Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Description: เล่มที่31นักการเมืองถิ่นศรีสะเกษ

Search

Read the Text Version

สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดนศักรกาีสรเะมเือกงถษิ่น ประเทอื ง มว่ งอ่อน ชดุ สำรวจเพ่อื ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถิ่น เล่มท่ี 31



นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ โดย ประเทอื ง ม่วงอ่อน ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ประเทือง ม่วงออ่ น. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ศรสี ะเกษ- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2556. 380 หน้า. 1. นักการเมือง - - ศรีสะเกษ. l. ชื่อเรื่อง. 923.2593 ISBN : 978-974-449-708-6 รหัสสิ่งพิมพ์ของสถาบนั พระปกเกลา้ สวพ.56-14-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ 978-974-449-708-6 ราคา 262 บาท พิมพ์ครั้งที่ 1 มิถุนายน 2556 จำนวนพิมพ์ 500 เล่ม ลิขสิทธิ ์ สถาบันพระปกเกล้า ทปี่ รึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผแู้ ตง่ ประเทือง ม่วงอ่อน ผู้พิมพ์ผ้โู ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พมิ พ์โดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพท์ ี่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ประเทือง ม่วงอ่อน สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ ผู้ศึกษามีเจตนารมณ์ที่จะศึกษาการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษเพื่อให้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการทำความเข้าใจ พัฒนาการความเป็นมาของนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความมุ่งหวังว่างานศึกษาเล่มนี ้ จะเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญเล่มหนึ่งที่มีการรวบรวมข้อมูล อย่างเป็นระบบเพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาและ ผู้เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต ในฐานะ “คนใน” เป็นคนในท้องถิ่นได้เห็นพลวัต (dynamic) ของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองหลายสิบปี ผู้ศึกษายังเห็นว่า การศึกษาทางการเมือง ท้องถิ่นของจังหวัดศรีสะเกษยังขาดการพิจารณาปัจจัยทางด้าน ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรม ทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้ง การมองปัญหา ทางการเมืองแบบ “คนนอก” ผ่านกระบวนทัศน์สายหลักของ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ รัฐแบบรวมศูนย์โดยไม่ให้ความสำคัญกับลักษณะเฉพาะใน แตล่ ะพน้ื ท่ี และตคี วามปญั หาการซอ้ื สทิ ธข์ิ ายเสยี งของประชาชน ในจังหวัดศรีสะเกษว่าเป็นเพราะประชาชนโง่ ขาดการศึกษา ขาดการพัฒนา เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีอคติ โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจโดยปราศจากการวิเคราะห์พิจารณาอย่าง ลึกซึ้ง ผู้ศึกษาหวังว่างานศึกษาเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้มีการ ปรับทัศนคติในการอธิบายการเมืองของจังหวัดศรีสะเกษใหม่ โดยใหค้ วามสำคญั กบั ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ วฒั นธรรม ทางสังคม และข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองมาก ยิ่งขึ้น ความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการศึกษาเรื่องนี้ ผู้ศึกษา ยินดีน้อมรับคำแนะนำเพื่อนำไปสู่การพัฒนางานศึกษาวิจัยทาง ด้านการเมืองในเขตอีสานใต้ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป อาจารยป์ ระเทือง มว่ งออ่ น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี [email protected]

กิตติกรรมประกาศ งานศึกษานี้สำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของสถาบัน และบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะ สถาบันพระปกเกล้าผู้ให้ทุนในการ ศึกษา ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั และศ.ดร.เรอื งวทิ ย์ เกษสวุ รรณ ซง่ึ ไดใ้ หค้ ำปรกึ ษา เสนอแนะประเด็นและให้ความช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องของชีวิต ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ที่ให้คำแนะนำการดำเนินการขอทุน สนับสนุนการวิจัย ดร.เพ็ชรัตน์ ไสยสมบัติ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ส.ส.ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ปวีณ แซ่จึง ส.ส.วิวัฒชัย โหตระไวศยะ ส.ส.กรองกาญจน์ วีสมหมาย ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจา่ ง คุณวิชิต ไตรสรณกุล สจ.บลู ย ์ ไสยสมบัติ คุณมนตรี ไสยสมบัติ คุณฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ และ คุณธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ อดีตกำนัน ต.กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ที่ให้ ความช่วยเหลือในการดำเนินการสัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูล ขอบคุณนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ โดยเฉพาะคณุ ปฐมพงศ์ ชมุ ภู คณุ รงุ่ นภา เจรญิ พนั ธ์ คณุ วรี าโชติ คำไธสง และคุณสุมินตรา งามล้วน ที่ให้ความช่วยเหลือในการ ดำเนินการจัดเก็บและพิมพ์ข้อมูล ขอกราบขอบพระคุณ นายสมศักดิ์ และนางสุพัฒน์ ม่วงอ่อน คุณพ่อและคุณแม่ผู้คอยให้กำลังใจและเป็นแบบอย่าง ที่ดีให้ลูกได้ยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและดำรงอยู่ บนความไมป่ ระมาท คณุ สเุ พญ็ พร นามวฒั น์ คณุ ดวงพร มว่ งออ่ น คุณเกษแก้ว ม่วงอ่อน คุณนงลักษณ์ ม่วงอ่อน สำหรับการ สนับสนุนในทุกเรื่อง คุณประสิทธิ์ ชินอุดมทรัพย์ และคุณ ประดิษฐ์ ชินอุดมทรัพย์ ที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่พัก ตลอดเวลาที่ดำเนินการวิจัย ขอขอบคุณ อาจารย์สุธินี เดชะตา คุณกิตติยาภรณ์ สิทธิธรรม และท่านอื่นๆ ซึ่งไม่ได้กล่าวมา ณ ที่นี้ ที่คอยให้ กำลังใจและให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ เสมอมา อาจารยป์ ระเทอื ง ม่วงอ่อน VII

บทคัดย่อ การศกึ ษานกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ศรสี ะเกษ มวี ตั ถปุ ระสงค์ 4 ข้อ คือ 1) เพื่อทราบข้อมูลนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่ได้ รับการเลือกตั้ง ตั้งแต่สมัยแรกจนถึงปัจจุบัน 2) เพื่อทราบข้อมูล นักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่มีบทบาทสำคัญในการเมือง ระดบั ชาติ 3) เพอ่ื ทราบเครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดศรีสะเกษทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และ 4) เพื่อ ทราบรูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระเบียบวิธีการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและการ สังเกตการณ์แบบคนใน(insider) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้าง ข้อสรุปแบบอุปนัย (induction) เน้นศึกษานักการเมืองถิ่นที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก ผลการศึกษา พบว่า นบั ตง้ั แต่ พ.ศ. 2476 - 2554 จงั หวดั ศรสี ะเกษมกี ารเลอื กตง้ั แบบทั่วไปและเลือกตั้งซ่อมทั้งหมด 32 ครั้ง มีสมาชิกสภา

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด 62 คน สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดศรีสะเกษ คือ ขุนพิเคราะห์คดี (อินทร์ อินตะนัย) นักการเมืองถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้งมาก ที่สุด คือ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ (11 สมัย) รองลงมา นายสง่า วัชราภรณ์ นายไพโรจน์ เครือรัตน์ และนายบุญชง วีสมหมาย ตามลำดับ นักการเมืองถิ่นในช่วงแรกมักเป็นกลุ่มข้าราชการ บำนาญในพื้นที่ เป็นเจ้าของโรงเรียน ก่อนที่จะเป็นยุคของกลุ่ม นักธุรกิจ พ่อค้าเชื้อสายจีน ทนายความ นักการเมืองที่มี บทบาทสำคัญหรือเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายเทพ โชตินุชิต (รัฐมนตรี, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง พาณิชย์) นายบุญชง วีสมหมาย (เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร) นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, รัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี, รองประธานรัฐสภา) นายจำนงค์ โพธิสาโร (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด ศรีสะเกษทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น มีการสืบทอดเป็นตระกูล ทางการเมือง สานต่อจากบิดามายังบุตรด้วยการลงสมัครรับ เลือกตั้งคู่กัน หรือบิดาเลิกเล่นการเมืองแล้วบุตรมาลงสมัครรับ เลือกตั้งต่อโดยอาศัยฐานเสียงเดิมของตระกูล ตระกูลที่สำคัญ คือ วัชราภรณ์ วีสมหมาย เครือรัตน์ ไตรสรณกุล และอังค- สกุลเกียรติ หลังปี 2550 กลุ่มการเมืองท้องถิ่นได้ขยายตัวกลายเป็น คู่แข่งของกลุ่มการเมืองระดับชาติมากขึ้น เนื่องจากความ IX

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ อ่อนแอของกลุ่มการเมืองระดับชาติที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์และโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่เอื้อ รวมทั้งปัญหา การยุบพรรคไทยรักไทย พลังประชาชนและชาติไทย ประกอบ กับประสบการณ์ทางการเมืองยังมีอยู่น้อย ขณะที่กลุ่มการเมือง ท้องถิ่นเริ่มมีความเข้มแข็งมากขึ้นเนื่องจากการผูกขาด ชัยชนะและการรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกันระหว่างนายฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ และนายวิชิต ไตรสรณกุล เพื่อต่อสู้กับกลุ่ม การเมืองระดับชาติ รูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญคือ การแจกเงินและ สิ่งของ การชูความเป็นผู้มีความรู้ได้รับปริญญา การชูความเป็น คนในพื้นที่หรือท้องถิ่น(ท้องถิ่นนิยม) การสนับสนุนการศึกษา การกีฬาและกิจกรรมของชุมชน เน้นการแก้ปัญหาปากท้องของ คนในพื้นที่ การจัดตั้งหัวคะแนน (แกนจัดตั้ง) การลงพื้นที่ของ ผู้สมัคร การใช้รถแห่เป็นขบวนคาราวานโชว์ตัวผู้สมัครและทีม ส.ส. ฯลฯ หลังปี 2540 นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษใช้กีฬา เป็นสื่อในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองมากขึ้น บางคนใช้ วิธีการทำบุญตามวัดและสถานปฏิบัติธรรมต่างๆ การมอี ตั ลกั ษณท์ เ่ี ชอ่ื มโยงกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ห่ี ลากหลาย ของประชาชนจังหวัดศรีสะเกษซึ่งประกอบด้วย ลาว เขมร ส่วย (กูย) เยอ ฯลฯ ส่งผลต่อลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองและ พฤติกรรมในการเลือกตั้ง นักการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้ง มักเป็นบุคคลที่ประชาชนเห็นว่าสามารถพึ่งพาได้ ความสัมพันธ์ เชิงอุปถัมภ์ยังมีบทบาทสำคัญในสังคม อย่างไรก็ตามยุค

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันพฤติกรรมในการเลือกตั้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคย ให้ความสำคัญกับปัจจัยเรื่องเงินและตัวบุคคล กลับมาให้ความ สำคัญกับปัจจัยเรื่องพรรคที่สังกัดมากขึ้น XI

Abstract The study of local politicians of Sisaket province has 4 objectives; 1) to gain information about elected politicians in Sisaket from the first election until present, 2) to gain information about Sisaket politicians who have played key roles nationally, 3) to know about the network and relationships of Sisaket politicians locally and nationally, 4) to know forms and methods of their election campaigns from the past to present. The research methodology were the qualitative research method and the insider observation. The data was analyzed by induction with emphasis on local politicians who were elected to be MPs. The results found the following. From 1933 to 2011, there have been 32 elections in Sisaket and 62 elected MPs. The first one was Kun Pikroakadi (In Intanai) while the most recently elected were Mr.Piyanut

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ Watcharaporn (11 times), Mr.Sa-nga Watcharaporn, Mr.Piroth Kruerat, and Mr.Boonchong Veesommai respectively. In the early times, most politicians were local retired government officials or the owners of education institutions. Then there was an era of business people, merchants who were derived from Chinese ancestors, and lawyers. The key politicians were Mr.Tep Chotinuchit (Minister, Deputy Minister of Ministry of Commerce), Mr.Boonchong Veesommai (Secretary of the Prime Minister, Deputy Speaker of the House of the Representatives), Mr.Piyanut Watcharaporn (Minister of Ministry of Public Health, Minister of the Office of the Prime Minister, Deputy Speaker of the House of the Representatives), Mr.Chamnong Potisaro (Deputy Minister of Ministry of Commerce) The network and relationships of politicians of Sisaket, both locally and internationally, were in the form of family- inherited or nepotism, by conducting political campaigns together, or fathers pass on the reputation to their sons. The key families are Watcharaporns, Veesommais, Kruerats, Trisaranakuls, and Augsakulkiets. After 2007, local political groups had expanded enough to become the rivals of national politicians because their national counterparts were weakened by the effects of several situations and the poor political structure including the end of XIII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ several key political parties such as Thai Rak Thai Party, People’s Power Party (formerly Thai Rak Thai Party), and Chart Thai Party. Also, the new national politicians had less experience while the local ones were strengthened because of their continuous election winning, and the tie between Mr.Chatmongkol Augsakulkiet and Mr.Vichit Trisaranakul to compete with national politicians. Their most important political campaigns from the past to present were giving money and things, emphasizing on graduated politicians, localism, supporting sports and community events, improving local economic problems, assigning core leaders, going out to meet people, riding cars in the parade or caravan to present themselves. After 1997, they emphasized on sport events more, some promoted themselves by making merits in many temples. Since Sisaket people’s identities were related to various ethnic groups, Laotians, Cambodians, Suay (Kui), Nyeu, for instance, political culture and election behaviors were various. Elected politicians were whom people think they can be dependent to. Moreover, the patron-client relationships are still playing an important role in the society. However, at present, election behaviors are changing from focusing on money and each individual politician to the party more than in the past. XIV

สารบัญ หนา้ คำนำผู้แต่ง V กติ ตกิ รรมประกาศ VII บทคัดย่อ (ไทย) IX บทคดั ย่อ (อังกฤษ) XIII สารบัญ XIV สารบัญตาราง XX สารบญั ภาพ XXII สารบญั แผนภาพ XXIII บทท่ี 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและสภาพปัญหา วัตถุประสงค์ 1 กรอบแนวคิด 5 ขอบเขตของการศึกษา 5 วิธีการศึกษา 6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7 8

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ หน้า ลำดับในการเสนอ 9 นิยามศัพท์เฉพาะ 11 บทท่ี 2 กรอบแนวคิดและวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 12 แนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองอีสาน 12 แนวคิดนักการเมือง 17 แนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์ 23 งานศึกษาวิจัยและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 41 งานวจิ ยั ในโครงการสำรวจเพอ่ื ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถน่ิ 47 บทท่ี 3 ข้อมูลพ้นื ฐานและประวัตศิ าสตร์ของจังหวดั ศรสี ะเกษ 54 ข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดศรีสะเกษ 54 ประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ 78 บทที่ 4 นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ศรสี ะเกษ ตง้ั แตป่ ี 2476 – 2554 95 นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2476 – 2554 95 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1 96 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 97 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 3 102 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 4 103 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 5 104 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 6 105 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 7 107 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 8 108 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 9 109 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 10 111 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11 112 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 12 113 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 13 114 XVI

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ หนา้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 14 115 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 15 116 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 16 118 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 17 119 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 120 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 19 123 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 20 125 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 21 128 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 22 138 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 23 147 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 24 156 สรุปรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 163 จ.ศรีสะเกษ (ปี 2476 – 2554) สมาชิกวุฒิสภา จ.ศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 – 2554 175 นักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่มีบทบาทสำคัญ 177 และเคยดำรงตำแหน่งฯ ขุนพิเคราะห์คดี ส.ส.จังหวัดขุขันธ์ 177 นายเทพ โชตินุชิต 178 นายพุฒเทศ กาญจนเสริม 180 นายวิชิต แสงทอง 181 นายจำนงค์ โพธิสาโร 181 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ 182 นายบุญชง วีสมหมาย 184 ดร.มานะ มหาสุวีระชัย 185 นายไพโรจน์ เครือรัตน์ 186 นายสวัสดิ์ สืบสายพรหม 187 ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง 187 นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ 190 XVII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ หนา้ รูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัคร 191 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ 192 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ 196 นายธเนศ เครือรัตน์ 203 ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง 207 นายปวีณ แซ่จึง 210 นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ 213 นายบุญชง วีสมหมาย 215 นางสุนีย์ อินฉัตร บทท่ี 5 บทวิเคราะห์ : รูปแบบวธิ กี ารหาเสยี ง เครอื ขา่ ย 223 และความสมั พนั ธ ์ ภาพรวมรปู แบบวิธีการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมือง 224 จังหวัดศรีสะเกษฯ การแจกเงินและสิ่งของ 224 ย้ำความเป็นผู้ที่มีหน้าที่การงานดี และมีความรู้สงู 234 เน้นปริญญา การชูประเด็นความเป็นคนในพื้นที่หรือท้องถิ่น 237 การสนับสนุนการศึกษา การกีฬาและกิจกรรมของชุมชน 241 เน้นการแก้ปัญหาปากท้องของคนในพื้นที่ 245 การจัดตั้งหัวคะแนน (แกนจัดตั้ง) 248 การลงพื้นที่ของผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ 252 การหาเสียงรปู แบบวิธีการอื่นๆ 255 เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง 258 ในจังหวัดศรีสะเกษ การสืบทอดตระกลู หรือกลุ่มทางการเมือง 259 ตระกลู “วัชราภรณ์” 259 ตระกลู “วีสมหมาย” 268 XVIII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ หน้า ตระกูล “เครือรัตน์” 276 ตระกูล “ไตรสรณกุล” 281 ตระกูล “อังคสกุลเกียรติ” 287 ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองระดับชาติกับ 291 นักการเมืองระดับท้องถิ่น ความอ่อนแอของกลุ่มการเมืองระดับชาติ 292 ความเข้มแข็งของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น 295 ความแตกต่างของนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ 299 กับจังหวัดอื่นๆ กระแสความนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 301 บทท่ี 6 บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ 307 สรุปผลการศึกษา 308 การอภิปรายผล 327 ข้อเสนอแนะ 337 ข้อจำกัดในการดำเนินการศึกษาวิจัย 338 บรรณานุกรม 342 ประวัติผู้ศึกษา 355 XIX

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 60 1 รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดขุขันธ์(จังหวัดศรีสะเกษ) 64 ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 – ปัจจุบัน. 127 2 หน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคและหน่วยการปกครอง 129 ส่วนท้องถิ่นฯ 130 3 ผลการเลือกตั้ง ส.ส.(แบบแบ่งเขต) 131 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 132 4 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. (แบบบัญชีรายชื่อ) 134 วันที่ 6 มกราคม 2544 135 5 ผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต 136 วันที่ 6 มกราคม 2544 136 6 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 7 และ 9 137 วันที่ 29 มกราคม 2544 139 7 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 1 และ 5 วันที่ 3 มีนาคม 2545 8 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 1 วันที่ 1 มิถุนายน 2546 9 ผลการเลือกตั้ง ส.ว. ศรีสะเกษ วันที่ 4 มีนาคม 2543 10 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ว. ศรีสะเกษ (2 ตำแหน่ง) วันที่ 21 เมษายน 2544 11 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ว. ศรีสะเกษ (1 ตำแหน่ง) วันที่ 26 พฤษภาคม 2544 12 สรุปผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว. ศรีสะเกษ ทั้ง 5 คน 13 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. (แบบบัญชีรายชื่อ) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 XX

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ สารบัญตาราง หนา้ 14 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต (เขตเลือกตั้งที่ 1-4) 140 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 15 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต (เขตเลือกตั้งที่ 5-9) 142 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 16 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต (เขตเลือกตั้งที่ 1-9) 146 วันที่ 2 เมษายน 2549 17 ผลการเลือกตั้ง ส.ว. ศรีสะเกษ วันที่ 19 เมษายน 2549 147 18 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต วันที่ 23 ธันวาคม 2550 150 19 การประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 151 วันที่ 23 ธันวาคม 2550 20 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แบบแบ่งเขต 153 วันที่ 11 มกราคม 2552 21 ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แบบแบ่งเขต เขต 1 154 วันที่ 28 มิถุนายน 2552 22 ผลการเลือกตั้ง ส.ว. ศรีสะเกษ วันที่ 2 มีนาคม 2551 155 23 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 160 24 ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 162 วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 25 สรุปรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ศรีสะเกษ 163 ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 – 2554 26 สรุปรายชื่อสมาชิกวุฒิสภา จ.ศรีสะเกษ 176 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 – 2554 27 สรุปรูปแบบวิธีการหาเสียงของนักการเมือง 217 ในจังหวัดศรีสะเกษแยกเป็นรายบุคคล XXI

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 177 1 ขุนพิเคราะห์คดี 2 นายเทพ โชตินุชิต 178 3 นายจำนงค์ โพธิสาโร 182 4 นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ 183 5 นายบุญชง วีสมหมาย 185 6 ดร.มานะ มหาสุวีระชัย 186 7 ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง 190 8 นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ 191 9-10 ส.ส.ธเนศ เครือรัตน์ ประธานสโมสรฟุตบอล 198 ศรีสะเกษ-เมืองไทย เอฟซี 11-13 ภาพการประท้วงของกลุ่มแฟนบอลในจังหวัดศรีสะเกษ 199 14-16 ป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย 256 และพรรคประชาธิปัตย์ 17-19 ป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรค 257 ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ฯ 20 การดำเนินการสัมภาษณ์ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ 267 21 นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส. แบบแบ่งเขตหลายสมัย 273 จังหวัดศรีสะเกษ 22 นายธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.แบบแบ่งเขต 285 จังหวัดศรีสะเกษ 23 นางอุดมลักษ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.แบบแบ่งเขต 286 จังหวัดศรีสะเกษ 24-25 นายวิชิต ไตรสรณกุล และนายฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ 298 XXII

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ สารบัญแผนภาพ หน้า แผนภาพที่ 32 1 เปรียบเทียบลักษณะสายสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์ 2 แผนที่จังหวัดศรีสะเกษ 57 3 การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ศรีสะเกษ 149 วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 XXIII



บ1ทท ี่ บทนำ 1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญา- สิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเพื่อไปปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะตัวแทนของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2554 ประเทศไทยมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรมาแล้ว 24 ชุด มีการเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 23 สมัย แบ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม 1 สมัย (การ เลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก พ.ศ. 2476) และการเลือกตั้งทางตรง 22 สมัย (เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2480 จนถึง การเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2554) และมีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาโดยตรงครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ เม่อื เทยี บระยะเวลานบั ตงั้ แต่ประเทศไทยไดเ้ ปลยี่ นแปลง การปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2554 รวมระยะเวลาประมาณ 80 ปี แต่เกิดการ รฐั ประหารโดยกลมุ่ ทหารมาแลว้ 12 ครง้ั ยกเลกิ และเปลย่ี นแปลง กฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ นับรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย 2550 เป็นฉบับที่ 18 ถือเป็นประเทศที่มีการ ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเปลืองเป็นอันดับต้นๆ ของโลก สะท้อน ปัญหาทางการเมืองที่หมักหมมอยู่ในสังคมไทยมาอย่าง ยาวนาน การศึกษาวิจัยทางด้านการเมืองการปกครองไทย โดยส่วนใหญ่มักก้าวข้ามการอธิบายที่ต้นตอสาเหตุและสถาบัน ทางการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อรัฐประหารอย่าง ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งนี้ มักมุ่งเน้นการอธิบายศูนย์กลางของ อำนาจทางการเมือง เช่น คณะรัฐบาล พรรคการเมือง รัฐสภา ระบบราชการ ฯลฯ โดยขาดขอ้ มลู ทางดา้ นการทหาร และสถาบนั อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจจะเป็นความตั้งใจของนักวิชาการเองที่มี ข้อจำกัดในหลายประการ นอกจากขาดการศึกษาตัวแสดง (actor) ทางการเมือง อย่างรอบด้านแล้ว ยังพบว่าในเรื่องพื้นที่ในการศึกษาก็เช่น เดียวกัน งานศึกษาทางการเมืองโดยส่วนใหญ่มักใช้ศูนย์กลาง ของอำนาจ คือ กรุงเทพฯ หรือบริเวณจังหวัดโดยรอบเป็นพื้นที่ ในการศึกษา โดยมองข้ามพื้นที่รอบนอกตามจังหวัดต่างๆ กลายเป็นช่องโหว่ในการทำความเข้าใจปัญหาการเมืองไทย เพราะการเมืองระดับชาติกับระดับท้องถิ่นล้วนมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน

ความเป็นมาและสภาพปัญหา ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาในการทำความเข้าใจการเมือง การปกครองไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” กล่าวคือ เป็นการศึกษาเรื่องราวของการเมือง ที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของท้องถิ่นที่เป็นจังหวัดต่างๆ ใน ประเทศไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนานไปกับ การเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นด้วยการชิงไหวชิงพริบ ของนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในเวทีสภา อีกด้าน หนึ่งในพื้นที่จังหวัดบรรดาผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ ผู้สนับสนุนทั้งหลายก็กำลังเตรียมตัวแข่งขันลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน พฤติกรรมทางการเมือง ของนักการเมืองถิ่นจังหวัดต่างๆ เหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกัน ไปตามเงื่อนไขของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองใน แต่ละพื้นที่ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เพื่อ เติมเต็มองค์ความรู้ที่ยังขาดหาย และหากนำสิ่งที่ได้ค้นพบนี้ มาพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็น่าจะทำให้สามารถเข้าใจการเมือง ไทยได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่มี ความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ทางการเมือง เคยมีประวัติการต่อสู้ ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน อาทิ กรณีการเกิดกบฏผีบุญ เคยเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และมีการจัดตั้งกลุ่มและองค์กรต่างๆ ในจังหวัดมากมาย เช่น คณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ (คปศ.) สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกยอ.) สมัชชาคนจน กลุ่มสายธารประชาชน สมัชชาเขื่อนแห่งประเทศไทย กลุ่มเรียก

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ร้องค่าชดเชยจากผลกระทบการสร้างฝายราษีไศล ค่าชดเชย ทด่ี นิ ปา่ สงวนแหง่ ชาติ การเคลอ่ื นไหวชว่ ยเหลอื ผไู้ ดร้ บั ผลกระทบ จากการสร้างฝายหัวนา เป็นต้น นอกจากนี้ในด้านการ เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มักจะมีกลุ่มประชาชนจังหวัดศรีสะเกษเข้าร่วมและมีบทบาท สำคัญด้วยเสมอ สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าชาวจังหวัด ศรีสะเกษจะเป็นผู้ที่รักความสงบ มีลักษณะของความเป็นสังคม ชนบทมากกว่าสังคมเมือง แต่ก็ยังมีความเข้มแข็ง และพร้อมที่ จะลุกขึ้นสู้ได้ตลอดเวลา หากได้รับผลกระทบหรือไม่ได้รับความ เป็นธรรมจากระบบการเมืองหรือผู้ที่มีอำนาจ จากการเป็นจังหวัดที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ ทางการเมือง เคยมีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่าง ยาวนาน รวมทั้งการมีลักษณะเฉพาะทางสังคมและวัฒนธรรม ที่เกิดจากการหลอมรวมของชาติพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ลาว เขมร ส่วย (กูย) เยอ ฯลฯ มีอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ยังขาดการศึกษาสำรวจอย่างจริงจัง ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงมี แนวคิดศึกษาการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษเพื่อใช้เป็นข้อมูล พน้ื ฐานในการวเิ คราะหก์ ารเมอื งในระดบั จงั หวดั และเปรยี บเทยี บ กับกรณีพื้นที่อื่นๆ โดยมีคำถามในการศึกษาว่า วัฒนธรรม ทางการเมอื งของประชาชนมลี กั ษณะอยา่ งไร ประชาชนมแี นวโนม้ ที่จะเลือกตั้ง ส.ส.ที่มีลักษณะเช่นใด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีนักการเมืองคนใดบ้างที่ได้รับการเลือกตั้ง ลักษณะสำคัญของ นักการเมืองและกลุ่มการเมืองในจังหวัดมีเครือข่ายความ สัมพันธ์อย่างไร เป็นต้น

ความเป็นมาและสภาพปัญหา 2. วัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบข้อมูลนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับ การเลือกตั้ง ตั้งแต่สมัยแรกจนถึงปัจจุบัน 2) เพื่อทราบข้อมูลนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่มี บทบาทสำคัญในการเมืองระดับชาติ 3) เพอ่ื ทราบเครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดศรีสะเกษทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น 4) เพื่อทราบรูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 3. กรอบแนวคิด กรอบแนวคิดในการศึกษา ประกอบด้วย 1) กรอบแนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองอีสาน เป็นความ พยายามอธิบายลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและ การเมืองที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดในภาคอีสาน อาทิ การอธิบายพฤติกรรมการต่อต้านรัฐบาลกลางในอดีต พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง ทัศนคติความคิดและความเชื่อ ทางการเมือง เป็นต้น 2) กรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองถิ่น เพื่อนำมา อธิบายความพยายามเข้ามาเป็นนักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษ

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 3) กรอบแนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์เพื่อนำมาอธิบาย ความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมือง บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองในจังหวัด รวมทั้งลักษณะความสัมพันธ์ระหว่าง “นักการเมือง” “หัวคะแนน” และ “ชาวบ้าน” ซึ่งมีอิทธิพล สำคัญต่อการซื้อเสียงเลือกตั้ง 4. ขอบเขตของการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ มีขอบเขตการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้ 1) การศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ จำกัด เฉพาะนักการเมืองระดับชาติเท่านั้น ประกอบด้วย สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 จนถึงสิ้น พ.ศ. 2554 และ สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2543 – 2554 2) การวิเคราะห์เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม การเมืองระดับชาติกับระดับท้องถิ่น จะมุ่งศึกษาองค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ของจังหวัดเท่านั้น ซึ่งประกอบ ด้วย กลุ่มการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนจังหวัดและ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ 3) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งจากการสัมภาษณ์ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 - ธันวาคม 2554

ความเป็นมาและสภาพปัญหา 5. วิธีการศึกษา อาศัยระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นเครื่องมือใน การรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง (document research) อาทิ ข้อมูล สถิติ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้งประจำจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานคณะกรรมการ- การเลือกตั้ง กรุงเทพฯ ฯลฯ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) เพื่อตอบ คำถามตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา แบ่งกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 2.1) กลุ่ม ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น จังหวัด ศรีสะเกษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ (อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และ ส.ส.จังหวัด ศรีสะเกษ 11 สมัย) ทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย (อดีต ส.ส., ส.ว. ภรรยานายบุญชง วีสมหมาย) ร.ท.ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง (ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ) นายธเนศ เครือรัตน์ (ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ) นายวิวัฒนชัย โหตระไวศยะ (ส.ส. จังหวัดศรีสะเกษ) นายปวีณ แซ่จึง (ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ) นาย วิชิต ไตรสรณกุล (นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ) นายฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ (นายกเทศบาลเมืองศรีสะเกษ) นายสมพร จึงศิรกุลวิทย์ (รองนายกเทศบาลเมืองศรีสะเกษ)

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ 2.2) กลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทางการเมืองจังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย นายมนตรี ไสยสมบัติ (อดีตประธานสภาจังหวัดศรีสะเกษ) และ นายธนัชพงศ์ เจนพิทักษ์คุณ (อดีตกำนันตำบลกู่ อำเภอ ปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ) 3) การสังเกตการณ์แบบคนใน (insider) เพื่อให้ได้ข้อมูล ที่เป็นความรู้สึกนึกคิด วัฒนธรรมทางสังคม ค่านิยมหรือ อุดมการณ์ที่ประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษยึดถือ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยการจำแนกประเภทข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูล และการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (induction) 6. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1) ทราบข้อมูลนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับ การเลือกตั้ง ตั้งแต่สมัยแรกจนถึงปัจจุบัน 2) ทราบข้อมูลนักการเมืองจังหวัดศรีสะเกษที่มีบทบาท สำคัญในการเมืองระดับชาติ 3) ทราบกลุ่มตระกูล วงศาคณาญาติ เครือข่าย ความสัมพันธ์ทางการเมืองทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น 4) ทราบพฤติกรรมทางการเมืองในการตัดสินใจเลือกตั้ง สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจังหวัดศรีสะเกษ 5) ทราบรูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ความเป็นมาและสภาพปัญหา 6) ทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นัก การเมืองถิ่น” สำหรับเป็นองค์ความรู้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การเมืองการปกครองไทยต่อไป 7. ลำดับในการเสนอ การนำเสนอผลการศึกษา แบ่งเป็น 6 บท ตามลำดับ ดังนี้ บทท่ี 1 บทนำ นำเสนอความเป็นมาและสภาพปัญหา วัตถุประสงค์ กรอบแนวคิด ขอบเขตของการศึกษา วิธีการ ศึกษา ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ และนิยามศัพท์เฉพาะ บทที่ 2 กรอบแนวคิดและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง นำเสนอกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเพื่อมุ่งอธิบาย ลักษณะของนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษตั้งแต่ พ.ศ.2476 ถึง พ.ศ. 2554 ประกอบด้วย แนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองอีสาน แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองถิ่น เพื่อนำมาอธิบาย ความพยายามเข้ามาเป็นนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ และ แนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์เพื่อนำมาอธิบายความสัมพันธ์ของ กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุนทางการเมืองและ ลักษณะเครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัด บทท่ี 3 ขอ้ มลู พน้ื ฐานและประวตั ศิ าสตรข์ องจงั หวดั ศรีสะเกษ นำเสนอข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และ ส่งผลต่อลักษณะพฤติกรรมในการตัดสินใจเลือกตั้ง โดยแบ่ง ลำดับการนำเสนอเป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อมูลพื้นฐาน และ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดศรีสะเกษเพื่อให้มีความ เข้าใจพื้นฐานในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและ การเมือง บทที่ 4 นักการเมืองถ่ิน จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 - 2554 ประกอบด้วย การนำเสนอนักการเมืองถิ่นในส่วนนี้ ประกอบด้วย รายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่สมัยที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 จนถึง พ.ศ. 2554 (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1 ถึงชุดที่ 24) สมาชิก วุฒิสภาที่ได้รับการเลือกตั้ง พ.ศ. 2543 – 2554 นักการเมืองถิ่น จังหวัดศรีสะเกษที่มีบทบาทสำคัญและเคยดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง และรูปแบบและวิธีการหาเสียงของผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแยกเป็นรายบุคคล บทที่ 5 บทวิเคราะห์ ในบทนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์ นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ เนื้อหาประกอบด้วย ส่วนแรก ภาพรวมรูปแบบวิธีการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองจังหวัด ศรีสะเกษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่สอง เครือข่ายและ ความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดศรีสะเกษ แยกเป็น 2 หัวข้อ คือ การสืบทอดตระกูลหรือกลุ่มทางการเมือง และ ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองระดับชาติกับนักการเมือง ระดับท้องถิ่น และส่วนที่สาม ความแตกต่างของนักการเมือง จังหวัดศรีสะเกษกับจังหวัดอื่นๆ บทท่ี 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ ส่วนนี้จะนำเสนอ สรุปผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ และข้อจำกัดในการดำเนินการ ศึกษาวิจัย 10

ความเป็นมาและสภาพปัญหา 8. นิยามศัพท์เฉพาะ นักการเมืองถ่ิน หมายถึง นักการเมืองจังหวัด ศรีสะเกษ ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 จนถึงสิ้น พ.ศ. 2554 สมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 – 2554 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ และ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองศรีสะเกษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักการเมืองท้องถ่ิน หมายถึง นักการเมืองในระดับ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ การศึกษาครั้งนี้ เน้นศึกษาเฉพาะองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ส่วยศรีสะเกษ หมายถึง ประชาชนที่พูดภาษาส่วย หรือ ภาษากวย หรอื กยู ซง่ึ คำวา่ กยู หรอื กวย แปลวา่ คน ประชาชน ที่พูดภาษาส่วยกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออก- เฉียงเหนือตอนใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาษาส่วย (กวย) เป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์ มีสำเนียงที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่แต่ก็สามารถสื่อสารกันได้ ในจังหวัดศรีสะเกษ ชาวกวย (กูย) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขต พื้นที่อำเภอปรางค์กู่ วังหิน ขุขันธ์ ราษีไศล ห้วยทับทัน และ อุทุมพรพิสัย นอกจากชาวกวย หรือส่วย ซึ่งถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ของจังหวัดแล้ว ศรีสะเกษยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญ คือ (1) กลุ่มชาติพันธุ์ลาว กระจายอยู่ทุกอำเภอของจังหวัด ศรีสะเกษ (2) กลุ่มชาติพันธุ์เยอ มีภาษาพูดเป็นภาษาเยอ 11

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ คำศัพท์ส่วนใหญ่คล้ายกับภาษากวย แต่มีสำเนียงที่แตกต่างกัน ไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาษากวย ว่า “จี-นา” ภาษาเยอจะพูดว่า “จี-เนีย” (แปลว่า ไปไหน) อาศัยอยู่ในอำเภอไพรบึง พยุห์ ศรีรัตนะ และน้ำเกลี้ยง และกลุ่มชาติพันธุ์เขมร และ (3) กลุ่ม ชาติพันธุ์เขมร มีภาษาพูดเป็นภาษาเขมรเรียกว่า เขมรถิ่นไทย ซึ่งมีสำเนียงและคำศัพท์หลายคำแตกต่างจากภาษาเขมรใน ประเทศกัมพูชา แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกันได้ ส่วนใหญ่อาศัย อยใู่ นเขตอำเภอภสู งิ ห์ ขนุ หาญ ไพรบงึ ขขุ นั ธ์ ศรรี ตั นะ กนั ทรลกั ษ์ เป็นต้น 12

บ2ทท ่ี กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ในบทนี้ จะนำเสนอกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการ ศึกษาเพื่อมุ่งอธิบายลักษณะของนักการเมืองถิ่นจังหวัด ศรีสะเกษตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2554 ประกอบด้วย แนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองอีสาน แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ นักการเมืองถิ่น เพื่อนำมาอธิบายความพยายามเข้ามาเป็น นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ และแนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์ เพื่อนำมาอธิบายความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนใน การสนับสนุนทางการเมืองและลักษณะเครือข่ายความสัมพันธ์ ของนักการเมืองในจังหวัด 1. แนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองอีสาน กรอบแนวคิดการเมืองอีสาน เป็นความพยายามอธิบาย ลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่มีอิทธิพล

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ ต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของจังหวัดในภาคอีสาน อาทิ การอธิบายพฤติกรรมการ ต่อต้านรัฐบาลกลางในอดีต พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง ทัศนคติความคิดและความเชื่อทางการเมือง เป็นต้น มีนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศได้เข้ามาศึกษา อีสานในช่วงหลงั ทศวรรษ 2500 เปน็ จำนวนมาก โดยนักวิชาการ ที่ศึกษาเกี่ยวกับอีสานในช่วง พ.ศ. 2500 - 2520 มักจะมุ่ง ตอบคำถามเกย่ี วกบั พฤติกรรมทางการเมืองทเี่ กิดข้นึ โดยเฉพาะ การต่อต้านรัฐบาลกลางในสมัยนั้น แนวคิดที่ใช้ในการอธิบาย ในงานเหล่านี้มองว่าเป็นเพราะลักษณะของภูมิภาคตะวันออก- เฉียงเหนือที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดพลังต่างๆ อันเป็นปฏิปักษ์ ต่อรัฐบาลกลาง และยังได้อธิบายถึงปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญมี 3 แนวทาง คือ (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, 2546, น. 3-18) กลุ่มท่ี 1 กลุ่มแนวคิดท่ีศึกษาทางด้านชาติพันธุ์ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นนักมานุษยวิทยาที่ได้เข้ามาศึกษา ภาคอีสาน และมีกรอบแนวคิดในการอธิบายว่าปัญหาทางด้าน ชาติพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่สร้างความยุ่งยากให้ แก่รัฐบาลไทย โดยมองว่าคนในภาคอีสานมีลักษณะแตกต่าง จากคนในภาคกลาง และมีลักษณะคล้ายคลึงกับคนลาวใน ประเทศลาว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางด้านชาติพันธุ์ ของคนลาวและคนอีสานนี้ อาจก่อให้เกิดความพยายามที่จะ แบ่งแยกภาคอีสาน งานที่สำคัญในกลุ่มแนวคิดนี้ คือ งานของ คายส์ (Charles F.Keyes) เรื่อง “Ethnic Identity and Loyalty 14

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง of Villagers in Northeastern” (1966) และเรื่อง “Isan : Regionalism in Northeastern Thailand” (1967) ซึ่งถือว่า เป็นงานบุกเบิกและยังกระตุ้นให้มีการศึกษาทางด้านการเมืองที่ ดีที่สุดชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังมีงานของเมอร์ดอช (John B. Murdoch) “The 1901-1902 Holy Man’s Rebellion” (1974) ซึ่งได้มุ่ง ประเด็นไปที่การศึกษาเกี่ยวกับกบฏผู้มีบุญในภาคอีสาน ในช่วง ค.ศ. 1901-1902 ส่วนประเด็นสำคัญของการเกิดเหตุการณ์นี้ เมอร์ดอชอธิบายว่า เป็นปฏิกิริยาทางด้านชาติพันธุ์ของชนกลุ่ม น้อยในท้องถิ่นที่ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ของการขยายอำนาจ ทางการเมืองและการปกครองของอำนาจรัฐที่ขนาบข้าง คือ ฝรั่งเศสและไทย ซึ่งมีผลสั่นคลอนต่อระบบเศรษฐกิจและ โครงสร้างผู้นำแบบเดิมที่เคยเป็นอิสระในดินแดนแถบนี้ สำหรับการศึกษาเกี่ยวกับกบฏผู้มีบุญอีสานนี้ ในช่วงหลัง พ.ศ. 2519 ได้มีงานที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้จำนวนมาก แต่มี จุดเน้นที่แตกต่างกัน กลุ่มท่ี 2 กลุ่มแนวคิดท่ีศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจของภาคอีสาน เพื่อใช้เป็นกรอบในการอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในภาค อีสาน โดยในงานต่างๆ เหล่านี้มองว่าความยากจนประกอบกับ การถูกทอดทิ้งจากส่วนกลางเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาค อีสานอยู่ในสภาพที่พร้อมจะถูกแทรกซึมจากพลังต่างๆ ที่เป็น ปฏิปักษ์ต่อฝ่ายรัฐบาลได้ง่าย และด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ จึงมีนักวิชาการเข้ามาศึกษาสภาพเศรษฐกิจของภาคอีสาน 15

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ อันได้แก่ มิลลาร์ด เอฟ ลอง เรื่องพัฒนาการทางเศรษฐกิจใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาและอนาคต (1966) เบลล์ (Peter F.Bell) เรื่อง “Note and Comments on Thailand’s North East : Regional Under-development, “Insurgency” and Official Response” (1969) และงาน ของ Marian R. Meinkoth เรื่อง “Migration in Thailand with Particular Reference to the Northeast” (1962) ซึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ที่ย้ายถิ่นของชาวนา จากจังหวัดต่างๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยใน ระหว่าง พ.ศ. 2500 เป็นต้น กลุ่มที่ 3 กลุ่มแนวคิดท่ีศึกษาสภาพการเมืองในอีสาน ที่สำคัญ คืองานของ Frank C. Darling เรื่อง “Rural Insurgencies in Thailand : A Comparative Analysis” (1975) งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบการต่อต้านรัฐบาล ในชนบทที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ภาคเหนือและภาคอีสาน และ เป็นการวิเคราะห์ถึงการแทรกแซงจากต่างประเทศที่ก่อการ ต่อต้านรัฐบาลในท้องถิ่นต่างๆ ด้วย ส่วนการอธิบายในงาน ชิ้นนี้ที่สำคัญอย่างหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในขบวนการต่อต้านรัฐบาล ในภาคอีสาน ไม่เคยประกาศเจตนารมณ์ที่จะแบ่งแยกดินแดน เหมือนในภาคใต้ และไม่เคยประกาศเจตนารมณ์ที่จะแยก ภาคอีสานเพื่อเข้าไปผนวกกับประเทศใกล้เคียง และมองว่า เป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่การแสวงหาความอิสระในการปกครอง และตัดสินใจในท้องถิ่นและเรียกร้องความช่วยเหลือในการ 16

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง พัฒนาจากรัฐบาลกลางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในงานนี้ชี้ให้ เห็นว่า การต่อต้านรัฐบาลในชนบทของทั้งสามภาคไม่มีที่ไหน เลยที่มีศักยภาพแห่งการขยายตัวมากเพียงพอที่จะเป็นอันตราย ต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของไทย 2. แนวคิดนักการเมือง นักการเมือง คือ บุคคลที่ใช้และมีอำนาจทางการเมือง มากกว่าคนอื่นๆ ในสังคม อำนาจทางการเมืองนั้น เกี่ยวกับ การแจกแจงคา่ นยิ มทห่ี ายากในระบบการเมอื ง (Zonis, 1971, p. 5) Arnold Wehmhoener ไดใ้ หค้ ำจำกดั ความเกย่ี วกบั นกั การเมอื ง โดยเน้นบทบาทของนักการเมืองว่า เป็นผู้กำหนดวัฒนธรรม หรือเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของโครงสร้างสังคม นั้นๆ หรือ นักการเมือง หมายถึง กลุ่มบุคคลซึ่งมีอำนาจสูงสุด ในแต่ละสังคมใดสังคมหนึ่ง โดยมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญและ มีชื่อเสียง อาจรวมถึงบุคคลหลายอาชีพด้วยกัน บุคคลที่มี ตำแหน่งสูงมีอำนาจหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นบุคคลกลุ่มน้อยใน สังคมและเป็นผู้ควบคุมทรัพย์สินส่วนใหญ่ หรือมีสถานภาพ สังคมในระดับสูง หรือเป็นผู้มีอิทธิพลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในกระบวนการตดั สนิ ใจทม่ี ผี ลตอ่ สมาชกิ ของสงั คม (Wehmhoener (ed.), 1975, p. 3) Gaetano Mosca (1965, p. 50) ไดก้ ำหนดความแตกตา่ ง ระหว่างนักการเมือง หรือผู้ที่เป็นชนชั้นปกครอง หรือผู้นำ ทางการเมือง (elite) กับประชาชนทั่วไป (masses) ว่า ในความ เป็นจริงที่แน่นอนและมีแนวโน้มว่าจะต้องได้พบในองค์กร 17

นักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ การเมืองทุกแห่ง สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดในทุกสังคมที่ล้าหลังหรือ จะเป็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าเพียงใด จะมีบุคคลใน สังคมอยู่ 2 พวก คือ ชนชั้นผู้ปกครอง กับชนชั้นผู้ถูกปกครอง พวกแรกมีจำนวนน้อยแต่ควบคุมหน้าที่ทางการเมือง ผูกขาด อำนาจและเป็นผู้ที่ได้เปรียบจากผลที่อำนาจนำมาให้ ส่วนพวก ที่สอง เป็นพวกที่มีจำนวนมากกว่าพวกแรก แต่กลับถูกบงการ และควบคุมโดยพวกแรก ในลักษณะที่เป็นการควบคุมทาง กฎหมาย การตัดสินชี้ขาด และการอาศัยความรุนแรงทั้งมาก และน้อย โดยปกติแล้ว มนุษย์ทุกคนอยู่ในฐานะที่จะใช้ทรัพยากร ทางการเมือง แต่ว่ามนุษย์มีวัตถุประสงค์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยที่มนุษย์ใช้วิธีการต่างๆ กันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว การใช้ทรัพยากรของมนุษย์ ใช่ว่าเพื่อต้องการที่จะมีอำนาจ เสมอไป แต่ว่าผู้แสวงหาอำนาจจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร ด้วย สาเหตุ 3 ประการ (Lasswell, 1948, p. 90) 1) มนุษย์แสวงหาอำนาจ เพื่อที่จะเป็นเจ้าของ ทรัพยากร โดยต้องการที่จะเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของ ประชาชนทุกคน รักษาความเป็นธรรมให้กับทุกคน รักษาผล ประโยชน์ให้กับรัฐ หรือแสวงหาอำนาจเพื่อตอบสนองความ ต้องการของจิตใจ เสรีภาพและเพื่อความสุข 2) มนุษย์แสวงหาอำนาจ โดยจิตสำนึกเพื่อรักษา ผลประโยชน์ของตนเอง 3) มนุษย์แสวงหาอำนาจ โดยมีแรงจูงใจจาก จิตใต้สำนึก Harold Lasswell สรุปว่า ผู้แสวงหาอำนาจ 18

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ทางการเมืองมีความต้องการในอำนาจ เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดไป ทางจิตใจในวัยเด็ก การชดเชยสิ่งที่ขาดไปในวัยเด็ก จึงเป็นแรง กระตุ้นสำหรับผู้แสวงหาอำนาจทางการเมือง ก็คือการไม่ได้รับ ความนับถือ ศรัทธา และความรัก ในวัยเด็กคนเหล่านี้จะได้รับ ความกระทบกระเทือนทางใจและจะประมาณค่าตัวเองต่ำลงไป ในวัยเด็ก หรือเมื่อเป็นผู้ใหญ่ หรือต่อๆ มา ผู้แสวงหาอำนาจเรียนรู้ที่จะยกระดับคุณค่าของตนเอง ด้วยวิธีการตั้งเป้าหมายในเรื่องอำนาจ คนเหล่านี้เริ่มที่จะมี ความเชื่อว่า ด้วยวิธีการแสวงหาอำนาจ เขาสามารถที่จะสร้าง ตนเองให้ดีขึ้นได้ หรือพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติผู้อื่น ที่มีต่อเขาได้ อำนาจจะทำให้เขามีความสำคัญ เป็นที่รักนับถือ และชื่นชม ความเห็นใจ ความรักและความศรัทธาจะเกิดขึ้นใน ครอบครัวของเขา ในทัศนะของ Robert E. Lane เห็นว่า การที่มนุษย์เข้าไป เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็เนื่องจากมีความต้องการในสิ่งสำคัญ หรือทรัพยากร จำนวน 6 ประการ คือ (Lane, 1959, p. 102) 1) มนุษย์หาทางที่จะเพิ่มความอยู่ดีกินดีทางเศรษฐกิจ หรือด้านวัตถุ รายได้ ทรัพย์สิน และความมั่นคงปลอดภัยทาง เศรษฐกิจ โดยใช้กลไกทางการเมือง (political means) 2) มนุษย์ต้องการมีพวกพ้อง ต้องการความรักใคร่ และ มคี วามสมั พนั ธท์ างสงั คมกบั บคุ คลอน่ื โดยใชก้ ลไกทางการเมอื ง 3) มนุษย์หาทางที่จะทำความเข้าเรื่องโลก ตลอดจน สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ทั้งด้วยการ 19

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ สังเกตและการสนทนาทางการเมือง (discussing politics) 4) มนุษย์หาทางลดความตึงเครียดภายในจิตใจของตน โดยเฉพาะแรงกระตุ้นจากความก้าวร้าวและแรงกระตุ้นทางเพศ โดยแสดงออกทางการเมือง (political expression) 5) มนุษย์ต้องการมีอำนาจเหนือบุคคลอื่น โดยผ่าน ช่องทางการเมือง (political channels) 6) มนุษย์หาทางรักษาไว้ซึ่งความภูมิใจในตัวเอง (self- esteem) และพยายามปรับปรุงให้มีมากขึ้น (ความต้องการใน ด้านสถานภาพ ชื่อเสียง และความเคารพ) โดยผ่านกิจกรรม ทางการเมือง (political activities) ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า สมาชิกของระบบการเมืองแต่ละ แห่งต่างก็พยายามแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อจะได้มี อิทธิพลเหนือนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาล โดย Dahl ตั้งข้อสังเกตว่า อิทธิพลทางการเมืองถูกแจกแจงโดยไม่เท่า เทียมกัน ในบรรดาสมาชิกของระบบการเมือง ดังนั้น การ แสวงหาอำนาจและการที่จะมีอำนาจนั้นย่อมจะมีวิธีการที่ไม่ เหมือนกัน ผู้แสวงหาอำนาจบางคนอาจจะไม่ประสบความ สำเร็จ ถึงแม้เขาจะได้ใช้ความพยายามแล้วก็ตาม แต่บางคนที่ มีอำนาจอยู่ในมือแล้ว อาจจะไม่แสวงหาอำนาจ เนื่องจากคน เหล่านี้มีอำนาจโดย “การสืบทอดจากบรรพบุรุษ” ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่า (Dahl, 1975, p. 86) 1) เหตุใดคนบางคน จึงแสวงหาอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ 2) เหตุใดคนบางคน จึงได้รับอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ 20

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง Lasswell กล่าวว่า ผู้แสวงหาอำนาจจะเสาะแสวงหรือ เพิ่มพูนอำนาจ เพื่อทดแทนการขาดตกบกพร่องในวัยเยาว์ เช่น โอกาสในการศึกษา ความรักของพ่อแม่ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรักและความเคารพในตัวเอง ในบรรดานักการเมือง ปมด้อยเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในวัยเยาว์ ซึ่งโตพอที่จะรับทราบ ลักษณะความแตกต่างในสังคม เป็นลักษณะที่ความเชื่อมั่นใน ตนเองถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้ทำให้บุคคลนั้นมี ปมด้อย หากบุคคลใดรู้จักคำว่า ลำเอียงในปฐมวัย จะสร้าง บุคลิกภาพที่เลวในอนาคตได้ คนที่มีปมด้อยจะพยายามแสดงออกเพื่อปกปิดปมด้อย ของตน นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จมักจะมีสมองปาน กลางไม่เด่นในระยะต้นๆ แต่อาจจะเด่นในระดับอุดมศึกษา พวกนี้เชื่อว่า อำนาจเป็นสิ่งเดียวที่จะสร้างสถานภาพของตนที่ รู้สึกต่ำในวัยเด็กให้สูงขึ้น จะนำมาซึ่งความรัก ความเคารพ และอำนาจจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของบุคคลอื่นๆ ที่มีต่อตัว เขาได้ พวกแสวงหาอำนาจแบบจิตใต้สำนึกนี้ จะใช้อำนาจที่ตน ได้รับมากับสถาบันอื่นๆ เพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกว่า ศักดิ์ศรีของ ตนได้ถูกพัฒนาและส่งเสริม (Lasswell, 1948, p. 93) สิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องโดยใกล้ชิดกับฐานะและตำแหน่ง คือ เกียรติยศ (prestige) และอำนาจ (power) ความต้องการที่จะได้ มีชื่อเสียง ก็คือความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเหนือคนอื่น ความ ต้องการที่จะได้มีอำนาจก็คล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว มีบางคนที่หลีกเลี่ยงไม่ใส่ใจกับความมีชื่อเสียง แต่ทะเยอ- ทะยานที่จะมีอำนาจเหนือพวกพ้อง บางคนอาจจะไม่มีชื่อเสียง 21

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ใดเลย แต่มีอำนาจต่างๆ อยู่ในมือ วิธีการแบบนี้แสดงให้เห็นถึง ผลของความต้องการมีสถานภาพในวิธีที่ต่างกันออกไป ฐานะหรือตำแหน่ง เป็นจุดมุ่งหมายทุติยภูมิที่มีเพื่อ ตอบสนองแรงจูงใจขั้นมูลฐาน คนที่มีสถานภาพอย่างหนึ่ง สามารถจะคาดหวังได้ว่าจะทำเงินได้ขนาดหนึ่ง มีชีวิตได้แบบ หนึ่ง และได้รับการปฏิบัติจากบุคคลอื่นอย่างหนึ่ง ดังนั้น สถานภาพสามารถประกันให้เราได้ไม่มากก็น้อยว่า บุคคลอาจ ตอบสนองความต้องการอื่นๆ ได้ขนาดหนึ่ง และนอกจากนี้ มันยังช่วยให้คนไม่ต้องกลัวว่า เขาจะต้องสูญเสียความพอใจ บางอย่างที่ไปด้วยกันกับสถานภาพ ดงั นน้ั หากจะกลา่ วถงึ อำนาจของมนษุ ย์ ซง่ึ จะแสดงออก โดยพฤติกรรมนั้น จะต้องมีแรงจูงใจที่เป็นพื้นฐานเพื่อสนอง ตอบความต้องการ (need) ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นแรงจูงใจจาก ภายนอกหรือภายในของแต่ละบุคคล เพื่อตอบสนองความ ต้องการอำนาจ ไม่ว่าเพื่อจะเป็นเจ้าของทรัพยากร เพื่อรักษา ผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อการแสวงหาเกียรติยศ ชื่อเสียง การสืบทอดทายาททางการเมือง ก็ถือเป็นอีกสาเหตุหนึ่งในแรง จูงใจ ที่ต้องการอำนาจในการสานต่อ ขยาย และปกป้องรักษา ผลประโยชน์ของตน ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อ ให้มีส่วนในกิจกรรมที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล การทีบ่ คุ คลใดบคุ คลหนึง่ จะมีความสนใจในการเมือง จนกระทัง่ ตดั สนิ ใจเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งดว้ ยการลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั เพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเรียนรู้ทางการเมืองจาก ครอบครัว ถือเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่ง (ธวัชชัย กฤติยา- ภิชาตกุล, 2541, น. 24) 22

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 3. แนวคิดระบบอุปถัมภ์ แนวคิดเรื่อง “ระบบอุปถัมภ์” (อมรา พงศาพิชญ์ และ ปรีชา คุวินทร์พันธุ์, 2545, น. 1-7) เป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้นำมา ใช้เพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมไทย นำโดย ลูเซียน เอ็ม แฮงส์ (Lucian M. Hanks) ม.ร.ว.อคนิ รพพี ฒั น์ รว่ มดว้ ยนกั วชิ าการ โดยเฉพาะจากสำนักคอร์แนลล์ เช่น เดวิด วิลสัน (David Wilson) และนกั วชิ าการทา่ นอน่ื ๆ มองจากแงม่ มุ หนง่ึ แนวคดิ น้ี ได้ชี้ให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีการ กำหนดสถานภาพของบุคคลลดหลั่นจากบนมาสู่ล่าง นั่นคือ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีโครงสร้างที่เน้นความแตกต่างระหว่าง ฐานะตำแหน่ง ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์ที่มี ฐานะตำแหน่งสูงกว่าและผู้รับอุปถัมภ์ที่มีฐานะต่ำกว่า แฮงค์ มองว่า โครงสร้างสังคมไทยประกอบด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เท่า เทียมกัน หรือเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่งโดยตลอดทั้งสังคม อย่างไรก็ตาม แนวคิดของแฮงส์ได้รับการโต้แย้งว่า แนวคิด ระบบอุปถัมภ์เป็นแนวคิดที่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์สังคมใน ระดับจุลภาค แต่ไม่สามารถอธิบายสังคมไทยได้ทั้งหมด กระแสต้านได้ออกมาในรูปของการเสนอแนวคิดในเรื่องของการ จัดชั้นทางสังคม (social class) ซึ่งถือว่าสามารถอธิบาย โครงสร้างสังคมได้ดีกว่า นักวิชาการกลุ่มนี้ ได้แก่ ฮันส์ ดีเตอร์ เอเวอส์ (Hans-Dieter Evers) แอนดรู เตอร์ดัน (Andrew Turton) รวมไปถึงนักวิชาการกลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองด้วย การรวมกลุ่มของชาวไร่ชาวนา และกรรมกรในรปู สมาคม หรือสหพันธ์ แสดงให้เห็นจิตสำนึกของการรวมตัวกันทางชนชั้น 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดศรีสะเกษ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ให้กำเนิดชนชั้นล่าง และชนชั้นกลางที่เด่นชัดยิ่งขึ้น งานวิจัยกลุ่มชนชั้นต่างๆ จึงเป็น ที่สนใจของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์มากขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย โดยตลอด ทั้งคำว่า “เจ้าพ่อ” “เจ้านาย-ลูกน้อง” “ลูกพ่ี- ลูกน้อง” “ผู้มีอิทธิพล” “หัวคะแนน” “การซ้ือเสียง” ที่เรา ให้เรียกบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม ก็เป็นคำที่มีความหมาย เกี่ยวข้องกับลักษณะของความสัมพันธ์แบบ “ผู้อุปถัมภ์-ผู้รับ อุปถัมภ์” โดยตรงและโดยอ้อมแทบทั้งสิ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับ ประเด็นการศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดศรีสะเกษในครั้งนี้ ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ (Patron-Client Relationship) เป็นรากฐานสำคัญของการจัดองค์การของสังคมไทย (Social Organization) มาแต่โบราณ ระบบศักดินาหรือระบบไพร่เป็น ระบบที่กำหนดความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างไพร่กับมูลนาย มูลนายไม่เพียงแต่จะต้องการความสวามิภักดิ์จากไพร่เท่านั้น หากยังหาผลประโยชน์ด้วยการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐกิจ (Economic Surplus) จากไพร่อีกด้วย ในขณะเดียวกันมูลนาย กใ็ หก้ ารอปุ ถมั ภท์ างการเมอื ง (Political Patronage) และการอปุ ถมั ภ์ ทางเศรษฐกจิ แกไ่ พรเ่ ปน็ การตอบแทน ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อปุ ถมั ภ์ ดังกล่าวนี้ยังคงสืบทอดต่อมา เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลง รปู แบบเท่านั้น (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2546, น. 97-98) โดยแบบแผนของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์จะแตกต่าง ไปตามระบอบการเมืองการปกครอง ในช่วงที่ระบบการเมือง การปกครองมีลักษณะเผด็จการ/คณาธิปไตย ความสัมพันธ์เชิง 24

กรอบแนวคิด และวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง อุปถัมภ์ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทาง การเมืองกับฐานกำลังทางทหาร (ประเทือง ม่วงอ่อน, 2547, น. 141) ชัยอนันต์ สมุทวนิช (2544, น. 14-15) เห็นว่า ความ สัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นเพราะในสังคมมีความแตกต่าง กันอย่างมากมาย ทั้งทางด้านสถานภาพทางสังคม ความมั่งคั่ง และอำนาจ เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งบุคคล 2 คนนี้ ต่างช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน โดยบุคคลแต่ละคนในสังคมมีอิสระที่จะเลือก ลูกน้องและยังมีอิสระในการกำหนดจำนวนบุคคลที่เขาจะมี ความสัมพันธ์ด้วย มีอิสระในการเลือกว่า เมื่อใดจะสิ้นสุดความ สัมพันธ์ ซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า ความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์กับ ลกู น้อง และมีลักษณะพิเศษ ดังนี้ 1) มีการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคน ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2) เนื่องจากลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ของแต่ละคู่ สัมพันธ์แตกต่างกัน จึงมีการให้ประโยชน์เป็นพิเศษต่อบางคน มากกว่าคนอื่นๆ 3) ความสัมพันธ์เช่นนี้ มีลักษณะเปราะบาง เพราะ ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าหลักการ ดังนั้น การจะรักษา เสถียรภาพของความสัมพันธ์ไว้ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ต่อกันอย่างต่อเนื่อง บุคคลแต่ละคนต่างมีของที่อีก ฝ่ายหนึ่งไม่มีและของที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีนั้นเป็นสิ่งที่อีกฝ่าย หนึ่งต้องการ 25