Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระวินัยบัญญัติ

พระวินัยบัญญัติ

Description: พระวินัยบัญญัติ

Search

Read the Text Version

- ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ถกู หญงิ มคี รรภค์ นหนงึ่ ขอรอ้ งใหบ้ อกยาทท่ี ำ� ใหค้ รรภ์ แทง้ เธอจงึ แนะนำ� ใหน้ างรดี ครรภอ์ อก นางไดร้ ดี ใหค้ รรภแ์ ทง้ ไปแลว้ ทรงตดั สนิ วา่ ตอ้ งอาบัตปิ าราชิกแลว้ - ภิกษุรูปหนึ่งได้รับการขอร้องจากหญิงคนหน่ึงช่วยบอกยาที่ช่วย ใหค้ ลอดบตุ รงา่ ย เธอรบั ปากแล้วมอบยาใหน้ าง นางได้ถงึ แกค่ วามตายเพราะ ยาน้นั ทรงตัดสนิ ว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก แตต่ อ้ งอาบัตทิ กุ กฏ - ภิกษุรูปหน่ึงพรรณนาเรื่องสวรรค์แก่คนผู้ท�ำความดีไว้มาก เขา ฟังแล้วดีใจจนถงึ แก่ความตาย ทรงตดั สินว่า เมื่อไมม่ ีความประสงคจ์ ะใหต้ าย ไม่ต้องอาบัติ - ภิกษุรูปหนึ่งพรรณนาเรื่องนรกแก่คนที่สมควรตกนรก ท�ำให้เขา ตกใจถงึ ตายไป ทรงตดั สินวา่ เม่อื ไมม่ ีความประสงค์จะใหต้ าย ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภิกษุรูปหน่ึงไปท่ีตะแลงแกงท่ีประหารนักโทษ ได้บอกเพชฌฆาต ว่า อย่าให้นักโทษคนนี้ทรมานเลย ขอให้ประหารด้วยการฟันคร้ังเดียวเถิด เพชฌฆาตได้ท�ำตามนน้ั ทรงตดั สนิ วา่ ต้องอาบตั ปิ าราชกิ แลว้ - ภิกษุรูปหน่ึง ถามพวกญาติท่ีเล้ียงดูหลานที่มีมือและเท้าด้วนว่า อยากให้หลานตายบ้างไหม เมื่อพวกญาติตอบว่าอยาก จึงแนะน�ำว่าถ้าเช่น นนั้ กจ็ งให้ดมื่ เปรยี ง พวกญาตจิ ึงใหห้ ลานดื่มเปรียงเขา้ ไป เด็กไดต้ ายไป ทรง ตัดสนิ วา่ ต้องอาบตั ปิ าราชกิ แลว้ วินีตวัตถุในสิกขาบทน้ีท่ีท่านบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกยังมีอีกมาก เรือ่ ง เมอื่ สนใจพึงคน้ หามาอ่านเถิด 82 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ปาราชิก สิกขาบทที่ ๔ คำ� แปลพระบาลที ่เี ป็นพระพุทธบญั ญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะอยู่ กล่าวอวดอุตตริมนุสส- ธรรมอันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐอย่าง สามารถ น้อมเข้ามาในตนวา่ ข้าพเจ้ารู้อยา่ งนี้ ขา้ พเจา้ เห็นอย่างน้ี คร้ันสมัยอ่ืนแต่น้ัน อันผู้ใดผู้หนึ่งเชื่อก็ตาม ไม่เช่ือก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอยา่ งน้วี า่ แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อยา่ งนั้น ได้ กลา่ วว่ารู้ ไมเ่ ห็นอยา่ งนัน้ ได้กล่าววา่ เหน็ ไดพ้ ูดพลอ่ ยๆ เป็นเท็จ เว้นแต่ได้ส�ำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ก็เป็น ปาราชิก หาสงั วาสมิได”้ เนือ้ ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม คือธรรมอันย่ิงของมนุษย์ ท่ีไม่มีในตน ตอ้ งปาราชกิ ” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำวา่ อุตตรมิ นุสสธรรม หมายถงึ - ธรรมที่ข้ามพ้นพวกมนุษย์, ธรรมที่ล่วงเลยพวกมนุษย์แล้ว ทำ� ใหล้ ุถงึ ความเปน็ พรหม หรือภาวะนพิ พาน พระวินัยบัญญัติ 83 www.kalyanamitra.org

- ธรรมของพวกมนุษยผ์ ูย้ ิ่งยวด, ธรรมของพวกคนประเสรฐิ สดุ คอื ผู้ได้ฌานและผูเ้ ป็นพระอริยบคุ คล - กศุ ลธรรม คือคุณธรรม ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) ฌาน คือ ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตติยฌาน จตตุ ถฌาน (๒) วิโมกข์ คอื ความหลดุ พ้นโดยส้นิ เชงิ จากกเิ ลสทงั้ หลาย จดั เปน็ ๓ คือ สุญญตวโิ มกข์ อนิมิตตวโิ มกข์ อปั ปณหิ ิตวิโมกข์ (๓) สมาธิ คือ ภาวะตั้งมั่นสม่�ำเสมอในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จัดเป็น ๓ คือ สญุ ญตสมาธิ อนมิ ติ ตสมาธิ อปั ปณหิ ติ สมาธิ (๔) สมาบัติ แปลวา่ ภาวะทพี่ ระอริยบคุ คลทงั้ หลายพงึ เขา้ ถึงได้ หมายถงึ คณุ วเิ ศษเปน็ ทอ่ี นั บคุ คลเขา้ ถงึ , ธรรมวเิ ศษทค่ี วรเขา้ ถงึ , การบรรลขุ น้ั สงู คือภาวะจติ ท่เี ข้ารปู ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ หรอื ภารเข้าสภู่ าวะทด่ี บั สญั ญา และเวทนาของพระอรยิ บคุ คลหรอื ผทู้ ไี่ ดฌ้ าน จดั เปน็ ๓ ประเภทเหมอื นสมาธิ (๕) ญาณทัสสนะ ได้แก่ วชิ ชาคือความรู้แจ้งหรือความรู้พิเศษ ๓ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (ความรูก้ ารเวยี นว่ายตายเกดิ ของสตั ว์ท้งั หลาย) และ อาสวกั ขยญาณ (ความ รู้ท่ีทำ� ให้อาสวะส้ินไป) (๖) มรรคภาวนา ได้แก่ การเจริญมรรค หมายถึงการบ�ำเพ็ญ โพธปิ กั ขยิ ธรรม (ธรรมอนั เป็นฝา่ ยแหง่ การตรสั รู้) ๓๗ ประการเฉพาะที่เป็น โลกุตตระ ไดแ้ ก่ สตปิ ัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ 84 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๗) การท�ำผลให้แจ่มแจ้ง  ได้แก่  การท�ำโสดาปัตติผลให้ แจ่มแจ้ง  การท�ำสกทาคามิผลให้แจ่มแจ้ง  การท�ำอนาคามิผลให้แจ่มแจ้ง การทำ� อรหตั ผลใหแ้ จ่มแจ้ง (๘) การละกิเลส ไดแ้ ก่ การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ (๙) ความพรากจิตออกจากกิเลส ได้แก่ ความพรากจิตออก จากราคะ ความพรากจิตออกจากโทสะ ความพรากจิตออกจากโมหะ (๑๐) ความยนิ ดยี งิ่ ในเรอื นอนั วา่ งเปลา่ ไดแ้ ก่ ความยนิ ดใี นเรอื น อนั วา่ งเปลา่ ดว้ ยปฐมฌาน .... ดว้ ยทตุ ยิ ฌาน .... ดว้ ยตตยิ ฌาน .... ดว้ ยจตตุ ถ- ฌาน ค�ำวา่ น้อมเข้ามาในตน หมายถึง นอ้ มกศุ ลธรรมเหล่านัน้ เขา้ มาใน ตน หรอื นอ้ มตนเขา้ ไปในกศุ ลธรรมเหลา่ นน้ั โดยแสดงหรอื กลา่ ววา่ ตนมตี นเปน็ ค�ำว่า ความร้คู วามเหน็ ไดแ้ ก่ วชิ ชา ๓ มีปุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ เปน็ ตน้ ค�ำว่า กล่าวอวด หมายถึง บอกแก่สตรีหรือบุรุษ แก่คฤหัสถ์หรือ บรรพชติ คำ� วา่ ขา้ พเจา้ รอู้ ยา่ งนี้ ขา้ พเจา้ เหน็ อยา่ งนี้ คอื ขา้ พเจา้ รธู้ รรมเหลา่ น้ี ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านี้ อน่ึง ธรรมเหล่าน้ีมีอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้า ปรากฏชดั ในธรรมเหล่าน้ี ค�ำว่า ต้องอาบัติแล้ว หมายถึง ภิกษุมีความอยากอันชั่วช้า ถูก ความอยากครอบง�ำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีจริงอันไม่เป็นจริง ย่อมเป็นผ้ตู อ้ งอาบัตปิ าราชิก พระวินัยบัญญัติ 85 www.kalyanamitra.org

คำ� วา่ มงุ่ ความหมดจด หมายถงึ ประสงคจ์ ะเปน็ คฤหสั ถ์ หรอื ประสงค์ จะเปน็ อบุ าสก หรอื ประสงคจ์ ะเปน็ อารามกิ (คนทำ� งานวดั ) หรอื ประสงคจ์ ะเปน็ สามเณร กล่าวคอื เมือ่ ตอ้ งการจะสละภาวะความเปน็ ภกิ ษุ ค�ำวา่ ไดพ้ ดู พล่อยๆ เปน็ เท็จ คอื ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ พดู เทจ็ พูด ไมจ่ รงิ พดู สิง่ ทไ่ี ม่เปน็ ประโยชน์ ขา้ พเจ้าไม่รไู้ ดพ้ ูดไปแล้ว ค�ำว่า เว้นไว้แต่ส�ำคัญว่าได้บรรลุ คือ เว้นไว้แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัว ไดบ้ รรลุ คำ� วา่ เปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด้ มนี ยั ดงั แสดงมาในสกิ ขาบทขา้ งตน้ เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนี้ สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื ใหภ้ กิ ษรุ สู้ กึ สำ� นกึ หลกี เลยี่ งไมท่ ำ� เพราะ การอวดอุตตริมนุสสธรรมเป็นการโกหกหลอกลวงให้หลงเช่ือ เป็นความ ประพฤตนิ อกทางของบรรพชติ ทม่ี งุ่ ความสงบและหลดุ พน้ จากกเิ ลส เปน็ ความ ปรารถนาผลประโยชน์ส่วนตัวท่ีท�ำให้หลงใหลฟุ้งเฟ้อร่�ำไป ไม่มีทางหลุดพ้น ได้ และเป็นเหตุให้คนฟังหมดความเชื่อถือไปหากเขาจับได้และรู้ความจริงว่า เป็นการโกหก แม้จะเป็นจริงอยู่บ้าง ถ้าเขาไม่เชื่อก็หาสาระอะไรไม่ได้ ไม่เกิด ประโยชนอ์ ะไรแกไ่ คร เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนก้ี เ็ พอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หภ้ กิ ษโุ ออ้ วดหรอื แสดงวา่ ไดบ้ รรลคุ ณุ วเิ ศษอนั ไมม่ ใี นตน ดว้ ยปรารถนาตอ้ งการใหช้ าวโลกทงั้ คฤหสั ถแ์ ละ บรรพชิตสักการะ เคารพ บูชา นบั ถอื นอบน้อม แลว้ บ�ำรุงด้วยจวี รบา้ ง ด้วย บิณฑบาตบ้าง ด้วยเสนาสนะบ้าง ด้วยคิลานเภสัชบ้าง จัดว่าเป็นการโกหก หลอกลวงชาวบา้ นอยา่ งแนบเนียน 86 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ทา่ นกลา่ วว่าภกิ ษุผู้อวดอตุ ตรมิ นุสสธรรมเชน่ นเี้ ปน็ มหาโจรอันดบั หน่ึงในโลก เพราะบรโิ ภคก้อนขา้ วของราษฎรด้วยอาการแห่งขโมย โทษของการอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตนของภิกษุน้ันมีมากและร้าย แรง คอื - เป็นเหตุท�ำให้เส่ือมความศรัทธาเลื่อมใสแก่บุคคลผู้ศรัทธา เล่อื มใส - เปน็ เหตใุ หช้ อ่ื ว่าเปน็ โจรปล้นศาสนา เป็นมหาโจรอนั ดบั ต้น - เป็นหตุให้พระศาสนาเส่ือมลงและอันตรธานไปในทส่ี ุด ด้วยเหตุน้ี การอวดอุตตริมนุสสธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องอาบัติ ปาราชิกได้แล้ว เว้นไว้แต่จะส�ำคัญผิดว่าตนได้บรรลุแล้วเท่าน้ัน คือภิกษุบาง รปู ครำ�่ เครง่ อยกู่ บั การปฏบิ ตั ธิ รรมจนจติ ออ่ นโยน มนั่ คงไมห่ วนั่ ไหว กเ็ ขา้ ใจวา่ ตนไดบ้ รรลฌุ านแลว้ ไดเ้ ขา้ ถงึ สมาบตั แิ ลว้ ทงั้ ทจ่ี ติ สงบหยดุ นง่ิ ไดเ้ ปน็ บางขณะ เทา่ นน้ั จงึ ไดบ้ อกใหค้ นอนื่ รู้ เมอื่ บอกใหค้ นอน่ื รกู้ ช็ อ่ื วา่ อวดเหมอื นกนั แตอ่ วด เพราะเข้าใจผิด จงึ ไมต่ อ้ งอาบตั ิถึงท่ีสุดคอื ปาราชกิ ลักษณะของการอวดทีเ่ ป็นอาบตั ิ (๑)  พูดอวดตรงๆ คือพูดให้ผู้ฟังเข้าใจใจความว่าตนได้บรรลุคุณ วิเศษหรือได้บรรลุธรรมช้ันนั้นช้ันน้ีแล้ว ทั้งท่ีรู้อยู่แก่ใจว่าตนไม่ได้บรรลุธรรม เชน่ นนั้ จรงิ เมอ่ื พดู อวดตรงๆ อยา่ งน้ี และผฟู้ งั เขา้ ใจเนอื้ ความไดต้ ามนน้ั เปน็ ปาราชิก (๒)  ถ้าพูดอวดอย่างนั้น แต่ผู้ฟังไม่เข้าใจเน้ือความตามที่พูด เป็น ถลุ ลจั จัย พระวินัยบัญญัติ 87 www.kalyanamitra.org

(๓)  พูดอวดโดยปริยายคอื โดยอ้อม เช่นภิกษพุ ดู อวดภกิ ษุอ่นื ว่าผู้ที่ ดูแลโบสถ์ยอ่ มได้บรรลุถงึ อุตตรมิ นุสสธรรม ซึง่ หมายถึงตนซึ่งเปน็ ผ้ดู แู ลโบสถ์ อยู่ เช่นนี้ ถ้าผู้ฟังเข้าใจเนื้อความตามที่พูด เป็นอาบัติถุลลัจจัย ถ้าไม่เข้าใจ เปน็ อาบตั ิทุกกฏ เนื่องจากสิกขาบทข้อนี้เป็นสจิตตกะ คือต้องประกอบด้วยเจตนา ดังนั้นหากไม่มีเจตนา เช่นพูดไปด้วยส�ำคัญว่าตนได้บรรลุ หรือพูดไปลอยๆ โดยไมป่ ระสงคจ์ ะอวดอ้าง เชน่ นีไ้ ม่ตอ้ งอาบตั ิ อนาปัตตวิ าร ในพระวินัยปฎิ ก ทา่ นไดแ้ สดงอนาปตั ตวิ ารคอื ขอ้ ยกเว้นส�ำหรับภกิ ษุ ท่ีไม่ต้องอาบัตปิ าราชิกตามสิกขาบทนไ้ี ว้ ๖ ประเภท คือ (๑)  ภกิ ษผุ สู้ ำ� คัญผิดว่าไดบ้ รรลุ (๒)  ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะกล่าวอวด คือบอกเล่าแก่เพื่อนภิกษุโดย ไมป่ ระสงค์จะไดล้ าภเป็นตน้ (๓)  ภิกษุผูว้ ิกลจรติ คอื ภกิ ษบุ า้ (๔)  ภิกษผุ ู้มีจติ ฟุง้ ซ่าน คือภกิ ษุผู้มจี ติ ไมส่ งบ พลา่ นไป ซดั สา่ ยไป ควบคมุ ตวั เองไมไ่ ด้ (๕)  ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา คอื ภกิ ษผุ เู้ รา่ รอ้ นใจทนนงิ่ เป็นปกติอยู่ไม่ได้ (๖)  ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือผู้เป็นอาทิกัมมิกะ ได้แก่พวกภิกษุ ชาวรมิ ฝั่งแมน่ ำ้� วคั คมุ ุทา 88 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

วินตี วัตถุ วินีตวัตถุ ซ่ึงเป็นกรณีที่เกิดข้ึนเกี่ยวเน่ืองด้วยสิกขาบทนี้ และ พระพทุ ธองค์ทรงตัดสินแลว้ ว่าเปน็ อาบตั ิหรือไม่เปน็ อาบัติ มมี ากเรอื่ งดว้ ยกัน ขอแสดงเปน็ บางเรือ่ งเพ่อื เป็นตวั อย่างดงั น้ี - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อวดอา้ งคณุ วเิ ศษวา่ มใี นตนดว้ ยสำ� คญั วา่ ตนไดบ้ รรลุ คณุ วิเศษนัน้ แลว้ ทรงตดั สินวา่ ไม่ต้องอาบตั เิ พราะสำ� คัญว่าไดบ้ รรลุ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อยปู่ า่ ดว้ ยตง้ั ใจวา่ ผคู้ นจกั ไดย้ กยอ่ งนบั ถอื ดว้ ยการทำ� อย่างนี้ ซึง่ ผคู้ นกไ็ ดย้ กย่องนับถอื จรงิ ทรงตดั สินว่าไมต่ ้องอาบัติปาราชกิ และ ตรัสวา่ “ภกิ ษไุ มพ่ ึงอยูป่ า่ ด้วยต้ังใจเช่นนน้ั รปู ใดอยู่ป่าดว้ ย ตัง้ ใจเช่นนนั้ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ” - ภิกษุรูปหน่ึงได้กล่าวกะภิกษุอีกรูปหนึ่งว่า พวกภิกษุสัทธิวิหาริก ของพระอุปชั ฌาย์ของพวกเราล้วนเป็นพระอรหนั ต์ ทรงตดั สนิ วา่ แม้ประสงค์ จะพดู อวด กไ็ ม่ตอ้ งอาบัติปาราชกิ แตต่ ้องอาบัติถลุ ลัจจัย - ภิกษุรูปหน่ึงเดินจงกรมอย่างแน่วแน่ด้วยตั้งใจว่าผู้คนจักได้ ยกยอ่ งนับถือเราดว้ ยการท�ำอย่างน้ี ซงึ่ ผู้คนก็ไดย้ กยอ่ งนบั ถอื จริง ทรงตัดสนิ ว่า ไม่ต้องอาบตั ิปาราชิก และตรัสวา่ “ภิกษุไม่พึงเดินจงกรมด้วยต้ังใจเช่นน้ัน รูปใดเดิน จงกรมดว้ ยต้งั ใจเช่นนัน้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ” - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ พดู อวดอตุ ตรมิ นสุ สธรรมแกภ่ กิ ษรุ ปู หนงึ่ แมภ้ กิ ษนุ นั้ กพ็ ดู อวดวา่ ตนกล็ ะสงั โยชนไ์ ดแ้ ลว้ อยา่ งนนั้ เหมอื นกนั ทรงตดั สนิ วา่ ตอ้ งอาบตั ิ ปาราชกิ แล้ว พระวินัยบัญญัติ 89 www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงพูดกะอุบาสกคนหนึ่งว่า ภิกษูผู้อยู่ในวิหารของท่าน นั้นเป็นพระอรหันต์ และเธอก็อยู่ในวิหารของอุบาสกนั้น เม่ือทรงไต่ถามภิกษุ น้ันว่าคิดอย่างไร ได้กราบทูลว่ามีความประสงค์จะพูดอวด ทรงตัดสินว่า ไม่ ต้องอาบัติปาราชกิ แตต่ อ้ งอาบัติถลุ ลัจจัย - ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ถูกภิกษุทั้งหลายถามว่ามีอุตตริมนุสสธรรม หรือ ได้ตอบว่า การท�ำอรหัตผลให้แจ้งไม่ใช่ของท�ำได้ยาก เมื่อทรงไต่ถาม ภิกษุนั้นว่าคิดอย่างไร ได้กราบทูลว่าไม่มีความประสงค์จะพูดอวด ทรงตัดสิน ว่า ภิกษุไมม่ คี วามประสงค์จะพดู อวด ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกะเธอว่าอย่าได้กลัว ไปเลย ได้ตอบว่าส�ำหรับตนไม่กลัวต่อความตาย ทรงไต่ถามภิกษุน้ันว่าคิด อย่างไร ได้กราบทูลวา่ มไิ ดม้ คี วามประสงคจ์ ะพูดอวด ทรงตัดสนิ วา่ ภิกษุไมม่ ี ความประสงค์จะพูดอวด ไม่ตอ้ งอาบัติ - ภกิ ษุหลายรปู ได้รบั นิมนต์ของพราหมณ์คนหนึง่ ไว้ เมือ่ ไปถึงบ้าน พราหมณ์กล่าวว่า นิมนต์พระอรหันต์เข้ามาเถิด จึงเกิดความไม่สบายใจว่า พวกตนไมไ่ ดเ้ ปน็ พระอรหนั ต์ แตพ่ ราหมณม์ าเรยี กวา่ เปน็ พระอรหนั ต์ จะปฏบิ ตั ิ อยา่ งไรดี ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบตั ิ ในเพราะค�ำกลา่ วด้วยความเล่ือมใส - ภกิ ษหุ ลายรปู จำ� พรรษากนั อยใู่ นอาวาสแหง่ หนง่ึ ตงั้ กตกิ ากนั ไวว้ า่ ภิกษุใดหลกี ไปจากอาวาสนี้กอ่ น พวกเราจกั เขา้ ใจภิกษุนน้ั วา่ เปน็ พระอรหันต์ ภิกษุรูปหน่ึงหลีกไปจากอาวาสน้ันก่อนด้วยต้ังใจว่าภิกษุทั้งหลายจะได้เข้าใจ ว่าเราเปน็ พระอรหนั ต์ ทรงตัดสนิ วา่ ต้องอาบัตปิ าราชิกแลว้ วินีตวัตถุในสิกขาบทน้ีท่ีท่านบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกยังมีอีกมาก เรื่อง เมอื่ สนใจพงึ ค้นหามาอา่ นเถดิ 90 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

สงั ฆาทิเสส ๑๓ สังฆาทิเสส แปลวา่ ความละเมดิ มสี งฆใ์ นกรรมเบอ้ื งตน้ และกรรม อันเหลือ, อาบัติท่ีจ�ำต้องปรารถนาสงฆ์ในข้ันตอนการพ้นจากอาบัติทั้งใน เบ้อื งตน้ และเบอ้ื งปลาย อธิบายว่า เมื่อภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทที่เป็นสังฆาทิเสสแล้ว ตอ้ งการจะพน้ จากอาบตั นิ ี้ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนการออกจากอาบตั นิ ซี้ งึ่ เรยี ก ว่า วฏุ ฐานวิธี ทีท่ ่านก�ำหนดไวต้ ายตัวอยา่ งเคร่งครัดทกุ ขัน้ ตอน เร่ิมจากการ อยู่ปริวาส โดยมีสงฆ์เป็นผู้ให้ปริวาส (การอยู่ชดใช้) ให้มานัต และสงฆ์ต้อง เปน็ ผู้ระงบั อาบัติ คือต้องให้อพั ภาณ อันเปน็ การสดุ ทา้ ย ในประเทศไทยเรียก วธิ ีการอยา่ งน้ีวา่ การอยู่กรรม ในเรอ่ื งการอยกู่ รรมนน้ั สำ� เรจ็ ไดด้ ว้ ยการทำ� ของสงฆเ์ ทา่ นนั้ โดยสงฆ์ เปน็ ผู้ใหป้ รวิ าส ชกั เขา้ หาอาบัติเดิม ให้มานัต เรยี กเขา้ หม่เู พอื่ อาบตั นิ ัน้ ไม่ใช่ คณะ คอื ภกิ ษุ ๒-๓ รปู ซ่ึงเป็นคณะทำ� ไม่ได้ ภกิ ษุรูปเดียวกท็ ำ� ไม่ได้ แม้ทำ� ไปก็ ไมเ่ ป็นอนั ทำ� เป็นการทำ� ทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง ไม่อาจให้การออกจากอาบัติส�ำเร็จผลได้ สังฆาทิเสสจัดเป็นครุกาบัติ มีโทษหนัก แต่เบากว่าปาราชิก ซ่ึงผู้ ละเมิดสามารถท�ำคืนคือท�ำตนให้หลุดพ้นจากอาบัติ คืนความบริสุทธ์ิให้แก่ ตนได้ โดยปฏิบัติตามเง่ือนไขท่ีเรียกว่าอยู่กรรม เหมือนคนท�ำผิดได้รับตัดสิน ให้จ�ำคุก ต้องปฏิบัติตามค�ำตัดสินโดยไปอยู่ในเรือนจ�ำ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ของเรือนจ�ำตามกำ� หนด เมอ่ื พ้นโทษแล้ว ถือวา่ เปน็ ผู้บรสิ ุทธิ์ สามารถกลบั มา ด�ำเนนิ ชวี ิตตามปกติได้อยา่ งอสิ ระ สังฆาทิเสส มี ๑๓ สิกขาบท คอื พระวินัยบัญญัติ 91 www.kalyanamitra.org

สังฆาทเิ สส สิกขาบที่ ๑ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ “ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นสังฆาทิเสส เว้นไว้แตฝ่ นั ” เนอ้ื ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษแุ กลง้ ท�ำให้นำ้� อสุจิเคลือ่ น ตอ้ งสงั ฆาทิเสส” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำว่า ปล่อย คือ การกระทำ� ให้อสุจิเคล่ือนจากฐาน กลา่ วคือท�ำให้ พน้ จากอวยั วะเพศออกมา คำ� วา่ สุกกะ คือ นำ�้ อสุจิ ทา่ นแสดงไว้วา่ ไดแ้ ก่น้�ำอสจุ สิ ตี า่ งๆ รวม ๑๐ สี เชน่ อสุจิสเี ขียว อสุจสิ เี หลือง เปน็ ตน้ ค�ำว่า เป็นไปด้วยความจงใจ คือ รู้อยู่ รู้ดีอยู่ ตั้งใจฝ่าฝืนละเมิด ปล่อยอสจุ ิออกมา ค�ำว่า เว้นไว้แต่ฝัน คือ ยกเว้นความฝัน ได้แก่ฝันไปแล้วน�้ำอสุจิ เคลื่อนออกมา ภิกษุปล่อยน้�ำอสุจิออกมาด้วยความจงใจ ด้วยความพยายาม เมื่อ องคก์ ำ� เนดิ ใชก้ ารได้ ในเวลาแอน่ เอวในอากาศกต็ าม ในเวลาเกดิ ความกำ� หนดั 92 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ก็ตาม ในเวลาปวดอุจจาระกต็ าม ในเวลาปวดปัสสาวะกต็ าม ในเวลาอวัยวะ- เพศต้องลมก็ตาม ในเวลาอวัยวะเพศถูกบุ้งขนก็ตาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกกรณี ภิกษุมีความจงใจ  มีความพยายาม  โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใด อยา่ งหน่ึง อสุจเิ คลื่อนออกมา ตอ้ งอาบตั ิสังฆาทเิ สส วัตถปุ ระสงคใ์ นการปล่อยอสจุ นิ ั้น ท่านแสดงไว้ ๑๐ ประการ คือ (๑) เพอ่ื หายโรค คอื มงุ่ วา่ จกั เปน็ คนไมม่ โี รค หรอื ทำ� ใหโ้ รคหายได้ (๒) เพอ่ื ความสขุ คอื มุ่งให้เกิดความสบายกายสบายใจ (๓) เพื่อเปน็ ยา คือมุ่งว่าจักเป็นยา ท�ำเป็นตัวยา (๔) เพอื่ เปน็ ทาน คือมุ่งว่าจกั ให้ทานแกผ่ ู้ที่ตอ้ งการ (๕) เพอ่ื เปน็ บุญ คอื มุ่งว่าจักเป็นบุญ (๖) เพื่อบูชายญั คอื มงุ่ ว่าจกั บูชายัญ (๗) เพอ่ื ไปสวรรค์ คือมุง่ ว่าจกั ได้ขนึ้ สวรรค์ (๘) เพอ่ื เป็นพืชพนั ธ์ุ คอื มุ่งวา่ จกั สบื สานสายพนั ธุไ์ ว้ (๙) เพอ่ื ทดลอง คอื มงุ่ วา่ อสุจิจะเปน็ สีอะไร (๑๐) เพื่อความสนกุ คือมีความประสงคจ์ ะเลน่ ในวัตถุประสงค์เหล่านี้ เม่ืออสุจิเคล่ือนออกมาด้วยวัตถุประสงค์แม้ เพยี งอยา่ งเดียว ก็อาบัติสงั ฆาทิเสส องค์แหง่ อาบตั ิ (๑) ภกิ ษจุ งใจ พยายาม คอื มคี วามกำ� หนดั และเจตนา ใหอ้ สจุ เิ คลอ่ื น จากฐาน แมเ้ พียงแคแ่ มลงวนั กนิ อมิ่ เป็นอาบัติสงั ฆาทเิ สส พระวินัยบัญญัติ 93 www.kalyanamitra.org

(๒)  ภิกษุจงใจ พยายามให้อสุจิเคลื่อน แต่ไม่เคลื่อน เป็นอาบัติ ถุลลจั จยั (๓)  สกิ ขาบทน้เี ปน็ สจิตตกะ มเี จตนาท�ำจึงตอ้ งอาบตั ิ ไม่มีเจตนา ไมต่ อ้ งอาบตั ิ (๔)  สิกขาบทน้ีเป็น อาณัตติกะ ท�ำด้วยตัวเองจึงต้องอาบัติ ใช้ ให้คนอื่นท�ำ คือส่ังให้คนอ่ืนท�ำให้อสุจิของเขาเคลื่อน ไม่ต้องอาบัติ แต่ส่ังให้ คนอื่นท�ำใหแ้ ก่ตนเองจนอสจุ ิเคลือ่ น กต็ ้องอาบตั ิ เจตนารมณข์ องสิกขาบทขอ้ นี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุแกล้งท�ำให้น�้ำอสุจิ เคลื่อน คอื มิให้ภิกษุปล่อยสติ ไมค่ วบคมุ อารมณป์ รารถนาเขา้ ไว้บ้าง มใิ หท้ �ำ ไปตามอารมณ์ปรารถนาที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ โดยเมื่อองค์ก�ำเนิดใช้การได้ เพราะถกู กระต้นุ หรอื ถกู กระทบ หรือเพราะจติ เกดิ อารมณป์ รารถนาขึ้น แล้ว จงใจพยายามใหอ้ สจุ เิ คลอื่ นออกมาโดยวธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ การทไ่ี มม่ กี ารควบคมุ สติ เช่นนี้ จะกลายเปน็ ความเคยชิน ทำ� ไดเ้ ป็นประจ�ำ หรือควบคุมไม่ได้ ก็จะเกิด ผลตามมามากมาย ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการกระท�ำเช่นน้ีเกิดขึ้นและชาวโลกต�ำหนิ โพนทะนา พระพทุ ธองคท์ รงเห็นด้วย จึงทรงบัญญัตเิ ปน็ สกิ ขาบทหา้ มและ ปรบั โทษไว้ เหตุผลส�ำคัญในสิกขาบทข้อนี้ คือการแกล้งท�ำให้อสุจิเคล่ือนนั้นมี ผลกระทบทั้งแก่ตนและสัตว์ ท้งั น้ี 94 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๑) เพราะเปน็ เหตทุ ่ตี งั้ แหง่ ความก�ำหนัดยนิ ดี (๒) เพราะเป็นการบนั่ ทอนก�ำลัง (๓) เพราะท�ำให้สัตว์ในนำ้� อสจุ ิตาย (๔) เพราะเป็นการกระท�ำซุกซนสัปดน อนั ภกิ ษุไมค่ วรท�ำ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษผุ มู้ นี ำ้� อสจุ เิ คลอ่ื นเพราะฝนั (๒) ภกิ ษผุ ไู้ มป่ ระสงคจ์ ะใหน้ ำ�้ อสจุ เิ คลอื่ น แต่ เคลื่อนออกมาเองตามธรรมชาติ (๓) ภกิ ษผุ ูว้ กิ ลจรติ (๔) ภิกษุผ้มู ีจติ ฟ้งุ ซา่ น (๕) ภิกษผุ กู้ ระสับกระส่ายเพราะเวทนา (๖) ภกิ ษุผู้เปน็ ต้นบญั ญตั ิ คอื ผเู้ ป็น อาทิกมั มกิ ะ ได้แก่พระเสยยสกะ วินีตวัตถุ วินีตวัตถุ ซ่ึงเป็นกรณีท่ีเกิดข้ึนในสมัยพุทธกาล และทรงตัดสินแล้ว ว่าเป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติ มีมากเรื่องด้วยกัน ขอแสดงเป็นบางเร่ืองเพื่อ เป็นตวั อยา่ งดงั น้ี - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ฝันไป อสุจเิ คล่ือนออกมา ทรงตดั สนิ ว่าไมเ่ ปน็ อาบตั ิ เพราะไม่มีความประสงค์จะใหเ้ คลื่อน - ภิกษุรปู หนง่ึ ถ่ายปสั สาวะอยู่ อสุจเคล่อื นออกมา ทรงตัดสินวา่ ไม่ เป็นอาบัติ เพราะไม่มีความประสงค์จะใหเ้ คลื่อน - ภิกษุรูปหน่ึงนึกถึงกามารมณ์อยู่ อสุจิเคล่ือนออกมา ทรงตัดสิน วา่ ถ้าไมม่ ีความประสงค์จะใหเ้ คลื่อน ภกิ ษผุ ู้ตรกึ ไมต่ อ้ งอาบัติ พระวินัยบัญญัติ 95 www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหนึ่งมีความประสงค์จะให้อสุจิเคล่ือนอยู่ ไปอาบน�้ำอุ่น อสจุ เิ คล่อื นออกมา ทรงตัดสินวา่ เม่อื มีความประสงคจ์ ะให้เคลอื่ น ตอ้ งอาบตั ิ สังฆาทิเสส - ภิกษุรูปหน่ึงมีความประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน ไปอาบน�้ำอุ่น แต่ อสุจไิ มเ่ คลือ่ น ทรงตดั สนิ ว่า เมือ่ มคี วามประสงคจ์ ะให้เคลอ่ื น แตไ่ มเ่ คลื่อน ไม่ ตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทเิ สส แตต่ ้องอาบตั ิถลุ ลัจจยั - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เปน็ แผลทอี่ งคก์ ำ� เนดิ เมอ่ื กำ� ลงั ทายาอยู่ อสจุ เิ คลอ่ื น ออกมา ทรงตดั สินว่า เมือ่ ไมม่ ีความประสงคจ์ ะใหเ้ คล่ือน ไมต่ อ้ งอาบตั ิ - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ มคี วามประสงคจ์ ะใหอ้ สจุ เิ คลอ่ื น เกาอณั ฑะอยู่ อสจุ ิ เคลอื่ น ทรงตัดสินวา่ ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทิเสส - ภิกษุรูปหน่ึงก�ำลังเดนิ ทาง อสจุ เิ คลื่อนออกมา ทรงตัดสินวา่ เม่ือ ไม่มีความประสงคจ์ ะให้เคลื่อน ไมต่ ้องอาบตั ิ - ภิกษุรูปหน่ึงให้องค์ก�ำเนิดเสียดสีขาอ่อนด้วยประสงค์จะให้อสุจิ เคลื่อน อสจุ ิเคล่ือนดังต้งั ใจ ทรงตดั สินว่า ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหน่ึงประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อนจึงบอกให้สามเณรช่วย จบั องค์ก�ำเนิด เม่อื สามเณรจบั อสุจิเคลื่อนออกมา ทรงตัดสนิ ว่า ตอ้ งอาบัติ สงั ฆาทิเสส - ภิกษุรูปหนึ่งจับองค์ก�ำเนิดของสามแณรเล่นอยู่ อสุจิของตน เคลื่อนออกมา ทรงตดั สนิ วา่ เม่อื ไม่มคี วามประสงคจ์ ะใหเ้ คลอื่ น ไมต่ อ้ งอาบตั ิ สังฆาทเิ สส แตต่ ้องอาบัติทุกกฎ 96 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงมีความประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน จึงใช้มือบีบองค์ ก�ำเนดิ แตอ่ สจุ ิไมเ่ คล่อื น ทรงตัดสนิ วา่ ไมต่ ้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส แตต่ อ้ งอาบัติ ถุลลัจจยั - ภิกษุรูปหนึ่งก�ำลังดัดกายอยู่ อสุจิเคล่ือนออกมา ทรงตัดสินว่า เม่อื ไมม่ คี วามประสงค์จะให้เคล่อื น ไม่ตอ้ งอาบัติ - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ มคี วามกำ� หนดั เพง่ ดอู งคก์ ำ� เนดิ ของมาตคุ าม (แมบ่ า้ น) อสจุ ิเคลื่อนออกมา ทรงตัดสนิ ว่า ไม่ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส และตรัสวา่ “ภิกษุผู้มีความก�ำหนัดไม่ควรเพ่งดูองค์ก�ำเนิดของ มาตุคาม รปู ใดเพ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ” - ภิกษุรูปหนึ่งมีความประสงค์จะให้อสุจิเคล่ือน จึงใช้ไม้สีองค์ ก�ำเนดิ อสุจิเคล่อื น ทรงตดั สนิ วา่ ตอ้ งอาบัตสิ ังฆาทิเสส - ภิกษุรูปหนึ่งเดินลุยน�้ำไป อสุจิเกิดเคลื่อนขึ้น ทรงตัดสินว่า เมื่อ ไมม่ ีความประสงคจ์ ะใหเ้ คลอ่ื น ไม่ต้องอาบัติ - ภิกษุรูปหน่ึงประสงค์จะให้อสุจิเคล่ือน จึงสอดองค์ก�ำเนิดเข้าไป ในทราย อสจุ เิ คล่อื น ทรงตดั สินวา่ ต้องอาบัติสังฆาทเิ สส - ภิกษุรูปหน่ึงประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน จึงสีองค์ก�ำเนิดบนที่นอน อสจุ ิเคลอ่ื น ทรงตัดสนิ ว่า ต้องอาบตั สิ ังฆาทิเสส พระวินัยบัญญัติ 97 www.kalyanamitra.org

สงั ฆาทเิ สส สกิ ขาบทที่ ๒ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พทุ ธบญั ญตั ิ “อนงึ่ ภกิ ษใุ ดถกู ราคะครอบงำ� แลว้ มจี ติ แปรปรวน แล้ว ถึงการจับต้องกายกับมาตุคาม คือจับมือก็ดี จับชอ้ งผมกด็ ี ลูบคลำ� อวัยวะส่วนใดส่วนหนง่ึ ก็ดี เปน็ สงั ฆาทเิ สส” เนอ้ื ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุมีความก�ำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้อง สังฆาทิเสส” อธิบายความโดยยอ่ ค�ำว่า ถูกราคะครอบง�ำแล้ว หมายถึงมีความก�ำหนัด มีความ เพง่ เล็ง มจี ติ ปฏิพัทธ์ ค�ำว่า มีจติ แปรปรวนแล้ว หมายถงึ มจี ิตทกี่ �ำหนัดแลว้ ค�ำวา่ มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุษย์ มิใชน่ างยักษ์ มิใชห่ ญงิ เปรต มใิ ช่ สตั วด์ ิรจั ฉานเพศเมีย โดยท่ีสดุ แมเ้ ดก็ หญิงทเี่ กิดในวนั น้ัน ก็จดั วา่ มาตุคาม ค�ำวา่ ถงึ การจบั ต้องกาย หมายถงึ ประพฤติลว่ งละเมดิ ค�ำว่า มือ หมายเอาตัง้ แต่ขอ้ ศอกถงึ ปลายเลบ็ 98 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ค�ำวา่ ช้องผม หมายถงึ ชอ้ งท่ีเปน็ ผมล้วน หรอื แซมด้วยของอนื่ เชน่ ดา้ ย ดอกไม้ เงิน ทอง คำ� วา่ อวยั วะ หมายถงึ สว่ นของรา่ งกายทเี่ หลอื ทเ่ี วน้ มอื และชอ้ งผม คำ� วา่ ลบู คล�ำ หมายถึง ถกู คล�ำ ลบู ลง ลบู ขน้ึ ทบั อุ้ม ฉดุ ผลัก กด บีบ จบั ตอ้ ง ท�ำกริ ิยาอยา่ งใดอย่างหน่ึงเหล่านี้ ช่อื วา่ ลูบคล�ำ วตั ถุแห่งอาบตั ิ (๑)  หญงิ มนุษย์ เป็นวัตถุแห่งอาบัติสังฆาทิเสส (๒)  บัณเฑาะก์ หรอื กะเทย เป็นวตั ถแุ หง่ อาบัติถลุ ลจั จัย (๓)  สัตวด์ ิรัจฉานเพศเมีย เป็นวตั ถุแห่งอาบตั ทิ ุกกฏ กิริยาท่จี ับต้อง การจับต้องกายหญิงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเร่ืองเกี่ยวกับจิตใจ เปน็ เรอื่ งของความรสู้ กึ เปน็ ตน้ เพราะฉะนนั้ ทา่ นจงึ แสดงไวว้ า่ จบั ตอ้ งอยา่ งไร จงึ เปน็ อาบตั ิ จับตอ้ งอย่างไรจงึ ไมเ่ ปน็ อาบัติ ซ่ึงพอสรุปได้ดงั น้ี (๑)  หญงิ มาจบั ตอ้ งภกิ ษุก่อน แต่ภิกษุยินดรี ับสมั ผัสน้ัน คอื มคี วาม รสู้ กึ ยนิ ดเี มอื่ หญงิ มาจบั ตอ้ งตน เปน็ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ถา้ ไมย่ นิ ดี ไมต่ อ้ งอาบตั ิ (๒)  ภิกษุมีจิตก�ำหนัดยินดีจับต้อง จึงต้องอาบัติสังฆาทิเสส หาก ไมม่ ีจิตยินดี เช่นถูกตอ้ งกายหญิงโดยอัตโนมัติ โดยไม่รู้ตวั โดยไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ ไม่ ต้องอาบัติ พระวินัยบัญญัติ 99 www.kalyanamitra.org

(๓)  ภิกษุจับต้องสิ่งท่ีเนื่องด้วยกาย เช่นเสื้อผ้า ซึ่งติดอยู่กับกาย หญิง คือหญิงนงุ่ หม่ อยู่ เป็นอาบัตถิ ลุ ลจั จยั (๔)  ถ้าเป็นของเน่ืองด้วยกายทั้งสองฝ่าย เช่นภิกษุเอาของหรือ ดอกไมโ้ ยนไปถกู กายหญงิ หรอื ถกู ของเนอื่ งดว้ ยกายของหญงิ เปน็ อาบตั ทิ กุ กฏ (๕)  เป็นหญิง แต่ภิกษุส�ำคัญว่าเป็นอย่างอ่ืน จับต้องด้วยความ ก�ำหนดั เป็นอาบัติทกุ กฏ (๖)  วัตถุท่ีเป็นฐานอาบัติถุลลัจจัย คือบัณเฑาะก์หรือกะเทย ภิกษุ จบั ตอ้ ง เปน็ อาบตั ิถุลลัจจยั สกิ ขาบทน้เี ปน็ อนาณตั ติกะ ไม่ต้องอาบัติเพราะสั่งใหผ้ ู้อน่ื ทำ� คือส่งั ใหผ้ อู้ ื่นไปจบั ตอ้ งแทนตน เชน่ ส่ังใหห้ มอนวดไปนวดผู้หญงิ และเปน็ สจติ ตกะ คอื ตอ้ งประกอบดว้ ยเจตนาโดยมคี วามกำ� หนดั เปน็ พื้นฐาน ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่มีเจตนาจะจับต้อง และแก่ภิกษุผู้ไม่ยินดีรับ สมั ผัสเมื่อหญงิ มาถกู ตัวกอ่ น การจบั ตอ้ งมารดา มีปัญหาเกิดข้ึนว่า ในกรณีท่ีภิกษุไปจับต้องมารดา จะเป็นอาบัติ สงั ฆาทเิ สสหรือไม่ ในเร่ืองนี้มีความชัดเจนแล้ว ดังที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ตอนที่ วา่ ดว้ ยวินีตวตั ถุของสกิ ขาบทข้อน้ี ใจความวา่ “ก็โดยสมัยน้ันแล ภิกษุรูปหน่ึงจับต้องกายมารดาด้วยความรัก ฉนั แมล่ ูก เธอไดม้ คี วามกังวลใจว่า เราต้องอาบัตสิ ังฆาทิเสสแลว้ กระมงั หนอ 100 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

จงึ กราบทลู เรอ่ื งนนั้ แดพ่ ระผู้มีพระภาคเจา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ น ภกิ ษุ เธอไม่ตอ้ งอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส แต่ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ” แมใ้ นการจับต้องธดิ า จับตอ้ งพส่ี าว จบั ตอ้ งน้องสาว เม่อื จับตอ้ ง ฉันเปน็ ธิดา เป็นพส่ี าว เป็นนอ้ งสาว ก็มนี ัยเดียวกนั น้ี ในกรณีนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ ชาวลังกาทวีป นักปราชญ์แห่ง พระพุทธศาสนา ได้ขยายความเพ่ิมเติมไว้ในอรรถกถาสมันตปาสาทิกา ซ่ึง เปน็ อรรถกถาพระวินยั ปฎิ กว่า “ในพระบาลีนนั้ พระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงปรับอาบตั ทิ กุ กฏในทุกกรณี แก่ภิกษุผู้จับต้องด้วยความรักอาศัยเรือน (ความรักที่ผูกพันเป็นครอบครัว) ว่า ผู้นี้เป็นมารดาของเรา ผู้นี้เป็นธิดาของเรา ผู้นี้เป็นพี่สาวของเรา ผู้นี้เป็น น้องสาวของเรา ดังน้ี เพราะธรรมดาว่าผู้หญิงทั้งหมด จะเป็นมารดาก็ตาม เปน็ ธดิ าก็ตาม เป็นพส่ี าวน้องสาวกต็ าม เป็นข้าศกึ แกพ่ รหมจรรย์ทงั้ ส้ิน ก็เม่ือภิกษุระลึกถึงพระอาญานี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าแม้นว่า เห็นมารดาถูกกระแสน�้ำพัดไป ไม่ควรจับต้องด้วยมือเลย ถ้าเป็นผู้ฉลาดพึง นำ� เรือ หรือแผ่นกระดาน หรือทอ่ นกล้วย หรือท่อนไมเ้ ขา้ ไปให้ เมื่อเรอื เป็นต้น นนั้ ไมม่ ี แมผ้ า้ กาสาวะกค็ วรนำ� ไปวางไวข้ า้ งหนา้ แตไ่ มค่ วรกลา่ ววา่ จงจบั ทผี่ า้ น้ี เม่อื ท่านจับแลว้ พึงสาวมาด้วยทำ� ในใจวา่ เราสาวบริขารมา ก็ถา้ มารดากลัว พึงเดินไปข้างหน้าๆ แล้วปลอบใจว่าอย่ากลัว ถ้ามารดาถูกน้�ำพัดเข้ามาแล้ว รัดคอหรือจับมือของภิกษุผู้เป็นบุตร ก็ไม่พึงบอกว่าปล่อยหรือหลีกไป แล้ว สลัดออก พงึ ส่งให้ถึงบก เมอื่ มารดาตดิ หลม่ กด็ ี ตกลงไปในบอ่ กด็ ี กม็ นี ยั เหมอื นกนั ดงั นี้ อธบิ าย วา่ ภกิ ษพุ งึ ฉดุ ข้ึน แตอ่ ยา่ พงึ จับตอ้ งเลย” พระวินัยบัญญัติ 101 www.kalyanamitra.org

ท่ีท่านอธิบายไว้ดงั น้ี เป็นการแสดงให้เหน็ วา่ ควรรกั ษาพระวนิ ยั ไว้ แม้จะสามารถช่วยโดยตรงได้ แต่ก็ต้องอาบัติทุกกฏ ดังน้ันพึงช่วยด้วยวิธี อ่ืน หากไม่อาจท�ำอะไรได้ เช่นท่านถูกน้�ำพัดมาแล้วรัดคอหรือจับมือ ก็ไม่ พึงสลดั ออก พงึ ส่งให้ถงึ บก ดงั นเ้ี ปน็ ตน้ วัตถอุ นามาส ในสกิ ขาบทนแี้ สดงไวว้ า่ หา้ มจบั ตอ้ งกายหญงิ ดว้ ยวา่ กายหญงิ เปน็ อนามาส ไม่ควรจับต้อง แต่ในอรรถกถาสมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถา อธิบายเนื้อความในพระวินัยปิฎก ได้อธิบายเรื่องวัตถุอนามาสเสริมความเข้า ไว้ในตอนอธบิ ายความเรอ่ื งการจับตอ้ งกายหญิงนี้ วตั ถอุ นามาส หมายถงึ สงิ่ ของทภี่ กิ ษไุ มค่ วรจบั ตอ้ ง เพราะเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ กเิ ลส เชน่ ราคะบา้ ง โลภะบา้ ง โทสะบา้ ง โมหะบา้ ง เมอื่ จบั ตอ้ งเขา้ จติ อาจ แปรปรวนเกิดความรักหลงใหล เกิดความอยากได้ครอบครอง อันเป็นเหตุให้ ความเป็นสมณะเปลี่ยนแปลงไป หรือจิตใจยินดีเพลิดเพลินหมกมุ่นลูบคล�ำ อยู่ จนไม่มีเวลาประพฤติพรหมจรรย์ได้เต็มท่ี หรือท�ำให้ศรัทธาของชาวบ้าน ทร่ี แู้ ละเห็นเข้าลดนอ้ ยลงหรอื หมดไป อันเปน็ เหตใุ ห้เกดิ ความเส่อื มอันตรธาน ของพระศาสนาในท่สี ุด วัตถุอนามาสที่ท่านแสดงไว้ในอรรถกถาสมันตปาสาทิกานั้นมีมาก ประการ ขอน�ำมาแสดงแต่ละอย่างพอเหน็ รูปดังนี้ (๑)  เครือ่ งประดับสตรี ทา่ นวา่ เป็นวัตถอุ นามาสท้ังสิ้น - ปกติผ้านุ่งห่มของสตรีมีไว้เพื่อนุ่งห่ม แต่ถ้าเขาน�ำมาวางไว้แทบ เท้าเพ่อื ใหภ้ กิ ษุน�ำไปเปลีย่ นเปน็ จวี ร ผา้ นั้นสมควรรบั ได้ 102 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- บรรดาเครอ่ื งประดบั ส่งิ ของที่เปน็ โลหะ เชน่ เคร่อื งประดับศรี ษะ เมอ่ื เขาถวายเพอ่ื ทำ� เปน็ มดี โกนหรอื เปน็ เขม็ กค็ วรรบั ไว้ แตส่ งิ่ ของทที่ ำ� ดว้ ยเงนิ ทอง แกว้ มุกดา เป็นตน้ จดั เปน็ วัตถอุ นามาสแท้ แม้เขาจะถวาย ก็ไมค่ วรรบั (๒)  รปู สลกั สตรี มใิ ชเ่ ฉพาะเครอื่ งประดบั เทา่ นน้ั ทเ่ี ปน็ วตั ถอุ นามาส แมร้ ปู สลักสตรีท่ที �ำจากไม้ จากงา จากโลหะตา่ งๆกต็ าม รปู เขยี นก็ตาม รูปที่ สำ� เรจ็ ดว้ ยรตั นะทกุ อยา่ งกต็ าม โดยทสี่ ดุ แมร้ ปู ปน้ั จากแปง้ กเ็ ปน็ วตั ถอุ นามาส - เมอ่ื เขาถวายให้ เวน้ ของทส่ี ำ� เรจ็ ดว้ ยรตั นะทกุ อยา่ ง ทเี่ หลอื ทำ� ลาย รปู ลกั ษณะแลว้ นำ� สง่ิ ทค่ี วรไปใชเ้ ปน็ เครอื่ งอปุ โภค เปน็ เครอื่ งอปุ กรณ์ หรอื เปน็ ส่ิงท่ีควรใช้สอย จัดเขา้ ในของส�ำหรบั ใช้สอยเพ่อื การใช้สอย ควรอยู่ (๓)  ธัญชาติ ๗ อย่าง คือ ข้าวไม่มีเปลือก ข้าวเปลือก หญ้า กบั แก้ ขา้ วละมาน ลูกเดือย ข้าวแดง ข้าวฟา่ ง ก็เปน็ วัตถุอนามาส ทา่ นแสดง วธิ ีปฏิบัตติ อ่ ธัญชาติไว้ดงั นี้ - เม่ือเดินไปกลางทุ่งนา อย่าเดินจับต้องเมล็ดธัญชาติเหล่านั้นไป พลาง - ถ้าเขาตากธัญชาติไว้ที่ประตูเรือนหรือที่หนทาง อย่าเดินเหยียบ ธญั ชาติ ถา้ ไมม่ ีทางเดินหลบไปได้ พึงอธิษฐานให้เปน็ ทางเดนิ แล้วเดินไปเถดิ - ถ้าเขาปูลาดอาสนะไวบ้ นกองธัญชาตใิ นละแวกบา้ น จะน่ังกค็ วร - ถ้าเขาน�ำธัญชาติมากองไว้ในโรงฉัน ถ้าให้เขาขนออกไปเสียก็ ควร หากไมอ่ าจ อยา่ เหยียบย�่ำธญั ชาติ พึงตัง้ ตัง่ หรอื เกา้ อไ้ี ว้ข้างหนึง่ แลว้ น่ัง เถดิ หรือพวกชาวบา้ นเขาปอู าสนะไวก้ ลางธัญชาตินน่ั เอง ก็น่งั เถดิ พระวินัยบัญญัติ 103 www.kalyanamitra.org

(๔)  อปรณั ณชาติ คอื อาหารอน่ื นอกจากธญั ชาติ มถี ว่ั งา ผลไม้ และ ผกั ตา่ งๆ ทเี่ กดิ อยกู่ บั ตน้ ภกิ ษไุ มค่ วรจบั เลน่ แมท้ เี่ ขาเกบ็ มากองไว้ กเ็ หมอื นกนั แตถ่ า้ ภกิ ษจุ ะเกบ็ ผลไมท้ หี่ ลน่ จากตน้ ในปา่ ถอื กลบั มาดว้ ยตง้ั ใจวา่ จะ ให้แกส่ ามเณรหรือเดก็ วดั ควรอยู่ (๕)  รตั นะ ๑๐ ประการ คอื มกุ ดา มณี ไพฑรู ย์ สงั ข์ ศลิ า ประพาฬ เงนิ ทอง ทับทิม บุษราคัม ทา่ นอธิบายวา่ - มกุ ดา ถา้ ยงั ไมเ่ จยี ระไนหรอื เจาะ กกิ ษจุ บั ตอ้ งไดอ้ ยู่ รตั นะทเี่ หลอื เป็นวัตถุอนามาสทั้งสนิ้ - รตั นะเหลา่ นภี้ กิ ษจุ ะรบั มาเพอื่ เปน็ มลู คา่ แหง่ สง่ิ ของ คอื นำ� ไปแลก เป็นสมณบรขิ าร ย่อมไม่ควร แต่จะรบั เพื่อเปน็ ยาแกค่ นเปน็ โรคเร้อื น ควรอยู่ - มณีทุกอย่างท้ังสีเขียวสีเหลือง โดยที่สุดแก้วผลึกท่ีเขาขัด เจียระไน กลึงแล้ว เป็นวัตถุอนามาส มณีตามธรรมชาติที่เพ่ิงขุดได้จากบ่อ ภิกษุจะรับไวเ้ พ่อื เป็นมลู คา่ แห่งสง่ิ ของเชน่ บาตรเปน็ ตน้ ก็ควร - กระจกแกว้ ท่ีเขาหุงไว้ท�ำไว้อยา่ งเดียวเทา่ นัน้ ทคี่ วร - ไพฑรู ย์กม็ ลี ักษณะเดยี วกับมณี - สังข์ส�ำหรับเป่าก็ดี ท่ีเขาขัดและเจียระไนแล้วก็ดี ขลิบด้วยรัตนะ ก็ดี จัดเปน็ วัตถอุ นามาส - สงั ขส์ ำ� หรบั ตกั นำ้� ดมื่ ทข่ี ดั แลว้ หรอื ยงั ไมไ่ ดข้ ดั เปน็ ของควรจบั ตอ้ ง ได้แท้ 104 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

รัตนะท่ีเหลือจากนี้ ภิกษุจะรับไว้เพื่อใช้เป็นยาหยอดตาก็ดี เพื่อเป็น มูลค่าแหง่ ส่งิ ของก็ดี ควรอยู่ (๖)  ศิลา ท่ีขัดแล้วและเจียระไนแล้ว ประดับด้วยรัตนะมีสีเหมือน ถ่ัวเขียวอย่างเดียวเท่านั้นท่ีเป็นวัตถุอนามาส ศิลาท่ีเหลือ ภิกษุจะถือเอามา เพ่อื ใช้เปน็ หินลับมดี เป็นตน้ ก็ได้ (๗)  แก้วประพาฬ ท่ีขัดและเจียระไนแล้ว เป็นวัตถุอนามาส ประพาฬทเ่ี หลอื เป็นวตั ถอุ ามาสทจี่ ับตอ้ งได้ ภกิ ษุจะรับไว้เพ่อื ใช้จ่ายเปน็ มลู ค่า แห่งสง่ิ ของ ควรอยู่ (๘)  เงินและทอง แม้เขาท�ำเป็นรูปพรรณทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น อนามาส เปน็ ของทภี่ ิกษุไม่ควรรับไว้ จำ� เดิมแต่ยงั เปน็ แร่ - ดอกบวั ทองและดาวทองเปน็ ตน้ เขาจดั ประดบั ไวท้ เ่ี รอื นพระเจดยี ์ แม้ส่ิงเหล่านั้นก็จัดเป็นวัตถุอนามาส แต่พวกภิกษุผู้เฝ้าเรือนพระเจดีย์ต้ังอยู่ ในฐานเปน็ ผู้ทงิ้ รูปิยะ เพราะเหตุน้นั ทา่ นจงึ กลา่ ววา่ ภกิ ษุเหล่านั้นจะลูบคลำ� ดู ก็ควร แตก่ ม็ ีเสยี งคัดค้านห้ามไว้ โดยอนุญาตแตเ่ พยี งเท่านวี้ า่ จะชำ� ระหยาก เยื่อท่ีพระเจดีย์ทองควรอยู่ ซึ่งแสดงว่าเงินและทองจัดเป็นวัตถุอนามาสท่ีจับ ต้องไม่ได้ในทุกกรณี - แมโ้ ลหะทก่ี า้ ไหลท่ อง คอื โลหะทเ่ี ขาทำ� ผสมดบี กุ กบั ทองแดง ผสม ตะกวั่ กบั ทองแดง หรือผสมปรอทกับทองแดง ก็มีคตดิ จุ ทองค�ำเหมือนกนั - เครอ่ื งใชส้ อยในเสนาสนะอนั เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั เปน็ กปั ปยิ ะคอื ของที่ ควรท้ังสิ้น เพราะฉะน้ัน เคร่ืองบริขารประจ�ำเสนาสนะ แม้ทุกอย่างที่ท�ำด้วย เงินและทอง เปน็ วตั ถอุ ามาส จบั ต้องได้ พระวินัยบัญญัติ 105 www.kalyanamitra.org

- ชาวบ้านเขาสร้างรัตนมณฑป(มณฑปแก้ว)ไว้ส�ำหรับเป็นที่แสดง ธรรม มเี สาเปน็ แกว้ ผลกึ ประดบั ดว้ ยพวงแกว้ การทภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายจะดแู ลรกั ษา เครือ่ งอุปกรณท์ ้ังหมดในรตั นมณฑปน้ัน ยอ่ มสมควรแท้ (๙)  ทบั ทมิ และบุศราคัม ทีข่ ัดและเจยี ระไนแลว้ เปน็ วัตถุอนามาส ทย่ี งั ไมไ่ ดข้ ดั ยงั ไมไ่ ดเ้ จยี ระไน ภกิ ษจุ ะรบั ไวเ้ พอ่ื ใชเ้ ปน็ มลู คา่ แหง่ สงิ่ ของ ควรอยู่ (๑๐)  อาวธุ ทกุ ชนดิ จดั เปน็ วตั ถอุ นามาส แมเ้ ขาถวายเพอื่ จำ� หนา่ ย เป็นมูลค่าแหง่ ส่ิงของ ก็ไม่ควรรบั ไว้ - คันธนู สายธนู ประตกั (ไม้ทฝ่ี ังเหล็กแหลมไวต้ รงปลาย) ขอช้าง โดยทส่ี ดุ ไม้มีดและขวานที่ใชเ้ ปน็ อาวุธ เป็นวตั ถอุ นามาส - อาวุธทุกชนิดในสมัยปัจจุบัน เช่นปืนส้ัน ปืนยาว ก็จัดเป็นวัตถุ อนามาส - พบเห็นดาบ หอก หรือโตมรตกอยู่ในสนามรบ พึงใช้หินหรือ ของแข็งอ่ืนต่อยดาบ ท�ำลายลักษณะอาวุธเสีย แล้วถือเอาไปใช้ในฐานะเป็น มีด ควรอยู่ - แมจ้ ะแยกของเหลา่ นอ้ี อกแลว้ ใชเ้ ปน็ มดี เปน็ ไมเ้ ทา้ เปน็ ตน้ กค็ วร - เครื่องอาวุธที่เขาถวายไว้ว่าขอจงรับอาวุธน้ีไว้ ภิกษุจะรับไว้ ท้งั หมดดว้ ยตัง้ ใจวา่ จกั ท�ำให้เสียหายแลว้ ท�ำใหเ้ ปน็ กัปปิยภณั ฑ์ กค็ วรอยู่ (๑๑)  เคร่ืองจับสัตว์ เช่น แหทอดปลา ข่ายดักนก หรือ เคร่ือง ปอ้ งกนั ลกู ศร เช่น โล่ ตาข่าย เปน็ วัตถุอนามาส 106 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- เครื่องดักสัตว์และเคร่ืองป้องกันลูกศรที่ได้มาเพื่อเป็นเคร่ือง ใช้สอยแต่ทีแรก เช่นตาข่าย ภิกษุรับไว้ด้วยต้ังใจว่าจะผูกขึงหรือพันเป็นฉัตร ไว้เบอ้ื งบนอาสนะหรอื พระเจดยี ์ ควรอยู่ - เครอื่ งปอ้ งกนั ลกู ศรทกุ อยา่ ง จะรบั ไวเ้ พอื่ ใชเ้ ปน็ มลู คา่ แหง่ สง่ิ ของ กส็ มควร เพราะของเหลา่ น้นั เป็นเครอื่ งปอ้ งกันการเบยี ดเบียนจากคนอ่ืน มใิ ช่ เป็นเคร่ืองท�ำการเบยี ดเบยี นไดเ้ อง - ภิกษุรับโล่ไว้ด้วยต้ังใจวา่ จะท�ำเป็นภาชนะใสไ่ ม้สฟี นั ก็ควร (๑๒)  เครอ่ื งดนตรี เชน่ พณิ กลอง เปน็ ตน้ ทขี่ งึ ดว้ ยหนงั เปน็ วตั ถุ อนามาส บางทา่ นวา่ แมร้ างกลองและรางพิณท่ียังมไิ ด้ขน้ึ หนงั และขึงสาย ก็ เป็นวตั ถุอนามาส - เครอื่ งดนตรที กุ อยา่ ง จะขงึ สายเองหรอื ใหค้ นอน่ื ขงึ ให้ จะประโคม เองหรอื ใหค้ นอน่ื เขาประโคมกด็ ี ท่านวา่ ไม่ไดท้ ั้งน้นั - เมอื่ เหน็ เครอื่ งดนตรที ม่ี นษุ ยท์ ำ� การบชู าแลว้ ทงิ้ ไวท้ ลี่ านพระเจดยี ์ ไมพ่ งึ ทำ� ใหเ้ คลอื่ นท่ี พงึ ปดั กวาดไปในระหวา่ งๆ เถดิ บางทา่ นวา่ เวลากวาดขยะ พึงท�ำไปโดยก�ำหนดว่าเครื่องดนตรีนั้นเป็นขยะ แล้วเก็บมาวางไว้ ณ ท่ีหนึ่ง กค็ วรอยู่ - ภิกษุรับเครื่องดนตรีเข้าไว้เพื่อใช้เป็นมูลค่าแห่งสิ่งของก็ควร ทไ่ี ดม้ าเพอื่ การใช้สอยให้เป็นบริขาร เชน่ ต้งั ใจวา่ จะทำ� รางพณิ และหุ่นกลองให้ เป็นภาชนะใส่ไม้สีฟัน ส่วนหนังจะท�ำเป็นฝักมีด ดังน้ีแล้วก็ท�ำตามที่ต้ังใจไว้ กค็ วรอยู่ พระวินัยบัญญัติ 107 www.kalyanamitra.org

เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนี้ เร่ืองการจับตอ้ งกนั และกนั และการถกู ตวั กนั นี้เป็นเรื่องละเอยี ดออ่ น เปน็ สงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ เปน็ ธรรมดาในชวี ติ ประจำ� วนั จนเปน็ ความเคยชนิ ไมเ่ กดิ ความ ร้สู ึกอะไรมาก แตใ่ นพระวินยั ถอื วา่ การจบั ตอ้ งกายหญิงของภกิ ษุ ถอื วา่ มโี ทษ หนัก แต่ก็มียกเว้น คือไม่ได้จับต้องด้วยความก�ำหนัดยินดี ไม่ได้ยินดีรับการ ถูกต้องของหญิง ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจท่ีจะจับต้องอะไร เม่ือถูกต้องด้วย อาการเชน่ นก้ี ็ไมต่ ้องอาบัติ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ใหภ้ กิ ษมุ สี ตไิ มป่ ระมาทลมื ตวั ไปยนิ ดใี น กามคณุ เพราะเมื่อมีการจบั ตอ้ งได้ ความก�ำหนัดยนิ ดีซงึ่ มีเปน็ ทุนเดมิ อยู่แลว้ ก็จะขยายตัวกลายเป็นการกอดจูบลูบคล�ำไปจนถึงเสพเมถุนได้ ซึ่งนับเป็น อันตราย เม่ือมสี ติไมจ่ ับต้องได้ ก็ถอื วา่ ตดั ไฟแต่ต้นลม เพือ่ มิใหภ้ กิ ษปุ ระพฤติ ตัวหลุกหลิกซุกซน ไม่ระวังตัว ทำ� ตัวเป็นนักเลงเจ้าชู้ เท่ียวจับต้องหญิงซึ่งมี ผปู้ กครองหรือมเี จ้าของ อันอาจถกู ฟอั งร้องใหร้ บั โทษทางบ้านเมืองได้ และการจับต้องน้ัน ท่านแสดงรายละเอยี ดไวม้ าก ล้วนแลว้ แต่มีโทษ คอื เปน็ อาบัติทัง้ สน้ิ หนกั บา้ งเบาบ้างตามวัตถคุ ือบคุ คลทถี่ ูกจบั ต้อง ดังนน้ั หากภกิ ษมุ ีสติระวังตวั ไมเ่ ผลอไผลมกั ง่าย หลีกเลย่ี งการอยู่ ใกลช้ ิด หรอื ม่นั คงอยใู่ นหลกั พระวนิ ัย กจ็ ะสามารถพน้ จากอาบัติขอ้ นไ้ี ด้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุผูไ้ มจ่ งใจจบั ตอ้ ง (๒) ภิกษผุ ู้จับตอ้ งด้วยไมม่ ีสติ (๓) ภิกษุผู้ไมร่ ู้ คือไมร่ ู้ ว่าที่ตัวจับต้องเป็นผู้หญิงหรือชาย (๔) ภิกษุผู้ไม่ยินดี ในกรณีท่ีถูกหญิงมา 108 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

สัมผสั ถกู ตอ้ ง (๕) ภกิ ษุผวู้ กิ ลจริต (๖) ภกิ ษุผ้มู จี ิตฟุง้ ซา่ น (๗) ภิกษผุ ูก้ ระสบั กระส่ายเพราะเวทนา (๘) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือผู้เป็นอาทิกัมมิกะ คือ พระอทุ ายี วินตี วัตถุ วนิ ีตวตั ถุ ได้แก่เร่อื งท่ีเกดิ ขนึ้ ในสมัยพุทธกาล และทรงตัดสินแล้ววา่ เป็นอาบัตหิ รือไมเ่ ปน็ อาบัติ เชน่ เรื่องตอ่ ไปน้ี - ภิกษุรูปหน่ึงจับต้องกายของมารดาด้วยความรักฉันแม่ลูก ทรง ตดั สินวา่ ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แตต่ ้องอาบตั ทิ ุกกฏ - ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องกายอดีตภรรยา ทรงตัดสินว่า ต้องอาบัติ สงั ฆาทิเสสแล้ว - ภิกษุรูปหน่ึงจับต้องนางยักษ์ ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติสังฆา- ทิเสส แตต่ ้องอาบตั ถิ ลุ ลัจจยั - ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องบัณเฑาะก์หรือกะเทย ทรงตัดสินว่า ไม่ต้อง อาบตั ิสังฆาทเิ สส แต่ต้องอาบตั ิถลุ ลจั จยั - ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องกายหญิงที่นอนหลับอยู่ ทรงตัดสินว่า ต้อง อาบัติสังฆาทิเสสแลว้ - ภิกษุรูปหน่ึงจับต้องกายหญิงท่ีตายแล้ว ทรงตัดสินว่า ไม่ต้อง อาบตั ิสังฆาทิเสส แต่ตอ้ งอาบัติถลุ ลจั จยั - ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องสัตว์ดิรัจฉานเพศเมีย ทรงตัดสินว่า ไม่ต้อง อาบตั สิ งั ฆาทิเสส แตต่ ้องอาบตั ทิ ุกกฏ พระวินัยบัญญัติ 109 www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ มคี วามกำ� หนดั จงึ เขยา่ สะพานทห่ี ญงิ เดนิ ขน้ึ ไป ทรง ตดั สินวา่ ไม่ตอ้ งอาบัติสังฆาทิเสส แตต่ อ้ งอาบตั ิทกุ กฏ - ภิกษุรูปหนึ่งเห็นหญิงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เกิดความก�ำหนัด จึงใชไ้ หลก่ ระทบนางเมือ่ เดนิ สวนกัน ทรงตัดสนิ วา่ ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทิเสส - ภกิ ษุรปู หนง่ึ มคี วามก�ำหนัดจงึ ใชบ้ าตรดันหญงิ ทรงตดั สนิ วา่ ไม่ ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทเิ สส แตต่ อ้ งอาบตั ถิ ุลลัจจยั - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ มคี วามมคี วามกำ� หนดั เมอ่ื หญงิ คนหนง่ึ กำ� ลงั ไหวต้ น อยู่ จึงยกเท้าข้นึ ถูกหญิงนน้ั ทรงตดั สนิ วา่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว - ภิกษุรูปหนึ่งพยายามจะจับหญิง แต่มิได้แตะต้องเธอ ทรงตัดสิน ว่า ไม่ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทเิ สส แตต่ อ้ งอาบัตทิ กุ กฏ สังฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๓ ค�ำแปลพระบาลีท่ีเปน็ พุทธบัญญตั ิ “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดถกู ราคะครอบงำ� แลว้ มจี ติ แปรปรวน แลว้ พดู เคาะมาตคุ ามดว้ ยวาจาชวั่ หยาบ พาดพงิ เมถนุ เหมอื นชายหนุม่ พดู เคาะหญิงสาว เป็นสังฆาทิเสส” เนอ้ื ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษมุ คี วามกำ� หนดั อยู่ พดู เกย้ี วหญงิ ตอ้ งสงั ฆาทเิ สส” 110 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อธิบายความโดยย่อ คำ� วา่ ถกู ราคะครอบงำ� แลว้ หมายถงึ มคี วามกำ� หนดั มคี วามเพง่ เลง็ ม่งุ หวงั มจี ิตปฏิพัทธ์ ค�ำว่า มีจติ แปรปรวนแล้ว หมายถงึ มีจิตทกี่ ำ� หนดั แลว้ ค�ำว่า มาตุคาม ได้แก่ หญงิ มนุษย์ มใิ ชน่ างยกั ษ์ มิใช่หญิงเปรต มใิ ช่ สัตว์ดริ ัจฉานเพศเมยี แต่เป็นหญงิ ที่รเู้ ดยี งสา สามารถรูถ้ ้อยค�ำท่ีเป็นสุภาษติ ทุพภาษิต ค�ำชั่วหยาบ และคำ� สุภาพได้ ค�ำว่า ช่ัวหยาบ หมายถึงถ้อยค�ำที่พาดพิงเก่ียวเนื่องถึงวัจมรรค ปัสสาวมรรค และเมถนุ ธรรม คำ� วา่ พดู เคาะ หมายถงึ การประพฤตลิ ว่ งเกนิ ดว้ ยการพดู การพดู จา เกี้ยวโลม คำ� วา่ เหมอื นชายหนมุ่ พดู เคาะหญงิ สาว คอื เหมอื นชายหนมุ่ พดู จา เกี้ยวโลมหญงิ สาว คำ� วา่ ดว้ ยวาจาพาดพงิ เมถนุ ไดแ้ ก่ ถอ้ ยคำ� ทพี่ าดพงิ เกยี่ วเนอ่ื งดว้ ย เมถนุ ธรรมคือการเสพกาม เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทขอ้ นี้ สกิ ขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อมใิ ห้ภกิ ษุแสดงกิริยาอาการก�ำหนดั มี จิตแปรปรวนด้วยการพูด แสดงนิสัยเป็นคนเจ้าชู้ โดยพูดจาแทะโลม พูดจา เกย้ี วพา พดู จาเย้าแหย่ หรือพูดจากระทบเก่ียวเนอ่ื งกับอวัยวะเพศ กับทถ่ี ่าย พระวินัยบัญญัติ 111 www.kalyanamitra.org

อุจจาระ และเมถุนธรรมคือการเสพกาม เพราะเป็นกิจท่ีไม่ควรท�ำ ไม่ควร ประพฤติส�ำหรับบรรพชิตผู้สละทางโลกมาแล้ว ด้วยว่าการประพฤติอย่างนั้น เปน็ โลกยิ วิสยั ทค่ี ฤหสั ถ์ประพฤติกนั โดยท่ัวไป สิกขาบทข้อน้ี มุ่งให้ภิกษุมีความส�ำรวมระวังวาจา ไม่พูดเพ้อเจ้อ แทะโลมอันเปน็ นิสัยของคฤหัสถ์ ไม่พูดจาเกย้ี วพาทัง้ โดยตรงและโดยออ้ มกบั ผูห้ ญิงทีร่ เู้ ดยี งสา สามารถรู้ความหมายของค�ำพดู ได้ เมอื่ ระมัดระวงั ได้กไ็ ด้ชื่อ วา่ สำ� รวมวาจา หากไมร่ ะวงั พลงั้ เผลอไปพดู จาเกย้ี วโลม พดู จาถอ้ ยคำ� ทแ่ี สดง ถึงอารมณ์ก�ำหนัด มีจิตแปรปรวนแล้ว ตัวเองก็ฟุ้งซ่านพล่านไปตามอารมณ์ คนฟังก็เส่อื มศรทั ธา หรือแม้คนฟังจะชอบให้เกีย้ วพา แต่คนฟงั อื่นไดย้ นิ เขา้ ก็ รงั เกียจ ทำ� ใหเ้ สอ่ื มศรทั ธาได้ ในสกิ ขาบทขอ้ นท้ี า่ นประสงคเ์ อาเฉพาะหญงิ ทมี่ คี วามฉลาด สามารถ ที่จะทราบถ้อยค�ำท่ีเป็นประโยชน์และไร้ประโยชน์ ถ้อยค�ำท่ีพาดพิงอสัทธรรม และพระสทั ธรรม สว่ นหญงิ ทีเ่ ขลาเบาปัญญา ไมส่ ามารถรเู้ รอื่ งอะไรได้ แม้จะ เปน็ ผใู้ หญ่ มอี ายมุ าก กไ็ มป่ ระสงคเ์ อาในสกิ ขาบทนี้ คอื ไมเ่ ปน็ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส แก่ภิกษุผู้พูดเก้ียวพานาง  เหมือนการพูดจาแทะโลมเก้ียวพาเด็กหญิงที่ ไรเ้ ดยี งสา กไ็ มเ่ ปน็ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส หากมเี ชน่ นน้ั ยอ่ มแสดงวา่ ภกิ ษผุ เู้ กยี้ วพา นนั้ วกิ ลจรติ หรอื สติฟัน่ เฟอื นจึงเทย่ี วเกย้ี วพาแทะโลมคนเขลาและเด็กเชน่ น้นั อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุผู้มุ่งประโยชน์ คือ ผู้ท่ีก�ำลังอธิบายหรือแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับการเก้ียว พาอยู่ เช่นมกี ารยกตวั อย่างถ้อยค�ำเก้ียวพาเพ่ือใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจเรือ่ งโดยชดั เจน 112 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๒) ภิกษุผู้มุ่งธรรม คือ ผู้บอกหรือสาธยายพระบาลีอยู่ โดยยกข้อธรรมข้ึน เปน็ ตวั ต้งั แล้วขยายความไปตามข้ออรรถขอ้ ธรรมน้ัน (๓) ภิกษุผู้มงุ่ สอน คอื ผู้มุ่งแนะน�ำส่ังสอนให้เลิกประพฤติที่ไม่เหมาะ ท�ำให้ได้รับผลเช่นน้ี เช่นสอน วา่ บัดนเี้ ธอเปน็ คนสองเพศ ดว้ ยกรรมทต่ี นท�ำมา ตอ่ ไปนเี้ ธอจงอย่าประมาท อย่าเป็นอยา่ งนตี้ ่อไปเลย ดังนเ้ี ป็นตน้ (๔) ภิกษผุ วู้ ิกลจริต (๕) ภิกษุผูเ้ ป็นต้น บัญญัติ หรือผเู้ ปน็ อาทกิ มั มิกะ ได้แก่พระอทุ ายี วินตี วตั ถุ วินตี วตั ถุ ไดแ้ ก่เรอื่ งทีเ่ กิดข้ึนในสมัยพุทธกาล และทรงตดั สินแลว้ วา่ เป็นอาบัติหรอื ไมเ่ ป็นอาบตั ิ เชน่ เรอ่ื งตอ่ ไปน้ี - ภิกษุรูปหนึ่งเห็นหญิงคนหนึ่งห่มผ้ากัมพล (ผ้าขนสัตว์) ใหม่ สีแดง มีความก�ำหนัด จึงพูดจาเย้าแหย่ว่า เธอมีสีแดงนะ (ซึ่งหมายถึงองค์ กำ� เนดิ มปี ระจำ� เดอื น) นางไมเ่ ขา้ ใจความหมายกต็ อบรบั วา่ ใชเ่ จา้ คะ่ ผา้ กมั พล มีสแี ดง ทรงตัดสินวา่ ไมต่ อ้ งอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส แตต่ อ้ งอาบตั ิทุกกฏ - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เหน็ หญงิ คนหนง่ึ หม่ ผา้ กมั พลซกั ใหม่ มคี วามกำ� หนดั พดู เคาะวา่ เธอมขี นยงุ่ นะ (ซงึ่ หมายถงึ ขนทอ่ี งคก์ ำ� เนดิ ) นางไมเ่ ขา้ ใจความหมาย จึงตอบว่า ใช่เจา้ ค่ะ ผ้ากัมพลซกั ใหม่ ทรงตดั สินว่า ไมต่ อ้ งอาบัตสิ ังฆาทเิ สส แตต่ อ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ - ภิกษุรูปหน่ึงพบนางปริพาชิกาคนหนึ่งเดินสวนทางมา มีความ ก�ำหนัดพูดเคาะว่า มรรคาของเธอราบเรียบดีหรือ (ซึ่งหมายถึงองค์ก�ำเนิด) นางไม่เข้าใจความหมายจึงตอบว่า เจ้าค่ะท่าน ท่านจักเดินไปได้ ทรงตัดสิน ว่า ไม่ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทิเสส แต่อาบตั ถิ ลุ ลัจจยั พระวินัยบัญญัติ 113 www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงมีความก�ำหนัดพูดเคาะหญิงคนหนึ่งว่า เธอเป็นคน มศี รทั ธา จะถวายของท่เี ธอให้สามีแกพ่ วกฉันบา้ งไม่ได้หรอื นางถามว่า ของ อะไรเจ้าข้า จึงตอบว่า กเ็ มถุนธรรมไง ทรงตัดสินว่า ต้องอาบตั ิสงั ฆาทิเสส - ภิกษุรูปหน่ึงมีความก�ำหนัด เห็นหญิงคนหนึ่งก�ำลังท�ำงานอยู่ จึงพูดเคาะวา่ นอ้ งหญงิ นอนลงสิ ฉนั จักท�ำเอง ทรงตัดสนิ ว่า ไม่ตอ้ งอาบตั ิ สงั ฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทท่ี ๔ ค�ำแปลพระบาลีท่ีเป็นพทุ ธบัญญตั ิ “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดถกู ราคะครอบงำ� แลว้ มจี ติ แปรปรวน แลว้ กลา่ วคณุ แหง่ การบำ� เรอความใครข่ องตนในสำ� นกั มาตคุ าม ดว้ ยถอ้ ยคำ� พาดพงิ เมถนุ วา่ นอ้ งหญงิ หญงิ ใด บ�ำเรอผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม เช่นเรา ดว้ ยธรรมน่ัน การบ�ำเรอของหญิงนัน้ น่นั เปน็ ยอดแห่งการบ�ำเรอท้ังหลาย เป็นสงั ฆาทเิ สส” เนือ้ ความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุมีความก�ำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบ�ำเรอตน ดว้ ยกาม ต้องสงั ฆาทิเสส” 114 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า ถูกราคะครอบง�ำแล้ว  หมายถึงมีความก�ำหนัด  มีความ เพง่ เล็ง มีจิตปฏพิ ัทธ์ ค�ำว่า มจี ิตแปรปรวนแลว้ หมายถงึ มจี ติ ที่กำ� หนัดแล้ว ค�ำวา่ มาตคุ าม หมายถงึ หญงิ มนุษย์ ไม่ใชน่ างยักษ์ ไม่ใชห่ ญิงเปรต ไมใ่ ชส่ ตั วด์ ริ จั ฉานเพศเมยี เปน็ หญงิ ทรี่ เู้ ดยี งสา สามารถทราบถงึ ถอ้ ยคำ� ทเ่ี ปน็ สุภาษติ ทพุ ภาษติ ค�ำชว่ั หยาบ และค�ำสุภาพได้ ค�ำว่า ในส�ำนักมาตุคาม คือในที่ใกล้มาตุคาม ในที่ไม่ห่างมาตุคาม ได้แก่พูดกบั มาตคุ าม ค�ำว่า บำ� เรอ หมายถึงท�ำใหย้ ินดยี ง่ิ ท�ำใหร้ นื่ เริงย่งิ คำ� ว่า ด้วยถอ้ ยค�ำพาดพงิ เมถนุ คอื ดว้ ยถอ้ ยค�ำที่เกีย่ วดว้ ยเมถุน- ธรรมคอื การเสพกาม ค�ำว่า ความใครข่ องตน หมายถงึ ความอยากของตน ความประสงค์ ของตน การบ�ำเรอแก่ตน ค�ำว่า มีศีล คือ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก อทนิ นาทาน เวน้ ขาดจากมุสาวาท ค�ำว่า ผ้ปู ระพฤตพิ รหมจรรย์ คอื ผเู้ ว้นขาดจากเมถนุ ธรรม ค�ำว่า มีกัลยาณธรรม คือ เป็นผู้มีธรรมอันงาม เพราะมีศีลและ ประพฤติพรหมจรรย์เชน่ น้นั ค�ำว่า ด้วยธรรมน้นั หมายถงึ ด้วยเมถนุ ธรรม พระวินัยบัญญัติ 115 www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทขอ้ น้ี สกิ ขาบทน้ี หมายถงึ การทภี่ กิ ษมุ คี วามกำ� หนดั พดู ลอ่ หรอื พดู แนะนำ� หรอื พดู ชกั ชวนใหห้ ญงิ บำ� เรอตนดว้ ยกามอนั เกย่ี วเนอื่ งดว้ ยเมถนุ ธรรม ตามที่ ตนใครท่ ต่ี นปรารถนา อนั เป็นประโยชนแ์ ก่ตน ทำ� ให้ตนรืน่ รมยย์ ินดี การกล่าวให้หญิงบ�ำเรอตนด้วยกามลักษณะน้ีถือว่าเป็นการชักน�ำ หญงิ ทมี่ ศี รทั ธาแตไ่ มร่ ซู้ งึ้ ใหห้ ลงเชอื่ เปน็ การหลอกลวง เปน็ การเหน็ แกต่ วั ของ ภกิ ษุ เปน็ เหตใุ หค้ ดิ หมกมนุ่ อยกู่ บั กามารมณจ์ นไมอ่ าจประพฤตพิ รหมจรรยใ์ ห้ สมบรู ณ์ได้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุฟุ้งซ่าน ปล่อยสติ ประพฤติเหลาะแหละด้วยการพูดจาไร้ยางอาย ให้ส�ำรวมระวังค�ำพูด มีความ รสู้ กึ ละอายใจทจ่ี ะพดู ชกั ชวนใหห้ ญงิ บำ� เรอตนทางกามารมณโ์ ดยตรงหรอื โดย ออ้ ม ท้ังนเี้ พ่ือรักษาศักดศิ์ รีของสงฆ์ไว้ และเพื่อรกั ษาพระศาสนาไว้ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษผุ กู้ ลา่ ววา่ ขอทา่ นจงบำ� รงุ ดว้ ยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยั เภสชั บริขาร ดังนเี้ ปน็ ตน้ (๒) ภิกษุผู้วกิ ลจรติ (๓) ภิกษผุ เู้ ป็นตน้ บัญญัติ หรอื ผู้เป็นอาทกิ มั มิกะ ได้แก่ พระอุทายี วินตี วัตถุ วนิ ตี วัตถุ ไดแ้ กเ่ ร่อื งที่เกดิ ขึ้นในสมัยพทุ ธกาล และทรงตัดสนิ แล้วว่า เป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบตั ิ เชน่ เรอื่ งต่อไปนี้ 116 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภิกษุรูปหน่ึงถูกหญิงหมันผู้อุปถัมภ์ตนอยู่ถามว่า ท�ำไฉนจึงจะ มีบุตรได้ ภิกษุตอบว่า จงถวายทานที่เลิศ นางถามว่า ทานที่เลิศคืออย่างไร ภิกษตุ อบวา่ คอื เมถนุ ธรรม ทรงตัดสนิ ว่า ตอ้ งอาบัตสิ งั ฆาทเิ สสแล้ว - ภิกษุรูปหน่ึงถกู หญงิ ผู้อุปถัมภต์ นอยถู่ ามวา่ ท�ำไฉนจงึ จะมีโชคดี ภิกษุตอบว่า จงถวายทานที่เลิศ นางถามว่า ทานที่เลิศคืออะไร ภิกษุตอบว่า คือเมถุนธรรม ทรงตัดสินว่า ตอ้ งอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ถกู หญงิ ทคี่ นุ้ เคยถามวา่ ดฉิ นั จะอปุ ฏั ฐากพระคณุ เจา้ ด้วยอะไรดี ภกิ ษตุ อบวา่ จงถวายทานอนั เลศิ นางถามว่า ทานทเ่ี ลศิ คืออะไร ภิกษุตอบว่า คือเมถนุ ธรรม ทรงตดั สินว่า ตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทิเสสแล้ว - ภิกษุรูปหนึ่งถูกหญิงผู้ใจบุญถามว่า ท�ำไฉนจึงจะได้ไปสู่สุคติ ภกิ ษตุ อบวา่ ต้องถวายทานที่เลศิ นางถามวา่ ทานที่เลิศคอื อะไร ภิกษตุ อบวา่ คือเมถุนธรรม ทรงตดั สนิ วา่ ต้องอาบตั ิสังฆาทเิ สสแล้ว. สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทท่ี ๕ คำ� แปลพระบาลใี นพทุ ธบัญญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดชักส่ือ คือบอกความประสงค์ของ ชายแก่หญิงก็ดี บอกความประสงค์ของหญิงแก่ชาย ก็ดี ในความเป็นภรรยาก็ตาม ในความเป็นชู้ก็ตาม โดยทสี่ ดุ บอกแมแ้ กห่ ญงิ แพศยาอนั จะพงึ อยกู่ นั ชวั่ ขณะ เปน็ สังฆาทิเสส” พระวินัยบัญญัติ 117 www.kalyanamitra.org

เน้ือความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษชุ กั สอ่ื ใหช้ ายหญงิ เปน็ ผวั เมยี กนั ตอ้ งสงั ฆาทเิ สส” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า ชักส่ือ หมายถึงถูกฝ่ายหญิงวานไปหาฝ่ายชาย หรือถูกฝ่าย ชายวานไปหาฝา่ ยหญงิ คอื นำ� ความประสงคข์ องหญงิ หรอื ชายไปบอกแกห่ ญงิ หรือชายอกี ฝา่ ยหนง่ึ ว่าต้องการใหไ้ ปเป็นสามหี รือเปน็ ภรรยา ไดแ้ ก่ท�ำตัวเป็น เถ้าแกช่ ักสอ่ื ใหช้ ายหญงิ ได้กัน ค�ำว่า บอกความประสงค์ของชายแก่หญิง หมายถึงแจ้งความ ปรารถนาของฝา่ ยชายแกฝ่ ่ายหญิง ค�ำว่า บอกความประสงค์ของหญิงแก่ชาย หมายถึงแจ้งความ ปรารถนาของฝา่ ยหญิงแก่ฝา่ ยชาย คำ� วา่ ในความเป็นภรรยา คอื ต้องการให้เปน็ ภรรยา ค�ำวา่ ในความเปน็ ชู้ คอื ตอ้ งการใหเ้ ป็นช้รู กั คอื เป็นสามี คำ� ว่า หญิงแพศยา คือหญิงขายบริการอันจะพึงอยู่รว่ มกนั ช่วั ขณะ ไดแ้ ก่หญิงทีเ่ ปน็ ภรรยาชั่วคราว องค์แหง่ การชกั สอื่ การชกั สอ่ื โดยปกติ ยอ่ มสำ� เรจ็ ได้และทำ� ให้ต้องอาบตั ิตามสิกขาบทน้ี ต้องประกอบดว้ ยองค์แหง่ การชกั สอ่ื ๓ ประการคือ 118 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๑) รบั คำ� ของผวู้ าน (๒) ไปบอกแกอ่ ีกฝา่ ยหนึง่ (๓) กลับไปบอกแกผ่ วู้ าน แต่ในกรณชี กั สอ่ื หรอื บอกแก่หญิงแพศยา ยอ่ มส�ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยองค์ ๒ เท่านั้น เช่นชายวานภิกษุให้ไปบอกหญิงขายบริการ ภิกษุรับค�ำแล้วไปบอก แก่หญิงบริการน้ัน แม้ไม่กลับมาบอกแก่ชายนั้นอีก ความปรารถนาของเขา กส็ �ำเรจ็ ไดแ้ ลว้ ดงั นัน้ การตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทเิ สสตามสกิ ขาบทนย้ี ่อมมไี ดด้ ว้ ย องคแ์ ห่งการชกั สอื่ ๒ ประการขา้ งตน้ เทา่ นนั้ องค์แห่งอาบัติ ในสกิ ขาบทนี้ ท่านวางเกณฑก์ ารตัดสินว่าต้องอาบัตอิ ะไรอย่างไรไว้ เปน็ หลัก ดังนี้ (๑) ถา้ เขาวาน ภกิ ษรุ บั คำ� เปน็ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ไปบอกแกอ่ กี ฝา่ ยหนง่ึ เปน็ สงั ฆาทิเสส (๒) ถ้าเขามิได้วาน ภิกษุจัดการเอง ไปบอกแก่ชายหรือหญิงฝ่าย แรก เป็นถุลลัจจัย ไปบอกแก่ชายหรือหญิงฝ่ายที่สอง เป็น สงั ฆาทิเสส (๓) ผู้วาน เปน็ เจา้ ตวั โดยเป็นชายหรอื หญงิ กต็ าม เปน็ มารดาบดิ า หรอื เปน็ ผใู้ หญช่ องชายหรอื หญงิ กต็ าม เมอื่ เขาวาน ภกิ ษรุ บั คำ� ไปบอกแก่อกี ฝ่ายหนึ่ง ซง่ึ จะเปน็ เจา้ ตวั ก็ตาม เปน็ บดิ ามารดา หรือเป็นผ้ใู หญ่กต็ าม เป็นสงั ฆาทิเสส พระวินัยบัญญัติ 119 www.kalyanamitra.org

กรณเี ชน่ นี้ จะทำ� เองหรอื สงั่ ใหผ้ อู้ นื่ ทำ� แทนตนกต็ าม กต็ อ้ งสงั ฆาทเิ สส เหมือนกนั (๔) เขาวานภกิ ษหุ ลายรปู ทกุ รปู รบั คำ� แลว้ แตเ่ วลาไปบอก ไปบอก แมเ้ พยี งรปู เดยี ว ตอ้ งสงั ฆาทิเสสพร้อมกนั ท้งั หมด (๕) ภิกษุรูปหน่ึงไม่รู้ ชักโยงสามีภรรยาซ่ึงหย่าขาดกันแล้วให้กลับ คืนดีกนั ใหม่ ท่านว่าไมต่ ้องอาบตั ิ (๖) ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ รอู้ ยวู่ า่ โยมบดิ ากบั มารดาหยา่ ขาดกนั แลว้ ถกู บดิ า ขอร้องให้ไปบอกโยมมารดาได้กลับมาปรนนิบัติตนเหมือนเดิม ภิกษุไปบอกตามน้นั เป็นสงั ฆาทเิ สส (๗) สามีภรรยาโกรธกันแล้วแยกกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่มิได้หย่า ขาดกัน ภกิ ษพุ ดู ชกั โยงใหค้ นื ดีกนั ไมต่ ้องอาบัติ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สกิ ขาบทน้ี หมายถงึ การทภ่ี กิ ษปุ ระพฤตทิ ำ� ตวั เปน็ ผชู้ กั สอื่ ใหช้ ายหญงิ ได้อยู่ร่วมกันเปน็ สามภี รรยา หรือใหช้ ายไดเ้ สพสมกบั หญงิ ขายบรกิ าร ด้วยมี ประสงค์จะให้ตนเป็นท่ีเคารพนับถือ เป็นที่ไว้วางใจ หรือได้รับยกย่องว่าเป็น ผใู้ หญใ่ จดที ยี่ อมตัวมาเปน็ เถ้าแกใ่ ห้ ท�ำให้มีพวกพอ้ งบริวารมากขนึ้ หรอื ด้วย วตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งอืน่ ซึ่งการประพฤตอิ ยา่ งนี้ยอ่ มไมเ่ หมาะไมค่ วร เพราะย่อม ไดร้ บั การตำ� หนจิ ากผรู้ ทู้ ง้ั หลายกไ็ ดว้ า่ ผเู้ ปน็ สมณะสละทางโลกแลว้ ตอ้ งเปน็ ผู้ ไมข่ วนขวาย ตอ้ งเป็นผไู้ ม่พยายามท�ำงานเช่นน้ี 120 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพื่อมิให้ภิกษุเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องการ เป็นอยู่ฉันสามีภรรยาซ่ึงเป็นเร่ืองทางโลกซ่ึงละเอียดอ่อน ต้องการให้เป็น กลาง เพราะการอยูก่ ันเป็นครอบครัวน้นั เป็นเรอ่ื งของจติ ใจเปน็ หลัก หากเกิด จากการชักส่ือแต่ไม่สมัครใจ ยอมอยู่ด้วยกันตามค�ำของผู้ใหญ่ สุดท้ายอาจ ต้องหย่าขาดกัน หรืออยู่ทนทุกข์หวานอมขมกลืนไปด้วยกัน ย่ิงผู้ชักสื่อเป็น ภิกษุผู้ใหญ่ท่ีตนนับถือหรือเป็นญาติผู้ใหญ่ด้วย เมื่อมาชักส่ือก็ยอมท�ำตาม ด้วยเกรงใจ แต่ไม่สมัครใจอยู่ด้วยกันนัก หากจ�ำต้องแยกทางกัน ผู้ชักสื่อก็ อาจถกู ตำ� หนแิ ละไมน่ ับถือกันต่อไป อนง่ึ เพอื่ ใหภ้ กิ ษวุ างตวั เปน็ หลกั ไมใ่ ชเ่ ปน็ คนรบั ใชค้ ฤหสั ถ์ ไมใ่ ชเ่ ปน็ คนเขา้ กเี้ จา้ การเทย่ี วชกั สอื่ ใหเ้ ขาเปน็ ผวั เมยี กนั ไมใ่ ชเ่ ปน็ คนไปไกลเ่ กลยี่ ใหเ้ ขา คืนดีกนั อีกเมื่อเขาตกลงหย่าขาดกันไปแลว้ เปน็ ต้น เพราะการทำ� เชน่ นน้ั ยอ่ ม ทำ� ใหเ้ กดิ ผลเสยี ตามมา แม้จะมขี อ้ ดบี า้ ง ได้รับความสำ� เรจ็ ในทางดบี า้ ง แตก่ ็ ท�ำใหเ้ สยี เวลา เสียโอกาสในการประพฤติพรหมจรรย์ จึงทรงบัญญัตหิ ้ามไว้ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุผู้ไปด้วยกรณียกิจของสงฆ์ก็ดี ของเจดีย์ก็ดี ของภิกษุผู้อาพาธก็ดี เช่น ในวัดมีงานก่อสร้างอยู่หรือมีงานซ่อมเจดีย์อยู่ อุบาสกวานภิกษุไปยังส�ำนัก อุบาสิกา หรืออุบาสิกาวานภิกษุไปยังส�ำนักของอุบาสก เพื่อขออาหารหรือ ค่าแรงส�ำหรับคนงานในกิจนั้น เมื่อภิกษุไปด้วยกรณียะของสงฆ์เช่นนั้น ไม่ ต้องอาบัติ หรือได้รับการขอร้องวานไปเพื่อต้องการยาส�ำหรับภิกษุอาพาธก็ เชน่ กนั (๒) ภกิ ษุผูว้ กิ ลจริต (๓) ภิกษุผูเ้ ปน็ ต้นบญั ญัติ หรือผเู้ ปน็ อาทกิ มั มิกะ ได้แก่พระอุทายี พระวินัยบัญญัติ 121 www.kalyanamitra.org

วนิ ีตวัตถุ วนิ ีตวัตถุ ไดแ้ กเ่ รอ่ื งท่ีเกดิ ขน้ึ ในสมยั พทุ ธกาล และทรงตดั สินแลว้ ว่า เปน็ อาบัตหิ รอื ไม่เปน็ อาบตั ิ เชน่ เรื่องต่อไปน้ี - ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ถกู ชายคนหนง่ึ วานใหไ้ ปบอกหญงิ คนชอื่ นวี้ า่ ตอ้ งการ นางมาเป็นคู่ครอง ภิกษุรับค�ำวานแล้วไปถามหาหญิงคนชื่อน้ันว่าอยู่ท่ีไหน ทราบวา่ นางไดต้ ายไปแลว้ ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส แตต่ อ้ งอาบตั ิ ทกุ กฏ - ภิกษุรูปหนึ่งถูกชายคนหน่ึงวานให้ไปบอกหญิงช่ือนี้ว่าอย่างน้ี ภิกษุน้ันรับค�ำวานแล้วไปหาหญิงชื่อน้ัน ได้ทราบว่านางย้ายบ้านไปแล้ว ทรง ตดั สินว่า ไมต่ ้องอาบตั สิ ังฆาทเิ สส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ - ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ชกั โยงหญงิ คนหนงึ่ ซง่ึ ทะเลาะกบั สามแี ลว้ กลบั ไปอยู่ ทบ่ี า้ นมารดาใหก้ ลบั มาคนื ดกี นั กบั สามี ทรงตดั สนิ วา่ ไมต่ อ้ งอาบตั อิ ะไร เพราะ เขายงั มไิ ด้หยา่ ขาดกัน สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทท่ี ๖ ค�ำแปลพระบาลีในพุทธบญั ญัติ “อน่ึง ภิกษุผู้จะสร้างกุฎีอันไม่มีเจ้าภาพสร้างให้ สร้างเป็นของส่วนตวั ด้วยการขอเขามาเอง พงึ สรา้ ง ให้ได้ประมาณ ประมาณในการสร้างกุฎีน้ันดังนี้ โดย ยาว ๑๒ คบื โดยกว้างร่วมใน ๗ คบื โดยคบื สคุ ต พึง 122 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

นำ� ภกิ ษทุ งั้ หลายไปเพอื่ แสดงพนื้ ทใี่ ห้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พงึ แสดงพื้นท่ีอันไม่มีอันตราย มีชานโดยรอบ พวกภิกษุ สรา้ งกฎุ ดี ว้ ยการขอเขามาเอง ในทม่ี อี นั ตราย หาชาน โดยรอบมิได้ หรือไม่น�ำภิกษุทั้งหลายไปแสดงพื้นท่ีให้ หรือสร้างใหเ้ กนิ ประมาณ เปน็ สังฆาทิเสส” เนื้อความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุสร้างกุฎีท่ีต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซ่ึงไม่มีใครเป็นเจ้าของ จ�ำเพาะเป็นท่ีอยู่ของตน ต้อง ท�ำให้ไดป้ ระมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดย กว้างเพียง ๗ คืบ วัดในร่วมใน และต้องให้สงฆ์แสดง ที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงท่ีให้ก่อนก็ดี ท�ำให้เกิน ประมาณก็ดี ต้องสังฆาทเิ สส” อธบิ ายความโดยย่อ คำ� วา่ ขอเขามาเอง หมายถงึ ขอคนบา้ ง แรงงานบา้ ง โคบา้ ง เกวยี น บา้ ง อุปกรณ์เช่นมดี บา้ ง ตลอดถึงไม้ หญา้ ดนิ ดว้ ยตนเอง ค�ำว่า กุฎี ได้แก่ ท่ีอยู่ซ่ึงโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายในก็ตาม ซ่ึงโบก ฉาบปนู ไวเ้ ฉพาะภายนอกกต็ าม ซงึ่ โบกฉาบปนู ไวท้ งั้ ภายในทงั้ ภายนอกกต็ าม ค�ำว่า คืบสุคต คือ ความยาว ๓ คืบของบุรุษกลางคนในปัจจุบัน เท่ากับหนึง่ ศอกกบั หนึ่งคืบของช่างไม้ จดั เป็นหนงึ่ คืบสุคต พระวินัยบัญญัติ 123 www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า สร้าง หมายถึงจะสร้างด้วยตนเองก็ตาม ใช้ให้คนอื่นสร้าง ก็ตาม คำ� วา่ อนั ไมม่ เี จา้ ภาพสรา้ งให้ หมายถงึ ไมม่ ใี ครอนื่ เปน็ เจา้ ของถวาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ถ้าร่วมกันบริจาคทรัพย์ และสง่ิ ของสร้างถวาย จดั วา่ มเี จ้าภาพ คำ� วา่ เปน็ ของส่วนตัว หมายถงึ เพื่อประโยชน์สว่ นตัว ถา้ สร้างเพอื่ ถวายเป็นของสงฆ์ เปน็ ของสว่ นกลางทภี่ กิ ษอุ ื่นใช้ได้ ไมจ่ ัดเป็นของส่วนตัว ค�ำว่า พึงสร้างให้ได้ประมาณ คือ โดยยาว ด้วยการวัดด้านนอก ฝาผนัง โดยกวา้ ง ด้วยการวดั ด้านในฝาผนัง เม่ือสร้างส่วนยาวเพียง ๑๐ คืบ แต่มีส่วนกว้าง ๘ คืบ หรือส่วน กว้างแคบกว่าทีก่ ำ� หนด ส่วนยาวเกนิ ก�ำหนด ถอื ว่าสรา้ งไม่ได้ประมาณ คำ� วา่ พงึ นำ� ภกิ ษทุ ง้ั หลายไปแสดงพน้ื ทใ่ี ห้ คอื ภกิ ษผุ จู้ ะสรา้ งกฎุ นี น้ั พึงปรับพ้ืนที่ท่ีจะสร้างกุฎีน้ันเสียก่อน แล้วพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบเทา้ ภกิ ษผุ แู้ กพ่ รรษากวา่ นง่ั กระหยง่ (นงั่ คกุ เขา่ )ประนมมอื เปลง่ วาจาขอ สงฆ์ให้ไปตรวจดูพื้นที่ท่ีจะสร้างกุฎี โดยกล่าวขอ ๓ ครั้ง ถ้าสงฆ์ท้ังหมดจะ อตุ สาหะไปดพู น้ื ทนี่ น้ั ดว้ ยกนั กพ็ งึ ไป ถา้ สงฆไ์ มอ่ าจจะไปดพู น้ื ทไี่ ดท้ งั้ หมด ดว้ ย ชราบา้ ง อาพาธบา้ ง ภกิ ษเุ หลา่ ใดในหมนู่ นั้ เปน็ ผฉู้ ลาด สามารถจะรไู้ ดว้ า่ พน้ื ที่ นนั้ จะมอี นั ตรายอะไรหรอื ไม่ เปน็ พนื่ ทมี่ ชี านรอบไดห้ รอื ไม่ สงฆพ์ งึ ขอรอ้ งภกิ ษุ เหลา่ นัน้ แลว้ สมมตคิ ือมมี ตริ ่วมกันแตง่ ตงั้ ให้ไปเปน็ ผดู้ พู น้ื ท่ีแทนสงฆ์ ค�ำว่า มอี ันตราย คอื เป็นที่อาศัยของมด ของปลวก ของหนู ของงู ของแมลงมีพษิ เช่นแมงปอ่ ง ของสัตวร์ ้ายเชน่ เสือ สงิ โต เป็นต้น เป็นทใี่ กล้นา 124 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ใกลไ้ ร่ ใกลส้ วน ใกลต้ ะแลงแกง ใกล้สสุ าน หรอื ใกล้ถนน ใกลส้ แี่ ยก ใกลท้ าง เดนิ ไปมา ค�ำว่า ไม่มีชานโดยรอบ คือเป็นท่ีท่ีเกวียนซึ่งเทียมวัวแล้วตามปกติ ไมส่ ามารถจะเวยี นไปได้ เปน็ ท่ีไม่สามารถจะใช้บนั ไดพาดเดนิ เวียนโดยรอบได้ อาการทีล่ ่วงอาบตั ิ ในสิกขาบทน้ี มีข้อที่พึงพิจารณาคืออาการท่ีล่วงอาบัติ ว่าจะเป็น อาบตั ดิ ้วยสาเหตุใดบา้ ง ท่านแสดงไว้วา่ (๑) สรา้ งเป็นส่วนตวั คอื สรา้ งไวอ้ ยูเ่ ฉพาะตัว ไม่ใหเ้ ปน็ ของสงฆ์ (๒) ขอเขามาเอง คอื ขอชา่ ง ขออุปกรณ์ ขอวสั ดกุ อ่ สร้าง เปน็ ต้น จากคนอน่ื (๓) สร้างไมไ่ ดป้ ระมาณ คอื สร้างเกินประมาณไป (๔) ไม่ให้สงฆแ์ สดงพน้ื ที่ให้ คือ ลงมอื สร้างเองโดยอสิ ระ (๕) พ้ืนท่ีทส่ี รา้ งมีอนั ตราย ไมม่ ชี านรอบ เมอ่ื สรา้ งดว้ ยอาการอยา่ งนเี้ ปน็ อาบตั ิ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทขอ้ น้ี สิกขาบทนี้ มุ่งให้ภิกษุตั้งอยู่ในความสันโดษ มักน้อย มีที่อยู่เรียบ ง่าย พอเป็นท่ีมุงบังหลบหนาวหลบร้อน หลบเหลือบยุง และป้องกันฝนและ แดดได้เท่านั้น จะได้ไม่ไปรบกวนชาวบ้านให้ช่วยเหลือเพื่อสร้างกุฎีท่ีอยู่ของ ตนด้วยประการต่างๆ พระวินัยบัญญัติ 125 www.kalyanamitra.org

สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพื่อมิให้ภิกษุสร้างความเดือดร้อนให้แก่ ชาวบา้ น ดว้ ยการขออปุ กรณส์ ง่ิ ของในการกอ่ สรา้ ง ทรงแสดงไวว้ า่ โภคสมบตั ิ ของคฤหัสถ์รวบรวมได้ยาก แม้ได้มาแล้วก็ยังยากที่จะเฝ้ารักษา ไฉนจึงได้ มีการวิงวอนออกปากขอเขาหลายคร้ังหลายคราว การกระท�ำเช่นนั้นไม่เป็น ไปเพื่อความเลื่อมใสของเหล่าชนที่ยังไม่เล่ือมใส หรือเพื่อความลื่อมใสยิ่งขึ้น ของเหล่าชนท่ีเลื่อมใสแล้ว เป็นการกระท�ำเพ่ือความไม่เลื่อมใสและเพ่ือความ กลายเป็นอ่นื ไปโดยแท้ ว่าดว้ ยเรอื่ งการขอ การขออุปกรณ์ส่ิงของจากชาวบ้านมาเพ่ือกุฎีท่ีอยู่ของตน จัดเป็น อาบตั ิ แต่ในกรณที ม่ี กี ารขอเพ่อื มาสร้างกุฎี วหิ าร อุโบสถ ศาลา หรือปราสาท (อาคารมียอดเป็นชั้นๆ) เป็นของกลางสงฆ์ โดยมีเจ้าภาพทั้งหมดหรือเป็น ส่วนๆ ไม่เป็นอาบัติ และสามารถขอวัสดุอุปกรณ์ ขอหัตถกรรมหรือแรงงาน จากชาวบา้ นได้ ในขอ้ นข้ี อยกตัวอย่างคำ� อธิบายในอรรถกถาสมนั ตปาสาทกิ า ตอนทว่ี า่ ด้วยสิกขาบทน้ี มาเปน็ ตัวอย่าง ทา่ นวา่ “บรรดาคนและหตั ถกรรมนน้ั จะขอคนโดยความขาดมลู (ขาดคา่ ตอบแทน) ไม่ควร จะขอว่า พวกท่านจงให้คนเพ่ือประโยชน์แก่การ รว่ มมอื เพอื่ ประโยชนแ์ กก่ ารทำ� งาน ควรอยู่ หตั ถกรรมทค่ี นพงึ กระทำ� ทา่ นเรยี กวา่ แรงงาน จะขอแรงงาน ควรอยู่ หตั ถกรรมนนั้ เวน้ การงาน ส่วนตัวของพวกพรานเนื้อและชาวประมงเป็นต้นเสีย ที่เหลือเป็น กัปปิยะคือควรท้ังหมด ... การที่ภิกษุจะขอหัตถกรรมบางอย่างกะ ชาวนาหรอื คนอน่ื แมเ้ ปน็ ผขู้ วนขวายในการงานของตน ซง่ึ ถอื เครอ่ื ง อปุ กรณม์ ผี าลและไถเปน็ ตน้ กำ� ลงั เดนิ ไปเพอื่ ไถนากด็ ี เพอื่ หวา่ นหรอื เก่ียวกด็ ี สมควรแท้ ... 126 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ก็ถ้าว่า ภิกษุประสงค์จะให้สร้างปราสาท พึงไปยังบ้านพวก สลักหินเพ่ือต้องการเสาแล้วขอหัตถกรรม ให้เขาหามเสาหินไปให้ ถ้าเขายอมหามไปถวาย หรือถวายเสาท่ีเข็นมาเก็บไว้แล้ว ควรอยู่ ถ้าเขากล่าวว่าพวกตนไม่มีเวลา ขอให้ใช้คนอื่นขนไปเถิด พวกตน จะให้ค่าแรงขนเอง จะให้คนขนไปแล้วบอกให้เขาจ่ายค่าจ้างขน เสาหนิ กค็ วร โดยอบุ ายเดยี วกนั นี้ การทภ่ี กิ ษจุ ะไปยงั สำ� นกั ของพวกชา่ งศลิ ป์ เพื่อประสงค์ของทุกสิ่งที่ต้องการ เช่นไปยังส�ำนักช่างไม้เพ่ือขอไม้ มาสร้างปราสาท ไปยังส�ำนักช่างอิฐเพ่ือขออิฐมาก่อสร้าง เป็นต้น แลว้ ขอหตั ถกรรม สมควรอยู่ และจะรับเอาของท่ีตนได้ ด้วยอำ� นาจ การขอหัตถกรรมก็ดี ด้วยการเพ่ิมให้ค่าบ�ำเหน็จเบ้ียเล้ียง สมควร ทกุ อยา่ ง และเมอื่ จะใหน้ ำ� ของมาจากปา่ ควรใหน้ ำ� ของทง้ั หมดทใ่ี ครๆ ไม่ได้คุ้มครอง (ไม่ได้หวงแหน) มา” อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษสุ รา้ งเงอ้ื มผา (๒) ภกิ ษสุ รา้ งถำ�้ (๓) ภกิ ษสุ รา้ งกฎุ หี ญา้ (๔) ภกิ ษสุ รา้ งกฎุ ี เพอ่ื ภกิ ษอุ นื่ คอื สรา้ งเปน็ ของสงฆ์ (๕) ภกิ ษสุ รา้ งอาคารอน่ื ทกุ อยา่ ง นอกจาก อาคารเป็นท่ีอยู่ของตน (๖) ภิกษุวิกลจริต (๗) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือ ผเู้ ปน็ อาทิกมั มกิ ะ ได้แก่ พวกภกิ ษุชาวเมอื งอาฬวี วินตี วตั ถุ ในสกิ ขาบทน้ี ไมม่ เี ร่ืองทท่ี รงตดั สนิ แล้วปรากฏอยใู่ นพระไตรปิฎก พระวินัยบัญญัติ 127 www.kalyanamitra.org

สงั ฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๗ ค�ำแปลพระบาลีในพุทธบัญญตั ิ “อน่ึง ภิกษุจะให้สร้างวิหารใหญ่ อันมีเจ้าภาพสร้าง ถวาย สร้างเป็นของส่วนตัว พึงน�ำภิกษุท้ังหลายไปเพื่อ แสดงพน้ื ทใี่ ห้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พงึ แสดงพน้ื ทอี่ นั ไมม่ อี นั ตราย มชี านโดยรอบ หากภกิ ษใุ หส้ รา้ งวหิ ารใหญ่ ในทม่ี อี นั ตราย ไม่มีชานโดยรอบ หรือไม่น�ำภิกษุทั้งหลายไปเพ่ือแสดง พ้ืนท่ีให้ เป็นสงั ฆาทเิ สส” เนอื้ ความย่อในหนังสือนวโกวาท “ถ้าที่อยู่ท่ีจะสร้างนั้นมีทายกเป็นเจ้าของ ท�ำให้เกิน ประมาณน้ันได้ แตต่ ้องใหส้ งฆแ์ สดงทีใ่ ห้ก่อน ถ้าไมใ่ หส้ งฆ์ แสดงทีใ่ ห้ก่อน ตอ้ งสังฆาทเิ สส” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำวา่ วหิ าร หมายถึงทอี่ ยูซ่ ึง่ โบกฉาบปนู ไว้เฉพาะภายในกต็ าม ซงึ่ โบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายนอกก็ตาม ซึ่งโบกฉาบปูนไว้ทั้งภายในทั้งภายนอก ก็ตาม คำ� วา่ ใหญ่ หมายถึงทอ่ี ยู่ทม่ี เี จ้าของ มเี จา้ ภาพสร้าง คำ� วา่ สรา้ ง คอื ทำ� เองกต็ าม ใช้ให้คนอน่ื ทำ� กต็ าม 128 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

คำ� ทเี่ หลอื ทงั้ หมด เหมอื นกบั คำ� ในสงั ฆาทเิ สส สกิ ขาบทที่ ๖ ตา่ งกนั เพียงสรา้ งกฎุ ีกบั สรา้ งวหิ ารเท่านน้ั สร้างค้าง สรา้ งตอ่ ในพระไตรปฎิ ก ไดแ้ สดงอาการทตี่ อ้ งอาบตั ใิ นเพราะวหิ ารทสี่ รา้ งคา้ ง ไว้ ดังนี้ (๑) วิหารทตี่ นสร้างค้างไว้ ภิกษุสรา้ งต่อจนสำ� เร็จด้วยตนเอง ตอ้ ง อาบัติสงั ฆาทิเสส (๒) วิหารที่ตนสร้างค้างไว้ ภิกษุให้คนอ่ืนสร้างต่อจนส�ำเร็จ ต้อง อาบัติสงั ฆาทเิ สส (๓) วิหารที่คนอื่นสร้างค้างไว้ ภิกษุสร้างต่อจนส�ำเร็จด้วยตนเอง ตอ้ งอาบัติสังฆาทเิ สส (๔) วิหารทค่ี นอน่ื สร้างคา้ งไว้ ภิกษุให้คนอ่นื สร้างตอ่ จนส�ำเรจ็ ตอ้ ง อาบัตสิ งั ฆาทเสส ในกรณเี หล่านีห้ มายถงึ สรา้ งต่อเพ่อื เป็นท่อี ยู่ของตัวเอง ถา้ สรา้ งต่อ เพื่อประโยชน์แกส่ งฆ์ ไมเ่ ปน็ อาบัติ เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อน้ี สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพ่ือมิให้ภิกษุฟุ้งเฟ้อ ไม่ประมาณตน สร้างท่ีอยู่อาศัยส่วนตนใหญ่โตเกินประมาณ  อันเป็นการรบกวนชาวบ้านให้ เดอื ดร้อนโดยใช่เหตุ พระวินัยบัญญัติ 129 www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ีก็เหมือนกับสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๖ ขา้ งตน้ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุสรา้ งเง้อื มผา (๒) ภิกษสุ ร้างถำ�้ (๓) ภิกษุสร้างกฎุ ีหญ้า (๔) ภกิ ษสุ ร้าง วหิ ารเพอ่ื ภกิ ษอุ นื่ (๕) ภกิ ษภุ กิ ษสุ รา้ งอาคารอนื่ ทกุ อยา่ ง นอกจากอาคารเปน็ ท่ี อยู่ของตน (๖) ภกิ ษุผู้เปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ผ้เู ป็นอาทกิ ัมมิกะ ไดแ้ ก่ พระฉนั นะ วินตี วตั ถุ ในสิกขาบทน้ี ไม่มีเรื่องทที่ รงตัดสนิ แลว้ ปรากฏอยู่ในพระไตรปฎิ ก สงั ฆาทิเสส สิกขาบทท่ี ๘ ค�ำแปลพระบาลใี นพทุ ธบญั ญตั ิ “อนงึ่ ภกิ ษใุ ดขดั ใจ มโี ทสะ ไมแ่ ชม่ ชนื่ ใสค่ วาม ภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ อนั หามลู มไิ ด้ ดว้ ยหมายวา่ ทำ� ไฉนเราจงึ จะยงั เธอใหพ้ น้ ไปจากพรหมจรรยน์ ไี้ ด้ ครั้นสมัยอ่ืนแตน่ น้ั อันผใู้ ดผหู้ นง่ึ เชอ่ื กต็ าม ไม่เชื่อ ก็ตาม แตอ่ ธกิ รณ์นนั้ เปน็ เรอื่ งหามูลมิได้ และภิกษุ ยืนยันความผดิ อยู่ เปน็ สังฆาทิเสส” 130 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เนือ้ ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษใุ ดโกรธเคอื ง แกลง้ โจทภกิ ษอุ น่ื ดว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ ไม่มมี ูล ต้องสงั ฆาทิเสส” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำว่า ขัดใจ มีโทสะ คอื โกรธ ไมพ่ อใจ ไม่ชอบใจ แคน้ ใจ เจบ็ ใจ ค�ำว่า ไม่แช่มช่นื คือ ไม่แชม่ ช่นื เพราะความโกรธน้นั เพราะโทสะนั้น เพราะความไม่พอใจน้ัน เพราะความไม่ชอบใจนน้ั ค�ำว่า อันหามูลมิได้ คือ อันตนหรือคนอื่นไม่ได้เห็น ไม่ได้ได้ยิน ไม่ ได้สงสัย ค�ำว่า ใสค่ วาม ไดแ้ ก่ โจทเองก็ตาม สง่ั ให้โจทกต็ าม ค�ำว่า ท�ำไฉนจึงจะยังเธอให้พ้นไปจากพรหมจรรย์นี้ได้ คือ ให้พ้น ไปจากภาวะภกิ ษุ ให้พน้ ไปจากสมณธรรม ให้พน้ ไปจากศีลขันธ์ ให้พน้ ไปจาก คณุ คือตบะ ค�ำวา่ อันผใู้ ดผู้หนึง่ เชื่อกต็ าม ไมเ่ ชอื่ กต็ าม คอื ภกิ ษนุ นั้ ถกู ใสค่ วาม ดว้ ยเรอื่ งใด จะมคี นเชอ่ื เรอื่ งนนั้ กต็ าม ไมม่ คี นเชอื่ ไมม่ ใี ครพดู ถงึ ภกิ ษนุ น้ั กต็ าม ค�ำวา่ อธิกรณ์ ได้แก่ อธิกรณ์ ๔ อยา่ งคือ วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิ- กรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ กิจจาธิกรณ์ คำ� วา่ และภกิ ษยุ นื ยนั ความผดิ อยู่ คอื ภกิ ษกุ ลา่ วยอมรบั วา่ ขา้ พเจา้ พดู พล่อยๆ พดู เทจ็ พูดไมจ่ รงิ ข้าพเจ้าไมร่ ู้ได้พูดไปแลว้ พระวินัยบัญญัติ 131 www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook