังความเห็น ความต้องการของ ชาวบ้านให้มากขึ้น เพื่อที่จะออกนโยบาย ที่จะพัฒนารองรับใน การแก้ไขปัญหา นี่คือสิ่งที่เราต้องทำในการเลือกตั้งครั้งหน้า” หนึ่งในแนวคิดการปฏิรูปข้อบังคับของพรรคประชา- ธิปัตย์ คือ แนวคิดเรื่องการตั้งคณะกรรมการเขตพื้นที่ เกิดจาก การวิจัยรับและฟังความคิดเห็นปัญหาของพรรคประชาธิปัตย ์ ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งว่ามีอะไรบ้าง พบว่า การแบ่งความรับผิดชอบในการสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามภาคต่างๆ ของประเทศ นั้น ไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ที่แต่ละภาคมีจำนวนหน่วยเลือกตั้งจำนวนมาก พื้นที่รับผิดชอบ กว้างเกินไป จึงควรแบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ โดยแต่งตั้ง คณะกรรมการเขตพื้นที่และมอบอำนาจความรับผิดชอบในการ สำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ และคัดเลือกผู้สมัคร รับเลือกตั้ง ก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรค พิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค หรือไม่ ต้องติดตามดูผลการเลือกตั้งกันต่อไป อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ต้องเผชิญกับ แรงกดดันจากสมาชิกพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูป พรรค จนเกิดกระแสข่าวว่านายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ รวมถึงกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมเคลื่อนไหวการปฏิรูป 252
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย พรรคประชาธิปัตย์จะลาออกไปตั้งพรรคใหม่ ซึ่งในเรื่องนี้ ทั้งนายอลงกรณ์ และนายเฉลิมชัยต่างปฏิเสธว่าไม่เป็น ความจริง โดยยืนยันพร้อมจะอยู่พรรคประชาธิปัตย์ต่อไป และ จะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปพรรคการเมืองให้สำเร็จ ชนะ การเลือกตั้งครั้งต่อไปให้ได้ รวมทั้งกระแสข่าวว่าเขาจะลาออก จากตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เป็นระยะๆ ซึ่งเขา ปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวมาตลอดว่าไม่มีใครสามารถกดดัน เขาได้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเข้ามารับ ต ำ แ ห น ่ ง เ ล ข า ธ ิ ก า ร พ ร ร ค ป ร ะ ช า ธ ิ ป ั ต ย ์ ใ น ว ั น ท ี ่ พ ร ร ค ประชาธิปัตย์หาผู้สนับสนุนยาก แต่เขาไม่เคยขอรับ การสนับสนุนจากกลุ่มทุนต่างๆ เขาเลือกที่จะขอรับความ ช่วยเหลือจากเครือข่ายเพื่อนๆ ที่ทำเช่นนี้เพราะสำนึกในความ รับผิดชอบของตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่จะให้ใคร มาดูถูกไม่ได้ ซึ่งเขามั่นใจว่าเขาสามารถทำหน้าที่เลขาธิการ พรรคได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพื่อพิสูจน์ความเชื่อที่ว่า พรรคการเมืองต้องมีกลุ่มทุนหนุนหลังว่าไม่เป็นความจริง หลังจากที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้เสนอข้อเสนอปฏิรูป พรรคให้กับหัวหน้าพรรคแล้ว นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้ยื่น ใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558 โดยไม่รับตำแหน่งใดๆ เพื่อขอเวลา พักผ่อนกับครอบครัวและเพื่อนฝูงสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะกลับ มาช่วยงานของพรรคต่อไป 253
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย ์ ได้ประกาศในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2556 ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้ยื่น ใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2556 หลังจากที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูป พรรค ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค ในการ ประชุมครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์แจ้งกับที่ประชุมว่าในวันที่ นายเฉลิมชัยลาออกจากตำแหน่งได้แจ้งว่าจะไม่ขอรับตำแหน่ง ใดๆ รวมทั้งจะไม่เป็นเงื่อนไขและอุปสรรคใดๆ ในการทุ่มเทให้ กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป สาระสำคัญของการปฏิรูปได้ปรากฎอยู่ในข้อบังคับ พรรค ซึ่งได้มีการนำเสนอในที่ประชุมพรรคเพื่อรับรอง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการกลาง ของพรรค จากอดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรคที่ยังคง เป็นสมาชิกพรรค ให้เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และสรรหาจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ และไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกพรรค อีก 18 คน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการ ดำเนินงานของพรรค การเพิ่มคณะกรรมการบริหารพรรค จากเดิม 19 คน เป็น 35 คน การเปิดโอกาสให้ตัวแทนสาขา พรรคหรือผู้บริหารท้องถิ่นเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคได้ การเพิ่มวาระการดำรงตำแหน่งของตัวแทนสาขาพรรคจาก 2 ปี เป็น 4 ปี การจัดระบบการบริหารจัดการภายในพรรค โดยมี คณะกรรมการเพิ่มขึ้น 2 คณะ คือ คณะกรรมการปฏิบัติการ เขตพื้นและคณะกรรมการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในสว่ นของคณะกรรมการปฏบิ ตั กิ ารเขตพน้ื ท่ี เปน็ คณะกรรมการ 254
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง โดยเห็นว่าการยึดระบบภาค ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการแข่งขันทาง การเมืองอีกต่อไป แต่จะต้องละเอียดมากขึ้น โดยยึดระบบเขต พื้นที่ หรือโซนนิ่ง โดยจะมีผู้รับผิดชอบแต่ละเขตพื้นที่ในทุกเรื่อง ตั้งแต่มองหาผู้สมัคร สำรวจความคิดเห็นของประชาชน การดแู ลสนับสนุนการทำงานของบุคลากรในพื้นที่ กลยทุ ธก์ ารหาเสยี งเลอื กตง้ั : ฐานเสยี งและเครอื ขา่ ย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เพราะเขาไม่ได้ มีต้นทุนทางสังคมจากการเกิดมาในตระกูลร่ำรวย มีชื่อเสียง ดังนั้น วลีประจำตัวของเขา “คำไหน คำนั้น” สื่อความเป็น ตัวตนของเขาได้ดีทีสุด และเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติตัวมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่การเมือง เขาจึงใช้วลีดังกล่าวเป็นสัญญาใจ ในการหาเสียงเลือกตั้ง ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง เขาบอก กับชาวประจวบคีรีขันธ์ว่า ขอให้มั่นใจในตัวเขาว่าจะเป็น คนประจวบที่มีคุณภาพ เป็นคนจริง พดู จริง ทำจริง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า ชีวิตส่วนตัวเขา ชอบอ่านหนังสือสารคดี นิยายกำลังภายใน เพราะเห็นว่า ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการทำงาน สอนให้เป็นคนดีมีธรรมะ และ ให้ข้อคิดในการวางกลยุทธ์ทางการเมือง การสร้างฐานเสียงและ เครือข่ายของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับการขนานนามว่า “ประจวบโมเดล” ซึ่งนายเฉลิมชัย อธิบายว่า “คือการทำให้ เครือข่ายต่างๆ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันทุก ภาคส่วน ตั้งแต่เครือข่ายในระดับหมู่บ้าน ตำบล ขึ้นมาจนถึง อำเภอและจังหวัด และมีการทำงานอย่างต่อเนื่อง” 255
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้นหมายความว่า นายเฉลิมชัยต้องหาเสียงให้การเลือกตั้ง ตำแหน่งต่างๆ ในทุกระดับ ให้เป็นทีมเดียวกันกับนายเฉลิมชัย และพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการแสวงหาความร่วมมือกับ ภาครัฐและเอกชนกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นฐานเสียงที่มั่นคงให้กับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งด้วยวิธีนี้ยากที่พรรคการเมืองอื่นๆ จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง แทรกตัวเข้ามาได้ หนึ่งในเครือข่ายและฐานเสียงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน คือ ทีมฟุตบอล “ประจวบ เอฟ ซี” ฉายา “ต่อพิฆาต” ตามชื่อ เล่นของนายเฉลิมชัย สัญลักษณ์รูปตัวต่อบนพื้นสีส้มที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ร่วมกับเครือข่ายนักการเมืองและนักธุรกิจ ในพื้นที่ก่อตั้งขึ้น แม้ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเห็นว่า ทีม ฟุตบอลดังกล่าวไม่น่าจะมีผลทางการเมืองมากนัก ที่เขาให้การ สนับสนุนทางการเงิน เพราะอยากให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ ์ มีทีมฟุตบอลของจังหวัด เหมือนที่จังหวัดอื่นๆ มี เพราะเป็น “คนใจถึงพึ่งได้” และมีวลีเด็ดประจำตัว “คำไหน คำนั้น” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน จึงได้สมญานาม ทางการเมือง ว่า “มังกรการเมือง” ซึ่งหมายถึง การก้าวเข้าสู่ ตำแหน่งต่างๆ ในเวลาอันรวดเร็ว กล่าวคือ 2 ปีกับการก้าวขึ้นสู่ การเปน็ รองหวั หนา้ พรรคประชาธปิ ตั ย์ 4 ปี กบั การเปน็ กรรมการ บริหารพรรคประชาธิปัตย์ 9 ปี กับการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ 10 ปี กับการขึ้นเป็น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ในประเทศไทย 256
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่คิดว่าชีวิตการเมืองของเขาได้มาอย่างก้าวกระโดด เพราะ เขาเติบโตมาจากการทำงานหนักอย่างทุ่มเท ตั้งแต่เป็น นักการเมืองท้องถิ่น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ใน สภาผู้แทนราษฎรและในพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับโอกาส จากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อให้เขาเป็นรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงแรงงาน และให้โอกาสอีกครั้งเลือกเขาเป็น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2554 บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ในการก้าวข้ึนเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของ นายเฉลิมชัย ศรอี ่อน ในประวัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมักจะเกิดจาก ความนิยมในตัวบุคคล จะเห็นได้จากอดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 11 สมัย อย่างนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง หรืออดีต สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 9 สมยั อยา่ งนายสำเภา ประจวบเหมาะ หรืออดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 สมัย อย่างนายวิเศษ ใจใหญ่ ในทัศนะของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน การเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ “ประจวบ โมเดล” ของกลุ่มนักการเมืองรุ่นใหม่ และทีมผู้สมัครพรรค ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัจจัยความนิยม บุคคลกับความศรัทธาที่มีต่อพรรคการเมืองที่สังกัด (พรรค ประชาธิปัตย์) มีสัดส่วนที่ก่ำกึ่งกัน แต่มีความแตกต่างกัน 257
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในแต่และพื้นที่ เนื่องจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีพื้นที่ยาว 8 อำเภอ จึงมีวัฒนธรรมการเมืองที่แตกต่างกัน เช่น เขตอำเภอ บางสะพาน บางสะพานน้อย อาจมีความนิยมพรรคมากกว่า ตัวบุคคลเหมือนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เหมือนกับ 14 จังหวัดภาคใต้ ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง ด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับภาคส่วนอื่นๆ ในจังหวัด ดังนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้งของทีมประชาธิปัตย์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นอกจากการสนับสนุนจากพรรค ประชาธิปัตย์ในรูปของการอภิปรายหาเสียงบนเวทีและ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการหาเสียงตามที่กฎหมายกำหนด เท่านั้น เขาและทีมผู้สมัครจำเป็นต้องหาเสียงโดยใช้ทรัพยากร ต่างๆ รวมทั้งเครือข่ายและฐานเสียงในพื้นที่เป็นสำคัญ 4.3.14 นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ 3 สมัย (พ.ศ. 2548 2550 2554) นายประมวล พงศ์ถาวราเดช เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2496 เป็นชาวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนสันติราษฎร์บำรุง ระดับปริญญาตรี สาขาธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยนาโรต์ ประเทศอินเดีย และปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ชีวิตครอบครัว นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สมรสกับนางละไม พงศ์ถาวราเดช มีบุตร 3 ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ การก่อสร้าง และ การเกษตร 258
