Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Description: อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

.  หญิง ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงที่เก่งเป็นจ�ำนวนมาก  อาตมาจะ เลา่ เร่อื งหญงิ เกง่ ๒ คน คือ นางสามาวดี และ นางขุชชุตตรา ใน พระไตรปิฎก  มีพระสูตรเพียงเล่มเดียวท่ีไม่ได้เร่ิมต้นด้วยค�ำว่า “เอวัมเมสุตัง”  ซ่ึงเป็นค�ำกล่าวของพระอานนท์  พระไตรปิฎกเล่มน้ี ไมไ่ ดม้ าจากความทรงจำ� อนั ยอดเยยี่ มของพระอานนท์ หากเปน็ บนั ทกึ จากความทรงจ�ำของหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหน่ึง  ชื่อ  ขุชชุตตรา ซึง่ ท�ำงานรบั ใช้เจา้ นายผู้มนี ามว่า สามาวดี สามาวดีอยู่กับพ่อแม่ในชนบท  เม่ือเกิดโรคระบาดจึงได้ อพยพเข้าเมืองใหญ่  คือเมืองโกสัมพี  ต้องอุปัฏฐากคุณพ่อคุณแม่ เงนิ ทองก็ไมม่ ี จงึ ตอ้ งไปขออาหารทโี่ รงทานซ่งึ มี มติ ตะ เปน็ ผู้บรหิ าร โรงทานนแ้ี จกอาหารใหก้ ับคนท่ีไม่มีอาหารกิน แต่การบรหิ ารงานไม่ ค่อยมีระเบียบสกั เทา่ ไหร่ วันแรกสามาวดเี ข้าไปขออาหาร ๓ ส่วน มิตตะกไ็ มว่ า่ อะไร วันที่ ๒ ไปขอ ๒ ส่วน วันท่ี ๓ ไปขอเพยี งส่วนเดยี ว มติ ตะถามนางวา่   รจู้ กั ประมาณแลว้ หรอื   เพราะเขามองคนในแงร่ า้ ย คิดว่าวันแรกสามาวดีขออาหารปริมาณมาก  แล้วก็ทานไม่หมด วันที่ ๒ ยังคงตะกละอยู่ ก็เลยยงั ขอมากกว่าทคี่ วร จนวนั ที่ ๓ ชยสาโร ภกิ ขุ 91

ถงึ รจู้ กั ขอเท่าทพ่ี อดี สามาวดจี ึงบอกวา่ วันแรกเรามีกนั ๓ คนพ่อแม่ ลูก แต่คณุ พอ่ ตายในวันแรกนนั้ เหลอื อยูส่ องคนแมล่ ูก เม่ือวานจึง มาขออาหารเพียง ๒ ส่วน แล้วคณุ แมเ่ สยี เม่ือคนื น้ี วนั นีจ้ งึ เหลือแต่ ตนคนเดยี ว มติ ตะฟังแล้วเสียใจมากท่ปี ากไม่ดี มองคนอ่ืนในแง่รา้ ย เลยขอรบั เลย้ี งสามาวดเี ปน็ ลูกสาวแลว้ ใหเ้ ขา้ มาอยูใ่ นบา้ น สามาวดีเป็นคนมีความสามารถหลายอย่าง  นอกจากเป็น คนหน้าตาดีแล้ว  ยังเป็นคนน่ารักและเรียบร้อย  เป็นผู้บริหารที่ เกง่ ด้วย จึงไดช้ ว่ ยมิตตะดแู ลโรงทาน  ในไม่ช้าการบริหารโรงทานก็ มีระเบียบเรยี บร้อยราบร่นื   การแจกอาหารกเ็ ปน็ ระเบยี บ เงยี บสงบ ไม่มใี ครพูดใครจา กลายเป็นที่ร�ำ่ ลอื กล่าวขานกนั ท่ัว อ�ำมาตย์ที่อยู่ ในวังชือ่ โฆสกะไดย้ ินค�ำร�ำ่ ลอื นจี้ ึงแวะไปดโู รงทาน  เขาเกิดประทับ ใจเม่ือเห็นสามาวดี  รู้สึกรักและอยากจะรับเป็นลูกสาว  จึงขอ สามาวดีจากมิตตะ  มิตตะเองก็ทุกข์ใจ  ไม่อยากจะให้โฆสกะเอา สามาวดีไป  เพราะรักสามาวดีเสมือนเป็นลูกสาวจริงๆ  แต่มิตตะ เป็นผู้มีเมตตา  ช่ือมิตตะก็หมายถึงผู้มีเมตตา  แม้จะเสียดาย ลูกสาวมาก  แต่เขาก็ต้องการให้ลูกมีความสุข  เขาคิดว่าถ้าไป อยู่กับโฆสกะ  ซ่ึงอยู่ในตระกูลสูง  สามาวดีจะมีอนาคตที่ดีกว่า นอกจากนี้ สามาวดมี เี อกลักษณท์ ี่เป็นผู้มเี มตตามาก  ไม่วา่ จะไป ที่ไหน  ก็จะเป็นที่รักของผู้พบเห็น  มิตตะจึงตกลงยกสามาวดีให้ โฆสกะ 92 อักษรส่อสาร

เมอื่ โฆสกะไดเ้ ลยี้ งดสู ามาวดี เขาไดเ้ หน็ นสิ ยั ดๆี ของลกู สาว เขาจงึ ยงิ่ รกั และเมตตาสามาวดี วันหนึ่งพระราชาชื่ออุเทนได้เห็นสามาวดี  ทอดแรกของ พระเนตร น่ีราชาศพั ทแ์ บบอาตมา พระองคเ์ กิดความรกั แบบว่า love at first sight คราวนี้ไมต่ อ้ งการขอเปน็ ลกู สาว  แต่พระองค์ตอ้ งการ ได้สามาวดีเป็นภรรยา  เป็นความรักคนละแบบ  โฆสกะก็ไม่ยอม ยกให้เพราะเสียดายลูกสาว  พระเจ้าอุเทนเป็นพระราชาท่ีใจร้อน และขโี้ กรธ เมื่อไม่ได้สิง่ ที่อยากไดก้ ็โกรธ  จงึ ส่งั เนรเทศโฆสกะ  โดย ไม่ให้ลูกสาวติดตามไปด้วย  จะยึดทรัพย์และท�ำทุกส่ิงทุกอย่างด้วย ความโกรธเพอื่ ใหโ้ ฆสกะเจ็บใจ  สามาวดีสงสารพอ่ โฆสกะ  จงึ บอก ว่าสมัครใจจะเป็นภรรยาของพระเจ้าอุเทน  เม่ือพระเจ้าอุเทนได้ สามาวดเี ปน็ ภรรยา  กย็ กโทษใหโ้ ฆสกะและใหก้ ลบั มารบั ตำ� แหนง่ เดมิ ชยสาโร ภิกขุ 93

สามาวดีเป็นภรรยาท่ี ๓ ของพระเจา้ อุเทน ภรรยาเดมิ ๒ องค์ พระเจ้าอุเทนไม่ค่อยรักสักเท่าไหร่  โดยเฉพาะองค์ท่ี  ๒  ที่ช่ือ มาคันทิยา  ซึ่งเป็นคนไม่ดี  เกลียดชังพระพุทธศาสนามาก  โดย เฉพาะอย่างย่ิงเกลียดชังพระพุทธเจ้า  เพราะเดิมนั้นคุณพ่อคุณ แม่ของมาคันทิยาต้องการจะยกลูกสาวที่ตนเห็นว่าสวยที่สุดใน ประเทศให้พระพุทธเจ้า  โดยที่ไม่เข้าใจเรื่องวินัยสงฆ์  เขาเห็นว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ผู้คนเคารพนับถือกันมาก  ใครๆ  ล้วน กล่าวถึง  จึงต้องการยกลูกสาวให้ท่าน  พระพุทธองค์ไม่ทรง ยอมรับ  แล้วทรงกล่าวถึงความน่าเกลียดความสกปรกของร่างกาย ทรงส่ังสอนเรื่องอสุภะอสุภัง  ส่งผลให้พ่อแม่ของมาคันทิยาบรรลุ ธรรมเป็นอนาคามี  ส่วนลูกสาวกลับบรรลุความน้อยใจเป็น อย่างยิ่ง  ไม่ได้บรรลุธรรม  หากบรรลุอธรรม  เธอโกรธเกลียด และอคติผูกพยาบาทต่อพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนามาก ดว้ ยความทเ่ี ธอหนา้ ตาดี ต่อมาจึงไดเ้ ปน็ ภรรยาองค์ที่ ๒ ของพระเจา้ อุเทน เม่ือแรกท่ีพระเจ้าอุเทนมีภรรยาคนใหม่นั้น  นางมาคันทิยา กย็ งั ไมไ่ ด้คดิ อะไร ถอื วา่ เป็นเรอื่ งธรรมดา สามาวดีมีคนรบั ใช้อยู่ คนหนึ่งคือนางขุชชุตตรา  ซึ่งมีหน้าท่ีไปซ้ือดอกไม้ที่ตลาดทุกวันโดย สามาวดีให้เงินไปวันละ  ๘  กหาปณะ  ขุชชุตตราเห็นว่าสามาวดี ไมร่ ู้ราคาดอกไม ้ จงึ ซ้ือดอกไมแ้ ค่ ๔ กหาปณะ เกบ็ อีก ๔ กหาปณะ ไว้ใช้สว่ นตัว แล้วหลอกเจ้านายว่าจา่ ยคา่ ดอกไมท้ ัง้ ๘ กหาปณะ 94 อักษรส่อสาร

ซ่ึงเป็นการโกหก ผดิ ทง้ั ศีลข้อ ๒ และขอ้ ๔ วนั หนงึ่ เจ้าของรา้ นดอก ไม้บอกขุชชุตตราว่า  วันนี้ที่บ้านมีงานท�ำบุญเล้ียงพระ  ได้นิมนต์ พระพทุ ธเจา้ มารบั อาหารในร้าน ขอเชิญขุชชุตตรามาฟงั เทศนด์ ้วย ขุชชุตตราก็รับค�ำเชิญ  เม่ือได้เห็นพระพุทธเจ้าและพระสาวก ขชุ ชตุ ตรากเ็ กดิ ความเล่ือมใส และเมอื่ ได้ฟังพระพุทธโอวาท กบ็ รรลุ เปน็ พระโสดาบัน พวกเราสงั เกตอะไรไหม ผ้ถู อื ศีลไมบ่ ริสุทธิ์ ขาดทั้ง ข้อ  ๒ และข้อ  ๔ ยังมีบุญบารมีเพียงพอที่จะบรรลุโสดาบันได้ เพราะฉะนน้ั พวกเราทง้ั หลายซงึ่ เคยผดิ พลาดบา้ ง  เคยผดิ ศลี บ้าง ถอื วา่ ยงั มหี วงั ท่ีจะบรรลุธรรม เพียงแต่อย่าไดท้ �ำผดิ อีกตอ่ ไป พระโสดาบันมีคุณธรรมข้อหน่ึงคือมีศีลเป็นท่ีพอใจของพระ อรยิ เจา้   ทา่ นอาจจะยงั ผดิ ศลี ขอ้ ปลกี ยอ่ ยได ้ แต่พระโสดาบันจะไม่ ปิดบังอ�ำพรางความผิดของตน  นี่เป็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก เมื่อขุชชุตตราบรรลุเป็นโสดาบันแล้ว  เม่ือกลับเข้าวังทุกคนสังเกต เห็นความผ่องใสของเธอ เธอเข้าไปกราบสามาวดี แล้วสารภาพว่า ดอกไม้ท่ีซ้ือทกุ วนั ท่ีจรงิ ราคาแค่ ๔ กหาปณะ สว่ นอีก ๔ กหาปณะ น้นั นางเกบ็ ไว้ใชเ้ อง เปน็ เชน่ นท้ี กุ วนั อาตมาเชอื่ ว่าเงินทีเ่ ก็บไวน้ น้ั นางคงจะสง่ ไปชว่ ยคณุ พอ่ คณุ แมท่ บ่ี า้ น ในคมั ภรี ไ์ ม่ไดบ้ อกไว้นะ  แต่ อาตมาสันนษิ ฐานเองจากประสบการณ์ท่ีมใี นเมืองไทยปัจจบุ ัน เมื่อขุชชุตตราได้เล่าเรื่องราวให้สามาวดีฟัง  สามาวดีก็เกิด ความเลื่อมใสศรัทธาและสนใจมาก  แต่สามาวดีไม่สามารถออก ชยสาโร ภิกขุ 95

นอกวงั เพราะผดิ ระเบยี บประเพณ ี จงึ ตกลงใหข้ ชุ ชตุ ตราไปวดั เพอ่ื ฟงั พระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าทุกวัน  แล้วให้จ�ำทุกค�ำท่ีท่าน เทศน์เพื่อน�ำกลับมาถ่ายทอด  จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ขุชชุตตรา จะเข้าวัดทุกวัน  ซ่ึงในปีนั้นพระพุทธเจ้าทรงจ�ำพรรษาอยู่โกสัมพี เมื่อกลบั มาทว่ี งั ทงั้ ๆ ทเ่ี ป็นเพียงคนรบั ใช้ แตข่ ุชชุตตราก็ได้รบั เกียรติให้น่ังในท่ีสูงเพ่ือเป็นการให้เกียรติพระธรรม  ต่อมาได้มีการ นิมนต์พระอานนท์เข้ามาเทศน์ในวัง  เมื่อนางสามาวดีได้ฟังธรรม จากพระอานนท์ นางกบ็ รรลุโสดาบนั   ตลอดจนคนอนื่ ๆ  ในวงั กไ็ ด้ ทะยอยบรรลุธรรมกันถ้วนหนา้ มีเพียงผู้เดียวท่ีได้ฟังธรรมแต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้  คือ มาคนั ทยิ า ซ่งึ แตแ่ รกยังไม่ได้คิดรา้ ยตอ่ สามาวดี หากบัดนเี้ รมิ่ จะมี อคติเสียแล้ว  นอกจากสามาวดีจะเป็นภรรยาท่ีพระเจ้าอุเทนท�ำท่า ว่าจะรักมากกว่าคนอ่ืนแล้ว  นางยังเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วย 96 อักษรส่อสาร

แล้วยังพาให้คนอ่ืนไปหลงพระพุทธเจา้ ดว้ ย มาคนั ทิยาไมไ่ ดม้ องวา่ เป็นความเล่ือมใส  หากเห็นว่าเป็นความหลง  จึงเร่ิมคิดวางแผน จะทำ� ลายสามาวดี โดยพดู คุยกับพระเจ้าอุเทนท�ำเป็นหว่ งวา่ คนท่ี หนา้ ตาดีและท่าทางมีเมตตา แตล่ กึ ๆ แลว้ อาจจะไม่เปน็ อยา่ งท่ีเห็น สามาวดอี าจจะคิดร้ายกับพระองค์กไ็ ด้ นางพยายามพูดใหพ้ ระเจา้ อเุ ทนเกิดระแวงหรอื รงั เกียจสามาวดี แตว่ ธิ นี ไี้ มไ่ ดผ้ ล เพราะพระเจา้ อเุ ทนรวู้ า่ เมยี คนนเ้ี ปน็ คนใจดแี ละมเี มตตามาก เมอื่ ไมไ่ ดผ้ ล มาคนั ทยิ า ก็ใช้วิธีการอื่นๆ  เช่น  จ้างคนในตลาดไปใส่ร้ายพระพุทธเจ้าและ พระสาวก  ไม่นานชาวโกสัมพีก็เริ่มรังเกียจพระสงฆ์  กลายเป็น เร่ืองอ้ือฉาวในตลาด  กระทั่งพระอานนท์ยังหวั่นไหว  ไปกราบทูล พระพุทธเจ้าว่า  เราย้ายไปอยู่ท่ีอื่นดีไหมพระพุทธเจ้าข้า  ทุกวันนี้ รู้สึกว่าชาวโกสัมพีไม่ค่อยจะศรัทธา  เขาเชื่อว่าเราเป็นผู้ทุศีล พระพุทธองค์รับส่ังให้สงบใจไว้  เร่ืองจะคลี่คลายไปในทางที่ดี  ซ่ึง ต่อมาไม่นานก็เป็นไปตามท่ีพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์  ประชาชน ได้เห็นเองว่า  พระเหล่าน้ีไม่ได้เป็นอย่างท่ีมีคนใส่ร้าย  จึงกลับมา ศรัทธาเหมอื นเดมิ มาคันทิยาคิดวางแผนว่าจะท�ำอย่างไรต่อไปดี  ปกติแล้ว พระเจา้ อเุ ทนจะแบ่งเวลาใหภ้ รรยาคนละหน่ึงสปั ดาห์ อาทิตยห์ นง่ึ ทา่ นจะอยกู่ บั ภรรยาคนท ่ี ๑ อาทติ ยถ์ ดั ไปจะอยกู่ บั ภรรยาคนท ี่ ๒ ผลดั เวรกนั ไป เมอ่ื ถงึ สปั ดาหท์ จี่ ะไปอยกู่ บั สามาวดี มาคนั ทยิ ากเ็ อา ชยสาโร ภกิ ขุ 97

งูพิษไปซ่อนไว้ในห้องของสามาวดี  พระเจ้าอุเทนพบงูในห้อง  จึง เชื่อว่าภรรยาคนน้ีมีเจตนาจะฆ่า  และเน่ืองจากว่าพระองค์มีนิสัย เดิมเป็นคนใจร้อนข้ีโมโห  เวลาเข้าห้องนอนของภรรยาก็ต้องมีธนู ติดตัวไปด้วย  ท่านจึงยิงสามาวดี  ในขณะที่สามาวดีซึ่งเป็นผู้มี เมตตาสูงก�ำลังแผ่เมตตาอยู่  ท่านจึงยิงนางไม่เข้า  ทีนี้มันอาจเป็น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของผู้ชายมาแต่ไหนแต่ไร  ได้ฟังธรรมะล้วนๆ แมจ้ ะลึกซึง้ สกั แคไ่ หน เขาก็จะเฉยๆ แตถ่ ้ามเี ร่อื งอัศจรรย์แบบยงิ ไม่เข้าอะไรท�ำนองน้ี  จึงจะมีผล  พระเจ้าอุเทนจึงท่ึงภรรยาจน เกิดศรทั ธา ทรงขอขมาตอ่ สามาวดี แลว้ เริ่มสนใจพระพทุ ธศาสนา คิดอยากจะฟงั ธรรมะ จึงเสดจ็ ไปท่วี ัด ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จธุดงค์ไปที่อื่น  แต่ก็มีพระกลมุ่ หนึ่ง ธดุ งคม์ าท่ีวดั คือ คณะของพระปณิ โฑลภารทวาชะ  พระเจา้ อเุ ทน 98 อักษรส่อสาร

ได้สนทนาธรรมกับท่านปิณโฑลภารทวาชะและได้เห็นว่าท่านมีลูก ศิษย์หนุ่มๆ  หลายรูป  ก็รู้สึกศรัทธา  เน่ืองจากว่าท่านเป็นผู้ท่ี ค่อนข้างจะมักมากในเร่ืองของกาม  เม่ือเห็นพระหนุ่มจ�ำนวนมาก หลายองค์ กเ็ กดิ ความอยากรวู้ า่ พระหนมุ่ ๆ อายเุ พยี งเทา่ นเี้ หลา่ น้ี ท่านสามารถประพฤติพรหมจรรย์กันได้อย่างไร  พระปิณโฑลภาร ทวาชะจึงอธิบายให้ฟังว่า  พระในพุทธศาสนาไม่ใช่ว่าบวชแล้วอยู่ เฉยๆ หากมกี ารพฒั นาจติ ใจในทกุ ๆดา้ น  มกี ารเจรญิ อสภุ กรรมฐาน เห็นความไม่สวยไม่งามของร่างกาย  แล้วก็ยังฝึกจิต  พัฒนาสัญญา ความจ�ำได้หมายรู้  เม่ือเห็นผู้หญิงท่ีมีอายุมาก  ก็ฝึกมองให้เห็นว่า เหมอื นแม ่ เหน็ ผหู้ ญงิ รนุ่ เดยี วกนั หรอื อายมุ ากกวา่ นดิ หนอ่ ย กม็ อง ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ พสี่ าว ทอ่ี ายนุ อ้ ยกวา่ กเ็ ปน็ นอ้ งสาว  ฉะนน้ั ความรสู้ กึ ทเ่ี ปน็ อกศุ ลอนั เปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ การประพฤตพิ รหมจรรยจ์ ะลดนอ้ ยลง พระเจา้ อเุ ทนฟงั แลว้ เกดิ ความเลอื่ มใส เกดิ ศรทั ธา ขอถงึ ซง่ึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ ทพ่ี ง่ึ เปน็ สรณะ จากนั้น ทา่ นกม็ ีความคดิ ขนึ้ มาอกี หลายอยา่ ง ทา่ นไม่คิดจะ ปฏิบัติต่อนางสามาวดีเหมือนเดิม คือไม่คิดปฏิบัติต่อนางเหมือน เป็นภรรยา  ท่านไม่จ�ำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับนาง  เพราะภรรยาอ่ืนๆ ก็ยงั มอี ย่ ู แตท่ ่านถอื นางเป็นกลั ยาณมติ ร ปลอ่ ยใหภ้ รรยาคนนี้ได้ ปฏิบัติธรรม  เม่ือสามีไม่มาเก่ียวข้องด้วย  สามาวดีก็ปฏิบัติได้ผล นางได้บรรลุเป็นสกิทาคา อนาคา ด้วยเหตุนี้ ชยสาโร ภกิ ขุ 99

เพราะเหตุนี้นางมาคันทิยะจึงไม่พอใจมาก  นางคิดการว่าจะ ท�ำอย่างไรต่อไปดี  เนื่องจากโทสะความโกรธมีมาก  นางจึงได้วาง อุบายท�ำทีว่าออกจากวังไปหาญาติ  แล้วจ้างคนไปเผาวังส่วนที่พวก ผหู้ ญงิ อยจู่ นไหมห้ มด  ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ทกุ คนรวมทงั้ สามาวดี ขชุ ชตุ ตรา และนางสนมทั้งหลายตายหมด  เร่ืองน้ีท�ำให้พระบางรูปเป็นทุกข์ มากดว้ ยความสงสาร พระหลายรูปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าดว้ ย ความสงสัยวา่ ท�ำไมจงึ เป็นเชน่ นัน้ พระพทุ ธองค์ทรงปลอบใจวา่ พวกผู้หญิงในวังท่ีตายไปน้ัน  ไม่มีปุถุชนแม้เพียงคนเดียว  ล้วนเป็น พระอริยเจา้ ทงั้ หมด  อยา่ งต�่ำสดุ กเ็ ป็นโสดาบนั เป็นสกทิ าคา เป็น อนาคา ทรงวา่ สามาวดี “รา่ งกายตาย แตไ่ มต่ าย” สว่ นมาคันทยิ ะ “ยงั มีชวี ติ อยแู่ ต่เหมอื นตาย” พระพทุ ธองคท์ รงยกธรรมบทเรอ่ื ง “ความประมาทเปน็ ทางไป สูค่ วามตาย  ความไม่ประมาทเป็นทางไปสอู่ มตะ”  คนท่ีประมาท เหมือนกับตายแล้ว  คนที่ไม่ประมาทไม่มีวันตาย  นางสามาวดี 100 อักษรส่อสาร

เปน็ อนาคามี  ไปอย่พู รหมโลกชั้นสทุ ธาวาส และจะบรรลอุ รหนั ต์ท่ี นั่น  คือไม่ตาย  ส่วนมาคันทิยะยังมีชีวิตอยู่  แต่ได้ตายไปแล้วจาก คณุ ธรรม และจะตอ้ งตกนรกเป็นเวลานาน หลงั จากเกดิ เรอ่ื ง  พระเจา้ อเุ ทนทรงเปน็ ทกุ ขอ์ าลยั ภรรยาทรี่ กั ใครหนอทกี่ ลา้ ทำ� เยย่ี งนไ้ี ด ้ ในใจกค็ ดิ วา่ นา่ จะเปน็ มาคนั ทยิ ะ  แตจ่ ะ ทำ� อยา่ งไรใหน้ างสารภาพ จงึ ทรงปรกึ ษาเหลา่ อำ� มาตย ์ ออกอบุ ายให้ อำ� มาตยถ์ ามขน้ึ วา่ “โอ.้ ..ใครหนอกลา้ ทำ� เรอ่ื งเชน่ นไ้ี ดน้ ะ” แลว้ พระเจา้ อเุ ทน ทรงตอบวา่ “คงจะเปน็ คนทรี่ กั เรามากๆ จงึ กลา้ ทำ� ” มาคันทิยะถึงได้ลืมตัวโพล่งออกมาว่า  “ฉันน่ีแหละท�ำ” พระเจ้าอุเทนจับนางไปทรมานกอ่ นจะประหารชีวติ แลว้ นาง ก็ตกนรกไป  ทรงท�ำไปเพ่ือแก้แค้น  แล้วจึงคิดได้ว่า  ถ้าสามาวดีรู้ ชยสาโร ภกิ ขุ 101

ว่าเราท�ำอย่างน้ี  นางคงจะไม่รู้สึกพอใจเพราะนางไม่เคยโกรธใคร พระเจ้าอเุ ทนรู้สึกเสียใจจึงได้ปฏิบตั ธิ รรมมากขนึ้ นก่ี เ็ ป็นเรือ่ งผู้หญิง เกง่ ท่ชี อื่   สามาวดี และ ขุชชุตตรา ถ้าใครสนใจศึกษาธรรมะท่ีขุชชุตราได้บันทึกไว้และได้เล่าให้ สามาวดีและบริวารในวังฟัง  ก็ให้ดูท่ีอิติวุตตกะในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงยกย่องสามาวดีว่า  ในบรรดาอุบาสิกาทั้งหลาย นางเป็นผู้เลิศในทางเมตตา เปน็ ผูม้ เี มตตาสูงย่งิ ฉะน้ัน เราทกุ คนก็เช่นกนั เมื่อจะปฏิบัติก็พยายามให้เป็น ผู้เลิศเหมือนกัน พยายามใหม้ นั เลศิ พยายามใหม้ ันประเสริฐ -เมตตาธรรมเปน็ สง่ิ ทท่ี �ำให้จิตใจเราไม่คับแคบ -เมตตาธรรมเป็นสง่ิ ท่ีท�ำใหจ้ ิตใจเราเยอื กเยน็ -เมตตาธรรมเปน็ ธรรมทข่ี จดั ความโกรธ ขจดั โทสะไดส้ นิ้ เชงิ พระพุทธองค์ให้ความส�ำคัญกับการเจริญเมตตาภาวนามาก ทรงวา่ เมตตาภาวนาเป็นไปเพื่อความเจริญถ่ายเดียว  เมตตาน�ำ ไปสู่  “มรรคผลนิพพาน”  อย่าไปกลัวว่า  การแผ่เมตตาหรือการ เจรญิ เมตตา  จะได้แตค่ วามสุข พระพทุ ธองคท์ รงวา่   ความสขุ ท่ี เกิดจากการเจริญพรหมวิหารเป็นความสุขที่เป็นไปเพ่ือนิพพิทา เพอ่ื การปลอ่ ยวางกิเลส เปน็ ไปเพื่อ “มรรคผลนิพพาน” ทำ� ใหเ้ รา ฉลาดในการแผ่เมตตา ฉลาดในการเอาชนะความโกรธ 102 อักษรส่อสาร

ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงให้ค�ำแนะน�ำและให้อุบายมากมาย ถ้าเราอย่กู บั คนทีค่ วามประพฤตไิ มด่ ีหรอื นา่ เกลียด แตก่ ารพูดการ จาคอ่ นขา้ งดี เราจะแผเ่ มตตาใหเ้ ขาไดไ้ หม ในกรณีนพี้ ระพุทธองค์ ทรงแนะนำ� วา่ อยา่ ใสใ่ จหรือไปเพ่งโทษจบั ผดิ ในส่วนทีไ่ มด่ ขี องเขา ให้เราคิดถึงส่วนท่ีดีของเขาซ่ึงก็คือ  วาจาท่ีเรียบร้อยใช้ได้  ท่าน เปรียบว่าเหมือนกับพระเดินธุดงค์  ต้องการผ้าท�ำจีวร  เม่ือเห็น ผา้ บงั สกุ ลุ ซึ่งเป็นผา้ สกปรก ทา่ นบอกวา่ ให้ใชเ้ ท้าซา้ ยกดลงบนผ้า ใชเ้ ทา้ ขวาคลผ่ี ้า แลว้ ฉกี ออกเฉพาะส่วนทใี่ ช้ได้ ปล่อยสว่ นทใ่ี ชไ้ ม่ได้ ท้ิงไว้  ท่านว่า  เหมือนคนที่มีความประพฤติไม่ดีน้ัน  เราไม่ต้องไป คดิ มาก สว่ นท่ไี ม่ดี เรากไ็ มเ่ อา เอาแต่ส่วนทีด่ ี เพ่อื จะแกโ้ ทสะในใจ ของเรา บางคนการกระท�ำดี แต่การพดู ไมด่ ี พูดไมน่ า่ ฟัง พูดหยาบ ท่านก็ว่า  อย่าไปใส่ใจ  อย่าไประคายเคืองกับค�ำพูดไม่ดีของเขา ให้ปล่อยมันไป เอาแต่ส่วนที่ดีของเขาไว้ ความประพฤติทีค่ ่อนข้าง จะดีบางอย่างของเขา เชน่ เขามคี วามเออื้ เฟ้ือเผือ่ แผ่ เป็นตน้ พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบว่า  เหมือนกับเราเดินทาง ท้ังร้อนทั้งหิวกระหายอยากด่ืมน้�ำ  แต่เม่ือไปถึงสระน้�ำ  ก็พบว่ามี สาหร่ายและพชื ตา่ งๆ สเี ขียวๆ ปกคลมุ น�ำ้ ไวจ้ นมดิ แลว้ เราจะใช้วิธี อยา่ งไร เรากใ็ ชม้ ือแหวกพวกสีเขยี วๆ ออกไป กระพมุ่ มอื แล้ววกั นำ�้ ข้ึนดื่ม  ท่านเทียบว่า  คนที่การกระท�ำดี  แต่การพูดไม่ดี  ก็เหมือน พวกสาหร่ายและพืชสีเขียวๆ  ท่ีปกคลุมน�้ำสะอาดท่ีอยู่เบื้องล่าง ท่านว่า ก็ให้เราแหวกมนั ออก แล้วเอาแตส่ ่วนท่ดี ไี ว้ ชยสาโร ภกิ ขุ 103

พระพทุ ธองคท์ รงสอนใหเ้ ราฉลาดในการมอง ทา่ นวา่ บางคน การกระทำ� ไม่ดี การพดู กไ็ ม่ดี แตเ่ มอื่ ได้สังเกตดู ก็พบว่าเขายัง มีความคดิ ท่ดี ๆี อยเู่ ปน็ คร้งั คราว บางครัง้ เหมอื นกับเขามคี วาม เมตตานดิ ๆ หนอ่ ยๆ เขายงั พอมคี วามดีอย่บู า้ ง ไม่ใชว่ า่ ไม่ดีรอ้ ย เปอร์เซนต์ ฉะนนั้ ทา่ นใหเ้ ราพยายามสงั เกต แลว้ ใหไ้ ปคดิ ยอมรบั และชน่ื ชมในสว่ นทดี่ ขี องเขา พระพทุ ธองคท์ รงเปรียบวา่ เหมอื น กับคนเดินทาง ทั้งรอ้ นทงั้ หวิ กระหายอยากดื่มน้ำ� สระน้ำ� กไ็ ม่มี เห็น แตร่ อยเท้าววั   ทีม่ ีนำ�้ ขังอยใู่ นรอยเท้าเพยี งนดิ เดยี ว ถ้าจะเอามือไป วกั นำ�้ หรอื ใช้ภาชนะอะไรไปตัก  ก็คงไม่ไดเ้ พราะมนี �ำ้ นอ้ ยมาก ถงึ จะพยายามตักออกมา น้�ำกจ็ ะขุ่นจนด่ืมไมไ่ ด้ เราควรทำ� อย่างไรดี ก็ต้องคุกเข่าลง  เอามือยันไว้ข้างหน้า  แล้วก้มหน้าเอาปากลงไป กินน�้ำเหมือนวัวกินน้�ำ  ท่านเปรียบเทียบเหมือนคนท่ีเราไม่เห็นว่ามี สว่ นดเี ลย การกระท�ำการพูดแยไ่ ปเสยี หมด แต่ถ้าเราสังเกตดู กไ็ ด้ เห็นความดเี พยี งน้อยนดิ กใ็ หเ้ อาความดีนั้นแหละ เหมอื นน้�ำนอ้ ย นิดท่ีขงั อยู่ในรอยเทา้ วัว คุกเขา่ ลง เอามือยัน แล้วเอาปากลงกิน เหมือนวัวกินน้ำ� นัน่ เอง ถา้ เราเจอคนท่ีดที ุกอยา่ ง การกระท�ำก็ดี วาจากด็ ี จิตใจก็ดี ทา่ นเปรียบว่าเหมือนเราเดินทาง ท้ังรอ้ นทงั้ หิวกระหายอยากดืม่ น้ำ� ได้เจอสระน�้ำท่ีมีน้�ำใสแจ๋ว  รอบๆ  สระเต็มไปด้วยต้นไม้น่าร่ืนรมย์ ทุกสงิ่ ทกุ อย่างดีหมด เรากล็ งไปทัง้ อาบทัง้ ดม่ื แล้วก็นอนพักผอ่ น 104 อักษรส่อสาร

สบาย  เม่ือเราได้เจอคนท่ดี ที กุ อยา่ ง เราก็ตอ้ งระวงั อยา่ ไปอิจฉา เขา  อย่าไปเปรียบเทียบกับเขาแล้วรู้สึกว่าเราสู้เขาไม่ได้  ท่าน ใหเ้ รารูจ้ ักช่ืนชมในส่ิงที่ดี  ๆ น้นั เราเป็นผ้มู ีกาย มวี าจา มใี จ เราทุกคนสามารถพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้มีคณุ ภาพยง่ิ   ๆ ข้ึนไป เพียงแคว่ า่ เราได้เกดิ เปน็ มนุษย์  ก็เรียกว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูงแล้ว  มีคุณสมบัติพอแล้ว ย่ิงได้เกิดเป็นคนไทยอยู่ในเมืองพุทธ  มีโอกาสศึกษาปฏิบัติ ธรรม พดู ไปกจ็ ะเหมือนกบั ยอ แตต่ อ้ งเรียกว่า มบี ญุ มาก  ๆ ระดบั หัวกะทเิ ลย น้อยนักทจ่ี ะมโี อกาสอย่างนี้ ฉะน้ัน ถ้าเรายังมีความ รู้สกึ ขัดข้อง ยังรูส้ ึกวา่ แหม! ชีวิตมันยาก มนั ล�ำบาก มันต�่ำต้อย ก็ใหร้ วู้ า่ ถึงอย่างไรเรากเ็ ปน็ ผู้มีบญุ สงู เรียกว่า ถึงจะรสู้ ึกวา่ ตำ�่ มันก็ ยงั นา่ ภมู ใิ จนะ เพราะเปน็ ระดบั ตำ�่ ของระดบั สงู ซงึ่ มนั กส็ งู มากอยู่แลว้ ตำ่� ของสูงก็ย่อมจะดกี ว่าสูงของต่�ำ ทา่ นให้เรามองอยา่ งนั้น ใหเ้ รามคี วามหวงั วา่   ไมม่ อี ะไรทเี่ ราจะแกไ้ มไ่ ด ้ เพราะทกุ สง่ิ ทุกอย่าง  ไม่ว่านิสัยใจคออะไร  ถึงจะรู้สึกว่าฝังลึกขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแลว้ มันกล็ ว้ นเปน็ สงั ขาร มเี กดิ มดี ับ ไมใ่ ช่ว่าเม่อื มนั เกดิ แล้ว ตอ้ งมมี ันทุกภพทกุ ชาติไป สิง่ ใดมคี วามเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดบั ไปเป็นธรรมดา กเิ ลสทุกตวั ทเ่ี ราเหน็ อยใู่ นใจของเรา มเี กิด มดี ับ นีค่ ือความหวัง ส่ิงทีเ่ ราจะต้องทำ� คือให้เรารู้สึกสลดสงั เวช หรือ ที่ดี คือไม่ประมาท รู้ว่ากิเลสเกิดแล้ว แต่ยังไม่ดับ โอ้! กิเลสเกิด ชยสาโร ภิกขุ 105

ข้นึ เยอะ ยังดับไม่ได้สักอย่าง เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ให้ตง้ั ใจปฏิบัติ แต่ในขณะเดียวกัน กต็ ้องเตอื นสตติ นเองว่า เกิดได้ ก็ดับได้ ไมม่ สี ่งิ ใดทีเ่ กดิ ได้แลว้ ดบั ไมไ่ ด้ มนั เปน็ ของเกดิ ของดบั เพยี งแตว่ ่าเรายังไป ไมถ่ ึงขัน้ น้ันเทา่ นัน้ เอง เรายงั อยใู่ นขั้นตำ่� ของข้นั สงู   แต่ไม่เหลอื วิสยั ทีจ่ ะพฒั นาเพ่อื ยกระดับ ค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ แมท้ ง่ี ่ายที่สุดจะลกึ ซ้ึงมาก ย่งิ ปฏบิ ัติ ก็ยง่ิ ลกึ ซ้ึง  พระพุทธองค์ตรัสไว้วา่ ทีพ่ ระตถาคตสอนใหพ้ วกเธอ ละบาป เพราะเปน็ สิ่งที่พวกเธอทำ� ได้ ทพ่ี ระตถาคตสอนใหพ้ วก เธอบ�ำเพ็ญกุศล  เพราะเป็นส่ิงท่ีพวกเธอท�ำได้  ที่พระตถาคต สอนให้พวกเธอช�ำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง  เพราะเป็น ส่ิงท่ีพวกเธอท�ำได้  ถ้าพวกเธอละบาปไม่ได้  บ�ำเพ็ญกุศลไม่ได้ ช�ำระจิตใจของตนให้บริสุทธ์ิผุดผ่องไม่ได้  พระตถาคตไม่สอน พระตถาคตเลือกสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์  สิ่งที่ พระองค์ไม่สอนมีมากมาย  แต่สิ่งท่ีทรงสอน  คือสอนให้เราเจริญ ด้วยศีล  ด้วยสมาธิ  ด้วยปัญญา  เพราะเป็นส่ิงที่มนุษย์ท�ำได้ และเพราะเป็นสิ่งท่ีเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษยไ์ ม่ว่ายุคไหน สมัยไหน  ฉะนั้น  เราต้องเช่ือมั่นในค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการเช่อื ม่นั ในศักยภาพของตนเอง เราไม่จ�ำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ความผิดพลาดหรือความ ประมาทในอดีตมาเป็นตัวก�ำหนดอนาคตของเรา  พระพุทธองค์ 106 อักษรส่อสาร

ตรัสไวว้ ่า  ผู้ท่เี คยประมาทในกาลก่อน แลว้ กลบั ใจ  ส�ำนกึ ตวั   ไม่ ประมาทอีกต่อไปน้ัน  มีความงดงามเสมือนพระจันทร์เต็มดวง ที่โผล่พ้นจากเมฆ  ฉะนั้น  ถ้าพระจันทร์เต็มดวงของเราถูกเมฆ ปิดบังเอาไว้  เราก็จงปฏิบัติให้มันพ้นจากเมฆเสีย  เราย่อมท�ำได้ เราทุกคนทเ่ี คยท�ำผิดบาปสามารถกลบั ใจได้ จงเรียนรูจ้ ากอดตี แล้วปลอ่ ยวางอดตี เพอื่ สรา้ งอนาคต ด้วยการตงั้ อกต้งั ใจอย่ใู น ปจั จุบนั ให้เราค่อยๆ  ดูจิตใจของเรา  เวลาจิตใจของเราข้ีเกียจ ข้ีคร้าน  ก็ต้องพยายามนึกไปในทางที่จะท�ำให้มีก�ำลังใจ  ถ้าจิตใจ ของเรามีกำ� ลังใจมากเกินไป ฮกึ เหมิ หรือวา่ เครยี ด ต้องรู้จักผอ่ น คลายบ้าง หาทางสายกลาง หาความพอดี ใหพ้ อดพี องาม ถ้าขี้เกียจขี้คร้าน  ต้องสอนตัวเองว่า  ถ้าไม่บรรลุก็บรรลัย  แต่ถ้า เครยี ดจนเกนิ ไป จะคิดอยา่ งนั้นไมไ่ ด้ ต้องสอนตัวเองว่า ถึงจะยัง ไมบ่ รรลุก็จริง แตก่ ็ยงั ดที ไี่ มบ่ รรลยั ให้หาความพอดีสำ� หรับตวั เอง ปรบั ความร้สู กึ ไปเร่อื ย  ๆ ใหอ้ ยู่บนเสน้ ทางทีพ่ อเหมาะพอดีกบั เรา เพ่ือจะได้เจรญิ กา้ วหนา้ ในทางธรรมตอ่ ไป ชยสาโร ภกิ ขุ 107



.  ฐาน คำ� ว่า ฐานหรอื ฐานะ ปรากฏในพระคัมภีร์บ่อยๆ และเป็น หลักการที่ส�ำคัญมาก  ซ่ึงญาติโยมคงจะคุ้นเคย  ในการประพฤติ ปฏบิ ตั ขิ องเรานนั้   อาตมาขอเนน้ วา่ ไตรสกิ ขา แตล่ ะขนั้ ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ฐานของขน้ั ทส่ี งู ขนึ้ ไป ถา้ หากวา่ ฐานไมม่ น่ั คง  สง่ิ ทเี่ รากอ่ สรา้ งบนฐาน นน้ั ยอ่ มจะไม่มัน่ คงดว้ ย และมักจะพงั ทลายไดง้ า่ ย ชยสาโร ภกิ ขุ 109

ในการเจริญสมาธิภาวนา เราต้องมฐี าน คือ ศีล ซงึ่ เปน็ เร่อื งที่ เราพูดกันบ่อยๆ  แต่ในพระพุทธศาสนาบางนิกาย  โดยเฉพาะฝ่าย มหายาน  ยังไม่ค่อยจะยอมรับในเร่ืองน้ีสักเท่าไหร่  โดยให้เหตุผล วา่ ไมจ่ ำ� เป็นต้องจกุ จกิ จจู้ ี้ด้วยสกิ ขาบทตา่ งๆ เพยี งขอใหเ้ รามีสติ ก็พอแลว้ เพราะถ้ามีสติแล้ว กาย วาจาก็จะเรยี บร้อยไปเอง หาก กังวลเรื่องศีลมาก  จิตใจจะอึดอัดไม่ปลอดโปร่ง  จิตใจจะไม่เป็น ธรรมชาติ นค่ี ือทศั นคตขิ องครบู าอาจารยส์ ายมหายานบางองค์ ส่วน ฝ่ายเถรวาทของเราบอกว่า  ถ้ามีสติท่ีดีถึงขนาดนั้นก็ย่อมเป็นเช่นน้ัน ได้ แตน่ ่ากลวั วา่ โดยทว่ั ไป สติของเราจะไม่ถงึ ระดับนัน้ และทุกครัง้ ที่ มีกเิ ลสมาย่ัวยวน เรากจ็ ะลมื ลมื เป้าหมายของตัวเอง ลมื หลกั การของ ตวั เอง สตกิ ็จะหาย และกว่าสติจะคืนกลับมา เราก็มักจะไดท้ �ำไดพ้ ูด สิ่งท่ีไม่ดไี มง่ ามออกไปเสยี แล้ว ครบู าอาจารย์ทา่ นจงึ เน้นนกั เนน้ หนา ในเรือ่ งศลี ให้เราเปน็ ผทู้ ่อี ยใู่ นกรอบของศลี ธรรม ผลที่เกิดจากการไม่รักษาศีลคือ  เราจะไม่เป็นท่ีเคารพนับถือ ของผู้อ่ืน  และ  เราก็จะเคารพนับถือตัวเองไม่ได้ด้วย  ถ้าความผิด พลาดหรือสิ่งไม่ดีไม่งามที่เราท�ำเป็นส่ิงผิดกฎหมาย  เราจะต้องถูก ลงโทษ  หรือต้องเครียดกังวลกลัวจะโดนจับได้อยู่ตลอดเวลา  ถ้าไม่ ถึงข้ันผิดกฎหมาย  หากเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราจะเสียหน้าถ้าคนอื่น ทราบ เรากจ็ ะเครยี ด อดึ อดั และกลวั วา่ คนอน่ื จะรคู้ วามลบั ของเรา ถา้ เราทำ� ความชวั่ บางอยา่ งแลว้ มนั่ ใจวา่ ไมม่ ใี ครร ู้ เรารอู้ ยคู่ นเดยี ว แตเ่ รา 110 อักษรส่อสาร

กเ็ ปน็ คนเหมอื นกนั มคี นมากมายทท่ี ำ� ความผดิ โดยไมม่ ใี ครรู้ แตน่ านๆ ไปกลบั ทนไมไ่ ด้ ตอ้ งระบายและเปดิ เผยกบั คนอนื่ เพราะการเกบ็ เรอื่ ง น้นั ไวค้ นเดยี วมันหนักเกนิ ไป ในทส่ี ุดแลว้ กต็ ้องเปดิ เผยความจรงิ คนทุศีลจะไม่อยากฟังเทศน์  เพราะไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ไม่ ดีทต่ี ัวเองท�ำไว้ อยากจะลมื มนั เสีย ถา้ ฟงั เทศน์กก็ ลวั วา่ พระทา่ นจะ เทศน์เร่ืองความไม่ดีของตัวเอง  ก่อให้เกิดความเดือดร้อนใจขึ้นมา อีกคร้ังหนึ่ง  ฉะน้ันผู้ทุศีลหรือผู้ท่ีเคยท�ำบาปจะห่างเหินวัด  อาจ จะเอาแค่ใส่บาตรบ้างโดยไม่ต้องฟังเทศน์  ไม่ต้องรับฟังข้อคิดและค�ำ สอนจากพระ  เขามักจะเข้าวัดในลักษณะผิวเผิน เพียงแค่ว่าเอาของ ไปท�ำบุญหรือไปฝากไว้  แล้วกลับบ้านไปเลย  กลัวความจริง  กลัว ธรรมะ เพราะในใจของเขามีส่งิ ทีไ่ มด่ ี มีส่ิงทไ่ี ม่ใช่ธรรมะ น่ีคือโทษของ การผิดศลี เรียกวา่ ไม่มฐี านทจ่ี ะรองรับส่ิงทีด่ ี ชยสาโร ภกิ ขุ 111

ในการท�ำสมาธิภาวนา  เราต้องเป็นเพ่ือนกับตัวเอง  ต้อง เคารพนับถือตัวเอง  และต้องยอมอยู่กับตัวเอง  โดยไม่มีสิ่งใดมากระ ตุ้นจิตกระตุ้นอารมณ์  ไม่ต้องกลบเกลื่อนความจริงโดยอาศัยความ สนุกสนานจากภายนอก  ฉะนนั้ ถ้าเรารูส้ ึกวา่ ตัวเองไม่ดี ไม่อยากอยู่ กบั ตวั เอง สมาธิจะเกิดไดอ้ ย่างไร ทา่ นจงึ กลา่ วว่า ศลี เป็นฐานของ สมาธิ และในท�ำนองเดียวกัน สมาธิเป็นฐานของปัญญา ท�ำไมจึง เป็นเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้หรือท่ีเราจะไม่ใช้สมาธิเลย จะใช้แต่ความ คิดและความฉลาดในชีวิตประจ�ำวันของตัวเอง  บางคนอ่านหนังสือ มากจนรู้ทุกส่ิงทุกอย่างแล้ว  ยังจ�ำเป็นต้องน่ังสมาธิด้วยหรือ  ความ ส�ำคญั หรือความจ�ำเป็นของสมาธอิ ยทู่ ่วี า่ สมาธทิ ำ� ใหจ้ ิตใจน่ิง แน่วแน่ มั่นคงอยู่ในปัจจุบัน  นักปราชญ์ท่านหน่ึงเปรียบจิตใจของเรากับมีด ท่านว่าปัญญาเหมือนความคมของมีด  ส่วนสมาธิเหมือนน้�ำหนักของ มีด  ถ้ามีดมแี ตค่ วามคม ไมม่ นี �ำ้ หนกั มนั จะตดั ไมล่ ึก ถ้ามีน�้ำหนกั แต่ไม่มีความคม มันกต็ ดั ไมข่ าด ฉะนนั้ สมาธจิ งึ มคี วามส�ำคญั ในการ เตรียมจิตใจให้ได้ใช้ปัญญาอย่างคล่องแคล่วและได้ผล  ถ้าจิตใจขาด สมาธิ  ปญั ญากม็ ักจะเปน็ ปัญญาระดับความคดิ ซง่ึ ไม่มีพลังพอท่จี ะ ถอดถอนกเิ ลสได้ ศลี เปน็ ฐานของสมาธ ิ สมาธเิ ปน็ ฐานของปญั ญา ปัญญาเป็นฐานของการหลุดพ้นจากความยึดม่ันถือมั่นทั้งหลาย น่ีเป็นหลกั การสำ� คัญของเรา หลายปีมาแล้วมีอุบาสิกาชาวสเปนคนหน่ึงมาปฏิบัติธรรมที่ น่ีพร้อมสามี  ตัวอุบาสิกาปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังมาก  ดูเครียด 112 อักษรส่อสาร

แล้วออกอาการบ้าคลั่ง  อย่างท่ีได้กล่าวมาแล้วว่า  สมัยนั้นคนชอบ พดู วา่ นงั่ สมาธแิ ลว้ จะเปน็ บา้ ซงึ่ การพดู อยา่ งนบ้ี าปนะ  เพราะมสี ว่ น ทำ� ใหค้ นไมก่ ลา้ นงั่ สมาธิ ตอนนนั้ อาตมาอยวู่ ดั มาสกั ๒๐ ปี ไดเ้ หน็ คนทม่ี าปฏบิ ตั แิ ลว้ เปน็ บา้ หรอื คลง่ั ๒-๓ คนเทา่ นนั้ ซงึ่ หนง่ึ ในนน้ั คอื ผหู้ ญงิ สเปนคนนี้ ตอ่ มาจงึ ทราบวา่ ทเ่ี ปน็ บา้ จากการนงั่ สมาธนิ นั้ มี เหตุปัจจัยมาจากเรื่องในอดีตสมัยที่เป็นนักศึกษา  เขาอยู่ในกลุ่ม กอ่ การรา้ ย  วางระเบดิ ในเมอื งมาดรดิ และเมอื งบาเซโลนา่ ซง่ึ ในสมยั เผดจ็ การของสเปนนน้ั ถอื วา่ เปน็ การกระทำ� ทม่ี เี หตมุ ผี ล เปน็ การตอ่ สู้ เพอื่ ประชาชน แตภ่ ายหลงั เมอ่ื คดิ ถงึ คนทตี่ ายไป เขากร็ สู้ กึ วา่ ตวั เอง ทำ� ความผดิ สมองบอกวา่ ทำ� ดว้ ยเจตนาด ี ทำ� ดว้ ยความตง้ั ใจชว่ ยผอู้ น่ื ให้พ้นจากเผด็จการ  แต่ความรู้สึกบอกว่าผิด  ความรู้สึกบอกว่าบาป จึงมีความขัดแย้งอยู่ในใจ  เป็นความขัดแย้งที่ตัวเองเก็บกดไว้ไม่อยาก ยอมรับ  เมื่อมานั่งสมาธิ  ส่ิงท่ีเก็บกดก็ก�ำเริบ  เกิดอาการเสียจริต ชยสาโร ภกิ ขุ 113

แล้วยงั เกิดหลงรักพระองคห์ นงึ่ ถึงกับบุกขึ้นกุฏิท่าน ท�ำให้พระเกือบ แย่ ต้องเรียกปะขาวมาช่วยพาไปโรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ โชคดีว่าไม่ เป็นมาก โรงพยาบาลชว่ ยไดท้ นั ฉีดยารักษาสัก ๕-๖ วนั จนเปน็ ปกติ จึงไดก้ ลับบ้าน ท่านจึงว่า  เราท�ำความผิดอะไรไว้  อย่าปิดบังอ�ำพราง ต้องเปิดเผย เพราะถ้าไมเ่ ปิดเผยแล้ว มันจะเน่า มันจะเปน็ ปญั หา และเป็นอุปสรรคในการประพฤติปฏิบัติ  บางคนอาจเข้าใจว่า  ถ้า เปน็ พระอริยเจ้าแล้วจะไมม่ กี ารทำ� บาป แตพ่ ระอริยเจา้ ระดับต้น คอื พระโสดาบันนัน้ ทา่ นยังอาจท�ำผดิ วินยั บา้ งหรอื ท�ำบาปได้ แตไ่ มใ่ ช่ เรือ่ งหยาบคายรา้ ยแรง เปน็ เพียงบาปเล็กๆ น้อยๆ แตถ่ ้าทา่ นได้ทำ� ผิดศลี ไปแล้ว เอกลกั ษณ์หรอื ธรรมชาตขิ องพระอริยเจา้ คือ  ท่านไม่ สามารถหรอื ไม่เคยคิดทจี่ ะปิดบงั อำ� พราง ท่านต้องรีบชำ� ระด้วยการไป เปิดเผยกับกัลยาณมิตรหรือครูบาอาจารย์  ฉะนั้นท่ีว่าศีลบริสุทธ์ินั้น ไม่ไดห้ มายความว่า บริสุทธม์ิ าโดยตลอด ไม่เคยท�ำบาปเลย อยา่ งนี้ คงหาได้ยากในโลกน้ี แตเ่ มอื่ เราท�ำความชัว่ หรือทำ� ส่งิ ท่ีไมด่ ีแล้ว ก็ใหเ้ ราเปิดเผย ไมต่ อ้ งแกต้ ัว ไม่ตอ้ งเข้าข้างตวั เอง ให้ยอมรับ วา่ ตวั เองผิด เปดิ เผยความผิดนน้ั แล้วตงั้ ใจวา่ จะไมท่ �ำอย่างน้ัน อกี ตอ่ ไป นี่คือการชำ� ระ ถ้าไดท้ ำ� เช่นนีแ้ ลว้ กเ็ รยี กว่าบริสทุ ธิ์ เรา ก็ปลอ่ ยวางได้ 114 อักษรส่อสาร

ถ้ามีบางสงิ่ บางอยา่ งทีเ่ ราพยายามท่จี ะปลอ่ ยวาง แตก่ ป็ ล่อย ไม่ไดส้ ักที การทำ� พธิ ีกรรมอะไรสกั อย่างอาจจะชว่ ยได้ เพราะพธิ ีกรรม มีผลมากทางจิตวิทยา พิธกี รรมที่จะช่วยทำ� ใหเ้ รารู้สกึ วา่ เรอ่ื งนนั้ ๆ มนั จบลงแล้ว ในกรณีทพี่ ระต้องอาบตั หิ นัก ท่านต้องอยู่กรรมซ่ึงมี ขอ้ วัตรปฏบิ ตั พิ เิ ศษ เชน่ ไม่วา่ ทา่ นบวชมาก่ีพรรษา ทา่ นก็ต้องไปน่งั ปลายแถว แลว้ ถา้ มพี ระจากที่อ่ืนมา  ท่านจะต้องไปสารภาพบาปกบั พระเหล่าน้ันดว้ ย แลว้ ยังมีขอ้ วตั รปฏิบตั อิ ืน่ ๆ อกี เม่อื ปฏิบตั คิ รบถ้วน แล้ว ทา่ นยงั ต้องเข้าพิธีกรรมท่เี รียกว่าปริวาสกรรม เม่ือผา่ นพธิ กี รรม น้ันแล้ว  จึงจะได้กลับมาเป็นพระปกติอีกคร้ังหน่ึง  พระที่ได้ผ่าน สงั ฆกรรมเหล่าน้แี ลว้ จะรสู้ ึกวา่ เร่อื งท่ีไดท้ ำ� ผิดไปน้ัน บัดน้ีมันเปน็ อดตี เสียแลว้ ไม่ตอ้ งคิดถึงอีกต่อไป ฉะนั้นคนท่ีไม่ค่อยเข้าใจเร่ืองจิตใจ  อาจจะมีอคติต่อพิธีกรรม ต่างๆ  ว่าเป็นเปลือกของศาสนาบ้าง  เป็นเร่ืองไร้เหตุผลบ้าง  เป็น เร่ืองไม่จ�ำเป็นบ้าง  แท้ที่จริงแล้วนักปราชญ์ในอดีตท่านทราบว่า พิธีกรรมมีความขลัง  ท�ำให้เกิดความรู้สึกพิเศษที่จะช่วยให้เราได้ เปลย่ี นจากสิง่ เกา่ ไปสู่สงิ่ ใหม่ เหมือนกับเราได้ปดิ ประตูแหง่ อกุศลจติ เพ่ือพร้อมท่จี ะรับหรอื ทำ� สงิ่ ทีด่ งี ามต่อไป น่คี อื อานสิ งส์ของพิธกี รรม ชยสาโร ภกิ ขุ 115

ฉะน้ัน  เมื่อเราวางแผนที่จะท�ำอะไรในอนาคต  เราต้องค�ำนึง ถึงฐานของส่ิงท่ีเราก�ำลังจะท�ำ  ถ้าสถาปนิกไม่ค�ำนึงถึงฐานของ อาคารท่ีตนก�ำลังออกแบบสร้าง  คิดแต่เร่ืองความสวยงามของอาคาร เปน็ หลกั   เมอื่ สร้างแล้ว อาคารน้ันอาจจะพงั ทลาย เพราะฐานไม่ มน่ั คง บอ่ ยครง้ั ทค่ี นเราน้อยใจว่าทำ� ดไี ม่ได้ด ี นน่ั เปน็ เพราะยงั ไมร่ จู้ กั ความดี หรอื ยังไม่ฉลาดในการทำ� ความดี หรอื ทำ� ความดีโดยไมม่ ฐี าน ทถ่ี ูกต้อง เอาแต่เจตนาดเี ปน็ หลัก ยกตวั อย่างเช่น คนบางคนยงั ไม่ได้ ฝึกอบรมจิตใจของตนเอง จติ ใจยังไมเ่ ข้มแข็ง ยงั ไม่รจู้ กั ตวั เองด ี แต่ คิดอยากจะชว่ ยคนอืน่   ทำ� ไปทำ� มาเมอื่ เจอโลกธรรม มีคนสรรเสริญ บ้าง นินทาบ้าง ก็เกิดกิเลส หรอื เม่ือท�ำไปแล้ว หากไม่มีวหิ ารธรรม ไมม่ หี ลักใจในการด�ำเนนิ ชีวติ กร็ สู้ ึกลา้ ไปหมด หมดไฟ หมดแรงก�ำลงั เสมือนวา่ ทำ� งานหนักเกนิ ไป การไมม่ วี หิ ารธรรม น้นั มโี ทษ เรียกว่า ท�ำดีแต่ไม่รจู้ ักความดี ไมร่ ู้จักฐานของการท�ำความดี 116 อักษรส่อสาร

ผู้ที่จะสามารถท�ำความดีไดอ้ ย่างสมำ�่ เสมอ สามารถสรา้ ง ประโยชน์ผู้อื่นได้เตม็ ที่ คอื ผ้ทู ่ีรู้จักสรา้ งประโยชน์ตนควบคูก่ บั การสรา้ งประโยชนผ์ อู้ ืน่ ต้องเปน็ ผูท้ ่มี สี ติ มสี มาธิ และมีปญั ญา ถา้ ขาดปัญญาแล้วจะมีแตค่ วามหวงั หวงั ผล หวงั ใหเ้ ปน็ อยา่ งนนั้ หวงั ให้เป็นอย่างน้ี เม่ือมนั ไม่เป็นอยา่ งที่หวัง กห็ มดกำ� ลังใจ เบือ่ หนา่ ย อยากจะเลิกทำ� ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะมโี ครงงานอะไรกต็ าม  ไม่ว่าจะ ทางโลกหรอื ทางธรรม ให้ถามตวั เองวา่ อะไรคือฐานทต่ี ้องการในเรือ่ ง นี้ เมือ่ มีฐานท่มี น่ั คงแลว้ เราจงึ ค่อยๆ ท�ำไป หากเราใจรอ้ น อยากจะ เหน็ ผลเรว็ ผลเรว็ ๆ น้ันคงจะไม่ย่ังยนื และคงจะไวใ้ จไม่ได้ ค�ำว่า  ฐาน  ท่ีปรากฏในคัมภีร์อีกค�ำหนึ่งคือ  ปทัสถาน แปลเปน็ ไทยว่า ปจั จยั หรอื ฐานทีใ่ กลช้ ิด ทเี่ ราว่า ศลี เปน็ ฐานของ สมาธิ แตฐ่ านท่ีใกลช้ ิดของสมาธิไมใ่ ชศ่ ีล  ฐานใกลช้ ิดของสมาธคิ ือ ความสุข จติ ใจของเราจะสงบดงิ่ ลงไปได้กเ็ มอื่ มีความสขุ สมาธิ เกิดขึ้นในจิตใจท่ีมีความสุข  ความสุขเกิดจากปัสสัทธิความผ่อน คลายทางกายทางใจ  ปสั สัทธิเกิดจากปีติ ปตี เิ กิดจากความปราโมทย์ หรือกล่าวทวนได้ว่า ความปราโมทยเ์ ป็นปัจจยั ใหเ้ กิดปีติ ปตี เิ ป็นปัจจยั ให้เกิดปัสสัทธิความผ่อนคลายทางกายทางใจ  ปัสสัทธิเป็นปัจจัยให้ เกดิ ความสขุ และความสุขเปน็ ปัจจยั ใหเ้ กิดสมาธิ ความเขา้ ใจหรอื การ เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์หรือการอาศัยกันของคุณธรรมต่างๆ  จะ ช่วยให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าได้เหมือนกัน  บางคนกลัวความสุข ชยสาโร ภกิ ขุ 117

เพราะเกรงวา่ จะหลง เกรงว่าจะตดิ แต่ถ้าเรากลัวความสขุ จนเกินไป สมาธิก็จะไม่เกิด  ความสุขที่พูดถึงนี้คือความสุขที่ท่านเรียกว่า นริ ามิสสุข คือความสุขท่ีไมป่ นดว้ ยอามิส วัตถุหรือรปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  นิรามิสสุขเป็นความสุขที่เกิดจากความเป็นหนึ่งของจิต หรอื เกิดจากการท่ีจิตใจไมค่ ิดในสิ่งทเ่ี ศรา้ หมอง อารมณข์ องจติ ในระหวา่ งการฝกึ สมาธิ ทา่ นเรยี กวา่ อารมณ์ กมั มัฏฐาน ฐานของกรรม กรรมคือการงาน ฉะนน้ั ในการฝึกอบรมจิต จะตอ้ งมที ่ีระลึกของสติ เปน็ เครือ่ งรขู้ องจติ สง่ิ นที้ า่ นเรยี กวา่ อารมณ์ กมั มฏั ฐาน การปฏบิ ตั โิ ดยไม่มีท่ียึดเหนี่ยวหรือไม่มีท่ีเกาะนั้นย่อมไม่ ได้ผล จิตใจจะลอยๆ  ไป  แม้ว่าจะสบายบ้าง  แต่ก็สบายอย่างขาด สติ  ขาดสัมปชญั ญะ จิตใจมกั จะตกภวังค์ เราต้องมีความตงั้ ใจในการ เจรญิ สมาธิ ต้องมกี ารยกจติ ไปสอู่ ารมณ์กัมมัฏฐาน หมายถึงการต้ังใจ นกึ   เช่น ในกรณที ่เี ราเจริญค�ำบรกิ รรมวา่ พุทโธนั้น การนึก พทุ ธ การนกึ โธ นน่ั คอื วิตก ส่วนการรับรูห้ รือการอยูก่ ับพุทธ กบั โธ น่คี ือ วจิ าร มวี ติ กวจิ าร ถ้าขาดวติ กวจิ ารณใ์ นความหมายน้ี จิตใจจะง่วง หรอื ตกภวังค์ ไม่มีทั้งสติ ไม่มีท้ังสัมปชัญญะ จิตใจมืดๆ อยู่อย่างน้ัน จึงจ�ำเป็นทเ่ี ราตอ้ งมีฐาน คืออารมณ์กมั มัฏฐาน เปน็ เครื่องรูข้ องจิต เป็นเครอ่ื งระลึกของสติ ซง่ึ จะเป็นอะไรกไ็ ด้ทีเ่ ปน็ กุศลหรือท่ีไม่ชวน ให้จิตใจคิดในส่ิงท่ีไม่ดี คอื สมมตวิ า่ เราโกรธใคร เราไปคิดเรอื่ งคน นน้ั อย่างต่อเนือ่ ง  คิดดว้ ยความโกรธแค้นใจ ทั้งๆ  ท่ีคิดแต่เร่ืองน้ัน 118 อักษรส่อสาร

เรื่องเดียว  ก็ไม่เรียกว่าสมาธิ  เพราะเป็นความคิดในเร่ืองท่ีไม่ดี แม้จิตจะไม่วอกแวก  คิดอยู่เเต่เรื่องเดียว  ก็ไม่ใช่สมาธิ  จะให้เป็น สมาธิ  ต้องระลึกแต่เรื่องที่เป็นกุศลหรือเร่ืองที่เป็นกลางๆ  เช่น ลมหายใจเขา้   ลมหายใจออก เร่ืองอารมณ์กัมมัฏฐานนั้น  ไม่ใช่ว่ามีถูกมีผิด  ถ้าเป็นกุศล หรอื เปน็ กลางๆ ท่ีจติ ใจพอใจ ถือวา่ ใชไ้ ด้ แต่เม่ือได้เลือกก�ำหนด อารมณก์ มั มัฏฐานอันใดแล้ว  ทา่ นสอนวา่ อย่าเปล่ียนบ่อย มิฉะน้ัน จิตใจจะจับจด จะไม่เป็นสมาธิ ให้ท�ำไปเรื่อยๆ อย่างน้อยสัก ๖ เดือน ถึง ๑ ปี จึงค่อยคิดจะเปล่ยี น ไมใ่ ช่ว่าท�ำวนั สองวนั สิบวัน เมอื่ ร้สู กึ เบื่อก็เปลี่ยนใหม่  เราต้องสร้างความเชื่อในอารมณ์กัมมัฏฐานของ ตวั เอง จึงจะมีกำ� ลังใจ เชน่ เราเจรญิ อานาปานสติ กำ� หนดลมหายใจ ชยสาโร ภิกขุ 119

เข้าลมหายใจออกเปน็ อารมณ์กมั มัฏฐาน  กต็ ้องระลกึ อย่วู ่า พระพุทธ องค์เองทรงใชว้ ธิ ีน้ี พระอรหนั ตพ์ ระอรยิ เจา้ จำ� นวนมากนับไม่ถว้ น ได้บรรลุธรรมพ้นทุกข์ด้วยการเจริญอานาปานสติภาวนา  ระบบลม หายใจของคนในสมัยปัจจุบันกับคนในสมัยพุทธกาลก็ไม่ต่างกัน  ถ้า หากว่าท่านก�ำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกจนเกิดความสงบ ร�ำงับ เกดิ ดวงตาเหน็ ธรรมได้ ถา้ ทา่ นท�ำได้ เรากย็ อ่ มท�ำได้ เพราะ ร่างกายของเราก็ไมแ่ ตกต่างจากรา่ งกายของท่าน ระบบตา่ งๆ ของ ร่างกายก็เหมือนกบั ของท่าน  ทา่ นหายใจเข้าหายใจออก เราก็หายใจ เข้าหายใจออกเช่นเดียวกนั ให้พยายามคดิ ในทางท่จี ะสรา้ งความเชื่อ มน่ั ว่า การกำ� หนดสตไิ วก้ บั ลมหายใจเข้าลมหายใจออก  เปน็ วิธีการท่ี จะนำ� เราไปสคู่ วามดับทุกข์ไดอ้ ย่างแนน่ อน เม่ือเราพิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออก  ไม่ต้องไปบังคับ ให้ลมหายใจยาวหรือสั้น  เพียงแค่รับรู้ธรรมชาติของลมทุกขณะจิต ตน้ ลม กลางลม ปลายลม กำ� หนดสตอิ ยกู่ บั ลมหายใจตลอดเวลา ท�ำไปท�ำมาลมหายใจจะแผ่วเบา  มันจะละเอียดเข้าๆ  ก็ต้องให้สติ ของเราละเอียดตาม  ถ้าไม่ปรับสติของเราให้พอดีกับความละเอียด ของลม จิตอาจจะตกภวังคไ์ ด้ คือมนั จะเข้าสสู่ ภาวะมืดๆ สบายๆ แบบ มืดๆ ไมใ่ ช่สบายแบบสวา่ งไสว แตห่ ากสตขิ องเราทนั นิวรณต์ ่างๆ ความใคร่ในกาม  ความพยาบาท  ความง่วงเหงาหาวนอน  ความ ฟ้งุ ซ่านร�ำคาญ ความลงั เลสงสยั กจ็ ะดับไป  และเม่ือเราตระหนกั ชดั 120 อักษรส่อสาร

แน่ว่า นวิ รณ์ได้ดบั ไปแล้ว จะเกิดความรู้สกึ ทดี่ ีที่ทา่ นเรยี กว่าความ ปราโมทย์ เมอ่ื ความรู้สกึ น้เี พิม่ ข้ึนๆ ก็จะเกดิ ปตี ิ ซ่งึ จะตามมาดว้ ย ปัสสทั ธิ ความผ่อนคลายท้ังกายและใจ จะนัง่ นานช่ัวโมง ๒ ชว่ั โมง ๓ ชั่วโมง ก็ไม่เมอ่ื ยและไม่มีการเจบ็ ปวดเลย จะสบายและมคี วามสขุ ตรงจดุ น้ีแหละทเ่ี ป็นสขุ เป็นจุดท่ีสมาธจิ ะเกิดขึ้น นีเ่ ป็นเรื่องฐาน ฐ. ฐาน ชยสาโร ภกิ ขุ 121



. ผเู้ ฒ่า ญาติโยมส่วนมากก็จะอยู่ในตัวอักษรน้ี  เรียกว่าเป็นผู้เฒ่า แต่การเป็นผู้เฒ่านั้น  ควรต้องเป็นผู้เฒ่าที่มีคุณภาพมีคุณธรรม พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า  ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่  เราก็ยังมี โอกาสพัฒนาตนเอง  มีโอกาสท่ีจะละส่ิงที่ไม่ดี  บ�ำเพ็ญสิ่งที่ดี ชำ� ระจิตใจของตนใหส้ ะอาด เพราะฉะนัน้ ทกุ คนทม่ี ีชีวติ   ควรจะมี ความหวังว่า  วันน้ีเราสามารถได้ก�ำไรจากความเป็นอยู่ของเรา  ไม่ใช่ หลงคิดว่า  คุณค่าของตัวเองอยู่ท่ีผลงานทางโลกหรืออยู่ที่เร่ือง เศรษฐกิจเรื่องเงินเรื่องทอง  ชาวพุทธเราถือว่า  คุณธรรมน่ันแหละ เป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าอยู่ในตัวของมัน  เป็นส่ิงล้�ำค่า  และผู้ท่ีมีคุณธรรม เหมือนเป็นผู้ประดับโลก  ส่ิงใดที่สวยงาม  สิ่งนั้นต้องมีเครื่อง ประดับ  ถ้าถามว่าเครื่องประดับมีคุณค่าอย่างไร  มันท�ำหน้าท่ีอะไร บา้ ง เครอ่ื งประดบั ไมต่ อ้ งมหี นา้ ที่ มนั เพยี งทำ� ใหด้ งู าม ทำ� ใหผ้ พู้ บเหน็ สบายตา  คนเรานแ่ี มจ้ ะยงั ไมถ่ งึ ขนั้ อรยิ มรรคอรยิ ผล  แตเ่ รากส็ ามารถ เป็นคนงาม  งามด้วยศีลธรรม  งามด้วยความส�ำรวม  งามด้วย ความรอบคอบ งามดว้ ยปญั ญา ประดบั โลกนใี้ หส้ วยงาม ทำ� ใหโ้ ลกนี้ นา่ อยู่ ทำ� ใหส้ งั คมรม่ เยน็ สงั คมใดทผี่ เู้ ฒา่ มคี ณุ ภาพ ผเู้ ฒา่ ไมป่ ลอ่ ย ชยสาโร ภิกขุ 123

ปละละเลยในการพฒั นาตนเอง สงั คมนน้ั จะนา่ อยู่ แตส่ งั คมใดทผ่ี เู้ ฒา่ ปลอ่ ยปละละเลย สงั คมนนั้ จะมปี ญั หา เชน่ ผเู้ ฒา่ เรยี กรอ้ งใหล้ กู หลาน เคารพ แตไ่ มท่ ำ� ตนใหน้ า่ เคารพ คนสมยั ใหมน่ ไ้ี มเ่ หมอื นคนสมยั กอ่ น ไมใ่ ชว่ า่ เหน็ ผา้ เหลอื งแลว้ ตอ้ งไหว้ หรอื เหน็ คนแกต่ อ้ งเคารพ นเี่ ปน็ ยคุ ที่ คนเนน้ หนกั ไปทางเหตผุ ล ทกุ วนั นเี้ ขาเนน้ วา่ ถา้ พระไมเ่ รยี บรอ้ ย ทำ� ไม ผมจะตอ้ งไหว้ ถา้ คนแกพ่ ดู อะไรไมม่ เี หตมุ ผี ล ทำ� ไมผมจะตอ้ งยอม เขาจะพดู กนั อยา่ งนี้ ซง่ึ กด็ เี หมอื นกนั ทำ� ใหเ้ ราไมป่ ระมาท ถา้ เหน็ วา่ คนแก่พูดอะไรแล้วทุกคนต้องยอม  ต้องเชื่อฟังหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะประมาทได้  ถ้าพระเราท�ำอะไรพูดอะไร  ญาติโยมต้องยอม ทกุ อยา่ ง ไมเ่ ชน่ นนั้ จะเปน็ บาป พระเรากป็ ระมาทไดเ้ หมอื นกนั ทางอีสานเรามีค�ำที่เขาพูดถึงคนแก่ว่า  แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน คือ เราอยใู่ นโลกนี้ไปเรื่อยๆ มันก็แกเ่ ฒ่าไปเอง สังขารกแ็ ก่หตู าก็ไมค่ อ่ ยดีเหมอื นแตก่ อ่ นเดินกไ็ มส่ ะดวกบางทตี ้องใช้ ไมเ้ ท้า แต่กอ่ นตอนเป็นหนมุ่ อยากจะเดนิ ทางท่วั โลก  ตอนน้ีแคจ่ ะลุก 124 อักษรส่อสาร

จากเตียงยงั ลุกไมค่ อ่ ยไหว คนทเี่ คยทำ� งานหนกั พออายุมากขึน้ แลว้ กท็ ำ� ไมค่ อ่ ยไหว ผมท่เี คยด�ำสนิท อยไู่ ปอยู่มากข็ าวขึน้ ๆ ผิวหนังก็ เห่ียวย่น ไมส่ วยไมน่ ม่ิ ไม่นวลเหมือนแตก่ ่อน น่ีเปน็ ธรรมดาของความ แกค่ วามเฒ่า ถา้ เราเปน็ นักปฏบิ ตั ชิ าวพทุ ธ เราจะเหน็ วา่ เปน็ เรอื่ ง ธรรมดา และเอาความเป็นธรรมดานี้เป็นข้อคิด เปน็ ทเ่ี ตอื นสติ แต่ สังคมตะวันตกไม่ได้คิดอย่างน้ี  แสดงให้เห็นว่าเป็นสังคมท่ียังขาด วฒุ ภิ าวะ  เพราะคนของเขากลัวความแก่มาก พยายามสู้ทุกวถิ ีทาง เพอ่ื จะไม่ใหแ้ ก่ คนอย่างนี้ในเมืองไทยก็มเี หมือนกนั ตอ้ งผา่ น่ัน ดงึ น่ี ทำ� อะไรตอ่ มิอะไร ยอมเสียเงนิ มากมาย เพื่อจะได้หลอกคนอื่นว่า ฉันยงั ไมแ่ ก่ ในสายตาของนักปฏิบัติ  คนท่ีพยายามหลอกคนอ่ืนว่าฉัน ไม่แก่ ท้ังๆ ทแ่ี ก่นี่ นา่ สมเพชยิง่ กว่าคนทป่ี ลอ่ ยตวั เองให้แกไ่ ปตาม ธรรมชาตขิ องรา่ งกาย ทำ� ไมเราจะตอ้ งไปสู้กับธรรมชาติ  ควรปล่อย ชยสาโร ภิกขุ 125

ใหม้ นั เปน็ ไปตามธรรมชาติสิ  คุณคา่ ของเราไมไ่ ดอ้ ยู่ทีห่ น้าตา หากมัน อยู่ท่ีด้านใน  เมื่อเราแก่  ก็ไม่ใช่ว่าสติปัญญาหรือความคิดความอ่าน จะต้องเสื่อมไปด้วยเสมอไป  อาตมาขอยกตัวอย่างท่านอาจารย์พุทธ ทาสและหลวงพ่อปัญญาท่ีวัดชลประทาน  ท่านอายุมากแต่ความจ�ำ และสติปัญญาของท่านยังดี  ก่อนท่ีหลวงพ่อพุทธทาสจะมรณภาพ ท่านอายุมากแล้วและป่วยมากด้วย  แต่สติปัญญาของท่านก็ยัง แหลมคมเชน่ เดิม เพราะทา่ นเปน็ ผ้ขู ยนั ในการฝกึ จิต ท่านเปน็ ผู้ที่มี ความสขุ ในการพัฒนาทางจติ ใจ ฉะนัน้ แม้สงั ขารของท่านได้เสอ่ื มไป ตามธรรมชาติของมัน แต่จติ ใจของทา่ นไมเ่ สือ่ ม ทา่ นได้พิสจู น์ใหพ้ วก เราได้เห็นว่า ความเสอื่ มทางรา่ งกายนน้ั เป็นเร่อื งทีช่ ว่ ยไมไ่ ด ้ แต่ ความเสื่อมของจติ ใจเปน็ เรอ่ื งที่หลีกเลย่ี งได้ ถ้าหากว่าเราฉลาด และมีความต้ังใจทจี่ ะดแู ลรกั ษาจติ ใจของเราไว้ เมื่อปีที่แล้วท่ีฝรั่งเศสมีการเก็บสถิติเร่ืองโรคอัลไซเมอร์ ผลปรากฏว่า  กลุ่มคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยที่สุดคือพวกแม่ชี นักวิจัยสรุปว่า  ท่ีเป็นอย่างน้ันเพราะพวกแม่ชีต้องท่องค�ำสวดทุกวัน ถา้ พวกเราท้ังหลายต้องการใหส้ มองของเราดี ก็ใหท้ ่องค�ำบาลี ท่อง คำ� สวดทุกวนั ๆ วันละเลก็ วนั ละนอ้ ย เปน็ การฝึกสมอง ผู้เฒา่ ทั้งหลายควรตอ้ งส�ำรวมระวัง จะต้องระวังอะไร ก็ระวังที่ จะไม่หงดุ หงดิ ลกู หลานและคนรอบขา้ ง ถา้ เราคาดหวงั ใหเ้ ขาทำ� ทกุ สิ่ง 126 อักษรส่อสาร

ทกุ อยา่ งดเี ทา่ ท่ีเราตอ้ งการหรือเทา่ ทเี่ ราเคยท�ำ เรากต็ ้องรสู้ ึกร�ำคาญ เป็นธรรมดา ฉะน้นั เมื่อเราอายมุ ากแลว้ เราตอ้ งมเี ป้าหมายในการ ปฏบิ ตั ิ อย่างน้อยๆ เช่น เราจะไมร่ �ำคาญ ไมห่ งดุ หงดิ ไมพ่ ูดเพอ้ เจอ้ ไม่พูดซ�้ำซาก  เราต้องมีสติ  ไม่ใช่เอาแต่พูดเร่ืองเก่าทุกวันๆ  ต้อง พยายามอยู่ในปัจจุบัน  จิตใจจะได้สดช่ืน  มันเป็นธรรมดาของคน สูงอายุ  ที่เรื่องเก่าเร่ืองแก่จะแจ่มชัดกว่าเรื่องที่เกิดเม่ือวานนี้หรือ เม่อื อาทติ ยท์ ีแ่ ลว้   เพราะจิตใจจะชอบกลับไปอยู่ในอดตี เราจงึ ต้อง พยายามดึงกลับมาให้อยู่ในปัจจุบัน  เราไม่ต้องไปเอาสัญญาในอดีต เป็นส่ิงปลอบใจหรือเป็นที่พ่ึง  แต่ท่านให้เราเอาสติเอาปัญญาใน ปัจจุบันเป็นที่พ่ึงจะดีกว่า  แล้วให้เราระลึกอยู่ในเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อยา่ งสม�่ำเสมอ จิตใจเรากจ็ ะเป็น ปกตแิ ละมีความสุข แมร้ ่างกายอาจจะมีความเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ จะทนได้ ทำ� ใหเ้ หน็ ว่าเปน็ เรอ่ื งธรรมดา ไมเ่ ป็นไร สว่ นคนทีไ่ ม่ปฏบิ ตั ิ จะหงดุ หงดิ ไม่ชอบนนั่ ไม่ชอบน่ี ไมอ่ ยากใหเ้ ป็นอย่างน้อี ยา่ งน้นั เวลา ไมส่ บายนิดๆ หนอ่ ยๆ ก็กลัว ต้องว่ิงไปเอายา ยาเม็ดไม่ทนั ใจก็ต้อง ใชย้ าฉดี เห็นว่าการฉีดยานีด่ ี  แลว้ บา้ นเราก็บ้าเรือ่ งฉดี ยา เป็นอะไร เล็กอะไรน้อยก็ตอ้ งว่งิ ไปฉีดยา ทั้งๆ ทีก่ ารฉดี ยาน่ีถา้ ฉดี บอ่ ยๆ กเ็ ปน็ อันตรายเหมือนกนั ชยสาโร ภกิ ขุ 127

พระพุทธองค์ตรัสว่า  คนที่อยู่ในโลกน้ีแม้เพียงแค่วันเดียวหรือ ปีเดียว  แต่มีโอกาสได้ท�ำคุณงามความดี  ได้ช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ ได้สรา้ งประโยชน์แกส่ งั คม แกช่ ุมชน และแก่ครอบครวั ชีวิตของเขานั้น มคี วามหมายยง่ิ กว่าคนท่อี ยใู่ นโลกถึงร้อยปี ด้วยความเห็นแกต่ ัวหรอื เอาแต่ความสุขสบายของตนเป็นหลักส�ำคัญ สนใจแต่ตัวเอง ขอให้ ตัวเองมีความสุขให้มาก  โดยไม่สนใจผู้อื่นเลย  คนเยี่ยงน้ีถึงจะอยู่ ในโลก ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี กไ็ มเ่ กดิ ประโยชน์ ไมไ่ ด้สรา้ งคุณธรรมอันใด ใหเ้ กดิ ข้ึน ฉะนัน้ จึงไมใ่ ช่ว่า คนเรามีอายุยนื แล้ว มนั จะดีเสมอไป อายุท่ีเป็นมงคลนั้นต้องประกอบด้วยการบ�ำเพ็ญคุณธรรมและ ประโยชน์ ท้งั เพ่ือตนเองและผ้อู ืน่ อาตมาเคยรับนิมนต์ไปฉันท่ีบ้านหลังหนึ่งในเมืองอุบล  ไป กับพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง  เห็นคุณยายคนหน่ึงนั่งรับน้�ำมนต์ด้วยความ ยนิ ดี เม่ืิอเสร็จพิธแี ล้ว ขณะท่เี ดนิ ออกไป พระผู้ใหญ่ทา่ นทกั ยายคนน้ี ว่า  ยายอายเุ ท่าไหร่แล้ว  ยายกว็ า่ ๙๒ เจา้ คะ่ ท่านจึงใหพ้ รใหม้ ีอายุ ถงึ ๑๒๐ เดอ้ ยายก็สา....ธุ ดใี จมากท่พี ระอวยพรใหอ้ ยู่ไดถ้ ึง ๑๒๐ ปี 128 อักษรส่อสาร

อาตมาเองคิดว่า ขนาด ๙๒ ปีก็ยงั ไม่พอยงั ไมอ่ ่ิมนะ ยังพอใจจะเอา อีกต้ัง ๒๐ กว่าปี บางคนนไ่ี ด้เทา่ ไหรก่ ็ไม่พอ หากวา่ เรามีเป้าหมายในชีวิต  การจะมอี ายอุ ยู่ถึง ๑๒๐ ปกี ด็ ี เหมือนกัน  ถ้าเราคิดว่าขณะนี้เรายังเป็นปุถุชนมีกิเลสอยู่  เรายังไม่ ถึงจุดพอดี ยังไม่ถงึ จดุ ปลอดภยั ยังอาจตกนรกได้ อาจเกดิ เป็นสตั ว์ เดรจั ฉานได้ เกิดเปน็ ตกุ๊ แก เกิดเป็นงเู หา่ หรืออาจเกิดเปน็ มดแดงก็ได้ ถ้าเราเผลอท�ำบาปท�ำกรรมเม่ือไหร่  เพราะเรายังไม่ถึงข้ันโสดาบัน ถ้าคิดได้อย่างน้ี  ไม่ว่าจะอายุมากเท่าใด  เราก็ยังต้องเร่งท�ำความ เพยี ร เพ่อื เราจะไดพ้ ้นทุกข์ คนประเภทนี้แหละจึงจะกลา่ วได้ วา่ อยู่ในโลกนย้ี ง่ิ นานย่ิงดี  เพราะเมื่อมีการปฏิบัต ิ ชวี ิตยอ่ ม มีความหมาย แต่ถา้ เราอยไู่ ปวนั ๆ  นอนบ้าง  หลับบ้าง  ดูทวี ีบา้ ง ชยสาโร ภกิ ขุ 129

คุยเร่ืองเพ้อเจ้อบ้าง  ชีวิตเราก็ยังไม่ค่อยมีคุณค่า  ชีวิตจะมีคุณค่า ก็ด้วยความเพียรพยายาม  แม้ร่างกายจะอ่อนแอก็ไม่เป็นปัญหา เพราะวา่ ความเพียรไม่ไดอ้ ยทู่ ่ีอริ ิยาบถ หากอยู่ที่จติ ใจ ไมว่ า่ จะอายุ ๗๐ ๘๐ ๙๐ ปี เราก็ยงั ปฏิบัตไิ ด้ เขาพดู เขาท�ำอะไรไม่ถกู ใจ อยาก จะว่าเขา ก็ใหอ้ ดทนๆๆ ดูอารมณเ์ จ้าของ มนั ก็แคอ่ ารมณ์ มันกแ็ ค่ นั้นแหละ เกิดข้นึ แล้วมันก็ดบั ไป แคน่ ้กี ็ชนะได้แล้ว นค่ี อื การปฏบิ ัติ ในชีวติ ประจำ� วนั อยากไดอ้ ะไรสักอยา่ ง โอ...อยากได้เหลอื เกิน คิดไปคิดมา แหม...มันกแ็ คน่ น้ั แหละ จะเอาไปทำ� ไม ค่อยๆ ปล่อยวาง ให้เราคอ่ ย  ๆ ระงับความโลภ ระงับความโกรธ ระงับความหลง ไปเร่อื ย  ๆ นีเ่ รยี กวา่ ชวี ิตได้ก�ำไรทุกวนั ถา้ หากว่าเราปฏิบัตไิ ด้แล้ว เปน็ คนเยือกเยน็ เป็นคนรอบคอบ เปน็ คนละเอยี ดสุขุม  เราไมต่ ้อง ไปเรียกใครให้มาเคารพเราหรอก เขาจะเกดิ ความเคารพของเขาเอง แล้วเขาจะมาปรึกษาหารือเราในเรื่องต่างๆ  เพราะนับถือว่าเราเป็น ผู้มีปัญญา  เป็นผู้มีประสบการณ์มาก  เวลาที่เขาก�ำลังหาทางออก ไม่รู้จะไปปรกึ ษาใคร เขากอ็ ยากจะปรกึ ษาผใู้ หญ่ ปรึกษาผ้มู คี วามรู้ มปี ระสบการณ์ ถ้าเขามาปรึกษาเรา เราก็ได้บุญมาก  ได้ประสาน ความใกลช้ ดิ ระหว่างคนแกก่ ับคนหนุ่มคนสาว ซ่งึ จะช่วยใหห้ มู่บา้ น เรามั่นคง การเป็นผู้เฒา่ นี้มที ง้ั ผลดแี ละผลเสีย สำ� หรับพระ ก็มเี รอื่ งราว ต่างๆ  ตั้งแต่สมัยพุทธกาล  เก่ียวกับหลวงตาซ่ึงเป็นพระท่ีมาบวชเมื่อ แก่  ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  เป็นเรื่องล�ำบากเม่ือผู้ 130 อักษรส่อสาร

เฒ่ามาบวชเป็นพระ  การจะรักษาวินัยให้ดีเป็นเรื่องยาก  การก�ำกับ ให้มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยก็ยาก  การท่ีจะรับฟังโอวาทก็ยาก การท่ีจะได้เป็นธรรมกถึกสอนคนอื่นก็ยาก  แล้วพระพุทธองค์ยัง ตรสั ว่า ธรรมชาตขิ ้อที่เดน่ มากของหลวงตา คือ การไมย่ อมรับฟัง ค�ำแนะน�ำหรือค�ำตักเตือน  เพราะถือว่าตัวเองรู้แล้ว  ท่านว่าข้อน้ี ต้องระมัดระวังให้มาก  อย่าไปหลงคิดว่า  เพียงเพราะเราแก่แล้ว เราย่อมรู้มากกว่าผู้ท่ีอายุน้อยกว่า  เพราะเขาอาจจะรู้หลาย  ๆ เร่ืองมากกว่าเราก็ได้  ยิ่งในกรณีท่ีมีคนมาต�ำหนิหรือว่ากล่าว ตกั เตือน เราตอ้ งรบั ฟังด้วยดีไมใ่ หเ้ กดิ ปฏกิ ิริยาวา่ เขาเปน็ ใครจงึ กล้า มาต�ำหนิเรา  หลวงตาต้องพยายามท�ำตนเป็นผู้ที่เข้ามาใหม่  ยังมี พรรษาน้อย ถ้าทำ� ได้อยา่ งนัน้ จึงจะเรียกไดว้ า่ เป็นผูใ้ หญ่อย่างแทจ้ ริง แต่ถา้ ใครมาวา่ กล่าวต�ำหนแิ ล้วโมโหโกรธทนั ที นนั่ เรียกว่ายังไมเ่ ป็น ผู้ใหญ่ ฉะนั้นเมอ่ื เราเปน็ ผู้เฒ่าแล้ว กต็ อ้ งเปน็ ผใู้ หญ่ดว้ ย ตอ้ งเป็นผมู้ ี คณุ ธรรม และการมคี ุณธรรมนน้ั ไมใ่ ชว่ ่าอยู่เฉย  ๆกจ็ ะมีเอง มนั เป็นส่งิ ท่ีเราจะตอ้ งทำ� ให้เกดิ ขน้ึ ชยสาโร ภิกขุ 131



.  เณร สามเณรที่มีช่ือเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพระพุทธ ศาสนา คอื สามเณรราหลุ ซง่ึ เปน็ พระโอรสของพระพทุ ธเจา้   มพี ระสตู ร หลายบททพี่ ระพทุ ธองคท์ รงอบรมสามเณรราหลุ   เชน่   สมยั ทสี่ ามเณร ราหลุ ยงั เปน็ เดก็ ทา่ นคยุ เลน่ กบั เพอื่ นแลว้ พดู เรอ่ื งทไ่ี มจ่ รงิ   พระพทุ ธองค์ ทรงอบรมโดยชแ้ี กว้ นำ้� ซง่ึ มนี ำ�้ สกั เลก็ นอ้ ยเหลอื อยทู่ ก่ี น้ แกว้ ทรงถามวา่ “ราหุล...เห็นน�้ำที่เหลืออยู่ก้นแก้วน้ันไม่มากใช่ไหม”  “ใช่พระเจ้าข้า” ทรงสอนวา่   ผทู้ ก่ี ลา้ พดู เทจ็ หรอื พดู เรอื่ งทไ่ี มจ่ รงิ โดยเจตนา ความเปน็ สมณะกจ็ ะเหลอื อยเู่ พยี งนดิ เดยี วเหมอื นกบั นำ้� ทย่ี งั เหลอื อยทู่ ก่ี น้ แกว้ ใบ นน้ั จากนนั้ พระพทุ ธองคท์ รงสาดนำ้� ในแกว้ นนั้ ออกไป จนเหลอื ตดิ แกว้ อยไู่ มก่ ห่ี ยด  ทรงถามวา่   “นำ�้ ทย่ี งั เหลอื อยใู่ นแกว้ นอ้ ยมากใชไ่ หม” พระ ราหลุ กว็ ่า “น้อยมากพระเจา้ ขา้ ” พระพุทธองค์ตรสั อกี วา่   “นี่แหละ... ชยสาโร ภกิ ขุ 133

ความเป็นสมณะของผู้ที่กล้าหรือยอมพูดเท็จจะเหลืออยู่แค่นั้น”  แล้ว ท่านได้คว่�ำแก้วลงจนแทบจะไม่เหลือน�้ำอยู่เลย  รับสั่งว่า  “นี่แหละ ความเปน็ สมณะของผทู้ ยี่ อมหรอื กลา้ พดู เทจ็ ” พระพทุ ธองคท์ รงสอนว่า การพูดโกหกการพูดเท็จนั้นเป็นกิเลสท่ีร้ายแรง  เพราะสมณะท่ีกล้า โกหกกลา้ พดู เท็จนน้ั   จะกล้าท�ำบาปอนื่ ๆ ไดท้ กุ อย่าง ฉะนนั้ จึงตอ้ ง ระวงั ใหม้ าก พระพุทธองค์ถามราหลุ วา่ “ราหุล... กระจกเงามีไว้เพือ่ อะไร” พระราหุลตอบวา่ “มไี ว้เพอ่ื สอ่ งดูพระเจา้ ข้า” จงึ ทรงสอนว่า “เราตอ้ งสอ่ งดูตวั เองด้วย เอาจิตใจเปน็ กระจกเงา ก่อนจะท�ำ จะ พดู จะคิดอะไร ต้องสำ� รวจตรวจตราว่า ท�ำเพื่ออะไร พูดเพอ่ื อะไร คิดเพื่ออะไร จติ ใจเปน็ บญุ หรอื เปน็ บาป” น่ีคอื ตัวอย่างท่ี พระพุทธองค์ทรงอบรมสามเณรราหลุ สามเณรท่ีเก่งๆ  ในสมัยพุทธกาลมี มากมาย หลายรูปบรรลุโสดาบัน ทเ่ี ปน็ พระ อรหนั ต์ก็มี ขณะทีก่ �ำลังโกนศีรษะเป็นคร้ังแรก ในการบรรพชา ท่านก็รับ ปัญจกัมมัฏฐาน เกศา โลมา นกั ขา ทันตา ตะโจ ขณะกำ� ลัง พจิ ารณาเกศาอยู่ กม็ ีหลายรปู ท่ีบรรลุตอนน้นั เลยตง้ั แต่อายุ ๗ ขวบ สามเณรรปู หน่ึงทบ่ี รรลุ ในลกั ษณะน้ัน  ไดไ้ ปรบั ใช้ครูบาอาจารย์ ทา่ น นอนห้องเดียวกับอาจารย์  แม้จะเพิ่งบรรลุ เป็นอรหันต์โดยไม่ได้บอกอาจารย ์ ท่านยังน่ัง 134 อักษรส่อสาร

สมาธิตลอดคืน  ขณะที่อาจารย์หลับไปแล้ว  เม่ืออาจารย์ลุกขึ้นตอน ตี ๓ ตี ๔ ซึ่งยงั มดื อย ู่ อาจารย์นกึ วา่ สามเณรยังไมล่ กุ   กถ็ ือพดั จะ ไปปลกุ สามเณร พัดเกิดทิ่มเข้าตาสามเณร สามเณรไม่ร้องและไม่พูด อะไรเลย กลบั เอามอื ขา้ งหนง่ึ ปิดตาไว้ แล้วใช้มอื อกี ข้างหนึ่งอุปฏั ฐาก อาจารย์ เอานำ�้ ไปถวายอาจารย์ ด้วยมือเดียว อาจารย์ไม่ชอบใจ บอกว่าสามเณรไม่เรียบรอ้ ย การถวายนำ้� ตอ้ งใช้ ๒ มอื สามเณร จึงต้องอธิบายว่าท�ำไมถวายมือเดียว  อาจารย์จึงรู้สึกละอายแก่ใจ  ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ได้บรรลุเป็นอรหันต์แล้ว  จิตใจช่างเยือกเย็นเหลือเกิน ครูบาอาจารย์วา่ อยา่ งไรกไ็ มโ่ กรธ เพราะกเิ ลสท่านไม่เหลอื แล้ว สามเณรอีกรูปหน่ึงระหว่างเดินธุดงค์  เห็นควาญก�ำลังฝึก อบรมช้าง ก็เกิดความคิดข้ึนมาว่า ถ้าคนเราฝึกชา้ งได้ ท�ำไมจะฝึก จิตใจตนเองไม่ได้ ท่านจึงเกิดก�ำลังใจในการปฏบิ ตั ิ จนพน้ ทกุ ขพ์ น้ ชยสาโร ภิกขุ 135

กเิ ลสไดใ้ นทสี่ ดุ จติ ใจของผู้ท่มี ีความพร้อมและสงบแลว้ ไม่ว่าจะเดิน ธดุ งคห์ รือในชีวิตประจำ� วนั สิ่งตา่ งๆ ท่ีมากระทบน้ัน แทนทีจ่ ะรสู้ กึ ว่าเปน็ อปุ สรรค กลบั เห็นว่าเป็นสิ่งทสี่ อนธรรมะเสียมากกวา่   เพราะ จิตใจพร้อมที่จะเห็นความไม่เที่ยง  ความเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ของทกุ ส่ิงทุกอยา่ ง สามเณรหลายๆ องคไ์ ม่ได้บรรลุในขณะทนี่ ัง่ สมาธิ หากการน่ังสมาธิท�ำให้จิตใจท่านมีก�ำลัง  เม่ือออกไปในโลกภายนอก การเห็นหรือได้ยินอะไรสักอย่าง  อาจเป็นจุดกระตุ้นปัญญาให้เห็น ไตรลักษณอ์ ยา่ งชัดเจนและปล่อยวางกิเลสได้ พระสารีบุตรเป็นอาจารย์สอนเหล่าสามเณร  และท่านเมตตา สามเณรมาก  ท่านได้รับการยกย่องว่าไม่ถือตัวถือตน  ดังเรื่องท่ี 136 อักษรส่อสาร

อรรถกถาอาจารย์เล่าว่า  วนั หนึ่งสามเณรนอ้ ย อายแุ ค่ ๗ ขวบ ไปตกั เตือนพระสารีบุตรว่า  ท่านปล่อยชายผ้าสังฆาฏิให้หย่อนยานและนุ่ง ผา้ สบงไมเ่ ป็นปรมิ ณฑล พระสารบี ุตรรบั คำ� ตกั เตอื นของเณรนอ้ ยดว้ ย ความเคารพ  โดยไม่ได้ถือตนว่าท่านเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ท�ำไมสามเณรน้อย ๗ ขวบ จึงกล้ามาตักเตือนท่าน นอกจากไมไ่ ด้ คดิ อย่างน้นั แล้ว ทา่ นยงั กลบั ขอบคณุ ผู้มาเตือนดว้ ยความหวังดดี ้วย ซงึ่ เปน็ ตวั อยา่ งทด่ี มี าก อาตมาขอเล่าเร่ืองส่วนตัวให้ฟังเล็กน้อย  เร่ืองการบวชเป็น สามเณรของอาตมา ซึง่ ไม่ได้บวชตอน ๗ ขวบ แตม่ าบวชท่เี มืองไทย ตอนอายุ ๒๑ ปี คอื เม่ืออายุ ๒๐ ปี อาตมาเป็นปะขาวอยู่ท่ีอังกฤษ ตลอดพรรษาเป็นเวลา ๔ เดอื น เมอ่ื มาถึงวัดป่าพง อาตมาจึงอยากจะ ชยสาโร ภกิ ขุ 137

บวชเร็วๆ แต่ถ้าใครอยากบวชเรว็ ๆ  หลวงพอ่ กจ็ ะใหบ้ วชชา้ ๆ  ทา่ น ถามวา่   “ฌอน... ฌอน... อยากบวชไหม” “อยากบวชครับ” “อยากบวช ก็ไม่ใหบ้ วช” ตอ่ มาทา่ นถามอกี ว่า “ฌอน... ฌอน... อยากบวชไหม” “ไม่อยากบวชครบั ” “ไมอ่ ยากบวชกไ็ มต่ ้องบวช” จนในทสี่ ุดเราจึงเกิด ปัญญา “ฌอน... ฌอน... อยากบวชไหม” อาตมาจงึ บอกวา่ “แลว้ แต่ หลวงพอ่ ครบั ” “อมื ...” ทา่ นพอใจ คำ� ๆ  นม้ี ปี ระโยชนม์ ากซง่ึ อาตมาก็ได้ ใช้มาโดยตลอด คือ “แลว้ แตห่ ลวงพ่อ” สมัยนั้นมีปะขาวจ�ำนวนมาก  อาตมาเป็นฝรั่งคนเดียวในกลุ่ม ปะขาว  ๗-๘  คนท่ีจะได้บวชเณรพร้อมๆ  กัน  นอกจากนั้นเป็น ปะขาวชาวไทย  กลางคืนต้องไปซ้อมที่กุฏิท่านอาจารย์ชู  อาตมา ใจร้อนอยากบวชมากจึงท่องค�ำบวชได้ภายในวันเดียว  ท�ำให้เพ่ือนๆ ล�ำบาก ไปซอ้ มแตล่ ะวันนี่ทรมานใจ เพราะอาตมาทอ่ งคล่องแลว้ ตงั้ แต่วนั แรก แต่องค์อื่นๆ นี่ท่องได้ไม่กี่ค�ำก็ลืมแล้ว ซ้อมกันคืนหน่ึง ๒ ชั่วโมง ๓ ช่ัวโมง ๔ ชว่ั โมง ได้แต่ปลอบใจกันวา่ อีกไม่นานเราจะได้ เปน็ สามเณรกนั แล้ว ในสมัยนั้นมีพระฝร่ังชื่อท่านปมุตฺโต  ญาติโยมบางคนอาจจะ จำ� ทา่ นได ้ เปน็ ชาวออสเตรเลยี   เปน็ ชา่ งทเ่ี กง่ มาก  ท่านเป็นผู้ท่ีสร้าง เมรุเผาศพข้างหน้า  แล้วก็สร้างกุฏิหลวงพ่อท่ีถ้�ำแสงเพชร  ฝีมือท่าน ดีมาก  หลวงพ่อชอบเรียกมาใช้ท�ำงานท่ีละเอียดปราณีต  เผอิญช่วง นั้นท่านมีน่ิวในไต  ตอ้ งลงไปผา่ ทกี่ รงุ เทพฯ  หลวงพอ่ เรยี กอาตมาซงึ่ 138 อักษรส่อสาร

ตอนน้ันยังเปน็ ปะขาวมาบอกวา่   อยากจะใหฌ้ อนตดิ ตามทา่ นปมตุ ฺโต ไปกรุงเทพฯ  ไปเป็นเพ่ือนและเป็นลูกศิษย์คอยดูแลท่านท่ีโรง พยาบาล  ซึ่งใจหนึ่งเราก็ภูมิใจว่าหลวงพ่อไว้ใจที่จะให้เราช่วย  แต่ อกี ใจหน่งึ ก็เสยี ใจ เพราะถา้ ไปกรงุ เทพฯ กจ็ ะไมไ่ ดบ้ วชสามเณร แต่ อาตมาก็ตอ้ งยอม ท่ีจรงิ แล้วท่านปมตุ โฺ ตก็เปน็ ผทู้ ี่มบี ญุ คุณตอ่ อาตมา เพราะท่านเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของอาตมา  จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ ตอบแทนบุญคุณท่าน  อาตมาจ�ำได้ว่าท่านปมุตฺโตกับอาตมานั่งรถไฟ ชั้น  ๓ ลงไปกรงุ เทพประมาณเดอื นมนี า  อากาศรอ้ น  ทา่ นปมตุ โฺ ต ต้องทนทรมานด้วยความปวด  ท่านอดทนมาก  อาตมาน่ังอยู่กับ ท่านในที่แคบมาก คนบนรถไฟก็แนน่ มีผหู้ ญิงผมยาวคนหนง่ึ มานง่ั ด้านหลังอาตมา  เขาคงง่วงจึงนั่งเอียงไปมา  อาตมากลัวมากว่าจะ ไปถูกผมผู้หญิงคนนี้  อาตมายังเป็นปะขาวแต่ก็กลัวจะถูกผมผู้หญิง ทำ� เอานอนไม่หลบั ท้งั คืนกลัวจะบาปถ้าโดนผมผู้หญิงคนนัน้ หลวงพ่อ ท่านก็มาในรถไฟขบวนนั้นเหมือนกัน  เพราะท่านลงมาตรวจโรค เบาหวาน  พอถึงกรุงเทพฯ  หลวงพ่อรับนิมนต์ไปฉันท่ีบ้านลูกศิษย์ เราก็เลยได้ไปกับหลวงพ่อ  ...น่ียังไม่ถึงเรื่องบวชเณรนะ  เอาเรื่อง ปะขาวก่อน...  อาตมาตนื่ เต้นมากทไี่ ดไ้ ปกับหลวงพอ่ มพี ระเถระอกี รูปหนงึ่ กับท่านปมุตฺโต รวมเปน็ พระ ๓ องค์กบั อาตมาอีก ๑ คน ตอ้ ง นั่งฉนั กบั หลวงพ่อในห้องทม่ี แี ตเ่ รา ๔ คน ตื่นเตน้ มาก กลวั จนทาน ไมล่ ง แลว้ อาตมากน็ ่ังตรงข้ามกบั หลวงพอ่ เสยี ด้วย  ทา่ นใหพ้ รแลว้ ชยสาโร ภิกขุ 139

โยมก็ออกไปข้างนอก  อาตมาจะต้องพยายามท�ำทุกส่ิงทุกอย่างให้ เรียบร้อย อาตมามกี ล้วยอย่ใู นกาละมัง กำ� ลังจะปอกกลว้ ยเพ่อื ตดั เป็นชิน้ เล็กๆ เพราะรวู้ า่ ถา้ ทานกลว้ ยเหมอื นโยมจะผิดข้อวตั ร อยาก จะให้หลวงพอ่ เหน็ เหมือนกนั วา่ เรารูจ้ ักข้อวัตรปฏิบตั ิ หลวงพ่อกลบั มองตาเขยี ว “ฌอน... อย่าไปท�ำอย่างนั้นเลย” เราก็ตกใจ เอ... ท�ำ อะไรผิดหรือเปล่า แตค่ ิดว่ามันนา่ จะถูกนะ ท่ีจะหน่ั กล้วยเป็นชน้ิ ๆ ไวก้ ่อน ทา่ นบอกวา่ “อย่าไปท�ำอยา่ งนั้นเลย อยา่ เพง่ิ ปอกกลว้ ยเลย” อาตมาถามวา่ “ท�ำไมครบั หลวงพ่อ” ท่านกต็ อบว่า “มันจะไมอ่ รอ่ ย” ท่านบอกเคล็ดลบั วา่ ผลไมน้ ่ียังไม่ตอ้ งปอกไวก้ อ่ น มันจะไมอ่ ร่อย ตอ้ งปอกแลว้ ทานเลย ท่านพดู แบบย้มิ ๆ ล้อเราเลน่ นดิ ๆ หลังจากพาพระไปศิริราช  อาตมาก็ไปพักที่วัดบวรฯ  เปลี่ยน ชวี ติ จากปะขาวอยใู่ นปา่   มาเปน็ ปะขาวอยใู่ นปา่ คอนกรตี ในเมอื งหลวง 140 อักษรส่อสาร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook