Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Description: อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

ผ้ทู ีม่ ีปรีชาญาณ และมปี ญั ญาเฉียบแหลมที่สดุ ในประวัตศิ าสตร์ ไมม่ ี ใครจะร้แู ละเขา้ ใจเร่ืองของมนษุ ยย์ ่งิ ไปกว่าพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงเลือกธรรมะหรือส่ิงที่เป็นประโยชน์มาสอน มนษุ ย์ สง่ิ ใดท่ไี ม่เปน็ ประโยชน์ ส่งิ ใดท่ีไมค่ วรหรือไม่จ�ำเปน็ จะต้องรู้ ทา่ นกไ็ มส่ อน เพราะเร่ืองท่ีทรงหย่ังรนู้ ีม่ ากมายเหลอื เกิน ท่านจึง เลือกเฉพาะส่ิงท่ีเป็นประโยชน์  และส่ิงหนึ่งที่ท่านสอนก็คือเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด  เป็นส่ิงที่ท่านได้เปิดเผยให้เราได้ทราบได้ เขา้ ใจว่า เราไม่ไดเ้ กิดครง้ั เดียว ตายแลว้ ไมส่ ูญ ตราบใดทเ่ี รายงั มีกเิ ลสอยู่ ตราบใดท่ยี งั มีเชอื้ อยู่ ไฟคือกิเลส ยงั จะต้องลามตอ่ ไป เรายังจะตอ้ งเกิด จะตอ้ งแก่ จะตอ้ งเจ็บ จะตอ้ งตายตอ่ ไป ชยสาโร ภกิ ขุ 191

ฉะน้ันในเมื่อเราตายแล้ว  เราต้องไปเกิดอีก  เราก็ควรจะหยุด คิดหยุดพิจารณาว่า  เราควรจะเตรียมตัวอย่างไรส�ำหรับชาติหน้า จริงอยู่ว่าหัวใจของการประพฤติปฏิบัติอยู่ท่ีชาติน้ี  อย่างที่อาตมา สอนอยู่เสมอๆ  แตน่ ั่นไมไ่ ดห้ มายความว่า เราไม่ควรจะค�ำนึงถึงเรื่อง ชาตหิ นา้ เลย ชาตปิ จั จบุ นั นส้ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ถา้ ชาตนิ ด้ี แี ลว้ ชาตติ อ่   ๆ ไปก็ต้องดี  น่ีเป็นสัจธรรมความจริง  แต่บางครั้งเพ่ือจะเตือนสติ ไม่ให้เราประมาท  การพิจารณาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดบ้างเพ่ือให้ เกดิ ประโยชนก์ ็ไมผ่ ิด ทนี ี้ พาลกไ็ ม่อยากจะคดิ อย่างน้ี พาลไม่อยากจะรับรู้เรอื่ งความ แก่ ไม่อยากจะรบั รู้เร่อื งความตาย พยายามจะไม่คิด ถ้าใครพูดเรอื่ ง ความแก่ ใครพูดเร่ืองความตาย จะไมพ่ อใจทนั ที ...อยา่ เพิง่ พดู ...อยา่ เพิ่งพดู ถือวา่ เปน็ การสาปแช่งบ้าง ถือวา่ เปน็ อปั มงคลบ้าง ถือวา่ เป็น เรื่องไมน่ า่ ฟงั ทำ� ราวกบั วา่ ถา้ เราตกลงกนั วา่ จะไมพ่ ดู เรอ่ื งนี้ ไมเ่ อย่ ชื่อความแก่ ไม่เอย่ ชือ่ ความตาย ความแก่ก็จะไมเ่ กิดขึ้น ความตายก็ จะไมเ่ กดิ ข้ึน ซ่ึงที่จริงแลว้ ไม่วา่ จะพดู ถึงหรอื ไมพ่ ูดถงึ ก็ตาม ความแก่ ความตายต้องเกิดข้ึนตามเหตุตามปัจจัยของมัน  เหตุปัจจัยคืออะไร กค็ อื การเกิดน่นั เอง เกดิ แล้วก็ต้องแก่ ไมม่ ีใครคัดคา้ นเร่อื งนี้ แกแ่ ล้วก็ ต้องตาย 192 อักษรส่อสาร

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีให้มนุษย์เราสนใจในความ เป็นมนุษย์ของตัวเอง  ไม่ให้เราเป็นปลาท่ีไม่รู้จักน�้ำ  แต่ให้เรารู้จัก ความเปน็ มนษุ ย์ของเรา คนเรามอี ายอุ ยใู่ นโลกน้อี ย่างมากทสี่ ุด  สกั ๑๐๐ กวา่ ปี และนอ้ ยคนนกั ทจี่ ะอยถู่ ึง ๑๐๐ ปี สว่ นมากอายุ ๖๐-๗๐ ปี กเ็ ต็มท่แี ลว้ ใชไ่ หม  อาตมาเคยถามแมอ่ อกทม่ี ีอายมุ ากวา่ อยากอยู่ ถึง ๑๐๐ ปีไหม แม่ออกนอ้ ยคนที่อยากจะอยู่ถงึ ๑๐๐ ปี เพราะมัน ทรมานเกนิ ไป ฉะน้นั ในเมอ่ื ชีวติ เรายืนยาวอยูเ่ พียงแคน่ ี้ เราก็ควรจะสนใจ ทำ� ชีวิตของเราใหเ้ ปน็ ชวี ติ ทดี่ ี เราทำ� อะไรสว่ นมากก็อยากจะท�ำใหด้ ี ใช่ไหม ถ้าเป็นนกั เรียนทีด่ กี ็ตอ้ งต้ังอกตั้งใจเรียนหนงั สอื ถา้ เลน่ กฬี า ก็อยากจะเปน็ นกั กีฬาทด่ี ี ถ้าทำ� งานก็อยากทำ� งานให้ดี ในท�ำนอง เดียวกัน  เราเป็นมนุษย์  เราก็ควรสนใจในการเป็นมนุษย์ที่ดีที่มี คณุ ภาพ ท�ำอยา่ งไรชีวติ ของเราจึงจะมีคณุ ภาพ นีเ่ ปน็ ข้อคดิ หรอื เปน็ ขอ้ สงสัยท่ีเราควรจะตั้งไว้ถามตวั เอง แต่พาลจะไมค่ ิดอย่างน้ี พาลจะคิดน้อยมากหรือจะไม่คิดอะไรเลย  จะหาแต่ความสุขเฉพาะ หนา้ โดยไมค่ ำ� นึงถึงผลทีจ่ ะตามมา ขาด “หริ ิ” ขาด “โอตตัปปะ” หริ ิ คือความละอายต่อบาป  โอตตปั ปะ  คอื   ความเกรง กลัวต่อบาป  ท้ังหิริและโอตตัปปะเกิดจากปัญญา  สมมติว่าเรา ก�ำลังจะท�ำความชั่ว  แล้วฉุกคิดได้ว่า  เราเป็นผู้ถือศีล  เราเป็นลูก ศิษย์ครูบาอาจารย์  เราท�ำอย่างน้ันไม่ได้หรอก  มันน่าละอาย  หรือ ชยสาโร ภิกขุ 193

คดิ ว่าชาวพุทธท�ำอย่างนน้ั ไม่ได้หรอก มนั นา่ ละอาย นคี่ อื หริ ิ ความ ละอายต่อบาป  คือเอาปัญญามาเทียบระหว่างสิ่งท่ีก�ำลังคิด อยากจะท�ำกับส่ิงที่ควรท�ำ  พิจารณาว่ามันเหมาะสมหรือไม่ สำ� หรับตวั เราในฐานะทเ่ี ปน็ มนุษย์ หรอื ในฐานะท่เี ปน็ ชาวพุทธ หรอื ในฐานะทเี่ ป็นลูกศษิ ยค์ รูบาอาจารย์ หรือเป็นลูกศิษยว์ ัดปา่ ดูว่าส่งิ ท่ีเราอยากจะท�ำอยากจะพูดมันเข้ากันได้หรือไม่กับฐานะท่ีเราเป็น หรือต้องการจะเป็น  ฉะน้ัน  การเสริมสร้างความละอายต่อบาป จึงเกิดจากการพิจารณาฐานะของตัวเอง  ในฐานะท่ีเราเป็นมนุษย์ คนหนึง่ หรอื ในฐานะทเี่ ราเปน็ ชาวพุทธคนหนึง่ เป็นต้น 194 อักษรส่อสาร

ส่วนความเกรงกลัวต่อบาปมันเป็นอย่างไร  ความเกรงกลัว ต่อบาปเกิดจากความเคารพย�ำเกรงหรือความหวังดีต่อคนอ่ืน เชน่ ครอบครัวของเราหรือสถาบันท่เี ราทำ� งานอย่ ู เป็นตน้   คือ  ถา้ เราท�ำความช่วั กจ็ ะทำ� ให้คนในครอบครวั เราเป็นทกุ ข์ คนเรามกั ไม่ คอ่ ยจะคิดอยา่ งนี้ ยงิ่ ถ้าเปน็ พาลก็ยิง่ ไม่คิด ถา้ เปน็ พาลแลว้ เรอื่ งไหนสนกุ นเี่ อาทงั้ นน้ั ใครจะชวนไปกนิ เหล้า ชวนไปเลน่ การพนัน กไ็ ปเพราะตอ้ งการความสนกุ แตถ่ ้าเปน็ บณั ฑติ ถึงแม้ว่าจะยังมคี วามเปน็ พาลอย่บู า้ ง ยอมรับว่ายงั ชอบสนุกอยู่ ยัง ชอบเล่นการพนันอยู่  แต่เม่ือคิดถึงว่า  ถ้าเล่นการพนันแล้วเสียเงิน ครอบครวั เราจะเดือดรอ้ น แมบ่ า้ นต้องไมช่ อบ ลกู หลานกค็ งไมช่ อบ ถ้าทำ� ลงไปแลว้ จะท�ำใหค้ รอบครัวเราเป็นทุกข์ ท�ำใหเ้ กิดความกลวั ข้ึนมา กลวั วา่ ครอบครัวจะเป็นทุกข์ กลวั วา่ ครอบครัวจะเศรา้ หมอง เพราะความผิดพลาดของเรา  หรือถ้าเราท�ำอะไรผิดพลาดแล้วถูก ต�ำรวจจับ  นี่ก็กลัวเหมือนกัน  กลัวถูกต�ำรวจจับ  กลัวคนอื่นดูถูก กลวั ว่าครอบครัวเราจะลำ� บาก คดิ อย่างน้เี รียกวา่ ใชป้ ัญญา ย่ิงไปกว่า น้นั แล้ว ถา้ เราพจิ ารณาในกฎแหง่ กรรม  จนเชือ่ ม่ันวา่ ท�ำชั่วได้ชวั่ ท�ำความช่ัวไปแล้ว  ย่อมต้องมีวิบากกรรม  เร่ืองน้ีไม่ข้ึนอยู่กับ สงั คมและค่านิยมของสังคม เพราะในท่ีสดุ แล้ว กรรมช่วั นน้ั ต้อง ให้ผลท่ีเปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ ร้อนอยา่ งไม่ต้องสงสยั ชยสาโร ภกิ ขุ 195

สมมตวิ า่ พาลอยใู่ นสงั คมของคนพาล เมอ่ื ทำ� ความชวั่ คนแวดลอ้ ม กถ็ อื ว่าเปน็ เร่ืองดี ยกยอ่ งวา่ เขาฉลาด เขาไมไ่ ด้สัมผสั กับคนดที ่ีจะ รังเกียจการกระท�ำของเขา บริวารก็มีแต่คนประจบประแจง มีแต่คน เอาใจ ท�ำความผิดแลว้ ก็มแี ตค่ นให้กำ� ลงั ใจ ใหท้ ำ� ให้มากกวา่ นี้ ท�ำให้ เขาเหลงิ ท�ำให้เขาเช่อื วา่ ความชัว่ ของตวั เองนี่ไม่ชัว่ หรอก อาจจะเป็น เชน่ นอ้ี ยู่นานเป็นปีๆ ๕ ปี ๑๐ ปี แต่มนั จะเหมือนกับมมี ะเร็งอยใู่ นใจ มคี วามเศรา้ หมองภายใน และความเศร้าหมองกจ็ ะเพม่ิ ข้ึนๆ บางคน กจ็ ะเป็นทกุ ข์ในชาตนิ ี้ เป็นทเ่ี กลยี ดชังของคนดหี รอื คนทตี่ อ้ งการให้ สงั คมด ี บางคนกอ็ าจจะโดนบรวิ ารซงึ่ เปน็ คนพาลดว้ ยกนั ทรยศหกั หลัง เม่ือเคยเบยี ดเบยี นคนอน่ื ตอ่ มากโ็ ดนเขาเบยี ดเบยี นเอาบ้าง บางคน กรรมช่ัวอาจจะยงั ไมเ่ หน็ ผลเลยในชาตนิ ี้ แต่ในท่ีสุดแลว้ ก็จะตอ้ ง ได้รับผลกรรมอยา่ งแนน่ อน  อาจจะในชาตหิ นา้ หรอื ชาตติ อ่   ๆ  ไป เพราะธรรมชาตมิ ันมคี วามสมดลุ ของมันเชน่ นั้น ฉะนั้น  ถึงดูเหมือนว่าคนพาลจะได้น่ันได้น่ี  แต่ต่อไปก็จะ ต้องเสีย  แม้จะมีช่ือเสียงและเป็นท่ียกย่องในหมู่คนพาล  แต่ก็ไม่มี สง่าราศีและไม่มีชื่อเสียงในหมู่คนดี  ถ้าเราเป็นคนฉลาดหรือเป็น คนท่ีมีคุณภาพ  เราย่อมจะไม่มุ่งหวังหรือยินดีในค�ำสรรเสริญ และการยอมรับจากคนช่ัว  เราควรจะมุ่งหวังการยอมรับและ ความเคารพจากคนดีมากกวา่ 196 อักษรส่อสาร