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย เส้นทางการเมอื ง : กา้ วแรกนกั การเมอื งท้องถนิ่ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช เริ่มธุรกิจค้าขาย รถจักรยายยนต์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทาง การเมืองท้องถิ่น ในระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2548 ในตำแหน่ง สมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองประธานสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รองนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ โดยเขาเป็นทีมการเมือง ท้องถิ่นทีมเดียวกันกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เมื่อครั้งที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เขา้ สกู่ ารเมอื งระดบั ชาติ : สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 3 (ทับสะแก บางสะพาน บางสะพานนอ้ ย) นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ให้สัมภาษณ์ว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544 เขาเริ่มสนใจการเมืองระดับชาติ เนื่องจากเป็น ปีที่มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาดูแลและกำกับ การเลือกตั้งเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมีพรรคการเมืองต่างๆ มาทาบทามให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่เขาชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์เลือก ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ ซึ่งเคยเป็นผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว 2 สมัย (การเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2538 2539) ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 3 เนื่องจากเป็นนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ที่จะให้โอกาส ผู้สมัครที่เคยลงเลือกตั้ง แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง ลงสมัคร รับเลือกตั้งก่อน 259
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังจากที่ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้ง ส.ส. ในปี พ.ศ. 2544 ป่วยเป็นโรคเส้นเลือด ในสมองตีบ และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545 และมีอาการทรุดหนักไม่สามารถหาเสียงได้ นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ ภรรยาของ ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ จึงแจ้งความประสงค์ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบเขตเลือกตั้งในเขต 3 แทนสามี ในการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 อย่างไร ก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์สำรวจคะแนนนิยมในพื้นที่แล้ว พบว่า นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีคะแนนดีกว่า จึงตัดสินใจเลือกนายประมวล พงศ์ถาวราเดช เป็นผู้สมัครรับ เลือกตั้ง เขต 3 แทน โดยมีนายมนตรี ปาน้อยนนท์ เป็นผู้สมัคร เขต 1 และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นผู้สมัคร ในเขต 2 เช่นเดิม ทำให้นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ ตัดสินใจมาลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 3 ในสังกัดพรรคไทยรักไทย ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนั้น ทีมผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 เขต ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 3 เขต โดยนายประมวล พงศ์ถาวราเดช ได้คะแนนเสียงถึง 51,184 คะแนน ขณะที่นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ ผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ได้คะแนนเพียง 19,262 การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงทำให ้ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยแรก 260
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย ในเดือนกรกฎาคม 2548 หลังจากที่นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขาถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 7 ปี โทษฐานรับสินบนค่าก่อสร้างถนน จำนวน 500,000 บาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2543 โดยผู้ที่ร้องทุกข์จนนำมาสู่ การตัดสินพิพากษาดังกล่าว คือ บุตรสาวของอดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาจังหวัด อำเภอหวั หนิ และหลงั จากคำตดั สนิ นายประมวล พงศถ์ าวราเดช ได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวออกไปและได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ตามกระบวนการยุติธรรม คดีดังกล่าว ทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน เป็นอย่างมากว่าเป็นการจับทุจริตนักการเมืองรายแรกของ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันว่ามีการฮั้วประมูล ในการประมูลจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการในพื้นที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กันมาตลอด อย่างไรก็ตาม นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ยังได้รับ ความไว้วางใจจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในปี พ.ศ. 2550 และปี พ.ศ. 2554 โดยในปี พ.ศ. 2554 เขา สามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนนเสียงถึง ร้อยละ 74.27 ใ น ร ะ ห ว ่ า ง ป ฏ ิ บ ั ต ิ ห น ้ า ท ี ่ ใ น ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รองประธานคณะกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถิ่น ในปี 261
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2550 และรองประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย ในปี พ.ศ. 2554 หลังจากพ้นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ได้รายงานบัญชี ทรัพย์สิน/หนี้สิน ว่าเขามีทรัพย์สินทั้งหมด 36,327,981 บาท ไม่มีหนี้สิน ขณะที่คู่สมรส มีทรัพย์สินย์ทั้งหมด 21,473,680 บาท ไม่มีหนี้สิน กลยุทธ์การหาเสียงเลือกตั้งและบทบาทของพรรค ประชาธิปัตย ์ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจัย ที่ทำให้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เป็นการผสมผสานกันระหว่างความนิยม ในตัวเขา กับความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ความนิยม ส่วนบุคคลน่าจะมากกว่า เพราะเขาได้คะแนนบุคคลมากกว่า คะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ เขาได้คะแนนมากเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคกลาง นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ระบุว่า ความนิยมในตัว เขาเกิดจากการสะสมการทำความดีกับชาวบ้านของเขาทีละ เล็กทีละน้อย ก่อนเข้ามาสู่วงการการเมือง คือ ตั้งแต่ทำธุรกิจ รถจักรยานยนต์ ที่เขาไม่เอาเปรียบและมีน้ำใจกับลูกค้า ทำตัว เป็นกันเองกับชาวบ้าน และเมื่อเขาได้รับเลือกมานักการเมือง ท้องถิ่น จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานสภาจังหวัด และ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นั้น เขาได้ให้ความช่วยเหลือ 262
ทฤษฎีและกรอบแนวคิดในการวิจัย และดูแลทีมงานและเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งทีมนักการเมือง ท้องถิ่น และนักปกครองท้องที่ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช เปรียบเทียบการปฏิบัติต่อ ลูกค้าและชาวบ้านในพื้นที่ รวมทั้งเครือข่ายการเมืองของเขาว่า “เหมือนการปลูกต้นไม้ ผมใส่ปุ๋ยทีละช้อน” คือ ค่อยๆ สะสม ความดี ความนิยม ดังนั้น ในช่วงเวลาการเลือกตั้ง เขาจึง ไม่ต้องมีกลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งอะไรมาก ไม่มีการตั้ง เวทีอภิปราย ไม่ได้รบกวนผู้ใหญ่ของพรรคให้มาช่วยหาเสียง แต่เน้นการพึ่งตนเอง โดยชอบเดินไปแนะนำตัวและหมายเลข ผู้สมัครกับชาวบ้านด้วยตัวเองกับทีมงาน 1-2 คน โดยครอบครัว คือ ภรรยาและลูกทั้ง 3 คน ซึ่งทำธุรกิจ ก็ไม่มายุ่งทางการเมือง หรือมาช่วยหาเสียงเลือกตั้ง ในการหาเสียงก็ไม่ได้ใช้เงิน มากมาย แต่ใช้เงินในการจัดการทั่วๆ ไปตามที่พรรคจัดสรรให้ ตามที่กฎหมายกำหนด ชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสมาชิกผู้แทนราษฎรของ ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้ “ประจวบโมเดล “ ที่มี การกล่าวถึงกันนั้น ในทัศนะของนายประมวล พงศ์ถาวราเดช หมายถึง การทำงานร่วมกันของ 3 ส่วน คือ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องสร้างความนิยมในพื้นที่ พรรคการเมืองที่สังกัดให้การ สนับสนุน และการมีทีมสนับสนุนทางการเมืองที่ประกอบด้วย บุคลากรทุกระดับ ทั้งจากการเมืองท้องถิ่น การปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) ที่ทำงานประสานกันเป็นครือข่าย และ สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ที่มีรากชอนไชไปในพื้นที่ต่างๆ อย่างลึกและกว้าง 263
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อถามนายประมวลว่า ถ้าความนิยมในตัวเขาเป็น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับเลือกตั้ง และเขามีเครือข่ายการเมือง ในทุกพื้นที่แล้ว ในการสมัครเลือกตั้งครั้งต่อไป เขาคิดจะย้าย พรรคหรือไม่ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่คิดจะย้ายพรรคจนกว่าจะเลิกเล่นการเมือง เพราะถ้าเขา ย้ายพรรค ชาวบ้านต้องเข้าใจว่าเขาขายตัวให้กับพรรคการเมือง อื่นแน่นอน 264
บ5ทท ่ี บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปภาพรวมนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการทบทวนประวตั ศิ าสตรข์ องจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ประวัติการเลือกตั้งนักการเมืองถิ่น แนวคิดและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ภูมิหลังและเส้นทางการเมืองของนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ว สรุปภาพรวมนักการเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ ดังนี้
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 5.1.1 บริบทเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง 1) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดชายแดน มีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมาร์ และพื้นที่ชายทะเลยาวถึง 224.8 กิโลเมตร จึงมีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง และเศรษฐกจิ ตง้ั แตใ่ นอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั จากเสน้ ทางการเดนิ ทพั ไปทำสงครามกับประเทศพม่า เส้นทางติดต่อค้าขายสำคัญ ที่เชื่อมต่อเมืองท่าฝั่งอ่าวไทย กับเมืองท่าฝั่งอ่าวเบงกอล ในปัจจุบันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถูกกำหนดให้มีตำแหน่ง การพัฒนาที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับประชาคมอาเซียน ผ่านการพัฒนาด่านสิงขร ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง ประจวบคีรีขันธ์ หน่วยงานและบุคลากรด้านความมั่นคง และฝ่ายปกครองจึงมีบทบาทสำคัญ เช่น ทหาร ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งกลุ่มนักธุรกิจประมง อุตสาหกรรม การเกษตร สัมปทานป่า เป็นต้น 2) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญ ในประวัติศาสตร์ชาติ และมีความผูกพันกับสถาบันพระมหา- กษัตริย์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงรัฐกาลปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังจากการสร้าง “พระราชวังไกลกังวล” ณ อำเภอ หัวหิน เพื่อใช้ในการแปรพระราชฐานมาพักจังหวัดริมทะเลของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ประทับแปร พระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทำให้ มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งทหารและพลเรือน และราชวงศ์ชั้นสูง ไปตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ ในพื้นที่ และทำให้อำเภอหัวหินกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและ 266
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สถานที่พักตากอากาศที่เป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและ ชาวต่างชาติ 3) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้รับการสนับสนุนให้เป็น พื้นที่แห่งการเทิดทูนและแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหา- กษัตริย์ไทย จะเห็นได้จากการก่อสร้างสถานที่ต่างๆ เพื่อ เทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระมหากษัตริย์ไทย อาทิ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า หว้ากอ พระที่นั่งคูหาสวรรค์ พระราชวังไกลกังวล พระมหา เจดีย์ภักดีประกาศ อุทยานราชภักดิ์ เป็นต้น 5.1.2 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและนักการเมือง ถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นับตั้งแต่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 – 2554 ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 25 ครั้ง มีปรากฎการณ์ทางการเมือง สรุปได้ ดังนี้ 5.1.2.1 การใชส้ ิทธเิ ลือกต้งั จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีสถิติการมาใช้สิทฺธิ เลือกตั้งค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะ ครั้งที่ 1-14 มีสัดส่วนการใช้ สิทธิเลือกตั้งต่ำกว่าร้อยละ 60 หลังจากนั้น มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ยกเว้นการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2535 การเลือกตั้ง ที่มีสัดส่วนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งที่ต่ำที่สุด คือ การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2518 ร้อยละ 39.39 การเลือกตั้งที่มีสัดส่วนการใช้สิทธิ เลือกตั้งสูงที่สุด คือ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2554 สูงถึงร้อยละ 73.13 267
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 5.1.2.2 พรรคการเมืองท่ีสังกัดและการย้ายพรรค พรรคการเมอื ง ข้อมูลตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 – 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 (เนื่องจากกระทรวง มหาดไทยระบุว่าข้อมูลจำนวนผู้สมัครและรายชื่อผู้สมัคร ในแต่ละจังหวัดกระจัดกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ มิได้มี การรวบรวมไว้) พบว่า 1) พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีจำนวน 34 พรรค มีพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จ คือ มีผู้สมัครของพรรคที่ได้รับเลือกตั้งเพียง 7 พรรค ได้แก่ พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคสหภูมิ พรรคสหประชาไทย พรรคธรรมสังคม พรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ และ พรรคประชาธิปัตย์ 2) พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พิจารณาจากจำนวนครั้งที่ผู้สมัครของพรรคได้รับการเลือกตั้ง คือ พรรคชาติไทย จำนวน 6 ครั้ง รองลงมาคือ พรรคประชา- ธิปัตย์ 4 ครั้ง และพรรคธรรมสังคม 2 ครั้ง แต่พรรคชาติไทย มีสมาชิกพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง เพียง 3 คน คือ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายวิเศษ ใจใหญ่ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกพรรคที่ได้รับเลือกตั้ง 5 คน ได้แก่ นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ร.ต.อ พเยาว์ พูลธรัตน์ นายมนตรี ปาน้อยนนท์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช 268
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 3) ปรากฎการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง ถิ่น 3.1) กรณี นายทองสืบ ศุภมาร์ค หลังจาก เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 2 สมัย ในการสมัคร รับเลือกตั้ง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นายทองสืบ ศุภมาร์ค สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา และได้รับเลือกตั้ง ต่อมา ได้ลงรับสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 โดยไม่สังกัดพรรค ทำให้ไม่ได้รับเลือกตั้ง 3.2) กรณีนายต้าน ประจวบเหมาะ จากที่ เคยลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 โดย ไม่สังกัดพรรค ทำให้พ่ายแพ้ต่อนายทองสืบ ศุภมาร์ค ซึ่งสังกัด พรรคเสรีมนังคศิลา ต่อมา นายต้าน ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 โดยสังกัดพรรคสหภูมิ จึงได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นสมัยแรก 3.3) กรณีนายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง อดีตสมาชิก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 11 สมัย ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ในสังกัดพรรคสหประชาไทย และได้รับการเลือกตั้ง สมัยแรก ก่อนที่จะมีการย้ายพรรค 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ย้ายจากพรรคสหประชาไทย มาสังกัดพรรคธรรมสังคม ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 และการเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 (เนื่องจากพรรคสหประชาไทยยุติบทบาทลง หลังจาก จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ทำการรัฐประหารตัวเอง ในวันที่ 17 269
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 และยกเลิกพรรคการเมือง) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ยังคงได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เป็นสมัยที่ 2 และสมัยที่ 3 ทั้งนี้ ในการลงรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2422 นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ลงรับสมัคร เลือกตั้งโดยไม่สังกัดกลุ่มการเมืองใด (เนื่องจากขณะนั้นไม่มี กฎหมายพรรคการเมืองถูกยกเลิกและยังไม่มีกฎหมายใหม่ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้สมัครบางคนที่ระบุกลุ่มการเมืองที่ตนเอง สังกัด เช่น นายพีระพงศ์ อิศรภักดี สังกัดกลุ่มประชาธิปัตย์) และยังได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 4 ครั้งที่ 2 ย้ายจากพรรคธรรมสังคม มาสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติไทย ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 6 ครั้ง (วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 และวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) และได้รับเลือกตั้ง ทุกครั้ง ครั้งที่ 3 ย้ายจากพรรคชาติไทยมาสังกัด พรรคความหวังใหม่ ในการสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในฐานะสมาชิก “กลุ่มวังน้ำเย็น” ที่มี นายเสนาะ เทียนทอง เป็นหัวหน้ากลุ่ม ที่ลาออกจากพรรค ชาติไทย เนื่องจากไม่พอใจนายบรรหาร ศิลปอาชา และย้ายมา เป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ยังได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด 270
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ประจวบคีรีขันธ์ เป็นสมัยที่ 11 ก่อนที่จะวางมือทางการเมือง 3.4) กรณีนายสำเภา ประจวบเหมาะ อดีต สมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 9 สมัย สมัครรับเลือกตั้ง ครั้งแรก ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ในสังกัดพรรคธรรมสังคม แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง หลังจากนั้น มีการย้ายพรรคการเมืองที่สังกัด 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ย้ายจากการเป็นสมาชิกพรรค ธรรมสังคม ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 สังกัดพรรคชาติไทย และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยแรก หลังจากนั้น ลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 โดยไม่ สังกัดกลุ่มการเมืองใด (เนื่องจากขณะนั้นไม่มีกฎหมาย พรรคการเมืองถูกยกเลิกและยังไม่มีกฎหมายใหม่ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้สมัครบางคนที่ระบุกลุ่มการเมืองที่ตนเองสังกัด เช่น นายพีระพงศ์ อิศรภักดี สังกัดกลุ่มประชาธิปัติย์) ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมัยที่ 2 หลังจากนั้น ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัด พรรคพรรคชาติไทยอีก 6 ครั้ง (วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 และ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) และได้รับเลือกตั้งทุกครั้ง ครั้งที่ 2 ย้ายจากพรรคชาติไทย ไปลง สมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่ ในการเลือกตั้ง วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 และได้รับการเลือกตั้งเป็น สมัยที่ 9 271
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครั้งที่ 3 ย้ายจากพรรคความหวังใหม่ ไปลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทย ในฐานะ สมาชิก “กลุ่มวังน้ำเย็น” ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 และไม่ได้รับเลือกตั้ง ก่อนจะวางมือทางการเมือง 3.5) กรณีนายวิเศษ ใจใหญ่ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระบบเขตเลือกตั้ง 7 สมัย และระบบบัญชีรายชื่อ 1 สมัย สมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 ในสังกัดพรรค ชาติไทย และได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยแรก และยังคงลงสมัครรับ เลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติอีก 5 ครั้ง (วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 และวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538) และได้รับการเลือกตั้งทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการย้าย พรรคการเมืองที่สังกัด 2 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ย้ายจากพรรคชาติไทย ไปลง สมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่ในการเลือกตั้ง วัน ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในฐานะสมาชิก “กลุ่มวังน้ำเย็น” เชน่ เดยี วกบั นายอดุ มศกั ด์ิ ทง่ั ทอง และนายสำเภา ประจวบเหมาะ และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ สมัยที่ 7 ครั้งที่ 2 ย้ายจากพรรคความหวังใหม่ ไปอยู่พรรคไทยรักไทยเช่นเดียวกับนายสำเภา ประจวบเหมาะ และลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรค ไทยรักไทย ลำดับที่ 38 และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร สมัยที่ 8 272
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1.2.3 นกั การเมืองถ่ิน จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ นับตั้งแต่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2476-2554 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มี นักการเมืองถิ่น หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 14 คน (ไมน่ บั รวมการเลอื กตง้ั ในปี พ.ศ. 2549 เนอ่ื งจากศาลรฐั ธรรมนญู วินิจฉัยว่า การดำเนินการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการ การเลือกตั้งมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ) มีภูมิหลัง ประสบการณ์อาชีพ ความนิยมและบทบาททาง การเมือง ดังนี้ 1) ภูมิหลัง 1.1) มีภูมิหลังเป็นชาวประจวบคีรีขันธ ์ โดยกำเนิด 9 คน ได้แก่ นายทองสืบ ศุภมาร์ค นายต้าน ประจวบเหมาะ (อำเภอกุยบุรี) นายสำเภา ประจวบเหมาะ (อำเภอกุยบุรี) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง (อำเภอทับสะแก) นายวิเศษ ใจใหญ่ (อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์) ร.ต.อ. พเยาว์ พูลธรัตน์ (อำเภอบางสะพาน) นายมนตรี ปาน้อยนนทฺ์ (อำเภอ สามร้อยยอด) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (อำเภอปราณบุรี) และ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช (อำเภอบางสะพาน) 1.2) ย้ายมาตั้งครอบครัวและประกอบอาชีพ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 5 คน ได้แก่ - นายมิ่ง เลาห์เรณู ภูมิลำเนาจากจังหวัด ชุมพร มาสร้างครอบครัวและธุรกิจ อำเภอบางสะพาน และ อำเภอหัวหิน 273
นักการเมืองถิ่นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ภูมิลำเนา จากพระนคร มาศึกษาต่อที่อำเภอบางสะพาน และสร้างบ้าน เพื่อเขียนหนังสือที่อำเภอปราณบุรี - หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) ภูมิสำเนาจากพระนคร ย้ายมารับราชการ ตำแหน่งนายช่าง แขวงการทาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) - หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ภูมิลำเนา จากพระนคร ย้ายมาสร้างครอบครัวและประกอบอาชีพด้าน การเกษตร ที่อำเภอบางสะพาน และในบั้นปลายชีวิตตั้งรกราก อยู่อำเภอหัวหิน - นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ครอบครัวย้าย มารับราชการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และมีบ้านพักของ ครอบครัวอยู่ที่อำเภอหัวหิน 1.3) มีภูมิหลังจากตระกูลชนชั้นสูง 3 คน คือ หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) และหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร 1.4) เพศ นักเมืองถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้ง 14 คน เป็นเพศชาย 1.5) ระดับการศึกษา - จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา 6 คน ประกอบด้วย ปริญญาตรี 2 คน (ร.ต.อ. พเยาว์ พูลธรัตน์, หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร) ปริญญาโท 3 คน (นายมนตรี ปา น ้ อ ย น น ท ์ น า ย เ ฉ ล ิ ม ช ั ย ศ ร ี อ ่ อ น แ ล ะ น า ย ป ร ะ ม ว ล 274
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ พงศ์ถาวราเดช) ปริญญาเอก 1 คน (นายพีระพงศ์ อิศรภักดี) โดยเป็นการสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ 3 คน คือ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (สหราชอาณาจักร) นายพีระพงศ์ อิศระภักดี (สหรัฐอเมริกา) ประมวล พงศ์ถาวราเดช (อินเดีย) - จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายต้าน ประจวบเหมาะ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง นายสำเภา ประจวบเหมาะ และนายวิเศษ ใจใหญ่ - จบการศึกษาด้านอื่นๆ 2 คน คือ นายทองสืบ ศุภมาร์ค (เปรียญธรรม 9) หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย (โรงเรียนกสิกรรมชั้นสูง) - ไม่มีข้อมูล 2 คน คือ นายมิ่ง เลาห์เรณู และหลวงอุปกรณ์รัถวิถี 2) ประสบการณก์ ารทำงานกอ่ นสมคั รรบั เลอื กตง้ั 2.1) รับราชการ 3 คน คือ หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (นายช่างแขวงการทาง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) หม่อมเจ้า สิทธิพร กฤดากร (อธิบดีกรมตรวจกสิกรรม) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง (ข้าราชการครู) ร.ต.อ.พเยาว์ พูลธรัตน์ (ข้าราชการ ตำรวจ) 2.2) ทำงานภาคเอกชน 3 คน คือ นายต้าน ประจวบเหมาะ และนายสำเภา ประจวบเหมาะ (ทำงานเป็นครู ในโรงเรียนเอกชน อำเภอกุยบุรี) ร.ต.อ. พเยาว์ พูลธรัตน์ (ธนาคารกรุงเทพ) นายพีระพงศ์ อิศรภักดี (ผู้จัดการสายการบิน) 275
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.3) เจ้าของกิจการ สัมปทานรัฐ จำนวน 5 คน คือ นายมิ่ง เลาห์เรณู (กิจการโรงสี แพปลา เรือประมง) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง (สัมปทานป่าไม้ เหมืองแร่) นายมนตรี ปาน้อยนนท์ (ฟาร์มสุกรและศูนย์บำรุงพันธุ์สุกร) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (อุตสาหกรรมแปรรูปด้านการเกษตร) นายประมวล พงศ์ษาวราเดช (เจ้าของกิจการยานยนต์) 2.4) นักวิชาการ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ 3 คน คือ นายทองสืบ ศุภมารค์ (นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และภาษา) หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย (นักเขียนและ นักหนังสือพิมพ์ ช่างภาพเปลือย) หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (นักวิชาการ นักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ด้านการเกษตร แผนใหม่) 2.5) นักการเมืองท้องถิ่น 3 คน ได้แก่ นายมนตรี ปาน้อยนนท์ (สมาชิกสภาจังหวัด รองประธาน สภาจังหวัด) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (สมาชิกสภาจังหวัด ประธานสภาจงั หวดั ) นายประมวล พงศษ์ าวราเดช (รองประธาน สภาจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด) 2.6) นักปกครองท้องที่ 2 (กำนัน) คน คือ นายสำเภา ประจวบเหมาะ นายวิเศษ ใจใหญ่ 2.7) พระราชาคณะ และนักวิชาการด้าน ประวัติศาสตร์และภาษา 1 คน คือ นายทองสืบ ศุภมาร์ค 3) ความนิยมของนักการเมืองถิ่น พิจารณาจากจำนวนครั้ง หรือสมัยที่ได้รับ เลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 276
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 3.1) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 สมัย 7 คน ได้แก่ นายมิ่ง เลาห์เรณ ู หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย หลวงอุปกรร์รัถวืถี หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นายต้าน ประจวบเหมาะ (ไม่ได้รับการเลือกตั้ง 1 ครั้ง) นายพีระพงศ์ อิศรภักดี (ไม่ได้รับการเลือกตั้ง 2 ครั้ง) ร.ต.อ. พเยาว์ พูนธรัตน์ (ไม่ได้รับการเลือกตั้ง 2 ครั้ง) 3.2) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 3 สมัย 2 คน ได้แก่ นายทองสืบ ศุภมาร์ค (ไม่ได้ รับการเลือกตั้ง 1 ครั้ง) และนายประมวล พงศ์ษาวราเดช (ไม่เคยมีประวัติสอบตก หรือไม่ได้รับเลือกตั้ง) 3.3) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 4 สมัย 2 คน ได้แก่ นายมนตรี ปาน้อยนนท์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน และเป็นนักการเมืองถิ่นที่ไม่เคยมีประวัต ิ สอบตก หรือไม่ได้รับเลือกตั้ง 3.4) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 8 สมัย 1 คน ได้แก่ นายวิเศษ ใจใหญ่ และเป็น นักการเมืองถิ่นที่ไม่เคยมีประวัติสอบตก หรือไม่ได้รับเลือกตั้ง 3.5) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 9 สมัย 1 คน ได้แก่ นายสำเภา ประจวบเหมาะ เคยสอบตก หรือไม่ได้รับเลือกตั้ง 2 ครั้ง คือ การสมัครรับ เลือกตั้งครั้งแรก (พ.ศ.2518) และการสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งสุดท้ายก่อนวางมือทางการเมือง (พ.ศ. 2544) 3.6) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 11 สมัย 1 คน ได้แก่ นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง และ 277
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นนักการเมืองถิ่นที่ไม่เคยมีประวัติสอบตก หรือไม่ได้รับ เลือกตั้ง 4) บทบาททางการเมืองและสังคมของ นักการเมืองถิ่นที่โดดเด่น ทั้งก่อนและหลังได้รับเลือกตั้ง 4.1) นาย มิ่ง เลาห์เรณู ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกพฤฒสภา ในปี พ.ศ. 2489 – 2490 และได้รับการบันทึก ว่าได้ให้ความช่วยเหลือนายปรีดี พนมยงค์ เดินทางออกนอก ประเทศ ในปี พ.ศ. 2492 4.2) นายทองสบื ศภุ มารค์ ไดร้ บั มอบปรญิ ญา ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาภาษาตะวันออก) จากมหาวิทยาลัยศิลปกร และได้รับการยกย่องให้เป็น บูรพาจารย์ด้านจารึกอักษร 4.3) หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ได้รับ การยกย่องว่าเป็นนักเขียนนวนิยายแนวผจญภัย จากเรื่อง “ทุ่งพลายงาม” จากลีลาการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ และ ช่างภาพเปลือยคนแรกของประเทศไทย ที่ยังมีนำผลงาน ออกแสดงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ 4.4) หลวงอุปกรณ์รัถวิถี (สระ แสง-ชูโต) ในฐานะนายช่างใหญ่กรมทาง จึงได้รับเกียรติจากรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้ขนานนามทางหลวงแผ่นดิน สามแยกดอนกระเบื้อง-กาญจนบุรี-ปิล็อก ว่า “ถนนแสงชูโต” 278
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 4.5) หม่อมหลวงสิทธิพร กฤดากร เป็นหนึ่ง ในผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎบวรเดช และทำให้ถูกจำคุก นานถึง 11 ปี (พ.ศ. 2476-2487) ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ทั้งก่อนและหลังจากได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับ การถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเกษตรกรรม และสัตวบาลจากสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรางวัล ด้านบริการสาธารณธ สาขาพัฒนาการเกษตรแผนใหม่จาก มูลนิธิแมกไซไซ นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังได้ จัดสร้างสถานีวิจัยและอนุสรณ์สถาน ณ ที่ตั้งฟาร์มบางเบิด อำเภอบางสะพาน โดยตั้งชื่อสถานีวิจัยแห่งนี้เฉลิมพระนามว่า “สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร” 4.6) นายอุดมศักดิ์ ทั่งทอง ได้รับการแต่งตั้ง ให้ร่วมคณะรัฐมนตรีใน 4 รัฐบาล 3 กระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ใน 2 รัฐบาล 4.7) นายพีระพงศ์ อิศรภักดี ได้รับการแต่งตั้ง เป็นวุฒิสมาชิก ชุดที่ 6 (23 มีนาคม พ.ศ. 2535 -22 มีนาคม พ.ศ 2539) และที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน 4.8) นายสำเภา ประจวบเหมาะ ได้รับ การแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (29พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 24 ตุลาคม พ.ศ. 2540) 279
นักการเมืองถ่ินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4.9) ร้อยตำรวจเอกพเยาว์ พูลธรัตน์ ได้รับ การยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษโอลิมปิกคนแรกของประเทศไทย 4.10) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับการแต่งตั้ง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พ.ศ. 2553-2554) และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2554 -2556) 5.2 อภิปรายผล 5.2.1 กรอบการวิเคราะห์ ในทางทฤษฎี พรรคการเมืองมีความสำคัญใน กระบวนการประชาธิปไตย และการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก จะต้องนำนโยบายพรรคไปเป็นนโยบายในการบริหารประเทศ พรรคการเมืองจึงควรยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อเป็น สื่อกลางในการรับฟังความคิดเห็น หรือ สะท้อนปัญหาในพื้นที่ จากการทบทวนแนวคิดและงานวิจัยที่ผ่านมาเกี่ยวกับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองในประเทศไทย ภายใต้กฎหมายพรรคการเมือง 6 ฉบับ ในบทที่ 4 สามารถประมวลปรากฎการณฺ์และข้อเสนอ แนะในการพัฒนาการด้านพรรคการเมือง นักการเมือง และ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในช่วง เวลาต่างๆ ได้ ดังนี้ 280
บทสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 1) ปรากฎการณ์ด้านพรรคการเมือง นักการเมือง และ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน 1.1) กฎหมายพรรคการเมืองทั้ง 6 ฉบับ ไม่ได้ทำให้ พรรคการเมืองเข้มแข็ง ไม่ได้กระตุ้นหรือสนับสนุนให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายของพรรค แต่ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ และกำกับพรรคการเมือง 1.2) พรรคการเมืองไม่มีโครงสร้างและกลไกพรรค ในทอ้ งถน่ิ เชน่ การจดั ตง้ั สาขาพรรคในพน้ื ท่ี เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลาง ในการเชื่อมโยงกับประชาชนในพื้นที่ ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการจัดตั้งสาขาพรรคในพื้นที่ต่างๆ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ 1.3) การที่พรรคการเมืองไม่ยึดโยงกับประชาชน ในท้องถิ่น และไม่มีกลไกตรวจสอบและกลั่นกรองสมาชิกพรรค สู่จะไปเป็นนักการเมืองต่อไป ส่งผลร้ายต่อระบอบ ประชาธิปไตยหลายประการ กล่าวคือ 1.3.1) เราจะได้นักการเมืองที่เข้ามาสังกัดพรรค โดยที่ไม่ได้ศรัทธากับอุดมการณ์หรือนโยบายพรรคแต่อย่างใด แต่เป็นความจงรักภักดี หรือผูกพันกับผู้บริหารพรรคหรือ ผู้มีอิทธิพลในพรรคบางคนที่แนะนำหรือสนับสนุนให้เข้ามา สังกัดพรรค ทำให้เกิด “กลุ่มการเมือง” (faction) ในพรรคขึ้น เพื่อต่อรองอำนาจทางการเมือง หรือตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาล และพร้อมที่จะย้ายออกจากพรรคถ้าหัวหน้ากลุ่มไม่สามารถ ต่อรองผลประโยชน์ได้ หรือมีข้อเสนอผลประโยชน์จาก พรรคการเมืองอื่น 281
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369