Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Description: อักษรส่อสาร_ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

สมาธิเป็นสังขาร  สมาธิเป็นสังขตธรรม  เกิดตามเหตุตาม ปัจจยั   ถ้าเหตปุ จั จัยไมพ่ ร้อม  สมาธกิ ็ไม่พรอ้ ม ทุกสงิ่ ทกุ อย่างมนั ตอ้ งพรอ้ ม มนั จึงจะเกิด ถ้ายังไม่พร้อม ยังมเี หตไุ ม่พอ  มนั กไ็ ม่เกดิ ถา้ เข้าใจอย่างนี้กจ็ ะปล่อยได้ ปลอ่ ยในทางที่ถูกตอ้ ง  แตล่ ะครง้ั ทเ่ี รา นัง่ สมาธิจะเป็นอย่างไร กถ็ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งของธรรมชาติ ไม่ใชเ่ รอื่ งของ เรา เรือ่ งของเรากค็ ือความพยายาม  ผลจะดีจะเลวอยา่ งไรไม่รู้ แต่ ถ้าเราท�ำอย่างถูกตอ้ งตามหลักคำ� สั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรียกวา่ เรา อยู่ในปัจจุบัน  จติ ใจทปี่ ราศจากนวิ รณจ์ ะเปน็ บาทฐานของปญั ญา เมื่อจิตใจเรายังไมน่ ่ิง ยงั ไม่เขม้ แขง็ ยงั ไมน่ ุ่มนวล ย่อมจะ เกิดปัญญาเกิดวิปัสสนาได้ยาก  หรือไม่เกิดเลย  เราต้องพยายาม ท�ำจิตใจให้พร้อมให้เหมาะให้เอ้ืออ�ำนวย  ถ้าสมาธิเราดีและเราติด สมาธิ  บางทีเราก็จะหลอกตัวเองเหมือนกันว่าเราพ้นแล้ว  เพราะ สมาธจิ ะข่มกเิ ลสไว้ไดเ้ กือบท้ังหมด เราจะรสู้ กึ สวา่ งไสว มคี วามสขุ จากสมาธิ แต่วา่ มนั กแ็ ค่นนั้ เอง มันก็เปน็ สง่ิ ท่เี ปลี่ยนแปลงได้ ไมใ่ ช่ ของเรา ไม่ใชค่ ณุ สมบัตขิ องเรา ไม่ใช่ของๆ เราทีจ่ ะบังคับบญั ชาได้ วันนี้เป็นอย่างนี้  พรุ่งน้ีไม่รู้จะเป็นอย่างไร  ได้แค่นี้เราก็ควรพอใจ แต่เราต้องพยายามท�ำต่อให้สม่�ำเสมอ  ให้มันดีกว่านี้  ให้มันเกิด ปญั ญาทจ่ี ะรเู้ ทา่ ทนั โลกและชวี ติ จนสามารถปลอ่ ยวางไดอ้ ยา่ งสน้ิ เชงิ การปล่อยวางของเรายังไม่สมบูรณ์  เพียงปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง แต่ตอ่ มามนั ก็ไมเ่ ป็นอยา่ งนัน้ ผู้ท่ีท�ำสมาธติ ้องขม่ กเิ ลสได้ แต่บางที ชยสาโร ภิกขุ 291

ก็หลง  เมื่อสมาธิเส่ือมด้วยเหตุใดเหตุหน่ึงจึงเสียใจ  เหมือนกับตก นรกทั้งเป็นเลย  เกิดความรู้สึกว่าท�ำมาได้หลายปีแต่ท่ีแท้กลับไม่ได้ อะไรเลย บางคนกเ็ ลยเลิก ไมท่ ำ� อกี ต่อไป เราจึงต้องรู้เท่าทันชีวิตในทุกระดับ  พยายามฝึกให้รู้ว่าสมาธิ คอื อะไร ท�ำอย่างไร มผี ลอยา่ งไร รูส้ มาธติ ามความเป็นจรงิ   แลว้ ก็ ปล่อยวางความยึดมัน่ ถือม่นั ต่าง  ๆ ปญั ญาเป็นเครอ่ื งมอื อันสงู สดุ เหมือนดาบเพชรดาบวิเศษ  ท่ีสามารถตัดทุกส่ิงทุกอย่างในจักรวาล ไมม่ สี งิ่ ใดเลยที่จะทนต่อการพสิ ูจน์ด้วยปัญญา ฉะน้ัน เราตอ้ งฝึก ลูกหลานเราต้ังแต่ยังเด็กยังเล็ก  ให้พิจารณาให้เห็นความไม่เท่ียง ความไม่แน่นอนของสังขาร  ฝึกให้คุ้นเคยและไม่กลัวความไม่เที่ยง ความไม่แนน่ อน แตอ่ ย่าใหย้ ดึ มน่ั ถือมน่ั ในความคิดเหน็ เพราะเดยี๋ ว จะต้องปะทะกับคนอ่ืนๆ  ที่มีความคิดเห็นไม่เหมือนกับเรา  ให้เรา ใช้ธรรมะเป็นเรือเป็นแพข้ามน�้ำ  แต่เม่ือเราข้ามฝั่งได้แล้ว  ท่านให้ เราขน้ึ จากเรือ  ทงิ้ เรอื ทงิ้ แพไว้ ไม่ตอ้ งแบกตอ่ ไป ถ้าแบกไปมันจะ หนัก แบกไปแลว้ จะต้องเทศน์ใหใ้ ครต่อใครฟังอยู่ตลอดเวลา หรือไป วิพากษ์วจิ ารณ์วา่ คนน้ผี ิด คนน้นั สอนผิด ซึง่ ไม่สมควร ทำ� เหมือนตัว เราจะรู้ทกุ สิง่ ทกุ อย่าง นัน่ คอื ความหลง แตก่ ารเร่มิ ฝกึ ตนเองใหเ้ ห็น ความไม่เที่ยงนี่ส�ำคัญ  ปัญญาท่ีเห็นความไม่เที่ยง  ความเป็นทุกข์ ความเปน็ อนตั ตา จะเปน็ สงิ่ ท่นี ำ� เราไปสู่ความเป็นอิสระที่แทจ้ รงิ 292 อักษรส่อสาร

ชยสาโร ภิกขุ 293



.  ลงิ พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบจิตใจของคนเราว่าเหมือนลิง คือมีลักษณะอยู่นิ่งไม่ได้  วิ่งไปว่ิงมาอยู่ตลอดเวลา  โดยไม่มีจุดมุ่ง หมายอะไรท่ีชัดเจน  ลิงเป็นสัตว์ที่ข้ีเล่น  ท่านบอกว่าถ้าเราไม่ฝึก อบรมจิตด้วยสมถกรรมฐาน  เราจะพ้นจากความเป็นลิงไม่ได้ จิตที่เป็นลิงเป็นจิตที่มีความฟุ้งซ่านร�ำคาญอยู่ตลอดเวลา  จะคิด อะไรก็คิดไม่ตลอดรอดฝั่ง  ไม่เคยคิดอะไรตลอดสายให้ครบวงจร ของมนั   คิดได้นิดเดียวกเ็ ปลีย่ นไปสนใจหรือไปคิดเร่ืองอื่นแทน ไปคิด เร่อื งนนั้ สกั ครู่เดียวก็เบ่อื ตอ้ งไปหาเร่ืองอ่ืนมาคิด ชยสาโร ภิกขุ 295

การเปน็ เชน่ นมี้ โี ทษหลายประการ  ทเี่ หน็ ไดช้ ดั กค็ อื   ไมม่ ที างที่ จะสงบได ้ เพราะจติ ทฟี่ งุ้ ซา่ นหรอื จติ ลงิ นั้นมีอารมณม์ าก  ตรงกนั ขา้ ม กบั จติ ทส่ี งบ ซงึ่ มอี ารมณเ์ ดยี ว ผทู้ ป่ี ลอ่ ยจติ ใจใหว้ ง่ิ ไปวง่ิ มาอยตู่ ลอด เวลา  มกั จะรสู้ กึ เหนด็ เหนอื่ ย  เพราะความคิดเผาผลาญพลังกายของ เรา  ในแต่ละวันเราเสียพลังงานไปกับความคิดมากเหลือเกิน  สังเกต ได้ง่ายๆ  จากผู้ท่ีก�ำลังเป็นทุกข์  หรือก�ำลังหนักใจเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง หรือก�ำลังฟุ้งซ่านวุ่นวาย  แค่นั่งเฉยๆ  ไม่ได้ออกก�ำลังกายอะไรเลย แต่รูส้ ึกเพลียหมดแรง  มนั เพลยี เพราะอะไร  หมดแรงไดอ้ ยา่ งไร นั่ง อยกู่ บั ทแี่ ท้ๆ ไมไ่ ด้ท�ำอะไรเลย ท�ำไมจงึ เหนอื่ ยอย่างนี้ มันเหน่อื ย เพราะความคิด การคดิ คิด คิดอยู่ตลอดเวลา เราต้องใช้พลังงานมาก จงึ ท�ำใหเ้ รารู้สึกเหน่อื ย ฉะนัน้ จิตลิงมโี ทษ คือ ทำ� ใหร้ ู้สึกเหนื่อย ไม่มกี �ำลัง มโี ทษ เพราะเป็นอุปสรรค  หรือเป็นปฏิปักษ์  เป็นสิ่งท่ีตรงกันข้ามกับ ความสงบ  จติ ใจทฟี่ งุ้ ซา่ นเยยี่ งลงิ   มกั จะทำ� ใหก้ ารกระทำ� การพดู ของ เจา้ ของขาดความรอบคอบ กลายเปน็ คนใจรอ้ น หนุ หนั พลนั แลน่ คดิ อย่างไรก็ทำ� อยา่ งนั้น ท�ำแล้วเกดิ อุปสรรค ไมร่ าบรื่น ไมง่ ่าย ไมส่ นกุ ก็หยุดทำ� ไปทางน้ีไม่ได้  แทนที่จะสู้  กลับหยดุ เสยี   ไปหา ทางอืน่ ทีค่ ดิ ว่างา่ ยกว่า มนั ก็จะไดแ้ ต่วิง่ หาส่งิ ที่งา่ ยกวา่ อยตู่ ลอดเวลา เหมือนเดินทางในป่า  พอเจอที่รกทึบก็ไม่ไหวแล้ว  ถอยออกมาหา ทางใหม่ เจออุปสรรคเม่อื ไหร่ ไมย่ อมสู้  หาที่ใหม่หาทงี่ ่ายดีกวา่ 296 อักษรส่อสาร

ความคิดทจ่ี ะหาทางงา่ ยทสี่ ดุ นั่นละ่ คอื อันตราย เพราะทาง ที่ง่ายทส่ี ุด มักจะไม่ใช่ทางทีด่ ที ่สี ดุ อยา่ งท่โี บราณพดู ว่า มกั ง่าย ได้ยาก ล�ำบากได้ดี จิตลิงชอบเท่ียวเพลิน  ไม่เคยสอดส่องเข้าไปให้ทะลุปรุโปร่งใน เรื่องใดเรื่องหน่ึงเลย  มีแต่วิ่งหาความสนุก  หาความสบายอยู่ตลอด เวลาหมือนลิง  เมื่อเอาความสนุกและความรู้สึกชั่วแวบเป็นหลัก ก็มักจะท�ำสิ่งท่ีไม่เป็นประโยชน์  มักจะพูดสิ่งท่ีไม่เป็นประโยชน์อยู่ เสมอ นค่ี ือโทษของจติ ลิง ผู้ครองเรือนบางคน  เม่ือได้ฟังพระเทศน์  ก็เกิดเบ่ือหน่ายใน ชีวิตฆราวาส คิดจะออกบวช อยากจะเปน็ พระ หลวงพอ่ ชาทา่ นเคย วิจารณ์ในเรือ่ งนี้วา่   ผู้ทม่ี าวัด  มาขออุปสมบทในลักษณะน้ี ส่วนมาก อยูใ่ นลักษณะ ลิงเบอื่ ไม่ใช่วา่ เบื่อลงิ ทา่ นแยกแยะระหว่าง ลิงเบ่อื กับ เบ่ือลิง ไวล้ ึกซงึ้ มาก กระชับ และมีความหมายดี ชยสาโร ภิกขุ 297

เป็นอยา่ งไร กค็ ือลงิ ทหี่ าของเล่นอยเู่ รือ่ ย หาที่สนกุ หาที่สบาย อยู่ตลอดเวลา  ไม่นานก็เบ่ืออีกแล้ว  ต้องไปหาของใหม่แทน  ท่าน บอกวา่   บางคนทเี่ ขา้ วดั ด้วยเหตผุ ลวา่ เบื่อ เบ่ือสงั คม เบื่อชวี ติ ครอบครัว เบื่อนัน่ เบอื่ น่ี ท่จี ริงแลว้ ไมใ่ ชค่ วามเบ่ือทพี่ ระพทุ ธองค์ทรง สรรเสริญ  แตเ่ ป็นความเบือ่ ท่ปี ระกอบด้วยโทสะ ความไมช่ อบ ความ ไมพ่ อใจ แตค่ วามเบ่อื หนา่ ยทีเ่ ป็นกุศลกม็ ีอยู่ ความเบื่อหน่ายนี้ ท่านให้ ช่ือว่า นพิ พทิ า ถ้าเปน็ ลิงเบื่อ เบือ่ ไดไ้ ม่นาน กเ็ บ่ือที่จะเบอื่ แล้วเกิด ความสนใจในเรื่องอน่ื ตอ่ ไป คอื เบ่ือไมน่ าน จะเอาจริงเอาจังกบั ความ เบ่ือน้ันไม่ได้  แต่นิพพิทา  หรือความเบื่อประเภทที่เป็นกุศล นัน้ คือเบือ่ การท่ตี ้องใช้ชีวติ เปน็ ลิง เบอื่ หน่ายท่ีจะไมเ่ ป็นอสิ ระ ท่านเรียกว่า เบื่อลงิ เห็นความเปน็ ลิงของจติ เกดิ ความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องมีจิตใจที่เป็นอย่างน้ี  น่ีคือความแตกต่าง ระหวา่ ง ลงิ เบ่อื กับ เบอ่ื ลิง 298 อักษรส่อสาร

การฝึกสมาธิภาวนา  เช่นการก�ำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก จะชว่ ยแกจ้ ติ ลงิ ได้ เพราะสมาธภิ าวนาชว่ ยใหเ้ ราพอใจกบั อารมณ์ เดยี ว เปน็ การพสิ จู นว์ า่ เราอยดู่ ว้ ยอารมณเ์ ดียวได ้ ทำ� ใหเ้ รามกี �ำลัง ใจเพียงพอที่จะเสียสละความสุขทางโลก  ความสุขท่ีท�ำให้จิตใจเรา ฟุ้งซ่าน  เมื่อเรากล้าสละความสขุ ทบ่ี างครงั้ อาศยั ความทกุ ขข์ องคนอนื่ กลา้ สละความสขุ ในการคดิ ความสุขในการปรงุ แตง่ ความสุขในการ แสวงหารูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ จติ ใจของเราก็จะสงบร�ำงบั เมื่อจติ ใจเรามอี ารมณเ์ ดียว เราจะรสู้ กึ สบาย เป็นความสบาย ท่ีหลวงพ่อชาท่านบอกว่าเป็นไปเพื่อความสบายย่ิงๆ  ขึ้นไป  ไม่ใช่ ความสบายที่เป็นไปเพื่อความไม่สบาย  ดังนั้น  จิตใจฟุ้งซ่านท�ำให้ เราคิดอะไรไม่ออก  ถ้าเรามองไม่เห็นตามความเป็นจริง  เราจะไม่มี ชยสาโร ภิกขุ 299

โอกาสเข้าถึงความอัศจรรย์ของพระธรรม  จิตใจฟุ้งซ่านท�ำให้เรา เหนด็ เหนอื่ ยเพราะเผาผลาญพลงั งานของรา่ งกาย  จติ ใจทป่ี ราศจาก ความฟุ้งซ่านวุ่นวาย  เป็นจิตที่สร้างสรรค์  เป็นจิตใจท่ีเป็นกลาง ไมอ่ คติ เป็นจิตใจทีส่ งบ เป็นจิตใจทม่ี ีความพอใจในหน้าทีข่ องตน จติ ใจเชน่ นนี้ ำ� ความสุขมาสู่ชวี ติ ของเรา และทส่ี �ำคัญคือเป็นบาทฐาน ของปัญญา ฉะน้นั เราจงึ ตอ้ งพยายามนง่ั สมาธิภาวนาทุกวันๆ ให้มัน ต่อเน่ือง หากปฏิบัตไิ ดอ้ ย่างสม่�ำเสมอ จิตใจก็จะสขุ สดช่นื ถ้าเราปล่อยให้จิตใจคิดมาก  ส่ิงที่เราคิดมักจะเป็นส่ิงไม่ดี มากกว่าสิ่งทดี่ ี ทำ� ใหจ้ ิตใจเราว้าวุ่น ขุ่นมวั ไมม่ คี วามผ่องใส การระงบั ความฟงุ้ ซ่านก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เรากำ� หนดส่งิ ที่เราต้องการคดิ กำ� หนดส่ิงทีเ่ ราตอ้ งการพิจารณา แล้วพยายามประคองใหจ้ ิตใจอยกู่ บั สงิ่ น้นั เม่อื เราต้งั อกตง้ั ใจอย่างน้ี แม้วา่ จิตใจจะยงั ไหลไปบา้ ง พอเรา รูต้ ัว เรากด็ งึ กลับมา วิธีระงับความฟุ้งซ่านมันกม็ แี คน่ ้ัน ทีส่ ำ� คญั กค็ อื เม่ือมอี ารมณ์เกิดข้ึนในจติ ใจ จะเป็นอารมณจ์ าก อดีตหรือเป็นอารมณ์เก่ียวกับอนาคตก็ตาม  เราก็สามารถท�ำจิตใจ ให้เป็นกลาง เรียนรูจ้ ากประสบการณ์ชวี ติ ทา่ นบอกวา่ ผูท้ ่ีมจี ติ ใจ เปน็ ลงิ ไม่รู้จกั คา่ ของสิง่ ตา่ งๆ ไมส่ ามารถท่ีจะจบั ไดว้ ่า อะไรมี ประโยชน์ อะไรไมม่ ปี ระโยชน์ จึงมีค�ำพูดวา่ ...ลิงได้แกว้ ... คอื เม่อื ลงิ ได้แก้ว ลงิ ก็ไม่รู้จักคณุ ค่าของแก้ว เหน็ แคว่ า่ สวยงาม หยบิ ขึ้นมา เลน่ เล่นไปเลน่ มาก็เบ่ือ เบ่อื แลว้ กท็ ิ้งแกว้ นนั้ ไป 300 อักษรส่อสาร

จิตใจเราต้องหนักแน่นม่ันคง  ต้องสละส่ิงที่ท�ำให้จิตใจเป็น อกศุ ลทงิ้ ไป เราตอ้ งมงุ่ มน่ั ในสง่ิ ทด่ี งี าม คอยเฝา้ สงั เกตจติ ใจของตน การทำ� สมาธจิ ะไดผ้ ลทกุ คน ถา้ ทำ� ตรงตามท่ที า่ นสอน  และเราไม่มี ความต้องการสิ่งท่ีนอกเหนือจากทีท่ ่านสอน  ไม่สนใจเรื่องอทิ ธฤิ ทธิ์ ปาฏหิ ารยิ ์ ไมส่ นใจทจี่ ะเหน็ นมิ ติ อยา่ งนน้ั อยา่ งนี้ ถา้ ทำ� สมาธดิ ว้ ยความ เขา้ ใจถกู ตอ้ ง ทำ� อยา่ งสม่�ำเสมอ ความสงบย่อมไม่เหลือวิสยั ของเรา จิตใจของคนในสมัยปัจจุบันน้ี  ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่าง จากจิตใจของคนในสมัยพทุ ธกาล ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่โลภ ไมโ่ กรธ ไมห่ ลง ส่งิ เหล่านไ้ี ม่ได้เปลยี่ นตามยคุ ตามสมัย มันมอี ยู่ทกุ ยคุ ทุกสมัย เพียงแตเ่ ราตอ้ งเช่ือม่นั ว่า ความสงบอยูใ่ น เอ้อื มมอื เรา ความสงบไมเ่ หลอื วสิ ยั ทง้ั ๆ ทใี่ นปจั จบุ นั นอ้ี าจจะรสู้ กึ วา่ หา่ งไกลเหลือเกิน ทจ่ี รงิ แลว้ มันไม่ได้ห่างจากเราเลย มนั อย่แู ค่น้เี อง แต่เราตอ้ งปฏิบตั  ิ เมือ่ เราระงับความคดิ ฟ้งุ ซ่านในจติ ใจได้ ความเป็น ลงิ ลดนอ้ ยลง สงิ่ ทเ่ี หลืออยูจ่ ะปรากฏอยา่ งชดั เจน เราก็จะร้วู ่า สง่ิ ใดที่ ชยสาโร ภิกขุ 301

ควรละ ส่งิ ใดควรรักษาไว้ หรือควรพฒั นาใหด้ ยี ิง่ ๆ ขึน้ ไป เมือ่ เรารู้ เรา ก็จะท�ำงานได้คล่องแคล่ว  เพราะไม่มีความคิดที่เป็นอคติ  ไม่มีความ คดิ ทีผ่ กู พนั กบั สง่ิ น้ันสิง่ นี้ เม่ือความคิดตา่ งๆ  ลดน้อยลงหรอื หายไป เราจะสามารถเหน็ สิ่งตา่ งๆ ตามความเป็นจรงิ คุณธรรมท่สี ำ� คญั อย่างยง่ิ อกี ข้อ คอื ความไมป่ ระมาท แม้วา่ เราไดท้ ำ� สมาธิจนช�ำนิชำ� นาญแลว้ สมาธเิ ราดี ท่านสอนให้เราระวงั อย่าหลง  ไม่ต้องเช่ือความคิดของตน  แต่ควรจะยอมรับด้วยความ อ่อนน้อมถ่อมตนว่า  มันยังเป็นของไม่แน่นอน  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ชวั่ คราวเท่าน้ัน เกดิ แล้วต้องดบั ผู้ที่เคยเข้าวัดเข้าวาคงเคยฟังเร่ืองจากพระไตรปิฎก  ฟังเร่ือง อนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา ทุกส่ิงทกุ อย่าง ฟงั พระสูตรกพ็ อจะเข้าใจ แต่ มนั ยังไมช่ ดั เพราะยังเป็นความรขู้ องผไู้ มส่ งบ แต่เมื่อจิตใจสงบแล้ว เราจะเข้าใจลึกซึ้งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า  ทั้งๆ  ที่ไม่ใช่ความรู้หรือ ขอ้ มลู ใหม่ สว่ นมากเมอ่ื บรรลธุ รรมในระดบั ใดระดบั หนงึ่ กม็ กั จะ เกดิ ความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ ในสง่ิ ทเ่ี คยไดย้ นิ ไดฟ้ งั มาหลายครง้ั แลว้ การทำ� จติ ใจให้พร้อม พรอ้ มทจี่ ะรบั พรอ้ มที่จะเปลีย่ นแปลง จึงเปน็ เรื่องส�ำคัญ  เราต้องเจริญสมาธิให้มาก  จนจิตใจของเรามีความ เข้มแข็งและต้องมีความอ่อนโยนในเวลาเดยี วกนั เพ่ือความจริง ของชวี ติ จะได้ประทบั ไว้ในจติ ใจของเราได้ 302 อักษรส่อสาร

ถ้าจิตใจของเราแข็งเหมือนวัตถุแข็งๆ  เมื่อเอาอะไรมาประทับ ลง มนั ก็จะประทับได้แค่ผวิ เผิน จะเขา้ ไม่ถึงเนอ้ื ของวตั ถนุ ั้น แต่ถ้า เปน็ วตั ถทุ ่เี นอ้ื ออ่ นสกั หน่อยหนึ่ง ส่ิงทป่ี ระทับจะเขา้ ไปอย่ใู นเน้อื ของ วตั ถุนั้นได้ เชน่ เดยี วกบั จิตใจท่ีฝกึ แลว้ จะมคี วามหนกั แน่นเขม้ แขง็ ต่อพลังของกิเลสมาก  แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีความอ่อน  คือ ละเอยี ดออ่ นตอ่ ความจริง ไมใ่ ชอ่ อ่ นต่อกิเลส พูดไดว้ ่า เมอ่ื สมาธิ เกดิ ขึน้ ความเปน็ ลิงก็จะหมดไป ชยสาโร ภิกขุ 303

ในสมยั พทุ ธกาล มวี ธิ จี บั ลงิ อยา่ งหนงึ่ คอื เอายางไมค้ ล้ายๆ กาว ทาไว้บนแผ่นไม้อะไรสักแผ่น แล้ววางเหยื่อซง่ึ จะเป็นผลไม้หรือ อะไรก็ตามที่กนิ ได้ไวต้ รงกลางจดุ ท่ีทากาว ลงิ เหน็ ของกนิ ก็เอามือไป จบั มอื ก็เลยไปติดกับแผน่ ท่ีวางล่อ ดงึ มือออกไมไ่ ด้ จะทำ� อย่างไรดี ลงิ กค็ ิดวนุ่ วาย อันตรายๆ ใจรอ้ น จะต้องหนีใหไ้ ด้ ไมค่ ดิ วิเคราะหอ์ ยา่ ง รอบคอบ วา่ มอื ตดิ เพราะอะไร มนั ติดเพราะกาว ท�ำอยา่ งไรเราจึงจะ พ้นได้ มนั ไมไ่ ดค้ ดิ มันก็เอามอื อีกข้างมาดงึ มือก็เลยตดิ กาวไปทงั้ สอง ขา้ ง ลิงก็เอาเทา้ ซา้ ยมาชว่ ย เท้าซา้ ยกเ็ ลยตดิ กาวไปดว้ ย ทีนีก้ ็เหลอื ขา ขวาข้างเดยี ว  ในทส่ี ดุ เท้าขวากต็ ิดเข้าไปอีก แลว้ จะท�ำอยา่ งไรต่อ คดิ อะไรไม่ออก วนุ่ วายที่สดุ ก็เลยเอาปากลงมาพยายามชว่ ยดงึ ปากกเ็ ลย ตดิ ไปดว้ ย แลว้ นายพรานก็เดินออกมาจับลงิ ไปได้ ท่านว่าพวกเราก็เหมือนลิงนี่แหละ  พอเราไปยึดติดในส่ิงใด สิ่งหนึง่   เหมอื นลิงไปจับเหยื่อ  เราก็ติดอยู่ในโลก ตดิ อยู่ในวฏั สงสาร เม่อื ติดแล้ว แทนทีจ่ ะใชป้ ญั ญา กลบั กลายเป็นการเพิ่มปัญหาใหม้ าก ข้ึน  นี่คือตัวอย่างของลิง  ลักษณะอย่างหน่ึงของลิง  ซึ่งไม่ทราบว่า ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร  แต่ในนิทานหรือในค�ำบอกเล่ามักจะบอก ว่า  ลิงถอื ตวั ว่าตัวเองฉลาด ทง้ั ๆ ทีไ่ มฉ่ ลาด จงึ เป็นเหตุให้ผดิ พลาด บ่อยๆ พระพทุ ธองคเ์ คยตรสั ถงึ ผทู้ ข่ี าดปญั ญา หรอื เรยี กตรงๆ วา่ คนโง่ ทา่ นว่า คนโงท่ ่รี ู้ตวั เองว่าโง่ รู้ตัวเองวา่ มปี ัญญาน้อย กต็ ้องยอมรับวา่ 304 อักษรส่อสาร

เขามปี ญั ญาอยใู่ นระดบั หนงึ่ คือมปี ัญญาทีร่ ตู้ ัวเองตามความเป็นจรงิ รขู้ ้อบกพร่องของตัวเอง ทา่ นวา่ คนทมี่ ีขอ้ บกพร่องหรอื ผทู้ ขี่ าด ปญั ญาที่รู้จกั ตวั เอง ยอมรบั ขอ้ บกพรอ่ งของตนเอง เปน็ ผู้ทีน่ ่า สรรเสริญ สว่ นผทู้ เ่ี ป็นพาล หรอื ผ้ทู ่ขี าดปัญญา แต่หลงวา่ ตัวเอง เก่ง  ตัวเองแน่  ย่อมจะน�ำความเส่ือมมาให้ตนเองมากทีเดียว ท่านจึงใหเ้ รารจู้ กั ตัวเอง ในนทิ าน ลงิ มกั จะหลงวา่ ตวั เองฉลาด ทง้ั ๆ ทจ่ี รงิ ๆ แลว้ ไมไ่ ด้ เปน็ เชน่ นน้ั มนี ทิ านชาดกเรอ่ื งหนงึ่ เลา่ วา่ ทสี่ วนชานเมอื งพาราณส ี ผู้ ดูแลสวนอยากไปเที่ยวงานในเมือง  จึงถามหัวหน้าลิงในสวนว่า  เขา อยากจะเขา้ ไปในเมอื งสกั ๒-๓ วนั จะขอใหล้ งิ ชว่ ยรดนำ้� ตน้ ไมใ้ หไ้ ดไ้ หม หวั หนา้ ลงิ กร็ บั ปาก  ผดู้ แู ลสวนจงึ เขา้ เมอื งไป  หวั หนา้ ลงิ เรยี กประชมุ ลิงทั้งฝูง  บอกว่านี่เป็นโอกาสทองท่ีเราจะพิสูจน์ความฉลาดของพวก เราวา่ ไมแ่ พม้ นษุ ยเ์ ลย เราอาจจะฉลาดกวา่ มนษุ ยด์ ว้ ยซำ้� ไป หวั หนา้ ลงิ บอกกับลูกน้องวา่   ตน้ ไมใ้ นสวนนม้ี ีเยอะมาก  ที่ปลกู ใหม่ๆ  ก็มีมาก การตกั นำ�้ มารดตน้ ไม้ คงตอ้ งใชเ้ วลามาก เราตอ้ งพยายามหาวธิ ที ฉ่ี ลาด ทสี่ ดุ ฝงู ลงิ กเ็ ลยคดิ กนั วา่ ตน้ ไมท้ ม่ี รี ากลกึ ตอ้ งรดนำ�้ มาก สว่ นตน้ ไม้ ท่ีรากต้ืนมีรากน้อยไม่ต้องรดน้�ำมาก  ด้วยวิธีนี้  เราจะได้ประหยัดน�้ำ และประหยัดเวลาในการตักน้�ำ  จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหน่ือยในการหาบ นำ้� มากๆ  กเ็ ลยตกลงกนั ตามนนั้ ทนี ลี้ กู นอ้ งลงิ เกดิ ความสงสยั วา่ แลว้ เราจะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ตน้ ไหนรากลกึ   ตน้ ไหนรากนอ้ ย  หวั หนา้ ลงิ ตอบ ชยสาโร ภกิ ขุ 305

วา่ กถ็ อนออกมาดสู ิ จะไดเ้ หน็ วา่ รากมากหรอื รากนอ้ ย จะไดร้ ดนำ้� ถกู บรรดาลงิ ทำ� ตามทห่ี วั หนา้ สง่ั   กเ็ ลยถอนตน้ ไมเ้ สยี หลายรอ้ ยตน้   เมอื่ ผู้ ดแู ลสวนกลบั มาเหน็ กถ็ งึ กบั ชอ็ กไปเลย ตน้ ไมท้ เ่ี ขาปลกู ไวโ้ ดนลงิ ถอน มากมาย บางตน้ กต็ ายไปเลย บางตน้ กจ็ วนเจยี นจะตาย พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงคนที่ยังมีปัญญาไม่มาก  แต่หลง คิดว่าตัวเองเก่ง  ท�ำให้มีปัญหา  ท่านจึงให้เราไม่ประมาท  ท่านว่า แม้แต่ลิงยงั ตกต้นไมไ้ ด้ หมายถึงวา่ เราจะฉลาดอย่างไร เราจะเกง่ อยา่ งไร ถา้ เราไม่ระวงั เรากย็ ังมีโอกาสพลง้ั พลาดได้ ทา่ นจงึ ให้ เราปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหพ้ ้นจากความเปน็ ลิง ไม่ตอ้ งเป็นลงิ ตอ่ ไป เพอื่ จะได้ เป็นมนษุ ย์กบั เขาบา้ ง 306 อักษรส่อสาร

ปัจจุบันน้ี  เราอยู่ในยุคท่ีมีข้อมูลข่าวสารมากมายซึ่งส่งผลให้ จติ ใจของคนฟุ้งซ่าน  มีเคเบลิ ทีวีไม่รูก้ ่ีสบิ ช่อง จะเปลยี่ นจากชอ่ งหนง่ึ ไปอกี ชอ่ งหนงึ่   กไ็ มต่ อ้ งลกุ ขนึ้ ไปเปล่ียนจากเคร่ืองเหมือนอย่างสมัย ก่อน  มีรีโมทก็กดๆๆ  การเปลี่ยนช่องท�ำได้ง่ายมาก  ท�ำให้เราดู รายการอะไรแค่ ๕ นาที ๑๐ นาที ถา้ รู้สึกว่าไม่สนุก กก็ ดหาช่องใหม่ ทนั ที หรอื กดๆๆ หารายการทอ่ี าจจะสนุกกวา่ ทกุ วนั นี้การอา่ นหนงั สอื หรอื การทำ� อะไรใหม้ นั จบใหม้ นั ครบถว้ น มีน้อยลงๆ โดยล�ำดบั เพราะคอมพิวเตอร์ ทวี ี และเทคโนโลยใี หมๆ่ น้ี มันตอบสนองความต้องการของเรารวดเร็วมาก  คอมพิวเตอร์ก็เร็ว ทีวกี เ็ ร็ว  ดูน่ีเบ่อื อยากดอู ยา่ งอื่น กแ็ คก่ ดปุ่ม มันก็เปล่ียนทันที ทำ� ให้ คนใจร้อนและไม่อดทน  เม่ือประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความคิด ไม่นา่ ปรารถนา หรอื จติ ใจเกิดมีปัญหาอะไร ก็อยากจะกดปุม่ ให้ได้ผล ทต่ี ้องการทนั ที จะทำ� อะไร กห็ วงั จะให้ได้ผลทนั ที แตค่ วามหวัง ของเราไม่ค่อยมีผลต่อธรรมชาติสักเท่าไหร่  เราต้องเรียนรู้จาก ธรรมชาตดิ ว้ ยความออ่ นนอ้ มถ่อมตนมากกว่า ชยสาโร ภิกขุ 307

ฉะนั้น  ขอให้เราทั้งหลายได้ฝึกจิตเพื่อจะไม่ต้องเป็นลิง จะ ได้พ้นจากความเปน็ ลงิ มคี วามส�ำรวมระวังใหม้ ากข้ึน  ให้รู้จักเลือก เฟ้นส่ิงท่ีมาสัมผัสทั้งทางตา  หู จมูก ลิ้น กาย เลือกเฉพาะข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ มิฉะนั้น จิตใจจะอ่อนแอ และเราจะมคี วาม ต้องการให้ได้ทุกส่ิงทุกอย่างทันใจเรา  แต่โลกน้ีวัฏสงสารน้ีไม่ค่อย ทันใจเรา ไมท่ นั ความต้องการและความอยากของเรา ถา้ เราเบอ่ื กบั การเปน็ ลงิ เราตอ้ งใชป้ ญั ญา พจิ ารณาดูวา่ เรา เปน็ ลงิ เพราะอะไร  อะไรคอื เหต ุ อะไรคอื ปจั จยั ต้องดูที่เหตุปัจจัย ภายในและเหตุปัจจัยภายนอกด้วย  การวิเคราะห์อย่างน้ีไม่เหลือ วิสยั เพยี งแต่ดูวา่ เรอ่ื งนม้ี นั เป็นอย่างไร สังเกตดวู ่า ถ้ามขี อ้ มลู มาก รู้มาก เหมอื นเราทานอาหารมากมายหลายอย่าง เราคิดแต่ว่า เรา มีบุญนะท่ีมีอาหารอร่อยๆ หลากหลายใหเ้ ลือก มีบุญมากกว่าคนใน สมัยก่อน ทีม่ ีอาหารแค่ไม่กี่อย่าง ขา้ ว ส้มตำ� นำ�้ พรกิ ปลา อะไร เล็กๆ นอ้ ยๆ ไม่มาก แต่เม่ือเราทานอาหารที่อร่อยหลากหลายชนดิ น้นั   แลว้ ร่างกายเราย่อยอาหารน้ันไมไ่ ด้ แมว้ ่าอาหารนน้ั จะมวี ิตามนิ มีโปรตีน มอี ะไรสารพัด มันก็ไมม่ คี วามหมาย ไมเ่ กิดประโยชน์ และ อาจกลบั เป็นโทษด้วย ฉะนั้น  ทุกวันนี้  เรารู้อะไรต่อมิอะไรมากเกินไปเสียแล้ว เรา จึงต้องสำ� รวมระวงั พยายามควบคุมไมใ่ ห้เปน็ เหตุแหง่ ความฟุ้งซา่ น 308 อักษรส่อสาร

ชยสาโร ภิกขุ 309



.  ฤาษี ก่อนอื่นก็ขอเล่าถึงชีวิตอาตมาเองนิดหน่อยว่า  ตอนเด็กๆ เมื่ออยู่ที่ประเทศอังกฤษ  อาตมาเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในฤาษีท่ี อินเดีย  ก่อนท่ีจะได้ศึกษาพุทธศาสนาด้วย  เพราะเคยเห็นรูปและ เคยดูหนังแล้วเกิดความประทับใจ  จนมีความคิดมาตั้งแต่เด็กว่า อยากเปน็ ฤาษี ที่ประทับใจมาก คอื รปู ฤาษีนง่ั สงา่ ขัดสมาธเิ พชรอยู่ บนกอ้ นหิน รอบๆ กอ้ นหินน้มี ีแตห่ ิมะและนำ้� แขง็ แตฤ่ าษีนงุ่ แคผ่ ้าผืน เล็กๆ ผืนเดยี ว พอท่ีจะปกปิดอวัยวะเท่านน้ั เราก็รสู้ กึ ประทับใจ ตอนไปอนิ เดยี กแ็ สวงหาพวกฤาษี แตฤ่ าษที ่แี ท้จริงน้นั หายาก ส่วนมากเราจะเจอแต่ฤาษีปลอมมากกว่า  ที่อินเดียมีเมืองหนึ่งเรียก วา่ ฤาษเี กช (Rishikesh) เปน็ ทข่ี องฤาษี แตฤ่ าษสี ว่ นมากเปน็ ฤาษที ี่ หากนิ กบั นกั ทอ่ งเทย่ี ว ไมใ่ ชข่ องจรงิ ฤาษปี ระเภททนี่ อนบนเตยี งตะปู ชยสาโร ภิกขุ 311

ก็มี หรือทีท่ ำ� อะไรแปลกๆ ใหค้ นเห็นก็มี แต่ก็ไม่ใชฤ่ าษีท่ีอาตมา ตอ้ งการพบ ต่อมาอาตมาไปเดินอยู่แถวภูเขาหิมาลัยคนเดียว  ก็ได้เจอ ฤาษีบา้ ง  แล้วกย็ งั มคี วามหวงั และความตอ้ งการอยเู่ สมอวา่ วนั ใดวนั หนงึ่ เราจะเปน็ ฤาษ ี แตเ่ มอ่ื อาตมาไดห้ นั มาศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และบวชทว่ี ดั หนองปา่ พง  ไดศ้ กึ ษาและเขา้ ใจเรอื่ งระบบการพฒั นาจติ ของพระพุทธเจ้ามากขึ้น  เข้าใจในเร่ืองพระวินัยมากข้ึน  จึงได้ทราบ ว่าพระพุทธองค์ไมต่ อ้ งการให้พระในพระพุทธศาสนาเป็นฤาษี  พระ วนิ ยั บางสกิ ขาบทมงุ่ ทจี่ ะปอ้ งกนั ไมใ่ หพ้ ระเปน็ ฤาษ ี ดงั เชน่ สกิ ขาบทที่ กำ� ชบั วา่ พระเราจะฉนั อะไร ตอ้ งมโี ยมถวาย และเราเกบ็ อาหารทโ่ี ยม ถวายคา้ งคนื ไมไ่ ด้ เราขดุ ดนิ ไมไ่ ด้ ปลกู ขา้ วเองไมไ่ ด้ ทำ� กบั ขา้ วเองไมไ่ ด้ สกิ ขาบทเหลา่ นท้ี ำ� ใหพ้ ระเราชว่ ยตวั เองไมไ่ ดใ้ นเรอ่ื งอาหาร เมอ่ื เราชว่ ย ตวั เองไมไ่ ด้ เรากต็ อ้ งอาศยั ชาวบา้ น เราตอ้ งอยใู่ นวดั หรอื อยใู่ นทวี่ เิ วก ทไ่ี มห่ า่ งจากหมบู่ า้ นมากนกั อยา่ งมากทส่ี ดุ ก็ ๔-๕ กโิ ล เพราะเราตอ้ ง เดนิ บิณฑบาตทุกวัน  ๔-๕  กิโล  นี่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เดินได้ทุกวัน แต่บางองค์ท่เี ดนิ ไกลกวา่ น้นั กม็ ี แต่ถ้าเกนิ ๔-๕ กโิ ลแลว้ สว่ นมาก จะไมไ่ หว หลวงพอ่ เลยี่ มเคยเลา่ วา่ สมยั กอ่ น เมื่อยังไม่ได้สร้างวัดป่า นานาชาติ  ท่านก็เคยมาบิณฑบาตท่ีบ้านบุ่งหวายเป็นประจำ� ในบาง ฤดหู รอื บางปี 312 อักษรส่อสาร

ฉะนนั้   พระเราจะไปอยใู่ นถำ้� ทหี่ า่ งไกลจากชาวบา้ นมากไมไ่ ด้ ไม่ เหมอื นฤาษี ทสี่ ามารถเกบ็ เสบยี งไวใ้ นถำ�้ และทำ� อาหารเองทกุ วนั เพราะ พระวนิ ยั ไมอ่ นญุ าตใหพ้ ระเกบ็ ขา้ วสารอาหารแหง้ เอง ถา้ รบั ประเคนวนั นี้ จะฉนั พรงุ่ นไี้ มไ่ ด้ ทา่ นใหพ้ ระฉนั แคเ่ พยี งพอแกค่ วามตอ้ งการ  และใหเ้ สยี สละสว่ นทเ่ี หลอื ไป  ฤาษบี างคนยงั มสี วนปลกู ขา้ วปลกู ผกั ไวเ้ ปน็ อาหาร ซ่ึงพระเราท�ำไมไ่ ด้ ชยสาโร ภกิ ขุ 313

แล้วท�ำไมพระพุทธองค์จึงไม่ต้องการให้พระเป็นฤาษี  เพราะ พระพุทธองค์ทรงต้องการให้พระเป็นกัลยาณมิตรกับชาวบ้าน  ทรง ต้องการให้มีความสัมพันธ์ระหว่างพระกับชาวบ้าน  แม้ว่าพระบาง องค์อาจไม่มีพรสวรรค์ในการอบรมสง่ั สอน  หรอื ทา่ นยังต้องการวิเวก อยู่ ไมต่ อ้ งการจะคลกุ คลกี ับชาวบ้าน  เพียงแค่การไปบิณฑบาตใน หมู่บ้านทุกวัน เรากย็ งั ถอื วา่ เปน็ การโปรดสตั ว ์ เพราะอยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ ชาวบ้านก็ได้เห็นสมณะผู้สงบระงับเป็นตัวอย่างอยู่ทุกวัน  เม่ือเห็น พระทกุ วนั   ย่อมมีโอกาสที่จะน้อมน�ำจิตใจของชาวบ้านไปในสิ่งท่ีดี งาม ทำ� ใหช้ าวบา้ นรู้สึกช่ืนใจ ทำ� ใหม้ คี วามสบายใจวา่ ผทู้ ย่ี งั ปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ  ผทู้ ย่ี งั มงุ่ มนั่ ในการละความโลภ ความโกรธ ความหลง ใน การเจรญิ ดว้ ยความเมตตา กรณุ า และปญั ญาน้ี ยงั มอี ยใู่ นโลก เขายงั มีโอกาสท�ำบุญและมีส่วนในการบ�ำรุงพระศาสนา  พระพุทธองค์ทรง เห็นว่า  ถ้าพระเราเป็นฤาษีท่ีอยู่ในถ้�ำองค์เดียวนานๆ  หรือไปอยู่ใน ป่าองค์เดียวนานๆ  พระจะไมม่ บี ทบาทในสงั คม  ไมส่ ามารถทจ่ี ะเปน็ ผนู้ ำ� ดา้ นจติ วญิ ญานในสงั คม ฤาษีมีมาต้ังแต่ก่อนพุทธกาล  ในระบบเดิมของพราหมณ์นั้น ทา่ นแบ่งชีวติ ของคนออกเปน็ ๔ ช่วง ชว่ งแรกเรียกว่าชว่ งพรหมจรรย์ คอื ๒๕ ปแี รกของชีวติ สมัยน้นั อายยุ ังไม่ถึง ๒๕ ปี ยังแตง่ งาน ไม่ได้  แต่ตามความเป็นจริงคงไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะพวกศูทรและ พวกจณั ฑาลคงไมไ่ ดท้ �ำตามน้ัน เฉพาะพวกพราหมณ์จริงๆ ที่ถือว่า 314 อักษรส่อสาร

ต้องไม่แต่งงานจนอายุ ๒๕ ปขี น้ึ ไป เพราะตอ้ งตั้งอกตัง้ ใจเล่าเรียน วิชาอยู่กบั อาจารย์ อายุ ๒๕-๕๐ ปี เป็นชว่ งท�ำงาน แต่งงาน มลี กู มที ายาท อายุ ๕๐–๗๕ ปี เปน็ ช่วงออกจากโลกไปปฏิบตั ิธรรม และ ถ้ามีอายเุ กิน ๗๕ ปี กเ็ ปน็ ช่วงเขา้ ป่า เปน็ ฤาษี อยอู่ งค์เดยี วจนถงึ วัน ส้นิ ชีวติ ระบบดั้งเดิมของพราหมณ์เปน็ อยา่ งน้ี เพราะฉะนั้น  เมื่อพวกพราหมณ์เห็นองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าก็ดี  หรือ  เห็นพระสาวกหนุ่มๆ  ก็ดี  มักจะงงและจะ แปลกใจมากว่า ทำ� ไมคนอายแุ คน่ ค้ี ดิ ทีจ่ ะออกจากโลก มปี ัญหาอะไร ชยสาโร ภกิ ขุ 315

หรอื เปล่า เพราะกอ่ นหนา้ น้ัน มีแต่คนมีอายุทีผ่ า่ นชว่ งพรหมจรรย์ ผ่านช่วงท�ำงานและมีครอบครัวแล้วจึงออกบวช  เขาเข้าใจว่า  การ ออกบวชเป็นหน้าที่หรือเป็นธรรมะของผู้มีอายุ  ๕๐  ปีข้ึนไป  พวก พราหมณ์จึงไม่เข้าใจวา่ ท�ำไมในพระพุทธศาสนา คนอายุแค่ ๒๐ - ๓๐ ปี จ�ำนวนมากมายจงึ ออกจากโลก  ออกจากหน้าทีก่ ารงาน ท้งั ๆ ทอ่ี ายุ ขนาดน้ี ควรจะได้แต่งงานและมีลกู มอี ยูค่ รงั้ หน่งึ ท่ีพราหมณถ์ ามพระพทุ ธเจ้าเรื่องน้วี ่า ทำ� ไมพระ หน่มุ จึงอยไู่ ด้ และดูผอ่ งใสดีด้วย คอื เขาคงจะเห็นวา่ มนั ผิดธรรมชาติ ยังหนุ่มเกินไปทีจ่ ะปฏิบัตธิ รรม พระพุทธองค์ตรสั ว่า  พระหนุม่ ทา่ น อยู่ได้เพราะเม่ือท่านเจอผู้หญิงในวัยไล่เลี่ยกัน  ท่านก็จะมองว่าเป็นพ่ี สาวหรอื นอ้ งสาว เมอื่ เจอผหู้ ญงิ ทม่ี อี ายมุ ากกวา่ กม็ องวา่ เปน็ แม่ จติ ใจ ของท่านบรสิ ทุ ธิ์ ตงั้ ม่นั อยใู่ นธรรม ทา่ นจึงอยู่ได้ ประพฤติพรหมจรรย์ ได้ และไมค่ ดิ จะลาสิกขาไปแต่งงาน พราหมณ์ยงั ถามต่อว่า  แล้วพระทำ� ได้ทุกองค์หรอื เพราะมัน น่าจะเหลือวิสัยของคนหนุ่ม  พระพุทธองค์ทรงตอบว่า  พระองค์ ไหนที่ท�ำอย่างน้ันไม่ได้  คือไม่สามารถที่จะมองผู้หญิงว่าเป็นแม่ หรือเป็นพ่ีสาวน้องสาว  ท่านก็เจริญอสุภกรรมฐาน ให้เห็นความไม่ สวยไม่งามของสังขาร  ท่านแก้ราคะความก�ำหนัดด้วยการพิจารณา อสุภกรรมฐาน ทา่ นจึงอยู่ได้ 316 อักษรส่อสาร

ทีนี้ความต้องการจะเป็นฤาษีของอาตมาก็มอดไป  แต่ยังไม่ถึง กับดับเสยี ทเี ดยี ว  เพราะมนั เปน็ ความหวงั และความปรารถนามาตง้ั แต่ อายไุ มก่ ข่ี วบ  เมอ่ื อาตมาบวชได้ ๔-๕ พรรษา  กไ็ ดข้ า่ ววา่ เจา้ อาวาส วัดห้วยเสือท่ีจังหวัดกาญจนบุรี  ท่านสนับสนุนให้พระผู้มีศรัทธา แรงกล้าได้เข้าถ้�ำมืดภาวนาองค์เดียวโดยไม่ต้องออกบิณฑบาต  คือ พระเณรกลับจากบิณฑบาตแล้ว  จะแบ่งอาหารส่วนหนึ่งสลับกันไป ถวายพระที่อยใู่ นถ�ำ้ ซงึ่ ทา่ นไม่ตอ้ งพดู กบั ใคร ไม่ต้องไปไหน ไม่ตอ้ งทำ� อะไรท้ังสิ้น  เอาแต่ภาวนาอย่างเดียว  อาตมาจึงดีใจว่าจะได้มีโอกาส อยอู่ ย่างฤาษีสักคร้งั หน่งึ   พอครบ ๕  พรรษาแลว้   กไ็ ด้เดินออกจาก วัดป่านานาชาติไปเท่ียวธุดงค์กับอาจารย์เขมะนันโททางแม่ฮ่องสอน เชียงราย  เชียงใหม่  สักระยะหนึ่ง  แล้วจึงแยกทางกันไป  อาจารย์ ชยสาโร ภิกขุ 317

เขมะนันโทไปอยู่เขาเขียว  ที่ชลบุรี  อาตมาก็ไปอยู่ห้วยเสือที่จังหวัด กาญจนบรุ  ี และไดเ้ ข้าไปอยู่ในถ้�ำตรงกบั วันเกดิ ของอาตมา คือวนั ที่ ๗ มกราคม อยจู่ นครบ ๑ ปพี อดี ก็ออกจากถ�้ำในวนั เกิดปีตอ่ มา ได้ อยู่เปน็ ฤาษใี นถ้ำ� เป็นเวลา ๑ ปี ออกจากถำ้� แลว้ ก็พูดได้ว่า มคี วามร้สู กึ ว่า ชีวติ ของฤาษนี กี้ ็ ถกู กบั จริตของอาตมาเหมอื นกนั   ถ้าจะใหอ้ ย่ตู ่ออกี ปีหรอื ๒ ปกี อ็ ยู่ ได้ ไม่มปี ญั หา ถา้ ถามว่าคดิ ถึงเมืองมนุษยไ์ หม ตอ้ งตอบตรงๆ วา่ ไม่คิดถงึ อย่ใู นถ�้ำสบาย หนา้ หนาวก็อ่นุ ดี หนา้ รอ้ นกเ็ ยน็ ดี แต่ฤดทู ่ี ไมน่ ่าอยู่คอื หน้าฝน มันจะช้ืนมาก อาตมาอยูใ่ นถำ�้ น้นั ขา้ วของข้นึ รา 318 อักษรส่อสาร

หมด หนังสอื หรอื อะไรก็แล้วแต่ ถ้าวางไว้ขา้ งนอก มันจะขึ้นรา ผ้า กข็ ึ้นรา ตอ้ งเกบ็ จวี รไวใ้ นถงุ พลาสตกิ ไมเ่ ชน่ นน้ั กข็ นึ้ รา เราอยจู่ นชิน กไ็ ม่คอ่ ยจะร้สู กึ อะไร  แต่พระที่น�ำอาหารมาถวายบน่ ว่า โอ…้ ที่นชี่ ้นื เหลือเกิน แต่เน่อื งจากว่าเราอย่หู ลายเดอื นแลว้ และความชนื้ กเ็ พม่ิ ทลี ะ นดิ ทลี ะนอ้ ย เราจงึ ไมค่ อ่ ยรสู้ กึ อาตมาสรงนำ้� เฉพาะวันอุโบสถ ๑๕ วัน ตอ่ ครั้ง เพราะอยู่ในถำ้� ไม่มนี �ำ้ วนั ๑๕ คำ�่ กจ็ ะออกจากถ้ำ� ลงไปทหี่ ้วย โกนศีรษะและสรงน�ำ้ แล้วขึ้นไปท่ถี ้�ำใหญ่ ลงปาติโมกขก์ บั คณะสงฆ์ เสรจ็ แล้วจึงกลับไปอยู่ทถี่ ำ�้ ตอ่ อาตมานึกทบทวนประสบการณ์ท่ีอยู่ในถ้�ำ  ที่รู้สึกว่าขาดหาย ไป  หรือถ้าหากมีโอกาสจะไปอยู่อย่างนั้นอีกเม่ือไหร่  จะต้องปรับ นิดหน่อย  คือจะต้องไปบิณฑบาตทุกวัน  เพราะรู้สึกว่าการไม่ไป บิณฑบาตนานๆ  ท�ำให้ชีวิตไม่สมบูรณ์  เราเห็นอานิสงส์ของการไป บิณฑบาต  คือจะเป็นการเตือนสติให้เราระลึกถึงบุญคุณของญาติโยม ท�ำให้เรามีความต้ังอกต้ังใจในการประพฤติปฎิบัติ  เพราะเรารู้ว่า อาหารท่ีเราฉันในแต่ละวันนั้นมาจากไหน นอกจากนี้  การไปบิณฑบาตเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศด้วย เปน็ การเปล่ียนอารมณ์  ซึง่ เปน็ สง่ิ ทีด่ ี เพราะการอยู่องค์เดยี วนานๆ ในถำ�้ ในความมดื อารมณ์ทม่ี ีจะอยนู่ านกวา่ และลึกกว่าเมื่ออยกู่ ับหมู่ คณะ ทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดี การไปบิณฑบาตนั้น เมอื่ กลับถึง วัดหรอื ท่ีพกั แลว้ จะเหมือนกบั เป็นการตั้งตน้ ใหม่ เช่นสมมุติวา่ เม่อื ชยสาโร ภิกขุ 319

วานนีป้ ฏิบตั ไิ ม่ค่อยดี มีปญั หา ถา้ ไปบิณฑบาต กลับจากบณิ ฑบาตจะ รสู้ กึ เหมอื นเปน็ วนั ใหม่ เปน็ โอกาสทจ่ี ะตงั้ ตน้ ใหม่ มนั ก็ช่วยจิตใจเราได้ เหมอื นกนั ก่อนพุทธกาลชาวอินเดียก็ออกจากบ้านออกจากสังคม  ไป อยู่เปน็ ฤาษใี นปา่ ในถ�ำ้   เพือ่ แสวงหาโมกขธรรม แสวงหาความสงบ แสวงหาความสุขท่ีแท้จริง  ฤาษที ท่ี ำ� สมาธจิ นไดฌ้ านสมาบตั สิ งบนง่ิ มี มากมาย แต่เน่ืองจากพระพทุ ธเจา้ ยงั ไม่ได้บงั เกดิ ข้นึ ในโลกน ้ี จงึ ไมม่ ี ใครสอนเรอ่ื งวปิ สั สนา เรอ่ื งการเจรญิ ปัญญา ฤาษีเหลา่ น้ันจึงได้แต่ สมถะหรือสมาธอิ ย่างเดียว มแี ต่ความสงบ แต่ปญั ญายงั ไมเ่ กดิ เม่ือพระพุทธองค์ทรงบรรลุธรรมแล้ว  ค�ำสอนของพระองค์ ไม่เหมือนค�ำสอนของฤาษี  เพราะทรงค้นพบความจริงและทรงมี ความสามารถพิเศษในการแบ่งปันความรู้ความเข้าใจให้เพื่อนมนุษย์ หลวงพอ่ ชาเคยบอกว่า พวกเราเปน็ ผมู้ ีบุญและมีโชคจริงๆ เพราะ มีค�ำสอนของพระพุทธองค์ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ที่จะน�ำเราไปสู่ ความดับทุกข์  และเข้าถึงความสุขท่ีแท้จริง  เพียงแต่ว่าเราต้อง ท�ำตามเท่านั้นเอง  เหมือนสวนผลไม้ท่ีท่านปลูกต้นไม้ไว้พร้อมแล้ว เราไมต่ ้องท�ำอะไรเลย แค่เดินเขา้ ไปเกบ็ ผลไมท้ านเท่านนั้ ดงั น้นั   ก่อนพุทธกาล  ฤาษีมกั จะนัง่ สมาธเิ กง่   จิตสงบ แตก่ ็ หยดุ อยู่เพียงแค่น้นั เพราะขาดปัญญา ไมร่ ้วู ่าจะไปต่อไดอ้ ยา่ งไร หรอื ไม่รู้ว่ายังมีท่ีดีและสูงไปกว่าจุดท่ีได้  แต่ฤาษีที่มีคุณธรรมที่น่าเล่ือมใส 320 อักษรส่อสาร

ก็มีมาโดยตลอด  และท่ีว่าฤาษีไม่มีปัญญาน้ัน  หมายถึงปัญญาใน ระดับสูง คือ วิปสั สนาปญั ญา ไม่ได้หมายถึงปัญญาในระดับสามญั พวกฤาษีสว่ นมากจะมกั นอ้ ยและสันโดษ มเี รอ่ื งเล่าวา่ ครัง้ หน่ึง  พระราชาองค์หน่ึงไปเยี่ยมฤาษีท่ีถ้�ำ  ซ่ึงท่านไม่เคยไปมาก่อน เม่อื ถงึ ถำ้� พระราชากท็ ง้ั แปลกใจทั้งประทบั ใจวา่ ท�ำไมมันจึงเรยี บง่าย เหลือเกนิ ไม่มอี ะไรเลย ฤาษอี ย่ไู ด้อยา่ งไร  ทา่ นจงึ ถามฤาษวี า่   ไม่ เหน็ ทา่ นมีเฟอร์นิเจอรเ์ ครอ่ื งใช้สอยอะไรเลย ฤาษกี ย็ ้อนถามวา่ แล้ว มหาบพิตรละ่ ไมเ่ หน็ ทา่ นมีเครื่องใชส้ อยอะไรเลย พระราชากต็ อบ วา่ ไม่เห็นตอ้ งมอี ะไรน่คี รับ กผ็ มมาเยยี่ มเฉยๆ ฤาษีตอบวา่ อา้ ว… อาตมาก็แค่มาเยี่ยมเหมือนกัน  อาตมาจึงไม่ต้องมีเคร่ืองใช้สอยอะไร ท้งั น้ัน ชยสาโร ภิกขุ 321

ฤาษีตนนี้ยังไม่ใช่ผู้มีปัญญาถึงระดับดับทุกข์ได้  แต่ท่านก็มี ปญั ญาในระดับหน่ึง ความหมายของท่านฤาษีก็คอื ทา่ นมาอย่ใู นโลก นี้ ทา่ นมาอย่ชู ว่ั คราว เหมือนกบั เป็นคนมาเย่ียมเทา่ นัน้ เมื่อเปน็ คน มาเย่ียม กเ็ อาแต่ของทจ่ี �ำเป็นมา ไม่ตอ้ งสะสมของไวท้ น่ี ี่  เพราะวา่ เมื่อจะต้องไปจากโลกนี้  ก็จะเอาของจากที่นี่ไปด้วยไม่ได้  ท่านรู้ว่า อะไรๆ จะเสอ่ื มจากเราไปเมอ่ื ใดกไ็ ด้ ทา่ นจึงไม่ประมาท ถา้ เราคดิ วา่ เรามาอยทู่ นี่ แ่ี ลว้ เราจะอยตู่ ลอดไป หรอื คดิ วา่ อะไรๆ ก็เปน็ ของเรา  บ้านกข็ องเรา  ลูกก็ของเรา พระพุทธองค์ทรงว่า  การ คดิ อยา่ งนแ้ี สดงว่าไมม่ ีปัญญา ท่านวา่ แมแ้ ต่ตัวเราเองกไ็ มใ่ ชข่ องเรา แล้วเราจะไปเอาของอ่นื ๆ มาเปน็ ของเราไดอ้ ยา่ งไร เปน็ ทรี่ กู้ ันว่า ฤาษที ี่อยู่ในป่าในถ้ำ� นี่ ท่านมกั จะมวี ชิ าและมี ของดี  ท�ำให้คนเสาะแสวงหาฤาษีเพื่อจะขอฝึกวิชา  มีเร่ืองเล่าเรื่อง หนง่ึ วา่   เดก็ หนมุ่ คนหนง่ึ ขอฝากตวั เปน็ ลกู ศษิ ย์ของฤาษี  ฤาษีก็จะไม่ รับ  แต่เขาอ้อนวอนขอร้องมากเหลือเกิน  จนในที่สุดฤาษีก็อนุญาต ให้เขาท�ำงานเปน็ ผ้อู ุปฏั ฐากรบั ใชท้ ่าน วนั หน่งึ เขาลงไปตักน�้ำท่ีแม่นำ้� แล้วไปเหน็ ผูห้ ญงิ คนหนง่ึ ซึง่ หลงทางอย่ใู นปา่ เขาเกดิ หลงรัก จึงช่วย พาผ้หู ญิงคนน้นั ออกจากปา่ แลว้ แตง่ งานกนั เขาลืมฤาษีไปเลย ตอ่ มา เขามลี กู แลว้ ลกู คนหนงึ่ ตายตง้ั แตย่ งั เดก็ เขารสู้ กึ ทกุ ขม์ าก ตอ่ มาเกดิ สงคราม ความทุกขส์ ารพัดอย่างเกิดขน้ึ จนกระทั่งถึงวนั ทีจ่ ะส้นิ ชีวติ เขากเ็ ลยตื่นขึน้ มา รสู้ กึ ตวั ว่ายังเป็นเด็กหนมุ่ อยู่ท่ตี ล่งิ ชนั รมิ นำ้� ท่จี รงิ ที่ 322 อักษรส่อสาร

วา่ เจอผหู้ ญงิ เกิดหลงรัก แลว้ แตง่ งาน เกิดเรอ่ื งอย่างนั้นอย่างน ี้ ล้วน แตเ่ ปน็ นิมิตในความฝนั เขาจงึ วง่ิ กลับไปหาฤาษี ฤาษกี ็อธิบายวา่ ชีวิต ในวัฏสงสารกเ็ ปน็ คลา้ ยกบั ความฝนั อย่างน้แี หละ ในที่สุดแลว้ มันกแ็ ค่ น้ัน นี่เปน็ เร่ืองปญั ญาของฤาษีในสมัยก่อน ชยสาโร ภิกขุ 323

อีกเร่ืองหนึง่ มฤี าษตี นหนึง่ อยใู่ นป่า ชาวบ้านนับถือทา่ นมาก เม่ือท่านอายุมากขึ้น  เดินรับบิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ค่อยจะไหวแล้ว ชาวบ้านผู้หวังดีต่อท่านจึงเสนอว่า  เขาจะถวายวัวตัวหนึ่งให้ท่านได้ รดี นมทกุ วนั   ทา่ นจะไดแ้ ขง็ แรง ความจรงิ ทา่ นไมต่ อ้ งการววั แตท่ า่ น เกรงใจผมู้ บี ญุ คณุ ตอ่ ทา่ น ท่านไม่ร้จู ะวา่ อยา่ งไร จงึ รับววั มา ได้วัวมาไม่นาน  ชาวบ้านอีกคนก็อยากท�ำบุญด้วยการสร้าง โรงวัวให้วัวอยู่  แม้ฤาษีจะไม่ต้องการ  เพราะท่านอยากอยู่แบบเรียบ ง่าย  ไม่มีส่ิงก่อสร้างมาก  แต่ก็ทนการรบเร้าไม่ไหว  ต้องยอมให้ เขาสร้างโรงวัวให้วัวอยู่  ต่อมาฤาษีอายุมากข้ึน  บางทีก็เดินไปรีด นมทุกวันไม่ไหว  ชาวบ้านก็เลยเอาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นผู้ดูแล ช่วยรีดนม  ตอนนี้มีเด็กมาอยู่ด้วย  ก็ต้องดูแลให้เขาได้เรียนหนังสือ บา้ ง  ตอ่ มาเด็กอายุมากขึ้น  ต้องแต่งงาน  ฤาษีก็ต้องหาสามีให้เด็ก 324 อักษรส่อสาร

ต้องจัดงานแต่งงานให้  ในท่ีสุดชีวิตของฤาษีก็ยุ่งเหมือนชีวิตของ ฆราวาส  คือ  ชีวิตของท่านเร่ิมเปลี่ยนตั้งแต่วันท่ีท่านรับวัวมา  แล้ว ก็เปล่ียนทลี ะเล็กทีละน้อย เกิดความผกู พนั ความยึดมนั่ ถอื ม่ันตา่ งๆ ก็เพ่ิมข้ึนๆ  โดยที่ฤาษีไม่รู้ตัว  น่ีเป็นนิทานท่ีสอนเร่ืองความผูกพัน และเร่ืองความยุ่งเหยิงท่ีเกิดข้ึนในชีวิตเป็นอย่างดีว่า  สิ่งต่าง  ๆ  ที่ เกิดข้ึน มันมกั จะเกิดขน้ึ ทีละเลก็ ทีละนอ้ ย  จนวันใดวนั หนง่ึ เมือ่ ตน่ื ขึ้นมาก็จะ  เอ๊ะ...  ท�ำไมชีวิตของเรามันยุ่งนัก  ท�ำไมมันพัลวัลพัล เกอยา่ งนี้ เพราะมันค่อยเป็นค่อยไป คอ่ ยๆ ปล่อย  แทนที่จะรกั ษา จุดยนื ของตัวเองไว้  ทา่ นก ็ ออ๋ … ไมเ่ ป็นไร เร่ืองเล็กเร่อื งน้อยอยา่ ง นี้ เราพออนุโลมได้ มันก็จะมเี หตผุ ลท่จี ะอนโุ ลมในเรอ่ื งที่ ๒ เพราะ ถา้ เราอนโุ ลมในเรอื่ งท่ี ๑ ได้ ทำ� ไมจะอนโุ ลมในเรื่องท่ี ๒ ไม่ได้ มันก็ คล้ายๆ กนั หรอื มันเป็นเรอื่ งต่อจากเรื่องท่ี ๑ พอมเี ร่อื งที่ ๒ แล้ว ก็ จะมีแรงกดดนั ในเรอื่ งท่ี ๓ เรอ่ื งที่ ๔ เรอ่ื งที่ ๕ ฉะนนั้ จดุ ยนื หรอื หลกั การอดุ มการณข์ องเรา มนั ไดเ้ สยี ไปทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย นจ่ี งึ เปน็ เหตผุ ล ทบี่ างครง้ั เราตอ้ งเครง่ ครดั ในสกิ ขาบท  เคร่งครัดในศีลของตัวเอง  ใน ลกั ษณะทบี่ างคนอาจจะเหน็ วา่ เกินพอดีหรือว่างมงาย  คนข้างนอก อาจดวู า่ เรอ่ื งแค่นปี้ ล่อยไปไมไ่ ดห้ รือ  ทำ� ไมจะต้องจุกจกิ จจู้ ้กี บั เร่ือง เลก็ เรอ่ื งนอ้ ย เหตผุ ลก็คอื   ถ้าเรารักษาเรอื่ งเล็กเร่ืองนอ้ ยไว้ได้  มนั จะไมก่ ำ� เริบให้เป็นเร่อื งใหญ่เร่ืองโต มนั จะอยู่ในเขต อยใู่ นกรอบท่ี เราควบคุมได้ ชยสาโร ภิกขุ 325

ฤาษีเองไม่ต้องการอะไร  อยากจะปฏิบัติธรรมอย่างเดียว  แต่ พอชาวบ้านจะให้วัวมา  เพื่อจะได้มีนมด่ืมทุกวัน  ท่านก็คิดว่าเรื่อง แคน่ ีค้ งไมเ่ ป็นไร  แต่เมอื่ วัวมาอยแู่ ลว้ มันกต็ ้องมที อ่ี ย ู่ ต้องมผี ู้ดแู ล ฤาษีก็ต้องรับผิดชอบเรื่องการศึกษาเรื่องการแต่งงานของผู้ดูแลวัว ความยุง่ เหยงิ ก็เพม่ิ ขนึ้ ทีละเลก็ ทีละน้อย ในท่สี ดุ แลว้ ฤาษกี ใ็ ช้ชวี ติ เหมอื นคฤหัสถ์ เหมือนคนธรรมดาท่ัวไป มีเรอ่ื งฤาษีอกี เรอื่ งหน่ึง  ลูกศษิ ยข์ องอาจารยพ์ ราหมณ์คนหน่ึง ขออนญุ าตไปอยู่ในถ้ำ� แบบฤาษี อาจารย์กอ็ นุญาต เขาไปอยู่คนเดียว ในถ�้ำตั้ง  ๗  ปี  สงบวิเวกมาก  จนเขารู้สึกว่าประสบความส�ำเร็จ แล้ว  วันหนึ่งจึงเดินทางกลับไปเย่ียมอาจารย์  พอเดินเข้าไปกราบ อาจารย์ของเขาในศาลา  อาจารย์ถามเขาทันทีว่า  เม่ือกี้นี้คุณถอด รองเท้าไว้ที่ข้างซ้ายหรือข้างขวาของรองเท้าผม  ฤาษีคนนี้ก็อ้าปาก ค้าง พยายามจะคดิ แตค่ ิดไมอ่ อก อาจารย์จงึ บอกวา่ สอบตก เพราะ สตยิ งั ไม่ดีพอ ใหก้ ลับไปอยใู่ นถ้�ำต่ออีก ๗ ปี เพราะถา้ สติดพี อแลว้ เจอค�ำถามแล้ว  มีค�ำตอบทันที  ไม่ต้องคิด  มีปัญหาเมื่อใด  ก็มี ค�ำเฉลยเม่ือนั้น  แล้วพวกเราล่ะ  ที่เข้ามาในศาลานี่  จ�ำได้ไหมว่า เราถอดรองเท้าไว้ตรงไหน  อยา่ งไร  ในขณะทเ่ี ราถอดรองเท้า เรามี สตอิ ยู่ไหม ผ้มู ีสติไม่ตอ้ งคิด ผู้มีสติจะรเู้ อง รูท้ นั ที 326 อักษรส่อสาร

อีกเรื่องหนึ่ง  มีฤาษีหนุ่มตนหน่ึงไปเล่าเรียนวิชากับอาจารย์ เขาเรียนเก่งแล้วก็เรียนได้หลายวิชา  ในท่ีสุดอาจารย์บอกว่าจะ สอนวิชาท่ีลึกซ้ึงที่สุด  วิชาน้ีถ้าได้แล้วจะมีประโยชน์มาก  เพราะ เมื่อจับสิ่งของอะไรก็แล้วแต่  ให้ต้ังอธิษฐานจิต  สิ่งของนั้นจะ เปลย่ี นเปน็ ทองคำ� ฤาษหี นุม่ เรียนวชิ านีจ้ นได้ผล ไมว่ ่าจะจับอะไร ก็ได้ด่ังใจ มันเปลีย่ นเปน็ ทองค�ำไปหมด ทนี วี้ ันหน่งึ เขาเกิดความ สงสยั ข้ึนมา จงึ ถามอาจารยว์ า่ เอ๊ะ… ทเ่ี ราจบั ของอะไรๆ ไว้ เชน่ จับภาชนะดนิ เหนียว หรอื ว่าจับเหล็ก จับตะกั่ว จบั อะไรแล้วมัน เปล่ียนเป็นทองค�ำ  แล้วมันจะเป็นทองค�ำตลอดกาลหรือเปล่า ครบั อาจารยก์ ว็ า่ ...ไมห่ รอก วนั หน่ึงมันก็จะกลบั มาเปน็ อยา่ งเดมิ แต่อกี นานมากนะ อาจจะรอ้ ยปีข้างหนา้ ... ฤาษีหนมุ่ ท�ำท่าคิดหนกั สัก ชยสาโร ภิกขุ 327

ครู่ กอ่ นจะบอกอาจารย์ว่า อืม... ถา้ ง้ันผมขอคืนวิชาน้ีท่านอาจารย์ นะครับ  ผมสงสารคนท่ีจะเป็นเจ้าของของพวกนี้ตอนมันเปลี่ยนจาก ทองคำ� เปน็ วสั ดุเดิม ผมไมอ่ ยากใหเ้ ขาตอ้ งผิดหวงั หรอื เสียใจครับ... น่ี เปน็ ความเมตตาของทา่ น มีอุบายอย่างหนึ่งส�ำหรับฤาษีท่ีอยู่ในถ�้ำคนเดียวท่ีจะวัด คุณธรรมของตนเองและช่วยในการปฏิบัติด้วย  คือการใช้กรวดสีขาว กบั สดี ำ� เปน็ เครอ่ื งมอื เวลานงั่ สมาธิ เมอื่ เกดิ ความคดิ ทเี่ ปน็ อกศุ ล ทา่ น กเ็ อากรวดสดี ำ� มาวางไวก้ อ้ นหนง่ึ ถา้ เกดิ ความคดิ ดที เ่ี ปน็ กศุ ล กเ็ อา กรวดสขี าวมาวางไว้ กอ่ นเขา้ นอนตอนกลางคนื กจ็ ะนบั กรวดวา่ มสี ขี าว สดี ำ� อยา่ งละกกี่ อ้ น นกี่ เ็ ปน็ วธิ หี นง่ึ ทจี่ ะตดิ ตามดจู ติ ใจของตนเอง ถา้ อยคู่ นเดยี ว เวลาจติ ฟงุ้ มนั จะฟงุ้ นาน ฟงุ้ ไปไกลโนน้ ดงึ กลบั มายาก ทา่ นใชว้ ธิ นี เี้ พอื่ เวลาจติ ฟงุ้ จะไดไ้ มฟ่ งุ้ ไปไกล และไมฟ่ งุ้ ไปนาน ทกุ ครง้ั ทค่ี ดิ ผดิ คดิ ไมด่ ี กต็ อ้ งวางกรวดสดี ำ� ไว้ แลว้ ตอ้ งพยายามใหก้ รวดสขี าว มากกวา่ กรวดสดี ำ� ใหก้ รวดสขี าวเพม่ิ ขนึ้ ๆ และใหก้ รวดสดี ำ� นอ้ ยลงๆ 328 อักษรส่อสาร

นิทานชาดกท่ีเก่ียวกับฤาษีก็มีเยอะเหมือนกัน  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พระโพธิสัตว์เป็นฤาษีอยู่ในป่าซ่ึงมีอาหารอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มี ทุกรสชาติเว้นแต่รสเค็มท่ีไม่มี แล้วก็เป็นธรรมดาว่า  มนุษย์เราจะ ชอบและจะอยากได้สิ่งที่ได้มาโดยยาก จะรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ฤาษี จึงคิดอยากได้อาหารที่มีรสเค็ม  รสหวานรสขมรสอ่ืนๆ  ท่ีได้ทุกวัน น่ีไม่สนใจ อยากจะได้รสเค็ม ถึงกับอยู่ในป่านี้ไม่ได้ ต้องออกจาก ป่า เข้าไปในเมือง เพื่อจะไปหาอาหารที่มีรสเค็ม ฤาษีก็ไปเจอคนร้าย ซ่ึงเข้าใจว่าเป็นเทวทัต เลยโดนฆ่าอย่างเห้ียมโหด ชาดกเรื่องน้ีสอน ง่ายๆ ว่า จงพอใจกับส่ิงที่มีอยู่ ชยสาโร ภิกขุ 329

เร่ืองท่ีฤาษีเสียเพราะความอยากก็มีหลายเร่ือง  แม้กระทั่ง เรื่องท่ีฤาษีเหาะไปเห็นผู้หญิงสวยแล้วฌานหาย ก็เลยตกจากท้องฟ้า ลงมาตาย  หรือฤาษีที่ไม่พอใจกับอาหารป่า อยากได้อาหารดีๆ เลย เข้าไปในเมืองท่ีวุ่นวาย  จิตตกบ้าง  ถูกเขาฆ่าบ้าง  หรือเลิกปฏิบัติ กลับมาใช้ชีวิตฆราวาสกม็ ี การอยูอ่ ย่างฤาษ ี การอยู่คนเดียวนานๆ  เป็นอนั ตรายสำ� หรบั คนไม่มีปัญญา  เพราะเรามักจะติดนิสัยชอบท�ำอะไรต่ออะไรตามใจ อยากเดินกเ็ ดนิ อยากนง่ั กน็ ่งั อยากนอนกน็ อน คอื จะรูส้ ึกสบาย การ 330 อักษรส่อสาร

อย่คู นเดียวน่าจะสบายกวา่ การอยู่กับคนอ่นื ซงึ่ บางครง้ั อยากจะนงั่ ก็ นง่ั ไมไ่ ด้ อยากจะเดินกเ็ ดินไมไ่ ด้ บางทีทา่ นจะให้ท�ำอย่างหนึ่ง แต่เรา อยากทำ� อกี อย่างหนง่ึ การอยคู่ นเดยี วจะไม่เป็นเช่นนัน้ แล้วเรากจ็ ะมี ความร้สู กึ วา่ สามารถปรับการปฏิบตั ิใหเ้ หมาะกับจรติ ของเราได้ คนบางคนก็ชอบแต่นั่งอย่างเดียว  ไม่ชอบเดิน  จะเอาแต่ นง่ั หรอื บางคนอยากต่นื เชา้ ก็ตน่ื เชา้ อยากต่นื สายก็ต่นื สายไมม่ ีใคร ว่าอะไร  มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง  แต่ก็เป็นความสุขท่ีอาจจะเป็น อันตรายได้ ถา้ เราไม่ระวงั เราจะตดิ ในการทจี่ ะทำ� อะไรตามใจตวั เอง ทนไมไ่ ดท้ จี่ ะมอี ะไรมาขวาง เมือ่ ออกจากการปลกี วเิ วกในถำ้� แล้วตอ้ ง อยูร่ ว่ มกบั คนอนื่ จะรูส้ ึกเปน็ ทุกข์  ส�ำหรับผู้ท่ปี ฏิบัติในทางท่ีถกู ต้อง แล้ว จะเป็นผทู้ ีไ่ ม่ว่าจะอย่ทู ไ่ี หน ทา่ นกจ็ ะเป็นอย่างนั้น คือ มคี วาม สม�่ำเสมออยู่ตลอดเวลา จิตใจของท่านไม่ขน้ึ อยู่กับส่งิ นอกตัว จะอยู่ คนเดยี วกไ็ ด้ อยู่ ๒-๓ คนก็ได้ อยู่ ๒๐-๓๐-๕๐ คนกไ็ ด้ แต่ถา้ หากว่า ตอ้ งอยู่คนเดียว เพราะถ้าไปอย่กู ับหมู่คณะจะรู้สึกเครียด อดึ อดั ไม่ ชอบ อย่างนแ้ี สดงว่าการปฏิบัติมปี ญั หามากแลว้ ถา้ อย่คู นเดยี วเป็นฤาษนี านๆ เข้า มักจะเช่ือความคิดของตวั เองมาก  แต่ก็มีข้อดีท่ีการปฏิบัติมักจะต่อเน่ืองมากกว่าตอนอยู่ในวัด ใหญ่ ไมม่ สี ิ่งใด หรอื มคี นมารบกวน การปฏบิ ัติจะต่อเนื่อง แต่ฤาษี มกั ไม่อยากจะเจรญิ ปญั ญา จงึ มองไมเ่ หน็ ไตรลกั ษณ์ จงึ ยนิ ดพี อใจแค่ ความสุขในปัจจบุ นั เท่านน้ั ชยสาโร ภกิ ขุ 331

พระพุทธองค์จึงทรงต้องการให้เราปรับตัวได้  คืออยู่คน เดยี วกไ็ ด้ ไมเ่ หงา ไม่คิดถงึ ใคร ไปอยู่ในหมคู่ ณะกไ็ ด้ มคี นรอบข้าง เราก็อยู่ได้ การอยรู่ ่วมกับพระองค์อนื่ หรือการอย่ใู นชุมชนกด็ ี หากมี ความคดิ เหน็ ขัดกนั หรือมคี วามเช่ือถอื ต่างๆ ก็ไมค่ ่อยตรงกันนนั้ ไม่ใช่ วา่ จะเป็นข้อเสียเสมอไป แต่อาจจะดกี ็ได้ อย่างไรก็ตาม ไมว่ า่ เราจะ อยู่คนเดียวหรือจะอยู่ในหมู่คณะ  ก็ต้องมีการขัดเกลา  การอยู่ กับหมู่คณะมนั ดตี รงทวี่ า่   การขัดเกลาจะมีโดยอตั โนมตั ิ เมือ่ เราอยู่ คนเดียว การท่เี ราจะฝนื กเิ ลส ฝนื ความเคยชนิ การท่ีจะเปน็ นักรบ ย่อมน้อยลง  เพราะต้องอาศัยแต่ก�ำลังใจของตัวเองคนเดียว  แต่ถ้า อยู่ในวัดและอยู่กับกัลยาณมิตร  การขัดเกลามันก็เกิดข้ึนเองโดยเรา ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไร เพราะการอยรู่ ่วมกนั ในหมคู่ ณะ ก็มกั จะต้องมี ปญั หา เปน็ โอกาสท่ีเราจะไดเ้ ห็นอัตตา  การถือตัวถอื ตน  เห็น ความอยาก เห็นทฐิ มิ านะของตัวเอง มานะ ความถือตัวถอื ตน เป็นกิเลสท่ีละเอยี ดอ่อน ฤาษที อี่ ยู่ คนเดยี วมกั จะไมม่ ีโอกาสไดเ้ หน็ สง่ิ เหล่านี้  แต่ถ้าอยใู่ นหม่คู ณะ เดีย๋ ว คนนนั้ มากระทบ เด๋ยี วคนนี้มากระทบ ถา้ เกดิ ความเจ็บปวดรวดร้าว จากการกระทบ แสดงว่าเรายงั บกพร่องอยู่ เรายงั มีปัญหาอยู่ เพราะ จิตใจที่เข็มแข็งและอยู่กับธรรมะ  ไม่ว่าจะมีการกระทบอย่างไร ก็ไมเ่ กิดผลเสีย 332 อักษรส่อสาร

ฉะนั้นถ้ารู้สึกทุกข์หรือเดือดร้อน  เราไม่ควรโทษสิ่งท่ีมา กระตุน้ ความร้สู กึ น้ัน เพราะถ้าจิตใจเราต้ังมั่นอยใู่ นธรรมแลว้ มนั จะตอ้ งไมม่ ผี ลตอ่ จติ ใจของเรา ทว่ี ดั ปา่ นานาชาตขิ องเรา อาตมา มนี โยบายฝกึ พระฝกึ เณร  ใหร้ ้จู กั การอยคู่ นเดยี ว ใหร้ จู้ ักการอยู่กัน ๒-๓ คน  ให้รูจ้ ักการอยู่กับคนหลายๆ คน ถา้ จะให้อย่คู นเดยี วก็อย่ไู ด้ อยกู่ นั ๒-๓ องคก์ ็อยู่ได้ อยกู่ ัน ๒๐-๓๐ องค์กอ็ ยู่ได้ นี่คือสงิ่ ทีต่ ้องการ ใหพ้ ระเราฝกึ ไม่ใช่ว่าอยู่ในวดั ใหญ่ก็ตง้ั อกต้งั ใจปฏิบตั  ิ แตเ่ มอื่ อยู่ คนเดยี วแลว้ ขเี้ กยี จข้คี ร้าน หรอื ไม่ใช่วา่ เวลาอย่คู นเดียวมคี วามตัง้ อก ตง้ั ใจ  แต่พออยู่ในหมูค่ ณะใหญก่ ลบั ไมค่ อ่ ยตง้ั ใจ รู้สึกอดึ อดั รูส้ ึก ร�ำคาญ นนั่ มันไม่พอดี ต้องพยายามหาจุดที่พอดขี องตัวเอง การฝึกอย่างน้ีมีอานิสงส์  บางคนไม่อยากอยู่คนเดียว  เหงา คิดถึงเพื่อน  ถ้าเป็นอย่างน้ันก็ดีสิ  เราจะได้ดูความรู้สึกเหล่าน้ีว่า เปน็ เรา เปน็ ของเราหรือไม่ ไมต่ อ้ งไปตามมัน บางคนอยคู่ นเดียวก็ คิดถึงเพื่อน  พออยู่กับหมู่คณะก็คิดถึงความวิเวก  เม่ือมันไม่วิเวกก็ อยากใหว้ เิ วก  เวลาวเิ วกกอ็ ยากไม่ใหว้ เิ วก คนเรามักจะอยากได้สงิ่ ตรงขา้ มกบั ส่งิ ทีม่ อี ยตู่ ลอดเวลา เพราะฉะนัน้ เราจึงต้องทดสอบ ตวั เอง ตอ้ งพยายามฝนื กิเลสของตวั เองอยู่ตลอดเวลา  ถ้าเราไม่ เคยอยู่คนเดียว  ก็หาโอกาสอยู่คนเดียวบ้าง  มันจะเป็นอย่างไรไหม คือเราต้องชอบค้นคว้าหาความจริงของชีวิต  ถ้าเราชอบอยู่คนเดียว การไปอย่ใู นหมคู่ ณะจะเปน็ อย่างไร ชยสาโร ภิกขุ 333

การเปน็ อสิ ระมากกม็ ที งั้ ผลดผี ลเสยี จะมาเปน็ ผา้ ขาว เปน็ เณร เปน็ พระที่วัดนานาชาติ ต้องมาฝึกปรับตวั อยู่กบั หมคู่ ณะก่อน ๒-๓ ปี และตอ้ งเป็นพระ ๕ ปแี ลว้ จึงจะมีโอกาสไปอยอู่ งคเ์ ดียว  เพราะถือว่า จะตอ้ งมีวุฒภิ าวะพอสมควร จงึ จะได้ประโยชนจ์ ากการอยูค่ นเดยี ว แต่ ถา้ ปฏบิ ัติตามใจ อยากจะอยวู่ ดั นกี้ อ็ ยู่ เกดิ เบอื่ หรอื เกดิ ทะเลาะกับใคร ไม่ชอบคนน้นั   ไมช่ อบคนนี ้ กไ็ ม่อยู่วัดปา่ นานาชาตแิ ล้ว จะไปอยู่ ภูจ้อมก้อมแทน  ไปอยู่ภูจ้อมก้อมแล้วไม่ถูกกับคนนั้นคนนี้  ไม่เอา แล้ว  ย้ายไปอยู่เต่าด�ำ  อยู่เต่าด�ำก็ไม่ชอบอีก ก็ย้ายไปย้ายมาอย่าง นี้ ก็เลยไม่เห็นตัวเองสักที คือถ้าหากว่าไปท่ีไหนก็ทะเลาะกันที่นั่น  ไปที่ไหนก็มีปัญหา ทน่ี ัน่ ตอ้ งหยดุ ถามตวั เองวา่ ปัญหามันอยู่ตรงไหน ปญั หามนั อยูท่ ่ี คนอ่ืน  หรือปัญหามันอยู่กับสถานท่ี  หรือปัญหามันอยู่ที่เรา  อย่าง นี้การเป็นฤาษีมันดี  คือไม่มีใครท�ำอะไรท่ีไม่ถูกใจเรา  ไม่มีใครพูด อะไรท่ีเราไมช่ อบ  บางทกี ห็ ลอกตัวเองว่าสงบ หลอกตวั เองวา่ หมด กเิ ลสแลว้ พอออกจากที่วเิ วกแล้วไปอยู่กับคนอ่ืน รสู้ กึ ว่าอะไรเลก็ อะไรน้อยมันกระทบกระทั่งเสียเหลือเกิน  ถ้าเป็นผู้มีปัญญา  จะ ต้องคิดได้ว่า  น่ีแสดงว่าเรายังไม่เก่งอย่างท่ีคิด  มันต้องมีอะไรสัก อย่าง  ก็ต้องเจาะลึกตรงจุดนั้นว่า  ท�ำไมส่ิงนี้ท�ำให้เราเป็นทุกข์ได้ เรามคี วามยดึ มั่นถือมั่นอะไรบา้ ง  จึงท�ำให้เราหว่ันไหวตอ่ เรื่องน้ี ตอ่ คำ� พดู อยา่ งนี้ ตอ่ การกระท�ำอย่างน้ี น่ีคือทา่ ทีของผูม้ ีปัญญา ทส่ี นใจ จะแกจ้ ุดตา่ ง  ๆ ทีม่ ันยงั ติดขัดอยู่ 334 อักษรส่อสาร

ส่วนคนทไี่ มม่ ปี ัญญา  ออกจากท่วี เิ วกท่ีแสนสบาย แล้วไปเจอ คนพดู อะไรทมี่ ันแสลงหเู หลือเกนิ หรอื เห็นอะไรที่รสู้ กึ ทนไม่ได ้ ก็ไม่ เอาแล้ว  กลับไปหาความวิเวกดีกว่า  คนอย่างน้ีไม่มีวันที่จะได้ดูตัว เอง  ไม่มวี ันท่จี ะไดป้ ล่อยวางความยดึ มน่ั ถือม่นั ในจิตใจของตัวเอง การนั่งสมาธิของเรากเ็ ชน่ เดียวกนั นงั่ สมาธิแลว้ จิตสงบนิง่ พอ จิตออกจากความสงบนง่ิ นน้ั ความรู้สึกนึกคิดเร่มิ จะปรากฏ นักปฏิบัติ บางคนเกิดเสียดายความสงบ  พยายามจะให้จิตกลับไปสงบเหมือน เดิม บางคนก็คดิ วา่ หมดเวลาแลว้ จติ ใจไมส่ งบแล้วก็เลิกนัง่ การท่ีจิต เราสงบแล้ว ถอนออกจากความสงบน้นั ไม่ใช่ความเสื่อม มนั เป็น จงั หวะของมัน เหมือนกับเรานอนหลับ หลับอิม่ พอสมควรแล้ว เราก็ ชยสาโร ภิกขุ 335

ต่ืนข้ึนมา มันเป็นธรรมชาติของมัน ไม่ใช่ส่ิงท่ีไม่ดี สมาธิกเ็ หมอื นการ พกั ผอ่ นของจติ   เมอื่ จติ ถอนออกจากสมาธ ิ กม็ กี �ำลังที่จะน้อมไป สกู่ ารพจิ ารณา จิตใจมนั ออ่ นโยน เชื่อฟัง มผี รู้ ู้ จะให้พจิ ารณาสง่ิ ใดกย็ อม และเมอ่ื เรม่ิ มีความคดิ เล็กๆ นอ้ ยๆ ปรากฏ ท่านใหเ้ รา เจริญปญั ญา ไมใ่ ช่หยดุ นงั่ ไม่ต้องพยายามบังคบั ใหก้ ลับไปส่คู วาม สงบอีกคร้งั มันเป็นโอกาสใหเ้ จรญิ ปัญญา แตถ่ า้ พอจติ ถอนออกจากสมาธิ แลว้ เราพยายามใหส้ งบอยา่ ง นั้นอีก  หรือว่าเลิกท�ำสมาธิตรงจุดนั้น  ปัญญาระดับวิปัสสนาจะไม่ เกิด  เร่ืองการพิจารณาธรรม  หลวงพ่อชาของเราท่านชอบเปรียบ เทียบกับแมงมุม  แมงมุมท่ีน่ิงอยู่เฉยๆ  แต่พอมีแมลงวันหรือมีแมง ต่างๆ  มาติดที่หยากไย่  แมงมุมก็ออกมาจับ  เมื่อจัดการเรียบร้อย แล้ว กก็ ลบั ไปอยูน่ ่งิ ๆ ต่อทเ่ี ดมิ ทา่ นบอกว่าถ้ามีเรอื่ งอะไรเกิดขึน้ เราก็ต้องไปจัดการกับเร่ืองนนั้ แลว้ กลบั มาสทู่ ่เี ดิมของเรา ในการ ท�ำสมาธิ  ถ้าเราต้องการให้มันสงบตลอด  ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่เอา มันก็เหมือนกับฤาษีที่ชอบอยู่ในถ้�ำ  พอต้องเจอกับคนหรือเจอกับส่ิง ท่ีทำ� ให้มีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไมเ่ อาแล้ว นจี่ ะเป็นการทำ� ลาย ประโยชนข์ องตวั เอง ไมม่ โี อกาสไดเ้ จรญิ ปัญญาท่จี ะได้เหน็ ส่งิ ทั้งหลาย ตามความเป็นจรงิ 336 อักษรส่อสาร

เราฝึกสมาธิภาวนาให้จิตใจปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ถา้ เราทำ� อย่างสม�่ำเสมอ ในทสี่ ดุ จติ จะรวมเป็นสมาธิอยา่ งลกึ ซ้ึง จติ จะสวา่ งไสว มั่นคง หนกั แน่น เขม้ แข็งภายในเมื่อไดเ้ สวยความสขุ จาก สมาธิพอสมควรแลว้ จิตจะถอนออกมา  เรากม็ โี อกาสพิจารณาให้ เห็นความไมเ่ ทยี่ ง ความเปน็ ทกุ ข์ ความเปน็ อนตั ตาของสังขาร ขณะ ทจ่ี ติ สงบนงิ่ ไมม่ ีการเคลอ่ื นไหวอยใู่ นจิต เราจะพจิ ารณาอะไรไมไ่ ด้ ปัญญาต้องอาศัยการเคล่ือนไหว  และเป็นการเคล่ือนไหวในทางที่ เป็นกุศล จงึ ใหเ้ ราเข้าใจวา่ ถา้ เราเอาแต่สมาธอิ ย่างเดยี ว ก็เหมือนกบั เราปฏิบัตเิ ป็นฤาษี แตพ่ ระพุทธองค์ทรงต้องการใหเ้ ราเจริญทงั้ สมถะ ความสงบและปญั ญาด้วย ฉะนั้น บางสงิ่ บางอย่างทีท่ ำ� ใหเ้ ราไม่สงบ มันก็มีประโยชนใ์ นการเจริญปญั ญา อยา่ งเชน่ การฉัน พระเราฉนั ม้ือ เดียว ถ้าพูดถึงความสงบ การฉัน ๒ มอ้ื หรือ ๓ มื้อคงจะชว่ ยให้สงบ ขึ้น ไมต่ อ้ งหวิ ไมต่ อ้ งเครยี ด ไมต่ อ้ งคดิ อะไร เพราะการฉนั มอ้ื เดยี ว โดย เฉพาะพระทบี่ วชใหม่  จะเกิดความเครียดและความฟ้งุ ซา่ นข้นึ บอ่ ยๆ เชน่ กลัวว่าอาหารจะไม่พอ กลวั วา่ จะไมอ่ รอ่ ย วิตกกังวลคดิ มากเรอ่ื ง อาหาร ถ้าไดฉ้ นั ๒ มือ้ หรอื ๓ มือ้ กค็ งไม่เครยี ด ทานอะไรตามสบาย โดยไม่เครียด แต่ปญั ญามันไมเ่ กดิ ชยสาโร ภกิ ขุ 337

บางทีถา้ พระทา่ นวิพากษ์วิจารณว์ ่า ท�ำอย่างนี้ไม่ดี ทำ� อยา่ งนี้ แล้วไมส่ งบ กต็ อบได้วา่ ใช.่ ..พระพุทธองคไ์ ม่ได้ต้องการใหท้ กุ สงิ่ ทกุ อยา่ งท�ำใหเ้ ราสงบ ทา่ นตอ้ งการให้เราเกิดปัญญาด้วย สิง่ ใดทีม่ ันขดั ความรสู้ ึก สิ่งน้นั เปน็ อาจารย์ทดี่ ีท่สี ุดของเรา  เปน็ ขมุ ทรัพยท์ ดี่ ที ่ีสุด เราจะรู้ความแรงของกระแสน้�ำ  ก็ต่อเมื่อเราพายเรือทวนกระแส เราจะรู้จักอารมณ์ของตัวเองเม่ือเราขัดขวางมัน  เม่ือเราฝืนความ เคยชิน เราจึงจะร้เู ทา่ ทันอารมณข์ องตัวเอง ฉะน้ัน พวกเราทัง้ หลายถึงจะไมเ่ ป็นฤาษี หรือไมอ่ ยากเปน็ ฤาษี อย่างน้อยทส่ี ดุ กค็ วรหาเวลาเข้าถำ�้ ทกุ วัน ถำ�้ ของเราจะอยทู่ ไ่ี หน กไ็ ด้  ถา้ บ้านเรามีหอ้ งพระ  เราก็เอาหอ้ งพระเปน็ ถ้ำ� แตถ่ า้ บา้ นเรา ไม่มีห้องพระ  ก็ใช้มุมใดมุมหน่ึงท่ีเราชอบน่ังเป็นประจ�ำ  ให้เหมือน เราเข้าถำ้�   ใหร้ ู้จักปลอ่ ยวางโลก  ปลอ่ ยวางส่งิ แวดลอ้ ม ปล่อยวางทุก สงิ่ ทกุ อยา่ งทกุ วนั เปน็ การพักผ่อนจากหน้าทีต่ า่ งๆ  ของเรา เราตอ้ ง สร้างถ้�ำของตัวเองข้ึนมาใหม่  โดยการปล่อยวางความสนใจ  ความ หลงใหลเพลิดเพลินอยกู่ ับ รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ หนั มาสนใจ ภายในของเราเอง 338 อักษรส่อสาร

ชยสาโร ภิกขุ 339


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook