รสู้ กึ ทรมานใจมาก แตม่ ดี อี ยอู่ ยา่ งหนงึ่ คือ มีโยมฝากปัจจัยมาหนึ่ง พันบาท บอกว่าถ้าพระท่านต้องการอะไรกใ็ หช้ ่วยซื้อถวาย ฉะนั้น เรากเ็ ลยมคี วามสขุ ตอนเชา้ ขา้ มแมน่ ำ�้ ไปอกี ฝง่ั ไปซ้อื ขนมซื้อไอศครมี ถวายพระทุกวัน คือตอนอยู่วัดปะขาวก็ไม่มีสตางค์ ตอนเป็นโยมก็ ไม่เคยมโี อกาสทำ� บญุ กับพระ ตอนนีเ้ ป็นปะขาวทม่ี สี ตางค์ ถงึ จะไมใ่ ช่ สตางคข์ องเรา มนั กย็ งั มคี วามสขุ ทไ่ี ดท้ ำ� บญุ ทกุ วนั แต่ความทุกข์ก็มีอยู่เหมือนกันในช่วงนั้น ปีน้ันหลวงพ่อจะไป องั กฤษนาน ๒ เดอื น ถ้าเรากลับวดั ไมท่ ัน ถ้าหลวงพอ่ ไปอังกฤษกอ่ นที่ จะบวชสามเณรให้เรา เราก็ต้องรออีกนาน เป็นปะขาวมานานหลาย เดือนแล้ว แหม...อยากจะครองผ้าเหลืองกับเขาบ้าง นอกจากน้ี ยังมีอีกเร่ืองท่ีท�ำให้ใจไม่ดี รู้สึกเป็นอัปมงคล คือ ขณะอยู่ที่วัด บวรฯ อาตมาได้ขอยืมผ้าจีวรของพระเพื่อไปหัดครองผ้า คิดว่า เปน็ การเตรียมตัวให้พรอ้ มทกุ อย่าง ทีนีห้ อ้ งทอี่ ยยู่ ุงเยอะ อาตมาจึง จุดยากันยุงตอนกลางคืนแล้วเผลอหลับไป ต่ืนขึ้นมาเพราะได้กล่ิน ไหม้ รบี เปิดไฟ ตายแลว้ ... ผา้ จวี รท่ียืมมาก�ำลังไหม้อย่ ู รีบว่งิ ไปเอาน้ำ� มาดบั ก็ไมท่ ัน ไฟไหมห้ มดทงั้ ผืนเลย เกิดนอ้ ยใจตัวเอง คิดว่าน่เี ป็น ลางไม่ดหี รอื เปลา่ ชาตนิ ค้ี งจะไม่มีบุญทจ่ี ะได้ครองผา้ เหลอื งเสียแล้ว เกอื บจะร้องไห้เลย เป็นบาปเป็นกรรม ได้ผ้าเหลืองมาแค่วันเดียวก็ ไหม้หมด ชาตนิ ้ีคงจะตอ้ งเปน็ ปะขาวตลอดชีวิตกระมัง ชยสาโร ภกิ ขุ 141
ตอนนั้นท่านปมุตฺโตผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แต่แผลอักเสบก็เลย ต้องอยู่นานกว่าที่คิด อาตมาก�ำลังจะหมดหวัง พอดีอาจารย์ชาคโร กบั อาจารยป์ รุ โิ สมาเยยี่ ม ทา่ นเพง่ิ มาจากออสเตรเลยี อาจารยช์ าคโร บอกว่า “ที่จริงฌอนอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ท�ำอะไรแล้ว กลับวัดดีกว่า” อาตมาจึงกราบ ๓ ครงั้ “ครับๆ” เพราะอาตมาไม่กลา้ จะกลบั วดั ตามอ�ำเภอใจ เพราะหลวงพ่อท่านสั่งให้อยู่ แต่เมื่อมีพระผู้ใหญ่ อนุญาต เราจึงรีบกลับไปที่วัด ก่อนที่หลวงพ่อจะไปอังกฤษไม่ก่ีวัน กลับไปได้วนั สองวนั อาตมาไปทำ� ความสะอาดกุฏิหลวงพอ่ ตอนบา่ ย ท่านก็ว่า “ฌอน... พรอ้ มหรือยงั ” “พรอ้ มแล้วครับ” “เข้าโบสถ์เสีย” มันปุบปับมาก อาตมาวิ่งกลับกุฏิไปเอาผ้าจวี ร วิง่ ขน้ึ โบสถ์ แลว้ กไ็ ด้ บรรพชาเปน็ สามเณร มคี วามสุขมาก เป็นสามเณรได้สักพัก หลวงพ่อไม่อยู่ ท่านก็ให้มาอยู่กับ อาจารย์ชาคโรที่วัดนานาชาติ อาจารย์ชาคโรเป็นเจ้าอาวาสที่น่ี รู้สึก ว่าบรรยากาศในวัดคึกคักขึ้น มีอะไรเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดีหลาย อย่าง ก็เลยเกิดศรัทธา คิดอยากจะมาจ�ำพรรษาที่น่ี ปีน้ันอาตมา เป็นสามเณรจ�ำพรรษาอยู่ท่ีนี่ หลวงพ่อไปจ�ำพรรษาอยู่บ้านก่อ อาจารย์ชาคโรพาไปกราบ อาตมาจึงเรียนท่านวา่ ครงึ่ พรรษาท่เี หลือ อยู่ ๖ อาทิตยน์ ี้ จะขออนญุ าต ๑. ไม่พดู และ ๒. ฉันตกบาตรตลอด ๔๐ กวา่ วันน้ี หลวงพอ่ ทา่ นกว็ ่า “อยา่ เป็นพระอรหนั ตเ์ ร็วนักนะ เดี๋ยวจะไม่มีเพือ่ น ใจรอ้ น คิดว่าจะท�ำนัน่ ท�ำนี่จะได้เป็นเรว็ มันไมง่ ่าย อยา่ งนนั้ ” แต่เราก็ยังรกั ษาขอ้ วัตรน้ันอยู่ดี 142 อักษรส่อสาร
อาตมาว่าการงดพูดเป็นข้อวัตรปฏิบัติท่ีดีท่ีสุด เพราะได้ อานิสงสห์ ลายอยา่ ง เราจะรูต้ ัววา่ ๙๐% ของสิง่ ที่เราเคยพูดตาม ปกตินั้น จริงๆ แล้วไม่จ�ำเป็นต้องพูดก็ได้ การงดพูดเรื่องเหลว ไหลเรอื่ งไมจ่ ำ� เปน็ ชว่ ยใหร้ สู้ กึ สงบ ไมค่ อ่ ยคดิ อะไร ทำ� มาได้ ๓-๔ วนั กค็ ดิ วา่ จะสามารถรกั ษาขอ้ วตั รนไี้ ปเรื่อยๆ จนถงึ วันออกพรรษา เพราะ มีความสุข สมัยนั้นพอ่ สมพรจะเอานมถว่ั เหลอื งมาชงกาแฟถวายพระ ทน่ี ที่ กุ เชา้ ในวนั ออกพรรษาพระเณรทกุ รูปตอ้ งขน้ึ ธรรมาสน์เทศน์ให้ โยมฟัง เป็นธรรมเนียมท่ีพ่อสมพรจะต้องชงกาแฟให้แก่เป็นพิเศษ เพ่ือพระจะได้กล้าขน้ึ ธรรมาสน์ อาตมางดพูดมาตั้ง ๔๐ กว่าวัน ฉันกาแฟของพ่อสมพรเข้าไป ๒ แก้ว ตอนดกึ ๆ น่ีนั่งในศาลาไมต่ ิด เลย ต้องลุกออกไปขา้ งนอก ตอ้ งหาเพ่อื น ตอ้ งการพูดต้องการคุย เพราะยงั อกี นานกว่าอาตมาจะขึน้ ธรรมาสน์ จะต้องหาพระเณรมาคยุ ให้ได้ ให้มาฟงั เราพดู ๆๆ พูดกบั องคห์ นึง่ แล้วก็ยงั ไม่อิม่ ต้องคุยต่อ จะคยุ กบั ใครก็ได้ ขอใหม้ ีหฟู ังเราได้ พระเณรก็พอจะทราบว่าอาตมา เกิดอาการต้องพดู เห็นอาตมาอยูต่ รงไหน กต็ ้องหลกี ไปทางอนื่ หรือ หลบเขา้ ป่าไป กลัวจะต้องฟังสามเณรชยสาโรเทศน์ หลังจากไม่ได้พูด ต้ัง ๔๐ วัน คืนนั้นอาตมาพูดไม่หยุดต้ัง ๖-๗ ชั่วโมง อยา่ งนเี้ รียกวา่ ไม่พอดี หนา้ หนาวตอ่ จากนนั้ อาตมากไ็ ปอยทู่ นี่ าโพธิ์ เพราะอยากจะ ไปอยู่ตามสาขาในท่ีเงียบๆ อยากจะฝึกพูดภาษาไทยภาษาลาว ชยสาโร ภิกขุ 143
สมัยน้ันนาโพธ์ิเงียบมาก แต่ท่ีวัดกลับไม่เงียบเพราะมีสามเณรน้อย จ�ำนวนมาก สามเณรน้อยรูปหน่ึงไม่ชอบอาตมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเพราะอาตมาเป็นฝรั่งกระมัง พยายามกวนอาตมาทุกอย่าง อาตมาอยากเดินบิณฑบาตคนเดียวจะได้สงบ ก็จะออกแต่เช้าขณะท่ี องค์อื่นยังไม่พร้อม จะได้เดินล่วงหน้าไปคนเดียว พอเณรรูปน้ีทราบ ก็วิ่งตามจนเกือบจะเหยียบสองเท้าอาตมา บางทีก็จะเอาบาตรมาท�ำ เปน็ กลอง ทำ� เสยี งดงั วางกระโถนวางกานำ้� กว็ างใหท้ กุ องคแ์ ตไ่ มว่ าง ใหอ้ าตมา ทำ� ทกุ เรอื่ งทน่ี า่ รำ� คาญ เรากพ็ ยายามยม้ิ ไมแ่ สดงอาการ อะไรออกมา อยู่ด้วยความอดทน ต่อมาอีกเกือบสามปี อาตมาไป สงั ฆทานวดั ปา่ คอ้ ตอนนน้ั เณรรปู นนั้ เปน็ เณรใหญแ่ ลว้ พอเหน็ อาตมา กว็ ง่ิ เขา้ มารบั บรขิ าร ลา้ งเทา้ ใหแ้ ลว้ กข็ อขมา เขาสำ� นกึ บาปสมยั ทอี่ ยู่ ดว้ ยกนั “สมยั นนั้ ผมดอ้ื ผมทำ� บาป ผมขอโทษดว้ ย” เรอื่ งกเ็ ลยระงบั ไป 144 อักษรส่อสาร
อาตมายังจ�ำได้ว่าพรรษาน้ันมีสามเณรชื่อเขียวที่ไม่อยากบวช แต่แม่ให้บวช เลยไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นในการปฏบิ ตั สิ กั เทา่ ไหร่ มาถึงกลางพรรษาหลวงพ่อคูณก็ยอมแพ้ ให้วิทยุเอาไปฟังคนเดียว ยอมปล่อยให้นอนฟังวิทยุดีกว่าให้ไปกวนคนอ่ืน คืนวันออกพรรษา หลวงพ่อคูณกับพระเณรน่ังล้อมวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มี ตะเกยี งเจ้าพายุอยู่ตรงกลาง เราก็นั่งกันอุ่นสบาย สัตว์เล็กสัตว์น้อย เชน่ แมงเม่ากบ็ นิ เขา้ มาเลน่ ไฟ สามเณรเขียวท่นี ่ังอยตู่ รงน้ัน คงมัวแต่ คิดว่าพรุ่งน้ีจะได้ลาสิกขาแล้ว เลยไม่ค่อยมีสติ ฟงั ไปกเ็ ผลอหยบิ แมงเมา่ เขา้ ปากไปโดยไมร่ ตู้ วั เรากน็ กึ ขำ� อยู่ ที่จริงเร่ืองในสมัยท่ีอาตมาเป็นสามเณรยังมีอีกมาก อาตมา เป็นสามเณรอยู่ ๑ ปีกับ ๒ เดอื น จึงได้อุปสมบทพร้อมกบั สามเณร อีก ๓ รูป องค์ที่หนึ่งคืออาจารย์ญาณธมโฺ ม อาตมาเป็นองคท์ ี่สอง อาจารย์วชิโรเป็นองค์ที่ ๓ และอาจารย์เขมะนันโธเป็นองค์ท่ี ๔ เรามีความภาคภมู ใิ จมากว่าตั้งแต่มชี าวตะวนั ตกมาอุปสมบทที่น่ี เรา เปน็ รนุ่ แรกหรือรนุ่ เดยี วทไี่ ม่มีใครลาสิกขาเลย ตอนนี้ ๒๐ พรรษาแลว้ กย็ งั ม่ันคงท้งั ๔ รูป ชยสาโร ภิกขุ 145
. เดก็ ท่ีเมืองจีน หลวงพ่อองค์หน่ึงอาศัยอยู่ในถ้�ำบนเขาลูกหนึ่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านด้านล่างเคารพนับถือท่านมากเพราะเช่ือว่าท่าน เปน็ พระอรหนั ต์ วนั หนงึ่ ลกู สาวของพอ่ คา้ คนหนงึ่ ในหมบู่ า้ นซงึ่ แอบรกั อยู่กับหนุ่มยากจนในตลาดเกิดตั้งท้องข้ึนมา เธอไม่อยากให้พ่อรู้ว่า ใครเป็นพ่อของลูกในทอ้ ง เพราะกลัวพ่อจะไปท�ำร้ายเขา เธอจึงโกหก พอ่ วา่ หลวงพอ่ ในถำ้� เปน็ พอ่ ของเดก็ พอ่ คา้ คนนโี้ กรธพระมาก เขาเอา ท่านไปนินทาเสียท่ัวเมือง จนผู้คนหมดศรัทธาและรังเกียจหลวงพ่อ องคน์ นั้ ดถู กู ดหู มน่ิ ทา่ นวา่ เปน็ พระทศุ ลี เพราะทกุ คนเชอื่ ผหู้ ญงิ คนนนั้ เมือ่ เดก็ คลอดแล้ว พ่อคา้ กอ็ ุ้มเด็กขน้ึ เขาไปที่ถ�้ำ บอกหลวงพอ่ วา่ “นี่ ลกู ของทา่ น” แลว้ วางเดก็ ลง พระทา่ นเฉยมาก ทา่ นแคพ่ ดู สน้ั ๆ วา่ “อย่างน้ันหรือ” เม่ือพ่อค้าจากไป ท่านก็เลี้ยงเด็กทารกคนน้ันไว้ ท่านต้องลงไปในหมู่บ้านเพอื่ ขอนมจากชาวบา้ น คนทีส่ งสารกใ็ ห้บา้ ง แต่หลายคนก็ด่าว่า “พระอลัชชีมาแล้ว ช่างไม่มียางอายเสียเลย ยงั มีหนา้ มาขอนมจากเรา” พระทา่ นก็เฉย ชยสาโร ภิกขุ 147
จากวันเปน็ เดือน แม่ของเดก็ รูส้ ึกเดอื ดรอ้ นใจกลวั บาปขึ้นมา จึงสารภาพความจริงกบั พ่อวา่ หลวงพ่อในถ�ำ้ ไม่ใช่พ่อของลกู พอ่ ตัว จริงอย่ใู นตลาด พอ่ คา้ กเ็ ลยเดอื ดรอ้ นใจกลวั บาปเหมือนกัน รบี วิ่ง ข้นึ ไปท่ีถ�้ำ กราบขอโทษหลวงพอ่ แล้วขอเดก็ คืน หลวงพอ่ ท่านกเ็ ฉย พูดแคส่ ั้นๆ วา่ “อย่างนนั้ หรือ” แล้วกป็ ลอ่ ยให้พ่อค้านำ� เด็กลงเขาไป ชาวบ้านจงึ ศรทั ธาท่านมากยง่ิ ขึน้ ทุกคนเห็นชดั แลว้ วา่ หลวงพอ่ องค์ นี้ไมเ่ หมอื นคนธรรมดา ทา่ นมีคุณธรรมสงู จริงๆ เม่อื โดนคนนนิ ทาว่า ร้ายใส่รา้ ยถงึ ขนาดวา่ เป็นพอ่ ของลกู ชาวบา้ น ท่านก็เฉย ไมว่ า่ อะไร พอ่ ค้าเอาเดก็ ทารกมาทง้ิ ใหท้ า่ นเล้ยี ง ท่านก็เฉย ไมว่ า่ อะไร ไมไ่ ด้ 148 อักษรส่อสาร
เสียดายว่าชีวิตต้องเปล่ียนจากที่เคยสงบวิเวกอยู่คนเดียว กลับต้อง มาเลี้ยงเดก็ ทารก ท่านก็ปรับเปลยี่ นวิถีชวี ิต หนา้ ท่ขี องทา่ นตอนนค้ี ือ การชว่ ยรกั ษาชวี ติ ทารกน้อยคนน้ี ถือว่าเปน็ งานกรรมฐานของทา่ น ลงไปขอนมจากชาวบ้าน เขาจะดา่ จะว่าอยา่ งไร บางคนถึงกบั ถ่ม นำ�้ ลายใส่ ท่านกไ็ มว่ ่าอะไร เพราะท่านร้ตู ัวเองวา่ ไม่มคี วามผิด และรู้ วา่ ในท่สี ุดแล้ว ความจริงจะตอ้ งปรากฏออกมา ทา่ นจงึ อดทน ในขณะเดียวกัน ระหว่างท่ีเล้ียงเด็กทารกคนน้ี ถ้าเป็นคน ธรรมดาโดยเฉพาะท่ีไม่เคยมีลูกมาก่อน เมื่อได้เลี้ยงและได้เสียสละ เพื่อเดก็ กค็ งจะเกิดความรักและความยึดตดิ ในตวั เดก็ บ้าง แตเ่ มือ่ พ่อค้ามาเอาเดก็ กลบั ไป หลวงพ่อก็เฉย ไมย่ ึดติดอะไร ท่านพร้อมที่ จะรับความจริงคือความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จากอยู่คนเดียวเป็น อยู่สองคน ทา่ นก็อย่ไู ด้ เมือ่ ต้องกลับมาอยคู่ นเดียวอีกครัง้ ทา่ นก็ อย่ไู ด้ นเี่ รียกว่าเป็นผู้มจี ิตใจสงู ทา่ นอดทนเพราะทา่ นมีหลกั การของ ตัวเอง ทา่ นร้วู า่ ทา่ นบริสุทธิ์อยา่ งไม่มขี ้อสงสยั ทา่ นไม่ได้หวงั อะไร จากชาวบ้าน ไมไ่ ด้หวังใหเ้ ขาเขา้ ใจ ไม่ไดห้ วงั ให้เขาเชือ่ เดยี๋ วความ จรงิ กจ็ ะปรากฏออกมาเอง นเ่ี ป็นเรื่องเด็กเร่อื งแรก เมอ่ื เชา้ นม้ี อี บุ าสกคนหนงึ่ บอกวา่ ฟงั เทศนต์ อนกลางคนื แลว้ งว่ ง เว้นแต่ท่านอาจารย์จะเล่าเร่ืองส่วนตัวจึงจะไม่ง่วง เหมือนเป็นการ บังคับให้อาตมาเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง ท่ีจริงอาตมาก็เคยเล่าให้ฟัง ชยสาโร ภกิ ขุ 149
อยู่บา้ งแล้ววา่ อาตมาเรม่ิ เจรญิ อานาปานสตติ งั้ แต่อายุ ๑๘ เดือน ยงั ไมถ่ ึง ๒ ขวบก็เรม่ิ แลว้ เพราะเป็นโรคหดื หายใจยากมาก ไมเ่ หมือน คนอ่ืนเขา เพราะฉะนัน้ ทกุ ครงั้ ทห่ี ายใจจึงรูอ้ ยู ่ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออก กร็ ู้ บางทีคดิ ว่าจะไม่รอดเหมือนกัน อาตมากลายเปน็ เดก็ ขีโ้ รค การ เป็นเด็กขโ้ี รคน่ดี ีไหม ส�ำหรับอาตมาแลว้ กเ็ ป็นเรอื่ งทดี่ อี ยเู่ หมอื นกนั เพราะว่าป่วยจนไปโรงเรียนไม่ได้ อาตมาจึงชินกับการอยู่คนเดียว ชอบอย่คู นเดยี ว ชอบอ่านหนังสือคน้ คว้าหาความรใู้ สต่ วั โดยไมต่ ้อง ไปเรียนรทู้ ี่โรงเรียน อาตมาก็มคี วามสขุ อย่างนี้ เม่ืออยู่บ้านเงียบๆ เวลาป่วยแล้วคุณแม่ไปตลาด อาตมามีวิธี ภาวนาอยา่ งหนง่ึ ซง่ึ ไมร่ วู้ า่ คดิ ขนึ้ มาไดอ้ ยา่ งไร ในหอ้ งนอนของคณุ พ่อ คุณแม่มีกระจกบานใหญ่ บางทีอาตมาจะเข้าไปในห้องนอนของท่าน แลว้ ไปยนื เพง่ มองหนา้ เงาตวั เองในกระจก เพง่ ทตี่ าจนมนั รสู้ กึ แปลกๆ ข้ึนมา มอี ยูว่ ันหนึ่ง ขณะที่ก�ำลังเพง่ อยูน่ ัน้ ร้สู กึ เหมือนกบั วา่ จิตมนั ลอยออกจากกาย ลอยขน้ึ ไปขา้ งบน เหมอื นใจกบั กายแยกจากกนั เหมอื นกบั ว่าเราอยูข่ า้ งบน มองลงไปเหน็ เด็กคนหนงึ่ ก�ำลังเพ่งดเู งา ของตวั เองในกระจก เป็นเร่ืองแปลกประหลาดมาก เปน็ เชน่ น้นั อยู่ เพยี งช่ัวขณะ แต่กท็ �ำใหเ้ ราเกดิ ความเชื่อว่า กายกบั ใจมนั แยกกนั ได้ เกดิ ความเช่อื เร่ืองจติ เรื่องใจ ท�ำให้สนใจเร่ืองจิตใจมากขน้ึ 150 อักษรส่อสาร
อาตมาแข็งแรงข้ึนเม่ืออายุมากขึ้น แต่ก็ยังชอบคิดชอบศึกษา เรอื่ งจติ ใจ ตอ้ งการจะรวู้ า่ จติ ใจของเรามนั คอื อะไร ตอ้ งการจะรวู้ า่ ทำ� ไม ทกุ คนในโลกนต้ี อ้ งการความสขุ แตท่ ำ� ไมน้อยคนเหลือเกินท่ีเข้า ถึงความสุขน้ัน ท�ำไมคนเราท้ัง ๆ ท่ตี อ้ งการความสขุ กลบั ชอบ สรา้ งเหตุสรา้ งปจั จัยให้ตวั เองต้องเป็นทกุ ข์อยรู่ ำ�่ ไป คดิ สงสัยอยู่ อยา่ งนี้ ตอนเป็นเด็ก อาตมาก็ไมค่ อ่ ยได้ส�ำนกึ หรือตระหนกั ในบญุ คุณ ของพ่อแมส่ กั เทา่ ไหร่ เพราะถอื วา่ เป็นเร่อื งธรรมดา เมอื่ อายุ ๑๖- ๑๗ ปี รู้สึกอยากแตจ่ ะหนอี อกจากบา้ น ไม่อยากอย่กู บั พ่อกับแมเ่ ลย รู้สึกอดึ อดั ท�ำอะไรกไ็ ม่ได้ ไม่เป็นอิสระ อยากไปเที่ยวกลางคนื ท่าน ชยสาโร ภิกขุ 151
ก็หา้ ม อยากไปไหนๆ ทา่ นก็ห้ามไปเสียหมด กเ็ ลยอยากจะเปน็ อิสระ บ้าง จรงิ ๆ แล้วการท่เี ราเคยอยูใ่ นกรอบนัน้ กม็ ปี ระโยชนม์ าก เม่อื ได้ ออกไปหาประสบการณ์ทางโลกแล้ว เจอผู้คนอื่นๆ ฟังประวัติความ เปน็ อยู่ของคนอนื่ แล้วเปรยี บเทียบกบั ครอบครวั ตวั เอง กร็ สู้ กึ ได้เลย ว่า แหม....พ่อแม่ของเรานี่ดเี หลอื เกิน โดยเฉพาะในเร่ืองการมีกรอบท่ี ชัดเจน การเลยี้ งเดก็ น่ีต้องมกี รอบทช่ี ดั เจนนะ เช่น สมมติว่าพ่อ เคร่งครัดแต่แม่ไม่เคร่งครัด หรือแม่เคร่งครัดแต่พ่อไม่เคร่งครัด ถ้า พ่อห้ามไม่ใหท้ �ำอยา่ งนี้ แลว้ เด็กรูว้ ่าถา้ เข้าไปหาแม่ แมก่ ค็ งจะให้หรอื ยอม หรอื ว่าแม่เปน็ คนหา้ ม แต่ถา้ เขา้ ทางพ่อแล้ว จะไดส้ ิง่ ท่ีอยากได้ ก็เป็นอนั วา่ ไม่มกี รอบหรอื มีกรอบแตก่ รอบน้ันไมม่ คี วามหมาย ไมไ่ ด้ ท�ำหน้าทขี่ องมนั ถ้าพ่อแมไ่ ม่สามคั คี สอนไมต่ รงกัน เด็กจะสับสน แลว้ จะกลายเปน็ เด็กท่ีชอบซิกแซกหาทางเลี่ยง 152 อักษรส่อสาร
สำ� หรบั ครอบครวั อาตมานนั้ นโยบายของพอ่ แมเ่ ปน็ อนั เดยี วกนั ลกู ๆ รวู้ า่ ถา้ โยมพอ่ ทา่ นเคยสง่ั วา่ ทำ� ไมไ่ ด้ แมเ้ ราจะดนิ้ รนรอ้ งขออยา่ งไร กไ็ มม่ ปี ระโยชน์ นเี่ ปน็ สงิ่ ทมี่ ผี ลตอ่ จติ ใจมาโดยตลอด ถา้ มหี ลกั การแลว้ ตอ้ งเคารพในหลกั การ ไมเ่ คยคดิ ทจี่ ะเลย่ี งหรอื จะหาทางออกจากหลกั การนน้ั เปน็ เรอื่ งทน่ี า่ สงั เกตวา่ ประสบการณต์ อนเดก็ จะมผี ลตลอด ชวี ติ สิ่งหนึ่งท่ีพ่อแม่ต้องให้กับเด็ก คือความเช่ือมั่นว่าเราเป็น ลูกที่พ่อแมร่ กั พอ่ แมต่ ้องให้ความรักที่ไม่มเี งือ่ นไข เพราะความ รกั ท่มี ีเงื่อนไขจะส่งผลเสียต่อจติ ใจของเดก็ เช่น ถา้ เดก็ รสู้ กึ ว่า ตอ้ ง ทำ� ตามใจพอ่ แมๆ่ จงึ จะรกั ถา้ ไม่ท�ำตามใจพอ่ แม่ๆ ก็จะไมร่ ักอยา่ งน้ี เด็กจะกลายเปน็ คนไมม่ ัน่ คง กลายเป็นคนไมเ่ ชอื่ ม่ันในตัวเอง เม่อื โตข้นึ แลว้ จะท�ำอะไรก็ตอ้ งเอาใจคนอ่นื มากจนเกนิ ไป เพราะกลวั ว่า คนอื่นจะไม่ชอบ กลัวคนอ่ืนจะรังเกียจ จะมีความระแวงอยู่ตลอด เวลา เขาต้องพยายามท�ำทุกสิ่งทกุ อยา่ งเพอื่ จะเอาใจเพื่อน เพราะ คิดวา่ ถ้าไม่ทำ� ตามใจเพ่อื นหรอื ตามใจคนอืน่ แลว้ เขาจะไม่เปน็ ทรี่ กั นี่เป็นความคดิ เดิมท่เี กิดขน้ึ ตง้ั แตเ่ ด็ก แล้วคนเรากม็ กั จะตดิ แนวความ คดิ นั้นๆ มาจนโตโดยไม่รตู้ วั มกี รณีทค่ี นเราติดนสิ ัยบางอยา่ งมาตง้ั แต่ เดก็ มากมาย ชยสาโร ภิกขุ 153
ดังน้ัน พ่อแม่จึงเป็นผู้มีอ�ำนาจต่อลูก การสอนลูกไม่ได้อยู่ เพียงแค่การตักเตือนห้ามปรามอย่างเดียว เด็กจะสังเกตพ่อแม่ อยู่ตลอดเวลา เช่น เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน มนั เปน็ อยา่ งไร เวลาพอ่ แมโ่ กรธ ทา่ นระงบั ความโกรธไดไ้ หม จะระบายออกมา หรือใชค้ วาม รนุ แรงอยา่ งไร นี่จะเปน็ ส่งิ ท่ีประทับอยใู่ นใจของลูก ฉะนั้นพ่อแม่จงึ หล่อหลอมจติ ใจของลูกด้วยการกระทำ� ของตัวเองอยตู่ ลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเราจะสอนเด็กเฉพาะเวลาที่เราต้ังใจจะสอน แต่ เด็กเขาดูเราเป็นตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา ในขณะทพ่ี อ่ แมเ่ ปน็ พรหม ของลูก หรือเป็นกัลยาณมิตรของลูก พ่อแม่ก็สามารถเป็นปาปมิตร สร้างบาปสร้างกรรมให้ลูกได้ ถ้าเรารังเกียจหรือเกลียดชังใคร เช่น สมมติว่า เรามีความยึดม่ันไม่ชอบคนเวียดนาม ไม่ชอบคนผิวดำ� หรือไม่ชอบแขก แล้วเราสอนหรือปล่อยให้ลูกได้ซึมซับความอคติ หรือความคิดที่ไม่ดีอย่างนี้จากเรา นี่เรียกว่าเราเป็นปาปมิตรของลูก ถา้ พอ่ หรอื แมด่ ่ืมเหลา้ หรือเล่นการพนนั มีผลใหล้ ูกติดไปด้วย พอ่ แม่ กเ็ ปน็ ปาปมติ รของลกู ถ้าพอ่ หรอื แม่ดม่ื เหล้าหรอื สบู บุหร่ี แต่สอนลูก ไมใ่ หด้ ่ืมไม่ใหส้ ูบ คำ� พูดนน้ั ย่อมไม่มีน้ำ� หนัก เด็กจะไม่ฟังค�ำพูด แต่ เขาจะดูจากการกระท�ำของพอ่ แม่ 154 อักษรส่อสาร
การมีลกู น่ถี ือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นการช่วยสรา้ งชีวิตของ มนุษย์อีกคนหนึ่ง ลกู ก็เป็นมนษุ ย์คนหนึง่ สงิ่ ที่เราทำ� สง่ิ ทเ่ี ราพูดจะมี ผลตอ่ เขามาก บางทีเรามองเด็กวา่ บริสุทธไิ์ รเ้ ดยี งสา แต่ความไรเ้ ดยี ง สากบั ความบรสิ ุทธน์ิ ไ่ี มเ่ หมือนกนั ถา้ บรสิ ทุ ธ์จิ ะตอ้ งเป็นพระอริยเจ้า ฉะน้ันเดก็ จงึ ไม่บริสทุ ธ์ิ เด็กมนี วิ รณ์ไหม ความใครใ่ นกาม ความ พยาบาท ความงว่ งเหงาหาวนอน ความฟงุ้ ซ่านร�ำคาญใจ ความ ลงั เลสงสัยกจ็ ะมอี ยูบ่ ้าง และท่ีมอี ย่างแนน่ อนกค็ ือ กิเลสระดบั อนสุ ัย ท่นี อนเนอื่ งอยู่ในจติ ใจ ชยสาโร ภกิ ขุ 155
เด็กแต่ละคนก็มีกรรมติดตัวมา เป็นส่ิงที่ติดตัวมาโดยท่ี เรามองไม่เห็น พ่อแม่บางคนต้ังอกต้ังใจเลี้ยงลูกอย่างดี แต่ลูก กลับไมด่ ี พ่อแมบ่ างคนไมค่ อ่ ยตงั้ ใจเล้ียงลูกสกั เท่าไหร่ แต่ลูกกลบั ดี บางทีเด็กอาจจะกล้าพูดหรือกล้าท�ำในบางส่ิงบางอย่างท่ีผู้ใหญ่ไม่ กล้าท�ำไม่กล้าพูด ซ่ึงบางคร้ังอาจจะเป็นการดีหรืออาจจะเป็นโทษ กไ็ ด้ เหมอื นนทิ านเรอื่ งหนงึ่ จกั รพรรดอิ งคห์ นงึ่ ถอื ตวั ถอื ตนมาก ถอื วา่ ตนเปน็ คนละเอียด ตอ้ งการเสอ้ื ผา้ ท่ีละเอยี ดทส่ี ุดในโลก กม็ คี นเกง่ คน หนึ่งนำ� เสือ้ ผา้ มาถวาย จรงิ ๆ แล้วไมม่ อี ะไรเลย แต่เขาบอกว่าเส้ือผา้ น้ีบางมาก คนหยาบจะมองไม่เห็น มีแตค่ นละเอยี ดเทา่ นั้นทีจ่ ะเห็น จงึ ถกู จุดของจักรพรรดิ ทา่ นยนื่ มอื ทำ� ทา่ ลบู คล�ำ โอ....สวยมากๆ อืม.... ละเอียดดีจรงิ ๆ ท้ังๆ ที่ไมม่ ีอะไรเลย ท่านไม่กล้าบอกว่ามองไม่เหน็ แลว้ ท่านก็ใสเ่ สอื้ ผา้ นอ้ี อกจากวังไปใหป้ ระชาชนชม ประชาชนทกุ คนกก็ ราบแลว้ ชมวา่ ...อมื ...สวยมาก ไมม่ ใี ครกลา้ บอกความจรงิ แตจ่ ๆู่ เดก็ คนหนง่ึ กล็ กุ ขน้ึ ยนื หวั เราะ แลว้ ชไ้ี ปทพี่ ระองค์ ร้องว่า “จักรพรรดิไม่ใส่เส้ือผ้า จักรพรรดิเปลือยกาย” แล้วก็หัวเราะ ไม่หยุด 156 อักษรส่อสาร
ฉะนน้ั บางทถี า้ เราฟงั เดก็ เรากจ็ ะไดข้ อ้ คดิ เหมอื นกนั เดก็ ๆ อาจจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็นเพราะความ เคยชินหรือเพราะอะไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าสายตาของผู้ใหญ่จะชัดกว่า สายตาของเด็กเสมอไป ชยสาโร ภิกขุ 157
. เต่า ในพระสูตรพระพุทธองค์ทรงเน้นเสมอว่า การได้เกิดเป็น มนุษย์เป็นส่ิงท่ีมีค่ามาก เพราะโอกาสท่ีจะไดเ้ กดิ เปน็ มนษุ ยน์ น้ั ยาก เหลือเกิน ทรงเปรียบเทียบโดย สมมติว่าในมหาสมุทรมีห่วงไม้ลอย เควง้ ควา้ งอยหู่ นง่ึ หว่ ง และมเี ตา่ ตาบอดอยู่หนึ่งตัว ทุกๆ ๑๐๐ ปี เต่า ตาบอดตัวน้ีจะโผล่หัวข้ึนมาเหนือน�้ำเพียงครั้งเดียว ในมหาสมุทรท่ี กวา้ งใหญไ่ พศาลน ้ี โอกาสท่ีเต่าตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาสวมห่วงไม้นั้น อย่างพอดิบพอดี ย่อมจะเป็นไปได้ยากย่ิง คงไม่มีนักเล่นการพนัน คนไหนกลา้ พนนั แน่ ชยสาโร ภกิ ขุ 159
พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่พวกเราได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ยากยิ่ง เช่นนั้น จงึ ทรงสอนให้เราเห็นคุณค่าของชวี ติ ชวี ิตทีไ่ มแ่ นน่ อน ชีวติ ทส่ี ้นั เหลือเกิน เราตอ้ งพยายามใชช้ วี ติ นีใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์มากท่สี ุด ถ้าเราเป็นนักกีฬา เราทุกคนก็ต้องการหรือหวังที่จะเป็น นักกีฬาที่ยอดเยี่ยมท่ีสุดในโลกถ้าเป็นไปได้ นักมวยก็อยากจะเป็น แชมปโ์ ลก นักว่ิงก็อยากจะไดว้ ิ่งในโอลมิ ปกิ นักบอลก็อยากจะเล่นใน บอลโลกอย่างนี้เปน็ ตน้ มันเป็นเรอ่ื งธรรมดา เราท�ำอาชพี อะไร เรา ก็อยากจะท�ำให้ดีที่สุดถ้าเป็นไปได้ ในความเป็นมนุษย์ก็ควรจะเป็น เชน่ เดียวกัน เราตอ้ งการเปน็ มนุษย์ทดี่ ีทส่ี ุดเทา่ ที่เราจะดไี ด้ เพื่อให้ การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ซ่ึงยากย่ิงของเราน้ันคุ้มค่าที่สุด เราจึงจะ มีความภูมิใจในชวี ติ ของตน พระพุทธองค์ตรัสว่า การเกิดเป็นมนุษย์จะพอดีแก่การละ กิเลส เพราะถ้าเราเกดิ เปน็ เทวดา มนั สุขสบายมากเกนิ ไป ทา่ นตรสั วา่ ความอดทนเป็นเคร่อื งเผากิเลสอย่างยิง่ เทวดาจะขาดคณุ ธรรม สำ� คญั คือไม่มีความอดทน เพราะสบายเกนิ ไป แม้ในโลกน้กี ต็ าม ประเทศไหนหรอื ทไี่ หนท่ีคนอยอู่ ยา่ งสะดวกสบายมาก จิตใจจะไม่ เจริญในธรรม เพราะจะขาดความอดทน ผู้คนจะต้งั มาตรฐานว่าจะ 160 อักษรส่อสาร
ต้องเปน็ อย่างนๆ้ี ให้ได้ ถา้ เปน็ อยา่ งอนื่ แล้วไม่เอา รบั ไมไ่ ด้ ทนไม่ไหว จติ ใจอย่างนจ้ี ะยากต่อการเจรญิ ธรรมใหก้ า้ วหน้า คำ� วา่ ความเจริญ มีความหมายตา่ งกนั ระหวา่ งนักปฏบิ ัตกิ บั คน ท่ไี ม่ปฏิบัติ ส�ำหรับนกั ปฏบิ ัติแลว้ ความเจริญหรือความสมบรู ณอ์ ย่ทู ี่ การมีบรรยากาศที่ดีท่ีสุดส�ำหรับการพ้นทุกข์หรือส�ำหรับการพัฒนา ตัวเอง ความเป็นอยู่แบบสบายเกินไป ต้องสบายทุกส่ิงทุกอย่าง นกั ปฏบิ ตั จิ ะไม่เรยี กวา่ เจรญิ เพราะยากท่ีคุณธรรมจะเจรญิ และง่าย ท่ีคุณธรรมจะเส่ือม คุณธรรมเป็นเรื่องที่ส�ำคัญย่ิงในชีวิตของเรา เพราะเปน็ ตวั ก�ำหนดความสุขความทุกข์มากกวา่ ส่งิ อ่นื ส�ำหรับมนษุ ยน์ ้ัน ความสุขความสบายก็มอี ยู่บา้ ง แตน่ ้อยคน เหลือเกินท่ีจะสุขสบายจนถึงข้ันท่ีว่าไม่ต้องใช้ความอดทนเลย ส่วน ความทุกข์ก็มีอยู่บ้าง แต่ส่วนมากยังอยู่ในเกณฑ์ที่คนเราทนได้ ฉะน้ัน ส�ำหรับงานที่เราเรียกว่ากรรมฐานหรืองานฝึกจิตนั้น การ เกิดเป็นมนุษย์น่ีดีที่สุด เทวดาได้เปรียบมนุษย์ในเร่ืองอายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่ในเรอ่ื งคณุ ธรรมตา่ ง ๆ ความไมเ่ หน็ แกต่ ัว ความกล้า หาญ ความบากบัน่ ความเป็นทพี่ ่งึ ของตนนนั้ ตอ้ งเปน็ มนษุ ยจ์ ึงจะ เจริญได้ ปญั ญาจะเกิดข้นึ ได้ดว้ ยความพากเพยี รพยายาม ชยสาโร ภกิ ขุ 161
ท่านจึงให้เราต้องส�ำนึกอยู่เสมอว่า ชีวิตของเราเป็นลาภ อยา่ งยงิ่ เปน็ โชคอย่างยิง่ แทนทจ่ี ะไปหมกมุ่นอยกู่ ับขอ้ บกพร่อง ของตัวเองมากจนเกินไป หรือหมกมุ่นอยู่ในกิเลสหรือความทุกข์ของ ตวั เองมากจนเกนิ ไป น้อยใจบ้าง มองตวั เองในแง่ร้ายบ้าง “โอย....เรา 162 อักษรส่อสาร
น่.ี ..ใช้ไม่ไดเ้ ลย ปฏบิ ัตมิ าตัง้ นานแลว้ ยังไม่ไดเ้ รอื่ งอะไร” ทจี่ ริงแลว้ แคก่ ารไดเ้ ปน็ มนุษยท์ ่ีไดเ้ ข้าถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆเ์ ปน็ ที่พง่ึ เปน็ สรณะ เป็นผ้ตู ้ังอกตัง้ ใจในการใหท้ าน รกั ษาศลี ภาวนา ก็เรียกว่าได้มากแล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เราหยุดหรือพอใจ อย่เู พียงแคน่ ้ี แตใ่ ห้เราไม่ประมาทในส่ิงด ี ๆ ทีเ่ ราได้แลว้ หรือ ส่ิงท่ีเราได้ท�ำแล้ว ถ้าหากว่าเราไม่ได้สั่งสมบารมีมามาก ก็คงไม่มี โอกาสมาน่ังที่น่ีในวันนี้ การที่เราได้เกิดในเมืองที่นับถือพุทธศาสนา ก็ยากอยู่แลว้ อยา่ งท่ไี ดพ้ ดู มาแลว้ วา่ แคก่ ารได้เกิดเป็นมนุษยก์ ย็ าก เหมือนกับเต่าตาบอดโผล่พ้นน�้ำตรงห่วงไม้ท่ีลอยอยู่กลางมหาสมุทร น่ีไม่ต้องพูดถึงการได้เกิดในเมืองพุทธ และแม้ได้เกิดในเมืองพุทธ แล้ว กย็ ังมีส�ำนักมากมายท่สี อนอะไรผดิ ๆ ใช่ไหม อาตมาว่าการที่เรามีโอกาสได้เข้าวัดสายหลวงพ่อชาน้ี ถอื วา่ มบี ญุ มาก เพราะทา่ นสอนตรงไปตรงมาตามหลกั คำ� สง่ั สอน ของพระพุทธเจ้า ไม่มีส่ิงใดชวนให้ญาติโยมงมงายหรือหลงใหล ท่านห้ามเรื่องเครื่องรางของขลัง เวลาเป็นทุกข์ท่านไม่ให้เรา หาหมอดู ไม่ให้เราบนบานศาลกล่าว ไม่ให้ไปหลงใหลกับสิ่ง ศักดส์ิ ิทธ์ติ ่าง ๆ ทา่ นบอกวา่ เราเป็นทกุ ข์เพราะคดิ ผดิ ให้ทบทวน ตัวเอง หยดุ ดตู ัวเองว่าตอนนี้ก�ำลังคิดผิดอะไรอย ู่ นี่เรียกว่าตรง กบั คำ� สงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ทีส่ ุด ชยสาโร ภิกขุ 163
การสอนจิตใจของเรานั้น ก็เหมือนการสอนเด็ก คือเราต้อง คอ่ ยๆ ดจู ติ ใจ ถา้ จติ ใจหดหหู่ มดกำ� ลงั ใจ เรากต็ อ้ งเกง่ หรอื ฉลาดในการ ให้ก�ำลังใจ ไม่ใช่หวังแต่ก�ำลังใจจากครูบาอาจารย์หรือจากหนังสือ จากเทป หรอื จากส่ิงนอกตวั เรา เราต้องรู้จักให้ก�ำลังใจตัวเอง จาก การพิจารณาถงึ สิ่งดี ๆ ท่เี ราได้ เรมิ่ ต้นดว้ ยการเกิดเปน็ มนุษย์ เกดิ เป็นมนษุ ย์ที่สมประกอบ เกิดเปน็ มนุษยท์ อี่ ย่ใู นเมอื งไทยซง่ึ เปน็ เมืองพุทธ มีโอกาสทำ� บญุ สุนทาน มโี อกาสฟงั เทศน์ฟงั ธรรม มีโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรม นี่จะเป็นการให้ก�ำลังใจตัวเอง แต่ถ้าจิตใจเราฮึกเหิมหรือหลงตัวแล้ว เราต้องเตือนสติตัวเอง ว่า โอ...ขนาดมีบุญถงึ อย่างน้ี ไดเ้ ป็นชาวพทุ ธ ได้เขา้ วดั เข้าวา แต่จิตใจของเราก็ยังหนาด้วยกิเลส เรายังไปไม่ถึงท่ีปลอดภัย เราต้องฉวยโอกาสให้ได้คุณธรรม ใหก้ ารปฏิบัตขิ องเราไดผ้ ลคมุ้ กับการเป็นลกู ศษิ ย์ของครบู าอาจารย์ 164 อักษรส่อสาร
ฉะนั้นเวลาจิตใจหดหู่ กต็ อ้ งสอนแบบหน่งึ ถา้ จิตใจมีก�ำลงั มาก เกินไป กำ� ลังเหลงิ หรอื คึกคะนอง กต็ อ้ งสอนอีกแบบหน่ึง เราตอ้ งคอย สังเกตธรรมชาตขิ องจติ ว่าจะรกั ษาไวใ้ ห้ดีได้อยา่ งไร จะปฏิบตั ิต่อ จิตใจเจา้ ของอย่างไรจึงจะดี จึงจะได้ประโยชน์ เหมอื นการสอนเด็ก เด็กซนก็สอนอย่างหนึ่ง เด็กเชื่อฟังก็สอนอย่างหน่ึง เด็กก�ำลังมี ความทกุ ขก์ ็สอนอยา่ งหนึ่ง เด็กกำ� ลงั มคี วามสุขก็สอนอย่างหน่งึ จติ ใจ ของเรากบั จติ ใจของเด็กกไ็ มต่ า่ งกนั สักเทา่ ไหร่ คุณธรรมส�ำคัญมากข้อหน่ึงท่ีท่านย�้ำอยู่เสมอ คือ เรื่องการ ส�ำรวมอินทรีย์ ท่านเปรียบเทียบเหมือนกับเต่า เม่ือมีอันตรายต่อ ชีวิตหรืออย่ใู นที่ไมป่ ลอดภัย เต่าจะหดเข้าไปอย่ใู นกระดอง หดทั้งหวั ท้ังขาเข้าไปข้างใน ศตั รจู ะมากดั กก็ ดั ไมไ่ ด้ ในทีส่ ุดศตั รกู ็จะเบอื่ แลว้ ผละไปหากนิ ทอ่ี นื่ เช่นเดียวกัน เวลาเราอยู่ในท่อี ันตราย เราก็ตอ้ ง รู้จักท�ำตัวให้เหมือนเต่าที่หดเข้าไปในกระดองบ้าง ตาเราถึงจะมี ชยสาโร ภกิ ขุ 165
หน้าที่ดู แตก่ ็ไม่จำ� เปน็ ว่าตอ้ งดูทกุ สิ่งทกุ อยา่ งทข่ี วางตา ทา่ นใหเ้ ลอื ก ดูสิ่งท่ีจะท�ำให้จิตใจเราเยือกเย็น อย่าไปเลือกดูส่ิงท่ีจะท�ำให้ จิตใจเร่ารอ้ น เราต้องฉลาดในการเลือก ถ้าดูทีวีดูละครที่มีแต่เร่ืองอิจฉา พยาบาท ดูแล้วมันจะมีผลเสียต่อสมองของเรา ท�ำให้จิตใจพลอย หยาบไปด้วย ถ้าเราดูเราฟังสิ่งที่หยาบบ่อยๆ จิตใจเราก็จะหยาบ ลงดว้ ย เพราะจิตใจของเรายังเปน็ ของไมแ่ น่ไม่นอน ใชห่ รือไม่ มันจะ เปลยี่ นแปลงไปตามเหตุตามปจั จัยหรือส่ิงท่มี ากระทบ ดงั นนั้ การ ปฏบิ ตั จิ งึ มีสองขน้ั ตอน ขั้นตอนแรก คอื การเลือกรับส่งิ ท่ีมา กระทบอายตนะ ขนั้ ท่ีสอง คือ การปฏิบตั ิตอ่ สิง่ น้ันให้เกิดผลดี การปฏบิ ตั ิตามหลกั อนิ ทรียส์ ังวรณ์ สิ่งที่ส�ำคญั คือ ตากับหู หูน่ีไม่ต้องฟังทุกส่ิงทุกอย่าง เวลาใครพูดคุยนินทาคนอื่น เราก็ไม่ จ�ำเป็นตอ้ งฟังกไ็ ด้ ฟังแล้วมันเศร้าหมองนะ ยิ่งฟงั แลว้ นำ� ไปเลา่ ให้ คนอืน่ ฟงั ต่อ น่ียง่ิ เปน็ บาปใหญ่ เราตอ้ งถามตวั เองว่า เราฟังเพื่ออะไร อาจได้คำ� ตอบว่าฟังเพราะสนุก แต่มนั สนุกแบบไหนล่ะ มนั สนุกแบบ เศรา้ หมองหรอื มันสนุกแบบสะอาด ถา้ เราเหน็ ว่าสิง่ ใดจะทำ� ให้จิตใจ เราเศร้าหมองหรือยินดีในกิเลสมากข้ึน เราก็ควรเก็บหัวเก็บขาเข้าไป ในกระดอง ไมใ่ ห้มารมาทำ� ลายเราได้ ยอมอยใู่ นกระดองอยา่ งนั้น แหละ จนกว่ามารมันจะผ่านพน้ ไป 166 อักษรส่อสาร
ฉะนน้ั จงอย่าเป็นคนหลุกหลกิ จะดอู ะไร ก็ดแู ตส่ ิ่งทีเ่ ปน็ ประโยชน์ จะฟังอะไร กฟ็ ังแต่ส่ิงทเี่ ปน็ ประโยชน์ ใหต้ า หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ สัมผสั แต่ส่งิ ท่ีมีคุณประโยชนต์ ่อชีวติ นี่เปน็ การ ปฏิบัติของเราในชีวิตประจ�ำวัน ให้เราปฏิบัติอย่างสม่�ำเสมอ ตลอดเวลา เม่ือจิตใจไม่คิดท่ีจะออกนอกตัวอยู่ตลอดเวลา เลือกดู เลอื กเหน็ เลอื กได้ยนิ จากภายนอก แลว้ กลบั เขา้ มาดูภายใน จะมี ความสงบมากข้ึนใชไ่ หม จิตท่ีสงบ คอื จติ ทีไ่ มฟ่ ้งุ ซา่ น ไมร่ ่วั ไหล ออกไปตามเร่ืองตา่ ง ๆ หยุดได้ นิ่งได้ สงบระงบั เราจะเป็นคนสำ� รวมไดก้ ็เพราะร้เู ทา่ ทนั วา่ สง่ิ ท่ีเราดู ท่ีเรา เหน็ ทเ่ี ราได้ยิน ทเี่ ราได้กล่นิ ท่เี ราไดล้ ิ้มรส มนั กแ็ ค่นน้ั แหละ คนเราอยู่ในโลก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี หรอื ๕๐ ปี เราเหน็ อะไรบา้ ง เรากเ็ หน็ แตร่ ปู ใช่ไหม สีตา่ งๆ ไมว่ ่าจะสีเขยี วสแี ดงสีดำ� เราก็เคยเห็น มาหมดแล้วไม่ใช่หรือ เรากน็ ่าจะรอู้ ยแู่ ล้วว่าสีดำ� สแี ดงสีชมพู มนั เป็น ชยสาโร ภิกขุ 167
อยา่ งไร มนั ก็แค่นั้นแหละ เสียงเพราะเสียงไมเ่ พราะ เสียงสงู เสยี งต่ำ� มันก็แค่นั้นแหละ กล่ินหอมกล่ินเหม็น มันก็แค่น้ันแหละ รสหวาน รสขมรสเค็มรสเปรี้ยว มันก็แค่นั้นแหละ แล้วที่เราจะเอาน่ันเอานี่ เอาใหม้ ากท่ีสุด จะเอาไปเพ่อื อะไร ไม่ว่าจะได้สักเท่าไร มนั ก็ไดแ้ ต่ ของเกา่ ได้แตร่ ูป ได้แต่เสยี ง ได้แต่กล่ิน ไดแ้ ต่รส ไดแ้ ต่โผฏฐพั ผะ ได้แต่ธรรมารมณ์ ถ้าเรารู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ จิตใจก็จะปล่อยและ ปลงได ้ จะแสวงหาอะไรกไ็ ด ้ แต่เปน็ การแสวงหาอย่างรู้เทา่ ทัน มันกแ็ คน่ น้ั แหละ มันก็แคร่ ูป แคเ่ สยี ง แค่กลิน่ แคร่ ส ให้เราพยายามเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เมื่อเกิด ตณั หามันเป็นอย่างไร เราจะไม่อยากพิจารณาหรือคิดอะไรให้ลึกซ้ึง มีแต่จะอยากได้ๆ เพราะตัณหามันท�ำให้เราโง่ ไม่ว่าเราจะฉลาด เพยี งใดกต็ ามแต่ในขณะท่มี ีตัณหาเราโง่ส่วนคนท่ไี ม่มกี ารศกึ ษา เลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก แต่เม่ือใดท่ีเห็นตามความเป็นจริง จนสามารถระงบั ตัณหาได้ กน็ ับวา่ เปน็ คนฉลาด เปน็ นกั ปราชญ์ เป็นบณั ฑติ เมอื่ นน้ั นค่ี ือเรื่องของเตา่ เตา่ สอนให้เราเห็นคณุ ค่าของชีวติ พยายาม ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ถ้าเราเห็นว่าคุณค่าชีวิตของเราอยู่ท่ีการ ละบาป การบ�ำเพ็ญกศุ ล การช�ำระจิตใจของตนให้สะอาดแลว้ เราจะสนกุ กบั ชีวติ ได้จนถงึ วนั สนิ้ ลม ตราบใดทเ่ี รายังมีกเิ ลสและ ยังมีความคดิ ผิดอย่ ู เพราะมงี านใหเ้ ราทำ� ทกุ วนั ไมต่ ้องอยู่เฉยๆ 168 อักษรส่อสาร
หรือเบอ่ื ว่าไม่มีอะไรท�ำ นอกจากนี้ เตา่ ยงั สอนเราเร่ืองการส�ำรวม อินทรีย์ว่าเป็นทางไปสู่ความปลอดภัย ศัตรูจะท�ำลายเราไม่ได้ ศตั รกู ค็ อื กเิ ลสหรอื มาร ใหส้ ังเกตดูวา่ เวลามันอยากดู แตเ่ ราไม่ให้ มันดู อยากฟงั อยากฟังมากๆ แลว้ เราไม่ฟัง มันเป็นอยา่ งไร จะเปน็ จะตายไหม กไ็ ม่เหน็ เปน็ อะไร ปถุ ุชนมักมคี วามคดิ ผดิ ว่า ถ้าเราได้ดู ส่ิงสวยงาม หรือได้ฟังเสียงไพเราะ เหมือนกับเราได้ก�ำไร ทั้งๆ ท่ี จรงิ ๆ แล้วกไ็ มไ่ ด้อะไร มนั ก็แค่นั้นแหละ ชยสาโร ภิกขุ 169
. ทหาร เมื่อพดู ถึงทหารแล้ว ก็นกึ ถงึ คำ� ถามทีค่ นถามกันมากว่า ทหาร ไปรบเพื่อชาตบิ าปไหม ฆา่ ศัตรเู พื่อป้องกนั ประเทศชาติ เป็นการฆ่า ศตั รโู ดยไมไ่ ดเ้ กลยี ดชงั กันเปน็ สว่ นตวั แตท่ �ำเพราะเปน็ หนา้ ที่ จะเป็น บาปหรือไม่ ก่อนอื่นเราต้องท�ำความเข้าใจกับความหมายของค�ำว่า บุญ และ บาป กรรมคอื อะไร กรรมคอื เจตนา เราตอ้ งจำ� ค�ำนี้ไว้ให้ดี ฉะน้ันการท�ำอะไรโดยไม่เจตนาก็ไม่ถือว่าเป็นกรรม ส่วนการ ท�ำอะไรด้วยความตั้งใจไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไรก็นับเป็นกรรม ชยสาโร ภกิ ขุ 171
จะเป็นกรรมดีกรรมช่ัวก็เป็นกรรมทั้งน้ัน เพราะท�ำด้วยความ ตง้ั ใจ ทหารยิงศตั รูตาย เขาตง้ั ใจยิงไหม ก็ต้องต้งั ใจสิ ต้ังใจยงิ ต้ังใจฆา่ แต่ก็มีเหตุผลวา่ ถกู บังคบั ให้ทำ� ตามหน้าที่บ้าง ทำ� เพอื่ ปอ้ งกันประเทศ ชาตบิ า้ ง ทำ� เพ่อื ป้องกันครอบครัวชมุ ชนสงั คมของเขาบ้าง แตเ่ หตุผล ประกอบนั้นเป็นสิ่งที่ท�ำให้บาปกรรมเบาลง คือถ้าตั้งใจจะฆ่าเขา อยา่ งทรมาน ต้ังใจให้เขาเป็นทกุ ข์มากๆ คิดวางแผนลว่ งหน้าวา่ จะ ท�ำอยา่ งไรเราจงึ จะฆา่ เขาอย่างเหีย้ มที่สดุ ใหเ้ ขาทรมานทสี่ ดุ อย่างน้ี บาปจะหนกั มาก แตถ่ า้ เขา้ ไปในสนามรบโดยไมค่ ิดอะไรอย่างน้นั เจ้านายส่งั ให้ ยิงไปทางไหนก็ยิงไปทางนั้นตามหน้าท่ีโดยไม่ได้คิดเกลียดเขา การ ท�ำตามหน้าท่ีบาปจะน้อยกว่า แต่ท่ีจะว่าไม่น่าจะเป็นบาปเพราะท�ำ เพอ่ื ประเทศชาต ิ นนั่ ไมใ่ ชป่ ระเดน็ ประเดน็ ท่ีจะเปน็ เครอ่ื งตดั สนิ วา่ เป็นกรรมหรือไม่เป็นกรรมอยู่ท่ีตัวเจตนา ฉะนั้นการที่ทหารต้ังใจ ฆ่าฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นบาป และกฎแห่งกรรมนี้ไม่สามารถลบล้างได้ ดว้ ยเหตผุ ลวา่ เขาตอ้ งท�ำเพือ่ ประเทศชาติ พระพุทธองค์ทรงสอนให้นักปฏิบัติอย่างเราเป็นทหาร นกั รบเหมอื นกนั ทา่ นใหเ้ รารบกบั กเิ ลสภายใน เราตอ้ งมวี ญิ ญาณ ของนักรบ ต้องกล้าหาญ ตอ้ งอดทน กล้าเสยี สละความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งคนสว่ นมากกอ็ ยากจะละทุกข์ คอื ไม่อยากจะเปน็ ทุกข์ อยากจะใหภ้ าวะอย่างน้ีหายไป แต่กลบั ไม่ อยากละเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ มนั กเ็ ลยละทกุ ข์ ไมไ่ ด้สักที 172 อักษรส่อสาร
เวลาทเ่ี ปน็ ทกุ ข์ วิตกกงั วล ปวดหัว ทรมานใจ แทนที่ คนเราจะดทู ส่ี าเหตุของมนั กลบั ไปดทู อี่ าการ แลว้ พยายามจะ ละอาการน้ัน แตถ่ า้ เราจะถอดถอนอาการน้นั ๆ ให้ได้ เราตอ้ งดู ท่ีเหตุ ซง่ึ จะต้องใชค้ วามกล้า กลา้ ฝนื ใจเจา้ ของ กล้าฝนื กระแส ของกิเลส กล้าท�ำสง่ิ ทีไ่ ม่อยากท�ำ กล้าเสียสละบางสิ่งบางอยา่ ง ท่ียงั ใหค้ วามสุขแก่เราบา้ ง ด้วยความเช่ือว่าเปน็ การสละความสขุ ที่มปี ระมาณน้อย เพื่อจะไดเ้ ขา้ ถงึ ความสขุ ทไี่ มม่ ีประมาณหรอื ความสุขสูงสุด เหมือนกับทหารที่ต้องกล้าเข้าไปในสนามรบ เรา ต้องเห็นกิเลสเป็นศัตรูท่ีน่ากลัว จงอย่าเสียดายกิเลส เราต้องเป็น นักรบ จึงจะชนะใจตนเอง พระพุทธองคต์ รสั ว่า การชนะใจตนเอง เปน็ ชยั ชนะทย่ี ิง่ ใหญ่ ยง่ิ ใหญ่กว่าการรบชนะศตั รูภายนอก พระพทุ ธองคท์ รงสอนวา่ นกั ปฏบิ ตั ทิ ก่ี ำ� ลงั สรู้ บอยกู่ บั กเิ ลสนน้ั หากมปี ญั หาตดิ ขดั ตอ้ งระลกึ ถงึ คณุ พระศรรี ตั นตรยั คณุ พระพุทธ ชยสาโร ภิกขุ 173
คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จะท�ำใหม้ กี �ำลังใจมากข้ึน เสมือนทหารที่ อยู่ในสนามรบ จะเกิดก�ำลงั ใจเม่ือเหน็ ธงชาตหิ รอื เห็นธงของกองทัพ เม่ือระลึกถึงพระพุทธเจ้า ให้เราระลึกว่า พระพุทธองคท์ รง เป็นต้นแบบที่ดีท่ีสุดของนักปฏิบัติ ทรงเป็นผู้เปิดเผยทางไปสู่ความ ดับทุกข์ เราก�ำลังปฏิบัติตามหลักที่ทรงฝากไว้ให้พวกเรา เราเป็น พุทธศาสนิกชน เป็นศิษย์พระพุทธเจา้ เราตอ้ งท�ำตามที่พระพทุ ธองค์ ทรงกระท�ำ เม่ือระลึกถึงพระธรรม ระลึกถึงความจริงท่ีทรงสั่งสอนว่า ตราบใดท่ีเราปฏิบัติตามค�ำส่ังสอน โดยไม่ให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อน จากหลักการของธรรมน้ัน เราจะไม่เป็นทุกข์ ท่ีเราเป็นทุกข์เพราะ เราลืมพระธรรม ฉะน้ัน ให้เราระลึกถึงความงามของพระธรรม ความเปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลโิ ก เอหิปัสสโิ ก โอปะนะยโิ ก ปัจจตั ตัง เวทติ พั โพ วญิ ญหู ิ จะท�ำใหม้ กี �ำลงั ใจเหมือนทหารเหน็ ธงชาติกลาง สนามรบ เมื่อระลึกถึงพระอริยสงฆ์ ก็ระลึกถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา และพระผใู้ หญท่ ง้ั หลาย ระลึกถงึ ปฏปิ ทาของทา่ น ระลกึ ถงึ ความ เยือกเยน็ ความสง่างามของท่าน ระลกึ ถึงความเมตตาของทา่ น ระลกึ ถงึ ความหนกั แน่นของทา่ น กจ็ ะเกดิ ก�ำลังใจเหมือนทหารเห็นธงชาติ ในสนามรบ เมอื่ พระอรยิ เจา้ ท่านท�ำได้ ท�ำไมเราจะทำ� ไม่ได้ ไม่วา่ หลวงปู่ม่ัน หลวงป่เู ทสก์ หลวงตามหาบัว หลวงปขู่ าว หลวงปชู่ า 174 อักษรส่อสาร
ก่อนบวชท่านก็เป็นชาวบา้ นธรรมดาเหมอื นพวกเรา ทา่ นกม็ กี เิ ลส เหมอื นกนั อาตมาเคยฟงั เทศน์หลวงตามหาบวั ท่านเล่าว่า ตอน เดก็ ๆ ทา่ นเปน็ คนนอนเก่ง ตอนเช้าๆ ลุกไม่ขึน้ เลย แมต่ อ้ งปลุก ทุกวนั ตอนทา่ นจะออกบวช ทกุ คนในครอบครัวคาดว่าคงจะอยู่ ไมไ่ หว อยู่บ้านสบายๆ ยังไมย่ อมลกุ อยวู่ ัดต้องตื่นตัง้ แตต่ ี ๓ ตี ๔ คงไม่ไหวแน่ แรกๆ ท่านก็มีปญั หาเหมือนกัน แต่ท่านต้งั อกตงั้ ใจ ตั้งอธิษฐานจติ ท่านจึงท�ำได้สำ� เร็จ ครบู าอาจารยท์ ่านไดพ้ ิสจู น์ ให้พวกเราเห็นว่า คนธรรมดาเปล่ียนเปน็ คนบรสิ ุทธไิ์ ด้ ท่านได้ พิสจู นว์ า่ มรรคผลนพิ พานไมพ่ ้นสมัย ถ้าไม่มพี ระอรยิ เจา้ อย่างนี้ เวลาเราอ่านเร่อื งในพระสูตร เราคงจะรสู้ ึกเหมือนอา่ นนยิ าย หรอื หากเป็นจริง กเ็ ปน็ เร่อื งของคนในสมยั สองพนั กวา่ ปีทแ่ี ล้ว คนละยคุ คนละสมัยกบั คนสมัยน้ี การมีครูบาอาจารย์ในยุคสมัยนี้เป็นพระผู้ท่ีได้ปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบ จนเข้าอริยมรรคอริยผลแล้ว ท�ำให้เราม่ันใจได้ว่า มรรคผล นพิ พานยังเป็นทห่ี วังได้ เราร้สู ึกไดว้ า่ สายสัมพันธ์ระหวา่ งปจั จุบนั กาลกับพุทธกาลยังต่อเน่ืองไม่ขาดสาย ทุกวันนี้เรายังให้ทาน รักษาศีล และภาวนา ตรงตามหลกั ค�ำสอนของพระพุทธเจา้ การทีเ่ รามารักษาศีล มาทำ� สมาธภิ าวนา เดินจงกรม เปน็ การท�ำ ตามแบบอย่างทีพ่ ระอริยเจา้ ทกุ ๆ องค์ไดท้ �ำมา ชยสาโร ภกิ ขุ 175
ฉะนั้นการระลึกถึงพระสงฆ์จึงท�ำให้เราเกิดก�ำลังใจเสมือน ทหารเหน็ ธงชาตใิ นสนามรบ ทำ� ให้เราปลาบปลื้มว่าเราเปน็ สายเดียว กนั กบั ทา่ น เปน็ ลูกศิษยล์ กู หาของพระสงฆ์ ผู้ทม่ี จี ิตใจเปยี่ มไปด้วย ความรู้ ความต่นื ความเบิกบาน เราจึงต้องฝึกคิดฝึกพิจารณาให้เป็น ฝึกคิดพิจารณาเร่ืองคุณ พระพุทธ คุณพระธรรม คณุ พระสงฆ์บ่อยๆ ใหเ้ กดิ ความช�ำนาญใน 176 อักษรส่อสาร
การระลึกอยใู่ นพทุ ธคุณ ธรรมคณุ สังฆคณุ แตล่ ะข้อ เพ่อื เปน็ กำ� ลัง ใจเม่ือรู้สึกท้อแท้หรือเบ่ือหน่ายหมดก�ำลัง การปฏิบัติของเราจึงจะ สม�ำ่ เสมอและไม่ทอ้ ถอย เมือ่ เราเปน็ ทหาร เราก็ไมไ่ ด้หวงั ความสะดวกสบาย หนักก็เอา เบากส็ ู้ พรอ้ มที่จะรบั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งอยูเ่ สมอ เราก็ทราบดีวา่ ความ จริงไม่ใช่ส่ิงที่เราจะเข้าถึงได้ง่าย ๆ เราก็ใจเย็น แต่ไม่ใช่เย็น จนเกินไป ทำ� อย่างพอด ี ๆ ทำ� ไปเรื่อย ๆ กเิ ลสมันจะค่อย ๆ ลดนอ้ ยลง เราอยา่ ไปคาดหวังมาก อยา่ เอาแตเ่ ปรียบเทยี บตวั เอง กบั คนอนื่ เราเปน็ อยา่ งนีแ้ หละ สว่ นคนอื่นเขาจะเปน็ อยา่ งไรก็เป็น เรื่องของเขา แตเ่ ราเปน็ อย่างนี้ ท่ีหมู่บ้านแห่งหนึ่งในญ่ีปุ่น มีหญิงชาวบ้านอายุมากคนหน่ึง ลกู ของเธอตายไปแล้ว แต่ทง้ิ หลานไวใ้ ห้ยายเลีย้ ง ยายรกั หลานมาก อยากให้หลานไดด้ ี แตย่ ายคนน้เี ป็นคนไมค่ อ่ ยมีเพือ่ น ไมค่ ่อยชอบ สังคมกบั ใคร คนในหม่บู ้านกไ็ มค่ ่อยชอบยายดว้ ย ความรักความหว่ ง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงทุ่มเทให้หลาน ยายเคยอุปัฏฐากพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ท่านเก่งในวิชาเขียนตัวหนังสือของญี่ปุ่น ซ่ึงเป็นวิชาท่ีคนญ่ีปุ่นคนจีน ยกย่องมาก ยายรู้ว่าท่านพอจะรู้จักกับอาจารย์ที่เก่งที่สุดในด้านนี้ ของประเทศท่อี ย่ใู นเมืองหลวง จงึ เข้าไปกราบอาจารยข์ องยายเพ่ือขอ ให้ท่านช่วยฝากฝังให้หลานได้ไปเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์องค์น้ัน ทา่ นจึงเขียนจดหมายถงึ อาจารย์ใหญท่ ีเ่ มอื งหลวง ชยสาโร ภกิ ขุ 177
ทา่ นมปี ากกาทส่ี วยงามมากมายหลายดา้ ม แตแ่ ทนทท่ี า่ นจะเอา ปากกามาเขยี น ทา่ นกลับเอาดินสอเก่าๆ มา ใชม้ ีดเหลา แล้วเขยี น จดหมายฝากฝังย่นื ให้ ยายขอบคุณอาจารย์แลว้ เดนิ ออกจากหอ้ งดว้ ย สหี น้าบดู บึ้ง ทำ� ไมท่านช่างไมเ่ มตตาเราเลย ท�ำไมไม่เอาปากกาดีๆ มาเขยี น ท�ำไมต้องใช้ดินสอเก่าๆ เขยี นด้วย ยายกลัวว่าอาจารย์ใหญ่ในเมืองหลวงเห็นจดหมายท่ีเขียน ด้วยดินสอแล้วจะไม่รับหลานของยาย แต่อย่างไรก็คงจะต้องลอง ดู อกี ๒ - ๓ วันต่อมา ยายจึงพาหลานไปเมอื งหลวง ไดเ้ ข้าไปกราบ 178 อักษรส่อสาร
อาจารย์ใหญ่ จะขอฝากหลานเป็นศษิ ย์ ยายยืน่ จดหมายจากอาจารย์ ของยายใหท้ า่ น อาจารยใ์ หญด่ ตู ัวหนงั สือแล้วบอกรับทันที ไม่ไดส้ นใจ วา่ เขยี นดว้ ยปากกาหรอื เขยี นด้วยดินสอ แคเ่ ห็นลายมือ ทา่ นกจ็ ำ� ได้ วา่ เคยรู้จักอาจารย์องค์นีม้ าก่อน ดูจากลายมือแม้จะเขยี นดว้ ยดินสอ กร็ ู้วา่ ทา่ นเป็นผ้เู ช่ียวชาญท่ีมีฝมี ือดมี าก จงึ รบั หลานของยายเป็นศิษย์ ยายกลับบ้านนอกดว้ ยความดีอกดใี จย่ิง สิ่งท่ีนา่ แปลกใจคือ เมือ่ ยายกลับบ้านไปอยคู่ นเดยี ว แทนที่ จะเหงาและหดหใู่ จคดิ ถงึ หลาน กลบั มคี วามเบกิ บาน มคี วามเมตตา กรณุ าตอ่ คนอนื่ มากขนึ้ ไม่นานตอ่ มา ปรากฏว่ามชี าวบา้ นคนนนั้ คนนี้ แวะเวยี นกันมาหายาย มาระบาย มาปรบั ทกุ ข์ มาขอคำ� แนะนำ� หรอื มาเยย่ี ม จนยายเกอื บจะไมม่ เี วลาวา่ งเลย ทกุ คนยอมรบั วา่ ยายเปน็ ผู้ ทม่ี เี มตตากรณุ ามาก จนไมน่ า่ เชอื่ วา่ จะเปน็ คนๆ เดยี วกบั ยายคนท่ีเคย รูจ้ ัก มีคนถามว่า ท�ำไมยายจึงเปลี่ยนจากแต่ก่อนไปได้ถึงขนาดน้ี ท�ำไมทุกวันน้ียายจึงรู้สึกเบิกบานเหลือเกิน ยายบอกว่า ยายได้ ขอ้ คดิ จากการไปหาทา่ นอาจารยท์ วี่ ดั ยายหวังมากว่า ท่านจะเขียน จดหมายด้วยลายมือที่สวยงามใหอ้ าจารยใ์ หญใ่ นเมอื งหลวงไดเ้ หน็ แลว้ ประทบั ใจ ยายตกใจมากทท่ี า่ นไมห่ ยบิ ปากกามาเขยี น กลบั เอาดนิ สอ เก่าๆ แล้วเอามดี มาเหลามนั เพื่อเขียนจดหมาย ปรากฏว่าอาจารย์ ใหญ่ท่ีเมืองหลวงกลับยิ่งประทบั ใจ ถา้ หากจดหมายเขยี นดว้ ยปากกา ชยสาโร ภกิ ขุ 179
ทา่ นคงจะไมป่ ระทบั ใจอยา่ งนน้ั ยายเลยมาทบทวนตัวเองว่า เราเห็น ดินสอเกา่ ๆ กน็ กึ ดูถกู วา่ ไมม่ ีประโยชน์ ไมส่ วยงาม ไม่มคี วามหมาย สู้ปากกาทีส่ วยๆ งามๆ แพงๆ ไมไ่ ด้ แต่ปรากฏวา่ เพียงใชม้ ดี เหลาๆ สกั หน่อย กลับเขยี นได้ดมี าก ยายจึงนง่ั คิดทบทวนว่า เอ... ตัวเราน่ี เหมือนดินสอนัน่ หรอื เปล่านะ อาจารย์ท่านต้ังใจสอนเราหรือเปล่าว่า เราก็เคยดูถูกตัวเอง วา่ เปน็ คนเกา่ ๆ แก่ๆ เปน็ คนไม่มีคุณธรรมอะไรเลย ดถู กู ดหู มน่ิ ตัว เอง ไม่เป็นเพ่ือนกับตัวเอง เมื่อไม่เป็นเพื่อนกับตัวเอง ไม่รักตัวเอง กเ็ ลยไมเ่ ปน็ เพอ่ื นกบั คนอน่ื ดว้ ย ไมร่ กั ใครเลย รักแต่หลานคนเดียว พอกลับมาอยู่คนเดียวก็มาคิดพิจารณาว่า อืม... ท่านอาจารย์ก็ แค่เอามีดมาแต่งดินสอเก่าๆ นั้นจนเขียนได้อย่างดี เราก็จะท�ำ เหมือนกนั เราจะขัดเกลาส่ิงเก่าๆ ท่ีเปน็ คราบในจติ ใจของเรา ไม่แน่ ว่าเราอาจจะท�ำให้ตัวเองดีและมีประโยชน์ เหมือนกับท่ีท่านอาจารย์ ท�ำดินสอแท่งน้ันให้ดีก็ได้ จากน้ันยายก็พยายามท�ำวัตรสวดมนต์ น่ังสมาธิทุกวัน รู้สึกได้ว่าจิตใจยายดีขึ้นๆ แล้วคนนั้นคนน้ีก็มาพูด คุยขอค�ำปรึกษา ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรในตัวยาย ยายเคยรู้สึกว่าตัว เองเหมือนดินสอเก่าๆ ท่ีไม่น่าใช้เขียนตัวหนังสืองามๆ ได้ แต่เมื่อ ได้ฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง เหมือนท่านอาจารย์เอามีดมาแต่งดินสอ สิ่งดีงามภายในก็ปรากฏออกมาให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเอง และคนรอบข้าง 180 อักษรส่อสาร
ฉะนน้ั เมอื่ เราปฏบิ ตั ิ อยา่ ไปนอ้ ยใจวา่ มอี ปุ สรรค อยา่ ไปนอ้ ยใจ วา่ มีศตั รู ทั้งศตั รภู ายนอกและศตั รูภายใน เพราะมันเป็นเร่ืองธรรมดา ทหารยอ่ มตอ้ งรบกับศัตรู นักปฏบิ ัตกิ ต็ อ้ งรบกบั กเิ ลส การปฏบิ ตั ไิ มใ่ ช่ เร่อื งง่ายๆ เวลาเราอา่ นพระสูตร แหม...ทำ� ไมคนสมัยน้นั ชา่ งบรรลุ กันงา่ ยเหลอื เกิน ฟังเทศนฟ์ ังธรรมไม่ก่ีประโยคก็บรรลแุ ล้ว อา่ นแลว้ อาจจะนกึ นอ้ ยใจ แตถ่ ้าเราอ่านพระวินยั โอย...อาจจะเกดิ ความรู้สกึ ท่แี ตกต่าง พระวนิ ัยจะกล่าวถงึ พระทมี่ ีพฤตกิ รรมไม่เหมาะสม เชน่ ซกุ ซน คดิ ผิด ลามกอนาจาร หรอื ท�ำความช่วั ร้ายต่างๆ จนแทบไม่น่า เชือ่ เลยว่า จะอย่ใู นวดั เดียวกับพระอริยเจา้ ทเี่ ราไดอ้ า่ นหรือได้ฟังจาก พระสตู รยกตัวอยา่ งเรื่องทพ่ี ระฉัพพัคคีย์โกรธพระทพั พมลั ลบุตรแล้ว อยากจะหาอุบายใส่ร้ายพระทัพพมัลลบุตร วันหนึ่งพระฉัพพัคคีย์ เดินออกไปนอกวัด เห็นแพะตัวผู้ตัวเมียก�ำลังร่วมเพศกัน เลยต้ัง ชอื่ แพะตวั ผู้วา่ ทัพพมลั ลบตุ ร แลว้ ก็ตั้งช่ือแพะตัวเมียเปน็ ชือ่ ภิกษุณี องคห์ นงึ่ เมอื่ กลบั เขา้ ไปในวดั กไ็ ปเลา่ วา่ ทพั พมลั ลบตุ รเสพเมถนุ กับ ภกิ ษณุ อี งคน์ ี้ พอใครหาวา่ โกหกกย็ นื ยนั วา่ ไมไ่ ดโ้ กหก มนั เปน็ ความจรงิ ซ่ึงหมายถึงการเห็นแพะ ๒ ตัว แต่เม่ือได้ใช้ช่ือภิกษุภิกษุณีต้ังช่ือ ให้แพะ กเ็ รยี กตามชอื่ ทีต่ นเองต้งั ไม่ไดบ้ อกวา่ เป็นแพะ ทำ� ให้เกดิ ความวุน่ วายในวดั ชยสาโร ภิกขุ 181
นี่ก็เป็นตัวอย่างของความซนหรือความคิดผิดของพระในสมัย พุทธกาล ซ่ึงอยู่ในวัดเดียวกันกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลาและ พระผใู้ หญท่ ง้ั หลาย มีตวั อยา่ งอื่นๆ อีกมากมายทีแ่ สดงว่ามีพระไม่ ดอี ยปู่ นกับพระทด่ี ี พระพุทธองคต์ รัสวา่ จิตใจนฝ้ี กึ ได้ยากมาก จิตใจนี้กวัดแกว่งอยู่ตลอดเวลา จิตใจนี้รักษายาก การที่ท่าน สอนพระอย่างน้ีย่อมแสดงว่า ไม่ใช่พระทุกรูปต้องมีสมาธิดี ต้อง ปฏบิ ัตไิ ดง้ า่ ยเหมอื นท่ีบางคนอาจจะคดิ แม้ในสมยั พทุ ธกาล พระพุทธองค์ยงั ตรัสถึงความยากล�ำบาก ในการฝึกจติ ฉะนน้ั นักปฏิบัตหิ รอื นกั รบอยา่ งเราก็ไมต่ อ้ งเสียใจหรอื คดิ ทอ้ ถอยวา่ โอ... กิเลสมนั ชา่ งเยอะเหลอื เกนิ จิตใจน้ที ำ� ไมจงึ สอน ได้ยากนกั มันเปน็ อย่างนมี้ าต้งั แต่สมัยพุทธกาลแล้ว แมก้ ับผู้ท่มี ีบญุ มากพอทีไ่ ด้เกิดในมชั ฌิมาประเทศ มีบญุ มากพอท่ีไดัฟังพระพุทธเจา้ เทศน์ หรือได้บวชเป็นพระภิกษุภิกษุณีในส�ำนักของพระพุทธเจ้า การปฏิบตั กิ ็ยังยากอยู่ นบั ประสาอะไรกับพวกเรา เราจงึ ต้องสู้ตอ่ ไป เป็นทหารท่ีตอ้ งสตู้ ามหนา้ ที่ ในทีส่ ดุ การสนู้ ้ันต้องไดผ้ ล ในทีส่ ดุ เรา กต็ อ้ งชนะอยา่ งไม่ต้องสงสยั พระพทุ ธองคต์ รัสไว้ชัดเจนวา่ ท�ำดี ได้ดี และการภาวนาคือยอดของความดี เพราะฉะนั้น ผลที่ ต้องไดก้ ็คือยอดของความดี 182 อักษรส่อสาร
ชยสาโร ภิกขุ 183
. พาล ตวั พ พาน แต่จะขอพเิ ศษหน่อย คอื จะไม่เทศน์เรอื่ งตวั พ พาน ทส่ี ะกดดว้ ย น หนู แตจ่ ะใช้ ล ลงิ คอื พูดถงึ พ พาล พูดถึงคนพาล คนพาลเปน็ อยา่ งไร ใครคือคนพาล ทว่ี า่ พาลก็มีท้ังภายนอก และภายใน พาลภายนอก คอื ตัวบคุ คลชนดิ ทม่ี ีคำ� จ�ำกดั ความ งา่ ยๆ คือ คนที่ชอบทำ� ช่วั ชอบพูดชั่ว ชอบคิดช่วั น่ันคือพาลหรอื คนพาล ส่วนพาลภายใน คอื กิเลสของเราเอง ส่งิ ทท่ี ำ� ใหเ้ ราคดิ ช่วั พดู ช่ัว ท�ำช่ัว พาลภายในน่นี ่ากลัวท่สี ดุ นา่ กลวั ยง่ิ กวา่ พาลภายนอก พระพุทธองค์ทรงแนะน�ำว่า เราควรจะพยายามอยู่ห่างไกลจาก คนพาล อยา่ ไปคบค้าสมาคมด้วย การหลีกหนจี ากพาลภายนอก ยังมี หวังทีจ่ ะทำ� ได้ แตก่ ารหลกี หนีจากพาลภายในนน้ั ยากมาก ท่าน จงึ ใหเ้ ราระมัดระวัง อย่าประมาทในกเิ ลส แมแ้ ต่ตัวเล็กตวั น้อย แม้แต่เร่ืองเล็กเรื่องน้อย ท่านให้เราระมัดระวังอย่าให้บานปลาย อย่าให้เรอ่ื งเล็กๆ เพมิ่ ขน้ึ ๆ จนเป็นเร่อื งใหญ่ ซง่ึ เป็นสิ่งท่เี ปน็ ไปได้ งา่ ยสำ� หรบั ผทู้ ่ีไม่ได้เจริญสตใิ นชีวิตประจ�ำวัน ชยสาโร ภกิ ขุ 185
การเรียกใครว่าเป็นพาล อาจจะเป็นค�ำพดู ที่รุนแรง แล้วเราก็ ไม่ควรที่จะเรียกใครว่าเป็นพาลอย่างนั้น เพราะไม่มีใครที่จะเป็น พาลตลอดเวลา คนเราทกุ คนมกั จะสามารถเปน็ ทง้ั พาลทงั้ บณั ฑติ ได้ในตัวคน ๆ เดียว บางครั้งก็ปฏบิ ัติเหมอื นเป็นบณั ฑิต แต่บางครั้ง กป็ ฏบิ ัติหรอื ประพฤติเหมอื นเป็นพาล ฉะนั้น เราปฏิบัติก็เพื่อให้ตัวเองเป็นพาลน้อยลงและเป็น บัณฑติ มากขึ้น เราตอ้ งใหก้ ำ� ลงั ใจความเปน็ บณั ฑติ ของผอู้ น่ื และไมส่ นบั สนนุ ความเป็นพาลของผู้ใด ถ้าเรามัวแต่จับผิดหรือเพ่งโทษคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์หรือต�ำหนิติเตียนความเป็นพาลของใคร เขาอาจจะ เกิดปฏิกิริยาโกรธหรือน้อยใจ เพราะคนเราส่วนมากอัตตาสูง ถ้ามี ใครมาวพิ ากษว์ จิ ารณต์ ำ� หนติ เิ ตยี น กม็ กั จะตอ่ ตา้ นหรอื ไมค่ อ่ ยยอมรบั ฉะนั้น ผู้ท่ีหวังดีหรือผู้ที่หวังว่า ถ้าเราช้ีความผิดให้เขาฟัง แล้วเขาจะยินดี เขาจะเข้าใจแล้วกลับตัว ก็มักจะต้องพบกับความ ผิดหวัง เทคนิคที่จะได้ผลกว่าส�ำหรับคนส่วนใหญ่คือ แทนที่จะไป 186 อักษรส่อสาร
มงุ่ พดู ถงึ เรอื่ งความเปน็ พาลของเขา เราควรจะพยายามหาความ เป็นบัณฑิตของเขามาพูดชมเชยและให้ก�ำลังใจ ให้เขามีความ ภาคภูมิใจในส่ิงท่ีดี เพ่ือให้เขาอยากที่จะเป็นคนท่ีดียิ่ง ๆ ข้ึน นน่ั ไมไ่ ด้หมายความวา่ เราจะไมพ่ ดู ในเรอื่ งท่ีไมด่ ี มนั จ�ำเป็นที่เรา จะต้องพูดอยู่เหมือนกัน แต่ต้องท�ำให้เขารู้สึกมีความหวังท่ีจะ เปล่ียนแปลง มีหวังที่จะกลบั ตัว และมหี วงั ทจี่ ะดียิ่งขนึ้ ๆ ตอ่ ไป อยา่ งไรกต็ าม เราตอ้ งยอมรบั ว่า คนพาลบางคนไมม่ ีทางทีจ่ ะ กลับตัว เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมเปล่ียนแปลงตัวเอง เราต้อง แยกแยะว่าถา้ พูดในแงค่ วามสามารถ ทุกคนสามารถจะพัฒนา ตวั เองได้ ทุกคนมคี วามสามารถท่จี ะกลบั ตวั ได้ มนั แตกต่างกนั อยู่ ท่ีการยอม บางคนยอม แต่บางคนไม่มีทางเลยท่ีจะยอม แม้แต่ พระพุทธองค์เองก็ใช่ว่าจะทรงสามารถฝึกอบรมทุกคน ที่ไป เข้าเฝ้าท่านได้จนประสบความส�ำเร็จ ไม่ใช่ว่าทุกคนท่ีได้ฟังโอวาท จากพระพทุ ธองคไ์ ด้บรรลธุ รรมเป็นพระอรยิ บคุ คล บางคนกไ็ ม่เคารพ ทา่ น บางคนไม่ยอมรบั ฟงั ค�ำสอน คนทโ่ี กรธพระพุทธเจ้าไปเลยก็มี ชยสาโร ภกิ ขุ 187
คนบางคนชอบปดิ ก้ันตัวเองไว้ ราวกับตงั้ อกต้ังใจทีจ่ ะตกนรก ใครจะพดู อยา่ งไรกไ็ ม่ยอมฟงั คนอยา่ งนีค้ อื พาลโดยแท้ พระพทุ ธ องคเ์ คยตรสั ไว้ว่า พาลทย่ี อมรับวา่ ตวั เองเป็นพาลนน้ั ก็ถือว่าเปน็ บัณฑิตอยู่ในระดับหน่ึง แต่พาลท่ีไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นพาล นั่นแหละ เป็นพาลโดยแท ้ ท�ำไมจึงเปน็ อย่างนั้น เพราะถา้ คนเรา ยอมรบั วา่ ตวั เองมีกิเลส ตวั เองยงั ไม่คอ่ ยรเู้ รือ่ งสกั เท่าไหร่ หรือตัวเอง ยงั แพ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงอยบู่ ่อยๆ เม่ือมีความคดิ เห็นใน เรอื่ งใดกต็ าม ก็มกั จะมคี วามอ่อนนอ้ มถอ่ มตนอยบู่ ้าง เพราะยอมรับ ว่าเรามกี ิเลสอยู่ ยอมรบั วา่ เรายงั มคี วามเปน็ พาลอยู่บ้าง เรากจ็ ะไม่ เชอื่ ความคดิ ของตวั เองจนเกนิ ไป แต่พาลที่เชื่อว่าตวั เองฉลาด พาล ที่เอาปริญญาบัตรเป็นเคร่ืองพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นบัณฑิต นั่นแหละ อันตราย เพราะเขามองไม่เห็นความเปน็ พาลของตวั เอง ทจ่ี รงิ แลว้ อาตมาไมอ่ ยากจะใช้ค�ำว่า “พาล” กับ “บณั ฑิต” สกั เทา่ ไหร่ แตอ่ ยาก จะใช้คำ� ว่า “ความเป็นพาล” และ “ความเป็นบณั ฑิต” เพราะอยา่ ง ที่กล่าวมาก่อนแล้วว่า ความเป็นพาลและความเป็นบัณฑิตมีอยู่ใน ทกุ ๆ คน เว้นแต่พระอริยเจ้าที่ท่านหมดความเปน็ พาลโดยสิ้นเชิง สำ� หรบั ผู้ทีย่ งั เป็นปุถชุ นอยู่ และผูท้ ่กี �ำลงั จะเป็นกัลยาณชน กย็ งั ตอ้ ง มคี วามเปน็ พาลอยบู่ า้ ง นเี่ ป็นเรื่องท่ตี ้องยอมรับ 188 อักษรส่อสาร
ฉะนั้น การที่เราได้ดูตัวเองบ่อยๆ เฝ้าสังเกตการณ์การ เคลื่อนไหวของจิตใจบ่อยๆจนสังเกตเห็นกิเลสของตวั เองแลว้ ถงึ จะ ยังมีความเปน็ พาลอยู่ ก็ไมห่ ลงว่าตัวเองเปน็ บณั ฑติ การทเี่ ชอื่ อะไร แล้วมั่นคงแน่วแน่ในความเช่ือนั้น ถือเป็นความเสียเปรียบอย่างหน่ึง เพราะเหมือนกับหมดโอกาสท่ีจะเรียนรู้ในเรื่องนั้นแล้ว เหมือนเรา เหน็ คนทีน่ บั ถอื ศาสนาบางศาสนา หนา้ ตาแจม่ ใสเบิกบานดี แต่เปน็ ความเบกิ บานทอ่ี าศยั การปดิ กนั้ ไมย่ อมฟงั และไมย่ อมรบั ความคดิ ท่ไี ม่ ตรงกบั ทฤษฎหี รอื ความเชื่อถอื ของตวั เอง มนั ไมเ่ หมือนความเบิกบาน ท่เี กดิ จากปญั ญา มนั ยังไม่ใช่ของแท้ ผทู้ มี่ คี วามเปน็ พาลมาก มกั จะเหน็ สง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ สาระว่าเปน็ สาระ และเห็นสิง่ ทเ่ี ปน็ สาระวา่ ไมเ่ ปน็ สาระ นี่เปน็ เอกลกั ษณข์ องพาล เชน่ เห็นว่าการเข้าวัดเป็นการเสียเวลาเปลา่ ๆ ไมร่ จู้ ะไปเขา้ วดั ทำ� ไม นงั่ หลบั ตาไมเ่ หน็ เกดิ ประโยชนอ์ ะไร อย่างนี้เรียกว่า เห็นสิ่งท่ีเป็นสาระ วา่ ไม่เปน็ สาระ ส่วนการเห็นส่งิ ท่ไี ม่เป็นสาระวา่ เป็นสาระ เช่น เห็น เร่อื งการบนั เทงิ เร่อื งการไปเท่ยี ว เรือ่ งการเล่นกีฬา เรอื่ งการดูกีฬา เรอ่ื งการซือ้ ของ เร่ืองการแตง่ ตัว เร่ืองเครอื่ งตกแต่ง ว่าเปน็ เรื่องใหญ่ เปน็ เรื่องทส่ี �ำคญั มาก นี่คือลักษณะของพาล และความเปน็ พาลใน จติ ใจของคน สิ่งทีค่ วรจะสนใจ สิ่งท่ีเป็นประโยชน์แก่ชวี ิตของตน ชีวติ ครอบครัวของตน ชวี ติ ของชุมชนน่กี ลบั ไมส่ นใจ แล้วยงั อา้ ง ว่าไมม่ ีเวลา หรืออา้ งว่าไม่เห็นจ�ำเปน็ อะไร เราไม่เคยท�ำความชวั่ ชยสาโร ภิกขุ 189
อะไร ไมเ่ คยสรา้ งความเดือดรอ้ นแกใ่ คร เราจะต้องไปสนใจมนั ทำ� ไม นคี่ ือความเป็นพาลในจิตใจของคนท่ีปรากฏออกมาทางวาจา เขาลมื ไปเลยว่าชีวิตของคนเรานี่มันส้ันเหลือเกิน แล้วเราเกิดมาก็ไม่ใช่ว่า เกดิ แคค่ รงั้ เดียว ตายแลว้ สูญ พระพุทธองคท์ รงย้ำ� ในเรือ่ งน้บี อ่ ยๆ ว่า น�ำ้ ตาทเ่ี คยไหลออก มาจากตาของเรา ถ้ารวมกันแล้วจะเป็นมหาสมุทรเลยทีเดียว จะ กว้างใหญ่และลึกกว่ามหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเป็นมหาสมุทรท่ีใหญ่ท่ีสุด ในโลก ท่านพยายามให้เราได้จินตนาการถึงความยาวนานอย่าง ยงิ่ ของการเวียนวา่ ยตายเกดิ เพราะคนเรามกั จะไมค่ ิดในเรอ่ื งนี้ ตายแล้วเราจะไปไหน เรากย็ งั ไมร่ ู้ มันกเ็ ลยไมอ่ ยากจะคิด แตเ่ รา ต้องคดิ บา้ ง ถงึ แม้วา่ เราไม่มีทางท่ีจะรู้อยา่ งแน่นอน เราก็ควรจะฟัง จากนักปราชญ์ ควรจะฟังจากผู้รู้ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในฐานะท่เี ราเป็น ชาวพุทธ เราต้องเชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็น 190 อักษรส่อสาร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356