Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Description: เล่มที่53นักการเมืองถิ่นขอนแก่น

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น โดย นพิ นธ์ โซะเฮง ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data นิพนธ์ โซะเฮง. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ขอนแกน่ - - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2559. 324 หน้า. 1. นักการเมือง - - ขอนแกน่ . 2. ขอนแก่น - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 342.2092 ISBN 978-974-449-XXX-X รหัสส่งิ พมิ พ์ของสถาบันพระปกเกลา้ สวพ.59-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สือ 978-974-449-XXX-X ราคา พมิ พค์ ร้ังที่ 1 กันยายน 2559 จำนวนพิมพ์ 500 เล่ม ลิขสทิ ธ์ ิ สถาบันพระปกเกล้า ที่ปรึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้แต่ง นิพนธ์ โซะเฮง ผพู้ มิ พผ์ ู้โฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พท์ ี่

นักการเมืองถ่ิน จังหวัดขอนแก่น นิพนธ์ โซะเฮง สถาบันพระปกเกล้า

คำนำ งานวิจัยนักการเมืองถิ่นฉบับนี้ เป็นงานวิจัยเบื้องต้น เพื่อสำรวจ และทำความเข้าใจนักการเมืองถิ่น กระบวนการ การทำงาน บทบาทของนักการเมืองถิ่นในมิติต่าง ๆ รวมถึง ประสบการณ์และบทเรียนการทำงานของนักการเมืองถิ่น อันจะเป็นประโยชน์แก่การพัฒนาการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย สร้างความก้าวหน้าให้กับผู้ดำเนินการทาง การเมืองทั้งด้านแนวคิด วิถีปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนา นักการเมืองและระบอบการเมืองโดยรวมของไทย นอกเหนือ จากนี้ยังเป็นฐานข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการพัฒนาในแวดวง วิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เพราะมุ่งศึกษา นักการเมืองผู้มีบทบาทในกระบวนการต่าง ๆ ของอำนาจรัฐ และอำนาจในสังคมในระบอบการปกครอง “ประชาธิปไตย สมัยใหม่”

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ขอขอบพระคุณสถาบันพระปกเกล้าที่ให้โอกาสและ ความเอื้อเฟื้อทุนสนับสนุนการวิจัยโครงการวิจัยนักการเมืองถิ่น และให้ข้อวิจารณ์ รวมถึงข้อเสนอแนะในทางวิชาการที่เป็น ประโยชน์อย่างมากสำหรับงานวิจัยนี้ และต้องขอขอบพระคุณ นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น และผู้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ งานวิจัยนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะหากปราศจากผู้ให้ข้อมูล เหล่านี้งานวิจัยนี้คงขาดข้อเท็จจริงที่จำเป็นในการเรียบเรียง งานวิจัยชิ้นนี้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังว่างานนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน และผู้สนใจประวัติของนักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น และ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับคำแนะนำเพื่อ ไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป ผวู้ จิ ยั

กิตติกรรม ประกาศ คุณูปการใด ๆ ที่เกิดจากงานวิจัยฉบับนี้ ขออุทิศแด่ บุพการี คุณครู คณาจารย์ ผู้ที่อบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้วิจัย เป็นอย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยขอขอบพระคุณสถาบันพระปกเกล้า ที่ให้การสนับสนุนการวิจัยในครั้งนี้ และงานวิจัยครั้งนี้ คงสำเร็จลุล่วงไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่นทุกท่านที่เสียสละเวลาในการให้สัมภาษณ์ รวมถึงผู้ใกล้ชิดกับนักการเมืองที่กรุณาบอกเล่าข้อมูลที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองถิ่นในจังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ ผู้วิจัยต้องขอขอบพระคุณเพื่อนฝูงในแวดวงวิชาการจากสถาบัน ต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ งานวิจัย “นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น” ข้อผิดพลาดอันใดก็ดีที่เกิดจากการวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอน้อม รับไปแก้ไขปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์และให้เกิดประโยชน์ สงู สุดต่อไป

บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น” มีจุดประสงค์ที่จะอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองของไทย โดยศึกษาผ่านตัวนักการเมืองท้องถิ่น ผู้ซึ่งมีบทบาทในฐานะ นักการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะนักการเมือง ถิ่น จุดประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อทำความรู้จักตัวตน นักการเมืองถิ่น ทั้งจากบทบาท เครือข่าย และความสันพันธ์ ของพวกเขาที่มีต่อผู้ลงคะแนน รวมถึงความสำเร็จและความ ล้มเหลวของพวกเขาในฐานะนักการเมือง การศึกษานี้ใช้กรอบ แนวคิดทางทฤษฎีในการวิเคราะห์ทางการเมืองไทยของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่วิเคราะห์ว่าการเมืองไทยหมุนรอบหรือ ขึ้นอยู่กับมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ศูนย์กลาง อำนาจรัฐในโครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจและรวมถึง เศรษฐธรรมที่อำนาจทางเศรษฐกิจและความยุติธรรมทางสังคม ได้ถูกจัดสรรไปสู่ประชาชนทั่วไป แนวทางของการวิจัยชิ้นนี้ ใช้วิธีการในการเก็บข้อมูลจากสองแหล่ง คือ การสัมภาษณ์และ ข้อมูลเชิงเอกสาร ใช้การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง ใช้ทั้ง ข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ประการแรก นักการเมืองถิ่นของจังหวัดขอนแก่นส่วนใหญ่ ล้วนได้รับประโยชน์จากมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ของไทยในอันที่จะคงไว้ซึ่งบทบาทและความสัมพันธ์กับ เครือข่ายประชาชนและผู้มีสิทธิลงคะแนน และเพื่อที่จะรับ ประกันผลลัพธ์ที่เป็นบวกในการเลือกตั้งของพวกเขา อย่างไรก็ดี ความล้มเหลว หรือการแพ้การเลือกตั้งของนักการเมือง ส่วนใหญ่มีเหตุผลมาจากการสูญเสียความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ ที่เคยมีต่อผู้มีสิทธิลงคะแนน ประการที่สอง การรวม ศูนย์อำนาจรัฐทำให้นักการเมืองถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้ง กลายเป็นบุคคลสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งบทบาทและอำนาจของ ตนในหลายมิติ เช่น มิติทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ การศึกษา เป็นต้น อำนาจและบทบาททั้งหมดเหล่านี้ล้วนได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับฐานทางการเมืองรวมทั้งเพื่อชัยชนะ ในการเลอื กตัง้ ประการทส่ี าม นักการเมอื งสว่ นใหญ่ได้พยายาม ที่จะสนับสนุนและกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจและความ ยุติธรรมทางสังคมไปสู่ประชาชนทั่วไปในฐานะเครื่องมืออันหนึ่ง ของหลักเศรษฐธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการคะแนนเสียงจาก ประชาชน รวมถึงความชอบธรรมทางการเมืองด้วย อย่างไรก็ดี นักการเมืองบางคนสามารถทำแบบนี้ได้สำเร็จ เช่น แคล้ว นรปติ รวมถึงนักการเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยบทบาทและอิทธิพล เชิงนโยบายจากพรรคการเมืองไทยรักไทย ที่มีลักษณะ ประชานิยม ประการสุดท้าย คือบทบาทและอำนาจของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่นถูกอธิบายขยายความและ สัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับกรอบแนวคิดที่นำเสนอในงานชิ้นนี้ VIII

Abstract The research on “Local Politicians of Khonkaen Province” is aimed to study the local politicians of Khonkaen Province as part of an effort to explain Thai political phenomena through local politicians, who in fact take the role of national politicians. The main objectives of this study are to get to know the local politicians, their roles, networks, relationships with voters, and achievements and failures in maintaining their power as elected politicians. The theoretical framework for the study is based on Seksan Prasertkul’s political analysis of Thai politics, in which he asserts that Thai politics pivots on Thai historical and cultural heritage, state- power centralization as a structure of power relations, and moral economy in which economic power and social justice are distributed to the common people. This study employs two methods of data collection: interviews and documentary consultation. Unstructured interviews are used and both primary and secondary data are collected. The findings of the

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น study revealed that most local politicians of Khonkaen Province gained benefits from Thai historical and cultural heritage in order to maintain their roles, build relationships with personal networks and voters, and to secure positive election results. However, local politicians’ election failures were due to the loss of client relationships with the voters especially the concrete benefits provided to the voters. Secondly, state-power centralization provided a channel for elected local politicians to become important figures in maintaining their roles and powers in various dimensions, such as social, economic, political, and educational. All these powers and roles strengthened their political bases and won the voters’ votes. Thirdly, most politicians tried to promote and distribute economic power and social justice to the common people as parts of tools for moral economy in order to gain people’s votes and political legitimacy. Some politicians succeeded in this sense, for example, Klaew Norapati, and most of politicians who depended on the roles and influence of the former famous Thai Rak Thai Party as the first populist political party in the country. Lastly, the roles and powers of most local politicians of Khonkaen Province were expatiated and related tightly to the theoretical framework proposed in this study.

สารบัญ หนา้ คำนำ IV กิตติกรรมประกาศ VI บทคดั ยอ่ VII Abstract IX บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 ขอ้ มูลท่ัวไปและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง 16 2.1 ข้อมูลทั่วไป 17 ประวัติความเป็นมาของจังหวัดขอนแก่น 17 สถติ สิ ภาผแู้ ทนราษฏรจงั หวดั ขอนแกน่ ทไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั 27 ปี 2476 – ปัจจุบัน 2.2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 39 2.3 ประวัติการเลือกตั้งจังหวัดขอนแก่น 53

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น หนา้ 2.4 นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 77 2.4.1 นายสุวิทย์ คุณกิตติ 77 2.4.2 นายสุชาย ศรีสุพล 90 2.4.3 นายสมศักดิ์ คุณเงิน 107 2.4.4 นายสมชาญ ศรีสองชัย 112 2.4.5 นายจตุพร เจริญเชื้อ 119 2.4.6 นางมุกดา พงษ์สมบัติ 130 2.4.7 นายอดิศร เพียงเกษ 134 2.4.8 นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ 160 2.4.9 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ 163 2.4.10 ร้อยโทกระจ่าง ตุลารักษ์ 164 2.4.11 ร้อยโทจารุบุตร เรืองสุวรรณ 165 2.4.12 นายทิม ภรู ิพัฒน์ 168 2.4.13 นายแคล้ว นรปติ 169 2.4.14 ร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ 172 2.4.15 นายอำนวย วีรวรรณ 175 บทที่ 3 มรดกทางประวตั ศิ าสตร์และวัฒนธรรมไทย 177 ในการเมอื งถ่ินจงั หวดั ขอนแก่น 3.1 มรดกทางประวัติศาสตร์ – วัฒนธรรมไทย 178 3.2 ระบบอุปถัมภ์กับการเลือกตั้ง 185 3.3 เครือข่ายความสัมพันธ์กับการเลือกตั้ง 189 บทท่ี 4 โครงสร้างความสมั พันธ์ทางอำนาจกบั การเมอื งถ่นิ 201 4.1 โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ รัฐ-ระบบราชการ 202 กับนักการเมืองถิ่น 4.2 โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ รัฐ-สังคมกับ 211 นักการเมืองถิ่น XII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น หน้า บทท่ี 5 หลักเศรษฐธรรมกับนกั การเมืองถ่ิน 222 5.1 แนวคิดและความหมายว่าด้วยหลักเศรษฐธรรม 223 กับนักการเมืองถิ่น 5.2 อำนาจทางเศรษฐกิจกับการเมืองถิ่น 229 5.3 ความยุติธรรมกับนักการเมืองถิ่น 230 5.4 ยุคข้าราชการ พ.ศ. 2475 - 2528 233 5.5 ยุคธุรกิจการเมือง พ.ศ.2529 – 2544 236 5.6 ยุคประชานิยม พ.ศ.2544 – ปัจจุบัน 238 5.7 ความเหลื่อมล้ำทางสังคมกับการเมือง 248 5.8 พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน นักการเมือง 254 และพรรคการเมืองในการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น บทท่ี 6 บทสรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ 282 6.1 บทสรุป 282 6.2 อภิปรายผล 284 6.3 ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งต่อไป 296 บรรณานกุ รม 297 ภาคผนวก 303 ประวัตนิ ักวิจัย 307 XIII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น สารบัญตาราง ตารางที่ หนา้ 5.1 แสดงสถิติจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 255 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 จังหวัดขอนแก่น 5.2 แสดงผลการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 259 จังหวัดขอนแก่น ในการเลือกตั้ง วันอาทิตย์ ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 5.3 แสดงผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตของจังหวัดขอนแก่น 266 ในการเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 5.4 แสดงการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ในปี 2554 จังหวัดขอนแก่น 272 5.5 แสดงคะแนนผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต จังหวัดขอนแก่น 275 ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 XIV

บ1ทท ี่ บทนำ แกลาระศ“ึกนษักากา“รกเามรือเมงืถอง่ินถ”่ินจ”ัง ห วัดขอนแก่น 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยจากระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบการปกครองในแบบ ประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่ง สำหรับสังคมไทย ทั้งนี้เพราะสังคมไทยได้ก้าวไปสู่สังคมแบบ รัฐชาติ (Nation state) อันมีหลักเรื่อง ประชากร เขตแดน อำนาจ อธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวทางสากลที่กำหนด ทิศทางการปกครองของประเทศไทยอย่างแท้จริง ทั้งนี้ยังไม่

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น จำเป็นต้องพูดถึง การปกครองอันชอบธรรม (Legitimacy) ตามหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะลำพังประเด็น เรื่องความเป็นรัฐชาติด้วยองค์ประกอบดังกล่าวก็เปลี่ยนทิศทาง การปกครองที่มีอยู่เดิมของไทยเกือบหมดสิ้น อย่างไรก็ดีมี ข้อสังเกตว่าการปกครองของไทยตามระบอบประชาธิปไตย ที่พวกเราอ้างถึงกันมากมายนี้ ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของ การปกครองแบบประชาธิปไตยตามต้นแบบตะวันตกที่เน้น การจำกัดขอบเขตของอำนาจรัฐและการจำกัดการใช้อำนาจรัฐ โดยถือว่าสังคมมีฐานะสูงกว่ารัฐมาตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้น สังคมยังสามารถยกเลิกรัฐได้ในกรณีที่ไม่ใช้อำนาจไปตาม เจตนารมณ์ร่วมของประชาชน (เสกสรรค์ 2548, หน้า 25) ดังนั้นมิอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยได้พัฒนาระบอบ ประชาธิปไตยไปถึง ณ จุดนั้นได้ในปัจจุบัน และเป็นผลทำให้ คราบไคลของการปกครองแบบเดิมของไทยที่เน้นระบบขุนนาง หรือระบบศักดินา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดลำดับความสำคัญแบบลำดับชั้น โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็มี พันธะต่อกันในการปฏิสัมพันธ์กันที่เกี่ยวข้องทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อาจกล่าวได้เช่นนั้นโดยดูจาก หลักฐานการดำรงอยู่ของระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ซึ่งระบบ ดังกล่าวถือเป็นสิ่งแปลกปลอมประการหนึ่งในสังคม ประชาธิปไตย ที่ยึดเอาระบบคุณธรรม (Merit System) มากกว่า ที่จะเอื้อประโยชน์กันในระบบอุปถัมภ์ คราบไคลประการต่อมาก็คือ ระบบโครงสร้างแห่ง อำนาจการปกครองของไทย คอื “อำนาจรวมศนู ย์ (Centralization

บทนำ of power)” ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย โดยยึดถือการกระจายอำนาจเป็นหัวใจที่สำคัญ ในการปกครอง และไม่เอื้ออำนวยให้กับภาวะอำนาจนิยม เหมือนการปกครองของไทย เศษหลงเหลืออีกประการหนึ่งคือ การสร้างมโนทัศน์ด้าน เศรษฐธรรม (Moral economy) ซึ่งเน้นเรื่องความยุติธรรมในด้าน ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เศรษฐธรรมในสังคมไทยถูกกำหนดโดยแนวคิดจากผู้มีอำนาจ ทางสังคมในอดีต ถูกกำหนดโดยชนชั้นศักดินา กล่าวคือ เจ้าขุน มูลนาย จนถึงองค์พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการ กำหนดกฎเกณฑ์บาปบุญ คุณ โทษ ทั้งปวงเหนือ “ไพร่” ดังที่ เสกสรรค์ (2535, หน้า 73-83) ได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่าอำนาจ โบราณของไทยนั้นแท้จริงไม่สู้ได้แบ่งกันในแนวราบ (horizontal division) หรือแบ่งตามหน้าที่เท่าใดนัก แต่แบ่งกันในแนวดิ่ง (vertical division) ในลักษณะใครเล็ก ใครใหญ่เสียมากกว่า ลักษณะเช่นนี้ยังคงมีดำรงอยู่ในการปกครองแบบประชาธิปไตย ของไทย (เสกสรรค์ 2548, หน้า 11) ซึ่งในสังคมตะวันตก ยึดถือ เรื่องเศรษฐธรรม โดยมีความพยายามที่จะสร้างให้เกิดความ สมดุลของอำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic power) และความ ยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) ในขณะเดียวกัน สังคมไทย ตา่ งกช็ ว่ ยกนั สรา้ งเสรมิ ตอ่ ยอดเศรษฐธรรมใหก้ ลมุ่ คนจำนวนนอ้ ย กล่าวคือกลุ่มชนชั้นผู้ปกครองอย่างไม่หยุดหย่อน จนยากที่จะ สร้างสังคมประชาธิปไตยไทยที่สังคมอยู่เหนือรัฐและมีอำนาจ ทางเศรษฐธรรมที่แท้จริงในการกำหนดชะตาชีวิตแบบ ประชาธิปไตย ทั้งนี้ไม่พักต้องพูดถึงการด้อยการศึกษาของ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น คนไทยส่วนใหญ่ และการกีดกันการรับรู้ข่าวสารและการต่อสู้ ของประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม ความสำคัญของการพัฒนาประเทศภายใต้การปกครอง ระบอบประชาธิปไตยนั้นโดยทั่วไปแล้วมีบุคคลที่สำคัญที่ได้รับ การยอมรับในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบาย และควบคุมกลไกต่าง ๆ ของรัฐทั้งหมด นั่นก็คือ นักการเมือง ทั้งนี้ด้วยบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับถูกกำหนดไว้ภายใน รัฐธรรมนูญทุกฉบับ รวมถึงกฎหมายและระเบียบราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสำคัญของนักการเมืองดังกล่าวจึงมักได้รับ การกล่าวถึงหรือเป็นที่โจทย์ขานเสมอว่า ความสำเร็จหรือความ ล้มเหลวของสังคม เศรษฐกิจและการเมืองมีรากฐานมาจากตัว นักการเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมไทย ทั้งนี้อาจดู เหมือนประหนึ่งว่าเป็นการโยนภาระหน้าที่อันหนักหน่วงให้แก่ ตัวนักการเมืองซึ่งเป็นบุคลากรของระบบทางการเมืองและ ระบบพรรคการเมืองที่มีความสำคัญมากที่สุดในระบอบการ ปกครองประชาธิปไตยในปัจจุบัน ทั้งที่ในความเป็นจริงมนุษย์ เราทุกคนล้วนเป็นสัตว์การเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อตนเองและ ผู้อื่น ยิ่งในระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว ทุกคนที่เป็นพลเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมืองโดยธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ใน ฐานะผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง ด้วยเหตุดังกล่าวพลเมือง ทุกคนในระบอบประชาธิปไตยล้วนมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการพัฒนาประเทศของตนโดยไม่มีการผูกขาดจากคนใน อาชีพหนึ่งใดโดยเฉพาะ ประเด็นที่สำคัญที่การปกครองแบบประชาธิปไตย นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมไทยอย่างน้อยในสามประเด็นคือ

บทนำ หนึ่ง ความเสมอภาคกันของประชาชนตามกฎหมาย (equality before law) สอง ความสำนึกเรื่องสิทธิส่วนบุคคล (individual right) อันรวมถึงสิทธิมนุษยชน (human right) สาม ผลประโยชน์ ส่วนตน (private interest) กับผลประโยชน์สาธารณะหรือ ส่วนรวม (public interest) เป็นประเด็นในทางสาธารณะที่ได้รับ การกล่าวถึงและวิพากษ์ วิจารณ์ ในการเป็นนักการเมืองที่ดี จำเป็นต้องแยกแยะและวางตนเป็นนักการเมืองที่โปร่งใส สอดคล้องกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่รับ ผิดชอบและตรวจสอบได้ เหล่านี้ถือเป็นบรรทัดฐานสากล ที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในบริบทพื้นฐานของการเป็นนักการเมือง ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผู้ที่ต้องการจะเข้าสู่ตำแหน่ง ทางการเมืองในฐานะตัวแทนของประชาชนในพื้นที่มิได้เป็นไป โดยง่าย ทั้งนี้อุปสรรคในเส้นทางของการเป็นนักการเมือง มีมากมายให้ต้องฝ่าฟัน โดยอย่างน้อยที่สุดต้องประกอบด้วย สองประเด็นหลักๆ กล่าวคือ ประการแรก การชนะใจประชาชน ในพื้นที่ และ ประการที่สอง คือ การได้รับคะแนนเสียงชนะ ผู้สมัครแข่งขันคนอื่นๆ โดยประเด็นของการชนะใจประชาชน ในพื้นที่ ถือเป็นเรื่องสำคัญในการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ในประการที่สอง กล่าวคือ การชนะใจประชาชนเป็นเรื่องเฉพาะ ที่ต้องอาศัยสัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครกับประชาชนผ่านการลง พื้นที่หาเสียง ซึ่งมีองค์ประกอบหรือรายละเอียดค่อนข้างมาก อาทิ การใช้สัมพันธ์ของการเป็นคนในพื้นที่เลือกตั้ง หรือความ เป็นลูกหลาน มีญาติ เพื่อนฝูง และคนรู้จักมักคุ้นต่างๆ จำนวน มากเป็นผู้สนับสนุนหลัก ซึ่งจะช่วยสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ความสัมพันธ์ไปสู่ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่มิได้มีความใกล้ชิดรู้จัก และคุ้นเคยแต่อย่างใด แนวทางดังกล่าวข้างต้นสามารถที่จะ ช่วยสร้างฐานคะแนนเสียงในลักษณะการจัดตั้งและช่วยแพร่ กระจายความเป็นตัวตนของผู้สมัครฯ หรือการช่วยให้ชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของประชาชนว่าเป็นใครมาจากไหน และมีคุณสมบัติ เหมาะสมกับการเป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่อย่างไร ในขณะที่การได้รับคะแนนเสียงชนะการเลือกตั้งเหนือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือคู่แข่ง ถือเป็นประเด็นที่เป็นผลมาจาก ประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากแต่มิใช่ปัจจัยที่เป็นจริง ทั้งหมด เพราะโดยเนื้อหาหรือรายละเอียดของการได้มาซึ่ง ผลการชนะเลือกตั้ง มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานการเป็นคนพื้นที่ ความเป็นลูกหลาน หรือมีญาติสนิทมิตรสหายที่มากมายแต่ เพียงประการเดียว หากแต่ย่อมต้องอาศัยปัจจัยอื่นในการ สนับสนุน อาทิ การใช้ฐานอำนาจที่มีอยู่ทั้งในตัวผู้สมัคร หรือ ฐานอำนาจของผู้สนับสนุน ซึ่งมีลักษณะในเชิงอิทธิพลที่ทำให้ ประชาชนจำเปน็ ตอ้ งเลอื กอยา่ งไมอ่ าจปฏเิ สธได้ ในขณะเดยี วกนั กับการใช้ฐานการเงินสนับสนุน ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จของการลง รับสมัครเลือกตั้งทางการเมืองของประเทศไทยในอดีต และมีผล ต่อเนื่องมาจนกระทั่งในปัจจุบัน เหล่านี้จึงเป็นที่มาที่การศึกษา การเมืองถิ่นมีความน่าสนใจและน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ดังนั้นอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า การเปลี่ยนแปลง การปกครองปี พ.ศ. 2475 เพื่อเป้าหมายการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น กล่าวโดยสารัตถะแล้ว การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.

บทนำ 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองในส่วนยอด ไม่มี องค์ประกอบสำคัญแบบประชาธิปไตยที่สมควรมี กล่าวคือ เป็นการขึ้นสู่อำนาจของชนชั้นนำทางการเมืองที่เกิดใหม่ และ ไม่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐ กับสังคมมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างระบบ ราชการอันมีกองทัพเป็นแกนนำที่เข้ามามีบทบาทควบคุมและ ครอบงำสังคมไทย ดังที่เป็นประจักษ์พยานในสังคมไทยก็คือ การปฏิวัติรัฐประหารมากครั้ง พอ ๆ กับการเลือกตั้งในประเทศ ไทย อย่างไรก็ดีคุณูปการของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในปี พ.ศ. 2475 ก็คือ การเรียนรู้และรับรู้อย่างช้าๆ ในหลักการ ปกครองแบบประชาธิปไตย อันเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในระบอบประชาธิปไตยไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป และเปิด โอกาสใหช้ นชน้ั นำของไทยยงั สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากคราบไคล การปกครองในอดีตที่จะครอบงำและมีอิทธิพลต่อสังคมไทยต่อ ไป โดยมีกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยผ่าน กลไกและระบบการเลือกตั้ง และการปกครองโดยคณะทหารใน หลายครั้งสับเปลี่ยนกันไป ดังนั้นนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นระดับ ท้องถิ่นหรือระดับชาติในสังคมไทย ยังคงวนเวียนอยู่ในแวดวง ชนชั้นนำ (Elite) หรือชนชั้นปกครอง (Ruling Class) ของไทย ตลอดมา จดุ ประสงคข์ องงานวจิ ยั ชน้ิ นจ้ี งึ มงุ่ ทจ่ี ะอธบิ ายปรากฏการณ์ การเมืองไทยโดยผ่านนักการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นจุดเน้นที่งานวิจัยชิ้นนี้

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น จะพยายามอธิบายให้เห็น บทบาทของนักการเมือง เครือข่าย ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เพื่อให้ได้ มาซึ่งอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองขอนแก่น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน 2. ระยะเวลาทำการวิจัย รวมระยะเวลา 8 เดือน (2 กุมภาพันธ์ 2553 – 31 ตุลาคม 2553) 3. วัตถุประสงค์ (Objectives) 1. เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งใน จังหวัดขอนแก่น 2. เพื่อทราบถึงการได้มาซึ่งอำนาจและแหล่งที่มาของ อำนาจ 3. เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผู้สนับสนุนทางการเมือง 4. เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของ พรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัด 5. เพื่อทราบถึงวิธีการในการเลือกตั้ง และการรักษา ฐานอำนาจทางการเมือง 4. ขอบเขตของการวิจัย (Scope of Research) ศึกษาเฉพาะนักการเมืองถิ่น กล่าวคือ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งหรือเคยเป็นสมาชิกสภา

บทนำ ผู้แทนราษฎรของจังหวัดขอนแก่นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475- ปัจจุบัน 5. กรอบแนวคิดในการศึกษา (Conceptual Framework) จุดประสงค์ของงานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งที่จะอธิบาย ปรากฏการณ์การเมืองไทยโดยผ่านนักการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นจุด เน้นที่งานวิจัยชิ้นนี้จะพยายามอธิบายให้เห็น บทบาทของ นักการเมือง เครือข่าย ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองของ นักการเมืองขอนแก่น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน โดยจะ ใช้กรอบความคิดที่ผูกโยง มรดกทางประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมการเมืองไทย โครงสร้างความสัมพันธ์ทางอำนาจ แบบรวมศูนย์อำนาจ หลักเศรษฐธรรม แหล่งที่มาของอำนาจ โดยปรับแต่งจากความคิดของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เรื่อง การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่ออธิบาย ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในวิจัยชิ้นนี้ 6. ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) 6.1 ประเภทข้อมูล (1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) เป็นข้อมูลที่ได้ จากการจัดเก็บข้อมูลภาคสนามที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น (In-depth Interview) โดยการลงพื้นที่จริงและนำมาวิเคราะห์ตาม กรอบแนวคิดในการศึกษา จากกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้ในการ ศึกษาวิจัย (2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) เป็นข้อมูลที่ได้ จากการศึกษาค้นคว้าแนวความคิดและทฤษฎี ทั้งที่ตีพิมพ์เป็น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากตำรา บทความทางวิชาการ เอกสารของทางราชการและองค์กรเอกชน หนังสือ งานค้นคว้า วิจัย บทความ หนังสือพิมพ์ และรายงานสถิติต่างๆ ทั้งในและ ต่างประเทศ 6.2 วิธีเก็บข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) เป็น ข้อมูลที่ได้คัดเลือกและรวบรวมจากการศึกษาเอกสาร บทความ งานวิจัย หนังสือ วารสาร สิ่งตีพิมพ์ สื่ออิเล็กโทรนิคส์ รายงาน สรุปผลการสัมมนา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ตลอดจน ประกาศและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย จากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง การเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาจึงจัดเก็บข้อมูลจาก เอกสาร การใช้แบบสัมภาษณ์ ตามแนวคิดในการศึกษาวิจัย ทั้งนี้เมื่อเริ่มสัมภาษณ์จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลไปพร้อมๆ กับ การเก็บข้อมูลต่อไป โดยการนำข้อมูลที่ได้จากการจดบันทึก และจากแถบบันทึกเสียงที่ได้ขณะสัมภาษณ์มาถอดข้อความ คำต่อคำอย่างเคร่งครัด ออกมาเป็นข้อความที่เป็นตัวอักษร 10

บทนำ นำมาใช้วิเคราะห์เพื่อแยกประเภท (categories) สร้างมโนทัศน์ (concept) ขึ้นมา จากนั้นจึงหาความสัมพันธ์และการเชื่อมโยง ระหว่างมโนทัศน์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปเบื้องต้น ในการเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้วิจัยทำการเลือกจากผู้ให้ ข้อมูลสำคัญ (Key informant) จากผู้ให้ข้อมูลโดยวิธีการเจาะจง ผู้ให้ข้อมูล และผู้ให้ข้อมลู จากการแนะนำต่อ ๆ กันมา 6.3 วิธีวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมลู ดังนี้ (1) ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง โดยนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไป ดำเนินการตามกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล นับตั้งแต่การนำ ข้อมูลที่ได้รับจากการเก็บรวบรวมทั้งหมดจากหลักฐานเอกสาร ต่างๆ มาคัดเลือกพิจารณาความเป็นไปได้และความสมบูรณ์ ของข้อมูล ทำการจำแนกข้อมูล จัดระเบียบข้อมูลและวิเคราะห์ ข้อมูลตามกรอบแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์ แล้วนำข้อมูลไปเขียนเป็น รายงานตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยในลำดับต่อไป (2) ข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสัมภาษณ์ เมื่อได้ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key informant) จากนักการเมืองถิ่น ที่ต้องการแล้ว หลังจากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้รับไปวิเคราะห์และ ตีความตามกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ ทั้งนี้เมื่อเริ่ม สัมภาษณ์จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลไปพร้อมๆ กับการเก็บข้อมูล ต่อไป โดยการนำข้อมูลที่ได้จากการจดบันทึกและจาก แถบบันทึกเสียงที่ได้ขณะสัมภาษณ์มาถอดข้อความเป็น ตัวอักษรเพื่อใช้วิเคราะห์แยกประเภท (categories) ตาม 11

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น มโนทัศน์ (concept) และตามกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ เท่านั้น จากนั้นจึงหาความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่าง มโนทัศน์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อหาข้อสรุป และตีความตาม กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ต่อไป 7. การวางแผนงานวิจัย ตารางแสดงการวางแผนการดำเนินงานวิจัยโดยสังเขป ระยะเวลา เดอื น กิจกรรม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1. ศึกษาทบทวนเอกสาร/ข้อมลู ฯ 2. วิเคราะห์ข้อมลู กำหนดประเด็น จัดทำ/ สอบทานเครื่องมือสำรวจความเห็น (แบบสอบถาม) 3. ส่งรายงานผลความก้าวหน้า (Progress report) 4. สำรวจ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู 5. ส่งรายงานขั้นต้น (Inception report) 6. ยกร่างรายงานผลการสำรวจความเห็น เชิงกว้าง/เชิงลึก 7. ประมวลความเห็น/ข้อเสนอแนะ ทบทวน รายงานฉบับสุดท้าย 8. ส่งรายงานฉบับสมบรู ณ์ (Draft final Report) 9. ปรับปรุงแก้ไขและส่งรายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) *หมายเหตุ* ในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน อาจมีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลา ตามข้อจำกัดและสถานการณ์จริง 12

บทนำ 8. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน 2. ได้ทราบว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นต้นมา มีนักการเมืองคนใดในจังหวัดขอนแก่นได้รับการเลือกตั้งบ้าง และชัยชนะของนักการเมืองเหล่านี้มีสาเหตุและปัจจัยอะไร สนับสนุน 3. ได้ทราบถึงความสำคัญของกลุ่มผลประโยชน์และ กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มี ต่อการเมืองในท้องถิ่นที่ทำการศึกษา 4. ได้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด 5. ไดท้ ราบรปู แบบ วธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื ง ใช้ในการเลือกตั้ง 6. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” สำหรับเป็นองค์ความรู้ในการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทยต่อไป 9. แนวทางการนำเสนอในการวิจัย ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 6 บทดังนี้คือ บทที่ 1 บทนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาและสภาพปัญหา วัตถุประสงค์ในการศึกษา ขอบเขตการศึกษา กรอบแนวคิด 13

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ในการศึกษา ระเบียบวิธีวิจัย การวางแผนการวิจัย ประโยชน์ที่ คาดว่าจะได้รับ รวมถึงแนวทางการนำเสนอในการวิจัย บทที่ 2 บทนี้จะกล่าวถึงข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับจังหวัด ขอนแก่น ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งจังหวัดขอนแก่น การทบทวน วรรณกรรมงานวิจัยและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกรอบ ความคิดในการวิจัยครั้งนี้ บทที่ 3 บทนี้จะกล่าวถึงมรดกทางประวัติศาสตร์- วัฒนธรรมไทยกับนักการเมืองถิ่น ระบบอุปถัมภ์กับการเลือกตั้ง สถานะ บทบาท และความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับ ผู้เลือกตั้ง ซึ่งมีตัวอย่างของนักการเมืองถิ่นหลายคนที่ใช้ ประโยชน์จากมรดกทางประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมไทยดังกล่าว ในการดำรงไว้ซึ่งอำนาจและความอยู่รอดทางการเมือง บทที่ 4 บทนี้จะกล่าวถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ทาง อำนาจกับนักการเมืองถิ่นในระบบการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยที่ถูกครอบงำและควบคุมโดยรูปแบบการปกครอง แบบดั้งเดิมของไทยคือการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง รัฐ-สังคม กับนักการเมืองถิ่น รัฐ-ระบบราชการกับนักการเมืองถิ่น บทบาท ความสัมพันธ์และการอยู่รอดของนักการเมืองถิ่นในสนาม เลือกตั้ง ในเบื้องต้นนักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่ล้วนได้ประโยชน์ และใช้ประโยชน์จากการปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง บทที่ 5 บทนี้จะกล่าวถึงหลักเศรษฐธรรมกับนักการเมือง ถิ่น อำนาจทางเศรษฐกิจกับนักการเมืองถิ่น ความยุติธรรมกับ นักการเมืองถิ่น บทบาทและความอยู่รอดของนักการเมืองถิ่น ในระบบเศรษฐธรรม แหล่งอำนาจของนักการเมืองถิ่นกับ 14

บทนำ การรักษาฐานอำนาจทางการเมือง แคล้ว นรปติ เป็นตัวอย่าง หนึ่งของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดขอนแก่นที่สนใจปัญหาความ เหลื่อมล้ำทางสังคมซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องเศรษฐธรรม บทที่ 6 บทสรุป ในบทนี้จะมีบทสรุปการวิเคราะห์ที่สอด แทรกไว้ในเนื้อหาบทที่ 3 บทที่ 4 และบทที่ 5 พร้อมทั้งอภิปราย หาข้อสรุป และตีความตามกรอบความคิดที่ได้กำหนดไว้ 15

บ2ทท ่ี ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดขอนแก่น และข้อมูลเบื้องต้นมีความจำเป็นสำหรับการศึกษาการเมืองถิ่น ของจังหวัดขอนแก่นมาก ทั้งนี้การที่จะศึกษาเรื่องใดก็ตาม จำเป็นต้องศึกษาความเป็นมาของเรื่องนั้น ๆ ก่อน เพื่อจะได้ ศึกษาอย่างถ่องแท้ถึงปัจจุบัน และเพื่อที่จะคาดการณ์อนาคต ในทำนองเดียวกัน การศึกษาการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่น จังหวัดขอนแก่น ก็ต้องศึกษาการเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่น ของจังหวัดขอนแก่นด้วย หลังจากนั้นในบทนี้จะได้นำเสนอ ทฤษฏี หรือกรอบแนวคิดในการศึกษานี้ รวมถึงการทบทวน วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลท่ัวไป 2.1 ข้อมูลทั่วไป บทนี้จะกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นทางประวัติศาสตร์ของ จังหวัดขอนแก่นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่สำคัญทาง ยุทธศาสตร์การสร้างชาติไทยนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันซึ่งมีหลัก ฐานมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดของเมือง พื้นที่ จำนวน ประชากร ยุทธศาสตร์การพัฒนาในด้านต่างๆ หลังจากนั้น จะได้ทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามกรอบคิดและทฤษฎีใน การศึกษา “การเมืองถิ่น” ของจังหวัดขอนแก่น ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ (ด้านประชากร) แห่งหนึ่งในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย รองจากจังหวัด นครราชสีมาและอุบลราชธานีตามลำดับ ตั้งอยู่ในจุดที่ถนน มิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2) และทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 12 (ถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก) ตัดผ่าน ซง่ึ เปน็ เสน้ ทางสำคญั ในการเดนิ ทางจากภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบนเข้าไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง จากภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนไปเข้าภาคเหนือที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวทั้งทางด้านทิศ ใต้และทิศตะวันตกของลาว อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับ จงั หวดั เลย จงั หวดั หนองบวั ลำภู และจงั หวดั อดุ รธานี ทศิ ตะวนั ออก ติดกับจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศใต้ติดกับ จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันตกติดกับ จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดเพชรบรู ณ์ ประวัติความเป็นมาของจังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันมีข้อมูลสารสนเทศมากมายให้เข้าถึงผ่าน 17

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ตนอกจากข้อมูลจากเอกสารตำรา เพื่อความง่ายและความสะดวกแต่อาจมีข้อจำกัดเรื่องความ น่าเชื่อถือของข้อมูล อย่างไรก็ดีข้อมูลสารสนเทศเหล่านี้ก็ถูก สร้างขึ้นโดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความรับผิดชอบ ในระดับหนึ่ง ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอบางส่วนต่อไปนี้จึงมาจาก แหล่งข้อมูลดังกล่าว แม้ว่าขอนแก่นจะเป็นเมืองที่ถูกตั้ง ขึ้นมาใหม่เมื่อราวสองร้อยกว่าปีมานี้ก็ตาม แต่ในยุคก่อน ประวัติศาสตร์ พื้นที่บริเวณเขตจังหวัดขอนแก่นเคยมีชุมชนก่อน ประวัติศาสตร์ได้อาศัยมาอยู่ก่อนแล้ว ดังมีการค้นพบแหล่ง โบราณคดีที่บ้านโนนนกทา อำเภอภูเวียง ซึ่งพบว่ามีเครื่องปั้น ดินเผาที่มีอายุใกล้เคียงกับแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง คือมีอายุ ราว 5,500 ปีมาแล้ว ต่อมาชุมชนเหล่านี้ก็ได้วิวัฒนาการมาสู่ ชุมชนแห่งรัฐ และกลายเป็นบ้านเมืองขึ้นในสมัยทวารวดี ก่อนที่ ขอมจะมามีอำนาจในดินแดนส่วนนี้โดยได้ทิ้งร่องรอยทาง โบราณคดีไว้ที่วัดศรีเมืองแอม อำเภอเขาสวนกวาง และปรากฏ ว่ามีจารึกศรีเมืองแอมที่ขอมได้เข้ามามีอำนาจในดินแดนส่วนนี้ หรือที่ปรากฏเป็นปรางค์กู่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดขอนแก่น เหล่านี้ เป็นต้น (ประวัติจังหวัดขอนแก่นออนไลน์, 2553) ประวัติศาสตร์การสร้างเมืองขอนแก่น (ประวัติจังหวัด ขอนแก่นออนไลน์, 2553) กล่าวอย่างละเอียดไว้ว่าได้เริ่มเกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2322 ขณะนั้นเมืองเวียงจันทน์ได้เกิดเหตุการณ์ พิพาทกับกลุ่มของเจ้าพระวอจนถึงกับยกทัพไปตีค่ายของเจ้า- พระวอแตกที่บ้านดอนมดแดง (อุบลราชธานีปัจจุบัน) และจับ เจ้าพระวอประหารชีวิต สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถือว่าฝ่าย เจ้าพระวอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของไทยจึงทรงพระกรุณา 18

ข้อมูลท่ัวไป โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพขึ้นไปตีเวียงจันทน์ จากนั้นจึงได้ยกทัพกลับมายัง กรุงเทพมหานคร พร้อมกับได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธปฏิมากร และพระบางกลับมาถวายแด่สมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรีด้วย เจ้าแก้วบุฮม (แก้วบรม) กับพระยาเมืองแพน (หรือ เพี้ยเมืองแพน) สองพี่น้อง ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าแสนปัจจุทุม (ท้าวแสนแก้วบุฮม) ได้ยกกองทัพจากบ้านเพี้ยปู่ เขตแขวงเมือง ทุละคม (ธุระคม) ซึ่งขึ้นกับเมืองเวียงจันทน์ในทุกวันนี้ ข้าม แม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานที่อยู่บ้านโพธิ์ตาก (บ้านโพธิ์ตาก ตำบล บ้านกง อำเภอเมืองขอนแก่น) และบ้านยางเดี่ยว บ้านโพธิ์ศรี (บ้านโพธิ์ศรี ตำบลบ้านโนน อำเภอกระนวน) บ้านโพธิ์ชัย (บ้านโพธิ์ชัย อำเภอมัญจาคีรี)เมืองมัญจาคีรี หรืออำเภอ มัญจาคีรี ปรากฏอยู่ในทำเนียบมณฑลอุดร กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้ตั้งเมืองขึ้น ชื่อ เมืองมัญจาคีรี โดยมี จางวางเอก พระยาพฤติคุณธนเขม (สน สนธิสัมพันธ์)เป็นเจ้าเมืองคนแรก ของเมืองมัญจาคีรี หรือ อำเภอมัญจาคีรี เมื่อ พ.ศ. 2433-2439 เจ้าเมืองคนที่ 2 คือ พระเกษตรวัฒนา (โส สนธิสัมพันธ์) เมื่อ พ.ศ. 2439-2443 และมีปรากฏประวัติเมืองมัญจาคีรี ในหนังสือ ประวัติจังหวัดในประเทศไทย ในห้องสมุดของสถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า - กรุงเทพฯ) บ้านสร้าง บ้านชีโหล่น (อยู่ในเขตเมืองสุวรรณภูมิ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบัน) ในปัจจุบัน บางบ้านก็อยู่ในเขตอำเภอเมืองขอนแก่น บางบ้านก็อยู่ในเขตอำเภอน้ำพอง บางบ้านก็อยู่ในเขตอำเภอ 19

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น อาจสามารถ (จังหวัดร้อยเอ็ด) บางบ้านก็อยู่ในเขตจังหวัด ยโสธร บางบ้านก็อยู่ที่อำเภอมัญจาคีรี และบางบ้านก็อยู่ที่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว (จังหวัดยโสธร) เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะได้มี การเปลี่ยนแปลงเขตเมืองในสมัยหลัง ๆ ต่อมานั่นเอง เจ้าแก้วบุฮมได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้าน โพธิ์ชัย พระยาเมืองแพนอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในบ้าน ชีโหล่น คุมไพร่พลคนละ 500 คน ขึ้นกับเมืองท่งหรือเมือง สุวรรณภูมิ ครั้นต่อมาอีกราว 9 ปี ในปี พ.ศ. 2331 เพี้ยเมือง แพนก็ได้พาราษฎรและไพร่พลประมาณ 330 คน ขอแยกตัว ออกจากเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งบึงบอน ยกขึ้น เป็นเมืองที่บ้านดอนพยอมเมืองเพี้ย (ปัจจุบันคือ บ้านเมืองเพี้ย ตำบลเมืองเพี้ย อำเภอบ้านไผ่) บึงบอนหรือดอนพยอมใน ปัจจุบันได้ตื้นเขินเป็นที่นาไปหมดแล้ว แต่ก็ยังปรากฏเป็น รูปของบึงซึ่งมีต้นบอนขึ้นอยู่มากมาย ต่อมาก็ได้รับพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมือง ขอนแก่น ดังปรากฏข้อความในพงศาวดารหัวเมืองมณฑล อีสาน ของหม่อมอมรวงศ์วิจิตรว่า “ลุจุลศักราช 1159 ปีมเสง นพศก (พ.ศ. 2340) ฝ่ายเพี้ยเมืองแพน บ้านชีโล่น เมืองสุวรรณภูมิ เห็นว่า เมืองแสนได้เป็นเจ้าเมืองชนบท ก็อยากจะได้เป็นบ้าง จึงเกลี้ยกล่อมผู้คนให้อยู่ในบังคับสามร้อยคนเศษ จึงสมัครขึ้นอยู่ในเจ้าพระยานครราชสีมา แล้วขอตั้ง บ้านบึงบอนเป็นเมือง เจ้าพระยานครราชสีมาได้มีใบบอก มายังกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เมืองแพนเป็นที่ 20

ข้อมูลทั่วไป พระยานครศรีบริรักษ์ เจ้าเมือง ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็น เมืองขอนแก่น ขึ้นกับเมืองนครราชสีมา...” เอกสารพงศาวดารอีสานฉบับพระยาขัติยวงศา (เหลา ณ ร้อยเอ็ด) ได้กล่าวถึงการตั้งเมืองขอนแก่นว่า “...ได้ทราบข่าวว่าเมืองแพน บ้านชีโล่น แขวงเมือง สุวรรณภูมิ พาราษฎร ไพร่พลประมาณ 330 คน แยกจาก เมืองสุวรรณภูมิไปขอตั้งฝั่งบึงบอนเป็นเมือง จึงทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ มอื งแพนเปน็ พระนครศรบี รริ กั ษ์ ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น...” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2339 ได้มีการย้ายเมืองขอนแก่นไปตั้งอยู่ที่ บ้านหนองเหล็ก (ตำบลบ้านแพง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัด มหาสารคาม ในปัจจุบัน) โดยได้ขอขึ้นตรงกับกรุงเทพมหานคร คือจะขอส่งส่วยต่อกรุงเทพมหานครโดยตรง ไม่ผ่านเมือง สุวรรณภูมิ เพราะให้เหตุผลว่า บ้านดอนพยอมเมืองเพี้ยอยู่ใกล้ กับแขวงเมืองนครราชสีมา ซึ่งก็เป็นจริง เพราะอยู่ใกล้กับเมือง ชนบท อันเป็นแขวงเมืองนครราชสีมาอยู่ขณะนั้น แต่ในความ เป็นจริงแล้ว เข้าใจว่าเจ้าเมืองในขณะนั้นอยากจะแยกตัวออก เป็นอิสระ คืออยากจะแยกออกมาเป็นเมืองใหญ่อีกต่างหาก การย้ายเมืองครั้งนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวคำบัง (บุตรเจ้าแก้วบุฮม) เป็นพระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองขอนแก่น ต่อมา 21

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. 2352 ได้ย้ายเมืองจากบ้านหนองเหล็กไปตั้ง เมืองอยู่ที่บ้านดอนพันชาด (เขตตำบลบ้านแพง อำเภอ โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม) พระนครศรีบริรักษ์ (คำบ้ง) ได้ถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชบุตร (ท้าวคำยวง) น้องชายของพระนครศรีบริรักษ์ (คำบ้ง) ซึ่งมีความ ดีความชอบจากการไปราชการสงคราม ขับไล่กองทัพพม่าออก ไปจากเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น เป็นที่ “พระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดี ศรีศุภสุนทร” เจ้าเมืองขอนแก่น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2381 เมืองขอนแก่นก็ได้ย้ายจากบ้านดอนพันชาดไปตั้งอยู่ ที่ริมฝั่งบึงพระลับโนนทอง คือบ้านเมืองเก่า ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่นในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อก่อนเรียกว่า “บ้าน โนนทอง” ต่อมาเมื่อย้ายเมืองไปอยู่ที่นั่น จึงเรียกว่าบ้านเมือง เก่า สาเหตุที่ย้ายเมืองนั้นเล่ากันว่า เกิดการแย่งราษฎรไพร่พล ขึ้น และเกิดแผ่นดินแยกที่ถนนกลางเมือง มีโรคภัยไข้เจ็บผู้คน ล้มป่วยกันมาก จึงถือว่าที่ตรงนั้นไม่เป็นมงคลต่อการอยู่อาศัย จึงย้ายเมืองอีกครั้งหนึ่ง จากบึงพระลับโนนทองไปตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันออกที่บ้านโนนทัน (อยู่ในตำบลพระลับ อำเภอเมือง ขอนแก่นปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2398 พอดีพระนครศรีบริรักษ์ (คำยวง) ได้ถึงแก่อนิจกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ท้าวอินธิวงษ์ บุตรคนเล็กของพระยานครศรีบริรักษ์ เป็น เจ้าเมืองขอนแก่น เพราะมีวิชาความรู้ดีกว่าพี่ชายคนอื่น ๆ โดย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาในราชทินนามเดิมของ บิดาสืบมา 22

ข้อมูลทั่วไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2407 ท้าวอินธิวงษ์เจ้าเมืองขอนแก่น ได้ถึงแก่อนิจกรรมลงอีก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าว คำบุ่ง (พี่ชายท้าวอินธิวงษ์) ผู้เป็นอุปฮาดแต่เดิมให้เป็นเจ้าเมือง ขอนแก่นสืบแทนน้องชายต่อมาอีก 3 ปี เพราะชราภาพมาก แล้ว ในปี พ.ศ. 2410 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวอุ (ราชบุตร) ซึ่งเป็นหลานท้าวอินธิวงษ์ (พระยานครศรีบริรักษ์) ขึ้น เป็นเจ้าเมืองขอนแก่น และได้ย้ายเมืองขอนแก่นจากบ้านโนน ทันกลับไปตั้งอยู่ที่บ้านเมืองเก่าอีก (บ้านโนนทองเดิม) พอถึงปี พ.ศ. 2413 ก็ได้ย้ายเมืองขอนแก่นจากบ้านเมืองเก่าไปตั้งอยู่ที่ บ้านดอนบม (บ้านดอนบม ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง ขอนแก่น) แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทาน บรรดาศักดิ์ท้าวอุ (ราชบุตร) เจ้าเมืองขอนแก่นในขณะนั้น เป็น พระนครศรีบริรักษ์ และให้ท้าวหนูหล้า บุตรคนเล็กของท้าว อินธิวงษ์ เป็นปลัดเมืองขอนแก่น (หรืออุปฮาด) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนการปกครองหัวเมืองไกลใหม่ในปี พ.ศ. 2434 โดย เปลี่ยนเป็นบริเวณหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ ให้เป็นหัวเมืองไกล ใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นบริเวณหัวเมืองลาวฝ่ายเหนือให้เป็น หัวเมืองลาวพวน ดังนั้น เมืองขอนแก่นจึงกับขึ้นกับเมือง ลาวพวน ในสมยั นั้นไดม้ ีสายโทรเลขท่ีเดินจากเมอื งนครราชสมี า ผ่านเมืองชนบท เข้าเขตเมืองขอนแก่นข้ามลำน้ำชีที่ท่าหมากทัน ตรงไปท่าพระ บ้านทุ่ม โดยไม่เข้าเมืองขอนแก่น และตรงไป ข้ามลำน้ำพองไปบ้านหมากแข้งเมืองอุดรธานี กรมหมื่น ประจักษ์ศิลปาคม (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ ประจำมณฑลทรงดำริว่า ที่ว่าการเมืองขอนแก่นที่ตั้งอยู่ที่บ้าน 23

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ดอนบม ไม่สะดวกแก่ราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระนครศรีบริรักษ์ (อุ) ย้ายเมืองไปตั้งอยู่ที่บ้านทุ่ม (อำเภอเมือง ขอนแก่นในปัจจุบัน) ในปลาย พ.ศ. 2434 และเปลี่ยนนาม ตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ในปี พ.ศ. 2440 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราช- ทานบรรดาศักดิ์ท้าวหนูหล้าปลัดเมืองขอนแก่นเป็นพระพิทักษ์ สารนิคม และในปี พ.ศ. 2441 ก็ได้ย้ายเมืองขอนแก่นจากบ้าน ทุ่มกลับไปตั้งอยู่ที่บ้านเมืองเก่าตามเดิม โดยตั้งศาลากลางขึ้นที่ ริมบึงเมืองเก่าทางด้านเหนือ (หน้าสถานีโทรทัศน์ในปัจจุบัน) ด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านทุ่มนั้นกันดารน้ำในฤดูแล้ง ในปี พ.ศ. 2444 ทางราชการได้เกณฑ์แรงงานของราษฎร ที่เคยหลงผิดไปเชื่อผีบุญ-ผีบาป ที่เขตแขวงเมืองอุบลราชธานี ในตอนนั้น โดยให้พากันมาช่วยสร้างทำนบกั้นน้ำขึ้นเป็น ถนนรอบบึงเมืองเก่า เพื่อกักน้ำไว้ใช้สอยในฤดูแล้ง เพราะบึงนี้ เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของชาวเมืองขอนแก่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 พระนครบริรักษ์ (อุ นครศรี) เจ้าเมืองขอนแก่น ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการ เหตุเพราะชราภาพ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน ตำแหน่งพระพิทักษ์สารนิคม (หนูหล้า สุนทรพิทักษ์) ปลัดเมือง ขอนแก่นขึ้นเป็นผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่น และในปีนั้นเอง ก็ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามตำแหน่งข้าหลวงประจำ เมืองขอนแก่นเป็นข้าหลวงประจำบริเวณพาชี ส่วนเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นต่อนั้น ก็ให้เปลี่ยนเป็นอำเภอ และผู้เป็นเจ้าเมืองนั้น ๆ ก็ ให้เปลี่ยนเป็นนายอำเภอ ตำแหน่งอุปฮาดก็เป็นปลัดอำเภอไป 24

ข้อมูลทั่วไป ต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัดแทน ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองจึงกลายเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และ ศาลาว่าการเมืองก็เปลี่ยนมาเป็นศาลากลางจังหวัด นับตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา ท่ีมาของช่ือ “ขอนแก่น” เหตุที่เมืองนี้มีนามว่า เมืองขอนแก่นนั้นได้มีตำนานแต่ โบราณเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ก่อนที่เพี้ยเมืองแพนจะอพยพ ไพร่พลมาตั้งบ้านตั้งเมืองขึ้นนั้น ปรากฏว่าบ้านขาม หรือตำบล บ้านขาม อำเภอน้ำพองปัจจุบัน ซึ่งเป็นเขตแขวงร่วมการ ปกครองกับบ้านชีโล้น มีตอมะขามขนาดใหญ่ที่ตายไปหลายปี แล้ว กลับมีใบงอกงามเกิดขึ้นใหม่อีก และหากผู้ใดไปกระทำมิดี มิร้ายหรือดูถูกดูหมิ่น ไม่ให้ความเคารพยำเกรง ก็จะมีอันเป็นไป ในทันทีทันใด เป็นที่น่าประหลาดและมหัศจรรย์ยิ่งนัก ดังนั้น บรรดาชาวบ้านชาวเมืองในแถบถิ่นนั้นจึงได้ พร้อมใจกันก่อเจดีย์ครอบตอมะขามนั้นเอาไว้เสีย เพื่อให้เป็นที่ สักการะของคนทั่วไป พร้อมกับได้บรรจุพระธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า 9 บทเข้าไว้ในเจดีย์ครอบตอมะขามนั้นด้วย ซึ่งเรียกว่า พระเจ้า 9 พระองค์ แต่เจดีย์ที่สร้างในครั้งแรกเป็น รูปปรางค์ หลังจากได้ทำการบูรณะใหม่เมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมานี้ จึงได้เปลี่ยนเป็นรูปทรงเจดีย์ และมีนามว่า พระธาตุขามแก่น ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตวัดเจติยภูมิ บ้านขาม ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น พระเจดีย์ขามแก่นถือว่าเป็น ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวจังหวัดขอนแก่น ซึ่งจะมีงาน 25

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น พิธีบวงสรวง เคารพสักการะกันในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปี ส่วนทางด้านทิศตะวันตกของเจดีย์พระธาตุขามแก่นนั้น มีซากโบราณที่ปรักหักพังปรากฏอยู่ โดยอยู่ห่างจากเจดีย์ราว 15 เส้น หรืออยู่คนละฟากทุ่งของบ้านขาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริเวณแถบนี้น่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองมาก่อน แต่ได้ร้างไปนาน ดังนั้น จึงได้ถือเอานิมิตนี้มาตั้งนามเมืองว่าขามแก่น แต่ต่อมา จึงเรียกเพี้ยนมาเป็นเมืองขอนแก่น จนกระทั่งทุกวันนี้ หน่วยการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นคนปัจจุบันชื่อ นายกำธร ถาวรสถิตย์ (เริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557- ปัจจุบัน) การปกครองของจังหวัดขอนแก่นแบ่งออกเป็น 26 อำเภอ 198 ตำบล 2139 หมู่บ้าน 1. อำเภอเมืองขอนแก่น 2. อำเภอบ้านฝาง 3. อำเภอพระยืน 4. อำเภอหนองเรือ 5. อำเภอชุมแพ 6. อำเภอสีชมพู 7. อำเภอน้ำพอง 8. อำเภออุบลรัตน์ 9. อำเภอกระนวน 10. อำเภอบ้านไผ่ 11. อำเภอเปือยน้อย 12. อำเภอพล 26

ข้อมูลทั่วไป 13. อำเภอแวงใหญ่ 14. อำเภอแวงน้อย 15. อำเภอหนองสองห้อง 16. อำเภอภูเวียง 17. อำเภอมัญจาคีรี 18. อำเภอชนบท 19. อำเภอเขาสวนกวาง 20. อำเภอภผู าม่าน 21. อำเภอซำสงู 22. อำเภอโคกโพธิ์ไชย 23. อำเภอหนองนาคำ 24. อำเภอบ้านแฮด 25. อำเภอโนนศิลา 26. อำเภอเวียงเก่า ข้อมูลสถิติ จังหวัดขอนแก่นมีพื้นที่10,885 ตร.กม. (ใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ) โดยมีจำนวนประชากร 1,790,049 คน มากเป็น อันดับที่ 4 ของประเทศ รองจากจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอุบลราธานี ตามลำดับ (กรม การปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. “ประกาศสำนักทะเบียน กลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐาน การทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557” (http:// stat.bora.dopa.go.th/stat/y_stat57.html. เข้าถึงเมื่อ25/11/2558) 27

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น สถิติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่นที่ได้รับการเลือก ตั้งตั้งแต่ปี 2476-ปัจจุบัน ครั้งที่ 1 15 พ.ย. 2476 1. ร.อ.หลวงพิพัฒพลกาย ร.น. (กระจ่าง วิโรจน์เพ็ชร์) ครัง้ ที่ 2 7 พ.ย. 2480 1. นายโสภัณ สุภธีระ 2. นายผล แสนสระดี 3. นายทิม ภูริพัฒน์ ครง้ั ท่ี 3 12 พ.ย. 2481 เขต 1 1. นายโสภัณ สุภธีระ เขต 2 2. นายผล แสนสระดี ครั้งท่ี 4 6 ม.ค. 2489 เขต 1 1. ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ เขต 2 2. ร.ต.อ. เสวต ชุมแวงวาปี เขต 3 3. นายทิม ภรู ิพัฒน์ 5 ส.ค. 2489 เลือกตั้งเพิ่ม เขต 1 1. ร.ท. จารุบุตร เรืองสุวรรณ เขต 2 2. ร.ต. ไฉยา เกตุเลขา ครง้ั ท่ี 5 29 ม.ค. 2491 1. นายทัศน์ กลีบโกมุท 2. นายโสภัณ สุภธีระ 3. นายประวัติ จันทนพิมพ์ 28

ข้อมูลทั่วไป 5 มิ.ย. 2492 เลือกตั้งเพิ่ม เศรษฐกร 1. ร.ท.จารุบุตร เรืองสุวรรณ ขบวนการไฮด์ปาร์ค คร้ังท่ี 6 26 ก.พ. 2495 เศรษฐกร 1. ร.ท.จารุบุตร เรืองสุวรรณ เศรษฐกร 2. นายประหยัด เอี่ยมศิลา เศรษฐกร 3. นายสวัสดิ์ พึ่งตน เศรษฐกร 4. นายแคล้ว นรปติ ขบวนการไฮด์ปาร์ค ครง้ั ที่ 7 26 ก.พ. 2500 เศรษฐกร 1. นายแคล้ว นรปติ เสรีประชาธิปไตย 2. นายทวีศักดิ์ ตรีพลี เศรษฐกร 3. นายเจริญ ปราบณศักดิ์ แนวร่วมเศรษฐกร 4. นายสว่าง ตราช ู แนวร่วมเศรษฐกร 5. นายอินทร์ ประจันตะเสน แนวร่วมเศรษฐกร ครง้ั ที่ 8 15 ธ.ค. 2500 ไม่สังกัดพรรค 1. นายแคล้ว นรปติ 2. นายทวีศักดิ์ ตรีพลี 3. นายเจริญ ปราบณศักดิ์ 4. ร.ท.จารุบุตร เรืองสุวรรณ 5. นายสว่าง ตราชู คร้ังที่ 9 10 ก.พ. 2512 1. นายแคล้ว นรปติ 2. นายมีเดช วรสีหะ 3. นายสนั่น ธีระศริโชติ 4. นายวิญญ ู เสนาวงษ์ 29

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น 5. นายเลิศสิน หงส์แสงไทย ไม่สังกัดพรรค 6. นายสุธน ชื่นสมจิตต์ สหประชาไทย 7. นายสว่าง ตราช ู แนวร่วมเศรษฐกร ครง้ั ท1ี่ 0 26 ม.ค. 2518 1. นายแคล้ว นรปติ เขต 1 แนวร่วมสังคมนิยม 2. นายเจริญ ปราบณศักดิ์ เขต 1 แนวร่วมสังคมนิยม 3. นายวิรัช กมุทมาศ เขต 1 พลังใหม่ 4. นายสันติ์ อรุโณทัย เขต 2 แนวร่วมสังคมนิยม 5. นายสว่าง ตราช ู เขต 2 แนวร่วมสังคมนิยม 6. นายแถม ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 2 ชาติไทย 7. นายทองปักษ์ เพียงเกษ เขต 3 แนวร่วมสังคมนิยม 8. นายกระแส ชนะวงศ์ เขต 3 พลังใหม่ ครั้งท่ี 11 4 เม.ย. 2519 1. นายบุญเรือง ถาวรสวัสดิ์ เขต 1 ประชาธิปัตย์ 2. นายสุวัฒน์ วีระเศรษฐกุล เขต 1 ประชาธิปัตย์ 3. นายแคล้ว นรปติ เขต 1 แนวร่วมสังคมนิยม 4. นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ เขต 2 ธรรมสังคม 5. นายสุธน ชื่นสมจิตต์ เขต 2 ธรรมสังคม 6. นายแถม ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 2 ชาติไทย 7. นายกระแส ชนะวงศ์ เขต 3 พลังใหม่ 8. นายสมชาญ ศรีสองชัย เขต 3 ประชาธิปัตย์ ครง้ั ที่ 12 22 เม.ย. 2522 1. นายบุญเรือง ถาวรสวัสดิ์ เขต 1 พลังใหม่ 30

ข้อมูลทั่วไป 2. นายบุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล เขต 1 พลังใหม่/ ประชาราษฎร์ 3. นายบุญยง แก้วฝ่ายนอก เขต 1 พลังใหม่/ ชาติประชาธิปไตย 4. นายสันติ์ อรุโณทัย เขต 2 กิจสังคม 5. นายจันทรา จรรยาคำนึง เขต 2 กิจสังคม/ ประชาราษฎร์ 6. นายแถม ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 2 ชาติไทย 7. นายธำรง ธระเสนา เขต 3 กิจสังคม/ ประชาราษฎร์ 8. นายสุรศักดิ์ บางปา เขต 3 กิจสังคม 9. นายอินทร์ ประจันตะเสน เขต 3 กิจสังคม/ ประชาราษฎร์ ถึงแก่กรรม 22 ม.ค. 26 ไม่มีการเลือกตั้งซ่อมแทน เพราะยุบสภา 19 มี.ค. 26 คร้ังที่ 13 18 เม.ย. 2526 1. นายแคล้ว นรปติ เขต 1 สังคมประชาธิปไตย 2. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 1 กิจสังคม 3. นายสุทัศน์ ศรีรัตนพรรณ เขต 1 กิจสังคม 4. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 2 กิจสังคม 5. นายแถม ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 2 ชาติประชาธิปไตย 6. นายสันติ์ อรุโณทัย เขต 2 กิจสังคม 7. ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เขต 3 กิจสังคม 8. นายจักรวาล ชาญนุวงศ์ เขต 3 ประชากรไทย 9. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 3 กิจสังคม 31

นักการเมืองถิ่นจังหวัดขอนแก่น ครง้ั ที่ 14 27 ก.ค. 2529 1. นายสุทัศน์ ศรีรัตนพรรณ เขต 1 กิจประชาคม 2. นายแคล้ว นรปติ เขต 1 กิจประชาคม พ้นตำแหน่ง 20 พ.ย. 29 นายประสม ประคุณศึกษาพันธ์ เขต 1 ราษฎร เลือกตั้งแทน 28 ธ.ค. 29 3. นายสุวัฒน์ วีระเศรษฐกุล เขต 1 ประชาธิปัตย์ 4. ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เขต 2 กิจสังคม 5. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 2 สหประชาธิปไตย 6. นายชวลิต โอสถานุเคราะห์ เขต 2 กิจสังคม 7. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 3 กิจสังคม 8. นายคำมี ผาคำ เขต 3 ประชาธิปัตย์ 9. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 4 กิจสังคม 10. นายพงส์ สารสิน เขต 4 กิจสังคม ครัง้ ท่ี 15 24 ก.ค. 2531 1. นายสุนทร ลีซีทวน เขต 1 ปวงชนชาวไทย 2. นายประสม ประคุณศึกษาพันธ์ เขต 1 ราษฎร 3. นายอดิศร เพียงเกษ เขต 1 มวลชน 4. นายชวลิต โอสถานุเคราะห์ เขต 2 กิจสังคม 5. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 2 ชาติไทย 6. นายสมพร ศรีวงษ์ เขต 2 ปวงชนชาวไทย 7. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 3 รวมไทย/เอกภาพ 8. นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 3 กิจประชาคม/ เอกภาพ 9. นายพงส์ สารสิน เขต 3 กิจสังคม 32

ข้อมูลทั่วไป 10. นายทองปาน พรมโสภา เขต 4 ปวงชนชาวไทย 11. นายแถม ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 4 ชาติไทย ครงั้ ที่ 16 22 มี.ค. 2535 1. นายประสม ประคุณศึกษาพันธ์ เขต 1 กิจสังคม 2. นายสุทัศน์ ศรีรัตนพรรณ เขต 1 ความหวังใหม่ 3. พล.อ.พัฒน์ อัคนิบุตร เขต 1 ความหวังใหม่ 4. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 2 ชาติไทย 5. นายชวลิต โอสถานุเคราะห์ เขต 2 สามัคคีธรรม 6. นายพา อักษรเสือ เขต 2 ความหวังใหม่ 7. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 3 กิจสังคม 8. นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 3 สามัคคีธรรม 9. นายประสงค์ ศรีวัฒน์ เขต 3 ความหวังใหม่ 10. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 4 ความหวังใหม่ 11. นายสุเทพ ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 4 ชาติไทย ครง้ั ที่ 17 13 ก.ย. 2535 เขต 1 พลังธรรม 1. นายอดิศร เพียงเกษ เขต 1 พลังธรรม 2. นายภมู ิ สาระผล เขต 1 พลังธรรม 3. นายพงษ์ศักดิ์ อินทรพาณิชย์ เขต 2 ความหวังใหม่ 4. นายพา อักษรเสือ เขต 2 พลังธรรม 5. นายอำนาจ ชนะวงศ์ เขต 2 เสรีธรรม 6. นายสมพร ศรีวงษ์ เขต 3 กิจสังคม 7. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 3 ชาติพัฒนา 8. นายปัญญา ศรีปัญญา เขต 3 ชาติไทย 9. นายณรงค์เลิศ สุรพล 33

นักการเมืองถ่ินจังหวัดขอนแก่น 10. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 4 ความหวังใหม่ 11. นายสฤต สันติเมทนีดล เขต 4 พลังธรรม ครง้ั ที่ 18 2 ก.ค. 2538 เขต 1 นำไทย 1. นายอำนวย วีรวรรณ เขต 1 นำไทย 2. นายกวี สุภธีระ เขต 1 นำไทย 3. นายอดิศร เพียงเกษ เขต 2 ความหวังใหม่ 4. นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ เขต 2 ชาติไทย 5. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 2 กิจสังคม 6. นายอำนาจ ชนะวงศ์ เขต 3 กิจสังคม 7. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 3 เสรีธรรม 8. นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 3 นำไทย 9. นายปัญญา ศรีปัญญา เขต 4 ความหวังใหม่ 10. นางศรีนวล ศรีตรัย เขต 4 กิจสังคม 11. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ครงั้ ท่ี 19 17 พ.ย. 2539 1. นายภมู ิ สาระผล เขต 1 ความหวังใหม่ ลาออกจากสมาชิกพรรค 1 ก.ค. 43 2. นายกวี สุภธีระ เขต 1 ความหวังใหม่ ลาออก 18 ธ.ค. 42 3. นายอดิศร เพียงเกษ เขต 1 ความหวังใหม่ ลาออกจากสมาชิกพรรค 26 มิ.ย. 43 4. นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ เขต 2 ความหวังใหม่ ลาออก 28 มิ.ย. 43 5. นายศุภสิทธิ์ เตชะตานนท์ เขต 2 ความหวังใหม่ 34

ข้อมูลทั่วไป 6. นายพงศกร อรรณนพพร เขต 2 ชาติพัฒนา ลาออกจากสมาชิกพรรค 8 ก.ย. 43 7. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เขต 3 กิจสังคม ลาออก 5 ก.ค. 43 8. นายณรงค์เลิศ สุรพล เขต 3 กิจสังคม ลาออก 5 ก.ค. 43 9. นางมุกดา พงษ์สมบัติ เขต 3 กิจสังคม ลาออก 5 ก.ค. 43 10. นายสุเทพ ดีบุญมี ณ ชุมแพ เขต 4 ความหวังใหม่ 11. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 4 กิจสังคม คร้ังท่ี 20 6 ม.ค. 2544 1. นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร เขต 1 ไทยรักไทย 2. นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ เขต 2 ไทยรักไทย 3. นายณรงค์เลิศ สุรพล เขต 3 กิจสังคม ลาออก 5 ส.ค. 47 4. นางมุกดา พงษ์สมบัติ เขต 4 ไทยรักไทย เลือกตั้งใหม่ 29 ม.ค. 44 5. นายภมู ิ สาระผล เขต 5 ไทยรักไทย 6. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เขต 6 ไทยรักไทย เลือกตั้งใหม่ 29 ม.ค. 44 7. นายสุชาย ศรีสุรพล เขต 7 ไทยรักไทย 8. นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 8 เสรีธรรม สังกัดพรรคไทยรักไทย 6 ก.ย.44 9. นายอรรถสิทธิ์ กาญจนสินิทธิ์ เขต 9 ไทยรักไทย เลือกตั้งใหม่ 29 ม.ค. 44 35