1
2 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ขอ้ ความเบอ้ื งต้น มาตรา ๑ กฎหมายนีใ้ หเ้ รียกว่า ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๒ ให้ใชป้ ระมวลกฎหมายนี้ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑ เดอื นมกราคม พระพุทธศกั ราช ๒๔๖๘ เปน็ ต้นไป มาตรา ๓ ตง้ั แตว่ ันที่ใชป้ ระมวลกฎหมายนสี้ ืบไป ให้ยกเลกิ บรรดากฎหมาย กฎ และ ขอ้ บงั คับอื่น ๆ ในส่วนทม่ี บี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ ในประมวลกฎหมายน้ี หรอื ซงึ่ แย้งกบั บทแห่งประมวลกฎหมายน้ี บรรพ ๑ หลกั ท่ัวไป ลักษณะ ๑ บทเบด็ เสรจ็ ทั่วไป มาตรา ๔ กฎหมายนั้น ตอ้ งใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญตั ิใด ๆ แหง่ กฎหมายตาม ตวั อกั ษร หรอื ตามความมุ่งหมายของบทบัญญตั ินนั้ ๆ เมอ่ื ไมม่ บี ทกฎหมายทจี่ ะยกมาปรับคดไี ด้ ใหว้ ินิจฉยั คดีนั้นตามจารตี ประเพณีแหง่ ทอ้ งถ่ิน ถา้ ไม่มีจารตี ประเพณเี ชน่ ว่านน้ั ใหว้ นิ จิ ฉัยคดีอาศัยเทยี บบทกฎหมายทีใ่ กลเ้ คยี งอย่างยง่ิ และถา้ บทกฎหมาย เช่นน้นั ก็ไมม่ ดี ้วย ใหว้ นิ ิจฉัยตามหลักกฎหมายทัว่ ไป มาตรา ๕ ในการใช้สิทธแิ หง่ ตนกด็ ี ในการชำระหนี้ก็ดี บคุ คลทกุ คนตอ้ งกระทำโดยสจุ รติ มาตรา ๖ ใหส้ ันนษิ ฐานไวก้ อ่ นวา่ บคุ คลทกุ คนกระทำการโดยสุจริต มาตรา ๗ ถา้ จะตอ้ งเสยี ดอกเบยี้ แก่กันและมไิ ดก้ ำหนดอตั ราดอกเบย้ี ไว้โดยนติ กิ รรมหรอื โดย บทกฎหมายอันชัดแจ้ง ใหใ้ ช้อัตรารอ้ ยละเจ็ดครง่ึ ตอ่ ปี
3 มาตรา ๘ คำวา่ “เหตสุ ุดวิสยั ” หมายความว่า เหตใุ ด ๆ อนั จะเกิดข้ึนก็ดี จะใหผ้ ลพิบัตกิ ็ดี เป็นเหตทุ ่ีไมอ่ าจปอ้ งกนั ได้แมท้ ง้ั บคุ คลผตู้ ้องประสบหรือใกลจ้ ะต้องประสบเหตุนนั้ จะไดจ้ ัดการระมดั ระวังตาม สมควรอันพงึ คาดหมายได้จากบคุ คลในฐานะและภาวะเช่นนน้ั มาตรา ๙ เมื่อมกี ิจการอันใดซง่ึ กฎหมายบงั คบั ใหท้ ำเป็นหนงั สอื บคุ คลผจู้ ะตอ้ งทำหนงั สือไม่ จำเป็นตอ้ งเขียนเอง แต่หนงั สอื นน้ั ต้องลงลายมอื ชือ่ ของบุคคลนัน้ ลายพิมพน์ ว้ิ มอื แกงได ตราประทบั หรอื เคร่ืองหมายอ่ืนทำนองเชน่ วา่ นัน้ ทท่ี ำลงในเอกสาร แทนการลงลายมอื ชอ่ื หากมพี ยานลงลายมือชอื่ รบั รองไวด้ ้วยสองคนแลว้ ให้ถือเสมอกบั ลงลายมอื ชอ่ื ความในวรรคสองไม่ใชบ้ งั คับแกก่ ารลงลายพมิ พ์นวิ้ มอื แกงได ตราประทับ หรือเครอ่ื งหมาย อื่นทำนองเชน่ วา่ นัน้ ซ่ึงทำลงในเอกสารท่ีทำต่อหน้าพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ มาตรา ๑๐ เมื่อความข้อใดข้อหนงึ่ ในเอกสารอาจตคี วามไดส้ องนยั นัยไหนจะทำให้เปน็ ผล บังคบั ได้ ใหถ้ ือเอาตามนัยนั้นดีกว่าท่ีจะถือเอานัยทไี่ รผ้ ล มาตรา ๑๑ ในกรณีทม่ี ีข้อสงสัย ให้ตคี วามไปในทางท่เี ป็นคุณแก่คกู่ รณีฝา่ ยซงึ่ จะเปน็ ผู้ตอ้ ง เสยี ในมลู หนน้ี น้ั มาตรา ๑๒ ในกรณีทจ่ี ำนวนเงินหรอื ปรมิ าณในเอกสารแสดงไว้ทัง้ ตวั อักษรและตัวเลข ถ้า ตวั อกั ษรกบั ตวั เลขไม่ตรงกนั และมอิ าจหยง่ั ทราบเจตนาอนั แทจ้ รงิ ได้ ใหถ้ ือเอาจำนวนเงินหรือปรมิ าณท่ีเป็น ตวั อกั ษรเป็นประมาณ มาตรา ๑๓ ถา้ จำนวนเงินหรือปรมิ าณในเอกสารแสดงไวเ้ ปน็ ตวั อักษรหลายแหง่ หรอื เปน็ ตวั เลขหลายแห่ง แต่ที่แสดงไว้หลายแห่งนน้ั ไมต่ รงกัน และมอิ าจหยง่ั ทราบเจตนาอนั แทจ้ รงิ ได้ ให้ถือเอา จำนวนเงนิ หรือปรมิ าณน้อยทสี่ ุดเปน็ ประมาณ มาตรา ๑๔ ในกรณที ี่เอกสารทำขน้ึ ไว้หลายภาษา ไม่ว่าจะเปน็ ฉบับเดียวกนั หรือหลายฉบบั ก็ ตามโดยมีภาษาไทยดว้ ย ถ้าขอ้ ความในหลายภาษานนั้ แตกต่างกนั และมิอาจหยงั่ ทราบเจตนาของคกู่ รณีไดว้ า่ จะใชภ้ าษาใดบังคบั ให้ถอื ตามภาษาไทย
4 ลักษณะ ๒ บคุ คล หมวด ๑ บคุ คลธรรมดา ส่วนที่ ๑ สภาพบุคคล มาตรา ๑๕ สภาพบคุ คลยอ่ มเริม่ แต่เม่ือคลอดแล้วอยู่รอดเปน็ ทารกและสิ้นสดุ ลงเม่อื ตาย ทารกในครรภ์มารดากส็ ามารถมสี ทิ ธิต่าง ๆ ได้ หากวา่ ภายหลงั คลอดแลว้ อย่รู อดเป็นทารก มาตรา ๑๖ การนบั อายขุ องบุคคล ใหเ้ รม่ิ นบั แต่วันเกดิ ในกรณีทรี่ วู้ า่ เกดิ ในเดือนใดแต่ไมร่ ้วู นั เกิด ให้นบั วันทหี่ นึ่งแห่งเดอื นน้นั เป็นวันเกดิ แตถ่ า้ พน้ วสิ ัยทจ่ี ะหยง่ั รเู้ ดือนและวนั เกดิ ของบคุ คลใด ให้นับอายุ บุคคลน้นั ต้งั แตว่ นั ต้นปีปฏิทิน ซง่ึ เป็นปที ่บี คุ คลนนั้ เกิด มาตรา ๑๗ ในกรณบี ุคคลหลายคนตายในเหตภุ ยันตรายร่วมกนั ถ้าเป็นการพน้ วิสัยทจ่ี ะ กำหนดไดว้ ่าคนไหนตายก่อนหลัง ให้ถอื วา่ ตายพรอ้ มกนั มาตรา ๑๘ สทิ ธิของบุคคลในการทจี่ ะใชน้ ามอนั ชอบทจี่ ะใช้ไดน้ ั้นถ้ามีบุคคลอน่ื โตแ้ ยง้ กด็ ี หรอื บุคคลผ้เู ปน็ เจา้ ของนามน้นั ต้องเสื่อมเสยี ประโยชนเ์ พราะการทม่ี ผี ู้อื่นมาใชน้ ามเดียวกันโดยมไิ ดร้ บั อำนาจ ใหใ้ ชไ้ ดก้ ็ดี บคุ คลผูเ้ ป็นเจา้ ของนามจะเรียกใหบ้ ุคคลน้นั ระงบั ความเสียหายกไ็ ด้ ถ้าและเปน็ ทีพ่ งึ วิตกวา่ จะต้อง เสยี หายอยสู่ บื ไป จะร้องขอตอ่ ศาลใหส้ ง่ั ห้ามกไ็ ด้ สว่ นที่ ๒ ความสามารถ มาตรา ๑๙ บคุ คลยอ่ มพน้ จากภาวะผเู้ ยาว์และบรรลนุ ติ ิภาวะเม่ือมอี ายยุ ส่ี บิ ปีบริบรู ณ์
5 มาตรา ๒๐ ผูเ้ ยาวย์ อ่ มบรรลุนิตภิ าวะเมือ่ ทำการสมรส หากการสมรสนั้นไดท้ ำตาม บทบญั ญัตมิ าตรา ๑๔๔๘ มาตรา ๒๑ ผู้เยาว์จะทำนติ ิกรรมใด ๆ ตอ้ งไดร้ บั ความยินยอมของผูแ้ ทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ทผ่ี เู้ ยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นวา่ นน้ั เป็นโมฆยี ะ เวน้ แตจ่ ะบญั ญัตไิ ว้เปน็ อย่างอน่ื มาตรา ๒๒ ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทัง้ ส้ิน หากเป็นเพยี งเพ่อื จะได้ไปซง่ึ สทิ ธอิ นั ใดอันหนง่ึ หรอื เป็นการเพ่ือใหห้ ลุดพน้ จากหนา้ ทีอ่ ันใดอันหนึง่ มาตรา ๒๓ ผ้เู ยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทง้ั ส้ิน ซึง่ เปน็ การต้องทำเองเฉพาะตัว มาตรา ๒๔ ผเู้ ยาว์อาจทำการใด ๆ ไดท้ ง้ั สนิ้ ซ่ึงเป็นการสมแก่ฐานานรุ ปู แหง่ ตนและเป็นการ อันจำเปน็ ในการดำรงชพี ตามสมควร มาตรา ๒๕ ผ้เู ยาวอ์ าจทำพนิ ยั กรรมไดเ้ มื่ออายุสบิ หา้ ปบี ริบรู ณ์ มาตรา ๒๖ ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนญุ าตใหผ้ ูเ้ ยาว์จำหนา่ ยทรพั ยส์ นิ เพอื่ การอนั ใดอนั หนงึ่ อนั ได้ระบไุ ว้ ผเู้ ยาวจ์ ะจำหน่ายทรพั ย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการท่รี ะบุไว้น้นั ก็ทำไดต้ ามใจสมคั ร อนง่ึ ถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรพั ยส์ ินโดยมไิ ด้ระบุวา่ เพอ่ื การอันใด ผเู้ ยาว์ก็จำหน่ายไดต้ ามใจสมัคร มาตรา ๒๗ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมอาจใหค้ วามยินยอมแกผ่ เู้ ยาวใ์ นการประกอบธรุ กจิ ทางการ ค้าหรือธุรกจิ อื่น หรอื ในการทำสัญญาเป็นลกู จา้ งในสัญญาจา้ งแรงงานได้ ในกรณีทผ่ี ู้แทนโดยชอบธรรมไมใ่ ห้ ความยนิ ยอมโดยไมม่ ีเหตุอันสมควร ผเู้ ยาวอ์ าจรอ้ งขอต่อศาลใหส้ ่ังอนญุ าตได้ ในความเกย่ี วพนั กบั การประกอบธรุ กจิ หรือการจา้ งแรงงานตามวรรคหนง่ึ ใหผ้ เู้ ยาว์มีฐานะ เสมอื นดังบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแลว้ ถ้าการประกอบธรุ กจิ หรือการทำงานท่ไี ดร้ ับความยินยอมหรอื ท่ีได้รับอนญุ าตตามวรรคหน่ึง กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายถึงขนาดหรือเส่อื มเสียแกผ่ เู้ ยาว์ ผ้แู ทนโดยชอบธรรมอาจบอกเลิกความยินยอมทไี่ ด้ ให้แก่ผเู้ ยาว์เสยี ได้ หรอื ในกรณที ศี่ าลอนญุ าต ผแู้ ทนโดยชอบธรรมอาจร้องขอตอ่ ศาลใหเ้ พิกถอนการอนญุ าตที่ ได้ให้แก่ผเู้ ยาว์นั้นเสียได้ ในกรณที ี่ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมบอกเลกิ ความยินยอมโดยไม่มเี หตอุ นั สมควร ผเู้ ยาว์อาจร้องขอ ต่อศาลใหเ้ พิกถอนการบอกเลกิ ความยนิ ยอมของผ้แู ทนโดยชอบธรรมได้
6 การบอกเลิกความยินยอมโดยผู้แทนโดยชอบธรรมหรอื การเพกิ ถอนการอนญุ าตโดยศาล ย่อม ทำให้ฐานะเสมอื นดงั บุคคลซ่งึ บรรลุนติ ภิ าวะแล้วของผเู้ ยาว์สน้ิ สดุ ลง แตไ่ มก่ ระทบกระเทือนการใด ๆ ทผี่ เู้ ยาว์ ได้กระทำไปแลว้ ก่อนมกี ารบอกเลิกความยนิ ยอมหรือเพกิ ถอนการอนญุ าต มาตรา ๒๘ บคุ คลวิกลจริตผู้ใด ถา้ คูส่ มรสก็ดี ผบู้ พุ การีกล่าวคอื บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดกด็ ี ผสู้ ืบสันดานกลา่ วคอื ลูก หลาน เหลน ลอ่ื กด็ ี ผู้ปกครองหรอื ผู้พิทกั ษ์กด็ ี ผซู้ ง่ึ ปกครองดแู ลบคุ คลนน้ั อยกู่ ็ดี หรอื พนกั งานอยั การกด็ ี รอ้ งขอต่อศาลใหส้ งั่ ใหบ้ ุคคลวกิ ลจรติ ผูน้ ้ันเปน็ คนไร้ความสามารถ ศาลจะสงั่ ให้ บุคคลวกิ ลจรติ ผนู้ ั้นเป็นคนไรค้ วามสามารถก็ได้ บุคคลซึง่ ศาลได้สง่ั ใหเ้ ปน็ คนไร้ความสามารถตามวรรคหนง่ึ ต้องจดั ใหอ้ ย่ใู นความอนบุ าล การ แต่งตง้ั ผู้อนบุ าล อำนาจหนา้ ท่ขี องผอู้ นบุ าล และการส้ินสดุ ของความเปน็ ผอู้ นบุ าล ใหเ้ ปน็ ไปตามบทบัญญัติ บรรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายน้ี คำสง่ั ของศาลตามมาตรานี้ ใหป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา มาตรา ๒๙ การใด ๆ อันบคุ คลซงึ่ ศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การน้ันเปน็ โมฆียะ มาตรา ๓๐ การใด ๆ อนั บคุ คลวกิ ลจรติ ซงึ่ ศาลยังมิได้สั่งใหเ้ ปน็ คนไรค้ วามสามารถไดก้ ระทำ ลง การนนั้ จะเป็นโมฆียะตอ่ เม่อื ไดก้ ระทำในขณะที่บคุ คลนน้ั จริตวิกลอยู่ และค่กู รณีอีกฝา่ ยหนงึ่ ไดร้ ้แู ล้วดว้ ยว่า ผู้กระทำเปน็ คนวิกลจรติ มาตรา ๓๑ ถ้าเหตุทที่ ำใหเ้ ปน็ คนไร้ความสามารถได้สน้ิ สุดไปแล้ว และเม่อื บุคคลผนู้ ้ันเอง หรือบคุ คลใด ๆ ดังกล่าวมาในมาตรา ๒๘ รอ้ งขอต่อศาลกใ็ ห้ศาลสง่ั เพกิ ถอนคำสงั่ ทีใ่ หเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ นน้ั คำสั่งของศาลตามมาตราน้ี ใหป้ ระกาศในราชกิจจานเุ บกษา มาตรา ๓๒ บุคคลใดมกี ายพกิ ารหรือมจี ติ ฟ่นั เฟอื นไมส่ มประกอบ หรือประพฤตสิ รุ ่ยุ สุรา่ ย เสเพลเป็นอาจิณ หรอื ติดสรุ ายาเมา หรอื มีเหตอุ น่ื ใดทำนองเดียวกันนัน้ จนไมส่ ามารถจะจดั ทำการงานโดย ตนเองได้ หรอื จัดกจิ การไปในทางท่ีอาจจะเสอื่ มเสียแก่ทรพั ย์สินของตนเองหรอื ครอบครวั เมอื่ บุคคลตามทร่ี ะบุ ไว้ในมาตรา ๒๘ ร้องขอตอ่ ศาล ศาลจะสงั่ ใหบ้ คุ คลนั้นเป็นคนเสมอื นไร้ความสามารถกไ็ ด้ บคุ คลซง่ึ ศาลไดส้ งั่ ให้เปน็ คนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึง่ ตอ้ งจัดใหอ้ ยูใ่ นความ พิทกั ษ์ การแตง่ ตงั้ ผู้พทิ กั ษ์ ใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั บิ รรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายนี้
7 ให้นำบทบัญญัตวิ ่าด้วยการสน้ิ สุดของความเปน็ ผปู้ กครองในบรรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมาย น้ี มาใช้บงั คบั แก่การสนิ้ สุดของการเปน็ ผพู้ ิทักษ์โดยอนโุ ลม คำสั่งของศาลตามมาตราน้ี ใหป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา มาตรา ๓๓ ในคดที ่ีมกี ารร้องขอให้ศาลส่งั ให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถเพราะวกิ ลจรติ ถา้ ทางพจิ ารณาไดค้ วามว่าบคุ คลนน้ั ไมว่ กิ ลจริต แต่มจี ิตฟัน่ เฟอื นไม่สมประกอบ เมอื่ ศาลเหน็ สมควรหรือเมื่อมี คำขอของคู่ความหรอื ของบคุ คลตามทร่ี ะบไุ วใ้ นมาตรา ๒๘ ศาลอาจส่งั ใหบ้ คุ คลนั้นเปน็ คนเสมอื นไร้ ความสามารถก็ได้ หรือในคดีท่ีมีการรอ้ งขอให้ศาลสง่ั ใหบ้ คุ คลใดเป็นคนเสมือนไรค้ วามสามารถเพราะมีจิตฟ่ัน เฟือนไมส่ มประกอบ ถ้าทางพจิ ารณาได้ความว่าบคุ คลนั้นวิกลจรติ เม่อื มคี ำขอของคูค่ วามหรอื ของบุคคลตามที่ ระบไุ ว้ในมาตรา ๒๘ ศาลอาจสงั่ ใหบ้ ุคคลนัน้ เปน็ คนไรค้ วามสามารถก็ได้ มาตรา ๓๔ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถนั้น ตอ้ งได้รบั ความยนิ ยอมของผู้พิทกั ษ์กอ่ นแลว้ จงึ จะ ทำการอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดดังตอ่ ไปน้ไี ด้ (๑) นำทรพั ยส์ นิ ไปลงทนุ (๒) รับคนื ทรพั ยส์ นิ ทีไ่ ปลงทุน ตน้ เงินหรือทนุ อย่างอ่นื (๓) กู้ยืมหรอื ให้กยู้ มื เงิน ยมื หรอื ให้ยมื สงั หาริมทรพั ยอ์ นั มีค่า (๔) รับประกันโดยประการใด ๆ อนั มผี ลให้ตนต้องถูกบังคบั ชำระหนี้ (๕) เช่าหรือใหเ้ ชา่ สังหารมิ ทรพั ย์มีกำหนดระยะเวลาเกนิ กวา่ หกเดอื น หรืออสังหารมิ ทรพั ย์มี กำหนดระยะเวลาเกนิ กว่าสามปี (๖) ใหโ้ ดยเสนห่ า เว้นแต่การใหท้ ่พี อควรแก่ฐานานรุ ปู เพอ่ื การกศุ ล การสงั คม หรือตาม หน้าท่ีธรรมจรรยา (๗) รับการให้โดยเสนห่ าที่มเี งื่อนไขหรอื คา่ ภาระตดิ พัน หรอื ไม่รบั การใหโ้ ดยเสนห่ า (๘) ทำการอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดเพอื่ จะไดม้ าหรือปลอ่ ยไปซ่ึงสิทธิในอสงั หาริมทรพั ยห์ รอื ใน สังหาริมทรัพยอ์ นั มีคา่ (๙) ก่อสร้างหรอื ดัดแปลงโรงเรือนหรอื สง่ิ ปลูกสรา้ งอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอยา่ งใหญ่ (๑๐) เสนอคดีต่อศาลหรอื ดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาใด ๆ เว้นแต่การร้องขอตามมาตรา ๓๕ หรอื การรอ้ งขอถอนผู้พทิ กั ษ์ (๑๑) ประนปี ระนอมยอมความหรอื มอบข้อพิพาทใหอ้ นญุ าโตตลุ าการวินิจฉัย ถา้ มกี รณีอืน่ ใดนอกจากทก่ี ลา่ วในวรรคหนึง่ ซงึ่ คนเสมือนไรค้ วามสามารถอาจจดั การไป ในทางเส่ือมเสียแกท่ รพั ยส์ นิ ของตนเองหรอื ครอบครัว ในการสง่ั ให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไรค้ วามสามารถ หรือเมือ่ ผพู้ ทิ กั ษ์ร้องขอในภายหลงั ศาลมีอำนาจสงั่ ใหค้ นเสมอื นไรค้ วามสามารถนน้ั ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมของ ผ้พู ิทกั ษก์ อ่ นจงึ จะทำการนน้ั ได้
8 ในกรณีท่ีคนเสมือนไรค้ วามสามารถไม่สามารถจะทำการอยา่ งหนงึ่ อย่างใดทก่ี ล่าวมาในวรรค หน่งึ หรอื วรรคสองไดด้ ้วยตนเอง เพราะเหตมุ ีกายพิการหรือมจี ติ ฟน่ั เฟือนไมส่ มประกอบ ศาลจะสง่ั ใหผ้ ้พู ิทกั ษ์ เป็นผ้มู อี ำนาจกระทำการนน้ั แทนคนเสมอื นไร้ความสามารถก็ได้ ในกรณเี ช่นน้ี ให้นำบทบญั ญตั ทิ ี่เกี่ยวกบั ผู้ อนุบาลมาใช้บงั คบั แกผ่ ้พู ทิ กั ษ์โดยอนุโลม คำส่ังของศาลตามมาตรานี้ ใหป้ ระกาศในราชกิจจานเุ บกษา การใดกระทำลงโดยฝา่ ฝนื บทบญั ญตั มิ าตรานี้ การนั้นเปน็ โมฆยี ะ มาตรา ๓๕ ในกรณที ผี่ ูพ้ ิทักษ์ไม่ยินยอมให้คนเสมอื นไรค้ วามสามารถกระทำการอยา่ งหน่ึง อย่างใดตามมาตรา ๓๔ โดยปราศจากเหตผุ ลอนั สมควร เมอ่ื คนเสมือนไรค้ วามสามารถรอ้ งขอ ศาลจะมคี ำสงั่ อนญุ าตให้กระทำการนน้ั โดยไม่ต้องรบั ความยินยอมจากผพู้ ทิ กั ษ์ก็ได้ ถา้ การนน้ั จะเป็นคุณประโยชนแ์ กค่ น เสมอื นไร้ความสามารถ มาตรา ๓๖ ถา้ เหตุที่ศาลได้ส่ังใหเ้ ป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไดส้ ิ้นสุดไปแล้ว ใหน้ ำ บทบญั ญตั มิ าตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม สว่ นที่ ๓ ภูมิลำเนา มาตรา ๓๗ ภมู ลิ ำเนาของบคุ คลธรรมดา ไดแ้ ก่ถิ่นอันบคุ คลนนั้ มีสถานท่ีอยเู่ ปน็ แหลง่ สำคญั มาตรา ๓๘ ถ้าบุคคลธรรมดามถี นิ่ ท่อี ยหู่ ลายแหง่ ซึง่ อยสู่ บั เปล่ียนกันไปหรือมหี ลกั แหล่งทท่ี ำ การงานเป็นปกติหลายแหง่ ใหถ้ อื เอาแหง่ ใดแหง่ หนง่ึ เป็นภมู ลิ ำเนาของบคุ คลนัน้ มาตรา ๓๙ ถา้ ภูมิลำเนาไม่ปรากฏ ใหถ้ อื วา่ ถ่นิ ทอ่ี ยู่เป็นภมู ลิ ำเนา มาตรา ๔๐ บคุ คลธรรมดาซงึ่ เป็นผู้ไมม่ ีทอี่ ยปู่ กตเิ ปน็ หลกั แหลง่ หรือเป็นผู้ครองชพี ในการ เดินทางไปมาปราศจากหลักแหลง่ ทที่ ำการงาน พบตวั ในถิน่ ไหนให้ถอื ว่าถ่นิ น้นั เปน็ ภูมลิ ำเนาของบคุ คลนนั้ มาตรา ๔๑ ภูมลิ ำเนาย่อมเปล่ียนไปดว้ ยการยา้ ยถน่ิ ทอ่ี ยู่ พรอ้ มดว้ ยเจตนาปรากฏชดั แจง้ ว่า จะเปลี่ยนภูมลิ ำเนา
9 มาตรา ๔๒ ถ้าบคุ คลใดได้เลือกเอาถิ่นใด โดยมีเจตนาปรากฏชดั แจ้งวา่ จะให้เปน็ ภูมลิ ำเนา เฉพาะการเพ่ือทำการใด ให้ถอื ว่าถ่ินนั้นเป็นภมู ลิ ำเนาเฉพาะการสำหรบั การนัน้ มาตรา ๔๓ ภูมลิ ำเนาของสามแี ละภรยิ า ไดแ้ ก่ถิ่นทอี่ ยทู่ ส่ี ามแี ละภรยิ าอยกู่ ินด้วยกนั ฉันสามี ภริยา เว้นแต่สามหี รอื ภรยิ าได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภมู ลิ ำเนาแยกต่างหากจากกนั มาตรา ๔๔ ภมู ลิ ำเนาของผเู้ ยาว์ ไดแ้ กภ่ ูมิลำเนาของผแู้ ทนโดยชอบธรรมซง่ึ เป็นผใู้ ชอ้ ำนาจ ปกครองหรือผูป้ กครอง ในกรณที ่ผี เู้ ยาวอ์ ย่ใู ต้อำนาจปกครองของบิดามารดา ถ้าบดิ าและมารดามภี ูมลิ ำเนาแยก ต่างหากจากกัน ภมู ิลำเนาของผู้เยาว์ไดแ้ กภ่ มู ิลำเนาของบดิ าหรอื มารดาซงึ่ ตนอย่ดู ้วย มาตรา ๔๕ ภูมลิ ำเนาของคนไรค้ วามสามารถ ได้แก่ภูมิลำเนาของผอู้ นบุ าล มาตรา ๔๖ ภมู ลิ ำเนาของขา้ ราชการ ได้แก่ถิ่นอนั เป็นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่ หากมใิ ช่ เป็นตำแหนง่ หน้าทีช่ วั่ คราวช่ัวระยะเวลาหรือเป็นเพียงแตง่ ตงั้ ไปเฉพาะการครง้ั เดยี วคราวเดียว มาตรา ๔๗ ภูมลิ ำเนาของผู้ที่ถกู จำคกุ ตามคำพิพากษาถึงทส่ี ดุ ของศาลหรอื ตามคำสงั่ โดย ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำหรอื ทณั ฑสถานท่ีถูกจำคุกอยู่ จนกวา่ จะได้รบั การปลอ่ ยตัว ส่วนที่ ๔ สาบสูญ มาตรา ๔๘ ถ้าบุคคลใดไปเสยี จากภูมลิ ำเนาหรอื ถ่ินท่อี ย่โู ดยมิได้ต้ังตัวแทนผรู้ บั มอบอำนาจ ท่วั ไปไว้ และไมม่ ใี ครรู้แน่ว่าบคุ คลนั้นยงั มชี ีวติ อยหู่ รือไม่ เมอ่ื ผู้มสี ่วนได้เสยี หรอื พนกั งานอัยการร้องขอ ศาลจะ สงั่ ใหท้ ำการอยา่ งหน่งึ อย่างใดไปพลางกอ่ นตามทีจ่ ำเปน็ เพอ่ื จดั การทรพั ยส์ นิ ของบคุ คลผ้ไู ม่อยนู่ ้นั ก็ได้ เมอ่ื เวลาไดล้ ว่ งเลยไปหนง่ึ ปีนบั แตว่ ันทผ่ี ไู้ มอ่ ยนู่ ั้นไปเสยี จากภมู ลิ ำเนาหรือถ่นิ ทอี่ ยู่ และไม่มี ผู้ใดได้รบั ขา่ วเก่ียวกบั บคุ คลนนั้ ประการใดเลยกด็ ี หรอื หน่งึ ปนี บั แตว่ ันมผี ้ไู ดพ้ บเห็นหรือได้ทราบขา่ วมาเปน็ ครั้ง หลงั สุดกด็ ี เมื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งรอ้ งขอ ศาลจะต้ังผจู้ ดั การทรพั ย์สินของผู้ไม่อยูข่ ้นึ กไ็ ด้ มาตรา ๔๙ ในกรณีทผี่ ู้ไมอ่ ยู่ไดต้ ง้ั ตัวแทนผรู้ ับมอบอำนาจทวั่ ไปไว้ และสัญญาตวั แทนระงบั สิ้นไป หรอื ปรากฏวา่ ตวั แทนผู้รบั มอบอำนาจท่วั ไปไดจ้ ัดการทรพั ยส์ นิ นัน้ ในลกั ษณะทอี่ าจเสียหายแก่บุคคล ดงั กลา่ ว ให้นำมาตรา ๔๘ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม
10 มาตรา ๕๐ เมื่อผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอัยการรอ้ งขอ ศาลจะสงั่ ให้ตัวแทนผรู้ บั มอบ อำนาจทัว่ ไปจัดทำบญั ชีทรัพยส์ นิ ของผูไ้ ม่อยูข่ นึ้ ตามทศี่ าลจะมคี ำสัง่ กไ็ ด้ มาตรา ๕๑ ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๘๐๒ ถ้าตวั แทนผรู้ บั มอบอำนาจทัว่ ไปเหน็ เปน็ การจำเปน็ จะต้องทำการอนั ใดอนั หนง่ึ เกนิ ขอบอำนาจที่ได้รบั ไว้ ต้องขออนุญาตตอ่ ศาล และเมือ่ ศาลสง่ั อนญุ าตแล้วจึงจะ กระทำการน้ันได้ มาตรา ๕๒ ผจู้ ดั การทรัพยส์ ินท่ีศาลได้ตัง้ ข้นึ ต้องทำบญั ชีทรพั ย์สนิ ของผู้ไมอ่ ย่ใู หเ้ สร็จภายใน สามเดอื นนบั แตว่ นั ทราบคำสงั่ ตง้ั ของศาล แตผ่ จู้ ัดการทรัพยส์ นิ จะรอ้ งขอตอ่ ศาลให้ขยายเวลากไ็ ด้ มาตรา ๕๓ บญั ชที รัพย์สนิ ตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ ตอ้ งมพี ยานลงลายมอื ช่ือรบั รอง ความถกู ตอ้ งอย่างนอ้ ยสองคน พยานสองคนนนั้ ตอ้ งเป็นคสู่ มรสหรอื ญาติของผไู้ ม่อยซู่ ง่ึ บรรลนุ ติ ิภาวะแลว้ แต่ ถา้ ไมม่ คี ู่สมรสหรือหาญาตไิ ม่ได้ หรือคู่สมรสและญาตไิ มย่ อมเป็นพยาน จะใหผ้ ู้อนื่ ซง่ึ บรรลุนติ ภิ าวะแล้วเปน็ พยานกไ็ ด้ มาตรา ๕๔ ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินมีอำนาจหนา้ ทอ่ี ย่างเดียวกบั ตัวแทนผู้รบั มอบอำนาจท่วั ไปตาม มาตรา ๘๐๑ และมาตรา ๘๐๒ ถ้าผจู้ ดั การทรพั ย์สนิ เห็นเปน็ การจำเปน็ จะตอ้ งทำการอนั ใดอนั หนงึ่ เกินขอบ อำนาจ ตอ้ งขออนญุ าตตอ่ ศาล และเมื่อศาลสั่งอนุญาตแล้วจงึ จะกระทำการน้ันได้ มาตรา ๕๕ ถ้าผ้ไู ม่อยูไ่ ดต้ งั้ ตวั แทนผรู้ ับมอบอำนาจเฉพาะการอนั ใดไว้ ผ้จู ัดการทรพั ยส์ ินจะ เข้าไปเกีย่ วขอ้ งกบั การอันเปน็ อำนาจเฉพาะการนั้นไมไ่ ด้ แตถ่ ้าปรากฏว่าการที่ตวั แทนจดั ทำอยู่นัน้ อาจจะ เสยี หายแก่ผู้ไมอ่ ยู่ ผูจ้ ัดการทรพั ยส์ ินจะรอ้ งขอใหศ้ าลถอดถอนตวั แทนนัน้ เสยี ก็ได้ มาตรา ๕๖ เมื่อผ้มู สี ว่ นไดเ้ สียหรือพนักงานอยั การรอ้ งขอ หรอื เม่อื ศาลเหน็ สมควรศาลอาจ สั่งอยา่ งหนงึ่ อย่างใดดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ให้ผจู้ ัดการทรพั ย์สินหาประกันอนั สมควรในการจัดการทรพั ยส์ ินของผไู้ ม่อยู่ตลอดจนการ มอบคนื ทรัพยส์ ินนน้ั (๒) ใหผ้ จู้ ดั การทรพั ยส์ นิ แถลงถงึ ความเป็นอยแู่ หง่ ทรพั ยส์ นิ ของผ้ไู ม่อยู่ (๓) ถอดถอนผู้จดั การทรพั ยส์ ิน และตง้ั ผอู้ ่ืนให้เปน็ ผจู้ ัดการทรพั ยส์ ินแทนต่อไป
11 มาตรา ๕๗ ในคำสง่ั ต้ังผ้จู ดั การทรัพยส์ นิ ศาลจะกำหนดบำเหนจ็ ให้แกผ่ ู้จดั การทรัพยส์ นิ โดย จา่ ยจากทรัพยส์ ินของผูไ้ มอ่ ยูน่ ั้นกไ็ ด้ ถ้าศาลมไิ ดก้ ำหนด ผู้จดั การทรพั ยส์ นิ จะรอ้ งขอตอ่ ศาลให้กำหนดบำเหนจ็ ในภายหลังก็ได้ ถ้าผจู้ ดั การทรพั ยส์ ิน หรอื ผมู้ สี ว่ นได้เสีย หรือพนักงานอยั การรอ้ งขอ หรอื เมอื่ มกี รณปี รากฏ แกศ่ าลวา่ พฤติการณเ์ ก่ยี วกบั การจดั การทรพั ยส์ นิ ไดเ้ ปล่ยี นแปลงไป ศาลจะสงั่ กำหนดบำเหนจ็ งด ลด เพมิ่ หรือกลบั ใหบ้ ำเหนจ็ แกผ่ ู้จดั การทรัพยส์ นิ อีกกไ็ ด้ มาตรา ๕๘ ความเปน็ ผจู้ ัดการทรพั ย์สินยอ่ มสิ้นสดุ ลงในกรณี ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ผู้ไมอ่ ย่นู น้ั กลบั มา (๒) ผไู้ ม่อยนู่ น้ั มไิ ด้กลบั มาแต่ไดจ้ ดั การทรพั ย์สนิ หรอื ตง้ั ตัวแทนเพ่อื จดั การทรพั ย์สนิ ของตน แล้ว (๓) ผูไ้ ม่อยู่ถึงแก่ความตายหรือศาลมีคำส่ังใหเ้ ป็นคนสาบสญู (๔) ผ้จู ัดการทรัพยส์ นิ ลาออกหรือถงึ แกค่ วามตาย (๕) ผจู้ ัดการทรพั ยส์ ินเปน็ คนไรค้ วามสามารถหรือคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ (๖) ผู้จัดการทรัพยส์ นิ เปน็ บคุ คลล้มละลาย (๗) ศาลถอดถอนผจู้ ัดการทรพั ยส์ นิ มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ความเป็นผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินสน้ิ สุดลงเพราะเหตุตามมาตรา ๕๘ (๔) (๕) หรอื (๖) ผู้จดั การทรพั ยส์ ินหรือทายาทของผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ผู้จัดการมรดก ผู้อนบุ าล ผู้พทิ ักษ์ เจา้ พนักงาน พทิ ักษ์ทรพั ย์ หรอื ผมู้ ีหน้าทด่ี แู ลทรพั ยส์ ินของผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ แล้วแต่กรณี จะตอ้ งแถลงใหศ้ าลทราบถงึ ความสนิ้ สุดน้ันโดยไม่ชักชา้ เพอื่ ศาลจะได้มีคำสั่งเกยี่ วกบั ผจู้ ดั การทรพั ย์สนิ ตอ่ ไปตามทเี่ หน็ สมควร ในระหวา่ ง เวลาดงั กล่าวนน้ั บคุ คลดงั กล่าวจะตอ้ งจดั การตามควรแก่พฤตกิ ารณเ์ พอ่ื รักษาประโยชน์ของผู้ไมอ่ ยู่ จนกวา่ จะ ไดส้ ง่ มอบทรพั ยส์ ินของผูไ้ มอ่ ยูใ่ ห้แกบ่ ุคคลหนงึ่ บุคคลใดตามท่ศี าลจะได้มคี ำสั่ง มาตรา ๖๐ ให้นำบทบัญญัตวิ า่ ดว้ ยตวั แทนแห่งประมวลกฎหมายน้ี มาใช้บังคับแก่การ จดั การทรพั ยส์ นิ ของผ้ไู มอ่ ย่โู ดยอนุโลม มาตรา ๖๑ ถา้ บุคคลใดได้ไปจากภูมลิ ำเนาหรือถ่นิ ทอ่ี ยู่ และไม่มีใครรูแ้ นว่ ่าบคุ คลนัน้ ยังมี ชวี ติ อยหู่ รือไม่ตลอดระยะเวลาหา้ ปี เมื่อผมู้ สี ่วนได้เสยี หรือพนกั งานอยั การร้องขอ ศาลจะส่ังให้บคุ คลน้นั เป็น คนสาบสญู กไ็ ด้ ระยะเวลาตามวรรคหน่ึงให้ลดเหลือสองปี
12 (๑) นับแต่วนั ที่การรบหรอื สงครามส้นิ สดุ ลง ถา้ บุคคลนน้ั อยใู่ นการรบหรอื สงคราม และ หายไปในการรบหรอื สงครามดงั กลา่ ว (๒) นบั แตว่ ันที่ยานพาหนะที่บคุ คลนั้นเดินทาง อบั ปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป (๓) นับแต่วันทเี่ หตุอันตรายแกช่ วี ิตนอกจากทร่ี ะบุไว้ใน (๑) หรือ (๒) ไดผ้ า่ นพน้ ไป ถ้าบุคคล นัน้ ตกอยใู่ นอนั ตรายเช่นว่าน้ัน มาตรา ๖๒ บคุ คลซง่ึ ศาลไดม้ ีคำสงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ให้ถอื วา่ ถึงแกค่ วามตายเมือ่ ครบ กำหนดระยะเวลาดงั ทรี่ ะบไุ วใ้ นมาตรา ๖๑ มาตรา ๖๓ เมอื่ บคุ คลผู้ถกู ศาลสง่ั ใหเ้ ปน็ คนสาบสูญนน้ั เองหรอื ผ้มู สี ว่ นได้เสยี หรอื พนักงาน อัยการรอ้ งขอตอ่ ศาล และพสิ จู นไ์ ด้ว่าบุคคลผถู้ กู ศาลสั่งใหเ้ ป็นคนสาบสูญน้ันยงั คงมีชวี ิตอยู่กด็ ี หรอื วา่ ตายใน เวลาอื่นผิดไปจากเวลาดังระบุไว้ในมาตรา ๖๒ กด็ ี ใหศ้ าลสง่ั ถอนคำสง่ั ใหเ้ ป็นคนสาบสญู น้นั แต่การถอนคำสง่ั นีย้ อ่ มไมก่ ระทบกระเทือนถงึ ความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันไดท้ ำไปโดยสจุ รติ ในระหวา่ งเวลาต้งั แต่ศาลมี คำสง่ั ใหเ้ ป็นคนสาบสูญจนถงึ เวลาถอนคำสงั่ นั้น บุคคลผูไ้ ดท้ รัพยส์ ินมาเนอ่ื งแต่การท่ีศาลสง่ั ใหบ้ คุ คลใดเป็นคนสาบสญู แตต่ อ้ งเสียสทิ ธขิ อง ตนไปเพราะศาลสง่ั ถอนคำสง่ั ใหบ้ ุคคลนน้ั เปน็ คนสาบสญู ใหน้ ำบทบญั ญตั ิว่าดว้ ยลาภมิควรได้แหง่ ประมวล กฎหมายน้มี าใช้บังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา ๖๔ คำสง่ั ศาลให้เป็นคนสาบสูญหรอื คำสงั่ ถอนคำสัง่ ให้เป็นคนสาบสูญ ใหป้ ระกาศใน ราชกิจจานเุ บกษา หมวด ๒ นติ บิ คุ คล สว่ นที่ ๑ บทเบด็ เสรจ็ ทั่วไป มาตรา ๖๕ นิตบิ ุคคลจะมขี ้ึนไดก้ ็แตด่ ว้ ยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนหี้ รือกฎหมาย อ่นื
13 มาตรา ๖๖ นติ บิ คุ คลยอ่ มมีสทิ ธิและหนา้ ที่ตามบทบญั ญัติแหง่ ประมวลกฎหมายน้หี รือ กฎหมายอน่ื ภายในขอบแห่งอำนาจหนา้ ทห่ี รือวตั ถุประสงคด์ งั ไดบ้ ัญญตั หิ รอื กำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบงั คบั หรอื ตราสารจัดตงั้ มาตรา ๖๗ ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๖๖ นติ บิ คุ คลยอ่ มมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทีเ่ ช่นเดียวกบั บคุ คล ธรรมดา เวน้ แต่สทิ ธแิ ละหน้าท่ีซึ่งโดยสภาพจะพงึ มีพงึ เป็นได้เฉพาะแกบ่ คุ คลธรรมดาเท่านน้ั มาตรา ๖๘ ภูมลิ ำเนาของนติ ิบุคคลได้แกถ่ ่นิ อนั เป็นท่ตี งั้ สำนกั งานใหญห่ รอื ถน่ิ อันเป็นทีต่ ง้ั ที่ ทำการ หรอื ถิ่นที่ไดเ้ ลือกเอาเป็นภูมลิ ำเนาเฉพาะการตามขอ้ บังคบั หรอื ตราสารจัดต้งั มาตรา ๖๙ ในกรณที น่ี ติ บิ ุคคลมีทตี่ งั้ ท่ีทำการหลายแหง่ หรอื มสี ำนกั งานสาขา ใหถ้ ือวา่ ถิ่นอนั เปน็ ท่ตี งั้ ของทที่ ำการหรอื ของสำนกั งานสาขาเปน็ ภูมลิ ำเนาในสว่ นกิจการอนั ไดก้ ระทำ ณ ทน่ี ัน้ ด้วย มาตรา ๗๐ นติ บิ ุคคลตอ้ งมีผ้แู ทนคนหน่งึ หรอื หลายคน ทง้ั นี้ ตามทก่ี ฎหมาย ขอ้ บงั คบั หรอื ตราสารจดั ตั้งจะได้กำหนดไว้ ความประสงค์ของนิตบิ คุ คลย่อมแสดงออกโดยผแู้ ทนของนิตบิ คุ คล มาตรา ๗๑ ในกรณที ีน่ ติ ิบคุ คลมผี ู้แทนหลายคน การดำเนนิ กจิ การของนติ บิ คุ คลให้เป็นไป ตามเสียงขา้ งมากของผแู้ ทนของนติ ิบุคคลนนั้ เว้นแต่จะได้มขี ้อกำหนดไว้เป็นประการอืน่ ในกฎหมาย ขอ้ บังคบั หรอื ตราสารจัดตงั้ มาตรา ๗๒ การเปล่ียนตวั ผู้แทนของนติ บิ คุ คล หรือการจำกดั หรอื แกไ้ ขเปลีย่ นแปลงอำนาจ ของผูแ้ ทนของนิตบิ คุ คล ใหม้ ีผลตอ่ เมือ่ ไดป้ ฏบิ ัตติ ามกฎหมาย ข้อบงั คับหรือตราสารจดั ตัง้ แล้ว แตจ่ ะยกขน้ึ เปน็ ข้อตอ่ สูบ้ คุ คลภายนอกผกู้ ระทำการโดยสุจริตมิได้ มาตรา ๗๓ ถา้ มีตำแหน่งวา่ งลงในจำนวนผแู้ ทนของนติ บิ ุคคล และมเี หตอุ นั ควรเช่ือวา่ การ ปล่อยตำแหนง่ ว่างไว้นา่ จะเกดิ ความเสียหายขึ้นได้ เมือ่ ผ้มู สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การร้องขอศาลจะแต่งตั้ง ผูแ้ ทนช่ัวคราวข้นึ ก็ได้ มาตรา ๗๔ ถ้าประโยชนไ์ ดเ้ สียของนติ บิ ุคคลขดั กบั ประโยชน์ได้เสยี ของผู้แทนของนิตบิ ุคคล ในการอันใด ผู้แทนของนิตบิ คุ คลน้นั จะเปน็ ผูแ้ ทนในการอันนน้ั ไม่ได้
14 มาตรา ๗๕ ถา้ กรณีตามมาตรา ๗๔ เป็นเหตุให้ไมม่ ผี แู้ ทนของนติ ิบคุ คลเหลอื อยู่ หรือผู้แทน ของนติ บิ ุคคลทเ่ี หลอื อยมู่ ีจำนวนไม่พอจะเป็นองค์ประชมุ หรือไม่พอจะกระทำการอนั น้นั ได้ หากกฎหมาย ขอ้ บังคบั หรือตราสารจัดตง้ั ของนิติบุคคลนนั้ มไิ ดม้ ีข้อกำหนดในเรอ่ื งน้ไี วเ้ ป็นอยา่ งอ่นื ให้นำความในมาตรา ๗๓ มาใช้บังคับเพอื่ ตั้งผแู้ ทนเฉพาะการโดยอนุโลม มาตรา ๗๖ ถ้าการกระทำตามหนา้ ทข่ี องผแู้ ทนของนิตบิ ุคคลหรือผมู้ ีอำนาจทำการแทนนิติ บคุ คล เปน็ เหตใุ หเ้ กิดความเสยี หายแก่บคุ คลอ่ืน นิติบคุ คลนนั้ ต้องรบั ผิดชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนเพอ่ื ความ เสยี หายน้ัน แตไ่ มส่ ญู เสยี สทิ ธทิ จี่ ะไลเ่ บีย้ เอาแกผ่ กู้ อ่ ความเสยี หาย ถ้าความเสยี หายแกบ่ ุคคลอนื่ เกดิ จากการกระทำท่ไี ม่อย่ใู นขอบวตั ถุประสงคห์ รอื อำนาจ หนา้ ที่ของนิตบิ ุคคล บรรดาบคุ คลดงั กล่าวตามวรรคหนึ่งทไ่ี ด้เหน็ ชอบให้กระทำการนั้นหรือไดเ้ ปน็ ผกู้ ระทำการ ดังกลา่ ว ต้องร่วมกนั รบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนแกผ่ ู้ที่ไดร้ บั ความเสยี หายน้นั มาตรา ๗๗ ใหน้ ำบทบญั ญตั ิว่าดว้ ยตัวแทนแห่งประมวลกฎหมายนี้ มาใช้บังคับแก่ความ เกี่ยวพันระหวา่ งนิติบุคคลกบั ผู้แทนของนิติบุคคล และระหว่างนิติบคุ คล หรอื ผแู้ ทนของนิตบิ ุคคลกบั บุคคลภายนอก โดยอนุโลม ส่วนท่ี ๒ สมาคม มาตรา ๗๘ การกอ่ ตงั้ สมาคมเพอ่ื กระทำการใด ๆ อันมีลักษณะตอ่ เนื่องร่วมกนั และมิใชเ่ ปน็ การหาผลกำไรหรอื รายไดม้ าแบง่ ปนั กัน ต้องมขี อ้ บังคบั และจดทะเบียนตามบทบญั ญตั ิแหง่ ประมวลกฎหมายน้ี มาตรา ๗๙ ข้อบงั คบั ของสมาคมอยา่ งน้อยตอ้ งมรี ายการ ดังต่อไปน้ี (๑) ช่อื สมาคม (๒) วตั ถปุ ระสงคข์ องสมาคม (๓) ทต่ี ง้ั สำนกั งานใหญ่ และท่ีตงั้ สำนักงานสาขาท้งั ปวง (๔) วิธีรับสมาชิก และการขาดจากสมาชกิ ภาพ (๕) อตั ราค่าบำรุง (๖) ข้อกำหนดเกีย่ วกับคณะกรรมการของสมาคม ไดแ้ ก่ จำนวนกรรมการ การตง้ั กรรมการ วาระการดำรงตำแหนง่ ของกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ และการประชุมของคณะกรรมการ (๗) ขอ้ กำหนดเกยี่ วกับการจัดการสมาคม การบญั ชี และทรพั ยส์ นิ ของสมาคม (๘) ข้อกำหนดเกยี่ วกบั การประชมุ ใหญ่
15 มาตรา ๘๐ สมาคมตอ้ งใชช้ ื่อซึ่งมคี ำวา่ “สมาคม” ประกอบกับช่ือของสมาคม มาตรา ๘๑ การขอจดทะเบยี นสมาคมน้นั ใหผ้ ู้จะเปน็ สมาชกิ ของสมาคมจำนวนไมน่ ้อยกวา่ สามคน ร่วมกันย่นื คำขอเปน็ หนงั สอื ตอ่ นายทะเบยี นแหง่ ทอ้ งทีท่ ส่ี ำนกั งานใหญ่ของสมาคมจะตง้ั ขน้ึ พร้อมกับ แนบข้อบงั คบั ของสมาคม รายช่ือ ท่ีอยู่ และอาชพี ของผจู้ ะเปน็ สมาชิกไม่นอ้ ยกว่าสบิ คน และรายชื่อ ทีอ่ ย่แู ละ อาชพี ของผจู้ ะเป็นกรรมการของสมาคมมากบั คำขอดว้ ย มาตรา ๘๒ เมื่อนายทะเบยี นไดร้ บั คำขอจดทะเบียนพร้อมทง้ั ขอ้ บังคบั แลว้ เห็นว่าคำขอน้ัน ถูกต้องตามมาตรา ๘๑ และขอ้ บงั คบั ถูกต้องตามมาตรา ๗๙ และวัตถุประสงค์ของสมาคมไมข่ ัดตอ่ กฎหมาย หรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน หรอื ไม่เปน็ ภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรอื ความมนั่ คงของรัฐ และรายการซงึ่ จดแจ้งในคำขอหรือขอ้ บงั คับสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องสมาคม และผจู้ ะเป็นกรรมการของ สมาคมนนั้ มฐี านะและความประพฤตเิ หมาะสมในการดำเนนิ การตามวัตถปุ ระสงค์ของสมาคม ใหน้ ายทะเบียน รับจดทะเบยี นและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบยี นใหแ้ กส่ มาคมน้ัน และประกาศการจดั ตั้งสมาคมในราช กจิ จานเุ บกษา ถ้านายทะเบยี นเห็นวา่ คำขอหรือข้อบงั คับไมถ่ ูกต้องตามมาตรา ๘๑ หรือมาตรา ๗๙ หรือ รายการซง่ึ จดแจง้ ในคำขอหรอื ข้อบงั คับไมส่ อดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ของสมาคม หรือผจู้ ะเปน็ กรรมการของ สมาคมมฐี านะหรอื ความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนินการตามวตั ถปุ ระสงค์ของสมาคม ใหม้ ีคำสัง่ ใหผ้ ูย้ นื่ คำขอจดทะเบยี นแก้ไขหรอื เปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง เมือ่ แกไ้ ขหรอื เปล่ียนแปลงถูกตอ้ งแลว้ ใหร้ บั จดทะเบียน และออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนใหแ้ ก่สมาคมนนั้ ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไมอ่ าจรบั จดทะเบยี นได้เน่อื งจากวัตถปุ ระสงค์ของสมาคมขดั ต่อ กฎหมายหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความ มนั่ คงของรฐั หรอื ผ้ยู ่ืนคำขอจดทะเบยี นไมแ่ ก้ไขหรือเปล่ยี นแปลงใหถ้ กู ต้องภายในสามสบิ วนั นับแต่วนั ทีท่ ราบ คำส่ังของนายทะเบยี น ใหน้ ายทะเบยี นมคี ำสงั่ ไมร่ ับจดทะเบยี นและแจ้งคำสั่งพรอ้ มด้วยเหตผุ ลท่ไี มร่ บั จด ทะเบยี นไปยังผ้ยู น่ื คำขอจดทะเบียนโดยมชิ กั ช้า ผู้ยนื่ คำขอจดทะเบียนมีสทิ ธิอทุ ธรณ์คำสง่ั ไมร่ บั จดทะเบยี นนน้ั ต่อรัฐมนตรวี ่าการ กระทรวงมหาดไทย โดยทำเปน็ หนงั สอื ยืน่ ตอ่ นายทะเบียนภายในสามสบิ วันนบั แตว่ ันท่ไี ดร้ ับแจง้ คำส่งั ไมร่ ับ การจดทะเบียน ใหร้ ฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์ และแจง้ คำวนิ ิจฉัยใหผ้ ู้อทุ ธรณท์ ราบ ภายในเกา้ สิบวันนับแต่วนั ทีน่ ายทะเบียนไดร้ ับหนงั สืออทุ ธรณ์ คำวนิ ิจฉัยของรัฐมนตรวี ่าการ กระทรวงมหาดไทยใหเ้ ปน็ ทสี่ ุด
16 มาตรา ๘๓ สมาคมทีไ่ ดจ้ ดทะเบยี นแล้วเปน็ นิตบิ ุคคล มาตรา ๘๔ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ขอ้ บังคับของสมาคมจะกระทำได้ก็แตโ่ ดยมตขิ องท่ปี ระชมุ ใหญ่ และสมาคมต้องนำขอ้ บงั คับทไ่ี ด้แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ไปจดทะเบยี นตอ่ นายทะเบยี นแหง่ ทอ้ งท่ีทสี่ ำนักงานใหญข่ อง สมาคมตงั้ อยู่ภายในสิบสีว่ นั นบั แต่วันท่ไี ดล้ งมติและใหน้ ำความในมาตรา ๘๒ มาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม เม่อื นาย ทะเบยี นไดจ้ ดทะเบียนแลว้ ใหม้ ผี ลใช้บงั คับได้ มาตรา ๘๕ การแตง่ ต้งั กรรมการของสมาคมข้นึ ใหม่ทงั้ ชุดหรอื การเปลย่ี นแปลงกรรมการ ของสมาคม ใหก้ ระทำตามขอ้ บงั คับของสมาคม และสมาคมตอ้ งนำไปจดทะเบยี นต่อนายทะเบียนแหง่ ทอ้ งทที่ ่ี สำนกั งานใหญ่ของสมาคมตงั้ อยภู่ ายในสามสิบวนั นบั แต่วันท่ีมกี ารแตง่ ต้ังหรือเปลีย่ นแปลงกรรมการของ สมาคม ถา้ นายทะเบียนเห็นวา่ กรรมการของสมาคมตามวรรคหนง่ึ ผใู้ ด มีฐานะหรอื ความประพฤติไม่ เหมาะสมในการดำเนนิ การตามวตั ถปุ ระสงค์ของสมาคม นายทะเบยี นจะไมร่ ับจดทะเบยี นกรรมการของ สมาคมผนู้ ้นั กไ็ ด้ ในกรณที นี่ ายทะเบียนไมร่ บั จดทะเบียนกรรมการของสมาคม นายทะเบียนต้องแจง้ เหตผุ ลท่ี ไมร่ ับจดทะเบยี นใหส้ มาคมทราบภายในหกสบิ วนั นบั แตว่ ันทย่ี นื่ คำขอจดทะเบยี น และใหน้ ำความในมาตรา ๘๒ วรรคสีแ่ ละวรรคหา้ มาใชบ้ งั คับโดยอนุโลม ในระหว่างทยี่ ังไมม่ กี ารจดทะเบียนกรรมการของสมาคมชดุ ใหม่ ถ้าข้อบังคับของสมาคมมไิ ด้ กำหนดไว้เป็นอยา่ งอ่ืน ให้กรรมการของสมาคมชดุ เดมิ ปฏิบตั ิหนา้ ที่กรรมการของสมาคมต่อไปจนกวา่ จะไดม้ ี การจดทะเบียนกรรมการของสมาคมชดุ ใหม่ มาตรา ๘๖ คณะกรรมการของสมาคมเปน็ ผู้ดำเนนิ กจิ การของสมาคมตามกฎหมายและ ข้อบงั คับ ภายใต้การควบคุมดแู ลของทป่ี ระชุมใหญ่ มาตรา ๘๗ คณะกรรมการของสมาคมเปน็ ผู้แทนของสมาคมในกจิ การอนั เกี่ยวกบั บุคคลภายนอก มาตรา ๘๘ บรรดากจิ การที่คณะกรรมการของสมาคมไดก้ ระทำไป แมจ้ ะปรากฏในภายหลัง วา่ มีข้อบกพรอ่ งเกีย่ วกับการตั้งหรอื คุณสมบัติของกรรมการของสมาคม กจิ การนนั้ ย่อมมผี ลสมบรู ณ์ มาตรา ๘๙ สมาชิกของสมาคมมสี ทิ ธิทีจ่ ะตรวจตรากจิ การและทรัพย์สนิ ของสมาคมใน ระหว่างเวลาทำการของสมาคมได้
17 มาตรา ๙๐ สมาชกิ ของสมาคมตอ้ งชำระคา่ บำรุงเตม็ จำนวนในวันท่สี มคั รเข้าเป็นสมาชกิ หรือ ในวันเร่มิ ตน้ ของระยะเวลาชำระค่าบำรงุ แลว้ แตก่ รณี เว้นแตข่ อ้ บังคบั ของสมาคมจะกำหนดไว้เป็นอยา่ งอน่ื มาตรา ๙๑ สมาชกิ ของสมาคมจะลาออกจากสมาคมเมอื่ ใดกไ็ ด้ เวน้ แต่ขอ้ บงั คับของสมาคม จะกำหนดไวเ้ ป็นอย่างอ่ืน มาตรา ๙๒ สมาชิกแตล่ ะคนมคี วามรับผิดในหนข้ี องสมาคมไม่เกินจำนวนคา่ บำรุงทส่ี มาชิก น้นั ค้างชำระอยู่ มาตรา ๙๓ คณะกรรมการของสมาคมตอ้ งจดั ใหม้ กี ารประชุมใหญส่ ามัญอย่างน้อยปลี ะคร้ัง มาตรา ๙๔ คณะกรรมการของสมาคมจะเรยี กประชมุ ใหญว่ สิ ามัญเมอ่ื ใดกส็ ุดแต่จะ เหน็ สมควร สมาชิกจำนวนไมน่ ้อยกวา่ หน่ึงในหา้ ของจำนวนสมาชิกทงั้ หมดหรอื สมาชกิ จำนวนไม่น้อยกวา่ หน่งึ รอ้ ยคนหรอื สมาชกิ จำนวนไมน่ อ้ ยกวา่ ทกี่ ำหนดไวใ้ นขอ้ บังคบั จะทำหนงั สือรอ้ งขอต่อคณะกรรมการของ สมาคมใหป้ ระชุมใหญว่ สิ ามญั กไ็ ด้ ในหนงั สอื ร้องขอนน้ั ตอ้ งระบุวา่ ประสงค์ใหเ้ รียกประชุมเพอื่ การใด เมือ่ คณะกรรมการของสมาคมไดร้ ับหนงั สือร้องขอใหเ้ รยี กประชุมใหญว่ สิ ามญั ตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการของสมาคมเรยี กประชมุ ใหญ่วสิ ามัญโดยจดั ให้มกี ารประชุมขนึ้ ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ที่ได้ รับคำร้องขอ ถา้ คณะกรรมการของสมาคมไมเ่ รยี กประชุมภายในระยะเวลาตามวรรคสาม สมาชกิ ทเ่ี ปน็ ผู้ ร้องขอให้เรียกประชมุ หรือสมาชกิ อน่ื รวมกนั มจี ำนวนไมน่ ้อยกวา่ จำนวนสมาชิกที่กำหนดตามวรรคสองจะเรียก ประชุมเองกไ็ ด้ มาตรา ๙๕ ในการเรยี กประชมุ ใหญ่ คณะกรรมการของสมาคมตอ้ งสง่ หนงั สอื นัดประชมุ ไป ยังสมาชิกทุกคนซงึ่ มชี อ่ื ในทะเบยี นของสมาคมก่อนวันนดั ประชุมไมน่ ้อยกวา่ เจด็ วันหรือลงพมิ พ์โฆษณาอย่าง นอ้ ยสองคราวในหนงั สือพมิ พ์ทีแ่ พร่หลายในทอ้ งทฉ่ี บบั หนงึ่ ก่อนวันนดั ประชมุ ไมน่ อ้ ยกวา่ เจด็ วันก็ได้ การเรียกประชมุ ใหญต่ อ้ งระบสุ ถานท่ี วนั เวลา และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่ง รายละเอยี ดและเอกสารท่เี ก่ียวข้องตามควรไปพร้อมกันดว้ ย สำหรบั การเรียกประชมุ ใหญ่โดยการพมิ พโ์ ฆษณา รายละเอยี ดและเอกสารดงั กลา่ วต้องจดั ไว้และพรอ้ มทจ่ี ะมอบให้แกส่ มาชิกทรี่ ้องขอ ณ สถานที่ทผี่ เู้ รยี กประชมุ กำหนด
18 มาตรา ๙๖ การประชมุ ใหญ่ของสมาคมต้องมสี มาชิกมาประชมุ ไม่น้อยกวา่ กึง่ หน่งึ ของ จำนวนสมาชิกทง้ั หมดจงึ จะเปน็ องคป์ ระชุม เวน้ แต่ข้อบังคบั ของสมาคมจะกำหนดองคป์ ระชมุ ไวเ้ ป็นอยา่ งอน่ื ในการประชุมใหญ่ครั้งใด ถ้าไม่ไดอ้ งคป์ ระชมุ ตามทก่ี ำหนดไว้และการประชมุ ใหญน่ ัน้ ไดเ้ รยี ก ตามคำร้องขอของสมาชกิ ก็ใหง้ ดการประชมุ แต่ถา้ เป็นการประชมุ ใหญ่ทส่ี มาชกิ มไิ ด้เปน็ ผูร้ อ้ งขอ ให้ คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหญอ่ ีกคร้งั หนง่ึ โดยจดั ให้มกี ารประชมุ ขึน้ ภายในสบิ สีว่ นั นบั แต่วนั ท่นี ัด ประชุมครงั้ แรก การประชุมครง้ั หลงั น้ไี มบ่ งั คบั วา่ จำตอ้ งครบองคป์ ระชมุ มาตรา ๙๗ มตขิ องทป่ี ระชมุ ให้ถอื เอาเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ เวน้ แตก่ รณีทีข่ ้อบงั คบั ของ สมาคมกำหนดเสียงข้างมากไว้เป็นพเิ ศษโดยเฉพาะ สมาชกิ คนหนง่ึ มีเสยี งหนงึ่ ในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสยี งเท่ากันให้ประธานในที่ประชุม ออกเสยี งเพ่มิ ข้นึ ไดอ้ กี เสยี งหนงึ่ เป็นเสยี งชีข้ าด มาตรา ๙๘ สมาชกิ จะมอบอำนาจใหส้ มาชกิ ผใู้ ดมาเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทน ตนกไ็ ด้ เวน้ แตข่ อ้ บงั คบั ของสมาคมจะกำหนดไว้เป็นอย่างอน่ื มาตรา ๙๙ ในกรณีทจี่ ะมีมติในเร่อื งใด ถา้ สว่ นไดเ้ สียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคม ผู้ใดขัดกับประโยชนไ์ ดเ้ สยี ของสมาคม กรรมการหรอื สมาชกิ ของสมาคมผนู้ นั้ จะออกเสียงลงคะแนนในเรือ่ งน้นั ไม่ได้ มาตรา ๑๐๐ ในการประชมุ ใหญค่ รงั้ ใด ถา้ ไดม้ ีการนดั ประชมุ หรอื การลงมตโิ ดยไมป่ ฏิบตั ิ ตาม หรอื ฝา่ ฝืนข้อบังคบั ของสมาคมหรอื บทบญั ญตั ิในสว่ นน้ี สมาชกิ หรอื พนักงานอยั การอาจรอ้ งขอให้ศาลสง่ั เพิกถอนมติในการประชุมใหญค่ รง้ั นัน้ ได้ แต่ตอ้ งรอ้ งขอตอ่ ศาลภายในหนง่ึ เดอื นนบั แตว่ นั ทีท่ ป่ี ระชมุ ใหญล่ งมติ มาตรา ๑๐๑ สมาคมย่อมเลกิ ด้วยเหตุหนงึ่ เหตใุ ด ดังต่อไปน้ี (๑) เม่อื มีเหตตุ ามท่ีกำหนดในข้อบงั คับ (๒) ถา้ สมาคมตง้ั ข้ึนไวเ้ ฉพาะระยะเวลาใด เมือ่ สน้ิ ระยะเวลาน้นั (๓) ถา้ สมาคมตั้งข้นึ เพ่ือกระทำกจิ การใด เมอ่ื กิจการน้ันสำเรจ็ แล้ว (๔) เมอื่ ที่ประชมุ ใหญ่มมี ติใหเ้ ลิก (๕) เมอื่ สมาคมลม้ ละลาย (๖) เม่ือนายทะเบียนถอนชอ่ื สมาคมออกจากทะเบียนตามมาตรา ๑๐๒ (๗) เม่ือศาลสง่ั ใหเ้ ลิกตามมาตรา ๑๐๔
19 มาตรา ๑๐๒ ให้นายทะเบียนมอี ำนาจสั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ในกรณี ดังตอ่ ไปน้ี (๑) เมือ่ ปรากฏในภายหลงั การจดทะเบียนวา่ วตั ถปุ ระสงคข์ องสมาคมขดั ต่อกฎหมายหรอื ศีลธรรมอันดขี องประชาชน หรอื อาจเป็นภยนั ตรายตอ่ ความสงบสขุ ของประชาชนหรือความมัน่ คงของรัฐ และ นายทะเบยี นไดส้ ัง่ ใหแ้ ก้ไขแลว้ แตส่ มาคมไมป่ ฏบิ ตั ติ ามภายในระยะเวลาท่ีนายทะเบยี นกำหนด (๒) เมอ่ื ปรากฏว่าการดำเนนิ กจิ การของสมาคมขดั ต่อกฎหมายหรอื ศลี ธรรมอันดีของ ประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรอื ความมัน่ คงของรัฐ (๓) เมื่อสมาคมหยุดดำเนนิ กจิ การติดต่อกนั ต้งั แตส่ องปีขึน้ ไป (๔) เมอ่ื ปรากฏว่าสมาคมใหห้ รอื ปล่อยใหบ้ คุ คลอืน่ ซ่งึ มิใช่กรรมการของสมาคมเปน็ ผดู้ ำเนนิ กิจการของสมาคม (๕) เมือ่ สมาคมมสี มาชิกเหลอื นอ้ ยกว่าสบิ คนมาเปน็ เวลาติดต่อกันกว่าสองปี มาตรา ๑๐๓ เม่ือนายทะเบยี นมคี ำสงั่ ให้ถอนชอ่ื สมาคมใดออกจากทะเบยี นตามมาตรา ๑๐๒ แล้ว ใหน้ ายทะเบยี นแจ้งคำสัง่ พร้อมด้วยเหตผุ ลไปยงั สมาคมนั้นโดยมิชักช้า และประกาศการเลกิ สมาคม ในราชกิจจานเุ บกษา กรรมการคนหนึ่งคนใดหรอื สมาชิกของสมาคมจำนวนไมน่ อ้ ยกว่าสามคน มีสทิ ธอิ ทุ ธรณค์ ำสั่ง ของนายทะเบียนตามวรรคหนง่ึ ตอ่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ โดยทำเป็นหนงั สือยื่นต่อนายทะเบยี น ภายในสามสิบวันนบั แตว่ นั ท่ไี ดร้ บั แจง้ คำสง่ั และให้นำความในมาตรา ๘๒ วรรคหา้ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม มาตรา ๑๐๔ เมื่อมกี รณีตามมาตรา ๑๐๒ ผูม้ สี ่วนไดเ้ สียอาจร้องขอให้นายทะเบยี นถอนชื่อ สมาคมออกจากทะเบยี นได้ ถ้านายทะเบยี นไมป่ ฏบิ ัตติ ามคำรอ้ งขอโดยไมแ่ จง้ เหตผุ ลให้ผรู้ อ้ งขอทราบภายใน เวลาอันสมควร หรือนายทะเบียนไดแ้ จง้ เหตุผลใหท้ ราบแล้วแตผ่ ้รู ้องขอไม่พอใจในเหตผุ ลดงั กล่าว ผรู้ ้องขอน้ัน จะรอ้ งขอตอ่ ศาลให้สงั่ เลกิ สมาคมนน้ั เสียก็ได้ มาตรา ๑๐๕ เมอื่ สมาคมมเี หตุต้องเลิกตามมาตรา ๑๐๑ (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) ให้ คณะกรรมการของสมาคมท่อี ยู่ในตำแหนง่ ขณะมีการเลิกสมาคมแจง้ การเลกิ สมาคมตอ่ นายทะเบียนภายในสบิ ส่วี นั นบั แตว่ นั ทม่ี กี ารเลกิ สมาคม ในกรณที ศี่ าลมคี ำพพิ ากษาหรอื คำสงั่ ถึงทส่ี ุดใหส้ มาคมล้มละลายตามมาตรา ๑๐๑ (๕) หรอื มี คำสั่งถึงทสี่ ดุ ใหเ้ ลกิ สมาคมตามมาตรา ๑๐๔ ใหศ้ าลแจง้ คำพพิ ากษาหรอื คำสงั่ ดงั กลา่ วใหน้ ายทะเบยี นทราบ ด้วย ให้นายทะเบยี นประกาศการเลกิ สมาคมในราชกจิ จานเุ บกษา
20 มาตรา ๑๐๖ ในกรณที ี่มกี ารเลิกสมาคม ให้มีการชำระบญั ชสี มาคมและให้นำบทบัญญัติใน บรรพ ๓ ลักษณะ ๒๒ ว่าดว้ ยการชำระบัญชีหา้ งหนุ้ ส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกดั และบรษิ ทั จำกดั มาใช้ บงั คบั แกก่ ารชำระบัญชสี มาคมโดยอนโุ ลม มาตรา ๑๐๗ เมือ่ ไดช้ ำระบญั ชแี ล้ว ถา้ มีทรพั ยส์ ินเหลอื อยเู่ ท่าใด จะแบ่งให้แก่สมาชิกของ สมาคมนน้ั ไมไ่ ด้ ทรัพยส์ ินทเี่ หลือน้นั จะตอ้ งโอนให้แกส่ มาคมหรอื มลู นิธิ หรอื นติ บิ ุคคลทม่ี วี ัตถุประสงค์เก่ยี วกับ การสาธารณกศุ ล ตามทไ่ี ด้ระบุช่ือไวใ้ นข้อบงั คบั ของสมาคม หรอื ถ้าข้อบงั คับไมไ่ ด้ระบุชอ่ื ไวก้ ็ให้เปน็ ไปตามมติ ของทป่ี ระชมุ ใหญ่ แตถ่ ้าขอ้ บงั คับของสมาคมหรือทป่ี ระชุมใหญ่มไิ ด้ระบผุ ้รู บั โอนทรพั ยส์ ินดังกลา่ วไว้ หรอื ระบุ ไว้แตไ่ มส่ ามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ ให้ทรพั ยส์ นิ ท่ีเหลอื อยนู่ ัน้ ตกเป็นของแผน่ ดนิ มาตรา ๑๐๘ ผใู้ ดประสงค์จะขอตรวจเอกสารเก่ียวกับสมาคมที่นายทะเบียนเกบ็ รกั ษาไว้ หรอื จะขอให้นายทะเบียนคัดสำเนาเอกสารดังกลา่ ว พรอ้ มดว้ ยคำรับรองว่าถูกตอ้ ง ให้ยื่นคำขอต่อนาย ทะเบียน และเมื่อไดเ้ สยี คา่ ธรรมเนียมตามท่ีกำหนดในกฎกระทรวงแลว้ ให้นายทะเบียนปฏิบตั ิตามคำขอนนั้ มาตรา ๑๐๙ ใหร้ ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบัญญัตใิ นส่วนนี้ และ ให้มอี ำนาจแตง่ ตง้ั นายทะเบียนกบั ออกกฎกระทรวงเกีย่ วกบั (๑) การย่ืนคำขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบยี น (๒) คา่ ธรรมเนียมการจดทะเบยี น การขอตรวจเอกสาร การคดั สำเนาเอกสารและ คา่ ธรรมเนียมการขอให้นายทะเบยี นดำเนินการใด ๆ เกย่ี วกับสมาคม รวมท้งั การยกเว้นค่าธรรมเนยี มดงั กลา่ ว (๓) การดำเนินกจิ การของสมาคมและการทะเบียนสมาคม (๔) การอน่ื ใดเพอ่ื ปฏบิ ตั ิให้เป็นไปตามบทบัญญัติในสว่ นนี้ กฎกระทรวงน้นั เมอ่ื ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแลว้ ใหใ้ ช้บงั คบั ได้ สว่ นที่ ๓ มลู นธิ ิ มาตรา ๑๑๐ มูลนิธิไดแ้ กท่ รพั ย์สินท่จี ดั สรรไว้โดยเฉพาะสำหรบั วตั ถปุ ระสงค์เพือ่ การกศุ ล สาธารณะ การศาสนา ศลิ ปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศกึ ษา หรอื เพ่อื สาธารณประโยชนอ์ ย่างอน่ื โดยมิได้ มงุ่ หาผลประโยชนม์ าแบง่ ปันกัน และไดจ้ ดทะเบียนตามบทบญั ญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายนี้ การจัดการทรพั ยส์ นิ ของมลู นธิ ิ ตอ้ งมใิ ช่เปน็ การหาผลประโยชนเ์ พอ่ื บุคคลใดนอกจากเพ่อื ดำเนินการตามวตั ถปุ ระสงค์ของมูลนิธินนั้ เอง
21 มาตรา ๑๑๑ มูลนิธติ อ้ งมีข้อบงั คบั และตอ้ งมคี ณะกรรมการของมลู นธิ ปิ ระกอบดว้ ยบุคคล อยา่ งนอ้ ยสามคน เปน็ ผูด้ ำเนนิ กจิ การของมลู นธิ ติ ามกฎหมายและข้อบงั คบั ของมูลนิธิ มาตรา ๑๑๒ ข้อบังคบั ของมลู นธิ ิอยา่ งน้อยตอ้ งมรี ายการ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ช่ือมลู นิธิ (๒) วตั ถปุ ระสงคข์ องมูลนิธิ (๓) ที่ต้งั สำนกั งานใหญแ่ ละท่ีตั้งสำนกั งานสาขาทง้ั ปวง (๔) ทรพั ยส์ นิ ของมลู นธิ ขิ ณะจดั ตงั้ (๕) ขอ้ กำหนดเก่ียวกบั คณะกรรมการของมลู นิธิ ไดแ้ ก่ จำนวนกรรมการ การตงั้ กรรมการ วาระการดำรงตำแหนง่ ของกรรมการ การพน้ จากตำแหนง่ ของกรรมการ และการประชมุ ของคณะกรรมการ (๖) ข้อกำหนดเกย่ี วกบั การจดั การมูลนธิ ิ การจัดการทรพั ยส์ นิ และบญั ชีของมลู นิธิ มาตรา ๑๑๓ มลู นิธิตอ้ งใชช้ ือ่ ซงึ่ มคี ำวา่ “มูลนธิ ิ” ประกอบกับช่อื ของมลู นิธิ มาตรา ๑๑๔ การขอจดทะเบียนมลู นธิ ินน้ั ใหผ้ ู้ขอจดั ตัง้ มลู นิธยิ ื่นคำขอเป็นหนังสอื ตอ่ นาย ทะเบียนแห่งท้องทท่ี ส่ี ำนักงานใหญ่ของมลู นิธจิ ะต้ังข้นึ ในคำขออย่างนอ้ ยต้องระบเุ จา้ ของทรัพยส์ นิ และ รายการทรพั ยส์ นิ ทจี่ ะจัดสรรสำหรบั มูลนธิ ิ รายช่ือ ท่อี ยูแ่ ละอาชพี ของผจู้ ะเปน็ กรรมการของมลู นธิ ิทกุ คน พร้อมกับแนบข้อบังคบั ของมลู นธิ ิมากบั คำขอดว้ ย มาตรา ๑๑๕ เม่อื นายทะเบยี นไดร้ บั คำขอแลว้ เห็นว่า คำขอนัน้ ถกู ตอ้ งตามมาตรา ๑๑๔ และขอ้ บงั คับถูกตอ้ งตามมาตรา ๑๑๒ และวตั ถุประสงค์เป็นไปตามมาตรา ๑๑๐ และไม่ขดั ต่อกฎหมายหรือ ศีลธรรมอันดขี องประชาชน หรอื ไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรอื ความม่นั คงของรัฐ และ รายการซง่ึ จดแจ้งในคำขอหรอื ข้อบงั คบั สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ของมลู นธิ ิ และผจู้ ะเป็นกรรมการของมลู นิธิ นนั้ มฐี านะและความประพฤตเิ หมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงคข์ องมูลนิธิ ใหน้ ายทะเบยี นรบั จด ทะเบยี นและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบยี นให้แก่มลู นิธนิ ้นั และประกาศการจัดตัง้ มลู นธิ ใิ นราชกจิ จา นเุ บกษา ถา้ นายทะเบียนเหน็ ว่าคำขอหรอื ข้อบงั คบั ไมถ่ ูกต้องตามมาตรา ๑๑๔ หรอื มาตรา ๑๑๒ หรอื รายการซ่งึ จดแจ้งในคำขอหรือข้อบังคบั ไมส่ อดคล้องกบั วัตถุประสงค์ของมลู นิธิ หรือผ้จู ะเป็นกรรมการของ มลู นธิ ิมฐี านะหรอื ความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคข์ องมูลนิธิ ใหม้ ีคำสงั่ ใหผ้ ู้ขอจด ทะเบยี นแก้ไขหรือเปลยี่ นแปลงให้ถูกตอ้ ง เมือ่ แก้ไขหรือเปลยี่ นแปลงถูกตอ้ งแล้ว ใหร้ ับจดทะเบยี นและออก ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แกม่ ลู นิธิน้ัน
22 ถา้ นายทะเบยี นเห็นวา่ ไม่อาจรบั จดทะเบยี นได้เนอื่ งจากวตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นธิ ไิ มเ่ ปน็ ไปตาม มาตรา ๑๑๐ หรอื ขดั ตอ่ กฎหมายหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนหรอื อาจเป็นภยนั ตรายต่อความสงบสขุ ของ ประชาชนหรอื ความม่นั คงของรฐั หรอื ผขู้ อจดทะเบียนไมแ่ กไ้ ขหรือเปลย่ี นแปลงใหถ้ กู ต้องภายในสามสบิ วนั นับ แตว่ นั ทที่ ราบคำสงั่ ของนายทะเบยี น ให้นายทะเบียนมคี ำสัง่ ไมร่ ับจดทะเบยี น และแจ้งคำสง่ั พรอ้ มด้วยเหตผุ ลท่ี ไม่รับจดทะเบียนใหผ้ ขู้ อจดทะเบียนทราบโดยมชิ กั ช้า ผู้ขอจดทะเบียนมสี ทิ ธอิ ุทธรณค์ ำสงั่ ไม่รบั จดทะเบยี นน้ันต่อรฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงมหาดไทย โดยทำเปน็ หนงั สอื ย่นื ตอ่ นายทะเบียนภายในสามสบิ วันนบั แต่วนั ที่ไดร้ บั แจ้งคำสัง่ ไมร่ บั จด ทะเบียน ให้รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทยวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์และแจง้ คำวินจิ ฉยั ใหผ้ อู้ ทุ ธรณ์ทราบ ภายในเก้าสิบวนั นบั แต่วันที่นายทะเบยี นได้รับหนังสอื อทุ ธรณ์ คำวินิจฉยั ของรัฐมนตรีวา่ การ กระทรวงมหาดไทยใหเ้ ป็นทสี่ ดุ มาตรา ๑๑๖ กอ่ นที่นายทะเบยี นรบั จดทะเบยี นมูลนิธิ ผ้ขู อจดั ตั้งมลู นธิ มิ สี ทิ ธขิ อถอนการ จดั ต้งั มลู นธิ ิได้โดยทำเปน็ หนงั สือย่ืนต่อนายทะเบยี น สทิ ธทิ จี่ ะขอถอนการจัดตงั้ มูลนธิ ินี้ไมต่ กทอดไปยังทายาท ในกรณีทม่ี ผี ขู้ อจัดตงั้ มลู นธิ หิ ลายคน ถ้าผู้ขอจดั ตั้งมลู นธิ คิ นหน่งึ คนใดใชส้ ิทธถิ อนการจัดตั้ง มลู นธิ ิ ให้คำขอจดั ต้ังมูลนิธนิ ้นั เป็นอนั ระงบั ไป มาตรา ๑๑๗ ในกรณที ผี่ ้ขู อจัดต้งั มลู นธิ ถิ ึงแกค่ วามตายกอ่ นนายทะเบียนรับจดทะเบียน มลู นิธิ ถา้ ผู้ตายมไิ ด้ทำพินัยกรรมยกเลกิ การจัดตง้ั มลู นธิ ทิ ่ขี อจัดตัง้ ไว้ให้คำขอจดั ตัง้ มูลนิธิทผ่ี ู้ตายไดย้ ื่นไว้ตอ่ นายทะเบียนยงั คงใชไ้ ด้ตอ่ ไป และใหท้ ายาทหรอื ผ้จู ดั การมรดกหรือผซู้ ง่ึ ผ้ตู ายมอบหมาย ดำเนนิ การในฐานะ เปน็ ผขู้ อจัดตั้งมลู นิธิตอ่ ไป ถ้าบคุ คลดงั กล่าวไมด่ ำเนนิ การภายในหน่งึ รอ้ ยย่สี บิ วนั นบั แตว่ นั ทผ่ี ขู้ อจัดต้ังมลู นิธถิ ึง แก่ความตาย บคุ คลผ้มู สี ่วนได้เสยี หรือพนกั งานอัยการจะดำเนินการในฐานะเป็นผขู้ อจดั ตง้ั มลู นิธนิ ้ันตอ่ ไปก็ได้ ในกรณีทไี่ มส่ ามารถจดั ต้งั มลู นธิ ขิ ้ึนไดต้ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ผ่ี ู้ตายกำหนดไว้ ถา้ หากไม่มี พนิ ยั กรรมของผู้ตายสงั่ การในเรอ่ื งน้ไี วเ้ ปน็ อย่างอ่ืน ให้นำความในมาตรา ๑๖๗๙ วรรคสอง มาใช้บังคบั โดย อนุโลม ถา้ ไม่สามารถดำเนนิ การตามมาตรา ๑๖๗๙ วรรคสอง หรือมูลนิธจิ ดั ตั้งขึ้นไมไ่ ด้ตามมาตรา ๑๑๕ ให้ ทรัพยส์ ินทจ่ี ดั สรรไว้ตกเป็นมรดกของผตู้ าย มาตรา ๑๑๘ ในกรณีที่มีข้อกำหนดพนิ ัยกรรมใหก้ อ่ ตัง้ มูลนธิ ิตามมาตรา ๑๖๗๖ ให้บคุ คลซ่งึ มหี นา้ ที่ทจ่ี ะตอ้ งจดั ตงั้ มลู นิธติ ามมาตรา ๑๖๗๗ วรรคหน่งึ ดำเนนิ การตามมาตรา ๑๑๔ และตามบทบัญญตั ิ แหง่ มาตราน้ี
23 ถ้าบคุ คลซึง่ มีหนา้ ทท่ี ่จี ะตอ้ งจดั ตงั้ มลู นธิ ติ ามวรรคหน่งึ มิไดข้ อจดทะเบยี นกอ่ ตง้ั มลู นิธิภายใน หนึ่งรอ้ ยยส่ี บิ วันนับแต่วันทีบ่ คุ คลดงั กลา่ วได้รู้หรือควรรู้ขอ้ กำหนดพนิ ยั กรรมให้ก่อตง้ั มลู นิธิ บคุ คลผมู้ สี ว่ นได้ เสยี คนหนงึ่ คนใดหรือพนักงานอยั การจะเปน็ ผูข้ อจดทะเบยี นมูลนิธกิ ไ็ ด้ ถา้ ผู้ยน่ื คำขอจดทะเบยี นมลู นิธไิ มด่ ำเนินการแกไ้ ขหรอื เปล่ียนแปลงใหถ้ กู ตอ้ งตามคำสั่งของ นายทะเบยี นตามมาตรา ๑๑๕ จนเปน็ เหตใุ ห้นายทะเบยี นไมร่ บั จดทะเบียนมลู นธิ ิเพราะเหตุดงั กล่าว บคุ คลผูม้ ี ส่วนไดเ้ สียคนหนง่ึ คนใดหรอื พนกั งานอยั การจะเป็นผู้ขอจดทะเบียนมูลนธิ ินน้ั อกี ก็ได้ ผ้ยู ่ืนคำขอจดทะเบยี นก่อตั้งมลู นธิ ิตามมาตรานี้ จะขอถอนการก่อตั้งมูลนิธติ ามมาตรา ๑๑๖ ไม่ได้ ในกรณีท่ีมผี คู้ ดั ค้านตอ่ นายทะเบยี นว่าพินัยกรรมนัน้ มิไดก้ ำหนดใหก้ ่อตง้ั เปน็ มลู นธิ ิ ให้นาย ทะเบยี นแจ้งให้ผู้คัดคา้ นไปร้องตอ่ ศาลภายในหกสบิ วันนับแต่วันท่ไี ด้รบั แจง้ จากนายทะเบียน และใหน้ าย ทะเบียนรอการพจิ ารณาการจดทะเบยี นไว้ก่อน เพ่ือดำเนนิ การตามคำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ของศาล ถ้าผคู้ ดั คา้ น ไม่ยื่นคำร้องต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด ใหน้ ายทะเบียนพจิ ารณาการจดทะเบยี นมลู นธิ ิน้นั ต่อไป มาตรา ๑๑๙ ในกรณีท่ีมีขอ้ กำหนดพินยั กรรมใหจ้ ดั ตงั้ มูลนธิ ิ ถ้าพนิ ัยกรรมทท่ี ำไวม้ ไิ ด้มี ข้อกำหนดเกยี่ วกบั รายการตามมาตรา ๑๑๒ (๑) (๓) (๕) หรือ (๖) ใหผ้ ้ยู ื่นคำขอตามมาตรา ๑๑๘ กำหนด รายการดงั กลา่ วได้ ถ้าผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี คนหนง่ึ คนใดคดั ค้าน ให้นายทะเบยี นมคี ำส่ังตามทเี่ หน็ สมควร แลว้ แจง้ ให้ ผูย้ ่นื คำขอและผคู้ ัดค้านทราบพร้อมท้งั แจง้ ดว้ ยว่า หากผู้ย่ืนคำขอหรือผคู้ ดั คา้ นไม่พอใจในคำสง่ั ดงั กล่าว ก็ให้ ไปรอ้ งคดั ค้านตอ่ ศาลภายในหกสบิ วันนับแต่วันท่ไี ดร้ บั แจ้งจากนายทะเบยี น และให้นายทะเบียนรอการ พจิ ารณาจดทะเบยี นไวก้ ่อนเพอื่ ดำเนินการตามคำพพิ ากษาหรือคำสัง่ ของศาล แตถ่ ้าไม่มกี ารรอ้ งคัดค้านต่อ ศาลภายในเวลาทกี่ ำหนด ให้นายทะเบียนพจิ ารณาจดทะเบยี นมลู นิธติ ามทีไ่ ดม้ คี ำสง่ั ไว้นั้นต่อไป มาตรา ๑๒๐ ในกรณที มี่ บี คุ คลหลายรายยน่ื คำขอจดทะเบียนมลู นิธิตามพินัยกรรมของเจา้ มรดกรายเดยี วกัน ถา้ คำขอนัน้ มขี ้อขดั แยง้ กัน ใหน้ ายทะเบยี นเรยี กผู้ยื่นคำขอมาตกลงกนั และถา้ ผยู้ นื่ คำขอไม่ มาตกลงกัน หรอื ตกลงกนั ไมไ่ ดภ้ ายในระยะเวลาทน่ี ายทะเบยี นกำหนด ใหน้ ายทะเบียนมีคำสงั่ ตามท่ี เหน็ สมควร และให้นำความในมาตรา ๑๑๙ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม มาตรา ๑๒๑ เมอ่ื ได้จดทะเบยี นมลู นิธแิ ลว้ ถ้าผขู้ อจัดตัง้ มลู นิธมิ ชี วี ติ อยู่ ให้ทรัพยส์ ินทจี่ ัดสรร ไว้เพอ่ื การนนั้ ตกเปน็ ของมลู นิธติ ้ังแต่วนั ท่นี ายทะเบยี นรบั จดทะเบยี นมลู นธิ เิ ป็นต้นไป ในกรณีท่ีผขู้ อจดั ตั้งมูลนธิ ิถึงแก่ความตายกอ่ นนายทะเบียนรบั จดทะเบยี นมูลนิธิ เมอ่ื ได้จด ทะเบยี นมูลนธิ ิแลว้ ใหท้ รพั ยส์ นิ ทจ่ี ัดสรรไวเ้ พอ่ื การนน้ั ตกเปน็ ของมลู นิธติ ง้ั แตเ่ วลาทผี่ ู้ขอจดั ตง้ั มลู นิธนิ นั้ ถงึ แก่ ความตาย
24 มาตรา ๑๒๒ มลู นิธิทไ่ี ดจ้ ดทะเบยี นแลว้ เปน็ นิติบคุ คล มาตรา ๑๒๓ คณะกรรมการของมลู นธิ ิเป็นผแู้ ทนของมลู นธิ ใิ นกจิ การอนั เก่ียวกบั บุคคลภายนอก มาตรา ๑๒๔ บรรดากิจการท่ีคณะกรรมการของมูลนิธไิ ดก้ ระทำไป แม้จะปรากฏในภายหลงั ว่ามขี อ้ บกพรอ่ งเกี่ยวกับการแต่งตง้ั หรือคุณสมบัติของกรรมการของมลู นธิ ิ กจิ การนัน้ ยอ่ มมผี ลสมบรู ณ์ มาตรา ๑๒๕ การแต่งตง้ั กรรมการของมูลนิธิขึ้นใหมท่ ัง้ ชดุ หรือการเปล่ียนแปลงกรรมการ ของมูลนิธิ ให้กระทำตามข้อบังคบั ของมลู นิธิ และมลู นิธิต้องนำไปจดทะเบียนภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทม่ี ี การแตง่ ตั้งหรอื เปลย่ี นแปลงกรรมการของมูลนิธิ ถา้ นายทะเบยี นเห็นวา่ กรรมการของมลู นธิ ิตามวรรคหนงึ่ ผู้ใด มฐี านะหรอื ความประพฤตไิ ม่ เหมาะสมในการดำเนินการตามวตั ถุประสงค์ของมลู นิธิ นายทะเบยี นจะไมร่ บั จดทะเบยี นกรรมการของมลู นิธผิ ู้ น้ันก็ได้ ในกรณีท่นี ายทะเบยี นไมร่ บั จดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิ นายทะเบียนตอ้ งแจง้ เหตผุ ลทไ่ี มร่ ับจด ทะเบยี นใหม้ ลู นิธทิ ราบภายในหกสิบวันนบั แตว่ นั ทีย่ ืน่ คำขอจดทะเบียน และใหน้ ำความในมาตรา ๑๑๕ วรรค สแ่ี ละวรรคหา้ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ในกรณที กี่ รรมการของมลู นธิ พิ ้นจากตำแหนง่ และไม่มีกรรมการของมลู นธิ ิเหลอื อยู่ หรอื กรรมการของมลู นธิ ิท่ีเหลอื อยูไ่ มส่ ามารถดำเนินการตามหนา้ ทีไ่ ด้ ถา้ ขอ้ บงั คบั ของมลู นิธิมไิ ดก้ ำหนดการปฏบิ ัติ หนา้ ทไ่ี ว้เปน็ อย่างอน่ื ใหก้ รรมการของมลู นิธิที่พ้นจากตำแหนง่ ปฏิบัติหน้าท่กี รรมการของมลู นธิ ิต่อไปจนกวา่ นายทะเบียนจะไดแ้ จง้ การรับจดทะเบียนกรรมการของมลู นธิ ทิ ตี่ ัง้ ใหม่ กรรมการของมลู นิธิท่ีพน้ จากตำแหนง่ เพราะถกู ถอดถอนโดยคำสัง่ ศาลตามมาตรา ๑๒๙ จะ ปฏิบัตหิ นา้ ท่ตี ามวรรคสามไม่ได้ มาตรา ๑๒๖ ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๑๒๗ ให้คณะกรรมการของมลู นธิ ิเปน็ ผู้มีอำนาจแก้ไข เพิม่ เตมิ ข้อบงั คบั ของมลู นิธิ แต่ถ้าขอ้ บงั คบั ของมลู นิธิได้กำหนดหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการแกไ้ ขเพม่ิ เติมไว้ การ แก้ไขเพิม่ เติมตอ้ งเปน็ ไปตามท่ขี อ้ บงั คบั กำหนด และใหม้ ูลนธิ นิ ำขอ้ บังคบั ทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ น้นั ไปจดทะเบียนต่อ นายทะเบยี นภายในสามสบิ วันนับแตว่ นั ท่คี ณะกรรมการของมลู นิธไิ ด้แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ขอ้ บังคบั ของมลู นิธิและให้ นำความในมาตรา ๑๑๕ มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม มาตรา ๑๒๗ การแก้ไขเพม่ิ เติมรายการในข้อบังคบั ของมลู นิธติ ามมาตรา ๑๑๒ (๒) จะ กระทำได้แต่เฉพาะในกรณีดังตอ่ ไปน้ี (๑) เพ่อื ให้สามารถดำเนินการตามวตั ถุประสงคข์ องมลู นธิ ิ หรือ
25 (๒) พฤตกิ ารณ์เปลย่ี นแปลงไปเปน็ เหตุใหว้ ตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธนิ ัน้ มีประโยชน์นอ้ ย หรือไม่ อาจดำเนินการใหส้ มประโยชน์ตามวตั ถุประสงค์ของมูลนิธินนั้ ได้ และวตั ถุประสงคข์ องมลู นธิ ิที่แก้ไขเพ่ิมเตมิ นนั้ ใกล้ชิดกับวัตถุประสงคเ์ ดมิ ของมลู นิธิ มาตรา ๑๒๘ ให้นายทะเบียนมอี ำนาจตรวจตราและควบคมุ ดแู ลการดำเนนิ กจิ การของมลู นธิ ิ ให้เปน็ ไปตามกฎหมายและขอ้ บังคับของมลู นธิ ิ เพอ่ื การน้ีใหน้ ายทะเบียนหรอื พนกั งานเจา้ หนา้ ทซ่ี ึ่งนาย ทะเบียนมอบหมายเปน็ หนงั สอื มีอำนาจ (๑) มคี ำสั่งเปน็ หนังสอื ใหก้ รรมการ พนักงาน ลูกจ้างหรอื ตวั แทนของมลู นิธิ ช้ีแจงแสดง ขอ้ เท็จจรงิ เกย่ี วกบั กจิ การของมลู นธิ ิ หรือเรยี กบคุ คลดงั กล่าวมาสอบถาม หรือใหส้ ง่ หรือแสดงสมดุ บญั ชีและ เอกสารตา่ ง ๆ ของมูลนธิ ิเพ่ือตรวจสอบ (๒) เข้าไปในสำนกั งานของมูลนิธิในเวลาระหว่างพระอาทิตยข์ ้นึ และพระอาทติ ย์ตกเพอ่ื ตรวจสอบกจิ การของมลู นธิ ิ ในการปฏบิ ัตกิ ารตามวรรคหนง่ึ ถา้ เปน็ นายทะเบยี นให้แสดงบัตรประจำตัวและถ้าเป็น พนักงานเจ้าหนา้ ที่ซง่ึ ไดร้ ับมอบหมาย ให้แสดงบัตรประจำตวั และหนงั สอื มอบหมายของนายทะเบียนตอ่ ผู้ที่ เกีย่ วขอ้ ง มาตรา ๑๒๙ ในกรณที ก่ี รรมการของมลู นธิ ิผู้ใดดำเนินกจิ การของมลู นธิ ผิ ิดพลาดเส่อื มเสียตอ่ มลู นธิ ิ หรอื ดำเนนิ กจิ การฝา่ ฝืนกฎหมายหรอื ข้อบงั คบั ของมลู นธิ ิ หรือกลายเปน็ ผ้มู ฐี านะหรอื ความประพฤตไิ ม่ เหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถปุ ระสงคข์ องมูลนิธิ นายทะเบยี น พนกั งานอยั การ หรอื ผมู้ สี ่วนได้เสยี คน หนงึ่ คนใดอาจร้องขอตอ่ ศาลใหม้ คี ำสง่ั ถอดถอนกรรมการของมลู นิธผิ นู้ ั้นได้ ในกรณที กี่ ารกระทำตามวรรคหนง่ึ เปน็ การกระทำของคณะกรรมการของมลู นิธหิ รอื ปรากฏ วา่ คณะกรรมการของมูลนธิ ไิ ม่ดำเนนิ การตามวัตถุประสงค์ของมลู นิธโิ ดยไมม่ ีเหตอุ นั สมควร นายทะเบยี น พนกั งานอยั การ หรอื ผมู้ ีสว่ นได้เสียคนหน่งึ คนใดอาจร้องขอตอ่ ศาลใหม้ คี ำส่งั ถอดถอนกรรมการของมลู นธิ ทิ ัง้ คณะได้ ในกรณที ่ศี าลมคี ำสง่ั ถอดถอนกรรมการของมลู นธิ ิหรือคณะกรรมการของมลู นธิ ิตามวรรคหน่งึ หรือวรรคสอง ศาลจะแต่งต้ังบคุ คลอืน่ เปน็ กรรมการของมลู นธิ ิ หรือคณะกรรมการของมลู นธิ ิแทนกรรมการ ของมูลนธิ ิ หรือคณะกรรมการของมลู นิธทิ ศี่ าลถอดถอนกไ็ ด้ เมอ่ื ศาลมีคำสง่ั แต่งตงั้ บคุ คลใดเป็นกรรมการของ มลู นิธแิ ล้ว ให้นายทะเบยี นดำเนินการจดทะเบียนไปตามนน้ั มาตรา ๑๓๐ มูลนธิ ิย่อมเลกิ ดว้ ยเหตหุ นงึ่ เหตุใด ดังตอ่ ไปน้ี (๑) เมอ่ื มเี หตุตามที่กำหนดในขอ้ บงั คบั (๒) ถา้ มูลนิธติ ง้ั ข้ึนไว้เฉพาะระยะเวลาใด เมอื่ สน้ิ ระยะเวลาน้ัน
26 (๓) ถ้ามูลนิธติ งั้ ข้ึนเพื่อวตั ถุประสงค์อย่างใด และไดด้ ำเนินการตามวัตถุประสงคส์ ำเร็จ บริบรู ณ์แลว้ หรือวตั ถปุ ระสงค์นั้นกลายเป็นพ้นวสิ ยั (๔) เมอ่ื มูลนิธินั้นล้มละลาย (๕) เมอ่ื ศาลมคี ำสง่ั ใหเ้ ลกิ มลู นิธิตามมาตรา ๑๓๑ มาตรา ๑๓๑ นายทะเบียน พนกั งานอยั การ หรอื ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สยี คนหนง่ึ คนใดอาจรอ้ งขอต่อ ศาลใหม้ คี ำสง่ั ใหเ้ ลกิ มลู นธิ ิไดใ้ นกรณีหนึ่งกรณีใด ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) เมื่อปรากฏวา่ วัตถปุ ระสงค์ของมลู นธิ ขิ ัดต่อกฎหมาย (๒) เมื่อปรากฏว่ามลู นธิ ิกระทำการขัดตอ่ กฎหมายหรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรอื อาจ เปน็ ภยันตรายตอ่ ความสงบสุขของประชาชนหรือความม่ันคงของรฐั (๓) เมอ่ื ปรากฏว่ามูลนธิ ไิ มส่ ามารถดำเนินกจิ การตอ่ ไปไดไ้ มว่ ่าเพราะเหตใุ ด ๆ หรอื หยุด ดำเนนิ กจิ การตั้งแตส่ องปขี ึน้ ไป มาตรา ๑๓๒ เมื่อมลู นิธิมเี หตตุ ้องเลิกตามมาตรา ๑๓๐ (๑) (๒) หรอื (๓) แล้ว ให้ คณะกรรมการของมลู นิธทิ ่อี ยใู่ นตำแหนง่ ขณะมีการเลกิ มลู นธิ ิแจง้ การเลกิ มลู นธิ ิตอ่ นายทะเบียนภายในสบิ สี่วัน นับแตว่ ันทม่ี กี ารเลกิ มลู นธิ ิ ในกรณที ศี่ าลมคี ำพิพากษาหรือคำสงั่ ถึงทสี่ ดุ ใหม้ ลู นิธิลม้ ละลายตามมาตรา ๑๓๐ (๔) หรอื มี คำสัง่ ถงึ ทสี่ ุดใหเ้ ลกิ มลู นิธติ ามมาตรา ๑๓๑ ให้ศาลแจง้ คำพพิ ากษาหรอื คำส่งั ดงั กล่าวให้นายทะเบียนทราบด้วย ให้นายทะเบียนประกาศการเลิกมูลนธิ ิในราชกจิ จานเุ บกษา มาตรา ๑๓๓ ในกรณีที่มกี ารเลิกมูลนธิ ิ ให้มกี ารชำระบญั ชมี ูลนิธิและใหน้ ำบทบญั ญตั ิใน บรรพ ๓ ลกั ษณะ ๒๒ วา่ ด้วยการชำระบญั ชหี ้างหุน้ สว่ นจดทะเบียน หา้ งหุ้นสว่ นจำกัด และบริษัทจำกัด มาใช้ บังคับแกก่ ารชำระบัญชีมลู นิธิโดยอนโุ ลม ท้ังน้ี ใหผ้ ชู้ ำระบญั ชเี สนอรายงานการชำระบัญชีตอ่ นายทะเบยี น และใหน้ ายทะเบียนเปน็ ผอู้ นมุ ัติรายงานน้ัน มาตรา ๑๓๔ เมือ่ ได้ชำระบญั ชีแล้ว ใหโ้ อนทรัพยส์ นิ ของมลู นธิ ิให้แกม่ ูลนธิ หิ รือนิตบิ คุ คลที่มี วตั ถปุ ระสงคต์ ามมาตรา ๑๑๐ ซงึ่ ไดร้ ะบชุ อื่ ไว้ในขอ้ บงั คบั ของมลู นิธิ ถ้าขอ้ บงั คบั ของมลู นิธมิ ิได้ระบชุ ือ่ มลู นธิ ิ หรือนติ บิ คุ คลดงั กล่าวไว้ พนกั งานอัยการ ผชู้ ำระบญั ชี หรอื ผู้มสี ่วนไดเ้ สยี คนหนงึ่ คนใด อาจรอ้ งขอต่อศาลให้ จัดสรรทรัพยส์ ินน้ันแก่มลู นธิ ิหรือนิตบิ ุคคลอ่นื ทป่ี รากฏวา่ มีวตั ถุประสงค์ใกลช้ ดิ ทีส่ ดุ กบั วตั ถุประสงค์ของมลู นธิ ิ น้นั ได้ ถา้ มูลนิธนิ ้นั ถูกศาลสง่ั ใหเ้ ลกิ ตามมาตรา ๑๓๑ (๑) หรอื (๒) หรอื การจัดสรรทรัพยส์ นิ ตาม วรรคหนงึ่ ไมอ่ าจกระทำได้ ใหท้ รพั ยส์ ินของมูลนิธติ กเปน็ ของแผน่ ดนิ
27 มาตรา ๑๓๕ ผูใ้ ดประสงคจ์ ะขอตรวจเอกสารเกย่ี วกับมูลนธิ ทิ น่ี ายทะเบียนเกบ็ รักษาไว้ หรอื จะขอใหน้ ายทะเบียนคดั สำเนาเอกสารดงั กลา่ วพรอ้ มด้วยคำรบั รองว่าถกู ตอ้ ง ใหย้ นื่ คำขอต่อนายทะเบยี น และ เม่ือไดเ้ สียค่าธรรมเนียมตามทกี่ ำหนดในกฎกระทรวงแล้ว ให้นายทะเบียนปฏบิ ตั ิตามคำขอนั้น มาตรา ๑๓๖ ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามบทบญั ญตั ใิ นส่วนนี้ และ ให้มีอำนาจแตง่ ตัง้ นายทะเบียนกบั ออกกฎกระทรวงเก่ยี วกบั (๑) การยื่นคำขอจดทะเบยี นและการรับจดทะเบยี น (๒) ค่าธรรมเนียมการจดทะเบยี น การขอตรวจเอกสาร การคัดสำเนาเอกสารและ ค่าธรรมเนยี มการขอใหน้ ายทะเบยี นดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกบั มลู นิธริ วมทงั้ การยกเวน้ คา่ ธรรมเนียมดงั กลา่ ว (๓) แบบบัตรประจำตวั ของนายทะเบียนและพนกั งานเจ้าหน้าท่ี (๔) การดำเนินกิจการของมลู นิธิและการทะเบยี นมลู นิธิ (๕) การอน่ื ใดเพอื่ ปฏบิ ัติใหเ้ ปน็ ไปตามบทบัญญัตใิ นส่วนน้ี กฎกระทรวงนน้ั เมอ่ื ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ ลกั ษณะ ๓ ทรพั ย์ มาตรา ๑๓๗ ทรัพย์ หมายความวา่ วัตถมุ ีรูปรา่ ง มาตรา ๑๓๘ ทรัพยส์ ิน หมายความรวมทงั้ ทรัพย์และวัตถุไมม่ ีรปู ร่าง ซึ่งอาจมรี าคาและอาจ ถือเอาได้ มาตรา ๑๓๙ อสงั หารมิ ทรัพย์ หมายความวา่ ทด่ี ินและทรพั ย์อันตดิ อยกู่ ับทด่ี ินมลี กั ษณะ เป็นการถาวรหรือประกอบเปน็ อนั เดียวกับที่ดินนัน้ และหมายความรวมถงึ ทรพั ยสทิ ธอิ นั เก่ยี วกบั ท่ดี นิ หรอื ทรพั ย์อนั ตดิ อยกู่ ับที่ดินหรอื ประกอบเป็นอนั เดยี วกบั ทด่ี ินนนั้ ดว้ ย มาตรา ๑๔๐ สงั หารมิ ทรพั ย์ หมายความวา่ ทรพั ยส์ ินอน่ื นอกจากอสังหารมิ ทรพั ย์ และ หมายความรวมถงึ สิทธิอันเกีย่ วกับทรพั ยส์ นิ นั้นดว้ ย มาตรา ๑๔๑ ทรพั ยแ์ บง่ ได้ หมายความวา่ ทรัพยอ์ ันอาจแยกออกจากกนั เป็นสว่ น ๆ ไดจ้ ริง ถนดั ชัดแจง้ แต่ละส่วนไดร้ ูปบรบิ รู ณล์ ำพังตวั
28 มาตรา ๑๔๒ ทรพั ยแ์ บง่ ไมไ่ ด้ หมายความวา่ ทรัพยอ์ ันจะแยกออกจากกันไม่ได้นอกจาก เปล่ียนแปลงภาวะของทรพั ย์ และหมายความรวมถงึ ทรพั ยท์ ่ีมีกฎหมายบัญญตั ิวา่ แบ่งไมไ่ ดด้ ้วย มาตรา ๑๔๓ ทรัพยน์ อกพาณชิ ย์ หมายความวา่ ทรัพยท์ ่ีไมส่ ามารถถือเอาได้และทรพั ยท์ ่ี โอนแกก่ นั มไิ ดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมาย มาตรา ๑๔๔ ส่วนควบของทรพั ย์ หมายความวา่ สว่ นซึง่ โดยสภาพแหง่ ทรัพยห์ รอื โดยจารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถิน่ เป็นสาระสำคญั ในความเปน็ อยขู่ องทรพั ย์นั้น และไมอ่ าจแยกจากกนั ไดน้ อกจากจะ ทำลาย ทำใหบ้ บุ สลาย หรอื ทำให้ทรัพย์นัน้ เปล่ยี นแปลงรปู ทรงหรอื สภาพไป เจ้าของทรพั ยย์ อ่ มมกี รรมสิทธ์ิในส่วนควบของทรพั ย์นน้ั มาตรา ๑๔๕ ไม้ยนื ต้นเปน็ สว่ นควบกับทด่ี ินท่ไี ม้นนั้ ขึน้ อยู่ ไม้ล้มลกุ หรือธญั ชาติอันจะเกบ็ เกีย่ วรวงผลไดค้ ราวหนง่ึ หรอื หลายคราวต่อปีไม่เปน็ สว่ นควบ กับท่ีดนิ มาตรา ๑๔๖ ทรพั ยซ์ ึ่งตดิ กบั ท่ีดินหรือตดิ กบั โรงเรือนเพียงชวั่ คราวไมถ่ ือวา่ เป็นสว่ นควบกบั ที่ดินหรอื โรงเรอื นนนั้ ความข้อนใ้ี ห้ใช้บังคับแกโ่ รงเรอื นหรือสงิ่ ปลกู สร้างอยา่ งอื่น ซึง่ ผู้มสี ิทธใิ นที่ดนิ ของผู้อน่ื ใช้ สิทธิน้ันปลูกสร้างไว้ในทด่ี นิ น้ันด้วย มาตรา ๑๔๗ อปุ กรณ์ หมายความวา่ สังหารมิ ทรพั ยซ์ ง่ึ โดยปกตินิยมเฉพาะถน่ิ หรือโดย เจตนาชดั แจ้งของเจา้ ของทรัพยท์ เี่ ปน็ ประธาน เปน็ ของใชป้ ระจำอยกู่ บั ทรพั ยท์ ี่เป็นประธานเป็นอาจิณเพอื่ ประโยชนแ์ กก่ ารจดั ดูแล ใชส้ อย หรือรกั ษาทรพั ยท์ เ่ี ปน็ ประธาน และเจา้ ของทรัพยไ์ ดน้ ำมาสู่ทรพั ย์ทเี่ ปน็ ประธานโดยการนำมาติดตอ่ หรอื ปรบั เขา้ ไว้ หรอื ทำโดยประการอืน่ ใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบกบั ทรัพยท์ ่ี เปน็ ประธานน้ัน อปุ กรณท์ ี่แยกออกจากทรพั ยท์ ่เี ป็นประธานเปน็ การชว่ั คราวกย็ ังไม่ขาดจากการเปน็ อปุ กรณ์ ของทรพั ยท์ ่เี ป็นประธานน้นั อปุ กรณ์ย่อมตกตดิ ไปกบั ทรพั ย์ทเี่ ปน็ ประธาน เว้นแตจ่ ะมีการกำหนดไวเ้ ป็นอยา่ งอืน่ มาตรา ๑๔๘ ดอกผลของทรพั ย์ ได้แก่ ดอกผลธรรมดาและดอกผลนติ นิ ยั ดอกผลธรรมดา หมายความวา่ สิ่งทเ่ี กดิ ขึน้ ตามธรรมชาติของทรพั ย์ ซงึ่ ได้มาจากตัวทรพั ย์ โดยการมหี รอื ใชท้ รัพยน์ ้ันตามปกตนิ ยิ ม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรพั ย์นนั้
29 ดอกผลนิตนิ ยั หมายความว่า ทรัพยห์ รอื ประโยชน์อยา่ งอืน่ ท่ีได้มาเปน็ ครัง้ คราวแกเ่ จา้ ของ ทรัพยจ์ ากผอู้ น่ื เพอื่ การท่ีได้ใชท้ รัพยน์ ัน้ และสามารถคำนวณและถือเอาได้เปน็ รายวันหรือตามระยะเวลาที่ กำหนดไว้ ลกั ษณะ ๔ นิตกิ รรม หมวด ๑ บทเบ็ดเสรจ็ ท่วั ไป มาตรา ๑๔๙ นติ กิ รรม หมายความว่า การใด ๆ อนั ทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจ สมัคร มงุ่ โดยตรงตอ่ การผกู นิตสิ มั พันธข์ ้ึนระหว่างบคุ คล เพอื่ จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซงึ่ สิทธิ มาตรา ๑๕๐ การใดมวี ัตถปุ ระสงค์เปน็ การตอ้ งห้ามชัดแจง้ โดยกฎหมายเป็นการพ้นวสิ ยั หรือ เปน็ การขดั ต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรือศลี ธรรมอันดขี องประชาชน การน้นั เปน็ โมฆะ มาตรา ๑๕๑ การใดเปน็ การแตกต่างกบั บทบญั ญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอนั เก่ียวกับ ความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนนั้ ไม่เปน็ โมฆะ มาตรา ๑๕๒ การใดมไิ ด้ทำให้ถกู ต้องตามแบบทกี่ ฎหมายบงั คับไว้ การน้นั เป็นโมฆะ มาตรา ๑๕๓ การใดมิได้เป็นไปตามบทบญั ญัติของกฎหมายว่าดว้ ยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆยี ะ หมวด ๒ การแสดงเจตนา มาตรา ๑๕๔ การแสดงเจตนาใดแมใ้ นใจจรงิ ผู้แสดงจะมไิ ด้เจตนาให้ตนตอ้ งผูกพนั ตามท่ีได้ แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุใหก้ ารแสดงเจตนาน้ันเปน็ โมฆะไม่ เวน้ แตค่ ่กู รณีอกี ฝา่ ยหนงึ่ จะไดร้ ูถ้ งึ เจตนา อันซ่อนอย่ใู นใจของผแู้ สดงน้ัน
30 มาตรา ๑๕๕ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรกู้ บั คูก่ รณอี กี ฝา่ ยหนงึ่ เป็นโมฆะ แต่จะยกขนึ้ เปน็ ข้อตอ่ สู้บคุ คลภายนอกผ้กู ระทำการโดยสจุ ริต และต้องเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงนัน้ มิได้ ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนง่ึ ทำขึ้นเพอื่ อำพรางนติ กิ รรมอนื่ ใหน้ ำบทบัญญัติของ กฎหมายอนั เกย่ี วกับนติ กิ รรมทถ่ี กู อำพรางมาใชบ้ ังคบั มาตรา ๑๕๖ การแสดงเจตนาโดยสำคญั ผิดในสิ่งซงึ่ เปน็ สาระสำคญั แหง่ นติ ิกรรมเปน็ โมฆะ ความสำคญั ผดิ ในสิ่งซงึ่ เป็นสาระสำคญั แหง่ นติ ิกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคญั ผดิ ใน ลักษณะของนติ ิกรรม ความสำคญั ผิดในตัวบคุ คลซึ่งเปน็ คู่กรณแี ห่งนติ ิกรรมและความสำคัญผิดในทรพั ยส์ นิ ซึ่ง เปน็ วตั ถแุ หง่ นติ ิกรรม เปน็ ต้น มาตรา ๑๕๗ การแสดงเจตนาโดยสำคญั ผิดในคณุ สมบตั ิของบุคคลหรอื ทรพั ยส์ นิ เป็นโมฆียะ ความสำคญั ผิดตามวรรคหนง่ึ ตอ้ งเป็นความสำคญั ผิดในคณุ สมบัตซิ ึง่ ตามปกตถิ อื วา่ เปน็ สาระสำคัญ ซึ่งหากมไิ ด้มีความสำคญั ผดิ ดังกลา่ วการอนั เปน็ โมฆียะนน้ั คงจะมิได้กระทำข้นึ มาตรา ๑๕๘ ความสำคญั ผิดตามมาตรา ๑๕๖ หรอื มาตรา ๑๕๗ ซึง่ เกดิ ข้ึนโดยความ ประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ งร้ายแรงของบุคคลผูแ้ สดงเจตนา บุคคลนั้นจะถอื เอาความสำคัญผดิ นนั้ มาใช้เปน็ ประโยชน์แก่ตนไม่ได้ มาตรา ๑๕๙ การแสดงเจตนาเพราะถกู กลฉ้อฉลเปน็ โมฆยี ะ การถูกกลฉอ้ ฉลที่จะเปน็ โมฆยี ะตามวรรคหนง่ึ จะต้องถงึ ขนาดซึ่งถา้ มไิ ด้มีกลฉ้อฉลดงั กลา่ ว การอนั เป็นโมฆยี ะนน้ั คงจะมิไดก้ ระทำขึน้ ถ้าคกู่ รณีฝา่ ยหนง่ึ แสดงเจตนาเพราะถกู กลฉ้อฉลโดยบุคคลภายนอก การแสดงเจตนาน้ันจะ เปน็ โมฆยี ะตอ่ เมอื่ คู่กรณีอกี ฝา่ ยหนงึ่ ได้รหู้ รอื ควรจะได้รู้ถงึ กลฉ้อฉลน้นั มาตรา ๑๖๐ การบอกล้างโมฆยี ะกรรมเพราะถกู กลฉ้อฉลตามมาตรา ๑๕๙ หา้ มมิให้ยกเปน็ ข้อตอ่ สบู้ คุ คลภายนอกผกู้ ระทำการโดยสจุ รติ มาตรา ๑๖๑ ถ้ากลฉอ้ ฉลเปน็ แตเ่ พียงเหตจุ ูงใจให้คู่กรณีฝา่ ยหนึ่งยอมรบั ข้อกำหนดอนั หนัก ย่ิงกวา่ ท่ีคกู่ รณฝี ่ายน้ันจะยอมรบั โดยปกติ คกู่ รณฝี ่ายนน้ั จะบอกล้างการนั้นหาไดไ้ ม่ แตช่ อบทจี่ ะเรยี กเอาคา่ สนิ ไหมทดแทนเพอ่ื ความเสยี หายอันเกิดจากกลฉอ้ ฉลน้นั ได้
31 มาตรา ๑๖๒ ในนิตกิ รรมสองฝา่ ย การทค่ี ่กู รณฝี า่ ยหนง่ึ จงใจน่ิงเสยี ไม่แจ้งข้อความจรงิ หรอื คณุ สมบตั อิ ันคกู่ รณอี ีกฝ่ายหนง่ึ มิได้รู้ การน้นั จะเปน็ กลฉอ้ ฉล หากพสิ ูจน์ไดว้ ่าถ้ามิได้น่งิ เสยี เช่นนน้ั นติ ิกรรม นนั้ กค็ งจะมิได้กระทำข้ึน มาตรา ๑๖๓ ถ้าคกู่ รณีตา่ งไดก้ ระทำการโดยกลฉอ้ ฉลดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย ฝา่ ยหนง่ึ ฝ่ายใดจะ กลา่ วอ้างกลฉ้อฉลของอีกฝ่ายหนง่ึ เพอ่ื บอกล้างการนนั้ หรือเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนมิได้ มาตรา ๑๖๔ การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขเู่ ป็นโมฆียะ การข่มขู่ทจี่ ะทำใหก้ ารใดตกเป็นโมฆยี ะน้นั จะตอ้ งเปน็ การข่มขทู่ ี่จะให้เกดิ ภยั อนั ใกล้จะถงึ และรา้ ยแรงถงึ ขนาดทจี่ ะจงู ใจให้ผถู้ กู ขม่ ข่มู ีมลู ตอ้ งกลวั ซง่ึ ถา้ มิได้มีการขม่ ข่เู ช่นนั้น การนนั้ กค็ งจะมิไดก้ ระทำ ขน้ึ มาตรา ๑๖๕ การข่วู า่ จะใช้สทิ ธิตามปกตนิ ยิ ม ไม่ถือว่าเปน็ การขม่ ขู่ การใดที่กระทำไปเพราะนบั ถือยำเกรง ไม่ถือว่าการน้นั ได้กระทำเพราะถูกขม่ ขู่ มาตรา ๑๖๖ การขม่ ขยู่ ่อมทำใหก้ ารแสดงเจตนาเป็นโมฆยี ะแม้บคุ คลภายนอกจะเปน็ ผูข้ ม่ ขู่ มาตรา ๑๖๗ ในการวนิ จิ ฉยั กรณีความสำคญั ผดิ กลฉอ้ ฉล หรอื การข่มข่ใู หพ้ ิเคราะหถ์ ึง เพศ อายุ ฐานะ สุขภาพอนามยั และภาวะแหง่ จิตของผแู้ สดงเจตนาตลอดจนพฤตกิ ารณ์และสภาพแวดลอ้ มอ่ืน ๆ อนั เกี่ยวกับการนนั้ ดว้ ย มาตรา ๑๖๘ การแสดงเจตนาทก่ี ระทำต่อบคุ คลซง่ึ อยเู่ ฉพาะหนา้ ใหถ้ อื วา่ มผี ลนบั แต่ผรู้ ับ การแสดงเจตนาไดท้ ราบการแสดงเจตนาน้ัน ความขอ้ นีใ้ ห้ใช้ตลอดถึงการทบ่ี ุคคลหน่งึ แสดงเจตนาไปยงั บุคคล อกี คนหนง่ึ โดยทางโทรศพั ท์ หรือโดยเครอื่ งมือสอื่ สารอย่างอนื่ หรือโดยวธิ ีอ่นื ซงึ่ สามารถตดิ ตอ่ ถงึ กันไดท้ ำนอง เดยี วกนั มาตรา ๑๖๙ การแสดงเจตนาท่กี ระทำต่อบคุ คลซง่ึ มไิ ดอ้ ยเู่ ฉพาะหน้าใหถ้ ือวา่ มผี ลนบั แต่ เวลาทก่ี ารแสดงเจตนานนั้ ไปถงึ ผรู้ บั การแสดงเจตนา แตถ่ า้ ได้บอกถอนไปถงึ ผ้รู บั การแสดงเจตนานน้ั กอ่ นหรือ พร้อมกนั กับทกี่ ารแสดงเจตนานนั้ ไปถงึ ผรู้ บั การแสดงเจตนา การแสดงเจตนานน้ั ตกเปน็ อันไร้ผล การแสดงเจตนาทีไ่ ดส้ ่งออกไปแล้วย่อมไมเ่ ส่อื มเสยี ไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนาน้ันผู้แสดง เจตนาจะถงึ แก่ความตาย หรือถกู ศาลส่ังใหเ้ ปน็ คนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไรค้ วามสามารถ
32 มาตรา ๑๗๐ การแสดงเจตนาซงึ่ กระทำต่อผู้เยาว์หรอื ผทู้ ี่ศาลสง่ั ใหเ้ ปน็ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ จะยกข้นึ เปน็ ข้อต่อสผู้ ้รู บั การแสดงเจตนาไมไ่ ด้ เว้นแต่ผ้แู ทนโดยชอบธรรม ผู้ อนบุ าล หรอื ผ้พู ิทกั ษ์ แล้วแต่กรณี ของผรู้ ับการแสดงเจตนานัน้ ไดร้ ู้ดว้ ย หรือไดใ้ ห้ความยนิ ยอมไวก้ ่อนแลว้ ความในวรรคหนึง่ มิใหใ้ ช้บงั คบั ถ้าการแสดงเจตนานนั้ เกย่ี วกบั การทกี่ ฎหมายบัญญัติให้ ผเู้ ยาว์หรือคนเสมอื นไร้ความสามารถกระทำไดเ้ องโดยลำพงั มาตรา ๑๗๑ ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเลง็ ถึงเจตนาอันแทจ้ รงิ ยงิ่ กวา่ ถอ้ ยคำ สำนวนหรอื ตัวอกั ษร หมวด ๓ โมฆะกรรมและโมฆยี ะกรรม มาตรา ๑๗๒ โมฆะกรรมนน้ั ไม่อาจให้สัตยาบนั แก่กันได้ และผู้มสี ว่ นได้เสียคนหน่ึงคนใดจะ ยกความเสียเปล่าแหง่ โมฆะกรรมข้ึนกลา่ วอ้างกไ็ ด้ ถ้าจะตอ้ งคืนทรัพยส์ ินอันเกดิ จากโมฆะกรรม ใหน้ ำบทบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยลาภมิควรไดแ้ หง่ ประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคบั มาตรา ๑๗๓ ถา้ สว่ นหน่งึ ส่วนใดของนติ ิกรรมเป็นโมฆะ นติ กิ รรมน้นั ยอ่ มตกเป็นโมฆะทง้ั สน้ิ เว้นแต่จะพึงสันนษิ ฐานได้โดยพฤตกิ ารณแ์ ห่งกรณวี า่ คู่กรณีเจตนาจะใหส้ ว่ นทไ่ี ม่เปน็ โมฆะน้ันแยกออกจาก ส่วนท่ีเป็นโมฆะได้ มาตรา ๑๗๔ การใดเป็นโมฆะแตเ่ ขา้ ลกั ษณะเป็นนิติกรรมอย่างอ่ืนซงึ่ ไมเ่ ปน็ โมฆะ ให้ถอื ตาม นิติกรรมซ่ึงไมเ่ ปน็ โมฆะ ถา้ สันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีวา่ หากค่กู รณีไดร้ ู้วา่ การน้นั เป็นโมฆะแล้ว ก็ คงจะได้ตัง้ ใจมาต้งั แต่แรกท่จี ะทำนิติกรรมอยา่ งอื่นซ่งึ ไมเ่ ป็นโมฆะน้นั มาตรา ๑๗๕ โมฆยี ะกรรมนน้ั บุคคลตอ่ ไปนจี้ ะบอกลา้ งเสยี กไ็ ด้ (๑) ผแู้ ทนโดยชอบธรรมหรือผเู้ ยาวซ์ งึ่ บรรลุนติ ภิ าวะแลว้ แต่ผเู้ ยาวจ์ ะบอกล้างกอ่ นที่ตน บรรลุนิติภาวะก็ไดถ้ ้าไดร้ บั ความยนิ ยอมของผูแ้ ทนโดยชอบธรรม (๒) บุคคลซงึ่ ศาลส่ังใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เม่ือบุคคลนน้ั พน้ จากการเป็นคนไรค้ วามสามารถหรือคนเสมือนไรค้ วามสามารถแลว้ หรอื ผู้อนบุ าลหรอื ผู้พทิ ักษ์ แลว้ แตก่ รณี
33 แตค่ นเสมอื นไร้ความสามารถจะบอกล้างกอ่ นทตี่ นจะพน้ จากการเปน็ คนเสมือนไร้ความสามารถกไ็ ดถ้ ้าได้รบั ความยินยอมของผพู้ ทิ ักษ์ (๓) บุคคลผแู้ สดงเจตนาเพราะสำคญั ผิด หรือถกู กลฉอ้ ฉล หรอื ถกู ขม่ ขู่ (๔) บุคคลวกิ ลจรติ ผูก้ ระทำนติ กิ รรมอนั เปน็ โมฆยี ะตามมาตรา ๓๐ ในขณะท่จี รติ ของบุคคล น้นั ไม่วิกลแลว้ ถ้าบุคคลผทู้ ำนิตกิ รรมอนั เป็นโมฆียะถงึ แกค่ วามตายกอ่ นมกี ารบอกลา้ งโมฆยี ะกรรม ทายาท ของบุคคลดังกล่าวอาจบอกลา้ งโมฆยี ะกรรมนน้ั ได้ มาตรา ๑๗๖ โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแลว้ ให้ถือวา่ เป็นโมฆะมาแตเ่ ร่ิมแรก และใหผ้ เู้ ป็น คู่กรณีกลบั คนื สูฐ่ านะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวสิ ยั จะใหก้ ลบั คืนเช่นนนั้ ได้ ก็ให้ไดร้ ับค่าเสยี หายชดใช้ให้แทน ถา้ บคุ คลใดได้รู้หรือควรจะไดร้ ู้ว่าการใดเปน็ โมฆียะ เมื่อบอกลา้ งแลว้ ให้ถือว่าบคุ คลนัน้ ไดร้ ู้ ว่าการนน้ั เป็นโมฆะ นบั แตว่ นั ท่ีไดร้ หู้ รอื ควรจะไดร้ วู้ า่ เป็นโมฆียะ หา้ มมใิ ห้ใชส้ ิทธิเรยี กรอ้ งอันเกดิ แต่การกลบั คนื สู่ฐานะเดิมตามวรรคหนงึ่ เมื่อพ้นหนง่ึ ปนี ับแต่ วนั บอกลา้ งโมฆยี ะกรรม มาตรา ๑๗๗ ถ้าบคุ คลผมู้ สี ทิ ธบิ อกล้างโมฆยี ะกรรมตามมาตรา ๑๗๕ ผู้หน่ึงผใู้ ด ได้ให้ สัตยาบันแกโ่ มฆยี ะกรรม ใหถ้ ือวา่ การนน้ั เปน็ อนั สมบรู ณม์ าแตเ่ ริ่มแรก แตท่ ้ังนย้ี อ่ มไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิ ของบคุ คลภายนอก มาตรา ๑๗๘ การบอกลา้ งหรอื ให้สตั ยาบันแกโ่ มฆยี ะกรรม ยอ่ มกระทำไดโ้ ดยการแสดง เจตนาแก่คูก่ รณอี กี ฝ่ายหน่งึ ซงึ่ เป็นบุคคลที่มตี วั กำหนดได้แนน่ อน มาตรา ๑๗๙ การใหส้ ตั ยาบนั แกโ่ มฆียะกรรมน้ัน จะสมบรู ณต์ อ่ เมอ่ื ได้กระทำภายหลงั เวลาท่ี มลู เหตุใหเ้ ปน็ โมฆียะกรรมน้ันหมดสิ้นไปแลว้ บคุ คลซึง่ ศาลไดส้ ง่ั ให้เปน็ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือบคุ คลวิกลจรติ ผู้กระทำนิตกิ รรมอันเปน็ โมฆียะตามมาตรา ๓๐ จะใหส้ ตั ยาบนั แกโ่ มฆียะกรรมได้ตอ่ เมอ่ื ไดร้ ูเ้ ห็นซง่ึ โมฆยี ะกรรมนนั้ ภายหลงั ท่ีบุคคลนั้นพน้ จากการเป็นคนไรค้ วามสามารถ คนเสมอื นไร้ความสามารถ หรอื ในขณะทจ่ี ริตของบคุ คลนัน้ ไม่วิกล แลว้ แต่กรณี ทายาทของบคุ คลผทู้ ำนิตกิ รรมอนั เป็นโมฆียะ จะใหส้ ัตยาบนั แก่โมฆียะกรรมไดน้ บั แต่เวลาที่ ผู้ทำนิตกิ รรมนัน้ ถงึ แกค่ วามตาย เวน้ แต่สิทธทิ จ่ี ะบอกล้างโมฆียะกรรมของผ้ตู ายนั้นได้สิ้นสดุ ลงแลว้ บทบญั ญตั วิ รรคหนง่ึ และวรรคสองมใิ หใ้ ช้บงั คับ ถ้าการใหส้ ตั ยาบันแก่โมฆียะกรรมกระทำ โดยผแู้ ทนโดยชอบธรรม ผอู้ นบุ าลหรอื ผู้พทิ กั ษ์
34 มาตรา ๑๘๐ ภายหลังเวลาอันพงึ ใหส้ ตั ยาบนั ได้ตามมาตรา ๑๗๙ ถ้ามีพฤตกิ ารณ์อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดดังตอ่ ไปนเี้ กดิ ขนึ้ เกี่ยวดว้ ยโมฆยี ะกรรมโดยการกระทำของบุคคลซ่ึงมสี ิทธบิ อกล้างโมฆยี ะกรรมตาม มาตรา ๑๗๕ ถ้ามไิ ด้สงวนสิทธิไว้แจ้งชดั ประการใดให้ถอื วา่ เปน็ การใหส้ ัตยาบนั (๑) ได้ปฏิบตั กิ ารชำระหน้แี ล้วทง้ั หมดหรอื แตบ่ างส่วน (๒) ไดม้ ีการเรยี กให้ชำระหนนี้ ั้นแลว้ (๓) ไดม้ ีการแปลงหนี้ใหม่ (๔) ไดม้ กี ารใหป้ ระกันเพอ่ื หน้ีนน้ั (๕) ไดม้ กี ารโอนสทิ ธหิ รือความรบั ผดิ ทง้ั หมดหรอื แตบ่ างสว่ น (๖) ไดม้ ีการกระทำอย่างอื่นอนั แสดงได้วา่ เป็นการใหส้ ัตยาบนั มาตรา ๑๘๑ โมฆยี ะกรรมนน้ั จะบอกลา้ งมิไดเ้ มื่อพน้ เวลาหน่งึ ปนี ับแตเ่ วลาทอี่ าจใหส้ ตั ยาบัน ได้ หรอื เมอ่ื พ้นเวลาสบิ ปีนับแตไ่ ดท้ ำนติ ิกรรมอันเปน็ โมฆยี ะน้นั หมวด ๔ เงอ่ื นไขและเงื่อนเวลา มาตรา ๑๘๒ ข้อความใดอันบงั คบั ไวใ้ หน้ ติ กิ รรมเป็นผลหรอื สิ้นผลต่อเมื่อมเี หตกุ ารณ์อนั ไม่ แนน่ อนวา่ จะเกดิ ข้นึ หรอื ไม่ในอนาคต ข้อความน้นั เรียกว่าเงอื่ นไข มาตรา ๑๘๓ นติ กิ รรมใดมีเงอ่ื นไขบงั คบั กอ่ น นิตกิ รรมนน้ั ยอ่ มเปน็ ผลตอ่ เมือ่ เงอ่ื นไขนนั้ สำเรจ็ แลว้ นิตกิ รรมใดมีเง่ือนไขบังคบั หลัง นติ กิ รรมนั้นยอ่ มสิ้นผลในเมอื่ เงื่อนไขนัน้ สำเรจ็ แล้ว ถา้ คูก่ รณีแห่งนติ ิกรรมไดแ้ สดงเจตนาไว้ด้วยกนั ว่า ความสำเร็จแหง่ เงอ่ื นไขนัน้ ใหม้ ผี ล ยอ้ นหลงั ไปถึงเวลาใดเวลาหนงึ่ ก่อนสำเรจ็ กใ็ หเ้ ป็นไปตามเจตนาเช่นนน้ั มาตรา ๑๘๔ ในระหว่างทเี่ ง่อื นไขยังไม่สำเรจ็ คูก่ รณฝี ่ายหนง่ึ ฝ่ายใดแหง่ นติ ิกรรมอันอยใู่ น บังคับเงื่อนไขจะตอ้ งงดเว้นไม่กระทำการอย่างหน่ึงอยา่ งใดให้เป็นท่เี สอ่ื มเสยี ประโยชน์แก่คกู่ รณอี กี ฝา่ ยหนึ่ง ซง่ึ จะพงึ ไดจ้ ากความสำเรจ็ แห่งเงอ่ื นไขน้ัน
35 มาตรา ๑๘๕ ในระหวา่ งทเ่ี งอื่ นไขยังมิได้สำเรจ็ นนั้ สิทธแิ ละหนา้ ท่ตี า่ ง ๆ ของคกู่ รณีมี อยา่ งไร จะจำหน่าย จะรบั มรดก จะจดั การป้องกนั รกั ษา หรอื จะทำประกันไวป้ ระการใดตามกฎหมายกย็ ่อมทำ ได้ มาตรา ๑๘๖ ถ้าความสำเรจ็ แหง่ เงอื่ นไขจะเป็นทางใหค้ กู่ รณฝี ่ายใดเสียเปรียบ และคกู่ รณี ฝา่ ยนั้นกระทำการโดยไมส่ จุ ริตจนเป็นเหตุใหเ้ ง่อื นไขนน้ั ไมส่ ำเร็จใหถ้ ือวา่ เงอื่ นไขน้นั สำเรจ็ แล้ว ถา้ ความสำเรจ็ แหง่ เงอื่ นไขจะเป็นทางให้คกู่ รณฝี า่ ยใดไดเ้ ปรยี บ และคกู่ รณฝี ่ายนัน้ กระทำการ โดยไมส่ ุจริตจนเปน็ เหตใุ หเ้ งอ่ื นไขน้นั สำเร็จ ใหถ้ ือวา่ เง่ือนไขนั้นมิได้สำเร็จเลย มาตรา ๑๘๗ ถา้ เง่ือนไขสำเรจ็ แล้วในเวลาทำนิติกรรม หากเปน็ เง่อื นไขบงั คบั กอ่ นใหถ้ ือวา่ นติ ิกรรมน้ันไมม่ เี งื่อนไข หากเป็นเง่อื นไขบงั คบั หลงั ให้ถอื ว่านิติกรรมน้นั เปน็ โมฆะ ถ้าเปน็ อันแนน่ อนในเวลาทำนติ ิกรรมว่าเง่อื นไขไมอ่ าจสำเรจ็ ได้ หากเปน็ เง่อื นไขบงั คบั กอ่ นให้ ถอื วา่ นติ กิ รรมนนั้ เปน็ โมฆะ หากเป็นเงอ่ื นไขบงั คบั หลังใหถ้ อื ว่านติ ิกรรมน้ันไมม่ ีเง่ือนไข ตราบใดทคี่ ู่กรณยี งั ไม่รู้วา่ เงื่อนไขไดส้ ำเร็จแล้วตามวรรคหนึง่ หรอื ไมอ่ าจสำเรจ็ ได้ตามวรรค สอง ตราบนัน้ คู่กรณยี งั มีสทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามมาตรา ๑๘๔ และมาตรา ๑๘๕ มาตรา ๑๘๘ นติ ิกรรมใดมเี งอ่ื นไขอนั ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย หรอื ขดั ต่อความสงบเรยี บรอ้ ย หรือศลี ธรรมอันดขี องประชาชน นติ กิ รรมนัน้ เป็นโมฆะ เป็นโมฆะ มาตรา ๑๘๙ นติ กิ รรมใดมเี งอ่ื นไขบงั คบั ก่อนและเง่อื นไขนนั้ เป็นการพน้ วิสยั นิติกรรมนั้น เงื่อนไข นติ กิ รรมใดมเี งือ่ นไขบังคบั หลงั และเง่อื นไขนนั้ เป็นการพน้ วสิ ยั ใหถ้ อื วา่ นติ ิกรรมน้ันไม่มี มาตรา ๑๙๐ นติ ิกรรมใดมเี งื่อนไขบังคบั กอ่ นและเป็นเง่ือนไขอนั จะสำเรจ็ ได้หรือไม่ สดุ แลว้ แต่ใจของฝา่ ยลูกหนี้ นติ กิ รรมน้ันเปน็ โมฆะ มาตรา ๑๙๑ นิตกิ รรมใดมเี งอ่ื นเวลาเริ่มตน้ กำหนดไว้ ห้ามมิใหท้ วงถามใหป้ ฏิบัตกิ ารตามนติ ิ กรรมนัน้ ก่อนถงึ เวลาทก่ี ำหนด นติ ิกรรมใดมีเงอ่ื นเวลาสน้ิ สุดกำหนดไว้ นติ ิกรรมนั้นยอ่ มสน้ิ ผลเม่อื ถงึ เวลาทก่ี ำหนด
36 มาตรา ๑๙๒ เงื่อนเวลาเร่ิมต้นหรอื เงอื่ นเวลาสิน้ สุดน้ัน ให้สนั นิษฐานไว้กอ่ นว่ากำหนดไว้เพอื่ ประโยชน์แกฝ่ า่ ยลกู หน้ี เวน้ แต่จะปรากฏโดยเนื้อความแหง่ ตราสารหรอื โดยพฤติการณ์แหง่ กรณีวา่ ไดต้ ง้ั ใจจะ ให้เปน็ ประโยชนแ์ ก่ฝ่ายเจ้าหน้ีหรือแก่คู่กรณีทง้ั สองฝ่ายดว้ ยกนั ถา้ เง่อื นเวลาเป็นประโยชน์แกฝ่ ่ายใด ฝา่ ยนนั้ จะสละประโยชน์นน้ั เสยี ก็ได้ หากไม่ กระทบกระเทอื นถึงประโยชน์อันคูก่ รณีอีกฝา่ ยหนง่ึ จะพึงไดร้ บั จากเงอื่ นเวลานนั้ มาตรา ๑๙๓ ในกรณดี ังต่อไปนี้ ฝา่ ยลูกหนจี้ ะถอื เอาประโยชนแ์ หง่ เงอ่ื นเวลาเรม่ิ ต้นหรอื เงอื่ นเวลาสิ้นสดุ มไิ ด้ (๑) ลกู หนถ้ี ูกศาลสัง่ พทิ ักษท์ รพั ย์เด็ดขาดตามกฎหมายวา่ ดว้ ยล้มละลาย (๒) ลูกหนไี้ มใ่ หป้ ระกันในเมอื่ จำต้องให้ (๓) ลูกหนีไ้ ดท้ ำลาย หรือทำใหล้ ดนอ้ ยถอยลงซง่ึ ประกนั อนั ไดใ้ หไ้ ว้ (๔) ลกู หน้นี ำทรัพยส์ ินของบุคคลอน่ื มาใหเ้ ป็นประกนั โดยเจา้ ของทรพั ยส์ นิ น้นั มิไดย้ นิ ยอม ด้วย ลกั ษณะ ๕ ระยะเวลา มาตรา ๑๙๓/๑ การนบั ระยะเวลาทง้ั ปวง ใหบ้ งั คบั ตามบทบญั ญตั ิแห่งลกั ษณะนี้ เว้นแต่จะมี กฎหมาย คำสัง่ ศาล ระเบยี บข้อบงั คับ หรือนิตกิ รรมกำหนดเป็นอย่างอืน่ มาตรา ๑๙๓/๒ การคำนวณระยะเวลา ให้คำนวณเป็นวัน แต่ถา้ กำหนดเปน็ หนว่ ยเวลาที่ส้ัน กว่าวนั กใ็ ห้คำนวณตามหน่วยเวลาท่กี ำหนดนั้น มาตรา ๑๙๓/๓ ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหนว่ ยเวลาทสี่ น้ั กว่าวนั ใหเ้ ร่มิ ตน้ นับในขณะทเ่ี รม่ิ การนนั้ ถ้ากำหนดระยะเวลาเปน็ วนั สปั ดาห์ เดอื นหรือปี มใิ ห้นบั วนั แรกแหง่ ระยะเวลานนั้ รวมเข้า ดว้ ยกัน เว้นแต่จะเรมิ่ การในวันน้ันเองต้งั แตเ่ วลาทีถ่ อื ไดว้ า่ เปน็ เวลาเรม่ิ ต้นทำการงานกนั ตามประเพณี มาตรา ๑๙๓/๔ ในทางคดีความ ในทางราชการ หรือทางธรุ กิจการคา้ และอุตสาหกรรม วัน หมายความวา่ เวลาทำการตามทไี่ ดก้ ำหนดข้นึ โดยกฎหมาย คำสัง่ ศาล หรือระเบียบข้อบงั คับ หรือเวลาทำการ ตามปกติของกิจการน้นั แล้วแต่กรณี
37 มาตรา ๑๙๓/๕ ถา้ กำหนดระยะเวลาเปน็ สัปดาห์ เดอื นหรอื ปี ใหค้ ำนวณตามปีปฏิทิน ถา้ ระยะเวลามไิ ด้กำหนดนบั แต่วนั ต้นแห่งสปั ดาห์ วนั ตน้ แหง่ เดอื นหรอื ปี ระยะเวลาย่อม สน้ิ สุดลงในวนั ก่อนหนา้ จะถงึ วันแห่งสปั ดาห์ เดือนหรอื ปสี ุดทา้ ยอันเปน็ วันตรงกบั วนั เรม่ิ ระยะเวลานั้น ถา้ ใน ระยะเวลานับเปน็ เดือนหรือปนี ัน้ ไมม่ วี นั ตรงกันในเดือนสุดทา้ ย ใหถ้ ือเอาวันสุดท้ายแหง่ เดือนน้ันเปน็ วันสน้ิ สุด ระยะเวลา มาตรา ๑๙๓/๖ ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดอื นและวัน หรอื กำหนดเปน็ เดอื นและสว่ นของ เดอื น ให้นับจำนวนเดือนเตม็ กอ่ น แล้วจงึ นับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเปน็ วัน ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นสว่ นของปี ใหค้ ำนวณส่วนของปเี ปน็ เดอื นกอ่ นหากมสี ่วนของเดือน ใหน้ บั สว่ นของเดอื นเป็นวัน การคำนวณสว่ นของเดือนตามวรรคหนึง่ และวรรคสอง ให้ถอื ว่าเดอื นหนึ่งมีสามสบิ วนั มาตรา ๑๙๓/๗ ถ้ามกี ารขยายระยะเวลาออกไปโดยมิไดม้ ีการกำหนดวันเริม่ ต้นแห่ง ระยะเวลาที่ขยายออกไป ใหน้ ับวนั ทต่ี ่อจากวันสดุ ท้ายของระยะเวลาเดมิ เปน็ วันเรมิ่ ต้น มาตรา ๑๙๓/๘ ถ้าวันสดุ ทา้ ยของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการ หรือตามประเพณี ใหน้ บั วนั ท่เี ร่ิมทำการใหม่ตอ่ จากวนั ทีห่ ยดุ ทำการน้ันเป็นวนั สุดท้ายของระยะเวลา ลกั ษณะ ๖ อายุความ หมวด ๑ บทเบด็ เสรจ็ ทว่ั ไป มาตรา ๑๙๓/๙ สทิ ธิเรยี กร้องใด ๆ ถา้ มไิ ด้ใชบ้ งั คับภายในระยะเวลาทกี่ ฎหมายกำหนด สิทธิ เรียกร้องนน้ั เป็นอนั ขาดอายุความ มาตรา ๑๙๓/๑๐ สทิ ธเิ รยี กรอ้ งทีข่ าดอายคุ วาม ลกู หนม้ี ีสทิ ธิท่จี ะปฏเิ สธการชำระหน้ีตาม สทิ ธเิ รียกรอ้ งน้นั ได้
38 มาตรา ๑๙๓/๑๑ อายุความทีก่ ฎหมายกำหนดไว้นั้น คู่กรณจี ะตกลงกันให้งดใชห้ รือขยาย ออกหรือยน่ เขา้ ไมไ่ ด้ มาตรา ๑๙๓/๑๒ อายุความให้เริม่ นับแต่ขณะทอ่ี าจบงั คบั สทิ ธเิ รียกรอ้ งไดเ้ ปน็ ตน้ ไปถ้าเปน็ สทิ ธิเรียกรอ้ งใหง้ ดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เรม่ิ นับแต่เวลาแรกทฝี่ ่าฝืนกระทำการน้นั มาตรา ๑๙๓/๑๓ สทิ ธิเรียกรอ้ งท่ีเจา้ หนี้ยงั ไมอ่ าจบังคบั ได้จนกว่าจะไดท้ วงถามใหล้ กู หนี้ ชำระหนีก้ ่อน ใหเ้ รม่ิ นับอายคุ วามต้งั แตเ่ วลาแรกทีอ่ าจทวงถามได้เปน็ ต้นไป แต่ถ้าลูกหน้ยี งั ไม่ตอ้ งชำระหน้ี จนกว่าระยะเวลาหนึ่งจะได้ลว่ งพ้นไปแลว้ นับแต่เวลาทไ่ี ด้ทวงถามนนั้ ใหเ้ รมิ่ นบั อายคุ วามตงั้ แต่ระยะเวลานนั้ ไดส้ ้นิ สดุ ไปแลว้ มาตรา ๑๙๓/๑๔ อายคุ วามย่อมสะดดุ หยดุ ลงในกรณดี งั ต่อไปนี้ (๑) ลกู หน้รี บั สภาพหนีต้ อ่ เจา้ หนีต้ ามสทิ ธิเรียกรอ้ งโดยทำเปน็ หนังสอื รบั สภาพหนี้ให้ ชำระ หนี้ใหบ้ างส่วน ชำระดอกเบ้ีย ใหป้ ระกัน หรอื กระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายวา่ ยอมรบั สภาพหนตี้ ามสทิ ธิเรยี กร้อง (๒) เจา้ หน้ีไดฟ้ ้องคดเี พื่อต้ังหลกั ฐานสทิ ธเิ รียกรอ้ งหรือเพื่อให้ชำระหน้ี (๓) เจ้าหน้ีไดย้ ื่นคำขอรบั ชำระหนี้ในคดีลม้ ละลาย (๔) เจ้าหนไี้ ดม้ อบข้อพพิ าทให้อนญุ าโตตลุ าการพิจารณา (๕) เจา้ หนไ้ี ดก้ ระทำการอื่นใดอนั มผี ลเปน็ อย่างเดียวกันกบั การฟ้องคดี อายุความ มาตรา ๑๙๓/๑๕ เม่ืออายคุ วามสะดดุ หยุดลงแล้ว ระยะเวลาท่ีลว่ งไปก่อนนนั้ ไม่นบั เขา้ ใน เม่ือเหตุทที่ ำใหอ้ ายคุ วามสะดุดหยุดลงสนิ้ สุดเวลาใด ให้เร่ิมนบั อายุความใหม่ตัง้ แตเ่ วลานนั้ มาตรา ๑๙๓/๑๖ หนใ้ี ดซง่ึ ตามมลู แหง่ หนีน้ ้นั เจ้าหนจ้ี ะไดร้ บั ชำระหนเ้ี ปน็ คราว ๆ เจา้ หนมี้ ี สิทธิเรยี กใหล้ ูกหน้ีทำหนงั สอื รบั สภาพหนี้ให้ในเวลาใดเวลาหนึ่งกอ่ นอายุความครบบรบิ รู ณ์ เพ่ือเปน็ หลกั ฐาน ว่าอายคุ วามสะดุดหยดุ ลง มาตรา ๑๙๓/๑๗ ในกรณีทอ่ี ายคุ วามสะดดุ หยดุ ลงเพราะเหตุตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๒) หากคดนี ้ันได้มีคำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ให้ยกคำฟอ้ ง หรือคดเี สรจ็ ไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตถุ อนฟ้อง หรือทิง้ ฟอ้ ง ให้ถือวา่ อายุความไมเ่ คยสะดดุ หยดุ ลง
39 ในกรณีทีค่ ดนี ั้นศาลไมร่ บั หรือคืนหรือให้ยกคำฟ้องเพราะเหตคุ ดไี ม่อยูใ่ นอำนาจศาล หรอื ศาล ใหย้ กคำฟอ้ งโดยไมต่ ัดสิทธิโจทกท์ ี่จะฟอ้ งใหม่ และปรากฏวา่ อายุความครบกำหนดไปแลว้ ในระหวา่ งการ พิจารณา หรอื จะครบกำหนดภายในหกสิบวันนบั แตว่ ันท่ีคำพิพากษาหรอื คำส่ังน้ันถงึ ทสี่ ุด ใหเ้ จ้าหนีม้ สี ทิ ธิฟอ้ ง คดีเพื่อตัง้ หลักฐานสทิ ธเิ รียกร้องหรือเพอื่ ให้ชำระหนีภ้ ายในหกสบิ วันนบั แตว่ นั ทค่ี ำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั นัน้ ถงึ ทสี่ ดุ มาตรา ๑๙๓/๑๘ ใหน้ ำมาตรา ๑๙๓/๑๗ มาใชบ้ งั คบั แกก่ รณีทอี่ ายคุ วามสะดุดหยุดลง เพราะเหตุตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๓) (๔) และ (๕) โดยอนโุ ลม มาตรา ๑๙๓/๑๙ ในขณะทอี่ ายุความจะครบกำหนดน้นั ถ้ามีเหตสุ ดุ วสิ ยั มาขัดขวางมิให้ เจ้าหนกี้ ระทำการตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ ใหอ้ ายุความน้นั ยงั ไม่ครบกำหนดจนกวา่ จะพน้ สามสบิ วนั นับแตว่ นั ท่ี เหตสุ ดุ วสิ ยั น้ันได้สิ้นสดุ ลง มาตรา ๑๙๓/๒๐ อายคุ วามสิทธเิ รยี กรอ้ งของผเู้ ยาวห์ รอื ของบคุ คลวิกลจรติ อนั ศาลจะส่งั ให้ เปน็ คนไรค้ วามสามารถหรอื ไมก่ ต็ าม ถ้าจะครบกำหนดลงในขณะทบ่ี คุ คลดงั กล่าวยงั ไมล่ ถุ งึ ความสามารถเตม็ ภมู ิ หรอื ในระหวา่ งหนึ่งปนี บั แต่วันท่ีบคุ คลดงั กลา่ วไมม่ ีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผอู้ นบุ าล อายุความน้ันยังไม่ ครบกำหนดจนกว่าจะครบหน่งึ ปีนบั แต่วนั ทบี่ คุ คลนน้ั ไดล้ ุถึงความสามารถเตม็ ภมู ิหรอื ไดม้ ผี ู้แทนโดยชอบธรรม หรือผูอ้ นบุ าล แลว้ แต่กรณี แต่ถา้ อายคุ วามสทิ ธเิ รยี กรอ้ งน้ันมีระยะเวลานอ้ ยกวา่ หนึ่งปกี ใ็ หน้ ำกำหนด ระยะเวลาทสี่ น้ั กวา่ นั้นมาใช้แทนกำหนดระยะเวลาหนง่ึ ปีดงั กล่าว มาตรา ๑๙๓/๒๑ อายคุ วามสิทธเิ รยี กรอ้ งของผเู้ ยาว์หรอื ของคนไรค้ วามสามารถหรือของคน เสมอื นไร้ความสามารถ ที่จะฟ้องรอ้ งผูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรอื ผู้อนุบาลหรือผพู้ ิทกั ษ์ของตนนั้น ถา้ จะครบ กำหนดลงในขณะทบี่ คุ คลดงั กลา่ วยังไมล่ ุถงึ ความสามารถเตม็ ภูมิ หรือในระหว่างหนึง่ ปนี บั แต่วันทบี่ ุคคล ดังกล่าวไมม่ ผี ูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรือผอู้ นบุ าลหรอื ผู้พิทักษ์ อายุความนัน้ ยงั ไม่ครบกำหนดจนกว่าจะครบหนงึ่ ปีนับแตว่ ันท่ีบคุ คลน้นั ไดล้ ุถึงความสามารถเตม็ ภูมหิ รือไดม้ ผี แู้ ทนโดยชอบธรรมหรอื ผ้อู นบุ าลหรอื ผพู้ ทิ กั ษ์ แล้วแต่กรณี แต่ถา้ อายุความสิทธิเรยี กร้องน้ันมรี ะยะเวลานอ้ ยกวา่ หนึ่งปี กใ็ ห้นำกำหนดระยะเวลาทส่ี นั้ กวา่ นนั้ มาใช้แทนกำหนดระยะเวลาหน่ึงปดี ังกลา่ ว มาตรา ๑๙๓/๒๒ อายุความสิทธิเรยี กร้องระหว่างสามีภริยา ถ้าจะครบกำหนดก่อนหรือ ภายในหน่งึ ปีนบั แต่วันทีก่ ารสมรสส้ินสดุ ลง อายุความนั้นยังไม่ครบกำหนดจนกวา่ จะครบหนงึ่ ปนี ับแตว่ นั ทก่ี าร สมรสสิน้ สดุ ลง
40 มาตรา ๑๙๓/๒๓ อายุความสิทธิเรยี กร้องอนั เป็นคุณหรือเปน็ โทษแกผ่ ู้ตาย ถา้ จะครบ กำหนดภายในหนึ่งปีนบั แต่วันตาย อายุความนัน้ ยังไม่ครบกำหนดจนกวา่ จะครบหนง่ึ ปนี บั แตว่ ันตาย มาตรา ๑๙๓/๒๔ เมือ่ อายคุ วามครบกำหนดแลว้ ลูกหนี้จะสละประโยชนแ์ หง่ อายคุ วามน้ัน เสยี ก็ได้ แต่การสละประโยชนเ์ ชน่ ว่านีไ้ ม่มผี ลกระทบกระเทอื นสิทธขิ องบุคคลภายนอกหรอื ผ้คู ำ้ ประกัน มาตรา ๑๙๓/๒๕ เม่อื อายคุ วามครบกำหนดแลว้ ให้มผี ลยอ้ นหลงั ข้ึนไปถงึ วันที่เริ่มนบั อายุ ความ มาตรา ๑๙๓/๒๖ เม่ือสิทธิเรียกร้องสว่ นท่เี ป็นประธานขาดอายุความใหส้ ทิ ธิเรียกร้องสว่ นท่ี เปน็ อปุ กรณ์นน้ั ขาดอายุความดว้ ย แม้ว่าอายุความของสทิ ธิเรียกรอ้ งสว่ นที่เป็นอุปกรณ์น้ันจะยังไม่ครบกำหนด กต็ าม มาตรา ๑๙๓/๒๗ ผรู้ บั จำนอง ผรู้ ับจำนำ ผูท้ รงสทิ ธิยดึ หน่วง หรอื ผ้ทู รงบุรมิ สทิ ธเิ หนอื ทรัพยส์ นิ ของลูกหนอ้ี นั ตนไดย้ ดึ ถือไว้ ยังคงมสี ิทธบิ งั คบั ชำระหนี้จากทรพั ย์สินทีจ่ ำนอง จำนำ หรอื ที่ไดย้ ดึ ถอื ไว้ แมว้ ่าสทิ ธิเรียกรอ้ งสว่ นทเ่ี ปน็ ประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แตจ่ ะใชส้ ทิ ธินน้ั บงั คับใหช้ ำระดอกเบยี้ ท่คี า้ ง ยอ้ นหลงั เกินห้าปขี นึ้ ไปไมไ่ ด้ มาตรา ๑๙๓/๒๘ การชำระหนีต้ ามสิทธเิ รยี กร้องซง่ึ ขาดอายคุ วามแลว้ นั้นไม่วา่ มากน้อย เพียงใดจะเรยี กคนื ไม่ได้ แม้วา่ ผชู้ ำระหนจี้ ะไมร่ ูว้ ่าสิทธิเรียกร้องขาดอายคุ วามแล้วก็ตาม บทบญั ญตั ใิ นวรรคหน่งึ ให้ใชบ้ งั คับแกก่ ารทลี่ ูกหนร้ี บั สภาพความรบั ผิดโดยมีหลักฐานเป็น หนังสือ หรอื โดยการให้ประกันดว้ ย แต่จะอา้ งความขอ้ น้ีขนึ้ เปน็ โทษแกผ่ ูค้ ำ้ ประกนั เดมิ ไมไ่ ด้ มาตรา ๑๙๓/๒๙ เมื่อไม่ไดย้ กอายคุ วามขน้ึ เปน็ ขอ้ ต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเปน็ เหตุ ยกฟอ้ งไมไ่ ด้ หมวด ๒ กำหนดอายุความ มาตรา ๑๙๓/๓๐ อายคุ วามนนั้ ถ้าประมวลกฎหมายนหี้ รือกฎหมายอื่นมิไดบ้ ญั ญัตไิ ว้ โดยเฉพาะ ให้มกี ำหนดสบิ ปี
41 มาตรา ๑๙๓/๓๑ สิทธเิ รยี กร้องของรัฐทจี่ ะเรยี กเอาคา่ ภาษีอากรใหม้ ีกำหนดอายุความสบิ ปี ส่วนสิทธิเรยี กร้องของรฐั ที่จะเรยี กเอาหนอ้ี ย่างอ่นื ใหบ้ งั คับตามบทบญั ญัตใิ นลักษณะนี้ มาตรา ๑๙๓/๓๒ สิทธิเรยี กร้องทีเ่ กดิ ข้ึนโดยคำพพิ ากษาของศาลทถี่ งึ ท่ีสุด หรือโดยสญั ญา ประนปี ระนอมยอมความ ใหม้ ีกำหนดอายคุ วามสบิ ปี ทัง้ นี้ ไมว่ า่ สิทธิเรยี กร้องเดมิ จะมีกำหนดอายุความเท่าใด มาตรา ๑๙๓/๓๓ สิทธิเรียกรอ้ งดงั ตอ่ ไปนใ้ี ห้มกี ำหนดอายคุ วามหา้ ปี (๑) ดอกเบย้ี คา้ งชำระ (๒) เงนิ ท่ีต้องชำระเพือ่ ผอ่ นทุนคนื เปน็ งวด ๆ (๓) ค่าเชา่ ทรัพยส์ ินคา้ งชำระ เวน้ แตค่ า่ เชา่ สงั หาริมทรัพย์ตามมาตรา ๑๙๓/๓๔ (๖) (๔) เงนิ ค้างจา่ ย คือ เงนิ เดอื น เงินปี เงนิ บำนาญ คา่ อปุ การะเล้ยี งดูและเงนิ อื่น ๆ ในลกั ษณะ ทำนองเดยี วกบั ที่มกี ารกำหนดจา่ ยเปน็ ระยะเวลา (๕) สทิ ธิเรยี กร้องตามมาตรา ๑๙๓/๓๔ (๑) (๒) และ (๕) ทไ่ี ม่อยูใ่ นบังคบั อายคุ วามสองปี มาตรา ๑๙๓/๓๔ สทิ ธเิ รียกรอ้ งดงั ตอ่ ไปน้ี ใหม้ กี ำหนดอายคุ วามสองปี (๑) ผู้ประกอบการคา้ หรืออุตสาหกรรม ผูป้ ระกอบหตั ถกรรม ผูป้ ระกอบศลิ ปอุตสาหกรรม หรอื ช่างฝีมอื เรียกเอาคา่ ของทีไ่ ดส้ ่งมอบ ค่าการงานทไ่ี ด้ทำ หรอื ค่าดูแลกจิ การของผู้อน่ื รวมทงั้ เงนิ ทีไ่ ด้ออก ทดรองไป เวน้ แตเ่ ป็นการทไ่ี ดท้ ำเพอื่ กจิ การของฝา่ ยลูกหน้นี น้ั เอง (๒) ผู้ประกอบเกษตรกรรมหรอื การปา่ ไม้ เรยี กเอาคา่ ของทีไ่ ดส้ ง่ มอบอันเป็นผลติ ผลทาง เกษตรหรอื ปา่ ไม้ เฉพาะท่ีใชส้ อยในบา้ นเรือนของฝ่ายลูกหนนี้ น้ั เอง (๓) ผู้ขนสง่ คนโดยสารหรอื สง่ิ ของหรือผรู้ ับสง่ ข่าวสาร เรยี กเอาคา่ โดยสาร ค่าระวาง คา่ เช่า คา่ ธรรมเนียม รวมทง้ั เงนิ ที่ไดอ้ อกทดรองไป (๔) ผู้ประกอบธุรกจิ โรงแรมหรอื หอพกั ผู้ประกอบธรุ กจิ ในการจำหนา่ ยอาหารและเครอ่ื งด่ืม หรอื ผูป้ ระกอบธรุ กิจสถานบรกิ ารตามกฎหมายวา่ ดว้ ยสถานบรกิ ารเรยี กเอาค่าท่ีพัก อาหารหรือเครื่องด่ืม คา่ บริการหรือคา่ การงานทไ่ี ด้ทำให้แกผ่ มู้ าพักหรอื ใชบ้ รกิ าร รวมทั้งเงนิ ท่ไี ด้ออกทดรองไป (๕) ผู้ขายสลากกนิ แบ่ง สลากกินรวบ หรือสลากทีค่ ล้ายคลงึ กัน เรยี กเอาค่าขายสลาก เวน้ แต่ เปน็ การขายเพือ่ การขายต่อ (๖) ผูป้ ระกอบธรุ กจิ ในการใหเ้ ช่าสงั หารมิ ทรพั ย์ เรยี กเอาค่าเชา่ (๗) บุคคลซง่ึ มไิ ด้เขา้ อยใู่ นประเภททรี่ ะบุไวใ้ น (๑) แตเ่ ปน็ ผปู้ ระกอบธุรกจิ ในการดูแลกจิ การ ของผอู้ ่นื หรอื รบั ทำงานการตา่ ง ๆ เรยี กเอาสนิ จา้ งอนั จะพงึ ได้รบั ในการน้ัน รวมทง้ั เงนิ ที่ไดอ้ อกทดรองไป
42 (๘) ลูกจา้ งซ่งึ รบั ใช้การงานสว่ นบคุ คล เรยี กเอาคา่ จ้างหรือสนิ จ้างอยา่ งอ่นื เพอื่ การงานที่ทำ รวมทัง้ เงนิ ท่ีไดอ้ อกทดรองไป หรือนายจ้างเรยี กเอาคืนซงึ่ เงนิ เชน่ วา่ นัน้ ทต่ี นได้จ่ายล่วงหนา้ ไป (๙) ลกู จ้างไมว่ า่ จะเป็นลกู จา้ งประจำ ลูกจา้ งชัว่ คราว หรอื ลกู จ้างรายวัน รวมทง้ั ผฝู้ กึ หัดงาน เรยี กเอาคา่ จา้ งหรอื สินจ้างอย่างอ่นื รวมท้ังเงินทีไ่ ด้ออกทดรองไป หรอื นายจ้างเรยี กเอาคืนซึ่งเงนิ เชน่ ว่านน้ั ที่ ตนไดจ้ า่ ยล่วงหนา้ ไป (๑๐) ครสู อนผฝู้ กึ หดั งาน เรียกเอาค่าฝึกสอนและคา่ ใชจ้ ่ายอยา่ งอนื่ ตามทไ่ี ด้ตกลงกันไว้ รวมท้ังเงนิ ทีไ่ ด้ออกทดรองไป (๑๑) เจา้ ของสถานศึกษาหรอื สถานพยาบาล เรยี กเอาค่าธรรมเนยี มการเรยี นและ คา่ ธรรมเนียมอ่ืน ๆ หรือค่ารกั ษาพยาบาลและค่าใชจ้ ่ายอยา่ งอน่ื รวมทง้ั เงินที่ได้ออกทดรองไป (๑๒) ผรู้ บั คนไว้เพอ่ื การบำรงุ เล้ยี งดูหรือฝกึ สอน เรียกเอาคา่ การงานทท่ี ำใหร้ วมทง้ั เงินทีไ่ ด้ ออกทดรองไป (๑๓) ผรู้ บั เลีย้ งหรอื ฝกึ สอนสัตว์ เรียกเอาค่าการงานทที่ ำให้ รวมท้ังเงนิ ท่ีได้ออกทดรองไป (๑๔) ครหู รืออาจารย์ เรียกเอาคา่ สอน (๑๕) ผู้ประกอบวชิ าชีพเวชกรรม ทนั ตกรรม การพยาบาล การผดงุ ครรภ์ ผ้ปู ระกอบการ บำบดั โรคสัตว์ หรอื ผปู้ ระกอบโรคศิลปะสาขาอืน่ เรียกเอาคา่ การงานทท่ี ำใหร้ วมทง้ั เงินทีไ่ ด้ออกทดรองไป (๑๖) ทนายความหรอื ผปู้ ระกอบวิชาชีพทางกฎหมาย รวมทงั้ พยานผเู้ ชย่ี วชาญเรยี กเอาคา่ การงานทท่ี ำให้ รวมท้ังเงนิ ท่ีได้ออกทดรองไป หรอื คคู่ วามเรยี กเอาคนื ซง่ึ เงินเช่นวา่ น้ันท่ตี นได้จา่ ยลว่ งหนา้ ไป (๑๗) ผู้ประกอบวิชาชีพวศิ วกรรม สถาปัตยกรรม ผสู้ อบบญั ชี หรอื ผปู้ ระกอบวิชาชพี อิสระ อนื่ เรยี กเอาคา่ การงานทที่ ำให้ รวมทัง้ เงนิ ท่ไี ด้ออกทดรองไป หรอื ผวู้ ่าจ้างใหป้ ระกอบการงานดังกลา่ วเรียกเอา คืนซง่ึ เงนิ เชน่ ว่านน้ั ที่ตนไดจ้ า่ ยลว่ งหน้าไป มาตรา ๑๙๓/๓๕ ภายใต้บงั คับมาตรา ๑๙๓/๒๗ สิทธิเรยี กรอ้ งทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการท่ีลกู หนร้ี ับ สภาพความรับผดิ โดยมหี ลกั ฐานเป็นหนงั สอื หรอื โดยการใหป้ ระกันตามมาตรา ๑๙๓/๒๘ วรรคสอง ให้มี กำหนดอายุความสองปีนบั แต่วันทไ่ี ดร้ บั สภาพความรบั ผดิ หรอื ใหป้ ระกนั บรรพ ๒ หน้ี ลกั ษณะ ๑ บทเบ็ดเสรจ็ ทั่วไป
43 หมวด ๑ วัตถแุ หง่ หนี้ มาตรา ๑๙๔ ดว้ ยอำนาจแห่งมลู หนี้ เจา้ หนย้ี อ่ มมีสทิ ธจิ ะเรยี กให้ลกู หนช้ี ำระหนไ้ี ด้ อนง่ึ การ ชำระหนด้ี ้วยงดเว้นการอนั ใดอันหนง่ึ ก็ยอ่ มมีได้ มาตรา ๑๙๕ เมื่อทรพั ยซ์ ง่ึ เป็นวตั ถแุ ห่งหนีน้ ั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตาม สภาพแหง่ นิตกิ รรม หรือตามเจตนาของคกู่ รณีไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรพั ย์นนั้ จะพงึ เปน็ ชนิดอย่างไรไซร้ ท่าน วา่ ลกู หนจี้ ะต้องส่งมอบทรพั ยช์ นิดปานกลาง ถา้ ลูกหนี้ไดก้ ระทำการอันตนจะพึงตอ้ งทำเพ่ือส่งมอบทรัพยส์ ่งิ นั้นทกุ ประการแลว้ ก็ดี หรอื ถา้ ลกู หนไี้ ดเ้ ลือกกำหนดทรพั ยท์ ี่จะสง่ มอบแลว้ ด้วยความยินยอมของเจ้าหนก้ี ็ดี ท่านวา่ ทรพั ย์น้นั จึงเป็นวตั ถแุ ห่ง หน้จี ำเดมิ แตเ่ วลาน้นั ไป มาตรา ๑๙๖ ถา้ หนเี้ งนิ ไดแ้ สดงไวเ้ ปน็ เงนิ ต่างประเทศ ทา่ นวา่ จะส่งใช้เปน็ เงนิ ไทยกไ็ ด้ การเปลย่ี นเงินน้ี ให้คิดตามอัตราแลกเปล่ียนเงิน ณ สถานทแ่ี ละในเวลาทใี่ ช้เงนิ มาตรา ๑๙๗ ถ้าหนเี้ งนิ จะพงึ สง่ ใชด้ ว้ ยเงนิ ตราชนิดหนงึ่ ชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนดิ ที่ ยกเลกิ ไมใ่ ชก้ ันแลว้ ในเวลาทจ่ี ะต้องสง่ เงินใช้หนน้ี ัน้ ไซร้ การส่งใชเ้ งินท่านให้ถอื เสมอื นหนง่ึ ว่ามิไดร้ ะบไุ ว้ให้ใช้ เปน็ เงนิ ตราชนิดนัน้ มาตรา ๑๙๘ ถา้ การอนั มกี ำหนดพงึ กระทำเพือ่ ชำระหน้ีนน้ั มหี ลายอย่าง แตจ่ ะต้องกระทำ เพียงการใดการหนง่ึ แตอ่ ย่างเดยี วไซร้ ทา่ นว่าสิทธิทีจ่ ะเลือกทำการอยา่ งใดนั้นตกอยู่แกฝ่ า่ ยลูกหนี้ เวน้ แตจ่ ะได้ ตกลงกนั กำหนดไว้เปน็ อยา่ งอนื่ มาตรา ๑๙๙ การเลือกนนั้ ท่านใหท้ ำดว้ ยแสดงเจตนาแก่คูก่ รณีอกี ฝ่ายหนงึ่ การชำระหน้ีไดเ้ ลอื กทำเปน็ อยา่ งใดแล้ว ทา่ นให้ถือวา่ อยา่ งน้นั อย่างเดียว เปน็ การชำระหนี้ อันกำหนดใหก้ ระทำแต่ตน้ มา มาตรา ๒๐๐ ถา้ จะต้องเลอื กภายในระยะเวลาอนั มกี ำหนด และฝ่ายท่มี สี ิทธิจะเลอื กมิได้ เลือกภายในระยะเวลานนั้ ไซร้ ทา่ นวา่ สทิ ธทิ ่ีจะเลือกนน้ั ยอ่ มตกไปอย่แู ก่อีกฝ่ายหนง่ึ
44 ถ้ามไิ ดก้ ำหนดระยะเวลาใหเ้ ลือกไซร้ เม่ือหนถ้ี ึงกำหนดชำระ ฝา่ ยท่ไี ม่มสี ิทธจิ ะเลอื กอาจ กำหนดเวลาพอสมควรแก่เหตุ แล้วบอกกล่าวใหฝ้ ่ายโนน้ ใชส้ ิทธเิ ลอื กภายในเวลาอันน้ัน มาตรา ๒๐๑ ถา้ บุคคลภายนอกจะพงึ เป็นผเู้ ลือก ทา่ นใหก้ ระทำด้วยแสดงเจตนาแกล่ ูกหนี้ และลกู หนจี้ ะตอ้ งแจ้งความนน้ั แกเ่ จา้ หน้ี ถ้าบคุ คลภายนอกนนั้ ไมอ่ าจจะเลอื กได้ก็ดี หรอื ไมเ่ ตม็ ใจจะเลือกกด็ ี ทา่ นวา่ สทิ ธทิ ่จี ะเลือกตก ไปอย่แู ก่ฝา่ ยลกู หน้ี มาตรา ๒๐๒ ถ้าการอันจะพึงตอ้ งทำเพอ่ื ชำระหนนี้ ั้นมหี ลายอยา่ ง และอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ตก เปน็ อนั พ้นวสิ ยั จะทำไดม้ าแตต่ ้นกด็ ี หรือกลายเปน็ พน้ วสิ ัยในภายหลังกด็ ี ทา่ นใหจ้ ำกดั หนี้น้นั ไวเ้ พยี งการชำระ หนอ้ี ยา่ งอืน่ ทไ่ี มพ่ ้นวสิ ัย อนึ่งการจำกัดอนั น้ียอ่ มไม่เกดิ มีขึ้น หากว่าการชำระหน้กี ลายเป็นพน้ วิสัยเพราะ พฤติการณอ์ ันใดอันหนง่ึ ซ่งึ ฝา่ ยทีไ่ มม่ ีสทิ ธจิ ะเลอื กน้ันต้องรบั ผดิ ชอบ หมวด ๒ ผลแห่งหนี้ สว่ นท่ี ๑ การไมช่ ำระหนี้ มาตรา ๒๐๓ ถ้าเวลาอนั จะพึงชำระหน้ีนัน้ มไิ ด้กำหนดลงไว้ หรือจะอนมุ านจากพฤตกิ ารณ์ ทั้งปวงกไ็ ม่ไดไ้ ซร้ ทา่ นว่าเจา้ หน้ยี ่อมจะเรยี กให้ชำระหน้ไี ดโ้ ดยพลนั และฝ่ายลกู หนกี้ ็ยอ่ มจะชำระหน้ีของตนได้ โดยพลันดุจกัน ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณเี ปน็ ทส่ี งสยั ท่านใหส้ นั นษิ ฐานไวก้ อ่ นว่าเจา้ หนจี้ ะเรยี กให้ ชำระหน้กี อ่ นถงึ เวลานน้ั หาได้ไม่ แตฝ่ า่ ยลูกหนจ้ี ะชำระหน้กี อ่ นกำหนดนัน้ กไ็ ด้ มาตรา ๒๐๔ ถา้ หนี้ถงึ กำหนดชำระแลว้ และภายหลงั แตน่ นั้ เจ้าหนี้ได้ใหค้ ำเตอื นลูกหน้แี ล้ว ลกู หน้ยี งั ไม่ชำระหนไี้ ซร้ ลูกหนี้ไดช้ ือ่ วา่ ผิดนดั เพราะเขาเตอื นแล้ว ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนไ้ี ว้ตามวันแห่งปฏทิ นิ และลกู หนม้ี ไิ ด้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ทา่ น ว่าลกู หน้ีตกเป็นผู้ผิดนดั โดยมพิ กั ต้องเตือนเลย วธิ ีเดยี วกนั นที้ า่ นใหใ้ ชบ้ งั คับแกก่ รณที ี่ตอ้ งบอกกลา่ วลว่ งหนา้ กอ่ นการชำระหน้ี ซงึ่ ได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแตว่ นั ทไ่ี ด้บอกกลา่ ว
45 มาตรา ๒๐๕ ตราบใดการชำระหน้นี น้ั ยังมิได้กระทำลงเพราะพฤตกิ ารณอ์ นั ใดอนั หนง่ึ ซงึ่ ลูกหนไี้ มต่ อ้ งรบั ผิดชอบ ตราบนัน้ ลกู หนี้ยังหาไดช้ ่ือวา่ ผดิ นัดไม่ มาตรา ๒๐๖ ในกรณหี นีอ้ นั เกิดแตม่ ลู ละเมดิ ลกู หน้ีได้ชอื่ วา่ ผดิ นดั มาแตเ่ วลาท่ีทำละเมดิ มาตรา ๒๐๗ ถ้าลูกหน้ีขอปฏบิ ตั ิการชำระหนี้ และเจ้าหน้ีไม่รบั ชำระหน้ีนัน้ โดยปราศจาก มลู เหตุอนั จะอา้ งกฎหมายได้ไซร้ ท่านวา่ เจ้าหนตี้ กเป็นผผู้ ดิ นัด มาตรา ๒๐๘ การชำระหนีจ้ ะใหส้ ำเรจ็ ผลเปน็ อยา่ งใด ลูกหน้ีจะต้องขอปฏิบัตกิ ารชำระหนี้ ตอ่ เจา้ หนีเ้ ปน็ อยา่ งนัน้ โดยตรง แต่ถ้าเจ้าหนีไ้ ด้แสดงแก่ลกู หนี้วา่ จะไมร่ ับชำระหนีก้ ด็ ี หรอื เพ่ือที่จะชำระหนจ้ี ำเปน็ ทเี่ จา้ หน้ี จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหน่งึ กอ่ นกด็ ี ลูกหนจี้ ะบอกกลา่ วแก่เจา้ หนวี้ า่ ไดเ้ ตรยี มการทจ่ี ะชำระหนไ้ี ว้ พรอ้ มเสรจ็ แลว้ ใหเ้ จา้ หนรี้ ับชำระหนนี้ น้ั เทา่ นก้ี ็นบั วา่ เปน็ การเพยี งพอแลว้ ในกรณเี ชน่ น้ที า่ นว่าคำบอกกล่าว ของลกู หน้นี ้นั กเ็ สมอกับคำขอปฏิบัติการชำระหน้ี มาตรา ๒๐๙ ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เปน็ แน่นอนเพื่อให้เจา้ หนกี้ ระทำการอนั ใด ท่านว่าที่จะขอ ปฏบิ ตั กิ ารชำระหน้นี ้นั จะต้องทำก็แตเ่ มื่อเจ้าหนที้ ำการอนั นนั้ ภายในเวลากำหนด มาตรา ๒๑๐ ถ้าลกู หนจี้ ำตอ้ งชำระหนส้ี ่วนของตนตอ่ เม่อื เจา้ หนช้ี ำระหน้ีตอบแทนด้วยไซร้ แม้ถึงว่าเจา้ หนีจ้ ะได้เตรียมพร้อมท่จี ะรบั ชำระหน้ีตามทลี่ กู หน้ีขอปฏิบตั นิ ัน้ แลว้ ก็ดี หากไมเ่ สนอทจ่ี ะทำการ ชำระหนต้ี อบแทนตามทจี่ ะพงึ ตอ้ งทำ เจ้าหน้ีกเ็ ปน็ อันไดช้ ่อื ว่าผดิ นดั มาตรา ๒๑๑ ในเวลาทลี่ ูกหน้ีขอปฏิบัติการชำระหนีน้ ้นั ก็ดี หรือในเวลาทก่ี ำหนดไวใ้ ห้เจา้ หน้ี ทำการอย่างใดอย่างหนงึ่ โดยกรณที ่ีบญั ญตั ิไว้ในมาตรา ๒๐๙ นนั้ กด็ ี ถ้าลกู หนีม้ ิได้อยู่ในฐานะทจ่ี ะสามารถ ชำระหน้ีไดไ้ ซรท้ ่านวา่ เจา้ หนย้ี ังหาผดิ นัดไม่ มาตรา ๒๑๒ ถา้ มิไดก้ ำหนดเวลาชำระหนไี้ ว้ก็ดี หรือถา้ ลกู หน้ีมสี ทิ ธทิ ่จี ะชำระหนี้ได้กอ่ น เวลากำหนดกด็ ี การทเ่ี จา้ หนี้มเี หตขุ ัดขอ้ งชัว่ คราวไม่อาจรบั ชำระหนท้ี เี่ ขาขอปฏิบตั แิ กต่ นไดน้ น้ั หาทำให้ เจ้าหน้ีตกเปน็ ผผู้ ดิ นดั ไม่ เว้นแตล่ ูกหนจ้ี ะไดบ้ อกกลา่ วการชำระหนีไ้ วล้ ่วงหน้าโดยเวลาอนั สมควร มาตรา ๒๑๓ ถ้าลูกหนลี้ ะเลยเสียไมช่ ำระหน้ขี องตน เจา้ หนจ้ี ะร้องขอต่อศาลใหส้ ่ังบงั คับ ชำระหนี้ก็ได้ เวน้ แตส่ ภาพแหง่ หนจ้ี ะไม่เปิดชอ่ งใหท้ ำเช่นนน้ั ได้
46 เม่อื สภาพแหง่ หนไี้ ม่เปดิ ชอ่ งใหบ้ งั คบั ชำระหน้ีได้ ถา้ วตั ถุแห่งหน้เี ปน็ อันใหก้ ระทำการอนั หนง่ึ อันใด เจ้าหนจ้ี ะรอ้ งขอต่อศาลใหส้ ัง่ บงั คับใหบ้ ุคคลภายนอกกระทำการอันนน้ั โดยให้ลกู หนเี้ สียค่าใชจ้ ่ายใหก้ ็ได้ แตถ่ า้ วัตถแุ ห่งหนเี้ ป็นอันใหก้ ระทำนติ กิ รรมอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ไซร้ ศาลจะสง่ั ให้ถือเอาตามคำพพิ ากษาแทนการ แสดงเจตนาของลูกหนีก้ ็ได้ สว่ นหนซ้ี งึ่ มีวตั ถเุ ปน็ อนั จะให้งดเวน้ การอนั ใด เจ้าหนจ้ี ะเรียกร้องใหร้ อื้ ถอนการทไี่ ดก้ ระทำลง แล้วนน้ั โดยให้ลกู หนเ้ี สียค่าใชจ้ ่าย และใหจ้ ดั การอนั ควรเพื่อกาลภายหนา้ ด้วยกไ็ ด้ อน่งึ บทบัญญตั ิในวรรคทงั้ หลายทก่ี ล่าวมาก่อนน้ี หากระทบกระทง่ั ถงึ สทิ ธิทจ่ี ะเรยี กเอา ค่าเสียหายไม่ มาตรา ๒๑๔[๓] ภายใตบ้ งั คบั บทบญั ญัติแหง่ มาตรา ๗๓๓ เจ้าหนีม้ สี ิทธทิ จี่ ะให้ชำระหนีข้ อง ตนจากทรพั ย์สินของลกู หนจ้ี นสนิ้ เชิง รวมทงั้ เงินและทรัพยส์ ินอ่นื ๆ ซึง่ บุคคลภายนอกค้างชำระแกล่ กู หนี้ดว้ ย มาตรา ๒๑๕ เมื่อลกู หน้ีไมช่ ำระหน้ใี หต้ ้องตามความประสงคอ์ ันแทจ้ รงิ แหง่ มูลหนีไ้ ซร้ เจ้าหนจ้ี ะเรยี กเอาคา่ สินไหมทดแทนเพ่อื ความเสียหายอนั เกดิ แต่การน้ันก็ได้ มาตรา ๒๑๖ ถ้าโดยเหตผุ ดิ นดั การชำระหนก้ี ลายเป็นอันไรป้ ระโยชนแ์ กเ่ จ้าหนเ้ี จ้าหนจี้ ะ บอกปัดไมร่ ับชำระหนี้ และจะเรียกเอาคา่ สินไหมทดแทนเพอ่ื การไม่ชำระหนก้ี ็ได้ มาตรา ๒๑๗ ลูกหนจี้ ะตอ้ งรบั ผดิ ชอบในความเสยี หายบรรดาท่เี กดิ แต่ความประมาทเลินเลอ่ ในระหว่างเวลาที่ตนผดิ นัด ทง้ั จะต้องรบั ผิดชอบในการที่การชำระหนก้ี ลายเป็นพ้นวสิ ัยเพราะอบุ ัติเหตุอัน เกดิ ข้นึ ในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นดว้ ย เว้นแตค่ วามเสยี หายนนั้ ถึงแม้วา่ ตนจะได้ชำระหนที้ นั เวลากำหนดก็คง จะตอ้ งเกดิ มอี ยนู่ น่ั เอง มาตรา ๒๑๘ ถ้าการชำระหนก้ี ลายเปน็ พน้ วิสัยจะทำได้เพราะพฤติการณอ์ ันใดอนั หนงึ่ ซง่ึ ลูกหนตี้ อ้ งรับผิดชอบไซร้ ท่านว่าลูกหนจ้ี ะตอ้ งใชค้ า่ สินไหมทดแทนให้แกเ่ จ้าหนเ้ี พื่อค่าเสียหายอยา่ งใด ๆ อัน เกิดแตก่ ารไมช่ ำระหนีน้ ั้น ในกรณีท่ีการชำระหนกี้ ลายเปน็ พ้นวสิ ยั แตเ่ พียงบางส่วน ถา้ หากว่าสว่ นที่ยังเป็นวสิ ยั จะทำได้ นนั้ จะเป็นอันไรป้ ระโยชน์แกเ่ จ้าหนแี้ ล้ว เจา้ หนจ้ี ะไมย่ อมรบั ชำระหนสี้ ว่ นท่ยี ังเปน็ วสิ ยั จะทำไดน้ ้ันแล้ว และ เรยี กค่าสินไหมทดแทนเพอื่ การไม่ชำระหนเ้ี สยี ทงั้ หมดทเี ดยี วก็ได้ มาตรา ๒๑๙ ถา้ การชำระหนกี้ ลายเป็นพ้นวสิ ัยเพราะพฤติการณ์อนั ใดอันหน่งึ ซึง่ เกิดขึ้น ภายหลงั ทไ่ี ดก้ อ่ หน้ี และซ่ึงลกู หน้ีไมต่ อ้ งรับผดิ ชอบน้นั ไซร้ ทา่ นวา่ ลูกหนเ้ี ป็นอนั หลดุ พน้ จากการชำระหนนี้ ้นั
47 ถา้ ภายหลงั ที่ไดก้ อ่ หนีข้ ึ้นแลว้ นั้น ลูกหนก้ี ลายเปน็ คนไม่สามารถจะชำระหนีไ้ ดไ้ ซร้ ท่านให้ถอื เสมอื นวา่ เปน็ พฤติการณ์ทท่ี ำใหก้ ารชำระหน้ตี กเปน็ อนั พ้นวสิ ัยฉะนัน้ มาตรา ๒๒๐ ลกู หน้ตี อ้ งรับผดิ ชอบในความผิดของตวั แทนแห่งตนกบั ทง้ั ของบุคคลท่ีตนใชใ้ น การชำระหน้นี น้ั โดยขนาดเสมอกบั วา่ เปน็ ความผดิ ของตนเองฉะนน้ั แตบ่ ทบญั ญัติแหง่ มาตรา ๓๗๓ หาใช้ บังคับแกก่ รณีเช่นนี้ด้วยไม่ มาตรา ๒๒๑ หนเี้ งินอันตอ้ งเสียดอกเบ้ียนั้น ท่านวา่ จะคิดดอกเบ้ยี ในระหว่างทเ่ี จ้าหนผี้ ดิ นัด หาไดไ้ ม่ มาตรา ๒๒๒ การเรียกเอาคา่ เสยี หายน้นั ได้แกเ่ รยี กคา่ สนิ ไหมทดแทนเพอื่ ความเสียหายเชน่ ท่ตี ามปกติยอ่ มเกิดขึ้นแต่การไมช่ ำระหนี้น้นั เจ้าหนจี้ ะเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนได้ แมก้ ระทง่ั เพอ่ื ความเสยี หายอันเกดิ แตพ่ ฤติการณพ์ เิ ศษ หากว่าคกู่ รณที เ่ี กย่ี วข้องไดค้ าดเหน็ หรอื ควรจะได้คาดเหน็ พฤตกิ ารณเ์ ชน่ น้ันลว่ งหนา้ ก่อนแล้ว มาตรา ๒๒๓ ถ้าฝา่ ยผเู้ สยี หายไดม้ สี ่วนทำความผิดอยา่ งใดอย่างหนึ่งกอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หาย ดว้ ยไซร้ ท่านว่าหนอ้ี ันจะตอ้ งใชค้ ่าสินไหมทดแทนแกฝ่ ่ายผเู้ สียหายมากน้อยเพยี งใดนนั้ ตอ้ งอาศัยพฤติการณ์ เปน็ ประมาณ ข้อสำคญั ก็คอื วา่ ความเสยี หายน้นั ได้เกดิ ขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้กอ่ ยงิ่ หยอ่ นกวา่ กันเพยี งไร วธิ ีเดยี วกนั น้ี ทา่ นให้ใช้แมท้ ั้งท่คี วามผิดของฝา่ ยผู้ทีเ่ สียหายจะมีแต่เพียงละเลยไมเ่ ตอื นลกู หนี้ ใหร้ สู้ กึ ถงึ อนั ตรายแหง่ การเสยี หายอนั เป็นอยา่ งรา้ ยแรงผิดปกติ ซง่ึ ลูกหนี้ไมร่ ้หู รือไม่อาจจะรู้ได้ หรอื เพยี งแต่ ละเลยไมบ่ ำบดั ปดั ป้อง หรือบรรเทาความเสยี หายน้นั ด้วย อนง่ึ บทบัญญัติแห่งมาตรา ๒๒๐ นนั้ ท่านให้นำมาใช้ บังคบั ด้วยโดยอนโุ ลม มาตรา ๒๒๔ หนเี้ งินนัน้ ท่านใหค้ ิดดอกเบ้ียในระหว่างเวลาผิดนัดรอ้ ยละเจ็ดกงึ่ ต่อปี ถ้า เจ้าหนอ้ี าจจะเรยี กดอกเบย้ี ได้สูงกวา่ นัน้ โดยอาศัยเหตุอย่างอืน่ อันชอบดว้ ยกฎหมาย ก็ให้คงสง่ ดอกเบี้ยตอ่ ไป ตามนั้น ท่านหา้ มมใิ ห้คิดดอกเบีย้ ซอ้ นดอกเบีย้ ในระหวา่ งผดิ นดั การพสิ จู น์คา่ เสียหายอย่างอ่ืนนอกกวา่ นัน้ ทา่ นอนุญาตใหพ้ สิ ูจน์ได้ มาตรา ๒๒๕ ถา้ ลกู หนจ้ี ำตอ้ งใชค้ ่าสินไหมทดแทนเพ่ือราคาวตั ถุอันได้เสื่อมเสียไประหวา่ ง ผิดนดั กด็ ี หรอื วตั ถุอันไม่อาจสง่ มอบไดเ้ พราะเหตุอย่างใดอยา่ งหนึ่งอันเกิดขึน้ ระหวา่ งผดิ นัดก็ดี ทา่ นว่าเจา้ หนี้ จะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนทีจ่ ะตอ้ งใชเ้ ปน็ ค่าสนิ ไหมทดแทน คิดต้งั แต่เวลาอันเป็นฐานท่ีต้ังแห่งการกะประมาณ
48 ราคานั้นกไ็ ด้ วิธีเดียวกันนท้ี ่านให้ใชต้ ลอดถงึ การท่ลี กู หนจ้ี ำต้องใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนเพ่ือการท่รี าคาวตั ถุตกตำ่ เพราะวัตถนุ ้ันเสอ่ื มเสยี ลงในระหวา่ งเวลาที่ผิดนดั น้นั ด้วย ส่วนที่ ๒ รับช่วงสทิ ธิ มาตรา ๒๒๖ บุคคลผู้รบั ชว่ งสทิ ธขิ องเจา้ หน้ี ชอบทจ่ี ะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาทเ่ี จ้าหนมี้ ีอยู่ โดยมูลหน้ี รวมทง้ั ประกันแหง่ หน้นี ้ันไดใ้ นนามของตนเอง ช่วงทรัพย์ ไดแ้ ก่เอาทรัพยส์ นิ อนั หนงึ่ เข้าแทนทท่ี รพั ย์สนิ อกี อันหนง่ึ ในฐานะนิตินยั อยา่ ง เดยี วกันกับทรพั ยส์ ินอันก่อน มาตรา ๒๒๗ เมือ่ เจ้าหน้ีได้รับค่าสนิ ไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพยห์ รอื สิทธิ ซึง่ เป็นวัตถุแห่งหนี้นนั้ แล้ว ทา่ นวา่ ลูกหนยี้ อ่ มเข้าสู่ฐานะเป็นผรู้ บั ชว่ งสทิ ธขิ องเจา้ หนีอ้ นั เกีย่ วกับทรัพยห์ รอื สทิ ธิ น้นั ๆ ด้วยอำนาจกฎหมาย มาตรา ๒๒๘ ถ้าพฤตกิ ารณซ์ ึง่ ทำใหก้ ารชำระหนเ้ี ปน็ อนั พน้ วิสัยนั้น เปน็ ผลใหล้ ูกหนไ้ี ด้มาซงึ่ ของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกรอ้ งคา่ สินไหมทดแทนเพือ่ ทรัพยอ์ นั จะพงึ ได้แกต่ นนัน้ กด็ ี ท่านวา่ เจ้าหนจี้ ะเรียก ให้ส่งมอบของแทนทไ่ี ดร้ ับไว้หรือจะเขา้ เรียกเอาค่าสนิ ไหมทดแทนเสยี เองก็ได้ ถ้าเจา้ หนมี้ สี ทิ ธเิ รียกร้องคา่ สินไหมทดแทนเพราะการไม่ชำระหน้ี และถา้ ใชส้ ิทธินนั้ ดังได้ระบุ ไวใ้ นวรรคตน้ ไซร้ คา่ สนิ ไหมทดแทนอนั จะพึงใช้แกเ่ จ้าหน้นี น้ั ยอ่ มลดจำนวนลงเพยี งเสมอราคาแหง่ ของแทนซ่ึง ลูกหน้ีไดร้ ับไว้ หรอื เสมอจำนวนค่าสินไหมทดแทนทล่ี กู หนจี้ ะเรียกร้องได้น้ัน มาตรา ๒๒๙ การรบั ช่วงสทิ ธิยอ่ มมขี น้ึ ดว้ ยอำนาจกฎหมาย และยอ่ มสำเรจ็ เปน็ ประโยชนแ์ ก่ บคุ คลดังจะกลา่ วต่อไปนี้ คือ (๑) บุคคลซงึ่ เป็นเจ้าหน้ีอยเู่ อง และมาใชห้ นีใ้ ห้แก่เจ้าหน้อี กี คนหน่ึงผมู้ สี ทิ ธจิ ะได้รบั ใชห้ น้ี กอ่ นตน เพราะเขามีบรุ มิ สิทธิ หรอื มสี ิทธจิ ำนำจำนอง (๒) บุคคลผู้ได้ไปซง่ึ อสงั หารมิ ทรัพย์ใด และเอาเงินราคาค่าซอื้ ใช้ให้แก่ผู้รบั จำนองทรพั ย์น้ัน เสร็จไป (๓) บคุ คลผูม้ ีความผกู พนั ร่วมกบั ผอู้ ืน่ หรอื เพอื่ ผ้อู น่ื ในอันจะต้องใช้หน้ี มีส่วนไดเ้ สยี ดว้ ยใน การใช้หนนี้ นั้ และเข้าใชห้ น้ีนัน้
49 มาตรา ๒๓๐ ถ้าในการท่เี จ้าหนีน้ ำบังคับยึดทรพั ย์อนั หนง่ึ อนั ใดของลูกหนีน้ นั้ บคุ คลผู้ใด จะต้องเส่ยี งภัยเสยี สทิ ธิในทรพั ยอ์ ันนั้นเพราะการบังคบั ยดึ ทรัพยไ์ ซร้ ท่านวา่ บคุ คลผนู้ ั้นมีสทิ ธจิ ะเขา้ ใชห้ นเี้ สีย แทนได้ อนึ่งผคู้ รองทรัพย์อนั หนงึ่ อนั ใด ถ้าจะตอ้ งเสยี่ งภัยเสยี สิทธคิ รองทรพั ย์นั้นไปเพราะการบงั คับยดึ ทรัพย์ ก็ยอ่ มมสี ิทธิจะทำไดเ้ ช่นเดยี วกบั ทว่ี า่ มานนั้ ถ้าบุคคลภายนอกผู้ใดมาใช้หนแ้ี ทนจนเปน็ ทพี่ อใจของเจ้าหนแ้ี ลว้ บคุ คลผูน้ ั้นย่อมเขา้ รบั ชว่ ง สทิ ธเิ รยี กรอ้ งของเจา้ หน้ี แตส่ ิทธิเรยี กรอ้ งอันนีจ้ ะบงั คบั ให้เปน็ ทีเ่ สอื่ มเสยี แก่เจา้ หนห้ี าได้ไม่ มาตรา ๒๓๑ ถ้าทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำนอง จำนำ หรอื อยใู่ นบงั คับบรุ มิ สทิ ธปิ ระการอ่นื น้นั เปน็ ทรพั ย์ อันไดเ้ อาประกนั ภยั ไวไ้ ซร้ ท่านว่าสิทธจิ ำนอง จำนำ หรอื บรุ มิ สิทธอิ ย่างอน่ื นนั้ ย่อมครอบไปถงึ สทิ ธทิ จ่ี ะ เรียกร้องเอาแกผ่ ู้รบั ประกันภยั ดว้ ย ในกรณีทีเ่ ปน็ อสงั หาริมทรพั ย์ ถ้าผรู้ บั ประกนั ภยั ได้รู้ หรอื ควรจะได้รู้วา่ มจี ำนอง หรอื บรุ มิ สิทธอิ ย่างอ่นื ไซร้ ท่านยงั มใิ หผ้ รู้ บั ประกนั ภัยใชเ้ งนิ ให้แก่ผเู้ อาประกันภยั จนกว่าจะไดบ้ อกกล่าวเจตนา เช่นนั้นไปยังผรู้ บั จำนอง หรือเจา้ หน้ีมบี ุรมิ สทิ ธคิ นอน่ื แลว้ และมิได้รบั คำคัดคา้ นการทจ่ี ะใชเ้ งนิ นน้ั มาภายใน เดอื นหนงึ่ นบั แตว่ นั บอกกล่าว แต่สทิ ธิอย่างใด ๆ ที่ได้ไปจดทะเบยี น ณ หอทะเบยี นทีด่ นิ นนั้ ท่านใหถ้ ือว่าเปน็ อนั รถู้ ึงผ้รู บั ประกนั ภัย วธิ เี ดยี วกันน้ีทา่ นให้ใชต้ ลอดถงึ การจำนองสงั หาริมทรพั ย์ทก่ี ฎหมายอนญุ าตให้ทำได้น้ัน ดว้ ย ในกรณีทีเ่ ปน็ สงั หาริมทรพั ย์ ผรู้ บั ประกนั ภยั จะใช้เงินใหแ้ กผ่ เู้ อาประกันภัยโดยตรงกไ็ ด้ เว้น แตต่ นจะได้รู้หรือควรจะไดร้ ูว้ ่าทรพั ยน์ นั้ ตกอยู่ในบงั คับจำนำ หรือบรุ มิ สทิ ธิอยา่ งอืน่ ผ้รู บั ประกนั ภยั ไม่ตอ้ งรับผิดต่อเจา้ หนี้ ถา้ ทรพั ยส์ นิ อนั ได้เอาประกนั ภัยไว้น้นั ไดค้ ืนมา หรือได้ จัดของแทนให้ วิธีเดียวกนั น้ีท่านใหอ้ นุโลมใช้บงั คับแกก่ รณบี งั คับซือ้ กบั ทงั้ กรณที ตี่ ้องใช้คา่ เสยี หายอันควรจะ ไดแ้ กเ่ จ้าของทรพั ยส์ นิ เพราะเหตทุ รพั ยส์ นิ ทำลายหรอื บบุ สลายนั้นด้วย มาตรา ๒๓๒ ถา้ ตามความในมาตราก่อนนเี้ ปน็ อนั วา่ จะเอาเงินจำนวนหนง่ึ ให้แทนทรัพยส์ ินท่ี ทำลายหรอื บุบสลายไซร้ เงินจำนวนน้ที า่ นยงั มิใหส้ ่งมอบแกผ่ ู้รบั จำนอง ผ้รู บั จำนำ หรอื เจ้าหนีม้ บี ุรมิ สทิ ธิคน อน่ื ก่อนทีห่ นซี้ ง่ึ ได้เอาทรัพยน์ เี้ ป็นประกันไว้น้ันจะถงึ กำหนด และถา้ คู่กรณีไมส่ ามารถจะตกลงกบั ลูกหนไ้ี ด้ไซร้ ท่านว่าต่างฝา่ ยต่างมสี ทิ ธิทจ่ี ะเรยี กรอ้ งให้นำเงินจำนวนน้นั ไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพยเ์ พอ่ื ประโยชน์อัน ร่วมกัน เว้นแตล่ กู หนจ้ี ะหาประกนั ใหไ้ ว้ตามสมควร สว่ นท่ี ๓ การใชส้ ิทธเิ รียกรอ้ งของลกู หน้ี
50 มาตรา ๒๓๓ ถา้ ลกู หน้ขี ดั ขืนไม่ยอมใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งหรือเพกิ เฉยเสียไม่ใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง เป็น เหตุใหเ้ จ้าหนีต้ อ้ งเสียประโยชนไ์ ซร้ ทา่ นว่าเจา้ หนจี้ ะใช้สิทธเิ รียกร้องนน้ั ในนามของตนเองแทนลกู หนี้เพอื่ ป้องกันสทิ ธิของตนในมลู หน้นี นั้ กไ็ ด้ เวน้ แตใ่ นข้อท่ีเป็นการของลูกหนสี้ ว่ นตวั โดยแท้ มาตรา ๒๓๔ เจา้ หนผี้ ูใ้ ชส้ ทิ ธิเรยี กรอ้ งของลกู หนนี้ ้ันจะตอ้ งขอหมายเรยี กลูกหน้มี าในคดีนั้น ด้วย มาตรา ๒๓๕ เจ้าหน้จี ะใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งของลกู หนี้เรยี กเงินเต็มจำนวนทย่ี งั คา้ งชำระแก่ ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่คา้ งชำระแกต่ นก็ได้ ถา้ จำเลยยอมใช้เงินเพียงเทา่ จำนวนทลี่ กู หน้เี ดมิ คา้ ง ชำระแกเ่ จา้ หน้นี ้นั คดกี ็เป็นเสรจ็ กนั ไป แต่ถ้าลูกหนี้เดมิ ได้เข้าชื่อเปน็ โจทกด์ ว้ ย ลูกหนเี้ ดมิ จะขอใหศ้ าล พิจารณาพิพากษาตอ่ ไปในส่วนจำนวนเงินท่ียงั เหลือติดคา้ งอยกู่ ็ได้ แต่อยา่ งไรก็ดี ทา่ นมใิ หเ้ จา้ หนไี้ ด้รบั มากไปกวา่ จำนวนทค่ี า้ งชำระแก่ตนน้นั เลย มาตรา ๒๓๖ จำเลยมขี ้อต่อสูล้ กู หนเี้ ดมิ อย่อู ยา่ งใด ๆ ท่านว่าจะยกขึ้นต่อส้เู จา้ หน้ีได้ทง้ั นัน้ เว้นแต่ขอ้ ตอ่ สซู้ งึ่ เกดิ ขึน้ เม่ือยืน่ ฟอ้ งแล้ว ส่วนท่ี ๔ เพกิ ถอนการฉอ้ ฉล มาตรา ๒๓๗ เจา้ หนช้ี อบทจี่ ะร้องขอใหศ้ าลเพกิ ถอนเสยี ไดซ้ ่ึงนติ กิ รรมใด ๆ อันลกู หนี้ได้ กระทำลงทง้ั รู้อยวู่ า่ จะเป็นทางใหเ้ จ้าหนีเ้ สยี เปรียบ แตค่ วามขอ้ นี้ทา่ นมใิ ห้ใช้บงั คบั ถ้าปรากฏวา่ ในขณะทีท่ ำ นติ ิกรรมนั้น บคุ คลซงึ่ เปน็ ผูไ้ ดล้ าภงอกแต่การนั้นมิได้รเู้ ท่าถงึ ขอ้ ความจรงิ อันเปน็ ทางให้เจา้ หนต้ี อ้ งเสียเปรยี บ นัน้ ดว้ ย แต่หากกรณเี ปน็ การทำใหโ้ ดยเสนห่ า ทา่ นวา่ เพียงแตล่ กู หนเี้ ปน็ ผู้รฝู้ า่ ยเดียวเทา่ นนั้ ก็พอแลว้ ทจี่ ะขอ เพิกถอนได้ บทบญั ญตั ดิ ังกลา่ วมาในวรรคกอ่ นนี้ ท่านมใิ ห้ใชบ้ ังคบั แกน่ ติ กิ รรมใดอันมิไดม้ วี ตั ถุเป็นสทิ ธใิ น ทรัพยส์ ิน มาตรา ๒๓๘ การเพกิ ถอนดงั กล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้นไม่อาจกระทบกระทงั่ ถงึ สทิ ธขิ อง บคุ คลภายนอก อันได้มาโดยสจุ รติ ก่อนเรม่ิ ฟอ้ งคดขี อเพกิ ถอน อน่งึ ความทกี่ ล่าวมาในวรรคกอ่ นน้ี ทา่ นมิให้ใช้บงั คบั ถ้าสทิ ธินั้นไดม้ าโดยเสน่หา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359