ลกั ษณะของพาลอีกประการหน่ึงคือ  คนพาลส่วนมากมักไม่ พอใจที่จะเป็นพาลคนเดยี ว แตอ่ ยากจะใหค้ นอืน่ เปน็ ดว้ ย เพราะ ถา้ เป็นพาลคนเดยี ว ก็จะโดนคนอื่นวพิ ากษ์วจิ ารณอ์ ยูค่ นเดียว ถา้ เป็น พาลกันหมดก็จะค่อยเบาใจ  เราจะเห็นในหมู่สงฆ์ซึ่งเป็นกลุ่มสังคม ของคนดี ทา่ นจะปวารณาซง่ึ กันและกัน หมายถงึ ว่า พระทุกรปู ตอ้ ง บอกเพ่อื นสหธรรมกิ ผคู้ รองพรหมจรรย์ทกุ องค์วา่ ...ถ้าผมท�ำอะไรผดิ พูดอะไรผิด  กรุณาตักเตือนผมบ้าง  กรุณาตักเตือนด้วยความหวังดี หรอื ความสงสารผมบา้ ง... นัน่ หมายถงึ ว่า แมจ้ ะเปน็ เจา้ อาวาส ท่าน ก็ปวารณาเช่นน้ีต่อเณรน้อยที่นั่งปลายแถว  เณรน้อยมีอะไรก็พูดได้ นี่เป็นระบบเดิมของสถาบันสงฆ์  ซึ่งหายไปมากจากสงฆ์ในสมัย ปัจจุบันนี้ แต่เดิมทใี นสมัยพุทธกาลเป็นอย่างนี้ พระผใู้ หญย่ นิ ดที ี่ จะรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้น้อย  โดยไม่ถือว่ามันเป็นการขาด ความเคารพ แตถ่ อื วา่ ทกุ คนอยดู่ ว้ ยความหวงั ดตี อ่ กัน และส่วน หน่ึงของการแสดงออกถึงความหวังดี  คือการให้ข้อคิด  หรือ การใหเ้ สยี งสะทอ้ น แต่ทุกวันน้เี ราออ่ นมากในเรอื่ งนี้ ชยสาโร ภกิ ขุ 197

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างหมู่บัณฑิตกับหมู่คนพาล  มันต่างกัน อยา่ งไร หมูบ่ ัณฑิตจะตกลงกันว่า “เอาอยา่ งนี้นะ ผมท�ำอะไรผดิ ทา่ น ชว่ ยบอกผมนะ แลว้ ถา้ ท่านท�ำอะไรผิด ผมจะช่วยบอกท่าน เราจะ ช่วยกนั ” เพราะทกุ คนยอมรับวา่ ต่างกม็ ีจุดบอดดว้ ยกันท้ังนน้ั จงึ ตกลงรว่ มกันทจี่ ะช่วยกันแก้ไข สว่ นคนพาลจะไม่พูดอยา่ งน้ัน คนทมี่ ีความเป็นพาลสงู จะบอกกนั วา่ “เอาอย่างนี้นะ ฉนั ทำ� อะไรผิด คณุ ไมต่ อ้ งพูดอะไรนะ ทำ� เฉยๆ เอาไว้ แล้วถ้าคุณท�ำอะไรผดิ ฉันก็ จะไม่พดู ไม่บอกใครเหมือนกนั ” น่.ี ...มนั ตา่ งกนั อยา่ งน้ี ผมเห็นความ ชั่วของคณุ ผมจะไมบ่ อกใคร แล้วถ้าคุณเหน็ ความชั่วของผม กอ็ ย่าไป บอกใครนะ น่.ี .. คนพาลเขาชว่ ยกนั อย่างน้ี มันตรงกนั ขา้ มกนั 198 อักษรส่อสาร

อาตมาว่าให้เอาแบบพระจะดีกว่า  เปิดรับข้อคิดจากคนอื่น บางครั้งคนหวังดตี ่อเรา แตเ่ ขายงั เขา้ ใจเราผดิ ก็มี กอ็ ย่าเพิง่ น้อยใจ ถ้าเรารู้ว่าเขาหวังดี เราก็ฟังเขาด้วยความอดทน เม่ือมีโอกาสหรือ กาละเทศะท่เี หมาะสม เราก็คอ่ ยชแ้ี จงให้เขาฟงั ว่าที่เขาเข้าใจ จรงิ ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  หากว่ายังไม่ใช่กาละเทศะท่ีจะไปชี้แจง เราก็อดทนเอาไวก้ ่อน ซงึ่ ถ้าเรารวู้ า่ เขาพูดดว้ ยความหวังดี เรากน็ า่ จะทนได้ แล้วก็ค่อยๆ ปรับความเขา้ ใจ แตก่ ารที่จะใหท้ ุกคนเข้าใจ เรา มันเปน็ ไปไดย้ าก หรอื มนั เปน็ ไปไม่ไดเ้ ลย โลกน้ีมันต้องมีทั้ง เขา้ ใจ เข้าใจบา้ งไมเ่ ขา้ ใจบา้ ง และเข้าใจผดิ มนั เป็นเรอ่ื งธรรมดา เราก็ยอมรับความเป็นธรรมดาของโลกมนุษย์  เราจะได้ไม่ต้อง ไปเปน็ ทกุ ขก์ ับมัน ชยสาโร ภกิ ขุ 199

การท่ีคนพาลชอบให้คนอ่ืนเสียตามเขา  เป็นส่ิงท่ีเราต้อง ระมัดระวัง  เราต้องรู้จักปฏิเสธคนบ้าง  การปฏิเสธคนอื่นน่ีเป็นเรื่อง ท่ียาก  อาตมาพูดในฐานะที่เป็นคนท่ีปฏิเสธคนยาก  น่ีเป็นจุดอ่อน ของอาตมาที่ก�ำลังพยายามแก้  แต่อาตมาก็โชคดีท่ีมีอาจารย์สังวโร รองเจ้าอาวาสท่านเกง่ มาก อะไรทท่ี ่านเห็นวา่ ไมถ่ กู ตอ้ ง ไม่เหน็ ด้วย ไม่เหน็ ควร หรอื ท่านไมช่ อบ ท่านก็ “No” ปฏิเสธไปทันที อาตมารสู้ ึก ชมเชยท่านมากในเร่อื งน้ี นเ่ี ป็นคณุ ธรรมของท่าน ซึง่ อาตมากไ็ ดเ้ รียนรู้ จากท่าน  การท่ีเราได้อยู่ในหมู่บัณฑิต  จึงเป็นบุญตรงท่ีเรา สามารถเรียนรู้จากความดีของคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา  โดย ไม่ต้องไปคิดว่า ใครเป็นผู้ใหญ่ใครเป็นผนู้ อ้ ย เราเห็นส่งิ ใดดี ปรากฏที่ตรงไหน ปรากฏกบั ใคร เรากเ็ รียนรทู้ ่ีจะพฒั นาสิ่งนนั้ ใหม้ ขี ึน้ ในตัวเรา 200 อักษรส่อสาร

สังคมไทยเป็นสังคมที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลมากกว่าหลักการ เรอ่ื งน้จี ะต้องระมดั ระวังที่สุด เพราะไม่ เช่นนั้น  ระบบบุญคุณหรือระบบอุปถัมภ์จะเป็นโทษแก่เรามาก หมายความวา่ หากผู้มบี ุญคณุ ตอ่ เรา ขอให้เราท�ำความช่ัว เราก็ไม่ กล้าปฏิเสธ จริงๆ แล้วเร่อื งการตอบแทนบุญคณุ เราไมค่ วรจะลืม ว่า  ผู้ที่มีบุญคุณสูงสุดต่อชีวิตของเราคือพระพุทธเจ้า  เพราะ ฉะนั้น ถ้าผู้มีบุญคุณตอ่ เรา ไมว่ า่ จะเปน็ เจา้ นาย จะเปน็ คณุ พอ่ คณุ แม่ หรอื เปน็ ใครกต็ าม ถา้ ขอใหเ้ ราทำ� สงิ่ ทผี่ ดิ ศลี ธรรม เรากไ็ มต่ อ้ งทำ� ตาม ถ้าใครขอให้เราท�ำความช่ัว ชักน�ำเราไปในทางเสื่อมเสีย แลว้ เรายอมทำ� ตาม แทนทจ่ี ะเปน็ การตอบแทนบญุ คณุ เขา เรากลับ ทำ� ใหเ้ ขาสร้างบาปกรรมเพมิ่ ขนึ้ ใช่หรอื ไม่ เพราะเขาประสบความ สำ� เรจ็ ในการทำ� ใหค้ นดที �ำสิง่ ทไ่ี มด่ ี ซึ่งไม่ใช่สงิ่ ท่ีควรสนบั สนุน เราควร จะแยกแยะระหว่างการตอบแทนบุญคุณของผู้ท่ีมีพระคุณต่อเรา กับการอยใู่ นศีลในธรรม เราต้องมีขอบเขต ต้องมีหลักการ และ ต้องมีจุดยืนของตัวเอง เราจึงจะปลอดภยั ไม่ใช่วา่ ใครจะชวนทำ� อะไรก็ต้องตามทุกอยา่ ง เพราะเกรงใจเขา หรอื เพราะอยากจะเอาใจเขา กลวั เขาจะทง้ิ เรา กลวั เขาจะรำ� คาญเรา กลวั เขาจะรงั เกียจเรา  ถ้าเปน็ อย่างน้ีก็เปน็ การทำ� ด้วยความกลวั ทำ� เพราะกิเลส  ไม่ได้ท�ำด้วยสติปัญญา  เราต้องเรียนรู้ว่า  อะไรควร อะไรไม่ควร  อะไรเป็นบุญ  อะไรเป็นบาป  เพ่ือจะมีหลักการ ชยสาโร ภิกขุ 201

เพ่อื จะมเี คร่อื งตัดสิน เพ่อื จะมีมาตรฐานของตวั เอง ไม่อย่างนนั้ เรากจ็ ะเควง้ คว้าง ใครจะพาไปไหนก็ไป มนั อนั ตราย เราก็จะกลาย เปน็ พาลไปกับเขาด้วย หรอื อยา่ งนอ้ ยๆ ก็เหมอื นกบั เราถือหอ่ ปลา เน่าไว้ ทำ� ให้เราพลอยเหมน็ ไปด้วย เราจึงต้องระวงั ถา้ เราคบค้าสมาคมกบั คนไม่ดี ถึงแมว้ ่าเราเอง ตั้งใจจะไม่พาลตามเขา มนั ก็ไม่แน่ เร่ิมต้นอาจจะรกั ษาหลักการนี้ได้ แตเ่ มือ่ สนทิ กนั แล้ว อยดู่ ้วยกันนานๆ เข้า หลักการของเราจะค่อยๆ เสื่อมไป เขาจะคอยดึงเราลง ดึงลงๆ ในทส่ี ุดแลว้ เราก็จะเสียคน ไปเลย และแมใ้ นระหว่างทเ่ี รายงั ไม่เสียคน แตค่ นอนื่ ทเ่ี ขามองว่า เราสนทิ กับคนท่ีไมด่ ีคนนั้น เขาตอ้ งคิดว่าเรากับคนน้นั เปน็ พวก เดียวกนั มคี วามชัว่ เหมอื นกนั เพราะการทค่ี นดกี บั คนช่ัวจะอยู่ ดว้ ยกันนาน  ๆ มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ เราจะกลายเป็นที่ติฉินนนิ ทาของ ใครต่อใครโดยไม่จ�ำเปน็ 202 อักษรส่อสาร

บางคร้ังคนพาลกพ็ าลด้วยความโลภ ความอยากได้ เมอ่ื อยาก ไดแ้ ลว้ ก็ทำ� สงิ่ ที่ไมค่ วรท�ำ พูดสง่ิ ทีไ่ ม่ควรพูด ใชห่ รอื ไม่ คนพาลอยาก ได้อะไรบ้าง กอ็ ยากได้อำ� นาจ อยากไดช้ ือ่ เสียง อยากไดเ้ งนิ อยากได้ ทอง น่ีคอื ความบ้าของคน สว่ นจติ ใจที่ปกตินนั้ จะมคี วามสุขภายใน มคี วามสุขกับคณุ ธรรม ความอยากเหลา่ นีจ้ ะไม่ค่อยปรากฏ ในขณะท่ี จิตใจของคนพาลจะวา่ งเปล่า ไมม่ ีอะไรอยูภ่ ายใน เขาจึงตอ้ งหา อะไรสักอยา่ ง เพือ่ จะทำ� ให้รู้สึกว่าตวั เองมคี วามหมาย ใหช้ วี ิตมี ความหมาย จิตใจก็เลยวุ่นอยู่กบั ความอยากได้ อยากไดอ้ ำ� นาจ อยากไดเ้ งนิ อยากมชี ื่อเสียง อยากไดน้ น่ั อยากไดน้ ี่ แลว้ ไมใ่ ช่เพียงแค่ อยากได้นั่นอยากได้น่ีเท่านั้น  ยังมีการเปรียบเทียบด้วย อยากได้ดี กว่าของเขา อยากได้สูงกว่าของเขา มีการมองเพื่อนมนุษย์ว่าเป็น คู่แข่ง  แทนที่จะมองว่าเป็นเพ่ือนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไปดขู องๆ เขาแล้วมาเทียบกับของๆ ตวั ถ้าของตวั เองดกี ว่าของเขา ก็จะภมู ใิ จ แหม...เราเกง่ เราดี ของเขาสู้ของเราไม่ได้ หรือถ้าเราเห็นว่า ของๆ เขาดกี วา่ ของๆ เรา ก็จะ แหม...อจิ ฉา ท�ำไมเราถึงไมไ่ ดอ้ ยา่ ง นน้ั สกั ที โอ... ทำ� ไมจึงสูเ้ ขาไมไ่ ด้ บางทีได้ของดีๆ มาแล้ว ชอบมาก ใช้ไปๆ จนกระท่งั วนั ใดวันหนึ่ง เห็นของๆ คนอน่ื แลว้ จติ ใจเปลย่ี น ทันที ...เทยี บกับของๆ เขาแลว้ ของๆ เราน่รี ู้สึกว่ามันหยาบ มันนา่ รำ� คาญ รสู้ กึ ว่ามันโทรม รู้สกึ มนั ...... แหม... ไมถ่ กู ใจเลย ทัง้ ๆ ทขี่ องๆ เรากย็ งั ไมม่ อี ะไรเปลย่ี นแปลงเลย มนั ยังเหมือนเดมิ แตจ่ ิตใจของเรา ชยสาโร ภกิ ขุ 203

เปล่ียน เปลีย่ นจากยนิ ดเี ปน็ ยินร้ายภายในไมก่ ่วี ินาที เพียงเพราะเห็น ของคนอ่ืนที่เราคิดวา่ ดกี วา่ ความเปน็ พาลทจ่ี ะทำ� ใหเ้ รากลายเปน็ คน พาลก็เกิดขึ้น วางแผนหาทางท่จี ะไดอ้ ย่างเขา ทีน้ีเร่ืองการท่ีจะได้สิ่งที่อยากได้  บางทีมันไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่ไหม ยง่ิ ถ้าเป็นคนซอื่ สตั ย์สุจริตน่ีย่งิ ยาก เพราะฉะนั้นคนใจร้อน คนมักง่าย มักจะคิดหาทางลัด ทางลัดก็คือ เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เบียดเบียนคนอ่ืน ใช้อุบาย ใชเ้ ลห่ ์เหลี่ยมทีจ่ ะได้ของๆ เขา หรอื ทีจ่ ะ เอาสงิ่ ทไ่ี ม่ใช่ของเราหรอื ไม่ควรแก่เรา 204 อักษรส่อสาร

จากความคดิ ชว่ั กก็ ลายเปน็ การกระทำ� ชวั่ ทนี เี้ มอื่ เราทำ� ชวั่ แล้ว กต็ ้องพูดชว่ั บ้างใช่ไหม ในการวางแผน ในการสง่ั ในการลงมอื กระท�ำ ส่ิงท่ีช่ัวนั้น  ภายหลังถ้ามีการสอบถาม  เราก็ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ๆ ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนัน้ ไมเ่ คยท�ำ เห็นนกั การเมอื งบางคนหรือจะเป็นใครกต็ าม ทีท่ กุ คนกร็ ู้ว่าเขาทจุ รติ แต่ท�ำไมเวลาโดนกล่าวหาแล้วต้องโกรธ โกรธ ราวกับวา่ ตัวเองเป็นคนบรสิ ทุ ธ์สิ ะอาด ท�ำไมใครๆ จงึ ไดม้ องเราอยา่ ง นัน้ น่คี อื ความเปน็ พาล คนท่ีเป็นพาลแล้ว ไมใ่ ชแ่ คท่ ำ� ชัว่ อย่างเดียว ยงั พดู ชัว่ อีกดว้ ย ปิดบงั อำ� พราง ยงั แสดงอาการโกรธอาฆาตมาด ร้ายเมอ่ื มคี นนำ� ความช่ัวของตนมาเปิดเผย คนพาลจะโกรธง่าย ได้ยนิ อะไรเลก็ ๆ นอ้ ยๆ เชน่ ไดย้ นิ คนตำ� หนิความช่ัว คนพาลก็ไม่ ชอบแล้ว หรอื ไดย้ นิ ใครยกยอ่ งคนดี ก็จะร�ำคาญมาก ไม่อยากฟงั เลย ความรู้สึกของคนช่ัวต่อความดี  เปรียบเหมือนคนก�ำลังเป็นไข้รู้สึกต่อ น้ำ� เยน็ หรือน�ำ้ แข็ง ...โอ...ไมช่ อบเลย ชยสาโร ภิกขุ 205

ฉะนน้ั เราดคู วามเป็นพาลไดจ้ ากการกระท�ำและจากการพูด เราจะพดู กับเขาด้วยความยากลำ� บาก เพราะอะไรท่ีเราพูด เขาจะ ไม่ยอมรับ เขาจะปกปอ้ งตวั เองทกุ สิง่ ทกุ อยา่ ง แลว้ บางทเี ขาก็พาล โกรธเราด้วย ยง่ิ ถา้ เป็นคนมอี ำ� นาจแลว้ เวลาโกรธใครก็ไมใ่ ชโ่ กรธ ธรรมดาๆ ยิ่งถ้าเปน็ เจ้าพอ่ ก็อาจสงั่ เกบ็ เลย มอื ปนื ในเมอื งไทยหา ไม่ยาก จ้างไม่ยาก ค่าจ้างไมแ่ พง หรือไม่เช่นนนั้ ก็ส่งคนไปซ้อมหรอื อาจจะไปตีเขาเองก็มี อย่างน้ีกเ็ ป็นพาลดว้ ยการกระทำ� บางคนก็เป็น พาลดว้ ยความหลง คดิ มาก ฟุง้ ซ่านมาก ทำ� อะไรๆ ดว้ ยความมักง่าย ไมร่ ะมัดระวงั แลว้ กต็ ามมาดว้ ยอบุ ตั เิ หตุ ไมใ่ ชอ่ ุบตั เิ หตุที่เกิดเพราะ ความตั้งใจ แตเ่ ป็นอุบตั ิเหตทุ ีเ่ กดิ เพราะความไม่ตัง้ ใจ เราทุกคนจึงต้องพยายามลดความเป็นพาลในตัวเอง  อย่างท่ี ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่   ไมใ่ ชว่ า่ เราจะชว้ี า่ คนนเ้ี ปน็ พาล  คนนน้ั เปน็ บณั ฑติ เพราะคนท่ียังไม่ถึงขั้นพระอริยเจ้า  ยังมีท้ังความเป็นบัณฑิตและ ความเป็นพาลอยูใ่ นตัวเอง บางคนความเปน็ บณั ฑิตเหนือกวา่ ความ เป็นพาล  บางคนความเป็นพาลเหนือกว่าความเป็นบัณฑิตเสีย จนเกือบจะมองไมเ่ หน็ ความเป็นบณั ฑติ ของเขาเลย แต่มนั กต็ ้องมี อย่บู ้าง เพยี งแตว่ า่ ถูกความชว่ั ทับถมเอาไว้ คือ ไม่วา่ เราจะทำ� อะไร มนั จะเกิดความเคยชนิ คนที่ท�ำความช่ัวบ่อยๆ เขาจะทำ� ความช่ัว ไดง้ า่ ยทำ� ความดไี ดย้ าก  ถา้ พดู ปด  พดู คำ� หยาบ  พดู สอ่ เสยี ดถากถาง 206 อักษรส่อสาร

บ่อยๆ มนั จะกลายเป็นนิสยั จะพูดไดง้ ่าย แต่จะพดู ในทางทดี่ ที ง่ี าม ไดย้ าก ความคดิ กเ็ ชน่ กนั ถา้ จติ มนั ตกรอ่ งบอ่ ยๆ มนั ก็จะคดิ แต่เรอื่ ง น้ันเปน็ ประจำ� ถา้ คิดแต่เรอ่ื งไม่ดี มนั จะเปล่ียนหรอื จะหยดุ คดิ ในเรอื่ ง นัน้ ยาก เพราะการคดิ บอ่ ยๆ มนั จะกลายเปน็ ร่องลึก พระพทุ ธองค์ จึงทรงสอนวา่ อยา่ คบคนพาล เมื่อเราเข้าใกล้ใครก็ตาม  แล้วรู้สึกว่ามันจะท�ำให้เรากล้าท�ำ สง่ิ ท่ปี กตจิ ะไมก่ ล้าทำ� เพราะรสู้ ึกวา่ ไม่เหมาะสม เวลาพดู คุยกับคนๆ นนั้ ทไี ร ก็มกั จะพูดกนั แตเ่ รือ่ งเหลวไหล หรือมักจะพูดนินทาคนนั้น นนิ ทาคนนีอ้ ยตู่ ลอดเวลา หรอื วา่ คยุ กบั คนๆ นนั้ แล้วรู้สกึ เศร้าหมอง ไม่สดช่นื เลย ถา้ เปน็ อยา่ งนี้ แสดงว่าคนๆ นัน้ เปน็ พาลส�ำหรับเรา แต่กบั คนบางคน เวลาเข้าใกลแ้ ล้วรูส้ ึกเย็น รู้สึกสบาย พดู คยุ เร่อื ง อะไรกันก็รู้สึก...แหม  มันมีความสุข  คนอย่างนี้แหละท่ีเป็นบัณฑิต ส�ำหรับเรา  แล้วเราเองก็ต้องพยายามเป็นบัณฑิตส�ำหรับคนอ่ืนด้วย ให้เขามคี วามสุขสบายในการคบหากบั เรา เรามีความรู้อะไร ก็ไม่ต้อง พูดมากเหมอื นคนร้อนวชิ า ไมใ่ ชว่ ่าจะต้องเทศน์ให้เขาฟัง ถ้าเป็น อย่างนน้ั คนสว่ นมากจะไมช่ อบ จรงิ ไหม เราพูดอะไรไม่ต้องมาก แต่ให้เหมาะสมกับผูฟ้ งั ดว้ ยความหวังดี เรามีความรูอ้ ะไร เราก็พดู ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน  คือไม่ได้มุ่งที่จะอวดความรู้ของตัวเอง แตจ่ ะพูดอะไรกพ็ ดู ดว้ ยความต้องการให้เขาไดร้ ับประโยชน์ที่แท้จริง ชยสาโร ภกิ ขุ 207

เหมือนกับอาตมาอยู่ท่ีวัดนี่ ตอนเช้าหลังฉันเสร็จ ก็น่ังรับแขก พูดคุยกับญาติโยมท่ีมาวัดจนถึงเท่ียงทุกวัน  บางวนั กม็ โี ยมมามาก บางวนั กไ็ มม่ าก แตไ่ มว่ า่ ใครจะมากต็ าม จะเปน็ คนกรงุ เทพฯ จะเป็น คนอบุ ลฯ จะเปน็ ชาวกรุง จะเป็นชาวบา้ น จะเปน็ ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย จะเปน็ ใครกต็ าม เรากต็ ง้ั อกตง้ั ใจวา่ จะพยายามพูดสิ่งทีเ่ ป็นประโยชนแ์ กผ่ ู้ มาเยอื น อาตมาอาจจะพดู มากพูดนานกบั บางคน พดู นอ้ ยกับบางคน แตจ่ ะพดู มาก หรอื พดู นอ้ ยน้ัน ก็อยทู่ ่สี ่งิ ท่จี ะเป็นประโยชนแ์ ก่เขา ไม่ใช่ว่ายิ่งพูดมากยิ่งดี  บางทีการพูดไม่ก่ีค�ำอาจจะเป็นประโยชน์ มากกว่าการเทศน์เป็นชวั่ โมง กแ็ ลว้ แต่กรณี อาตมาเองก็พยายามเหมือนกัน  พยายามจะเป็นบัณฑิต พยายามจะทำ� หนา้ ทพี่ ระทด่ี ี สว่ นพวกเราถงึ จะไมใ่ ช่พระ แตเ่ รากเ็ ปน็ บัณฑิตได้  เราเป็นผู้ใหญ่และเป็นคนเข้าวัดเข้าวา  เป็นผู้ท่ีได้ศึกษา หลักค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้ามาพอสมควรแล้ว  เราเป็นผู้ท่ีมุ่งม่ัน ในการปฏิบตั ธิ รรม และมีประสบการณบ์ า้ งแล้ว  ก็นับวา่ เรามีความ เปน็ บณั ฑิตพอสมควร เรากต็ ้องเผยแผ่ความเปน็ บัณฑติ บ้าง เราต้อง เป็นตวั อยา่ งที่ดี เมอื่ มีใครมาคยุ กับเรา ก็ไม่ใช่วา่ จะตอ้ งชักน�ำให้คุยแต่ เรื่องธรรมะธมั โมอย่เู สมอ แต่ให้พูดสิ่งที่เปน็ ประโยชน์ ส่งิ ทมี่ ีเนอื้ หา สาระ ส่งิ ทน่ี า่ ฟงั 208 อักษรส่อสาร

ชยสาโร ภิกขุ 209



.  มา้ ญาติโยมบางคนคงเคยทราบว่า  บ้านของโยมพ่อโยมแม่ท่ี อาตมาอยู่มาตัง้ แต่อายุ ๑๐ ถงึ ๑๗ ปนี ้นั อยู่ในเมืองที่มีชอ่ื เสียง เร่อื งมา้ เพราะมสี นามแข่งม้าท่ีเกา่ แก่ทสี่ ุดของอังกฤษหรอื จะของ ยุโรปก็วา่ ได้ เมื่อ ๓๐๐ ปที ่แี ลว้ กษตั รยิ ์อังกฤษชอื่ ชาลสท์ ่ี ๒ ชอบ ไปแขง่ ม้าทเ่ี มืองอาตมาซ่งึ ชื่อว่า นวิ มารเ์ ก็ต (New Market) แปลว่า ตลาดใหม่ (market แปลว่าตลาด new แปลว่าใหม่) ท้งั ๆ ทจี่ ริงๆ แล้วมันเกา่ แกต่ ั้งหลายรอ้ ยปี นัน่ เปน็ เพราะมกี ารยา้ ยตลาดจากทเี่ ดิม ที่มีโรคระบาดมาอยู่ท่ีนี่ จึงตั้งชื่อเมืองนี้ว่า นิวมาร์เก็ต ตอ่ มาเมอื ง ตลาดใหมก่ ม็ ชี อ่ื เสยี งในเรอื่ งการแขง่ มา้ มคี อกมา้ หลายแหง่ และที่ พิเศษคือ  ในตัวเมืองมีถนนส�ำหรับม้าโดยเฉพาะ  เพื่อให้ม้าที่อยู่ใน คอกได้ออกมาว่ิง  อาตมาจึงเห็นม้าทุกวัน  และมีการแข่งม้าอยู่เป็น ประจ�ำ คนองั กฤษทว่ั ประเทศท่อี ยากจะเป็นนักขีม่ า้ แขง่ จะตอ้ งมาฝึก ที่เมืองนี้  คุณสมบัติส�ำคัญของนักข่ีม้าคือต้องเป็นคนตัวเล็ก  แล้วท่ี เมืองอาตมาก็มคี นตวั เล็กเยอะ สมยั กอ่ นตอนอาตมาเปน็ วัยรุ่น อยาก ออกไปกินเหล้ากบั เขา แตอ่ ายุยังไมถ่ งึ ๑๘ ปี กเ็ ลยฉวยโอกาสปลอม ตวั พยายามใหเ้ ขาคดิ วา่ เราเปน็ คนตา่ งจงั หวดั มาขมี่ า้ ทต่ี ัวเล็กน่ไี มใ่ ช่ ชยสาโร ภกิ ขุ 211

เลก็ เพราะอายุนอ้ ย  แตเ่ ล็กเพราะเป็นพวกขม่ี ้า เพราะพวกเราวยั รนุ่ ไม่รูจ้ ะไปเที่ยวที่ไหน  อากาศมันไมร่ อ้ นเหมือนเมอื งไทย ทจ่ี ะไปนัง่ คยุ กันทีไ่ หนก็ได้ ที่บา้ นเมอื งอาตมาอากาศหนาว นง่ั คุยกันหนา้ บา้ น กไ็ ม่ไหว ผบั ที่คนไปกินเหลา้ จึงเปน็ ที่เดยี วทจี่ ะไปพบปะเพอื่ นฝงู ได้ อาตมาเลยติดนิสัยกินเหล้ามาตั้งแต่อายุ ๑๔ - ๑๕ พออายุ ๑๗ - ๑๘ ก็เลิก เหตุที่เลิกประการแรก คือ อาตมาออกจากบ้านไปอยู่ต่าง ประเทศ ข้อที่สอง คือ ที่อาตมาชอบเข้าไปดื่มเหล้าในผับตอนอายุ ๑๔ - ๑๕ เพราะมันผิดกฎหมาย มนั ตน่ื เต้นดี พออายถุ ึงเกณฑ์ ถูก กฎหมายเสยี แลว้ มันเลยรู้สึกเฉยๆ นี่กเ็ ปน็ นิสัยวัยรนุ่ ทีช่ อบท�ำอะไรที่ มนั ผดิ กฎหมาย 212 อักษรส่อสาร

ทีนี้มาพูดถึงม้าในพระพุทธศาสนา  ถ้าพวกเรามีโอกาสหยิบ พระไตรปิฎกมาอ่าน จะพบว่ามีเร่อื งเกี่ยวกับมา้ มากทีเดยี ว เพราะ พระพุทธองคท์ รงชอบเปรียบเทียบมนษุ ยก์ ับมา้ ทรงว่ามนุษยท์ ไ่ี ดร้ บั การฝกึ อบรมมาดเี ปรยี บเสมอื นมา้ อาชาไนย ซง่ึ หมายถงึ มา้ พนั ธด์ุ ที ไี่ ด้ รบั การฝกึ อบรมอยา่ งดี พระองค์ตรัสถึงคุณสมบัติ ๓ ข้อ ของม้า อาชาไนย คือสมบรู ณด์ ว้ ยสี สมบรู ณด์ ว้ ยกำ� ลงั และ สมบูรณด์ ้วย ความไว พระราชาตอ้ งการม้าที่สวย สดี ี เป็นมา้ ท่ีมกี �ำลัง เปน็ มา้ ท่ีว่ิงเร็ว  พระพุทธองค์ตรัสว่า  พระที่ควรแก่ความเคารพนับถือ ของคฤหสั ถ์ หรอื พระประเภททเี่ รยี กวา่ เนอ้ื นาบญุ แหง่ โลก ตอ้ งมี คณุ สมบตั เิ หมอื นกบั มา้ พนั ธด์ุ ี คอื ตอ้ งสมบรู ณด์ ว้ ยสี สมบรู ณด์ ้วย กำ� ลัง และ สมบูรณด์ ว้ ยความไว ขอ้ แรก ความสมบรู ณด์ ว้ ยสขี องพระนนั้ เปน็ อยา่ งไร คือ เปน็ ผู้ ทมี่ ีศลี สมบูรณ์ เปน็ ผทู้ อ่ี ยดู่ ้วยปาฏโิ มกขสังวรหรอื สำ� รวมอยู่ในพระ ปาฏโิ มกข์ เล็งเหน็ โทษแมแ้ ตใ่ นเรอ่ื งเล็กนอ้ ย หมายถงึ พระที่เอาจริง เอาจังกับพระวินัย แมใ้ นอาบตั เิ ลก็ อาบัติน้อย ท่านกย็ งั ใหค้ วาม เคารพ ให้ความสำ� คญั บางทพี ระเราเห็นข้ออาบัตเิ ยอะแยะมากมาย บางเรื่องท่านเหน็ ว่าเปน็ แคอ่ าบัตเิ ลก็ น้อย  ทา่ นก็ว่าชา่ งเถอะ ไม่เปน็ ไรหรอก  อย่างน้ีเรียกว่าไม่สมบูรณ์ด้วยศีล  พระที่พระพุทธองค์ทรง สรรเสริญ คือ พระทใี่ หค้ วามเคารพในอาบัติทั้งหมด ชยสาโร ภกิ ขุ 213

สว่ นฆราวาสจะสมบรู ณ์ดว้ ยศลี ได้ กเ็ ม่อื ใหค้ วามสำ� คญั กับศีล ของตนทกุ ข้อให้ความส�ำคญั กบั ศีลในทุกแง่ทุกมมุ บางครั้งบางส่ิงบาง อยา่ งอาจจะไม่ชดั เจน หรือเราอาจจะรูส้ ึกว่าถงึ จะผิดก็ผดิ ไม่มาก ไม่ เปน็ ไรหรอกอยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ประมาทถอื เปน็ จดุ เสอื่ มเพราะความเสอื่ ม ในชวี ติ ของเรามักจะเกิดทีละเล็กทีละน้อย หลวงปู่มั่นเตือนลูกศิษย์ ของท่านเสมอว่า  ความเสื่อมเกิดจากความประมาทในอาบัติเล็ก อาบตั นิ ้อย  ท่านบอกว่าเส้ียนไม้ทเ่ี ข้าตาเราจะเป็นเสี้ยนเลก็ ๆ ไมใ่ ช่ ไมท้ อ่ นใหญ่ เส้ียนเล็กๆ นี่แหละที่จะเกิดปัญหา ท่านบอกวา่ ศลี ของเรากเ็ ชน่ เดยี วกนั เราจะสังเกตได้วา่   สงิ่ ใดกต็ ามท่เี รากำ� ลังจะ ท�ำ  แล้วรู้สึกวา่ ฝนื ความรู้สึกของตวั เอง รูส้ ึกวา่ ไม่ดี มีความละอาย ความเกรงกลวั เกดิ ขึน้ แต่บางครัง้ ตณั หาความอยากหรอื กเิ ลสมกี ำ� ลงั มากกว่าหิริโอตปั ปะหรือความละอายและเกรงกลวั ของเรา เราจงึ ทำ� ลงไป เมือ่ ไดท้ ำ� ไปแล้วเปน็ ครง้ั แรก ก็เกดิ ความรู้สกึ ว่า เราได้เสียไป แลว้ ในเร่ืองน้ี เมื่อคิดจะท�ำครง้ั ที่ ๒ มันจะระงบั ยาก เพราะวา่ แหม... เรากเ็ คยท�ำมาครั้งหน่ึงแลว้ เรากไ็ มบ่ ริสุทธิ์ในเรื่องน้ีแล้ว ฉะน้นั จะ เสียไป ๑ ครั้งหรือจะเสยี ไป ๒ ครั้ง มนั กไ็ ม่ตา่ งกันสกั เท่าไร คร้ังท่ี ๓ กย็ งิ่ ง่ายขนึ้ เพราะกลายเปน็ นิสยั ไปเสียแลว้ กลายเปน็ ส่ิงท่ีถอื วา่ เป็น เรอ่ื งปกตขิ องเรา และไม่รู้สึกรังเกยี จ ไม่รู้สกึ ว่าเปน็ ส่ิงท่ีไม่ดี คนอ่นื เหน็ เขาก็งงว่าทำ� ไมเราจึงกล้าทำ� เช่นนี้ ทำ� ไมเราไมม่ ีความละอาย แต่ตัวเราเองไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะท�ำอยู่ทกุ วันๆ ฉะนน้ั เมอื่ เรา รู้สึกอยากจะทำ� บางสิง่ บางอยา่ งทรี่ ู้วา่ ผดิ เราตอ้ งพยายามระงบั ใจไว้ 214 อักษรส่อสาร

บางครง้ั ทนไมไ่ หว กท็ ำ� ไป แตเ่ มื่อทำ� ไปแลว้ ตอ้ งระวงั อยา่ งทส่ี ุด อยา่ ใหเ้ กิดความคิดผิดว่า ช่างเถอะ... ท�ำไปครงั้ หน่ึงแลว้ กท็ ำ� ตอ่ ไปได้ อาตมาเคยพูดคุยกับชาวตะวันตกคนหนึ่ง  เขาเล่าถึงเรื่องไม่ ดีไม่งามท่ีเกิดขึ้นในครอบครัวของเขาซ่ึงเพิ่งจะได้รับการเปิดเผย  มี ผู้ใหญ่ในครอบครัวข่มขืนหลานสาวเป็นประจ�ำตลอดระยะเวลา  ๕ หรือ ๑๐ ปี เด็กกก็ ลัว ไม่กลา้ พดู เพราะผูใ้ หญ่ข่มขู่ว่าจะฆ่าถ้าเปดิ เผย  หลายปีต่อมาเมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เขาทนไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงเปิดเผย  เรื่องจึงอื้อฉาวขึ้นมา  ทุกคนที่ได้ทราบเรื่องต่างรู้สึก ขยะแขยง รสู้ กึ โกรธ นึกไม่ออกวา่ เขาทำ� กับหลานของตัวเองไดอ้ ยา่ งไร อาตมาเองก็พยายามคิดเหมือนกันว่าเขาท�ำได้อย่างไร  คิดว่า ครัง้ แรกเขาคงหน้ามืด คงจะทำ� เพราะกิเลสครอบง�ำจิตใจ แล้วก็อยา่ ง ท่ีวา่ เมื่อไดท้ ำ� ลงไปคร้ังหนึง่ แล้ว ครง้ั ท่สี องก็เลยระงับยาก เพราะว่า มันไดเ้ คยทำ� ไปแลว้ ตามมาดว้ ยครงั้ ท่ี ๓ ครงั้ ท่ี ๔ จนกลายเป็นเรอ่ื ง ปกติของเขา กลายเป็นนิสัยของเขา ฉะน้นั ส่ิงท่นี า่ เกลียดน่าขยะแขยงท่สี ดุ ในโลก สงิ่ ทเ่ี ราฟังแลว้ สลดสงั เวช  ไม่เขา้ ใจวา่ มนุษยเ์ ราท�ำอยา่ งนัน้ ไดอ้ ย่างไร จริงๆ แล้ว ก่อนท่จี ะถงึ เรื่องรุนแรง มนั ก็เรมิ่ มาจากสิ่งที่เกดิ ขนึ้ ทลี ะเลก็ ทีละน้อย เพราะปลอ่ ยใหจ้ ติ คิดในทางลามก คดิ ด้วยกามารมณ์ คดิ ในทางไมด่ ี ปล่อยให้มนั คดิ มนั ก็แคค่ ดิ เท่านั้น ยังไมไ่ ด้ท�ำอะไร แตน่ ี่คอื กรรม เปน็ มโนกรรม คิดไปคิดมาก็เลยเกิดความเคยชนิ ท่จี ะคิดในเร่ืองนน้ั เร่อื งน้ี ชยสาโร ภกิ ขุ 215

ในทส่ี ดุ แลว้ พลงั ความคดิ บงั คบั การกระทำ� ของเราได ้ ยิ่งถ้ากิน เหล้าหรือใช้ยาเสพติดซ่ึงเป็นส่ิงที่ท�ำให้หิริโอตัปปะของเราลดน้อยลง เลยกล้าท�ำสิ่งที่แต่ก่อนไม่กล้าท�ำ  แม้จะคิดยังไม่กล้าคิด  แต่เพราะ ปลอ่ ยใหส้ งิ่ ไมด่ ไี มง่ ามเกดิ ขนึ้ ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย  ในทส่ี ดุ กจ็ ะทำ� ลงไปได้ ซึง่ จะเห็นได้มากในสงั คมปัจจุบนั คนเราไมส่ ำ� รวมระวัง เรมิ่ ตน้ ดว้ ย ความคดิ หมกมุน่ แตใ่ นเร่ืองลามกบ่อยๆ ดูหนังลามก คิดว่ามนั เปน็ แค่ ความเพลิดเพลิน ไม่ผิดกฎหมาย ไมผ่ ดิ อะไร คดิ ไปคิดมา ในท่สี ุดแล้ว แรงความคิดก็กลายเป็นการกระท�ำ  เพราะความคิดกับการกระท�ำ มันสมั พนั ธ์กนั อยู่ 216 อักษรส่อสาร

พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบพระท่ีดีกับม้าท่ีสมบูรณ์ด้วยสี คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในศีลของตน ท่านจะระมัดระวังมากแม้แต่ อาบัติเล็กอาบัติน้อย  เป็นผู้ท่ีเห็นภัยและเห็นความน่ากลัวของการ ผิดศีลของตัวเอง  เราเองก็ต้องพยายามเอาพระเป็นตัวอย่างในเรื่องน้ี เช่นในเร่ืองวาจา  เรื่องการพูดเท็จ  ส่วนมากคนเราจะมีเหตุผล มาอ้างว่าบางคร้ังจ�ำเป็นต้องพูดเท็จ  เพราะอยู่ในวงการธุรกิจบ้าง เพราะต้องค้าขายบ้าง  บางคนก็อ้างว่าจ�ำเป็นต้องพูดเท็จ  เพื่อไม่ให้ คนอนื่ เสียใจหรอื เพื่อใหเ้ ขาถกู ใจ เลยมกี ารยกเวน้ แตน่ ั่นเป็นการเปิด ช่องแล้ว และโดยธรรมชาตชิ อ่ งทเ่ี ปิดน้ันจะคอ่ ยๆ ขยายข้นึ เร่อื ยๆ เหตุผลในการพูดเท็จจะเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ  ทีแรกจะพูดเท็จเฉพาะใน เร่ืองนี้ ต่อมาก็ เออ... อันน้กี น็ ่าจะไมเ่ ป็นไร มนั จะเพิม่ ขึ้นๆ ศลี ของ เราจะคอ่ ยๆ ด่างพร้อย จนในท่สี ุดศลี กจ็ ะขาด ฉะน้นั   ศีลจะมน่ั คงเมอื่ เราถอื เป็นมาตรฐานทต่ี ายตวั คือไม่ ขนึ้ อยู่กับความคิด ไม่ขนึ้ อยู่กับผลประโยชนข์ องใคร ไมข่ ึน้ อยู่กับ ความชอบความไม่ชอบ  ความกลัว  ความกังวล  ความอะไรต่อมิ อะไร  เมื่อศลี ของเราม่ันคงตายตวั แลว้ เรากจ็ ะคดิ วา่ ทำ� อยา่ งไรเรา จึงจะสร้างประโยชน์หรือท�ำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องพูดเท็จ  เราต้อง พูดอย่างไรจึงจะไม่ท�ำให้เขาเป็นทุกข์หรือไม่ท�ำให้เขาเสียใจโดยที่เรา ไม่ต้องพูดเท็จ เราตอ้ งพยายามอยา่ งเต็มทใี่ หถ้ งึ ทสี่ ุด จนถึงจดุ ทีเ่ รา อาจจะตอ้ งยอมรับว่า ในกรณนี ีจ้ ำ� เป็นตอ้ งพดู เท็จ แต่เปน็ การพดู เทจ็ ชยสาโร ภกิ ขุ 217

โดยทรี่ ู้วา่ ตัวเองก�ำลังผิดศลี และกำ� ลังทำ� บาป อยา่ งนเี้ รยี กว่า เรายังได้ ประโยชนจ์ ากศีล เพราะถึงจะตอ้ งพูดเท็จ  ก็พยายามพูดใหน้ ้อยท่สี ุด พูดอย่างระมัดระวังท่ีสุด  ท�ำอย่างน้ีแล้ว  เราจึงจะเป็นผู้ท่ีท่านทรง เปรยี บกับมา้ ท่ีสมบูรณ์ดว้ ยสีได้ นอกจากพระพุทธองค์ทรงให้พระส�ำรวมในพระปาฏโิ มกขแ์ ลว้ ยงั ทรงใหส้ มบรู ณด์ ว้ ยจรณะหรอื มารยาทและโคจรด้วย โคจร หมาย ถึงวา่ พระตอ้ งระมดั ระวังว่า เราไปทไี่ หน เราคบกบั ใคร ถา้ พระไปใน สถานทท่ี ไ่ี มเ่ หมาะสม เชน่ ไปนง่ั พูดคุยอย่ใู นร้านกาแฟหรอื สถานที่ขาย เหลา้ หรือผา่ นไปในสถานทคี่ นเลน่ ไพ่เล่นการพนัน  ใครเหน็ เข้ากอ็ าจ จะคิดว่าพระท่านยินดีในสิ่งเหล่าน้ัน  นอกจากนี้ยังมีสถานท่ีต่างๆ ท่ีถือว่าไม่เหมาะไม่ควรกับพระ  เช่น  พระเข้าไปในตลาดก็ถือว่าไม่ เหมาะไม่ควร เปน็ ตน้ ศีลท่ีอยู่ในพระปาฏิโมกข์ท�ำให้พระมีจรณะ  หรือมีกิริยา มารยาททง่ี ดงาม อยา่ งทที่ า่ นเรยี กวา่ สมณสารปู คอื เปน็ ผูท้ ี่มีความ ประพฤติตลอดจนการเดินในลักษณะท่ีสงบเสง่ียม  เป็นที่เลื่อมใส ของผู้ที่ได้พบเห็น  ซึ่งก็เป็นส่วนหน่ึงของการเผยแผ่พุทธศาสนาด้วย เพราะธรรมดาคนเราจะให้ความส�ำคัญกับสิ่งท่ีคนท�ำมากกว่า ส่ิงท่ีคนพูด เรื่องการพูดนัน้ ใครๆ ก็พูดได้ แตส่ งิ่ ที่สำ� คัญคือการ กระท�ำ ศลี จึงมีความส�ำคญั อยา่ งยง่ิ   เราผู้เป็นฆราวาสกใ็ หเ้ อาพระ ท่านเปน็ ตวั อย่างเช่นกนั ทัง้ ในเรอื่ งกิริยามารยาท เรอื่ งการแสดงออก 218 อักษรส่อสาร

ให้มนั เหมาะให้มันสม ใหม้ ันควรแก่การเป็นลกู ศิษย์ของพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ รามคี วามรบั ผดิ ชอบการกระทำ� อยา่ งสมำ่� เสมอ  เราจงึ จะเปน็ ผู้ท่ี งดงามสมบูรณด์ ้วยสี ขอ้ ทีส่ อง เป็นผทู้ ี่สมบูรณด์ ้วยกำ� ลงั คือ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วาม ต้งั อกตัง้ ใจในการละสงิ่ ท่ไี มด่ ไี มง่ ามและบ�ำเพ็ญสงิ่ ที่ดีงาม เปน็ ผู้ ไม่ข้ีเกียจข้ีคร้าน  เป็นผู้ที่มีความยินดีและมีความพอใจท่ีจะท�ำ สงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชนท์ ง้ั แกต่ นเองและผอู้ น่ื คนขี้เกียจข้ีคร้านจะต้อง มีข้ออ้างอยู่เสมอ  มันเช้าเกินไป มนั ดกึ เกินไป มนั หวิ เกนิ ไป มัน อ่มิ เกินไป มันร้อนเกินไป มันเย็นเกินไป มันเหนื่อยเกินไป อะไรๆ มันก็เกินไปอยู่เสมอๆ  บางทีถามว่าไม่นั่งสมาธิเพราะอะไร  เพราะ ไมส่ งบ ไมอ่ ยากจะน่งั เพราะมนั ไมส่ งบ เหตุผลนีฟ้ ังไมข่ ึ้นใชห่ รือไม่ เพราะว่าถ้าสงบแล้วก็คงไม่ต้องนั่งสมาธิ  มันต้องน่ังก็เพราะมันไม่ สงบนั่นแหละ  เหมือนกับคนป่วยแต่ไม่ยอมทานยาของหมอ  ท�ำไม ไมท่ านยา กเ็ พราะมนั ป่วยเกนิ ไป แต่ถา้ อยากหาย มนั กต็ อ้ งกินยา อยากสงบก็ต้องท�ำสมาธิฝึกจิต  ฝึกให้สันโดษ  ให้จิตใจพอใจอยู่ กับอารมณ์เดียวหรือส่ิงใดสิ่งหน่ึงอย่างต่อเน่ือง  จิตใจมั่นคงอยู่ใน อารมณ์กรรมฐาน นนั่ แหละคือสมาธิ จึงจะไดช้ ื่อว่า เป็นผ้ทู ่สี มบรู ณ์ ด้วยกำ� ลงั ขอ้ ทสี่ าม ทา่ นใหเ้ ราสมบรู ณ์ดว้ ยความไว ซง่ึ หมายถงึ ความไว ของปัญญา คอื ไมว่ ่าจะอยู่ในสถานการณใ์ ด เราก็สามารถใช้ปัญญา ชยสาโร ภิกขุ 219

อย่างรวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณ์ ไม่ใชว่ ่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้น มีการกระ ทบทางใดทางหน่ึง เราก็หุนหนั พลันแลน่ พูดอะไรโดยไมค่ ิด ทำ� ให้ ตอ้ งเดอื ดรอ้ นใจ ต่อมาจงึ ค่อยนึกได้ว่า ควรจะท�ำอย่างไร ควรจะพดู อยา่ งไรในเรื่องน้นั แตใ่ นขณะท่ีเกิดเหตนุ น้ั จริงๆ กลับนกึ ไมอ่ อก บาง คนกลับถึงบ้านแล้วจึงนึกได้  มาน่ังนึกทบทวนเหมือนกับเป็นละคร หรอื เป็นภาพยนตรว์ ่า เขาท�ำอยา่ งนน้ั เขาพูดอย่างนนั้ เราต้องท�ำต้อง ตอบอยา่ งนๆ้ี ในภาพยนตรห์ รอื ในละครนี่ เหมือนเราเป็นผู้มีปญั ญา พูดแต่สงิ่ ทดี่ ีที่คมคายนา่ ฟังทุกค�ำเลย คือหลงั จากเรอ่ื งมนั จบไปแลว้ ก็นกึ ไดห้ มดเลยวา่ อยา่ งไรควรอย่างไรไมค่ วร น่เี รยี กวา่ ยงั ไม่ สมบรู ณด์ ว้ ยความไว เพราะปญั ญาเกดิ ไมท่ นั ตอ้ งอาศยั การฝกึ สติ ตอ้ งฝกึ สตบิ อ่ ย  ๆ เพอื่ ระงบั จติ ไมใ่ หแ้ ลน่ ไปตามอารมณ์ เพราะ อารมณม์ ันต้องเกดิ แน่นอน เช่น สมมติว่ามีคนมาวา่ เราซึ่งๆ หน้า ซึ่ง นานๆ เราจะเจอเหตุการณ์อยา่ งนสี้ ักครัง้ หนึง่ ถา้ หากสตไิ มอ่ ยกู่ บั ตัว มันจะเกดิ อารมณข์ ึน้ มาทันที แล้วเราก็จะพูดอะไรออกไปตามความ เคยชนิ เก่าๆ พูดออกไปแล้วจงึ ค่อยรตู้ วั   อย่างนก้ี ็ผดิ เสยี แล้ว  สอบ ตกเสียแล้ว เราจะเป็นอยา่ งนีบ้ ่อยๆ  เมื่อเขากลบั ไปแล้วหรือเราออก จากที่น่ันกลับถึงบ้านแล้ว  มีเวลาอยู่คนเดียว  คิดทบทวนแล้วรู้สึก เสยี ใจ แหม... ฟังเทศน์ฟังธรรมจากครบู าอาจารย์ นึกวา่ เข้าใจหมด ทุกอยา่ ง แต่ทำ� ไมเมอื่ เกดิ ปญั หาหรือเกดิ เหตกุ ารณอ์ ยา่ งน้ี เหมือนกบั เราไมร่ ู้อะไรสักอยา่ ง เวลาฟงั เทศนร์ ู้สึกเหมอื นกบั บรรลุแลว้ เข้าใจทุก 220 อักษรส่อสาร

ส่งิ ทกุ อยา่ ง สว่างไปหมดทกุ เรอ่ื ง แตท่ ำ� ไมเมอื่ เกดิ ปญั หากลบั มดื ตดึ๊ ตอื๋ ลมื ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง นเี่ รยี กวา่ ยงั ไมส่ มบรู ณด์ ว้ ยความไวของปญั ญา ถ้าสามารถรักษาปัญญาให้อยู่กับเราได้  เมื่อเกิดปัญหา อะไรขนึ้ ปญั ญานแ่ี หละทจี่ ะออกมาตอบรบั แทนการตอบโตด้ ว้ ย ตณั หา เราตอ้ งคอยแกค้ วามเคยชนิ เกา่   ๆ แกน้ สิ ยั เกา่   ๆ ดว้ ยการ ฝึกสติให้อยู่กับตัวเรา  อยู่กับความรู้สึกท้ังทางกายและทางใจ ของเรา เวลาใครพดู อะไรแลว้ มอี ารมณเ์ กดิ ขน้ึ กใ็ หเ้ รารบั รตู้ อ่ อารมณ์ ทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยไมไ่ ปยดึ อยใู่ นอารมณน์ น้ั แลว้ ปลอ่ ยใหม้ นั ดบั ไป หาก รสู้ กึ วา่ อารมณม์ นั รนุ แรงเกนิ กวา่ ทเ่ี ราจะทำ� อยา่ งนน้ั ได้ กอ็ ยา่ เพงิ่ พดู อะไรออกไปเสยี ดกี วา่ ใหน้ ง่ิ ไวก้ อ่ น  จะดลู มหายใจเขา้ ลมหายใจออก ก็ได้  หรือจะขอตัวไปเข้าห้องน้�ำก็ได้  ปิดประตูน่ังในห้องน้�ำ  ดูลม หายใจเขา้ ลมหายใจออกสกั ๒-๓ นาที แล้วคอ่ ยออกไป เปน็ การเอา ตวั รอดไวก้ ่อน เพราะถ้าเราทำ� อะไรพูดอะไรออกไปแล้ว มนั เอา คนื ไมไ่ ด้ นีเ่ ป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ มันเป็นอย่างน้ีมาตัง้ แต่ ไหนแตไ่ ร ถึงเราจะขอโทษขอโพยวา่ เราไมไ่ ด้ต้ังใจทจี่ ะพดู รนุ แรงอยา่ ง น้ัน แม้เขาจะพดู วา่ ค่ะๆ ... ไม่เป็นไรๆ ... แต่เรากไ็ มร่ วู้ า่ เขาพดู จริงๆ หรอื เปลา่ คำ� พูดวา่ “ไมเ่ ปน็ ไรๆ ” มนั พูดง่ายใชไ่ หม คนเรากม็ กั จะ พดู อยา่ งนไี้ ปตามประสา แตท่ เี่ ขาจะปลอ่ ยวางได้จรงิ หรือไม่  นนั่ ก็เป็น อีกเรอ่ื งหน่ึง  ถ้าเขาไมไ่ ดเ้ ปน็ นกั ปฏิบตั ิ เขากค็ งจะตอ้ งถอื สา เขาคงจะ ตอ้ งคดิ และโกรธเราแนๆ่ ฉะนนั้ เราจงึ ตอ้ งระมดั ระวงั ให้มาก ชยสาโร ภกิ ขุ 221

ถ้าเรามีสติ  จิตใจก็จะไม่ว่ิงตามอารมณ์เหมือนคน ธรรมดา จึงเปน็ โอกาสให้ปญั ญาได้เกดิ ข้ึน  ถ้าหากว่าอารมณย์ งั ปน่ั ป่วนอยู่ ก็ไม่ต้องพดู มาก พูดใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ ต้องถอยออกมา เสยี กอ่ น ต้งั ตน้ ใหม่ ตอ้ งรจู้ ักปลอ่ ยวางอารมณ์ ผู้ที่ควรแก่ความเคารพนับถือ  คือพระผู้เป็นเน้ือนาบุญของ โลก  หรือฆราวาสท่ีเป็นนักปฏิบัติ  ก็เหมือนม้าอาชาไนยที่  หนึ่ง สมบูรณ์โดยสี  งามด้วยศีลธรรม สอง  สมบูรณ์ด้วยพละก�ำลงั สาม สมบูรณ์ดว้ ยความไวแห่งปัญญา ในพระสตู รอกี ตอนหนงึ่ พระพุทธองคท์ รงกล่าวถึงคุณสมบตั ิ ของม้าอาชาไนยว่า  สมบูรณ์ด้วยความซื่อตรง  สมบูรณ์ด้วยฝีเท้า สมบรู ณ์ดว้ ยความอดทน สมบรู ณ์ด้วยความเพียร ซึง่ กค็ ล้ายๆ กนั ฝีเทา้ ในท่ีนี้ ถา้ เปรียบกบั คณุ ธรรมของพระ กห็ มายถงึ ญาณหรอื หมาย ถงึ ปญั ญานน่ั เอง อีกตอนหนึ่งที่ตรัสถึงคุณสมบัติของม้าพันธุ์ดี  ซึ่งควรแก่การ เป็นราชพาหนะ  หรือเป็นคู่บารมีของราชา  ท่านว่าเป็นม้าที่มีความ อดทน มคี วามอดทนตอ่ รปู ทง้ั หลาย มคี วามอดทนตอ่ เสยี งทง้ั หลาย มี ความอดทนตอ่ กลนิ่ ทง้ั หลาย  มคี วามอดทนต่อรสท้ังหลาย  มีความ อดทนต่อการสัมผัสท้ังหลาย มคี วามอดทนตอ่ อารมณท์ ง้ั หลาย เพราะ มา้ ทจ่ี ะเปน็ ราชพาหนะ  ถ้าหากว่าไม่มีความอดทนต่อรูป  เกิดอาการ วุ่นวายแปรปรวนจากรูปท่ีได้เห็นก็จะมีปัญหา  หรือเข้าไปในสนามรบ แลว้ เกดิ กลวั ขน้ึ มา กจ็ ะเปน็ อนั ตรายตอ่ พระราชาได้ 222 อักษรส่อสาร

ความอดทนในอายตนะอน่ื ๆ  กเ็ ชน่ เดยี วกนั   พระเราถงึ บอกวา่ พระทเี่ หมอื นมา้ พนั ธด์ุ หี รอื พระพนั ธด์ุ ี คอื พระอรยิ ะหรือพระท่ีจะเป็น เนอื้ นาบญุ ของโลกน้ัน ตอ้ งเป็นผ้มู คี วามอดทนต่อรูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ  ความอดทนของนักปฏิบัติหรือของพระท่ีว่าต้องอดทน ต่อรูปทั้งหลาย ต้องอดทนตอ่ เสยี งทง้ั หลายนนั้ แปลวา่ อะไร ไมใ่ ชแ่ ปล วา่ ทนดไู ด้ ดไู ดท้ งั้ วนั เรยี กวา่ มคี วามอดทนใชไ่ หม ไมใ่ ชว่ า่ สามารถฟงั เสยี ง ไดท้ งั้ วนั นนั่ ไมใ่ ชค่ วามอดทนทท่ี า่ นหมายถงึ ในกรณนี ที้ า่ นหมายถงึ วา่ เห็นรูปแลว้ ไมป่ ล่อยใหจ้ ติ เกิดความยนิ ดียนิ รา้ ย ไม่เกิดการหลงใหล นคี่ อื ความอดทน คอื อดทนไมใ่ หก้ เิ ลสเกดิ ขน้ึ จากรปู ทไี่ ดเ้ หน็ ดว้ ยตา พระหรือใครๆ  ก็ตาม  ล้วนต้องอยู่ในโลกแห่งรูป  เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้แตพ่ ระอรหันตท์ า่ นกย็ งั ต้องอยกู่ บั สิง่ เหลา่ น้ี พระพทุ ธองคก์ ท็ รงอยกู่ บั สงิ่ เหลน่  ี้ เราไมส่ ามารถจะหนจี ากสงิ่ เหลา่ นี้ ได ้ ถึงหนีได้ก็แค่ชั่วคราวเทา่ นั้น ความอดทนในท่นี หี้ มายถงึ ว่า เม่อื อย่กู บั รปู ทง้ั รูปท่ชี วนให้รกั ชวนให้หลงใหล หรือชวนใหร้ งั เกยี จ ก็ อยดู่ ้วยจิตใจทเ่ี ปน็ ปกติ หรอื เหน็ ว่ามนั เป็นของไมเ่ ที่ยง เป็นของไม่ แน่นอน ส�ำรวมจิต เม่ืออยู่กับเสียง อยู่กับกลิ่น อยู่กับรส อยู่กบั การ สมั ผสั ทางกาย ที่เรยี กวา่ โผฏฐัพพะ อย่กู ับอารมณ์ก็เช่นเดียวกนั ก็ อดทน อดทนในท่ีนห้ี มายถึง อดทนตอ่ กเิ ลส อดทนตอ่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง รักษาความเปน็ ปกติของจติ เราไว้ได้ บางครงั้ เรากต็ อ้ งสำ� รวมในลกั ษณะท่วี า่ ไม่ต้องดูก็ได้ ถา้ เราดูแล้วแพท้ ุกครง้ั ชยสาโร ภกิ ขุ 223

จิตใจเรายังไม่เข้มแข็งพอท่ีจะเป็นปกติกับรูปเหล่านี้ได้  หรือปกติ กบั เสียงเหลา่ นไ้ี ด้ ถ้าเป็นไปได้ เรากอ็ าจจะต้องงดเว้นจากสิ่งเหล่านี้ ไว้ก่อน ทกุ วันน้ีเราอย่ใู นโลกที่เต็มไปดว้ ยสงิ่ ทีก่ ระตุน้ ประสาท ชักชวน หรือฉุดลากให้เราสนใจขอ้ มลู ขา่ วสารมากมายไปหมด ทำ� ให้เราเขา้ ใจ ว่าเป็นสิ่งที่ส�ำคัญมาก โดยเฉพาะขา่ วท่ไี มม่ ีวันจบสิน้   ทำ� ให้เราเขา้ ใจ วา่   ถ้าเราเปน็ ประชาชนทดี่ ี เป็นผู้มีการศึกษา เราต้องตดิ ตามข่าวสาร ตอ้ งรหู้ มดทกุ เร่อื ง ไม่ว่าอะไรๆ จะเกดิ ท่ปี ระเทศไหน ควรต้องรหู้ มด ทุกอยา่ ง แต่ชวี ิตของเรามนั ก็แค่นี้ สมองของเรามันกแ็ คน่ ้ี แล้วถ้า เราไปคิดในเรื่องคนอน่ื มาก คดิ เรอื่ งทีไ่ ม่ใช่เร่อื งของเราและไม่มคี วาม ส�ำคญั กบั ชวี ิตเราเลย มันจะเกิดประโยชน์อะไรไหม และเกดิ ประโยชน์ มากน้อยแค่ไหน 224 อักษรส่อสาร

พระพทุ ธองคท์ รงให้เราคดิ ถงึ เรือ่ งประโยชน์ให้มากที่สดุ สงิ่ ที่ เราจะเรียนรู้ไดใ้ นโลกนมี้ นั เยอะเหลือเกิน หนังสือในโลกนม้ี มี ากมาย ไม่ทราบว่าหอสมุดแห่งชาติของไทยมีหนังสือก่ีเล่ม  แต่ท่ีอังกฤษเพ่ิง สรา้ งหอสมดุ แหง่ ชาตใิ หม่ มีหนงั สือถงึ ๖ ล้านเลม่ คิดดสู วิ า่ จะต้องใช้ เวลานานเท่าไหร่ที่จะอ่านหนงั สือ ๖ ลา้ นเล่ม สมมตวิ า่ อา่ นหนงั สอื เล่มหน่งึ ๓ วนั จบ หนังสอื ๖ ลา้ นเลม่ กต็ ้องใชเ้ วลาอ่าน ๑๘ ล้านวัน ชีวติ ของเรามีไม่กห่ี มนื่ วนั ไม่แน่ว่ากีว่ ัน ยังไงก็อา่ นไม่จบแน่ สง่ิ ทีเ่ รา จะศึกษาได้ สิง่ ทีเ่ ราจะเรยี นรไู้ ด้ มนั เยอะมาก ฉะนนั้ นกั ปราชญจ์ ึง ตอ้ งเลอื ก เลอื กใหเ้ ป็น จะดูจะอ่านขา่ ว กเ็ ลอื กเฟน้ วา่ สงิ่ นม้ี คี ตมิ ี ขอ้ คดิ อะไรทจี่ ะเปน็ ประโยชนแ์ ก่เรา ถา้ ไม่มีเลย ไมต่ ้องอา่ นก็ได้ ไม่ ต้องดูก็ได้  เพราะการเรียนรู้ทางโลกส่วนมาก  ก็แค่ท�ำให้สมอง เรารกรุงรังเท่าน้ัน ทุกวนั น้สี มองคนเรารกมาก พูดเร่ืองอะไรก็ร้ไู ป หมด คนฟังกป็ ระทบั ใจ แตร่ ูเ้ พือ่ อะไรกลับไม่รู้ ฉะนน้ั การสำ� รวมและการเลอื กสง่ิ ทจ่ี ะสมั ผสั หรอื สงิ่ ท่ีจะรบั เข้า มา จึงเปน็ เร่อื งสำ� คัญ เพราะเราตอ้ งรักษาสมองของเราไว้  ถ้าเรารบั ขอ้ มูลความรตู้ ่างๆ  เข้ามามากมาย ยดั เยยี ดเขา้ ไปในสมองอย่างไมม่ ี ระเบียบและไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร  จะท�ำให้จิตใจของเราสับสน  ไม่ สงบ ถ้าเราต้องการชีวิตท่สี งบ เราตอ้ งระมดั ระวงั ส่ิงทเ่ี ราจะรบั เข้า มาทางตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ และตอ้ งเป็นผมู้ คี วามอดทน ชยสาโร ภิกขุ 225

มอี กี พระสูตรหนึ่งทเ่ี ปรยี บเทยี บมนษุ ย์กับม้าพันธ์ดุ ี ซงึ่ อาตมา เคยเลา่ ให้ญาตโิ ยมฟงั หลายครัง้ เหมือนกนั กลา่ วถงึ อินทรยี ซ์ ึ่งหมาย ถึงความพร้อมหรือวุฒิภาวะของมนุษย์  โดยเปรียบเทียบกับม้าว่า มา้ ที่เรยี กวา่ ยอดเย่ยี ม เพยี งแคเ่ ห็นเงาของปฏกั ยงั ไมท่ นั ตอ้ งลงปฏกั มา้ กอ็ อกวิ่งแลว้ นเ่ี รยี กวา่ เก่งท่ีสดุ ม้าพันธ์ดุ ีระดบั ท่ี ๒ คือม้าทเ่ี หน็ เงาปฏกั ยังไม่ออกว่ิง แต่จะว่ิงเมื่อรู้สึกว่าปฏักโดนขุมขน ม้าระดับ ท่ี ๓ ปฏกั ถึงขมุ ขนก็ยังไม่วิ่ง ยังไมเ่ จบ็ สารถีหรอื ผขู้ ่ีมา้ ต้องลงปฏักถึง หนัง มันจึงจะว่ิง แต่ก็ยังถือว่าเป็นม้าพันธุ์ดีได้ ม้าระดับท่ี ๔ ตอ้ งลง ปฏักถงึ กระดูก มนั จงึ จะว่งิ นค่ี ือมา้ ๔ ระดับ ระดบั ที่ ๑  เหน็ แคเ่ งาของปฏกั กว็ ่งิ แลว้ ระดบั ที่ ๒  ปฏักต้องถงึ ขุมขน ระดับที่ ๓  ตอ้ งถึงหนัง ระดบั ที่ ๔  ตอ้ งถงึ กระดกู แล้วท่านเปรยี บเทียบกับนักปฏิบตั ิวา่ อยา่ งไร มนษุ ยร์ ะดบั ยอดเยี่ยมหรือระดับช้ันสูง  คือตัวเองยังไม่เป็นทุกข์อะไร  ไม่เจ็บไม่ ปว่ ยไมเ่ ดอื ดร้อนอะไร เพียงแค่ฟังเทศนห์ รอื ฟงั เรอื่ งความทกุ ข์ของ มนษุ ย์ ความทุกขข์ องสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือความทกุ ขข์ องคนอน่ื แค่ฟงั เร่ืองความแก่ ความเจบ็ ความตาย ก็เกิดความสลดสังเวช เกดิ ความคิดที่จะประพฤติปฏิบัติให้พ้นทุกข์  อย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ พระศาสดาของเรา ทา่ นอยใู่ นพระราชวัง สบายทุกอย่าง  แต่เม่อื ทา่ น เกิดความสงสยั เรอื่ งความแก่ ความเจบ็ ความตาย ท่านกเ็ กิดความคิด ทจี่ ะออกผนวชเพอ่ื แสวงหาโมกขธรรม 226 อักษรส่อสาร

ที่คนชอบพูดว่าคนเข้าวัดเพราะเป็นทุกข์  ถ้าพูดว่าคนเข้าวัด เพราะความทุกขจ์ ะตรงกวา่   เพราะคนบางคน ตวั เองยงั ไม่เปน็ ทกุ ข์ อะไร  แต่เมื่อได้ฟังเทศน์หรือพิจารณาเร่ืองความทุกข์ของมนุษย์  ก็ เลยเห็นว่าชีวิตของตนไม่มีแก่นสารสาระอะไร  กลัวที่จะต้องเกิดแก่ เจ็บตาย เกิดแก่เจ็บตาย อยา่ งไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ จงึ ออกมาแสวงหาธรรมะ แสวงหาความจรงิ เหมือนม้าพันธ์ดุ ีท่ีเห็นแคเ่ งาของปฏักก็ออกว่งิ แล้ว มนุษย์ระดับที่สอง  คือ  ผู้ที่เห็นญาติหรือคนใกล้ชิดเป็นเอดส์ หรือก�ำลังทุกข์ใจอย่างหนัก  แค่น้ีก็เพียงพอแล้วที่จะเกิดความสลด สังเวชจนเกิดความคิดที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อแสวงหาโมกขธรรมให้ พ้นจากทกุ ขแ์ ละวฏั สงสาร นอกจากเรื่องม้าพันธุ์ดีหรือม้าท่ีฝึกได้แล้ว  ก็ยังมีเร่ืองของม้า ทฝ่ี ึกไม่ได้ดว้ ย ครง้ั หน่งึ มคี นเล้ียงม้าคนหนง่ึ อาตมาจำ� ชอื่ ไมไ่ ด้ ชือ่ เรวีหรือเรวตีประมาณน้ี  ไปเฝ้าพระพุทธองค์  แล้วก็สนทนากันเรื่อง การเลี้ยงม้า  เปรียบเทียบการเลี้ยงม้าหรือการฝึกม้ากับการฝึกพระ พระพุทธองค์ทรงถามโยมคนนี้ว่า  การฝึกม้ามีก่ีวิธี  คนเลี้ยงม้าก็ ตอบว่ามี ๓ วธิ ี คือ ฝกึ แบบอ่อนละมุนละไม ฝึกอยา่ งเข้มข้นหรอื อย่าง หยาบๆ และวิธที ี่ใช้ทง้ั สองวิธีแรกรว่ มกนั พระพุทธองคท์ รงถามว่า ถ้าใชท้ ง้ั ๓ วธิ นี ี้แล้วยงั ไม่ไดผ้ ลจะทำ� อย่างไร เขาบอกวา่ เมอื่ ฝึกไม่ได้ ผมก็จะฆา่ ม้าน้นั เสยี แล้วคนเลยี้ งม้า กถ็ ามพระพุทธองค์ว่า ทรงใชว้ ธิ อี ย่างไรในการฝกึ พระ พระพทุ ธองค์ ชยสาโร ภกิ ขุ 227

กว็ ่าเหมอื นท่โี ยมฝกึ มา้ ทงั้ ๓ วิธี วิธีอยา่ งออ่ นละมุนละไม วธิ อี ย่าง เข้มข้นตรงไปตรงมา และวิธีผสมผสาน โยมถามต่อว่า มีพระท่ีฝกึ ไม่ ได้เลยหรือไม่ พระพุทธองคก์ ็ว่ามี น่ีใหเ้ ราสังเกตนะ พระพทุ ธองค์ยงั รับว่ามี แม้พระตถาคตเองยังไมส่ ามารถสอนลูกศิษย์ไดท้ กุ คน เพราะ บางคนนี่ไม่ไหวจริงๆ โยมกเ็ ลยถามวา่ แลว้ ทรงทำ� อยา่ งไรกบั พระทฝ่ี กึ ไมไ่ ด้ พระพทุ ธ องคท์ รงตอบว่า ตถาคตกฆ็ ่าทา่ นเสีย โยมก็ตกใจ อา้ ว...  แล้วไม่ผดิ ศีล หรือ  พระตถาคตฆ่าพระไม่ดีได้หรือ  พระพุทธเจ้าจึงทรงอธิบายว่า น่ีคือส�ำนวนของพระตถาคต  การฆ่าของพระตถาคตหมายถึงการไม่ สอน น่ันคอื การฆ่า ถา้ พระองค์ไหนหวั ดื้อหรือมที ฐิ มิ าก  ไมย่ อมรับฟัง ค�ำสอน เรารวู้ ่าสอนอย่างไรกค็ งไม่เกิดผล ให้ค�ำตกั เตอื นใหค้ �ำแนะน�ำ อยา่ งไรก็ไม่รบั ฟัง พดู ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เสยี เวลาเปล่าๆ ก็ เลกิ สอน เลิกตกั เตอื น เลกิ ใหค้ ำ� แนะน�ำ น่ีคือการฆ่าในพระอริยวินัยหรือในพระธรรมวินัย  การมีทิฐิ มากหรอื ดื้อรนั้ มาก เรยี กว่าปดิ หนทาง ไม่มีทางจะกา้ วหนา้ ไม่มี ทางจะพฒั นาตัวเองได้ และผทู้ ่หี วังดีตอ่ เรา เปน็ กัลยาณมติ รของเรา ก็จะหมดก�ำลังใจ  พระพุทธองค์ทรงมีลูกศิษย์ลูกหามากมายใช่ไหม แลว้ ท่านก็มีเวลาจำ� กดั ด้วย ฉะนน้ั ทางไหนทีไ่ มเ่ กดิ ประโยชน์ สอน อย่างไรก็ไม่รับ  ก็เลือกมาสอนทางท่ีจะเกิดประโยชน์ดีกว่า  เหมือน ทด่ี นิ ทีเ่ ต็มไปดว้ ยกรวดหิน ปลกู อะไรไมข่ ้นึ กเ็ ลือกไปปลูกในท่ๆี ดิน มนั ดีจะดีกว่า 228 อักษรส่อสาร

เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สว่างแรงกล้า  แต่ถ้าเรามุดเข้าไปอยู่ ในถ้�ำมืด  ข้างนอกจะสว่างสักเพียงใดกไ็ มม่ ีความหมาย เมอ่ื ออกจาก ถ�้ำแล้ว เราจึงจะได้เห็นพระอาทิตย์ เราจึงจะไดส้ มั ผสั แสงแดด  เช่น เดียวกับคนท่ีมีความยึดม่ันถือม่ันในความคิดของตน  ถือว่าตัวเอง ถูก คนอื่นผิดหมด ก็เหมอื นคนทม่ี ุดเขา้ ไปอยู่ในถ�ำ้ มืด ยอ่ มเขา้ ไม่ถงึ ความสว่างของนักปราชญ์และบัณฑิต  แม้พระพุทธองค์มาโปรดสั่ง สอน คนทิฐมิ ากกย็ งั รับไมไ่ ด้ ทฐิ คิ วามเหน็ จงึ เปน็ สงิ่ ทน่ี า่ กลวั มาก  ทา่ นบอกวา่ มจิ ฉาทฐิ เิ ปน็ บาปอย่างยง่ิ   ไมม่ บี าปอนั ไหนจะหนักและมผี ลร้ายเท่ากับมจิ ฉาทิฐิ เพราะเมอ่ื มีมิจฉาทฐิ ิแลว้ ย่อมเห็นถูกเป็นผดิ เห็นผดิ เป็นถูก ทุกส่งิ ทุกอยา่ งจะไขวเ้ ขวไปหมด อยา่ งเช่นองค์กรพุทธศาสนาตา่ งๆ ทกุ วัน นี้ก็ก�ำลงั มปี ญั หาในเรอ่ื งทฐิ หิ รอื ความยึดมัน่ ถือมนั่ ในแนวความคิด ชยสาโร ภิกขุ 229

พระพุทธเจ้าทรงมีอารมณ์ขันที่จะพูดบางส่ิงให้คนตกใจ  แลว้ จงึ คอ่ ยอธบิ าย ถอื วา่ เปน็ จติ วทิ ยาของพระพทุ ธองค์ การพดู ในลักษณะ นี้จะท�ำให้ผู้ฟังประทับใจ  และจ�ำได้นาน  เม่ือคนเลี้ยงม้าได้ยินพระ ตถาคตตรสั วา่   จะฆา่ พระทไี่ มด่ เี สยี เหมอื นกับทโี่ ยมฆา่ ม้าทีไ่ ม่ดี เขา ก็ตกใจ ไม่คดิ ว่าพระจะฆ่ากนั ได้ พระพทุ ธองค์จงึ ทรงอธบิ ายว่า พระ ตถาคตใช้คำ� ว่า “ฆา่ ” ในความหมายพิเศษ ไมเ่ หมอื นทโี่ ยมใช้ เพ่อื ให้ โยมเห็นโทษของการเปน็ คนสอนยาก เร่ืองในพระสูตรต่อไปน้ีออกจะยาวสักหน่อย และต้องขออภัย ด้วยถ้าอาตมาจ�ำได้ไม่หมด เราเป็นพระวัดปา่ บางทเี รื่องเทศนต์ าม ต�ำราจะไม่ค่อยสมบรู ณ์เทา่ ไหร่ พระพุทธองค์ทรงเอาคุณสมบัติของ ม้าพันธุ์ดี ๘ ข้อมาเปรียบเทียบกับพระที่ดี ข้อที่ ๑. เป็นม้าท่ีเกิด จากพันธุ์ดหี รือเกิดในทๆี่ ม้าเก่งๆ หรือม้ายอดเยยี่ มตวั อน่ื ๆ เคยเกิด ๒.  เมื่อผู้เล้ียงเอาอาหารสดอาหารแห้งมาให้กิน  ก็กินด้วยความ เคารพ หมายถึงกินอย่างเรียบร้อย ไม่หกเลอะ ๓.  เปน็ มา้ ทเ่ี รยี บรอ้ ย อยู่กับม้าตัวอ่ืนโดยไม่มีปัญหา  ไม่ข่มขู่ม้าตัวอื่น  ๔.  เป็นม้าที่เปิด เผยความพยศคดโกงให้สารถีได้เห็น เพ่อื สารถีจะได้แก้ไข ๕. เป็น ม้าที่รังเกียจการนั่งทับหรือนอนทับอุจจาระหรือปัสสาวะของตัวเอง ๖.  เปน็ มา้ ท่ีวง่ิ ทางตรง  ๗.  เป็นม้าทเ่ี อาภาระ คือ สารถจี ะส่งั อะไร ก็ตั้งอกต้ังใจท�ำตามค�ำสั่ง  โดยไม่สนใจว่าม้าตัวอ่ืนท�ำอย่างไร  และ ๘.  เป็นม้าท่ีมีเรี่ยวแรง 230 อักษรส่อสาร

ทนี ก้ี ารเปรยี บเทยี บกบั พระทดี่  ี หรอื จะรวมถงึ นกั ปฏบิ ตั ทิ ด่ี กี ไ็ ด้ เพราะไม่จ�ำเป็นต้องหมายถึงเฉพาะพระ  ข้อท่ีว่าเป็นม้าท่ีเกิดจาก พันธทุ์ ดี่ ี เกิดในท่ๆี มา้ ดๆี เคยเกดิ น้ัน ท่านดทู เี่ รื่องความสมบูรณข์ อง ศลี พระทม่ี ศี ลี สมบรู ณ์ กค็ ลา้ ยกบั ความหมายของความสมบรู ณด์ ว้ ย สใี นพระสตู รอน่ื ทกี่ ลา่ วมาแลว้ คอื เปน็ พระทส่ี ำ� รวมในพระปาฏโิ มกข์ สมบรู ณ์ด้วยจรณะโคจร  เป็นผ้ทู ี่เห็นภัยในโทษแมแ้ ต่เล็กน้อย  อาบตั ิ แมแ้ ต่เล็กน้อยท่านก็ระมัดระวัง  เป็นผู้รักเคารพศีลของตัวเอง  จงรัก ภักดีต่อศีลของตัวเอง  เปรียบเหมือนกับเกิดในพันธุ์ท่ีดีหรืออยู่ใน ตระกลู ทดี่ ี เพราะอยใู่ นกรอบของศลี ซึ่งเป็นกรอบอนั หนง่ึ อันเดียวกบั พระอรยิ เจ้าท้ังหลาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงอานิสงส์ของการรักษาอุโบสถศีลหรือ ศีล  ๘  ว่า  เป็นการฝึกหรือเป็นการซ้อมให้อยู่แบบพระอรหันต์ เพราะธรรมชาติของพระอรหันต์ ผู้มีจติ บริสุทธิ์ เปน็ ผ้ไู ม่ฆ่าสัตว์ ไม่ เบยี ดเบียนสตั ว์ ไม่คดิ และไมม่ ีเจตนาทีจ่ ะเอาของๆ คนอนื่ เปน็ ผูท้ ี่ รักษาพรหมจรรย์  แม้แต่ความคิดในเร่ืองทางเพศก็ไม่มี  ความคิด มันหมดไปแล้ว  ไมม่ ีเจตนาทีจ่ ะพดู เท็จ พดู หยาบ พดู สอ่ เสยี ด พดู เพอ้ เจ้อ ไม่กนิ เหล้าเมายา  ไมฉ่ นั ในเวลาวิกาล  ไมห่ าความสุขความ เพลิดเพลินจากส่ิงบนั เทงิ ไม่แตง่ ตัว ไม่สนใจเร่อื งความสวยความงาม ทางกาย ไมย่ นิ ดีในการนอน หรือเพลดิ เพลินกบั การพักผ่อน นี่คอื ธรรมชาตขิ องพระอรหันต์ ซึ่งทา่ นเป็นของท่านอยา่ งนโ้ี ดยอัตโนมตั ิ ชยสาโร ภกิ ขุ 231

การรักษาศีล ๘ จงึ เหมือนกบั ว่าเราได้อยใู่ นกรอบอนั เดียวกบั พระอรหนั ต์ แม้จะแคห่ นง่ึ เดือนหรือแค่ ๔ วันท่เี รามาปฏิบตั ธิ รรมน้ี ก็ ยงั เปน็ การสร้างความคนุ้ เคยกับความเปน็ อยขู่ องพระอรยิ เจา้ ถา้ เรา เป็นพระอริยเจา้ เราจะเป็นเราจะอยอู่ ย่างนแ้ี หละ ผู้ทอ่ี ยูใ่ นตระกลู ของพระอริยะ  ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องต้ังใจที่จะฝืนใจเอาชนะใจตัวเอง เพอื่ ใหอ้ ยู่ในกรอบ หากการอย่ใู นกรอบนน้ั จะเปน็ โดยอตั โนมตั ิ จะ เป็นโดยธรรมชาติ  เปรียบเหมือนว่าเราไปเป็นแขกพักในบ้านของ ผใู้ หญ่ตระกูลหน่ึง ที่มีความเปน็ อยอู่ ยา่ งหน่ึง ท่านมรี ะเบียบมีวินยั เรากต็ ้องปรบั ตัว ให้เขา้ กับความเปน็ อยู่ของตระกลู นัน้ เหมอื นกับเรา เปน็ สว่ นหน่ึงของตระกูลน้ันในชว่ งที่เราอยูท่ นี่ น่ั เม่ือเรามารักษาศีล ๘ ก็เหมอื นเราเป็นแขกของตระกลู พระอริยะ เพราะความเปน็ อยูข่ องเรา อยูใ่ นกรอบอันเดียวกับพระอริยะเจา้ ทง้ั หลาย เรียกวา่ เปน็ บญุ เปน็ เกียรตแิ กเ่ ราอยา่ งย่ิง นา่ ปลาบปล้มื ทีเ่ ราได้มโี อกาสอย่างนี้ พระอยู่ดว้ ยพระวนิ ยั รัก เคารพนบั ถือ จงรักภักดีตอ่ วนิ ยั ของ ตน  เรารู้ว่าวิถีชีวิตของเรา  ความเป็นอยู่ของเรา  กรอบของเราน้ี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระสารีบุตร  พระโมคคัลลานะ  พระมหา กสั สปะ แม้วา่ คุณธรรมภายในจิตใจของเรายงั ไม่ถึง แต่อย่างน้อยการ กระท�ำ  และความเป็นอยู่ภายนอกก็อยู่ในกรอบเดียวกัน  การได้ใช้ ชีวิตเหมือนพระอริยเจ้าในอดีต  เป็นสิ่งที่ท�ำให้พระเรามีความสุขมาก เรียกว่ามีสายสัมพันธ์ท่ีไม่ขาดระหว่างพระอริยเจ้าในสมัยพุทธกาล 232 อักษรส่อสาร

กับพระในวัดน้ี  ในสมัยปัจจุบัน  น่ีคือความภาคภูมิใจของสมณะหรือ นักบวช มา้ ทเี่ กดิ ในพันธด์ุ เี ปรียบได้กบั ผู้ที่อยใู่ นขอบเขตขอบข่ายของ ศลี ของตน  ถา้ เป็นฆราวาสก็ศีล ๕ ศีล ๘ ถ้าเป็นพระกศ็ ลี ๒๒๗ ข้อ ในพระวินัยขอ้ วตั รปฏิบัตแิ ละธดุ งควตั ร ม้าพันธุ์ดี  เม่ือคนเล้ียงเอาอาหารสดอาหารแห้งมาให้กิน  ก็ กินอยา่ งเรียบร้อยไม่ให้หก พระเราไม่วา่ จะรับอาหารมาจากใคร ก็รบั ด้วยความเคารพ ไมว่ ่าจะเป็นอาหารพ้นื ๆ หรอื อาหารปราณตี อยา่ งไร กถ็ อื วา่ เปน็ อาหารทเ่ี ขาถวายด้วยศรทั ธา เรากเ็ คารพในศรทั ธาของผู้ ถวาย พระเรา เป็นผูท้ ี่สนั โดษหรอื พอใจ ไม่จุกจิกจ้จู ้ีเรอ่ื งอาหาร เป็น ผทู้ ่ีระลกึ ถึงบญุ คุณของผทู้ ่ไี ด้นำ� อาหารมาถวายอยูเ่ สมอ พระท่ีดีที่ควรเป็นเนื้อนาบุญแห่งโลก  จะไม่สนใจเร่ืองรสชาติ ของอาหารสกั เท่าไร  ทา่ นฉนั เพยี งเพอ่ื ประทงั ชวี ติ ในอกี ๒๔ ชวั่ โมง ข้างหนา้ เพ่อื จะไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ัติ ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะไมม่ คี วามรู้สกึ เลย วา่ ชอบหรอื ไม่ชอบ อรอ่ ยหรอื ไมอ่ ร่อย แตท่ ่านไมไ่ ดใ้ หค้ วามส�ำคญั ม่ัน หมายกับความรู้สึกเหล่านั้นจนเกินไป  ถ้ารู้สึกอร่อย  ก็สักแต่ว่ารู้สึก ว่านี่อรอ่ ยดี ถา้ ไม่อร่อย ก็สกั แต่วา่ ไมค่ ่อยอร่อยเท่าไร ก็แค่นนั้ ไม่ใช่ วา่ เจอส่งิ ทอี่ ร่อยก็มคี วามสุข  เพลดิ เพลนิ ยินดจี นลืมสติ หรอื ไม่ใชว่ า่ เจอสิ่งท่ไี ม่อรอ่ ยและไมถ่ กู ธาตุขันธ์ จติ ใจกห็ ดหูห่ รอื หงุดหงิดรำ� คาญ อย่างน้ไี ม่ใช่ ท่านก็สักแตว่ ่ารบั รู้ จะอร่อยหรือไม่อร่อย ก็สักแต่ว่า ความรู้สึกช่ัวแวบเท่าน้ัน ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมันมาก อยา่ งนจี้ งึ จะ ชยสาโร ภิกขุ 233

เรียกว่า  เป็นพระที่เป็นเนื้อนาบุญแก่โลกได้  ม้าพันธุ์ดีก็เป็นม้าท่ีกิน อาหารอะไรก็ได้ ที่เขาใหอ้ ย่างเรียบร้อยดว้ ยความเคารพ พระเราก็ เชน่ กนั พระทีด่ ีหรือนักปฏบิ ตั ิทด่ี ี  จะรงั เกียจความคิด การพูด  หรอื การกระท�ำท่ีประกอบด้วยกิเลส  ท่ีเรียกว่ามจิ ฉาทงั้ หลาย  ทง้ั มจิ ฉา สงั กปั ปะ มจิ ฉาวาจา มจิ ฉากมั มนั โต มจิ ฉาชพี   พระพุทธองคท์ รง เปรียบเทียบอย่างน่าฟังว่า  เหมือนกับม้าพันธุ์ดีที่รักสะอาดและ รังเกียจความสกปรก  ไม่ยอมนอนทับอุจจาระหรือปัสสาวะของตัว เอง ท่านว่าถา้ เราปล่อยให้จติ ใจคดิ ในทางอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยู่ตลอดเวลา  คิดวางแผนว่าท�ำอย่างไรหนอเราจึงจะได้ส่ิงน้ันสงิ่ น้ี จติ ใจรอ้ นดว้ ยความอยาก หรอื รอ้ นดว้ ยความคดิ โกรธแคน้ คิดไมด่ ี คดิ ประทุษรา้ ยคนอนื่ แหม... คนน้ันน่าเกลยี ดอย่างนน้ั นา่ เกลยี ดอยา่ งนี้ 234 อักษรส่อสาร

คดิ ปรงุ แตง่ ในเรอื่ งความไมด่ ขี องคนอน่ื   ปรงุ แตง่ ความโกรธความแคน้ ความโมโหให้มันก�ำเริบเสิบสาน  หรือคิดที่จะเอาชนะคนอื่น  คิดจะ ทำ� ลายเขา คิดแต่จะให้เขาตอ้ งรบั โทษ คดิ อยากจะแกแ้ คน้ อยากให้ เขาเปน็ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า  ถ้าเราปล่อยให้จิตใจคิดในลักษณะ เช่นน้ี  ก็เหมือนเรายอมนอนทับอุจจาระปัสสาวะของตนเอง  มันน่า เกลยี ดขนาดไหน ความคิดท่เี ป็นมจิ ฉาสงั กปั ปะ คอื ความดำ� รใิ นกาม ความด�ำริในการปองร้าย  และความด�ำริในการเบียดเบียนนั้นเป็น สง่ิ ทนี่ า่ เกลยี ดและนา่ รังเกียจ  เปน็ การเบยี ดเบยี นคนอน่ื และเปน็ การ เบยี ดเบยี นตนเองดว้ ย ม้าพันธุ์ดีเป็นม้าที่อยู่ร่วมกับม้าตัวอื่นได้อย่างดี  ไม่ข่มขู่ม้าตัว อ่ืน  คฤหัสถ์ทดี่ หี รือพระทด่ี กี อ็ ยู่รว่ มกบั คนอ่ืนได้ดี ไม่สรา้ งปัญหา ไมส่ รา้ งความทกุ ขค์ วามเดือดร้อนในครอบครวั ในชมุ ชน ไมเ่ หน็ แกต่ วั ไมเ่ อาแตใ่ จเจา้ ของ  ไมเ่ อาแต่ความคิดเจ้าของ  ไม่บังคับให้ทุกคนท�ำ ตามใจเราอยู่เสมอ  ไม่คิดท่ีจะควบคุมทุกส่ิงทุกอย่างให้อยู่ภายใต้ อำ� นาจของตน ไม่สร้างความแตกสามัคคี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกบั ใคร รู้จกั ปลอ่ ยวาง เรื่องเลก็ เร่อื งนอ้ ยกร็ ู้จกั วางเสีย ไมถ่ อื สา เปน็ ท่ีเคารพ และเป็นท่ีรักของคนรอบข้าง  อย่างน้ีเรียกว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี ตอ้ งเปน็ ผ้รู ะงับอารมณข์ องตนเองได้ เวลาเปน็ ทุกขก์ ไ็ ม่ระบายใส่คน รอบขา้ ง  แต่รจู้ ักแก้อารมณข์ องตัวเองได้ การใชค้ นอนื่ เป็นท่รี องรับ ชยสาโร ภิกขุ 235

อารมณ์เสียของเรา เปน็ การปลดปลอ่ ยอารมณใ์ นทางทผี่ ดิ ทกุ คนท่ี อยรู่ อบขา้ งกเ็ ปน็ มนษุ ยเ์ หมอื นเรา อยา่ ไปมองหรอื ใชค้ นอนื่ เปน็ วตั ถุ การมองคนอ่ืนเป็นวัตถุเป็นอย่างไร  ตัวอย่างเช่น  คนท่ีรักกัน นั้น ตราบใดทค่ี ุณทำ� และพดู ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นท่ีพอใจของฉัน ฉนั ก็จะรักคุณ แตถ่ า้ คณุ ทำ� อะไรที่ฉนั ไมช่ อบ ท�ำอะไรทีฉ่ ันรบั ไม่ได้ ฉนั ก็ จะไมร่ กั หรือตราบใดท่ีคณุ ทำ� ให้ฉันมีความสุข ฉันกจ็ ะอย่ดู ว้ ย แตเ่ ม่อื ไหรท่ ฉ่ี นั เบอ่ื หรอื ไมม่ คี วามสุข เรากแ็ ยกทางกันดีกว่า หย่ากนั ดีกวา่ สมยั ใหม่มันเป็นอยา่ งนี้ เอาแตค่ วามสขุ ในปจั จบุ ันเปน็ สำ� คัญ คน อน่ื เป็นเหมอื นวตั ถทุ ่จี ะตอ้ งใหค้ วามสขุ แกเ่ รา ไม่มคี วามอดทน ไมม่ ี การฝกึ ใจเจ้าของ ไมม่ กี ารปลอ่ ยวาง ฉะนน้ั การอยรู่ ว่ มกับคนอืน่ ได้ ดี ถือเปน็ ศิลปะอย่างหนง่ึ เราตอ้ งฝกึ ใหอ้ ยูก่ บั คนอ่นื ได้ ไม่สร้าง ปญั หา ไมส่ รา้ งความเดอื ดรอ้ น หากสามารถใหค้ วามสขุ แก่ผูอ้ ื่นได้ ม้าพันธดุ์ วี ่งิ ทางตรง มนุษยท์ ่ีดีและพระทดี่ ีเดินทางตรง ทาง ตรงนน้ั กค็ อื ทางสายกลางนนั่ เอง ทางสายกลาง คอื อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ไดแ้ ก่ สมั มาทฐิ ิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ สรุปแล้วอยู่ทศี่ ีล สมาธิ ปญั ญา หรอื ไตรสกิ ขานน่ั เอง หมวดศลี คือ ๑. สมั มากัมมันตะ การกระทำ� ทีช่ อบท่ถี กู ตอ้ ง ๒. สัมมาวาจา การพดู ทีช่ อบท่ีถูกตอ้ ง ๓. สมั มาอาชีวะ การประกอบ อาชีพท่ถี ูกตอ้ ง 236 อักษรส่อสาร

หมวดสมาธิ  ได้แก่  ๑.  สัมมาวายามะ  ความพากเพียรชอบ คอื ความพากเพียรในการละบาป บ�ำเพญ็ กศุ ล  ๒.  สมั มาสติ คือ ความระลึกได้ ความรู้ตวั อยใู่ นปัจจุบนั กบั กาย กบั เวทนาความรสู้ ึก กบั จิตอารมณ์ กบั คณุ ธรรมหรอื กเิ ลสทเี่ กดิ ดบั อยใู่ นจติ ใจเรา  ๓. สมั มา สมาธิ การทำ� ใหจ้ ิตใจรวมเป็นหนง่ึ อยูใ่ นปจั จุบัน  จนถงึ ข้ันอปั ปนา สมาธิ เปน็ ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตติยฌาน จตตุ ฌาน ถา้ เปน็ ไปได้ หมวดปัญญา  คือ  ๑.  สัมมาทิฐิ  ความเห็นชอบ  ความ เข้าใจชีวิตในโลกตามความเป็นจริง  ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ความเชื่อม่ันในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ความเชื่อม่ันในศักยภาพ ของมนุษย์ท่ีจะตรัสรู้ธรรม  ความเช่ือเร่ืองสวรรค์นรก  ความเช่ือว่า วัฏสงสารมีจริง  การตายไม่ใช่ตายแล้วสูญ  ตราบใดท่ียังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องเกิดใหม่ในวัฏสงสาร  การเช่ือในส่ิงเหล่านี้เป็นพ้ืนฐานที่ม่ันคง ของการพัฒนาชีวิตต่อไป  ๒.  สัมมาสังกัปปะ  ความคิดในทางท่ี ปราศจากกามหรือพ้นจากกาม ความคิดในการไม่ม่งุ รา้ ย ความคิด ในการไม่เบียดเบียน  แล้วความเมตตาหวังดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ความคิดด้วยความสงสาร  ความคิดอยากจะช่วยสรรพสัตว์ท้ังหลาย ให้พ้นทุกข์ จะเกิดขึ้นเอง ไตรสิกขา หรือ ศลี สมาธิ ปญั ญา ก็เป็นเรือ่ งเดยี วกบั อรยิ มรรค ๘  ซง่ึ กค็ อื   ปัญญา  ศีล  สมาธ ิ เราวง่ิ ตามเสน้ ทางสายกลางน้ี เปน็ ทางทต่ี รงไปสู่ความพ้นทุกข์ ชยสาโร ภิกขุ 237

ม้าที่เอาภาระ  คือ  ม้าที่ไม่สนใจว่าม้าตัวอื่นท�ำอะไรอยู่  แต่ ตัวมันต้องวิ่งตามค�ำสั่งของสารถีหรือเจ้านาย  เหมือนนักปฏิบัติเรา ไม่ต้องไปสนใจคนอื่นว่าเขาท�ำหรือไม่ท�ำอย่างไร  แต่ถ้า  เอ... ท�ำไมคนนั้นเขาทำ� อยา่ งนน้ั ไมเ่ หน็ เรยี บรอ้ ยเลย  ครบู าอาจารยเ์ ราไม่ เคยสอนให้ท�ำอย่างน้ัน...  ถ้ามัวแต่ปล่อยจิตใจให้เศร้าหมองไปกับ กเิ ลสของคนอนื่   หรอื เหน็ แตค่ วามบกพรอ่ งของคนอน่ื ไป  ๆ มา  ๆ เราจะกลายเปน็ คนเพง่ โทษคนอ่ืน  คอยจับผิดคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ความผดิ ของคนอื่นๆ รหู้ มดเลย รวู้ ่าทุกคนที่เขา้ มาในวัดมคี วามผิด อยา่ งไร มีกเิ ลสอย่างไร ร้เู รือ่ งกิเลสของคนอืน่ ทงั้ หมด แตโ่ ปรดรเู้ สยี ดว้ ยวา่ การเพ่งโทษเพง่ กเิ ลสคนอืน่ นนั่ แหละคือกิเลสตวั สำ� คัญ ถ้าหากว่าเรายังยินดีในการเพ่งโทษคนอื่น  จิตใจเราไม่ไป เสียแล้ว ไม่มีทางท่ีจะเข้าถึงธรรมได้ เราต้องให้อภัยคนอ่ืน  แลว้ มุ่งท่ีจะท�ำเรื่องของเรา  คนอื่นเขาจะท�ำหรือไม่ท�ำก็เป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่ของเรา  เม่ือเราก�ำหนดหนทางของเราแล้ว  คนอื่นเขาจะ สรรเสริญหรือจะนินทา จะเข้าใจเราหรือไมเ่ ข้าใจเรากต็ าม ไม่ใชเ่ รอ่ื ง สำ� คัญ เราฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นประจ�ำ ก็คอยทบทวนเทียบเคียง ว่า  ท่ีเราคิดที่เราท�ำตรงกับที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดไหม  มีอะไรขัด กันไหม  เราไม่ควรเชื่อความคิดของตัวเองมากจนเกินไป  การใช้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าและธรรมะของครูบาอาจารย์  เป็น เคร่ืองระลึกเพื่อตรวจสอบตักเตือนตนเองอยู่เสมอ  เป็นการรับ ประกนั ความปลอดภัยหรอื ความถกู ต้องของเรา 238 อักษรส่อสาร

การฟงั เทศนฟ์ งั ธรรม  การอา่ นหนงั สอื ธรรมะ  หรอื ฟงั เทปธรรมะ แล้วคอยโอปนยิโก  น้อมเข้ามา  น้อมเข้ามาพิจารณา  มาทบทวนดู วา่ ตรงกบั เราไหม  ทไี่ ม่ตรงก็ค่อยๆ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขไปเรอ่ื ยๆ แตอ่ ย่า ไปเอาคนอืน่ มาเปน็ มาตรฐาน มันอาจจะมากเกนิ ไป อาจจะหกั โหม เกินไป  มันมักจะไม่พอดีหรอก  คนที่ไม่อยากจะให้เราได้ดีก็มีนะ คนทอี่ ิจฉาเรากม็ ี อยา่ ไปสนใจ หรือบางคนอาจจะชมเราวา่ ...โอ.. คณุ เก่งเหลือเกิน เก่งจรงิ ๆ ... เราก็อยา่ ปล่อยใหม้ ันพองให้มันเหลงิ นะ ใหค้ �ำชมน้ันเหมอื นเสียงนกเสยี งธรรมชาติ ชยสาโร ภกิ ขุ 239

เราก็ท�ำของเราไป  เหมือนม้าพันธุ์ดีท่ีว่ิงตามค�ำสั่งของสารถี โดยไม่สนใจม้าตัวอื่นว่าจะว่ิงหรือไม่วิ่ง  คือเวลาสารถีควบรถม้าที่ เทียมม้าหลายตัว  ม้าบางตัวอาจจะข้ีเกียจไม่อยากวิ่งหรือไม่มีก�ำลัง แล้วถ้าม้าตัวท่ีมีก�ำลัง  เห็นเพ่ือนไม่ว่ิง  ก็ไม่อยากวิ่งด้วย  รถมันก็ ไม่เคลื่อนไปไหน ฉะน้ัน คนอน่ื เขาทำ� หรอื ไมท่ ำ� เรากต็ อ้ งทำ� ไมถ่ อื วา่ เปน็ การเสยี เปรยี บ เพราะเรายอ่ มได้บุญ ย่อมไดป้ ระโยชน์ มา้ ทดี่ เี ปดิ เผยความพยศคดโกงใหส้ ารถเี หน็ เหมอื นกับเราไม่ ปิดบังอ�ำพรางกิเลสที่เรามี  เราเปิดเผยให้กัลยาณมิตรหรือครูบา อาจารย์ทราบ เพ่ือทา่ นจะได้ช่วยใหค้ �ำแนะน�ำ จิตใจจะไดไ้ ม่อึดอัด เกบ็ กด หรอื เศร้าหมอง มา้ พนั ธด์ุ มี เี รย่ี วแรงมกี ำ� ลงั นกั ปฏบิ ตั กิ เ็ ชน่ กนั ไมว่ า่ จะหนกั สกั เทา่ ไหร่ เรากส็ ู้ เพราะไมว่ า่ อยา่ งไร เรากม็ าอยู่ในสถานทีป่ ฏบิ ัตธิ รรม 240 อักษรส่อสาร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook