อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุสง่ั ให้คนอืน่ ให้ ไมไ่ ดใ้ หเ้ อง (๒) ภกิ ษุวางให้ (๓) ภกิ ษุให้ของไล้ทา ภายนอก (๔) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๕) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ได้แก่ พระอานนท์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ ค�ำแปลพระบาลีที่เปน็ พุทธบญั ญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดกล่าวชวนภิกษุอย่างนี้ว่า มาเถิดคุณ พวกเราจักเข้าไปยังหมู่บ้านหรือนิคมเพื่อบิณฑบาต ด้วยกัน จะให้เขาถวายแก่เธอก็ตาม ไม่ให้ถวายก็ตาม แล้วส่งเธอกลับไปด้วยค�ำว่า กลับไปเถิดคุณ เราพูด หรือนั่งกับคุณไม่มีความผาสุก เราพูดหรือน่ังคนเดียว มีความผาสุกกว่า ท�ำความหมายใจอย่างนี้เท่านั้นให้ เป็นเหตุ ไมม่ อี ะไรอ่นื เป็นปาจิตตีย์” เนอื้ ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุชวนภิกษุอ่ืนไปเท่ียวบิณฑบาตด้วยกัน หวังจะ ประพฤตอิ นาจาร ไลเ่ ธอกลับมาเสยี ตอ้ งปาจติ ตยี ์” 282 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
อธบิ ายความโดยยอ่ สิกขาบทนี้มุ่งถึงภิกษุส่ังให้ภิกษุท่ีตนชักชวนไปบิณฑบาตด้วยกัน กลับกอ่ น ดว้ ยอ้างวา่ ตนไมม่ คี วามผาสกุ เมือ่ ภกิ ษนุ ัน้ อย่ดู ้วย ด้วยเจตนาท่ีจะ ประพฤติอนาจารไมส่ มควรบางอย่าง เช่น ม่งุ จะกระซกิ กระซี้ มุง่ จะเลน่ หวั มงุ่ จะนั่งในทล่ี ับ เป็นตน้ กับมาตุคาม เมอื่ ภกิ ษุน้นั อยดู่ ้วยจะท�ำได้ไม่สะดวก จึงไล่ เธอกลับเสยี เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทน้ี สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือมิให้ภิกษุเสียมารยาทในเมื่อชวนภิกษุ อื่นไปด้วยแล้วให้กลับเสียกลางคัน ด้วยต้องการจะประพฤติไม่เหมาะไม่ควร และเป็นการป้องกันภิกษุท่ีไปด้วยมิให้ต้องกลับกลางคัน ทั้งที่ยังบิณฑบาตไม่ ไดแ้ ละกลับมาฉันในโรงครัวไมท่ ัน อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุส่งกลบั ไปดว้ ยคดิ ว่า เราสองรูปรวมกนั จักไม่พอฉัน (๒) ภกิ ษุสง่ กลบั ไป ด้วยคดิ วา่ เธอพบเหน็ ของที่มรี าคาแพงแล้วจักเกดิ ความโลภขน้ึ (๓) ภิกษุส่ง กลับไปด้วยคิดว่า เธอเห็นมาตุคามแล้วจักเกิดความก�ำหนัดขึ้น (๔) ภิกษุส่ง กลบั ไปด้วยสัง่ วา่ เธอจงน�ำขา้ วยาคหู รอื ข้าวสวย ของเคย้ี วหรอื ของฉนั ไปให้ แกภ่ กิ ษผุ อู้ าพาธ แกภ่ กิ ษผุ ตู้ กคา้ งอยู่ หรอื แกภ่ กิ ษผุ เู้ ฝา้ วหิ าร (๕) ภกิ ษไุ มม่ งุ่ จะ ประพฤตอิ นาจาร ส่งกลับไปในเมอื่ มกี ิจจ�ำเป็น (๖) ภิกษผุ ูว้ ิกลจรติ (๗) ภกิ ษุ ผู้เปน็ ต้นบญั ญตั ิ หรือภกิ ษุอาทิกัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พระอปุ นันทศากยบตุ ร พระวินัยบัญญัติ 283 www.kalyanamitra.org
อเจลกวรรค สิกขาบทท่ี ๓ ค�ำแปลพระบาลที เี่ ป็นพทุ ธบัญญัติ “อน่ึง ภิกษุใดน่ังแทรกแซงในตระกูลท่ีมีคนอยู่กัน สองคน เปน็ ปาจติ ตีย”์ เนอ้ื ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุส�ำเร็จการน่ังแทรกแซง ในสกุลที่ก�ำลังบริโภค อาหารอยู่ ตอ้ งปาจติ ตีย์” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า มคี นอย่กู ันสองคน คือ มสี ตรกี บั บรุ ษุ ทั้งสองคนยงั อยใู่ นห้อง ทง้ั สองคนยังไมป่ ราศจากราคะ คำ� วา่ แทรกแซง คอื เขา้ ไปนง่ั อยูใ่ นห้องเดียวกับคนสองคนนน้ั ตน้ เหตขุ องเร่ืองน้ีคือ ภิกษุไปเยย่ี มสหายเก่า เขา้ ไปนัง่ คุยกันในห้อง นอนของเขา สหายไดบ้ อกใหภ้ รรยาจดั อาหารถวาย เมอ่ื ฉนั เสรจ็ แลว้ สามีได้ บอกภิกษุว่านิมนต์กลับได้แล้วเพราะฉันเสร็จแล้ว ภรรยาของเขาทราบทันที ว่าสามีเกิดราคะต้องการร่วมเพศข้ึน จึงบอกภิกษุว่าให้อยู่ก่อนเพ่ือแกล้งสามี สามีก็บอกให้ภิกษุกลับอีกเป็นคร้ังที่สองท่ีสาม ภิกษุก็ไม่ยอมกลับ ท�ำให้สามี ไม่พอใจ จึงออกจากห้องไปบอกภิกษุท้ังหลายว่า ภิกษุรูปหนึ่งน่ังอยู่ในห้อง นอนกับภรรยาของตน แม้ตนนิมนต์ให้กลับก็ไม่ยอมกลับ ภิกษุท้ังหลายน�ำ เร่ืองถวายพระพทุ ธองค์ จึงทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทน้ี 284 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อเตือนสติภิกษุให้รักษามารยาทและให้ ระมัดระวังในการเข้าไปในบ้านของคฤหัสถ์ ไม่ควรอยู่นานจนเกินงาม ควรรู้ กาลเทศะ แม้จะเปน็ บ้านของคนสนทิ เพราะอาจไม่ถูกกาลเทศะข้นึ มาได้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษนุ ่งั ในเรือนหลงั ใหญ่ ไมห่ า่ งบานประตเู กินชว่ งแขน (๒) ภิกษุน่ังในเรือน หลงั เลก็ ไม่เลยกลางหอ้ ง (๓) ภกิ ษมุ เี พือ่ นอยู่ด้วย (๔) คนท้งั สองออกไปแลว้ (๕) คนท้ังสองปราศจากราคะแล้ว (๖) ภิกษุนั่งในสถานท่ีอันมิใช่ห้องนอน (๗) ภกิ ษผุ ูว้ กิ ลจรติ (๘) ภิกษุผูเ้ ปน็ ต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระอปุ นันทศากยบตุ ร อเจลกวรรค สิกขาบทท่ี ๔ คำ� แปลพระบาลีท่เี ป็นพทุ ธบัญญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดนั่งในอาสนะก�ำบังในที่ลับกับมาตุคาม เปน็ ปาจิตตีย”์ เน้ือความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจติ ตีย”์ พระวินัยบัญญัติ 285 www.kalyanamitra.org
อธบิ ายความโดยย่อ คำ� วา่ อาสนะกำ� บงั คอื อาสนะทปี่ ดิ บงั ดว้ ยฝา บานประตู เสอ่ื ลำ� แพน ม่านบงั ต้นไม้ เสา ฉางข้าว อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ค�ำว่า ที่ลับ คือ เป็นท่ีลับตา ซึ่งไม่มีใครมองเห็นภิกษุหรือมาตุคาม ขยิบตา ยักคิ้ว หรือผงกศีรษะได้ และเป็นท่ีลับหู ซ่ึงไม่มีใครสามารถจะได้ยิน ถ้อยคำ� ท่ีพดู กันตามปกติได้ การน่ังในอาสนะก�ำบังในท่ีลับกับมาตุคามเช่นน้ี เป็นการเส่ียงต่อ ข้อครหาและเสี่ยงต่อการต้องอาบัติข้ออื่นอีกส่วนหนึ่ง แม้การน่ังในเสนาสนะ เช่นน้ันกับมาตุคามหลายคน ก็เป็นอาบัติ เพราะผู้หญิงหลายคนก็คุ้มอาบัติ ไมไ่ ด้ เว้นไว้แต่มผี ู้ชายผูร้ เู้ ดียงสานง่ั อยูด่ ้วย จงึ ไม่เป็นอาบตั ิ เจตนารมณข์ องสิกขาบทนี้ สิกขาบทน้ีบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ภิกษุผู้ ลืมตัวไปน่ังในที่เช่นน้ันกับมาตุคาม ท�ำให้ภิกษุรู้ตัวและระวังตัวอยู่ตลอดเวลา วา่ ไมเ่ หมาะไม่ควรท่ีจะประพฤตเิ ชน่ นนั้ อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสาคนใดคนหน่ึงอยู่เป็นเพื่อน (๒) ภิกษุยืน มิได้น่ัง (๓) ภิกษุมไิ ด้มุ่งท่ลี บั (๔) ภกิ ษุน่งั ส่งใจไปในอารมณ์อน่ื (๕) ภิกษุผู้วกิ ลจรติ (๖) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ไดแ้ ก่ พระอุปนนั ทศากยบุตร 286 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๕ คำ� แปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พุทธบญั ญัติ “อน่ึง ภิกษุใดน่ังในที่ลับกับมาตุคามสองต่อสอง เป็นปาจติ ตีย”์ เนอ้ื ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษุน่ังในทแี่ จง้ กบั ผูห้ ญงิ สองตอ่ สอง ต้องปาจิตตยี ์” อธบิ ายความและเจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี ค�ำว่า ท่ีลับ ในสิกขาบทนี้ มุ่งเฉพาะที่ลับหู มิได้มุ่งที่ลับตา ดังนั้น ในนวโกวาทจึงแสดงว่าน่ังในที่แจ้ง ซ่ึงสามารถมองเห็นกิริยาอาการ แต่ไม่ สามารถได้ยินเสียงที่พูดกันได้ และเจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ีก็เหมือนกับ สกิ ขาบทกอ่ น อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสาคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน (๒) ภิกษุยืน มิได้น่ัง (๓) ภิกษุมิไดม้ ุ่งท่ลี ับ (๔) ภกิ ษุน่งั ส่งใจไปในอารมณอ์ ่ืน (๕) ภกิ ษผุ ้วู กิ ลจรติ (๖) ภิกษุผ้เู ป็นต้นบญั ญัติ หรอื ภิกษอุ าทกิ ัมมกิ ะ ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตร พระวินัยบัญญัติ 287 www.kalyanamitra.org
อเจลกวรรค สิกขาบทท่ี ๖ ค�ำแปลพระบาลีท่เี ป็นพทุ ธบัญญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดรับนิมนต์แล้ว มีภัตตาหารอยู่แล้ว ไม่ บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่เท่ียวไปในตระกูลท้ังหลายก่อนฉัน ก็ดี หลังฉันก็ดี เป็นปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย สมัยใน เรื่องนั้นดังน้ีคือ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวท่ีท�ำ จวี ร น้ีเป็นสมัยในเรื่องนั้น” เนอ้ื ความย่อในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะท้ัง ๕ แล้ว จะไปในท่ีอ่ืน จากที่นิมนต์นั้น ในวลาก่อนฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้วก็ดี ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนจึงจะไปได้ ถ้าไม่ลาก่อน เท่ียวไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือจีวรกาล และ ท�ำจวี ร” อธิบายความโดยยอ่ คำ� วา่ มภี ตั ตาหารอยูแ่ ล้ว คือ มีอาหารท่ีรับนมิ นตเ์ ขาไวแ้ ล้ว การปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทนคี้ อื เมอื่ ภกิ ษรุ บั นมิ นตไ์ วแ้ ลว้ หา้ มไมใ่ หไ้ ปท่ี อนื่ กอ่ นเวลาฉนั หรอื หลงั เวลาฉนั ในทที่ เี่ ขานมิ นตไ์ ว้ หากจำ� เปน็ กส็ ามารถไปได้ แต่ต้องบอกภิกษุในวัดท่ีรบั นิมนต์ด้วยกนั ก่อนไป เพ่อื จะได้รู้วา่ ไปไหน จะกลับ มาทันฉันในที่นิมนตห์ รือไม่ เป็นตน้ เวน้ ไวแ้ ต่ไม่มีภิกษอุ ื่นอยูใ่ นวัด 288 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนี้ สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ปอ้ งกนั ภกิ ษผุ รู้ บั นมิ นตแ์ ลว้ ทำ� ตวั เลอ่ื น เปอ้ื นไปทอ่ี น่ื กอ่ นเวลาฉนั แลว้ ไปในงานชา้ หรอื ไปทอี่ น่ื เสยี ทำ� ใหต้ ามตวั ไมพ่ บ เมื่อจ�ำเป็นต้องไป ต้องบอกภิกษุที่รับนิมนต์ด้วยกันหรือภิกษุในวัดให้รับรู้ จะ ได้รู้ว่าไปไหน หรือแม้หลังฉันในท่ีนิมนต์แล้ว ก็ห้ามไปที่อื่นก่อนบอกลา เพ่ือ ป้องกันมใิ หไ้ ปทอ่ี ืน่ โดยไมม่ ใี ครรู้ อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษเุ ข้าไปในสมยั (๒) ภิกษุบอกลาภิกษซุ ึ่งมีอยแู่ ล้วจึงเขา้ ไป (๓) ไม่ได้บอก ลาภกิ ษซุ งึ่ ไมม่ อี ยแู่ ลว้ เขา้ ไป (๔) เดนิ ทางผา่ นเรอื นผอู้ นื่ (๕) เดนิ ทางผา่ นชาน โดยรอบเรือน (๖) ไปอารามอื่น (๗) ไปสู่ที่อยู่อาศัยภิกษุณี (๘) ไปสู่ส�ำนัก เดียรถีย์ (๙) ไปโรงฉนั (๑๐) ไปเรือนทเี่ ขานิมนต์ (๑๑) ไปเพราะมอี นั ตราย (๑๒) ภิกษุผู้วิกลจริต (๑๓) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทกัมมิกะ ได้แก่ พระอุปนันทศากยบตุ ร อเจลกวรรค สิกขาบทท่ี ๗ คำ� แปลพระบาลีที่เปน็ พทุ ธบัญญัติ “ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธพึงยินดีการปวารณาด้วยปัจจัย เพียง ๔ เดือน เว้นไว้แต่การปวารณาอีก เว้นไว้แต่ การปวารณาเป็นนิจ ถ้าเธอยินดีย่ิงกว่าน้ัน เป็น ปาจติ ตยี ”์ พระวินัยบัญญัติ 289 www.kalyanamitra.org
เน้ือความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ถา้ เขาปวารณาดว้ ยปจั จยั สเี่ พยี ง ๔ เดอื น พงึ ขอเขาได้ เพยี งกำ� หนดนนั้ เทา่ นน้ั ถา้ ขอใหเ้ กนิ กวา่ กำ� หนดนน้ั ไป ตอ้ ง ปาจติ ตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตเ่ ขาปวารณาอกี หรอื ปวารณาเปน็ นติ ย”์ อธิบายความโดยยอ่ สิกขาบทนี้ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้มิได้อาพาธรับปัจจัย ๔ คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคลิ านเภสัช ตามท่ีเขาปวารณาไว้ได้ ๔ เดอื น เมอื่ ครบ ๔ เดือนแล้ว หากขอเขาและรับมา ตอ้ งอาบตั ิ เว้นไว้แตเ่ ขาปวารณาซ้�ำ ก็ขอเขาต่อได้อีก ๔ เดือน หรือเขาปวารณาเป็นนิจคือตลอดชีวิตก็ขอเขาได้ ตลอดชวี ติ เจตนารมณข์ องสิกขาบทนี้ สิกขาบทน้ีทรงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ใหภ้ ิกษรุ ู้จกั ประมาณ มคี วามเพียงพอ ไมข่ อและรับเกนิ เลยไปมาก อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษขุ อเภสัชตามทเ่ี ขาปวารณาไว้ (๒) ขอในระยะเวลาตามท่เี ขาปวารณาไว้ (๓) บอกขอว่า ท่านปวารณาพวกอาตมาด้วยเภสัชเหล่าน้ี แต่พวกอาตมา ต้องการเภสัชชนดิ นีแ้ ละชนดิ นี้ (๔) บอกขอวา่ ระยะเวลาท่ีทา่ นได้ปวารณาไว้ 290 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
ได้ผา่ นพ้นไปแลว้ แต่อาตมายงั ต้องการเภสัช (๕) ขอตอ่ ญาติ (๖) ขอต่อคน ปวารณา (๗) ขอเพ่ือภิกษุรูปอื่น (๘) ซ้ือมาด้วยทรัพย์ของตน (๙) ภิกษุผู้ วิกลจริต (๑๐) ภกิ ษุผู้เป็นตน้ บัญญัติ หรือภกิ ษอุ าทิกัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พวกภิกษุ ฉัพพคั คยี ์ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๘ คำ� แปลพระบาลีทเ่ี ป็นพทุ ธบัญญัติ “อน่ึง ภิกษุใดไปเพ่ือจะดูกองทัพท่ียกออกไปแล้ว เป็นปาจติ ตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตม่ ีเหตุทสี่ มควร” เน้อื ความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน ต้อง ปาจิตตยี ์ เวน้ ไว้แต่มีเหต”ุ อธิบายความโดยย่อ ค�ำวา่ กองทพั หมายถึงกองกำ� ลังทหาร ๔ เหล่า คือกองทหารช้าง กองทหารมา้ กองทหารรถ กองทหารราช หรอื เรยี กสน้ั ๆ วา่ กองมา้ รถคชพล การไปดูกองทัพนั้นหมายถึงการไปดูด้วยความอยากรู้ ด้วยความ คกึ คะนอง โดยไมม่ เี หตจุ ำ� เปน็ จงึ เปน็ อาบตั ิ เวน้ แตม่ เี หตอุ นั สมควร เชน่ มที หาร ในกองทัพท่ีเป็นญาติเกิดล้มป่วยหรือบาดเจ็บต้องการพบภิกษุ อย่างน้ีก็ไปได้ หรือในกรณีกองทัพผ่านวัดไป หรือเห็นกองทัพในระหว่างทาง ภิกษุเห็นเข้า พระวินัยบัญญัติ 291 www.kalyanamitra.org
โดยไม่จงใจ ไม่เป็นอาบัติ หรือภิกษุถูกจับเป็นเชลย จ�ำต้องไปกับกองทัพ ก็ ไม่เป็นอาบัติ เจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ี สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือให้ภิกษุมีความระมัดระวังในการไป ดูกองทัพ เพราะอาจบังคับใจท่ีฮึกเหิมคึกคะนองไม่อยู่ แสดงกิริยาอาการไม่ เหมาะแก่ภาวะออกมา หรือวพิ ากษ์วจิ ารณ์กองทพั ในทางไม่เหมาะสม อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุอยู่ในวัดท่ีมองเห็น (๒) กองทัพยกผ่านมายังสถานท่ีภิกษุยืน น่ัง หรือ นอน (๓) ภิกษุเดินสวนทางไปเห็นเข้า (๔) มีเหตุที่สมควร (๕) มีอันตราย (๖) ภิกษุผู้วิกลจริต (๗) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พวกภกิ ษุฉพั พคั คยี ์ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๙ ค�ำแปลพระบาลที ่ีเป็นพุทธบญั ญัติ “อน่ึง ปัจจัยบางอย่างท่ีจะไปยังกองทัพพึงมีแก่ ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นพึงอยู่ในกองทัพได้เพียง ๒-๓ คืน ถา้ อยู่เกนิ กวา่ นน้ั เปน็ ปาจติ ตยี ”์ 292 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เน้อื ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ถา้ เหตทุ ตี่ อ้ งไปมอี ยู่ พงึ ไปอยใู่ นกองทพั ไดเ้ พยี ง ๓ คนื ถ้าอยู่ใหเ้ กนิ กว่ากำ� หนดน้นั ตอ้ งปาจิตตีย์” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำวา่ ปัจจัยบางอย่าง หมายถึง เหตุจำ� เป็น กิจจำ� เปน็ ตอ้ งไป เชน่ ไปเย่ยี มญาตทิ บี่ าดเจ็บทเี่ ขาขอร้อง เมอ่ื มีเหตุจำ� เป็นเช่นนกี้ ็สามารถพักอยูใ่ น กองทัพได้เพียง ๓ คนื ถา้ เกนิ กวา่ น้ันจงึ เปน็ อาบัติ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทน้ี สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ใหภ้ กิ ษไุ มท่ ำ� ตนใหเ้ ปน็ ภาระของทหารที่ ตนไปพกั ดว้ ย เพราะภาระของทหารในกองทพั มมี าก และตอ้ งระมดั ระวงั ตลอด เวลา ไม่อาจเผลอประมาทได้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุอยู่ ๒-๓ คืน (๒) ภกิ ษอุ ยูไ่ ม่ถึง ๒-๓ คืน (๓) ภกิ ษุอยู่ ๒ คืนแลว้ ออกไปกอ่ นอรณุ ของคืนที่ ๓ ขนึ้ มา แล้วกลับมาอยูใ่ หม่ (๔) ภิกษุอาพาธพัก แรมอยู่ (๕) ภิกษุอยู่ด้วยกิจธุระของภิกษุอาพาธ (๖) ภิกษุตกอยู่ในกองทัพ ที่ถูกข้าศึกล้อมไว้ (๗) ภิกษุมีเหตุบางอย่างขัดขวางไว้ (๘) มีอันตราย (๙) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๑๐) ภิกษผุ ้เู ป็นต้นบญั ญัติ หรอื ภกิ ษุอาทกิ ัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พวก ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ พระวินัยบัญญัติ 293 www.kalyanamitra.org
อเจลกวรรค สกิ ขาบทที่ ๑๐ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ป็นพุทธบญั ญัติ “ถ้าภิกษุพักอยู่ในกองทัพ ๒-๓ คืน ไปสนามรบก็ดี ที่พักพลก็ดี ท่ีจัดขบวนทัพก็ดี ไปดูการรวมพลก็ดี เป็น ปาจิตตยี ”์ เนอื้ ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ในเวลาทอ่ี ยใู่ นกองทพั ตามกำ� หนดนนั้ ถา้ ไปดเู ขารบกนั ก็ดี หรือดูเขาตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่ เหลา่ เสนาทจ่ี ดั เป็นกระบวนแลว้ กด็ ี ตอ้ งปาจิตตีย”์ อธบิ ายความและเจตนารมณ์ของสกิ ขาบทนี้ สกิ ขาบทน้มี ่งุ ให้ภกิ ษผุ จู้ �ำเปน็ ต้องอยู่ในกองทพั นน้ั อย่เู ฉพาะในที่พัก ไมเ่ ดนิ เพน่ พา่ นไปดทู น่ี น่ั ทน่ี ี่ ดว้ ยความอยากรอู้ ยากเหน็ ซง่ึ อาจเปน็ อนั ตรายได้ เช่นไปในท่ีท่ีเขาก�ำลังรบกัน และเป็นการไม่งามเมื่อไปปรากฏตัวในขณะท่ีเขา ก�ำลังจดั กระบวนทพั อยู่ อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษอุ ยู่ในวัดท่มี องเหน็ (๒) การรบพ่งุ มาปรากฏยงั สถานที่ภกิ ษุยนื นง่ั หรือ 294 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
นอน (๓) ภิกษเุ ดนิ สวนทางไปเหน็ เข้า (๔) เมอื่ มกี จิ จำ� เปน็ เดินไปเห็นเข้า (๕) มอี นั ตราย (๖) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๗) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไดแ้ ก่ พวกภกิ ษฉุ ัพพัคคีย์ วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค ว่าด้วยดมื่ สุรา สุราปานวรรค สิกขาบทท่ี ๑ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ป็นพุทธบัญญตั ิ “เปน็ ปาจติ ตยี ์ ในเพราะดม่ื สรุ าเมรยั ” เนอื้ ความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษดุ ื่มน้�ำเมา ตอ้ งปาจิตตยี ์” อธบิ ายความโดยย่อ คำ� วา่ สรุ า ไดแ้ ก่ นำ้� เมาทกี่ ลนั่ แลว้ โดยกลน่ั ใหม้ รี สเมาดว้ ยการหมกั แปง้ เชอ้ื ราแล้วกลน่ั ตามกรรมวธิ จี นได้น�้ำเมาตามทตี่ ้องการ หรือนำ�้ เมาท่ผี สม ด้วยเคร่อื งปรุง หรือสุราทที่ �ำด้วยแปง้ ท่ีท�ำดว้ ยขนม ทท่ี �ำดว้ ยข้าวสกุ เป็นตน้ พระวินัยบัญญัติ 295 www.kalyanamitra.org
คำ� วา่ เมรยั ไดแ้ ก่ นำ�้ เมาทเ่ี กดิ จากการหมกั หรอื แช่ หรอื นำ�้ เมาทม่ี ไิ ด้ กล่นั เหมอื นสุรา หรือน�้ำหมกั ดองผลไม้ นำ้� ผกั ดองนำ�้ ผ้ึง น้ำ� ผักดองน�้ำออ้ ยงบ หรอื นำ้� อนั มรี สหวานตามธรรมชาติ เชน่ นำ�้ ตาลสด ทเ่ี ขาปรงุ ขนึ้ ดว้ ยเครอ่ื งปรงุ พิเศษ เมื่อล่วงเวลาไป รสหวานน้ันกจ็ ะกลายเป็นรสเมา ภกิ ษดุ ม่ื นำ้� เมาสองอยา่ งคอื สรุ าหรอื เมรยั น้ี จะมเี จตนาหรอื ไมม่ เี จตนา กต็ าม เป็นอาบัติ ของมนึ เมาตามปกตใิ นปจั จบุ นั เชน่ กญั ชา ฝน่ิ เฮโรอนี ยาเสพตดิ อื่นๆ ที่ผิดกฎหมาย ท่านสงเคราะห์เข้าในสิกขาบทนี้ เม่ือภิกษุสูบหรือฉีด เขา้ ไปในรา่ งกาย เป็นอาบัติ และมีโทษทางบ้านเมอื งตามกฎหมาย ของทม่ี ใิ ชน่ ำ้� เมา แตม่ ีสี กลน่ิ รสเหมอื นนำ�้ เมา เชน่ ยาดองบางอย่าง ไมเ่ ปน็ อาบัติ น�้ำเมาทเ่ี ขาเจอื ลงในแกง ในเนอ้ื หรอื ในของอืน่ เพื่อให้ชรู สหรอื กนั เสีย ไม่ถึงกับท�ำให้เมา ฉันหรือด่ืมของน้ัน ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าจงใจเจือหรือ ผสมลงไป โดยเจตนาเพ่อื ใหเ้ กิดความเมา เป็นอาบตั ิ เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ มใิ หภ้ กิ ษเุ ปน็ นกั ดมื่ สรุ าเหมอื นคฤหสั ถ์ เปน็ การปอ้ งกนั ภกิ ษมุ ใิ หเ้ มาเสยี สติ อนั เปน็ กริ ยิ าไมส่ มควร ทำ� ใหห้ มดยางอาย ไม่มีความเคารพย�ำเกรงในผู้ใด แม้จะเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และเพื่อ ประกาศให้รู้ว่าแม้มิได้ดื่มสุราก็สามารถด�ำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขและบรรลุ ธรรมได้ 296 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุดมื่ นำ้� ทม่ี ีสี กลิ่น รสเหมือนน�ำ้ เมา แตไ่ มใ่ ช่นำ�้ เมา (๒) ภกิ ษดุ ม่ื น�้ำเมาท่ี เจอื อยู่ในแกง (๓) ภกิ ษดุ ื่มน้�ำเมาที่เจืออยู่ในเนื้อ (๔) ภกิ ษดุ ม่ื น�้ำเมาทเี่ จอื อยู่ ในน�้ำมัน (๕) ภิกษุดื่มน้�ำอ้อยท่ีดองมะขามป้อม (๖) ภิกษุด่ืมยาดองอริฏฐะ (ยาดองชนดิ หนงึ่ ซง่ึ ดองดว้ ยมะขามปอ้ ม มสี ี กลน่ิ และรสคลา้ ยนำ�้ เมา) ซง่ึ มใิ ช่ น้�ำเมา (๗) ภิกษุผวู้ ิกลจรติ (๘) ภิกษุผ้เู ป็นต้นบญั ญัติ หรือภกิ ษอุ าทกิ ัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พระสาคตะ สรุ าปานวรรค สิกขาบทที่ ๒ คำ� แปลพระบาลที เี่ ปน็ พุทธบัญญัติ “เปน็ ปาจิตตีย์ ในเพราะใชน้ ้วิ มอื จ”้ี เน้อื ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษจุ ้ีภิกษุ ต้องปาจิตตีย”์ อธิบายความโดยย่อ ภกิ ษุใช้นิว้ มอื จี้ภกิ ษุดว้ ยกันด้วยต้องการใหภ้ ิกษุน้นั หวั เราะ เปน็ การ ล้อเล่นหรือหยอกเย้าเพื่อความสนุก เป็นกิริยาไม่สมควร เป็นอาบัติในเพราะ เหตนุ ี้ แตใ่ นกรณที ไ่ี ปถกู ตอ้ งตวั ของภกิ ษผุ เู้ ปน็ โรคนโี้ ดยไมร่ หู้ รอื ไมเ่ จตนา ทำ� ให้ ภกิ ษุน้นั เกิดจกั จ้หี วั เราะขน้ึ มา ไม่เป็นอาบตั ิ พระวินัยบัญญัติ 297 www.kalyanamitra.org
เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทน้ี สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือป้องกันมิให้ภิกษุหยอกล้อกันเล่นจน เกนิ เลย ทำ� ใหภ้ กิ ษทุ เ่ี ปน็ โรคบา้ จหี้ รอื ผถู้ กู จแ้ี สดงอาการสะดงุ้ ดน้ิ รนหรอื หวั เราะ กระดิกกระเด้ียไปโดยอัตโนมตั ิ อันอาจท�ำให้หายใจไมท่ ันแลว้ ถึงมรณภาพได้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทนี้ ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุไม่ประสงค์จะให้หัวเราะไปถูกต้องเข้าเม่ือมีกิจท่ีจ�ำเป็น (๒) ภิกษุผู้ วิกลจริต (๓) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พวกภิกษุ ฉัพพัคคยี ์ สุราปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ ค�ำแปลพระบาลีท่ีเปน็ พทุ ธบญั ญัติ “เป็นปาจติ ตยี ์ ในเพราะการเล่นน�้ำ” เน้อื ความย่อในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุวา่ ยน�้ำเล่น ต้องปาจิตตยี ”์ 298 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า เล่นน�้ำ ได้แก่ ลงไปในน�้ำลึกพ้นข้อเท้าข้ึนไป โดยมีความ ประสงค์จะรื่นเริง แล้วด�ำลงกด็ ี ผุดข้ึนกด็ ี วา่ ยไปกด็ ี ช่ือวา่ เลน่ นำ�้ ถา้ มคี วามจำ� เปน็ ไมป่ ระสงคจ์ ะเลน่ นำ�้ ลงไปในนำ้� ดำ� ผดุ ดำ� วา่ ยเพอ่ื งม หาของท่ตี กลงไปในนำ�้ หรือตอ้ งการจะข้ามฟากโดยไมม่ ีทางอื่น หรือในคราว มีอันตราย อยา่ งนีไ้ ม่เปน็ อาบตั ิ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุหาความสนุกแก่ตน จนเกนิ เหตุ หรอื อา้ งเหตวุ า่ ตอ้ งการออกกำ� ลงั กายดแู ลสขุ ภาพใหแ้ ขง็ แรง และ เป็นการปอ้ งกนั มใิ ห้ชาวบา้ นต�ำหนโิ พนทะนาวา่ ท�ำไมเ่ หมาะไม่สมควร อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุไมป่ ระสงค์จะเลน่ เมื่อมกี ิจจ�ำเปน็ ลงในนำ้� แล้วด�ำลงกด็ ี ผุดขึ้นก็ดี ว่าย ไปกด็ ี (๒) ภกิ ษจุ ะข้ามฟาก ดำ� ลงก็ดี ผดุ ข้นึ กด็ ี ว่ายไปกด็ ี (๓) ภกิ ษวุ ่ายใน คราวมอี นั ตราย (๔) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๕) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าท-ิ กัมมกิ ะ ได้แก่ พวกภกิ ษุสตั ตรสวคั คยี ์ พระวินัยบัญญัติ 299 www.kalyanamitra.org
สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทที่ ๔ ค�ำแปลพระบาลที ีเ่ ป็นพุทธบญั ญัติ “เปน็ ปาจติ ตีย์ ในเพราะความไมเ่ อื้อเฟือ้ ” เนือ้ ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษแุ สดงความไม่เอือ้ เฟอ้ื ในวนิ ยั ต้องปาจติ ตีย์” อธบิ ายความโดยยอ่ คำ� วา่ ไม่เอ้ือเฟ้ือ คือ ไมเ่ อาใจใส่ ไม่สนใจ ไม่เชื่อฟงั ไมป่ ฏิบัติ ในพระวนิ ยั ทา่ นแยกความไม่เอื้อเฟื้อไว้ ๒ อยา่ ง คือ (๑) ความไมเ่ ออ้ื เฟือ้ ในบคุ คล คอื เมอ่ื มีภิกษุอืน่ วา่ กล่าวตกั เตอื น ด้วยเจตนาดี โดยถูกต้อง กลับดูถูกภิกษุนั้น หรือไม่สนใจฟัง หรือโต้แย้งโดย ไมเ่ คารพนบั ถอื (๒) ความไม่เอื้อเฟื้อในธรรม คือ เมื่อมีภิกษุอ่ืนว่ากล่าวตักเตือน โดยชอบธรรมโดยชอบวินัย กลับพูดกระทบธรรมวินัยว่า ท�ำไฉนธรรมวินัย ข้อน้ีจงึ จะสญู หายอนั ตรธานไปเสีย เปน็ ตน้ แล้วไมส่ นใจท่จี ะปฏิบตั ิตามธรรม ตามวนิ ัย ประพฤติไม่เอ่อื เฟ้อื อยา่ งน้ี ยอ่ มตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ 300 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เจตนารมณข์ องสิกขาบทนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื้อมิให้ภิกษุเป็นผู้ดื้อดึง ได้รับค�ำแนะน�ำ ตกั เตอื นแลว้ ใหม้ คี วามเคารพยำ� เกรงผแู้ นะนำ� ไมด่ ถู กู ดหู มนิ่ หรอื เหยยี ดหยาม ผแู้ นะน�ำ และเพ่ือให้ถือปฏิบตั ติ ามธรรมวนิ ัยเปน็ ประมาณ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษกุ ลา่ วชเี้ หตวุ า่ อาจารยท์ งั้ หลายของพวกกระผมเรยี นมาอยา่ งนี้ สอบถาม มาอย่างน้ี (๒) ภิกษุผู้วิกลจริต (๓) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิ- กัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พระฉนั นะ สรุ าปานวรรค สิกขาบทท่ี ๕ ค�ำแปลพระบาลที ี่เปน็ พุทธบญั ญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดหลอกใหภ้ กิ ษุกลัว เปน็ ปาจิตตยี ”์ เน้อื ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษหุ ลอนภกิ ษใุ หก้ ลวั ผี ตอ้ งปาจิตตีย”์ พระวินัยบัญญัติ 301 www.kalyanamitra.org
อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำวา่ หลอกใหก้ ลัว ไดแ้ ก่ การแสดงกิริยาอาการ การนำ� รปู เสยี ง เป็นตน้ มาใหด้ ู และการพดู ถงึ สิง่ หรือเร่ืองต่างๆ โดยต้องการใหภ้ กิ ษอุ ่ืนตกใจ เกิดความกลวั เชน่ กลัวผี กลวั โจร กลวั สตั ว์รา้ ย กลวั อนั ตรายตา่ งๆ ตามที่ ได้เหน็ หรือไดฟ้ งั การแสดงและการพูดอยา่ งนั้น ภกิ ษอุ ่ืนเหน็ แลว้ ฟังแลว้ จะกลวั หรอื ไมก่ ลัวตามเจตนาผแู้ สดงผูพ้ ูดก็ตาม เปน็ อาบตั ิ แต่ในกรณีท่ีผู้แสดงอาการหรือพูดอย่างน้ันโดยไม่มีเจตนาจะหลอก ใหก้ ลวั หรอื ใหต้ กใจ แต่ภิกษุอน่ื กลัวและตกใจไปเอง ไม่เป็นอาบัติ เจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ มใิ หภ้ กิ ษกุ ลนั่ แกลง้ หรอื ทำ� รา้ ยภกิ ษอุ นื่ โดยจงใจหลอกใหก้ ลวั ใหต้ กใจ ด้วยความสนุกหรอื หยอกเย้าเลน่ เพราะการ แสดงอาการและการพดู เชน่ นนั้ ทำ� ใหภ้ กิ ษอุ นื่ เชอ่ื และตกใจหรอื กลวั ได้ เมอื่ เกดิ อาการอยา่ งนน้ั ก็ไม่กลา้ ทีจ่ ะไปหรอื ท�ำอะไรได้ตามลำ� พัง อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุไมม่ ุ่งใหก้ ลวั น�ำรูปก็ดี เสยี งกด็ ี กล่ินก็ดี รสกด็ ี โผฏฐพั พะกด็ ีเข้าไปใกลๆ้ หรือบอกเล่าถึงทางกันดารเพราะโจร ทางกันดารเพราะสัตว์ร้าย ทางกันดาร เพราะปศี าจ (๒) ภิกษผุ วู้ กิ ลจริต (๓) ภกิ ษผุ ู้เปน็ ต้นบัญญัติ หรอื ภกิ ษอุ าทิ- กมั มิกะ ได้แก่ พวกภกิ ษฉุ พั พัคคยี ์ 302 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
สุราปานวรรค สกิ ขาบทที่ ๖ คำ� แปลพระบาลีทเ่ี ป็นพุทธบญั ญัติ “อน่งึ ภกิ ษุใดมิใชผ่ ู้อาพาธ ม่งุ การผิง ก่อเองก็ดี ให้ กอ่ กด็ ี ซ่งึ ไฟ เปน็ ปาจติ ตยี ์ เวน้ ไว้แต่มีเหตุทส่ี มควร” เน้ือความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุไม่เป็นไข้ ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ใช้ให้ผู้อ่ืนติด กด็ ี เพือ่ จะผงิ ตอ้ งปาจิตตีย์ ตดิ เพอื่ เหตุอน่ื ไม่เปน็ อาบตั ิ” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำวา่ มุง่ การผงิ หมายถึงต้องการจะใหร้ า่ งกายอบอ่นุ สิกขาบทนี้หมายถึงการที่ภิกษุต้องการจะผิงไฟ จึงก่อไฟเองหรือให้ คนอื่นก่อแล้วผิง ทรงห้ามมิให้ผิงไฟด้วยวิธีอย่างน้ี เพราะเมื่อถึงฤดูหนาว สามารถไปผงิ ไฟในทจี่ ดั ไวส้ ำ� หรบั ผงิ ทเ่ี รยี กวา่ เรอื นไฟได้ หรอื ผงิ ไฟทค่ี นอน่ื เขา กอ่ ไวแ้ ลว้ ได้ และทรงอนญุ าตไวว้ า่ ภกิ ษอุ าพาธซงึ่ เมอื่ ไมไ่ ดผ้ งิ ไฟจะไมส่ บาย ก็ ก่อไฟผิงได้ หรือเมอ่ื เหตุจ�ำเป็นเช่นเปน็ ไข้ขึน้ มา จ�ำต้องผิงไฟ กต็ ดิ ไฟผงิ เองได้ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทนี้ สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ปอ้ งกนั อนั ตรายจากไฟทภี่ กิ ษกุ อ่ ไฟผงิ แลว้ อาจเผลอทงิ้ ไวจ้ ากไป ไฟอาจลกุ ไหมก้ ฏุ แิ ละศาลาซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื นไม้ พระวินัยบัญญัติ 303 www.kalyanamitra.org
มงุ ด้วยหญ้าได้ หรือเพอื่ ปอ้ งกันมิใหส้ ตั ว์ซึ่งอาจมีอยใู่ นทอ่ นไมห้ รอื กองไมเ้ ป็น อนั ตราย หรือเพ่ือปอ้ งกนั ไฟไหมป้ ่าโดยร้เู ทา่ ไมถ่ ึงการณก์ ไ็ ด้ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษอุ าพาธ (๒) ภิกษุผิงไฟทผ่ี ้อู ่ืนก่อไว้ (๓) ภิกษุผิงถ่านไฟทีป่ ราศจากเปลว (๔) ภิกษตุ ามประทีปกด็ ี กอ่ ไฟใช้อย่างอื่นกด็ ี ติดไฟในเรือนก็ดี เพราะมีเหตุที่ สมควร (๕) ภิกษุผิงไฟในคราวมีอันตราย (๖) ภิกษุผู้วิกลจริต (๗) ภิกษุผู้ เปน็ ต้นบัญญัติ หรอื ภกิ ษุอาทิกมั มกิ ะ ได้แก่ ภกิ ษุทง้ั หลายที่พกั อย่ทู ีส่ วนสัตว์ เภสกลาวัน สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทที่ ๗ ค�ำแปลพระบาลีทเี่ ปน็ พุทธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดไม่ถึงคร่ึงเดือน อาบน้�ำ เป็นปาจิตตีย์ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั สมยั ในเรอื่ งนน้ั ดงั น้ี คอื หนง่ึ เดอื นครงึ่ ทา้ ย ฤดรู ้อน หนึง่ เดอื นแรกของฤดูฝน รวมเป็นสองเดือนครง่ึ เป็นคราวท่ีร้อน เป็นคราวที่อบอ้าว คราวอาพาธ คราว การงาน คราวเดินทางไกล คราวถูกลมฝน นี้เป็นสมัย ในเรอื่ งนน้ั ” 304 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เนอ้ื ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษอุ ยใู่ นมชั ฌมิ ประเทศ คอื จงั หวดั กลางแหง่ ประเทศ อินเดยี ๑๕ วนั จึงอาบน้�ำได้หนหนงึ่ ถา้ ยังไม่ถงึ ๑๕ วัน อาบน้�ำ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจ�ำเป็น ในปัจจันต- ประเทศ เช่นประเทศเรา อาบนำ้� ได้เป็นนติ ย์ ไม่เป็นอาบตั ”ิ อธิบายความโดยยอ่ สิกขาบทเร่ืองการอาบน้�ำน้ีเป็นที่สับสนมากพอสมควร ด้วยการ ตีความว่าทรงให้ภกิ ษอุ าบนำ้� ได้ ๑๕ วันต่อครงั้ แทท้ จี่ ริงภกิ ษุสามารถอาบน้�ำ ไดต้ ลอด เพราะทรงมขี อ้ ยกเวน้ ไวใ้ หม้ ากมาย สกิ ขาบทนมี้ มี ลู เหตมุ าจากการที่ พระเจา้ พมิ พสิ ารเสดจ็ ไปทต่ี โปทาซงึ่ เปน็ บอ่ นำ้� รอ้ นอนั อยไู่ มไ่ กลจากวดั เวฬวุ นั เพ่ือสรงสนานพระเศียรเกล้า แต่ภิกษุทั้งหลายอาบน้�ำกันอยู่ก่อน จึงทรงรอ จนเย็นภิกษุจึงอาบน�้ำกันเสร็จ ท�ำให้เสด็จกลับเข้าประตูเมืองไม่ทัน ต้องพัก อยู่นอกเมอื ง พระพุทธองค์จึงทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทนี้ไว้ ต่อมา ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาบน้�ำได้ตลอดในช่วงหน่ึงเดือนคร่ึง ท้ายฤดูร้อน และอีกหนึ่งเดือนแรกของฤดูฝน และทรงอนุญาตพิเศษแก่ภิกษุ ผู้อาพาธ ภกิ ษทุ ่ที ำ� งาน ภิกษเุ ดินทางไกล ภกิ ษุท่ถี ูกลมฝน ใหอ้ าบน�้ำได้แม้ยงั ไมถ่ งึ ๑๕ วัน ที่ทรงห้ามดังน้ี พิเคราะห์ดูแล้วทรงห้ามเฉพาะการอาบน้�ำท่ีตโปทา เพราะเปน็ บอ่ นำ้� รอ้ นแหง่ เดยี วของเมอื งทผี่ คู้ นไปอาบนำ้� กนั มาก การทภ่ี กิ ษจุ ะ เบียดผู้คนอาบน้�ำย่อมไม่สะดวกและไม่เหมาะ จึงทรงห้ามไว้ แต่ทรงอนุญาต ไว้พิเศษในช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝน ต่อไปก็เม่ือเข้าฤดูฝนก็สามารถสรงน้�ำ พระวินัยบัญญัติ 305 www.kalyanamitra.org
ได้ในที่ทั่วไป ในฤดูหนาวไม่จ�ำเป็นต้องสรงน�้ำมากนัก ส่วนในท่ีอื่นที่เรียกกัน ว่าปัจจันตชนบท คือเมืองหรือประเทศรอบนอกจากเมืองราชคฤห์ เช่นใน ประเทศไทย ทรงอนญุ าตให้ภกิ ษอุ าบน�้ำไดโ้ ดยเสรี ไม่มีก�ำหนดวนั เจตนารมณ์ของสิกขาบทนี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือป้องกันมิให้ภิกษุไปอาบน้�ำปะปนกับ ชาวบ้านโดยเสรี เพราะเป็นภาพท่ีไม่งามเมื่ออาบน้�ำ และเป็นการให้ความ สะดวกแก่ชาวบ้านที่ต้องรอให้ภิกษุสรงน�้ำเสร็จก่อนจึงเข้าไปอาบน้�ำ เพราะ ชาวบ้านผมู้ ีศรทั ธาย่อมไม่กลา้ ท่ีจะเข้าไปอาบน�้ำพรอ้ มกับภกิ ษุ อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษอุ าบนำ�้ ในสมยั (๒) ภกิ ษอุ าบนำ�้ ในเวลาครง่ึ เดอื น (๓) ภกิ ษขุ า้ มฟากพราง อาบน้�ำ (๔) ภกิ ษุอาบน�้ำในปัจจันตชนบททุกๆแหง่ (๕) ภิกษอุ าบน้�ำเพราะมี อนั ตราย (เชน่ ถูกผึ้งไลต่ ่อย รีบลงไปในนำ้� แลว้ ด�ำนำ้� หนี) (๖) ภิกษุผ้วู กิ ลจรติ (๗) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไดแ้ ก่ ภกิ ษทุ อี่ ยเู่ มอื งราชคฤห์ 306 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
สรุ าปานวรรค สิกขาบทที่ ๘ คำ� แปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พุทธบญั ญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดได้จีวรใหม่มา พึงถือเอาวัตถุส�ำหรับ ทำ� ใหเ้ สียสี ๓ อยา่ งอย่างใดอยา่ งหนึง่ คือ ของสีเขียว ครามก็ได้ ของสีตมก็ได้ ของสีด�ำคล้�ำก็ได้มาท�ำให้ เสียสี ถ้าภิกษุไม่เถือเอาวัตถุส�ำหรับท�ำให้เสียสี ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหน่ึงมาท�ำให้เสียสี ใช้จีวรใหม่ เป็น ปาจิตตีย”์ เน้ือความย่อในหนังสือนวโกวาท “ภกิ ษไุ ดจ้ วี รใหมม่ า ตอ้ งพนิ ทดุ ว้ ยสี ๓ อยา่ ง คือ เขยี ว คราม โคลน ด�ำคลำ้� อยา่ งใดอย่างหนงึ่ ก่อน จึงหม่ ได้ ถ้า ไมท่ ำ� พนิ ทกุ ่อนแลว้ นุ่งห่ม ตอ้ งปาจติ ตีย์” อธิบายความโดยยอ่ เมอื่ ภกิ ษไุ ดผ้ า้ จวี รใหมม่ า ไมว่ า่ จะเปน็ ผา้ นงุ่ ผา้ หม่ ผา้ สงั ฆาฏิ ผา้ อาบ นำ�้ ฝน ใหท้ ำ� ใหเ้ สยี สดี ว้ ยการทำ� พนิ ทกุ ปั ปะ คอื ทำ� จดุ กลมๆ หรอื วงกลม ขนาด ใหญเ่ ทา่ แววตานกยงู ขนาดเลก็ เทา่ หลงั ตวั เรอื ด ไวท้ ม่ี มุ ผา้ หรอื ทชี่ ายผา้ ทง้ั น้ี เพ่ือทำ� ให้ผ้านน้ั เศรา้ หมองมีจดุ ดา่ งในตวั ผ้า และเป็นเหตุให้สามารถจำ� ผา้ ของ ตัวเองท่ีท�ำพินทุกัปปะไว้ ในกรณีที่ผ้าไปรวมปะปนกันในกรณีบางอย่าง และ เมื่อท�ำพินทุกัปปะไว้ หากเครื่องหมายท่ีท�ำไว้เลือนหายไปหรือจางไป ไม่ต้อง พระวินัยบัญญัติ 307 www.kalyanamitra.org
ท�ำพินทุกัปปะใหม่ หรือน�ำผ้าที่ยังมิได้ท�ำพินทุกัปปะไปเย็บติดกับผ้าที่ท�ำ พนิ ทกุ ปั ปะไวแ้ ลว้ ใชส้ อย หรอื ใชผ้ า้ ปะ ใชผ้ า้ ทาบกบั ผา้ ใหม่ ไมต่ อ้ งทำ� พนิ ทกุ ปั ปะ เพราะผ้าปะและผ้าทาบกม็ ีคตเิ หมือนพนิ ทุกัปปะ สีท่ีใช้ในการท�ำพินทุกัปปะทรงก�ำหนดไว้ ๓ สี คือสีเขียวคราม สี โคลน สดี ำ� คลำ้� ปัจจุบนั นยิ มใช้ดนิ สอด�ำเปน็ เคร่ืองมือในการท�ำพนิ ทุกัปปะ เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้ผ้าจีวรที่ได้มาใหม่มีจุดด่างพร้อย เหมือนเป็นผ้าจวี รเก่า มรี าคาตกลงไป ไมเ่ ป็นทตี่ ้องการของพวกโจร และเพอื่ ให้เปน็ เครอื่ งหมายส�ำหรับจดจ�ำจีวรของตนไดใ้ นเวลาท่จี วี รอยู่ปะปนกัน อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษถุ อื เอาแลว้ ใชน้ งุ่ หม่ (๒) ภกิ ษใุ ชจ้ วี รทมี่ เี ครอื่ งหมายพนิ ทกุ ปั ปะหายสญู ไป (๓) ภิกษุใช้จีวรท่ีมีร่องรอยท�ำเคร่ืองหมายพินทุกัปปะไว้แต่จางไป (๔) ภิกษุ ใชจ้ วี รทย่ี งั มไิ ดท้ ำ� เครอื่ งหมายพนิ ทกุ ปั ปะแตเ่ ยบ็ ตดิ กบั จวี รทที่ ำ� พนิ ทกุ ปั ปะแลว้ (๕) ภกิ ษใุ ชผ้ ้าปะ (๖) ภกิ ษุใช้ผ้าทาบ (๗) ภกิ ษใุ ชผ้ า้ ดาม (๘) ภิกษผุ ู้วกิ ลจรติ (๙) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไดแ้ ก่ ภกิ ษหุ ลายรปู ทเี่ ดนิ ทาง จากเมอื งสาเกตไปเมืองสาวัตถี 308 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
สุราปานวรรค สิกขาบทท่ี ๙ ค�ำแปลพระบาลีท่เี ป็นพุทธบญั ญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดวิกัปจีวรเองแก่ภิกษุก็ดี ภิกษุณีก็ดี สิกขามานาก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี แล้วใช้จีวร ซ่งึ ยงั มิไดถ้ อนก่อนน้ัน เป็นปาจติ ตยี ”์ เนื้อความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษวุ กิ ปั จวี รแกภ่ กิ ษหุ รอื สามเณรแลว้ ผรู้ บั ยงั มไิ ดถ้ อน นุง่ ห่มจีวรน้ัน ตอ้ งปาจิตตยี ์” อธิบายความโดยยอ่ คำ� วา่ วกิ ปั หมายถงึ การทำ� ใหเ้ ปน็ เจา้ ของสองเจา้ ของ คอื ขอใหภ้ กิ ษุ หรือสหธรรมิกอ่ืนร่วมเป็นเจ้าของด้วย อันท�ำให้ไม่ต้องอาบัติในเพราะเก็บ อติเรกจวี รไว้เกินก�ำหนดตามสิกขาบท เมื่อภิกษุวิกัปจีวรไว้กับภิกษุหรือสามเณรอื่นแล้ว ไม่ได้ถอนวิกัปคือ ไมไ่ ดบ้ อกแกค่ วู่ กิ ปั กอ่ นหรอื ควู่ กิ ปั ยงั ไมไ่ ดอ้ นญาตกอ่ นแลว้ ใชจ้ วี รนน้ั โดยความ มกั งา่ ยหรอื เห็นแก่ตัว เปน็ อาบัติ พระวินัยบัญญัติ 309 www.kalyanamitra.org
เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื มใิ หภ้ กิ ษเุ ปน็ ผมู้ กั งา่ ย ถอื โอกาสใชส้ อย จีวรที่วิกัปไว้โดยพลการ โดยไม่เกรงใจภิกษุหรือสามเณรคู่วิกัป อันเป็นการ แสดงมารยาททไี่ มส่ มควร และเปน็ การสรา้ งความบาดหมางแตกแยกตามมาได้ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุใช้สอยจีวรท่ีภิกษุผู้รับวิกัปคืนให้ หรือถือวิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัป (๒) ภิกษุผู้วิกลจริต (๓) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่พระ อปุ นันทศากยบุตร สุราปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ค�ำแปลพระบาลที ีเ่ ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดซอ่ นก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซ่ึงบาตรก็ดี จวี รกด็ ี ผ้าปูน่ังก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ โดย ทีส่ ดุ แมม้ ุ่งจะหวั เราะเลน่ เป็นปาจติ ตยี ”์ เน้ือความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุซ่อนบริขาร คือ บาตร จีวร ผ้าปูน่ัง กล่องเข็ม ประคดเอว สิ่งใดสิ่งหน่ึงของภิกษุอ่ืน ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตยี ”์ 310 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
อธบิ ายความและเจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนี้ หา้ มมิใหภ้ ิกษซุ ่อนหรอื ส่ังให้คนอน่ื ซ่อนบริขาร เช่นบาตร จวี ร ของใช้ ของภกิ ษอุ ่ืน เพ่อื ที่จะลอ้ เล่นดว้ ยความสนุก หรอื เพ่ือใหเ้ จ้าของ กระวนกระวายหา หรือเพอื่ การอื่นโดยเจตนา มิได้ค�ำนึงถงึ ความเดือดร้อนใจ ของภิกษุผูม้ ีบรขิ ารหายไป จงึ ทรงบญั ญตั หิ า้ มไว้ อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษไุ มป่ ระสงคจ์ ะหวั เราะเลน่ (๒) ภกิ ษเุ กบ็ บรขิ ารทผ่ี อู้ น่ื วางไวไ้ มด่ ี (๓) ภกิ ษุ เก็บไว้ด้วยหวังส่ังสอนแล้วจะคืนให้ (๔) ภิกษุผู้วิกลจริต (๕) ภิกษุผู้เป็นต้น บญั ญัติ หรือภิกษอุ าทิกมั มิกะ ไดแ้ กพ่ วกภกิ ษุฉัพพัคคีย์ วรรคท่ี ๗ สปั ปาณกวรรค ว่าด้วยสตั ว์มีชวี ิต สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ คำ� แปลพระบาลีทเ่ี ป็นพทุ ธบัญญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดจงใจฆา่ สัตว์ เป็นปาจิตตยี ์” พระวินัยบัญญัติ 311 www.kalyanamitra.org
เนอื้ ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภกิ ษแุ กล้งฆา่ สตั ว์ดริ ัจฉาน ต้องปาจิตตีย”์ อธิบายความและเจตนารมณ์ของสกิ ขาบทน้ี สกิ ขาบทนที้ รงบัญญตั ิไว้ เพ่ือมใิ ห้ภิกษทุ ำ� ร้ายรังแกสตั วด์ ริ จั ฉานทกุ ประเภท อนั แสดงถงึ ความขาดเมตตาในสตั ว์ มงุ่ หมายไปถงึ สตั วท์ กุ ประเภท ไม่ วา่ สัตว์ใหญห่ รือสตั ว์เลก็ เชน่ มด ยงุ เรือด เพราะสัตวท์ กุ ชนดิ ล้วนมชี วี ิต และ เปน็ ชีวติ ทมี่ คี ุณคา่ แมจ้ ะเลก็ นอ้ ยก็ตาม ฆา่ สตั วเ์ ทา่ กบั เป็นการพรากจากชวี ิต ในกรณีที่มิได้แกล้ง มิได้จงใจ เช่นเดินเหยียบตอนค่�ำมืด ท�ำส่ิงของ หล่นทับ หรอื กรณอี ืน่ ไมเ่ ป็นอาบัติ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษไุ ม่จงใจฆ่า (๒) ภกิ ษฆุ ่าดว้ ยไม่มีสติ (๓) ภกิ ษไุ มป่ ระสงค์จะให้ตาย (๔) ภิกษุผู้วิกลจริต (๕) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระ อทุ ายี สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ ค�ำแปลพระบาลที ่ีเปน็ พุทธบัญญัติ “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดรอู้ ยู่ บรโิ ภคนำ�้ มตี วั สตั ว์ เปน็ ปาจติ ตยี ”์ 312 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เนือ้ ความย่อในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษรุ อู้ ย่วู า่ น้�ำมีตัวสตั ว์ บริโภคน�้ำนั้น ต้องปาจติ ตีย”์ อธบิ ายความโดยย่อ คำ� วา่ บรโิ ภค หมายถงึ การใชส้ อยนำ้� ในทกุ กรณที ท่ี ำ� เปน็ ปกติ เชน่ ดมื่ อาบ ล้างบาตร ล้างภาชนะ ซักผ้า รวมถึงการลงไปลุยน้�ำในแหล่งธรรมชาติ ซ่ึงอาจเป็นเหตุให้ไปเหยียบย�่ำสัตว์ในน�้ำตายได้ ดังนั้นท่านจึงให้กรองน�้ำด้วย เครื่องกรองเสียกอ่ นน�ำไปดมื่ ส�ำหรับกรณีอื่นก็ต้องพิจารณาว่าในน�้ำมีตัวสัตว์หรือไม่ ท่ีกล่าวนี้ หมายถึงน�้ำท่ีมีตามธรรมชาติ เช่นน้�ำในบ่อ ในสระ ในหนอง หรือในแม่น�้ำ ล�ำคลอง แต่น้�ำประปาไม่จ�ำต้องกรองอีก เพราะผ่านกระบวนการกรองมา อย่างดแี ลว้ เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หภ้ กิ ษขุ าดความรอบคอบใน การด่ืมน�้ำ โดยเฉพาะน้�ำตามธรรมชาติ จะไดไ้ มท่ ำ� ลายสัตวเ์ ล็กท่อี ยู่ในน�้ำโดย ไม่ร้ตู ัว แม้จะดยู ุ่งยาก แตก่ แ็ สดงถงึ นำ�้ ใจในความเอื้อเฟือ้ พระวินยั อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษไุ ม่รวู้ ่าน้�ำมีตัวสัตว์บรโิ ภค (๒) ภิกษุรวู้ า่ น�ำ้ ไม่มตี วั สัตว์ คือรู้วา่ จกั ไมต่ าย เพราะการบริโภค (๓) ภิกษุผู้วิกลจริต (๔) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุ อาทิกมั มกิ ะ ไดแ้ ก่ พวกภกิ ษุฉัพพัคคีย์ พระวินัยบัญญัติ 313 www.kalyanamitra.org
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๓ ค�ำแปลพระบาลที ีเ่ ป็นพุทธบญั ญัติ “อน่ึง ภิกษุใดรู้อยู่ รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ตัดสินเสร็จแล้ว ตามธรรมเพ่อื ท�ำใหม่ เปน็ ปาจิตตยี ”์ เนอ้ื ความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุรู้อยู่ว่า อธิกรณ์น้ีสงฆ์ท�ำแล้วโดยชอบ เลิกถอน เสยี กลับทำ� ใหม่ ต้องปาจิตตยี ”์ อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า อธกิ รณ์ หมายถงึ เร่อื งทีเ่ กิดขึ้นแล้วสงฆ์จำ� ตอ้ งด�ำเนนิ การ มี ๔ เร่อื ง คือ (๑) วิวาทาธกิ รณ์ การเถยี งกันเกี่ยวกบั พระธรรมวินัย (๒) อนุวาทาธิกรณ์ การโจทหรอื การกลา่ วหากันดว้ ยอาบตั ิ (๓) อาปตั ตาธกิ รณ์ การตอ้ งอาบตั ิ การปรบั อาบตั ิ และการแกไ้ ข ให้พน้ จากอาบัติ (๔) กจิ จาธกิ รณ์ สงั ฆกจิ ตา่ งๆ ทสี่ งฆจ์ ะตอ้ งทำ� เชน่ ใหอ้ ปุ สมบท เป็นต้น สกิ ขาบทนหี้ มายถงึ การทภ่ี กิ ษไุ มพ่ อใจการตดั สนิ ของสงฆท์ ตี่ ดั สนิ ไป แล้ววา่ ไม่ถูกต้อง ไมเ่ ป็นธรรม ต้องดำ� เนินการใหม่ ตอ้ งตัดสนิ ใหม่ โดยทเี่ ร่ือง 314 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
น้ันตัดสินเสร็จสิ้นไปแล้วโดยถูกต้องตามหลักวินัย ตามหลักสัตถุศาสน์ เม่ือ ขอให้รื้อฟื้นมาทำ� ใหม่ จะดว้ ยเจตนาใดกต็ าม เป็นอาบัติ แต่ถ้าแน่ใจว่า การตัดสินน้ันไม่ชอบธรรม หรือผู้ตัดสินแตกแยกกัน หรอื ตดั สนิ ใหโ้ ทษแกผ่ ไู้ มค่ วรจะรบั โทษอยา่ งนนั้ เพราะไมส่ มเหตสุ มผล อยา่ งนี้ สามารถรอื้ ฟื้นได้ เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนี้ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หส้ งฆต์ อ้ งมาดำ� เนนิ การเรอื่ ง ทตี่ ดั สนิ ไปตามชอบธรรมแลว้ อกี อนั เปน็ การเสยี เวลาและเปน็ เหตใุ หต้ อ้ งรอ้ื ฟน้ื คดีความไม่รู้จบ เพราะหากสามารถท�ำได้คร้ังหนึ่งก็จะเป็นตัวอย่างให้ภิกษุ อื่นด�ำเนินรอยตาม และเป็นช่องทางให้ภิกษุผู้ไม่ชอบสงฆ์ที่มีหน้าท่ีพิจารณา อธิกรณแ์ จ้งให้รอื้ ฟื้นคดีใหม่ เพอ่ื ใหต้ อ้ งเสยี เวลาไปกับการรือ้ ฟน้ื หรือใหต้ ้อง วนุ่ วายไปกับเร่อื งนไี้ ม่สน้ิ สดุ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษรุ อู้ ยวู่ า่ ทำ� กรรมโดยไมเ่ ปน็ ธรรม หรอื ทำ� โดยสงฆท์ แ่ี ตกแยกกนั หรอื ทำ� แก่ บุคคลผู้ไม่ควรแกก่ รรม ดังน้ี ร้ือฟน้ื (๒) ภกิ ษผุ ู้วกิ ลจรติ (๓) ภิกษผุ ้เู ป็นตน้ บัญญตั ิ หรือภกิ ษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พวกภิกษฉุ พั พัคคยี ์ พระวินัยบัญญัติ 315 www.kalyanamitra.org
สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ ค�ำแปลพระบาลีท่ีเป็นพทุ ธบัญญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดรู้อยู่ ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ เป็นปาจิตตีย์” เนอ้ื ความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภกิ ษรุ อู้ ยู่ แกลง้ ปกปดิ อาบตั ชิ วั่ หยาบของภกิ ษอุ นื่ ตอ้ ง ปาจติ ตยี ์” อธิบายความโดยย่อ ค�ำว่า อาบัติช่ัวหยาบ หมายถึงอาบัติปาราชิก ๔ สิกขาบท และ สังฆาทิเสส ๑๓ สกิ ขาบท อาบตั ชิ ว่ั หยาบอย่างนี้ เม่ือภิกษุรู้ว่าภกิ ษุรปู นนั้ ต้องอาบัตชิ ่วั หยาบนี้ ทา่ นห้ามปกปดิ ไว้ จะดว้ ยเหตุผลวา่ คนทง้ั หลายรเู้ รอ่ื งน้ีเขา้ จกั โจทจนั กนั หรอื จกั บงั คบั ตนใหใ้ หก้ าร หรอื จกั ดา่ วา่ เรา หรอื จกั ตเิ ตยี นเรา หรอื จกั ทำ� ใหเ้ ราเกอ้ เขิน หรอื ด้วยเหตผุ ลอย่างใดก็ตาม จดั วา่ เปน็ การปกปดิ ท้ังส้ิน ในกรณีท่ีปกปิดไว้ด้วยเห็นว่าสงฆ์จะเกิดความบาดหมางทะเลาะกัน เกดิ สงั ฆเภท หรอื สรา้ งความรา้ วฉานใหเ้ กดิ ขนึ้ แกห่ มคู่ ณะ หรอื เหน็ วา่ ภกิ ษผุ มู้ ี อาบัติชั่วหยาบนนั้ เปน็ ผู้โหดรา้ ยหยาบคาย อาจทำ� อันตรายแกช่ ีวิตตนได้ หรอื ยงั ไมร่ วู้ า่ จะบอกใครดี เพราะยังมองไมเ่ ห็นผ้ทู ่ีจะรับฟงั และแกไ้ ขได้ อยา่ งน้ีแม้ ไมบ่ อกใครกไ็ ม่จัดว่ปกปิด และไม่เป็นอาบตั ิ 316 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุเพิกเฉยแบบเอาหูไป นาเอาตาไปไร่ แม้รู้เห็นว่าภิกษุรูปน้ันต้องอาบัติร้ายแรงก็นิ่งเฉย ไม่ยอมบอก ใคร ไม่กล้าที่จะเปิดเผย เป็นเหตุให้ผู้ต้องอาบัติด�ำรงตนอยู่ในเพศในหมู่คณะ ได้อยา่ งสขุ สบาย และกล้าทจ่ี ะทำ� ความผดิ เชน่ นนั้ หรืออยา่ งอ่ืนอกี เพราะไมม่ ี ผู้ใดสนใจเอาความ จุดมุง่ หมายคือตอ้ งกล้าเปดิ เผย เพ่อื ท�ำหม่คู ณะให้บริสุทธ์ิ เปน็ เน้ือนาบุญอันยอดเย่ียมแทจ้ ริง อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษไุ มบ่ อกดว้ ยเหน็ วา่ ความบาดหมางกด็ ี ความทะเลาะกด็ ี ความแกง่ แยง่ กด็ ี การวิวาทก็ดี จกั มแี ก่สงฆ์ (๒) ไมบ่ อกด้วยเห็นว่าจักเป็นสงั ฆเภท (ตามแตก แหง่ สงฆ์) และสังฆราชี (ความร้าวรานแหง่ สงฆ)์ (๓) ไมบ่ อกดว้ ยเห็นว่าภิกษุ นเ้ี ปน็ ผโู้ หดรา้ ยหยาบคาย จกั ทำ� อนั ตรายชวี ติ หรอื อนั ตรายพรหมจรรย์ (๔) ไม่ พบภิกษุอน่ื ท่ีสมควรจึงไมบ่ อก (๕) ไมต่ ้ังใจจะปกปดิ แต่ยังไม่ได้บอก (๖) ไม่ บอกดว้ ยเหน็ วา่ จกั ปรากฏเองดว้ ยการกระทำ� ของตน (๗) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๘) ภกิ ษผุ ู้เปน็ ต้นบัญญตั ิ หรอื ภิกษุอาทกิ ัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในวัดเชตวัน สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทที่ ๕ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พุทธบัญญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดรู้อยู่ อุปสมบทให้กุลบุตรผู้มีอายุ ต่�ำกว่า ๒๐ ปี กุลบุตรน้ันไม่เป็นอุปสัมบันด้วย ภิกษุ พระวินัยบัญญัติ 317 www.kalyanamitra.org
ท้ังหลายเหล่านั้นควรถูกต�ำหนิด้วย น้ีเป็นปาจิตตีย์ใน เรอ่ื งนนั้ ” เนือ้ ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภกิ ษรุ อู้ ยู่ เปน็ อปุ ชั ฌายะอปุ สมบทกลุ บตุ รผมู้ อี ายอุ อ่ น กวา่ ๒๐ ปี ตอ้ งปาจติ ตยี ”์ อธบิ ายความโดยยอ่ การใหอ้ ปุ สมบทคอื บวชใหเ้ ปน็ ภกิ ษนุ น้ั จดั เปน็ เรอื่ งใหญแ่ ละเปน็ เรอื่ ง ละเอียดอ่อน เพราะเป็นการสร้างบุคลากรที่น่าเคารพกราบไหว้ น่าศรัทธา เลอื่ มใส เปน็ บญุ เขตอนั ยอดเยยี่ มของชาวโลก จำ� ตอ้ งพถิ พี ถิ นั คดั กรองอยา่ งดี หากไมผ่ า่ นคณุ สมบตั กิ ไ็ มค่ วรอนญุ าตใหบ้ วชได้ เพราะเปน็ การสรา้ งความเสอ่ื ม เสียเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะเรื่องอายุผู้บวชจัดว่าส�ำคัญอันดับต้น ทรง กำ� หนดวา่ ตอ้ งมีอายุ ๒๐ ปขี ึ้นไป หากมีอายยุ งั ไม่ถงึ ๒๐ ห้ามอปุ สมบทให้ การนับอายุของผู้บวช พระอุปัชฌาย์ต้องเปน็ ผกู้ �ำหนดนับ ปัจจบุ นั ก�ำหนดว่าหากจ�ำเป็นให้นับอายุในครรภ์ได้ ๖ เดือน เมื่อบวกอายุหลังจากท่ี เกิดมาแล้วอีก ๑๙ ปี ๖ เดือนก็เต็ม ๒๐ ปี นับอย่างนี้ค่อนข้างล่อแหลม คือขาดแม้วนั เดียวกไ็ ม่ได้ ดังน้นั พระอปุ ชั ฌาย์ผู้เครง่ ครัดจงึ ไม่ยอมนับอายุใน ครรภ์ ๖ เดือน จะนับจากทเี่ กดิ มาแล้วเตม็ ๒๐ ปี กรณอี ยา่ งนีแ้ มจ้ ะหลงลมื นับขาดไปสกั ๕ วัน ๑๐ วนั กค็ ุม้ ได้ คอื ยงั เปน็ ภกิ ษไุ ดต้ ามเปน็ จริง 318 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
ส�ำหรับกุลบุตรผู้บวชเมื่ออายุไม่ถึง ๒๐ ปี แม้จะบวชไปนาน ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษา ก็ไม่อาจเป็นภิกษุหรือเป็นอุปสัมบันได้ แม้ว่าพอมีอายุ ครบ ๒๐ ปีแล้วก็เป็นภิกษุโดยอัตโนมัติ หาได้ไม่ ทั้งน้ีเพราะผิดมาต้ังแต่ต้น ซงึ่ จะผดิ โดยไมร่ หู้ รอื โดยเหตอุ ะไรกต็ าม กไ็ มอ่ าจเปน็ ภกิ ษไุ ดโ้ ดยประการทง้ั ปวง ในการบวชผมู้ อี ายไุ มถ่ งึ ๒๐ ปอี ยา่ งน้ี เปน็ อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กพ่ ระ อปุ ชั ฌาย์ พระคสู่ วดและพระอนั ดบั ทา่ นปรบั ทกุ กฏ แตเ่ มอื่ ผบู้ วชมอี ายไุ มถ่ งึ ๒๐ ปี สำ� คัญว่ามีอายถุ ึงแล้ว อปุ สมบทให้ ไม่เปน็ อาบัตแิ กพ่ ระอุปชั ฌาย์ แต่ผู้บวชไมอ่ าจเปน็ ภกิ ษไุ ด ้ เจตนารมณข์ องสิกขาบทนี้ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หภ้ กิ ษเุ ปน็ อปุ ชั ฌายอ์ ปุ สมบท ผมู้ ีอายไุ มถ่ ึง ๒๐ ปี เพราะถอื ว่ายังไม่เป็นผใู้ หญ่เต็มตวั ยงั ไมส่ ามารถอดทน ต่อหนาว รอ้ น ลม แดด ความหิวกระหาย ยงั ไม่สามารถทนทานตอ่ เหลือบ ยุง มด สตั ว์เล้อื ยคลาน และยงั ไมส่ ามารถอดทนต่อค�ำกล่าวร้าย ทุกขเวทนาทาง กายไดด้ เี ทา่ กบั ผมู้ อี ายเุ กนิ ๒๐ ปี เมอ่ื อดทนไมไ่ ดก้ จ็ ะทำ� ใหต้ วั ผบู้ วชเองเดอื ด รอ้ นกระวนกระวาย หรอื สรา้ งความเดอื ดรอ้ นรำ� คาญแกผ่ อู้ น่ื ได้ เมอื่ ประสบกบั ภาวะหนาวรอ้ น หรอื ความหิวกระหายข้นึ มาแล้วดนิ้ รนหรือร้องขอจากผอู้ น่ื แตใ่ นกรณบี วชใหเ้ ปน็ สามเณร ทา่ นกำ� หนดอายไุ วป้ ระมาณ ๗ ปขี นึ้ ไป จดั เปน็ การบรรพชา มใิ ชก่ ารอปุ สมบท และสามเณรเปน็ อนปุ สมั บนั ไมเ่ ปน็ อปุ สมั บนั เหมอื นภกิ ษุ จดั วา่ ยงั เปน็ เดก็ เมอื่ ขาดความอดทนและสรา้ งเดอื ดรอ้ น ขึ้นมาเพราะทนไม่ได้ ก็สามารถให้อภัย สามารถชว่ ยเหลอื เกื้อกลู ไดเ้ พราะเห็น ว่าเป็นเดก็ ยังไมอ่ าจประพฤตปิ ฏิบตั ใิ ห้เคร่งครัดไดด้ เี ทา่ ผู้ใหญ่ พระวินัยบัญญัติ 319 www.kalyanamitra.org
อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) กุลบุตรมีอายุต่�ำกว่า ๒๐ ปี ภิกษุส�ำคัญว่ามีอายุครบ ๒๐ ปี อุปสมบทให้ (๒) กุลบตุ รมีอายคุ รบ ๒๐ ปี ภิกษุส�ำคัญวา่ มีอายุครบ ๒๐ ปี อุปสมบทให้ (๓) ภิกษุผู้วิกลจริต (๔) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ ภิกษวุ ดั เวฬุวนั เมืองราชคฤห์ สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ ค�ำแปลพระบาลที เ่ี ปน็ พทุ ธบญั ญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดรู้อยู่ ชักชวนกันแล้วเดินทางไกล ด้วยกันกับกองเกวียนผู้เป็นโจร โดยที่สุดแม้ชั่วระหว่าง หมู่บา้ นหน่งึ เป็นปาจติ ตีย์” เน้อื ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษรุ อู้ ยู่ ชวนพอ่ คา้ ผซู้ อ่ นภาษเี ดนิ ทางดว้ ยกนั แมส้ นิ้ ระยะบ้านหนงึ่ ต้องปาจติ ตยี ”์ อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า กองเกวียนผู้เป็นโจร หมายถึงพวกโจรผู้ท�ำกรรมคือปล้นมา แลว้ หรอื ยังไม่ไดท้ ำ� ก็ตาม ผทู้ ลี่ ักของหลวงก็ตาม ผทู้ ่ีหลบหนภี าษีก็ตาม 320 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
ค�ำน้ีมิได้หมายถึงตัวกองเกวียน แต่หมายถึงคนท่ีเป็นโจรเป็นขโมย ซ่ึงจะปล้นหรือลักของมาหรือยังไม่ได้ท�ำก็ตาม ถือว่าเป็นโจร หมายถึงผู้ท่ีลัก หรอื ฉอ้ โกงของหลวง และหมายถงึ ผทู้ ห่ี ลบเลยี่ งภาษี โจรลกั ษณะเชน่ นน้ั หาก ภกิ ษรุ อู้ ยวู่ า่ เขาเปน็ โจร แตย่ งั ชกั ชวนหรอื พดู ใหเ้ ขารว่ มเดนิ ทางไปดว้ ยกนั ดว้ ย ความรจู้ กั คนุ้ เคย หรอื เพอื่ จะไดส้ บายใจทมี่ เี พอ่ื น ยอ่ มเปน็ อาบตั ติ ามสกิ ขาบทนี้ เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทน้ี สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หภ้ กิ ษถุ กู ตงั้ ขอ้ หาวา่ เปน็ โจร หรอื เปน็ ผสู้ มรรู้ ว่ มคดิ ดว้ ย เมอ่ื โจรถกู จบั ได้ และปอ้ งกนั ชอื่ เสยี งของภกิ ษุ มใิ ห้ ชาวบ้านต�ำหนิโพนทะนาได้ว่าเดินทางไปกับโจรหรือร่วมมือกับโจรไปท�ำบาป ทุจริตอะไรมาหรืออย่างไร อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษมุ ไิ ดช้ ักชวนกนั ไป (๒) พวกพอ่ คา้ ชักชวน ภกิ ษมุ ไิ ดช้ ักชวน (๓) ไปผิดนัด (๔) ในทีม่ ีอันตราย (๕) ภิกษุผวู้ กิ ลจรติ (๖) ภกิ ษุผเู้ ป็นต้นบัญญตั ิ หรอื ภกิ ษุ อาทกิ มั มิกะ ไดแ้ ก่ ภิกษุวดั เชตวนั รูปหนึ่ง สัปปาณกวรรค สกิ ขาบทที่ ๗ คำ� แปลพระบาลีท่ีเปน็ พุทธบญั ญัติ “อน่ึง ภิกษุใดชักชวนกันแล้วเดินทางไกลด้วยกัน กับมาตุคาม โดยท่ีสุดแม้ชั่วระหว่างหมู่บ้านหน่ึง เป็น ปาจิตตยี ”์ พระวินัยบัญญัติ 321 www.kalyanamitra.org
เน้อื ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภกิ ษชุ วนผหู้ ญงิ เดนิ ทางดว้ ยกนั แมส้ น้ิ ระบา้ นหนงึ่ ตอ้ ง ปาจิตตยี ”์ อธบิ ายความและเจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สิกขาบทน้ที รงบัญญตั ิไว้ เพอ่ื ป้องกันภิกษุ คือปอ้ งกนั มใิ หถ้ ูกต�ำหนิ หรือถูกดูหม่ินว่าเดินทางไปกับผู้หญิง และป้องกันอันตรายภิกษุ หากผู้หญิง น้ันมีเจ้าของเช่นมีสามีแล้ว สามีน้ันเห็นภรรยาเดินทางไปกับภิกษุ อาจเข้าใจ ผดิ แลว้ เขา้ ทำ� รา้ ยภกิ ษกุ ไ็ ด้ และปอ้ งกนั มใิ หภ้ กิ ษเุ ผลอสตไิ ปลว่ งเกนิ ผหู้ ญงิ เมอื่ อยู่กันสองตอ่ สอง เชน่ พดู จาเกยี้ วโลมเปน็ ต้น อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุมไิ ดช้ ักชวนกนั ไป (๒) มาตคุ ามชักชวน ภกิ ษุมิไดช้ กั ชวน (๓) ไปผดิ นดั (๔) ในคราวมอี ันตราย (๕) ภกิ ษุผวู้ ิกลจริต (๖) ภกิ ษผุ ูเ้ ปน็ ต้นบญั ญตั ิ หรือ ภิกษอุ าทิกมั มกิ ะ ไดแ้ ก่ ภกิ ษผุ เู้ ดินทางไปเมอื งสาวัตถรี ปู หน่ึง สปั ปาณกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ ค�ำแปลพระบาลที เี่ ปน็ พุทธบัญญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ท่ัวถึง ธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว อย่างที่ธรรม 322 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
ทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมท�ำ อันตราย ก็ไม่อาจท�ำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างน้ีว่า ท่านอย่าได้พูด อย่างน้ัน ท่านอย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การ กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะเธอพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ธรรมที่ท�ำอันตรายไว้โดยอเนกปริยาย ก็แลธรรม เหล่านั้นอาจท�ำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และภิกษุน้ัน อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างน้ียังยึดถืออยู่อย่าง นั้นแล ภิกษุน้ันอันภิกษุทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสน์กว่า จะครบสามจบ เพ่ือให้สละทิฏฐินั้นเสีย หากเธอถูกสวด สมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ยอมสละทิฏฐินั้น เสียได้ การสละได้อย่างน้ี น่ันเป็นการดี หากเธอ ไม่ยอมสละ เป็นปาจติ ตีย์” เนอ้ื ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ภกิ ษกุ ลา่ วคดั คา้ นธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา้ ภกิ ษอุ น่ื หา้ มไมฟ่ งั สงฆส์ วดประกาศขอ้ ความนนั้ จบ ตอ้ งปาจติ ตยี ”์ อธิบายความโดยยอ่ ค�ำว่า ธรรมท�ำอนั ตราย หมายถงึ ธรรมทเ่ี ม่ือท�ำข้ึนแล้วทำ� ให้ไปเกิด ในสวรรคไ์ มไ่ ด้ หรือให้บรรลมุ รคคผลไมไ่ ด้ พระวินัยบัญญัติ 323 www.kalyanamitra.org
ธรรมเช่นนเ้ี รยี กวา่ อนั ตรายกิ ธรรม มี ๕ ประการ คอื (๑) อนั ตรายิกธรรมคอื กรรม ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ และการ ประทษุ รา้ ยภิกษณุ ี (๒ อนั ตรายกิ ธรรมคอื กเิ ลส ไดแ้ ก่ นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ ทีแ่ นว่ แน่ ไมห่ วนกลับ (๓) อนั ตรายกิ ธรรมคอื วบิ าก ไดแ้ ก่ การเกดิ เปน็ บณั เฑาะก์ สตั ว์ ดิรัจฉาน อุภโตพยญั ชนก (คนสองเพศ) (๔) อนั ตรายกิ ธรรมคอื อรยิ ปุ วาทะ ไดแ้ ก่ การวา่ รา้ ยพระอรยิ เจา้ (๕) อันตรายิกธรรมคือการล่วงละเมิดพระพุทธบัญญัติ ได้แก่ การจงใจล่วงละเมดิ อาบัติ ๗ กองมปี าราชกิ เป็นต้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไวว้ า่ อันตรายิกธรรมเหล่าน้ีเม่อื ทำ� แลว้ ยอ่ ม มีโทษ ยอ่ มทำ� อนั ตรายแก่ผ้ทู ำ� จรงิ ภกิ ษุใดคัดคา้ นวา่ ไม่ทำ� อนั ตรายได้จรงิ ช่อื ว่าคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า เมื่อภิกษุอื่นมาเตือนให้สติ ห้ามมิให้ คดั ค้านอย่างนี้ แต่ไม่เชื่อฟัง ไมย่ อมสละความคิดนนั้ สงฆ์สวดประกาศความ ประพฤตินนั้ จบ ต้องอาบัติ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพ่ือมิให้ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ศึกษาเล่าเรียน มามาก ลืมสติลืมตัว เกิดความทระนงว่าตนรู้มากแล้ว แล้วเหิมเกริมคัดค้าน คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ วา่ ทท่ี รงสอนวา่ ธรรมทำ� อนั ตรายนนั้ ไมม่ ผี ลจรงิ ธรรม 324 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
ไม่อาจท�ำอันตรายได้จรงิ เป็นการปอ้ งกันมิใหภ้ ิกษแุ สดงอาการเหิมเกริม ปา่ ว ร้อง หรือแสดงข้อธรรมให้ผิดไปจากพระพุทธพจน์ ให้ยึดถือตามแนวคิดของ ตวั เอง ซ่งึ นบั เปน็ อันตรายมาก อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุผู้ไม่ถูกสวดสมนุภาสน์ (๒) ภิกษุผู้ยอมสละ (๓) ภิกษุผู้วิกลจริต (๔) ภกิ ษุผเู้ ปน็ ตน้ บัญญัติ หรือภกิ ษอุ าทิกมั มกิ ะ ไดแ้ ก่ พระอรฏิ ฐะ สปั ปาณกวรรค สกิ ขาบทที่ ๙ คำ� แปลพระบาลีทีเ่ ป็นพุทธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดรู้อยู่ ร่วมกินก็ดี ร่วมอยู่ก็ดี ร่วมนอน กด็ ี กับภกิ ษผุ กู้ ลา่ วอย่างน้นั ผยู้ งั ไม่ได้ทำ� ตามธรรม ผยู้ ัง ไม่ไดส้ ละทฏิ ฐนิ น้ั เปน็ ปาจิตตยี ์” เน้ือความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภกิ ษุคบภกิ ษเุ ช่นนน้ั คอื รว่ มกนิ ก็ดี ร่วมนอนกด็ ี รว่ ม อุโบสถสงั ฆกรรมก็ดี ตอ้ งปาจิตตยี ”์ พระวินัยบัญญัติ 325 www.kalyanamitra.org
อธิบายความและเจตนารมณข์ องสิกขาบทน้ี สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื มใิ หภ้ กิ ษเุ ขา้ ไปคลกุ คลกี บั ภกิ ษผุ คู้ ดั คา้ น ค�ำสอนของพระพุทธองค์ ทั้งที่รู้อยู่ว่าแม้สงฆ์จะห้ามปรามและสวดประกาศ แล้ว แต่ภิกษุน้ันก็ยังด้ือดึงไม่ละความคิดเห็นเช่นนั้น และเพื่อมิให้ภิกษุเข้าไป ตดิ เชอื้ กระดา้ งกระเดอ่ื งเชน่ นนั้ อนั จะนำ� ใหก้ ระดา้ งกระเดอื่ งดอื้ รน้ั ตามไปดว้ ย อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุรู้อยู่ว่าภิกษุนั้นมิใช่ผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร (สวดประกาศความผิด) (๒) ภิกษุ รู้อยู่ว่าภิกษุน้ันถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว แต่สงฆ์เรียกเข้าหมู่อีก (๓) ภิกษุรู้อยู่ว่า ภกิ ษนุ น้ั ถกู สงฆย์ กวตั รแลว้ แตส่ ละทฏิ ฐนิ น้ั แลว้ (๔) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๕) ภกิ ษุ ผเู้ ปน็ ตน้ บัญญตั ิ หรอื ภกิ ษุอาทกิ ัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พวกภกิ ษฉุ พั พัคคยี ์ สปั ปาณกวรรค สกิ ขาบทที่ ๑๐ ค�ำแปลพระบาลีทเ่ี ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ “ถ้าแม้สมณุทเทสกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว อย่างที่ธรรม ท้ังหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมท�ำ อันตรายก็ไม่อาจท�ำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง สมณุทเทส นั้นอันภิกษุท้ังหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส 326 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
สมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ดีแน่ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย แน่ะ อาวุโสสมณุทเทส พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมที่ท�ำ อันตรายไว้โดยอเนกปริยาย ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจ ท�ำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และสมณุทเทสนั้นอันภิกษุ ท้ังหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ยังยึดถืออยู่อย่างนั้นแล สมณุเทเทสนั่นอันภิกษุท้ังหลายพึงว่ากล่าวอย่างน้ีว่า แนะ่ อาวโุ สสมณทุ เทส ตงั้ แตว่ ันน้ีเปน็ ต้นไป เธออยา่ อ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้าน้ันว่าเป็นพระศาสดาของเธอ และ เธอจะไม่มีการร่วมนอนกับภิกษุทั้งหลายส้ิน ๒-๓ คืน เช่นอย่างที่สมณุทเทสอื่นๆได้กัน เจ้าคนเสีย เธอจง ไปเสีย เธอจงพินาศเสีย อน่ึง ภิกษุใดรู้อยู่ เกลี้ยกล่อม สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฏฐาก ก็ดี รว่ มกินก็ดี ร่วมนอนกด็ ี เป็นปาจิตตยี ์” เนอื้ ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุเกล้ียกล่อมสามเณรท่ีภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ให้เป็นผู้อุปัฏฐากก็ดี ร่วมกินก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้อง ปาจิตตีย์” พระวินัยบัญญัติ 327 www.kalyanamitra.org
อธิบายความและเจตนารมณข์ องสกิ ขาบทนี้ สิกขาบทนี้ กล่าวถงึ ความประพฤตขิ องสมณทุ เทสหรือสามเณรบาง รปู ทอี่ วดดี คดั คา้ นคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ แบบเดยี วกบั พระอรฏิ ฐะในสกิ ขาบท ก่อน สงฆ์ไดน้ าสนะ (ให้ฉบิ หายด้วยการลงโทษ) ดว้ ยการมใิ หอ้ ยรู่ ่วมกบั สงฆ์ บา้ ง หรอื ลงโทษอยา่ งอนื่ บา้ ง และทรงหา้ มมใิ หภ้ กิ ษเุ กลย้ี กลอ่ มสามเณรนน้ั ให้ มาอปุ ฏั ฐากดแู ลตนบา้ ง รว่ มกนิ รว่ มนอนกบั เธอบา้ ง เปน็ การปอ้ งกนั มใิ หเ้ ขา้ ขา้ ง คนผิด และเป็นการป้องกันมิให้สามเณรนั้นไม่เข็ดหลาบ ยังทระนงตนอยู่ เหมือนเดิม ดว้ ยเห็นว่ามภี ิกษุอปุ การะดูแล หรือคอยปอ้ งกนั ตนได้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษรุ อู้ ยวู่ า่ สมณทุ เทสนน้ั มใิ ชผ่ ถู้ กู สงฆน์ าสนะ (๒) ภกิ ษรุ อู้ ยวู่ า่ สมณทุ เทส นัน้ ยอมสละทิฏฐินนั้ แล้ว (๓) ภิกษุผวู้ กิ ลจรติ (๔) ภิกษผุ ู้เป็นตน้ บัญญัติ หรอื ภกิ ษุอาทกิ ัมมกิ ะ ได้แก่ พวกภกิ ษุฉัพพคั คยี ์ 328 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
วรรคท่ี ๘ สหธัมมกิ วรรค วา่ ด้วยผู้รว่ มประพฤติธรรม สหธมั มกิ วรรค สิกขาบทที่ ๑ คำ� แปลพระบาลีทีเ่ ป็นพทุ ธบญั ญัติ “อนึ่ง ภิกษุใดอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดย ชอบธรรม กล่าวอย่างนี้ว่าอาวุโส ผมจะยังไม่ศึกษาใน สกิ ขาบทนี้ ตราบเทา่ ทผ่ี มยงั ไมไ่ ดส้ อบถามภกิ ษอุ นื่ ผฉู้ ลาด ผู้ทรงวินัย เป็นปาจิตตีย์ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย อันภิกษุ ผ้ศู กึ ษาอยู่ควรรทู้ ว่ั ถงึ ควรสอบถาม ควรไตรต่ รอง นเี้ ปน็ การปฏิบตั ชิ อบในเรอื่ งนนั้ ” เนือ้ ความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภกิ ษปุ ระพฤตอิ นาจาร ภกิ ษอุ น่ื ตกั เตอื น พดู ผดั เพยี้ นวา่ ยังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบท นี้ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ธรรมดาภกิ ษผุ ู้ศกึ ษา ยังไม่รสู้ ิง่ ใด ควรจะ รสู้ ง่ิ นั้น ควรไตถ่ ามไล่เลียงท่านผรู้ ู้” อธิบายความและเจตนารมณ์ของสิกขาบทน้ี ค�ำวา่ โดยชอบธรรม คอื เป็นไปตามสิกขาบททีท่ รงบญั ญัตไิ ว้ พระวินัยบัญญัติ 329 www.kalyanamitra.org
ค�ำวา่ ควรรทู้ ั่วถงึ คือ ควรทราบไว้ ควรเรยี นรไู้ ว้ สำ� หรบั ปฏบิ ตั ิตาม ได้ถกู ต้อง ค�ำว่า ควรสอบถาม คือ ควรถามท่านผู้รู้ว่าสิกขาบทน้ีเป็นอย่างไร สิกขาบทนีม้ ีเนือ้ ความเป็นอยา่ งไร ค�ำวา่ ควรไตรต่ รอง คอื ควรคิด ควรพนิ ิจให้รจู้ รงิ ตรงตามเปน็ จรงิ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื มใิ หภ้ กิ ษผุ ทู้ ำ� ผดิ ตะแบงเอาตวั รอด โดย อา้ งวา่ ตนยังไม่รู้ ต้องถามท่านผู้รู้กอ่ น อนั เปน็ ความย่งุ ยากทจ่ี ะด�ำเนินการตอ่ ไป และทรงแนะนำ� วา่ ภกิ ษผุ มู้ คี วามสำ� เหนยี กรู้ ใครต่ อ่ การศกึ ษา ควรไดร้ ู้ ควร ได้สอบถาม ควรได้ไตร่ตรอง เพื่อที่จะได้รู้และปฏิบัติได้ถูกต้อง เมื่อท�ำผิดเข้า จะไดย้ อมรบั โดยสงบ อนั สามารถแก้ไขตอ่ ไปได้ อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุผู้กล่าวว่า จักรู้จักศึกษา ดังนี้ (๒) ภิกษุผู้วิกลจริต (๓) ภิกษุผู้เป็น ตน้ บัญญตั ิ หรือภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ได้แก่ พระฉนั นะ สหธัมมกิ วรรค สกิ ขาบทที่ ๒ ค�ำแปลพระบาลที ีเ่ ปน็ พทุ ธบัญญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใด เม่ือมีผู้สวดพระปาติโมกข์อยู่ กล่าว อย่างนี้ว่า จะประโยชน์อะไรด้วยสิกขาบทเล็กน้อย 330 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org
เหล่าน้ีท่ีท่านสวดแล้ว ช่างเป็นไปเพ่ือความร�ำคาญ เพ่ือความล�ำบาก เพ่ือความยุ่งยากเสียน่ีกระไร ดังน้ี เป็นปาจติ ตยี ใ์ นเพราะกลา่ วโทษสิกขาบท” เนื้อความย่อในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุอ่ืนท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลาย อตุ สาหะ ตอ้ งปาจติ ตยี ์” อธบิ ายความโดยยอ่ คำ� วา่ เมอื่ มสี วดปาตโิ มกขอ์ ยู่ หมายถงึ เมอ่ื มผี ใู้ ดผหู้ นง่ึ ยกปาตโิ มกข์ ข้นึ แสดงกด็ ี ให้ผอู้ ่นื ยกขน้ึ แสดงก็ดี ท่องบ่นอยู่กด็ ี สิกขาบทนี้หมายถึง เม่ือมีภิกษุศึกษาเล่าเรียนพระวินัยอันเป็นพระ ปาตโิ มกข์กนั ย่อมทอ่ งบน่ บา้ ง สาธยายบา้ ง เพ่อื ให้เกิดความช�ำนาญช่�ำชอง ทำ� ใหภ้ กิ ษอุ กี พวกหนงึ่ ไมช่ อบ ดว้ ยเหน็ วา่ หากภกิ ษทุ ง้ั หลายรพู้ ระวนิ ยั กนั มาก กจ็ กั ฉดุ กระชากลากถพู วกตนซงึ่ ชอบทำ� ผดิ ระเบยี บแบบแผนอยเู่ สมอ จงึ ไปพดู ไปอา้ งเหตผุ ลวา่ พระวนิ ยั ไมม่ ปี ระโยชน์ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยทห่ี ยมุ หยมิ ไมจ่ ำ� เปน็ ต้องไปเรียนรู้จดจำ� อะไร เรียนไปท่องไปก็ทำ� ให้รำ� คาญใจ ทำ� ให้ลำ� บาก ทำ� ให้ ยงุ่ ยากระมดั ระวงั เพอื่ ใหภ้ กิ ษผุ เู้ รยี นพระวนิ ยั อยเู่ ลกิ ละความสนใจในการศกึ ษา ทอ่ งบ่นพระวนิ ยั ภิกษุผปู้ ระพฤตอิ ยา่ งนี้ ยอ่ มตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ พระวินัยบัญญัติ 331 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441