Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระวินัยบัญญัติ

พระวินัยบัญญัติ

Description: พระวินัยบัญญัติ

Search

Read the Text Version

แนวการปรบั อาบัติในการโจท ในพระไตรปิฎก ตอนที่ว่าด้วยสิกขาบทนี้ ท่านแสดงแนวการปรับ อาบัตใิ นการโจทไว้ดังต่อไปน้ี ( ๑) ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอแล้วโจทเธอ หมายจะ ให้พ้นไปจากพรหมจรรย์ ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏกับอาบตั ิสังฆาทิเสส ( ๒) ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหน่ึงแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธ์ิ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมาย จะให้พ้นไปจากพรหมจรรย์ ต้องอาบตั ิอาบัติสังฆาทเิ สส (๓) ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหน่ึงแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอแล้วโจทเธอ หมายจะ ดา่ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏกับอาบตั ปิ าจติ ตยี ใ์ นเพราะเสยี ดสี (๔) ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่บริสุทธ์ิ ถ้าภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอโอกาสต่อเธอก่อนแล้วโจทเธอ หมาย จะดา่ ต้องอาบตั ิปาจิตตียใ์ นเพราะเสียดสี (๕) ภิกษุไม่ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธ์ิ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอแล้วโจทเธอ หมายจะ ด่า ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ ( ๖) ภิกษุไม่ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้า ภิกษุผู้โจทก์เห็นว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขอโอกาสต่อเธอแล้วโจทเธอ หมายจะ ใหพ้ ้นไปจากพรหมจรรย์ ไม่ต้องอาบัติ 132 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๗) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภิกษผุ ู้โจทก์เห็นว่าเป็นผไู้ ม่บรสิ ทุ ธิ์ ไมข่ อโอกาสเธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ด่า ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏกับอาบตั ิปาจติ ตยี ์ในเพราะเสียดสี (๘) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ขอโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ด่า ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ใ์ นเพราะเสียดสี (๙) ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ไมข่ อโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมาย จะด่า ต้องอาบตั ิทุกกฏ (๑๐) ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ขอโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ใหพ้ ้นไปจากพรหมจรรย์ ไมต่ ้องอาบัติ (๑๑) ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ไมข่ อโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมาย จะด่า ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏกับอาบตั ิปาจติ ตยี ใ์ นเพราะเสยี ดสี ( ๑๒) ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธิ์ ขอโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ดา่ ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ใ์ นเพราะเสยี ดสี (๑๓) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ไมข่ อโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ดา่ ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏกับอาบตั สิ ังฆาทเิ สส พระวินัยบัญญัติ 133 www.kalyanamitra.org

(๑๔) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ขอโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะให้ พ้นไปจากพรหมจรรย์ ต้องอาบัติสงั ฆาทเิ สส (๑๕) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ไมข่ อโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะ ด่า ต้องอาบัตทิ ุกกฏกับอาบตั ปิ าจติ ตยี ใ์ นเพราะเสียดสี (๑๖) ภกิ ษไุ มต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ถา้ ภกิ ษผุ โู้ จทกเ์ หน็ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ขอโอกาสตอ่ เธอกอ่ นแลว้ โจทเธอ หมายจะดา่ ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตยี ์ในเพราะเสียดสี เจตนารมณ์ของสิกขาบทขอ้ นี้ สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื มใิ หภ้ กิ ษอุ าศยั ความโกรธไมพ่ อใจภกิ ษุ อื่นแล้วแกล้งโจทด้วยอาบัติรุนแรง เพ่ือให้ภิกษุนั้นพ้นไปจากความเป็นภิกษุ ซ่ึงเป็นการแสดงถึงจิตใจท่ีเห้ียมโหด ไม่มองในแง่ดี มองแต่ในแง่ร้ายท้ังที่ไม่ เป็นจริงไม่มจี ริง การโจทภกิ ษอุ น่ื ดว้ ยขอ้ มลู เทจ็ นนั้ เปน็ เรอ่ื งทที่ ำ� ไดง้ า่ ย เมอื่ ไมล่ ะอาย เมื่อขาดความรับผิดชอบ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นเรื่องยุ่งยากใน การพิจารณาความเพ่ือลงโทษ หากเป็นเรื่องไม่จริง ย่อมเสียเวลาเปล่าโดย ใช่เหตุ ด้วยเหตุน้ีจึงทรงตัดต้นตอเสียด้วยการบัญญัติไว้ว่าเม่ือกล่าวหาภิกษุ อ่ืนด้วยอาบัติปาราชิกท่ีไม่มีมูล เป็นอาบัติสังฆาทิเสส เพ่ือป้องกันมิให้ภิกษุ ใส่ความฟอ้ งร้องกนั ได้ง่าย 134 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษจุ �ำเลยเป็นผู้บรสิ ุทธ์ิ ภกิ ษุผู้โจทกม์ คี วามเหน็ ว่าเป็นผ้ไู มบ่ รสิ ุทธิ์ (๒) ภกิ ษุ จำ� เลยเปน็ ผ้ไู ม่บริสุทธิ์ ภิกษผุ ู้โจทกม์ ีความเหน็ ว่าเป็นผ้ไู มบ่ ริสทุ ธ์ิ (๓) ภกิ ษผุ ู้ วิกลจริต (๔) ภกิ ษุผูเ้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ผู้เป็นอาทิกมั มกิ ะ ไดแ้ ก่พระเมตตยิ ะ กบั พระภุมมชกะ (ภกิ ษคุ ู่หกู นั อยูใ่ นหมภู่ กิ ษฉุ ัพพัคคยี )์ สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทที่ ๙ คำ� แปลพระบาลใี นพุทธบัญญัติ “อน่ึง ภิกษใุ ด ขดั ใจ มีโทสะ ไม่แช่มช่นื อา้ งเอกเทศ บางส่วนแห่งอธิกรณ์เรื่องอ่ืนพอเป็นเลส ใส่ความภิกษุ ด้วยอาบัตปิ าราชิก ด้วยหมายว่า ทำ� ไฉนเราจึงจะยงั เธอ ให้พ้นไปจากพรหมจรรย์ได้ คร้ันสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใด ผหู้ นงึ่ เชอื่ กต็ าม ไมเ่ ชอ่ื กต็ าม แตอ่ ธกิ รณน์ นั้ เปน็ เรอื่ งอน่ื แท้ เอกเทศบางส่วนถูกเธออ้างพอเป็นเลส และภิกษุ ยืนยนั ความผิดอยู่ เป็นสงั ฆาทเิ สส” เน้อื ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติ ปาราชิก ตอ้ งสังฆาทิเสส” พระวินัยบัญญัติ 135 www.kalyanamitra.org

อธิบายความโดยยอ่ คำ� วา่ ขัดใจ มโี ทสะ คือ โกรธ ไม่พอใจ ไมช่ อบใจ แค้นใจ เจบ็ ใจ คำ� ว่า ไมแ่ ชม่ ช่นื คอื ไม่แชม่ ชน่ื เพราะความโกรธน้ัน เพราะโทสะนัน้ เพราะความไม่พอใจนนั้ เพราะความไม่ชอบใจน้ัน ค�ำว่า อธิกรณ์เร่ืองอื่น คือ เป็นอาบัติส่วนอื่น หรือเป็นอธิกรณ์ ส่วนอนื่ ค�ำว่า เลส หมายถึง ข้ออ้างอิง, ส่ิงที่รู้กันในที ในท่ีน้ีหมายถึงเลศ ๑๐ อยา่ ง ได้แก่ เลศคอื ชาติกำ� เนดิ ๑ เลศคอื ช่อื ๑ เลศคือวงศต์ ระกลู ๑ เลศคือลักษณะ ๑ เลศคืออาบัติ ๑ เลศคือบาตร ๑ เลศคือจีวร ๑ เลศคือ อปุ ชั ฌาย์ ๑ เลศคอื อาจารย์ ๑ เลศคอื เสนาสนะ ๑ คำ� วา่ ใสค่ วาม ได้แก่ โจทเองกต็ าม สง่ั ใหโ้ จทก็ตาม ค�ำว่า ท�ำไฉนจึงจะยังเธอให้พ้นไปจากพรหมจรรย์นี้ได้ คือ ให้พ้น ไปจากภาวะภกิ ษุ ใหพ้ น้ ไปจากสมณธรรม ให้พ้นไปจากศีลขนั ธ์ ให้พ้นไปจาก คุณคอื ตบะ ค�ำวา่ อนั ผใู้ ดผู้หนึง่ เชอื่ กต็ าม ไมเ่ ชื่อกต็ าม คือ ภิกษนุ ัน้ ถูกใส่ความ ดว้ ยเรอ่ื งใด จะมคี นเชอ่ื เรอ่ื งนนั้ กต็ าม ไมม่ คี นเชอ่ื ไมม่ ใี ครพดู ถงึ ภกิ ษนุ นั้ กต็ าม ค�ำวา่ อธกิ รณ์ ไดแ้ ก่ อธกิ รณ์ ๔ อยา่ งคอื ววิ าทาธิกรณ์ อนวุ าทาธ-ิ กรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ กิจจาธกิ รณ์ ค�ำว่า เอกเทศบางส่วนพอเป็นเลศ คือ อ้างเลศอย่างใดอย่างหน่ึง ในเลศ ๑๐ อย่างนัน้ ขึน้ มา 136 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

คำ� วา่ และภกิ ษยุ นื ยนั ความผดิ อยู่ คอื ภกิ ษกุ ลา่ วยอมรบั วา่ ขา้ พเจา้ พูดพล่อยๆ พดู เทจ็ พดู ไม่จรงิ ขา้ พเจ้าไม่รูไ้ ด้พูดไปแล้ว ตวั อย่างการอ้างเลศโจท ในพระวินัยปิฎกตอนว่าด้วยสิกขาบทนี้ได้ยกตัวอย่างการอ้างเลศ โจทไว้ครบท้งั ๑๐ อยา่ ง ขอนำ� บางอยา่ งมาแสดงพอเปน็ นัย คือ ที่ชื่อว่า เลศคือชาติก�ำเนิด อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้มี วรรณะกษัตริย์ต้องอาบัติปาราชิก ครั้นเห็นภิกษุผู้เป็นวรรณะกษัตริย์รูปอื่น เขา้ ได้โจทวา่ ขา้ พเจา้ ไดเ้ ห็นภกิ ษุผเู้ ป็นวรรณะกษตั รยิ ์ตอ้ งอาบตั ิปาราชกิ แลว้ ทา่ นไม่เป็นสมณะ ทา่ นไม่เป็นเช้ือสายพระศากยบุตร อโุ บสถก็ดี ปวารณาก็ดี สงั ฆกรรมกด็ ี ไมม่ รี ว่ มกบั ทา่ น ดังน้ี ตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทเิ สสทกุ ๆ ค�ำพดู .... ที่ชื่อว่า เลศคือลักษณะ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุร่างสูง ต้องอาบัติปาราชิก คร้ันเห็นภิกษุร่างสูงรูปอื่นเข้า ได้โจทว่า ข้าพเจ้าได้เห็น ภิกษรุ ่างสงู ต้องอาบตั ปิ าราชิกแล้ว ทา่ นไมเ่ ปน็ สมณะ ท่านไมเ่ ปน็ เชอ้ื สายพระ ศากยบตุ ร อุโบสถก็ดี ปวารณากด็ ี สังฆกรรมกด็ ี ไม่มรี ว่ มกบั ทา่ น ดงั น้ี ตอ้ ง อาบตั สิ ังฆาทิเสสทุกๆ คำ� พดู .... ที่ช่ือว่า เลศคืออุปัชฌาย์ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เห็นภิกษุผู้เป็น สัทธิวิหาริกของพระอุปัชฌาย์ชื่อนี้ต้องปาราชิก ครั้นเห็นสัทธิวิหาริกรูปอื่น ของพระอุปัชฌาย์ชอื่ น้ีเขา้ ไดโ้ จทว่าขา้ พเจา้ ได้เห็นภกิ ษุผ้เู ป็นสัทธวิ ิหาริกของ พระอุปัชฌาย์ช่ือนี้ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านไม่เป็นสมณะ ท่านไม่เป็นเชื้อ สายพระศากยบุตร อุโบสถก็ดี ปวารณาก็ดี สังฆกรรมก็ดี ไม่มีร่วมกับท่าน ดังน้ี ตอ้ งอาบตั ิสังฆาทิเสสทุกๆ คำ� พูด พระวินัยบัญญัติ 137 www.kalyanamitra.org

การโจทหรือใส่ความอย่างน้ี จัดเป็นการโจทหรือกล่าวหาโดยอ้าง อธิกรณ์คอื อาปตั ตาธกิ รณ์มาเป็นเลศ คือมาเป็นขอ้ อ้างองิ ทีพ่ อเชื่อถอื ได้ สิกขาบทน้ีเป็นเรื่องของการแส่หาเรื่องภิกษุอื่นเพ่ือให้พ้นจากสมณ- เพศ โดยอ้างเหตผุ ลข้างๆ คูๆ ไมต่ รงประเด็น ดว้ ยอำ� นาจความขดั ใจ มโี ทสะ มีความไม่แช่มช่ืนอยู่ในใจ แสดงถึงความเคียดแค้น อาฆาตมาดร้าย หรือ ความโกรธเคอื งเปน็ การส่วนตัว มใิ ช่เพอ่ื ให้เกิดความสงบ เหน็ จรงิ ตามที่โจท เป็นเหตุให้เกิดความอลวนวุ่นวาย เกิดความไม่สงบความไม่สามัคคีขึ้นในหมู่ คณะ ทำ� ให้เสียเวลาในการพจิ ารณาตดั สนิ จึงทรงปรบั โทษเปน็ อาบตั ิสงั ฆาท-ิ เสสทีเ่ ป็นครกุ าบัติ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้ภิกษุมีสติ มีความระวังในการ กลา่ วหาภกิ ษอุ นื่ ตอ้ งมมี ลู จรงิ ๆ และมคี วามหวงั ดี ตอ้ งการความสงบเรยี บรอ้ ย ความงดงามในหมู่คณะ ไม่มีความล�ำเอียงอาฆาตมาดร้าย หรือมีจิตใจโกรธ แค้นในใจเปน็ ต้นทนุ ซง่ึ การโจทดว้ ยข้อเทจ็ จริงอยา่ งน้นั จะโจทเองกต็ าม สงั่ ให้ผอู้ น่ื โจทก็ตาม ไมต่ ้องอาบัติ อนาปตั ตวิ าร ในสกิ ขาบทน้ี ท่านแสดงภกิ ษผุ ไู้ ด้รบั ยกเว้นไมต่ ้องอาบัติไว้ คอื (๑) ภกิ ษผุ ้สู ำ� คัญวา่ เป็นอย่างนั้น โจทเองกด็ ี สง่ั ให้ผู้อ่ืนโจทก็ดี คอื มคี วามส�ำคญั ว่าภิกษุน้ีต้องอาบัติปาราชิกจริงจึงได้โจท (๒) ภิกษุผู้วิกลจริต (๓) ภิกษุผู้ เปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไดแ้ กพ่ ระเมตตยิ ะและพระภมุ มชกะ (สอง ค่หู ใู นหมู่ภิกษุฉัพพคั คยี )์ 138 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ค�ำแปลพระบาลีในพทุ ธบัญญตั ิ “อนงึ่ ภกิ ษใุ ดพากเพยี รเพอ่ื ทำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี ง กัน หรือถือเอาอธิกรณ์อันเป็นเหตุให้แตกกัน ยกย่อง กนั อยู่ ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ น อย่าได้พากเพียรเพื่อท�ำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน หรือ อย่าได้ถือเอาอธิกรณ์อันเป็นเหตุให้แตกกัน ยกย่องกัน อยู่ ขอทา่ นจงพรอ้ มเพรยี งดว้ ยสงฆ์ เพราะวา่ สงฆผ์ พู้ รอ้ ม เพรียงกนั ช่ืนชมกัน ไม่ววิ าทกนั มีอุทเทสเดยี วกัน ย่อม อยูผ่ าสกุ แล ภิกษนุ นั้ อันภิกษทุ ัง้ หลายวา่ กล่าวอยอู่ ยา่ งนี้ ยงั ยกยอ่ งยนั อยอู่ ยา่ งนนั้ นน่ั แล ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ งั้ หลาย พงึ สวดสมนภุ าสนก์ วา่ จะครบสามจบ เพอ่ื ใหส้ ละการกระทำ� น้นั เสยี หากเธอถกู สวดสมนภุ าสน์กวา่ จะครบสามจบอยู่ ยอมสละการกระท�ำนั้นเสยี ได้ การสละไดอ้ ยา่ งน้ี นนั่ เป็น การดี หากเธอไมย่ อมสละ เป็นสงั ฆาทเิ สส” เนอ้ื ความยอ่ ในหนงั สือนวโกวาท “ภิกษุพากเพียรเพ่ือจะท�ำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอ่ืน ห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพ่ือจะให้ละข้อที่ประพฤติน้ัน ถา้ ไมล่ ะ ต้องสังฆาทเิ สส” พระวินัยบัญญัติ 139 www.kalyanamitra.org

อธิบายความโดยย่อ คำ� ว่า พากเพียรเพอื่ ท�ำลายสงฆ์ คือ แสวงหาพวก จับกลมุ่ กนั ดว้ ย หมายมัน่ ว่า ทำ� ไฉนภกิ ษเุ หล่านจี้ ะพึงแตกกนั พงึ แยกกนั พงึ เป็นพรรคกนั ค�ำว่า อธิกรณ์อันเป็นเหตุให้แตกกัน ได้แก่ เร่ืองอันเป็นเหตุให้ แตกแยกกนั ๑๘ ประการ ค�ำว่า ยกย่องยันอยู่ ไดแ้ ก่ แสดง ไม่ยอมสละ ค�ำว่า สมนุภาสน์ หมายถึงการสวดประกาศหา้ มไม่ให้ถอื รน้ั การอัน มิชอบ ใหเ้ ลกิ ละการกระทำ� นน้ั เสยี คำ� นี้เปน็ ชื่อบทสวดทางพระวินัย อาการทเี่ ปน็ อาบตั ิ การท�ำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน มีข้อปลีกย่อยมาก เป็นเรื่องที่สงฆ์จะต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน ท้ังในการสอดส่องดูแล ในการ ป้องกัน ในการบอกกลา่ ว ในการแนะนำ� ตกั เตอื น ในการห้ามปราม จนในทส่ี ุด ในการกำ� จดั แก้ไข ซึ่งในแต่ละอยา่ งหากเพิกเฉย ทา่ นปรับเปน็ อาบัติ เพราะจะ มีผลกระทบท�ำให้เกิดความบานปลายถงึ ท�ำให้สงฆ์แตกกนั ข้นึ ได้ ทา่ นแสดงอาการทเี่ ป็นอาบตั ิไวด้ ังนี้ (๑) หากมีกระแสว่าจะมีภิกษุท�ำลายสงฆ์ เป็นหน้าท่ีของภิกษุผู้รู้ เร่ืองจะพงึ หา้ มปราม ถ้าไม่ห้าม ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ (๒) ถ้าห้ามปรามแล้วไม่เช่ือฟัง พึงน�ำตัวมายังท่ามกลางสงฆ์ ว่า 140 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

กล่าวอีก ๓ ครั้ง ถ้ายังขัดขืนอยู่ พึงสวดสมนุภาสน์ คือประกาศห้ามด้วย อาณัติสงฆ์ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ตามแบบท่ีท่านก�ำหนดไว้ ถ้าภิกษุผู้ เป็นตัวการท�ำลายสงฆ์สละเสียได้ในคราวแรกๆ จัดว่าเป็นการดี ถ้าไม่สละ ต้องอาบัตทิ กุ กฏทุกคราว (๓) ถ้าสวดจนจบญตั ติคอื ค�ำเผดียงสงฆ์ จบอนสุ าวนาคือค�ำหารอื ตกลงของสงฆ์ ครั้งที่ ๑ และครัง้ ท่ี ๒ ยังไมส่ ละ ต้องอาบัติถลุ ลัจจัย (๔) สวดจบอนุสาวนาคร้ังท่ี ๓ อันเป็นคร้ังสุดท้าย ต้องอาบัติ สงั ฆาทเิ สส (๕) ในกรรมอันเป็นธรรม ภิกษุผู้เป็นตัวการเข้าใจถูกก็ดี แคลงใจ อยกู่ ็ดี เขา้ ใจผดิ ก็ดี ไม่ยอมสละ ต้องอาบตั ิสังฆาทิเสส ในกรณเี ชน่ นี้ ในกรรมไมเ่ ปน็ ธรรม ทา่ นวา่ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏ เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้ การทำ� ลายสงฆ์ เรียกวา่ สังฆเภท เปน็ กรรมหนกั มีโทษหนกั และ จดั เป็นอนันตริยกรรมดว้ ย จงึ ทรงบญั ญตั ิไวห้ ้ามมใิ หภ้ กิ ษกุ ระท�ำ การทำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั จะสำ� เรจ็ ถงึ ความเปน็ สงั ฆเภท ก็ ตอ่ เมอ่ื สงฆไ์ ดแ้ ตกแยกกนั เปน็ กก๊ เปน็ เหลา่ จนกระทงั่ ไมท่ ำ� อโุ บสถสงั ฆกรรม ร่วมกัน สิกขาบทนี้เป็นเรื่องการท�ำลายสงฆ์ซึ่งเป็นเร่ืองใหญ่ มีผลกระทบ มากมาย เป็นเรื่องพิเศษที่เก่ียวกับความต้องการมีอ�ำนาจต้องการเป็นใหญ่ เป็นเร่ืองของความมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินเหตุ จนถึงดิ้นรนพยายามท่ีเรียกว่า พระวินัยบัญญัติ 141 www.kalyanamitra.org

ตะเกยี กตะกายเพอื่ ทำ� ลายสงฆ์ แม้จะถูกตกั เตอื นให้เลกิ คดิ เลิกกระทำ� น้ันแลว้ ก็ยังถือร้ัน และอ้างเหตุผลชักชวนผู้อื่นให้เข้าพวก ซ่ึงผู้ไม่รอบคอบก็หลงเชื่อ ยอมเข้าเป็นพวกด้วย เลยกลายเป็นผทู้ ำ� กรรมเชน่ นัน้ ร่วมกนั การท�ำลายสงฆ์เป็นการท�ำลายความสามัคคีของสงฆ์ เพราะปกติ สงฆ์ท้ังปวงน้ันเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นสมานสังวาส คือมีสังวาสการอยู่ รว่ มกนั เป็นปกตสิ ขุ มจี ิตใจเสมอกนั ไม่แยกกนั ทางความคดิ แสดงถึงความมี จติ สามคั คี และเป็นสมานสมี าฐติ ะ คือเป็นผตู้ ้งั อยูใ่ นสมี าเดียวกัน ไม่แยกกนั ทางกาย แสดงถงึ ความมกี ายสามคั คี และสงฆน์ นั้ มอี เุ ทศ (คำ� สง่ั สอน) เดยี วกนั คือปาฏโิ มกขุทเทศ เปน็ ไปรว่ มกัน ไมแ่ ยกกัน อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุผยู้ ังไมถ่ ูกสวดสมนภุ าสน์ (๒) ภกิ ษุผสู้ ละเสยี ได้ (๓) ภกิ ษผุ วู้ ิกลจริต (๔) ภิกษุผ้เู ปน็ ต้นบัญญตั ิ หรอื ภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่พระเทวทัต สังฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๑๑ ค�ำแปลพระบาลใี นพทุ ธบญั ญัติ “อน่ึง มีภิกษุผู้ประพฤติตามพูดเข้าข้างภิกษุนั้นแล ๑ รูปบ้าง ๒ รปู บ้าง ๓ รปู บา้ ง เธอทัง้ หลายพงึ กลา่ ว อย่างนี้ว่า ท่านท้ังหลายอย่าได้กล่าวอะไรภิกษุนั่น ภิกษุ 142 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

นั่นกล่าวถูกธรรม ภิกษุน่ันกล่าวถูกวินัย และภิกษุน่ัน ถอื เอาความพอใจและความชอบใจของพวกขา้ พเจา้ แลว้ จึงกล่าว เธอทราบความพอใจและความชอบใจของพวก ข้าพเจ้าจึงกล่าว การกระท�ำของเธอน่ันย่อมชอบใจแม้ แก่พวกข้าพเจ้า ภิกษุเหล่านั้นอันภิกษุท้ังหลายพึงว่า กล่าวอยา่ งนี้ว่า ทา่ นท้งั หลายอย่าได้กล่าวอยา่ งน้นั ภกิ ษุ นั่นไม่ใช่เป็นผู้กล่าวถูกธรรม ภิกษุน่ันไม่ใช่เป็นผู้กล่าว ถูกวินัย การท�ำลายสงฆ์อย่าได้ชอบใจพวกท่านเลย ขอ พวกท่านจงพร้อมเพรียงกับสงฆ์ เพราะว่าสงฆ์ผู้พร้อม เพรียงกนั ช่นื ชมกัน ไม่วิวาทกนั มีอุทเทสเดียวกนั ย่อม อยู่ผาสุกแล ภิกษุเหล่าน้ันอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ อย่างน้ี ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นน่ันแล ภิกษุเหล่าน้ันอัน ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ สวดสมนภุ าสนก์ วา่ จะครบสามจบ เพอื่ ให้ สละการกระทำ� นนั้ เสยี หากเธอทงั้ หลายถกู สวดสมนภุ าสน์ กวา่ จะครบสามจบอยู่ ยอมสละการกระทำ� เสยี ได้ การสละ ไดอ้ ยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การดี หากเธอทงั้ หลายไมย่ อมสละ เปน็ สังฆาทเิ สส” เนือ้ ความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ท�ำลายสงฆ์น้ัน ภิกษุอื่น ห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤติน้ัน ถา้ ไมล่ ะ ตอ้ งสังฆาทิเสส” พระวินัยบัญญัติ 143 www.kalyanamitra.org

อธิบายความโดยย่อ ค�ำว่า ผู้ประพฤติตาม คือ ภิกษุผู้ท�ำลายสงฆ์เห็นอย่างไร ชอบใจ อยา่ งไร พอใจอย่างไร แม้ภิกษุเหล่านั้นกเ็ หน็ อยา่ งนน้ั ชอบใจอยา่ งน้ัน พอใจ อยา่ งน้นั คำ� วา่ พดู เขา้ ขา้ ง คอื ดำ� รงอยใู่ นพวกในฝา่ ยภกิ ษุ (ผทู้ ำ� ลายสงฆ)์ นนั้ สิกขาบทนี้ แสดงถึงการท่ีมีภิกษุผู้ไม่รู้เท่าทันความคิดของผู้ท�ำลาย สงฆ์ ยอมเข้าไปเป็นพวกด้วย ยกย่องสนับสนุนผู้ท�ำลายสงฆ์น้ัน โดยขาด ความรจู้ รงิ ขาดความรอบคอบ ไมค่ ดิ ในดา้ นบวกในดา้ นลบไปพรอ้ มกนั เพอื่ ชงั่ น�้ำหนักว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรอะไรไม่ควร ท�ำให้สงฆ์เกิดการแตกแยก จึงทรงบญั ญัติเปน็ ข้อหา้ มไว้ เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทขอ้ น้ี สิกขาบทนี้ทรงบญั ญัติไว้ เพอ่ื เตอื นสตภิ ิกษุใหร้ อบคอบ คิดเปน็ และ ให้มองกว้างๆ ถงึ การกระทำ� ของภกิ ษดุ ว้ ยกันวา่ เหมาะไม่เหมาะอย่างไร จะได้ ไม่หลงเพลิดเพลนิ ยนิ ดไี ปเข้าขา้ งและตดิ ตามไปเปน็ บรวิ ารลกู นอ้ งโดยไม่ลงั เล ซง่ึ เปน็ การสอ่ ใหร้ วู้ า่ เปน็ คนหเู บา เชอ่ื งา่ ย หลอกงา่ ย ขาดสตปิ ญั ญาไตรต่ รอง อนั เปน็ การตดั ความเจรญิ ในการประพฤตพิ รหมจรรย์ของตนไปโดยปรยิ าย อนาปัตติวาร ในสิกขาบทนี้ ทา่ นแสดงภกิ ษุผู้ไดร้ ับยกเวน้ ไมต่ อ้ งอาบตั ไิ ว้ คือ (๑) ภกิ ษผุ ู้ยงั ไม่ถกู สวดสมนุภาสน์ (๒) ภิกษผุ สู้ ละเสียได้ (๓) ภกิ ษุผวู้ ิกลจริต (๔) 144 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ภกิ ษผุ ู้มีจิตฟุ้งซ่าน (๕) ภกิ ษผุ ู้กระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา (๖) ภิกษุผู้เป็นตน้ บญั ญัติ หรอื ภกิ ษุอาทกิ มั มิกะ ได้แก่ พระโกกาลกิ ะ และคณะ สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทท่ี ๑๒ คำ� แปลพระบาลใี นพุทธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่ายาก อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว อยู่โดยชอบธรรมในสิกขาบทท้ังหลายอันเนื่องในอุทเทส ท�ำตัวใหเ้ ป็นผ้ทู ีใ่ ครๆ ว่ากล่าวไมไ่ ด้ โดยกลา่ วโต้วา่ พวก ท่านอย่าได้ว่ากล่าวอะไรผม ไม่ว่าดีหรือชั่ว ผมเองก็จัก ไม่ว่ากล่าวอะไรพวกท่านเหมือนกัน ไม่ว่าดีหรือช่ัว ขอ พวกทา่ นจงเวน้ จากการวา่ กล่าวผมเสีย ภกิ ษนุ ้ันอันภิกษุ ทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างน้ีว่า ท่านอย่าได้ท�ำตัวให้เป็น ผู้ที่ใครๆ วา่ กลา่ วไมไ่ ด้ ขอท่านจงทำ� ตัวให้เขาวา่ กล่าวได้ เถิด แมท้ ่านก็จงว่ากลา่ วภิกษุท้ังหลายโดยชอบธรรม แม้ ภิกษุทั้งหลายก็จักว่ากล่าวท่านโดยชอบธรรม เพราะว่า บริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้าน้ันเจริญแล้วด้วยอาการ อย่างน้ี คือด้วยการว่ากล่าวซึ่งกันและกัน ด้วยการช่วย เหลือกันและกันให้ออกจากอาบัติแล ภิกษุน้ันอันภิกษุ ท้ังหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องยันอยู่อย่างนั้น นน่ั แล ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ งั้ หลายพงึ สวดสมนภุ าสนก์ วา่ จะ ครบสามจบ เพอื่ ใหส้ ละการกระทำ� นน้ั เสยี หากเธอถกู สวด พระวินัยบัญญัติ 145 www.kalyanamitra.org

สมนภุ าสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ ยอมสละการกระท�ำน้นั เสียได้ การสละได้อย่างนี้ น่ันเป็นการดี หากเธอไม่ยอม สละ เป็นสังฆาทเิ สส” เนอ้ื ความย่อในหนังสือนวโกวาท “ภกิ ษวุ า่ ยากสอนยาก ภกิ ษอุ น่ื หา้ มไมฟ่ งั สงฆส์ วดกรรม เพอ่ื จะให้ละขอ้ ทีป่ ระพฤตินั้น ถ้าไมล่ ะ ตอ้ งสังฆาทเิ สส” อธบิ ายความโดยย่อ ค�ำว่า ภิกษุเป็นผู้ว่ายาก หมายถึงเป็นผู้ว่าได้โดยยาก คือเป็นผู้ ประกอบดว้ ยธรรมทงั้ หลายทท่ี ำ� ใหเ้ ปน็ ผวู้ า่ ยาก เปน็ ผไู้ มอ่ ดทน ไมร่ บั อนศุ าสน์ โดยเคารพ ค�ำว่า ในสิกขาบททั้งหลายอันเนื่องในอุทเทส ได้แก่ ในสิกขาบท อันเน่ืองในพระปาตโิ มกข์ คำ� วา่ โดยชอบธรรม ไดแ้ ก่ สกิ ขาบททพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงบญั ญตั ิ ไว้แลว้ ชอื่ วา่ โดยชอบธรรม ธรรมทีท่ ำ� ให้เป็นผู้วา่ ยาก ในอนมุ านสตู ร ในพระไตรปฎิ ก ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานเถระ ไดแ้ สดง ธรรมทท่ี ำ� ใหเ้ ปน็ ผวู้ ่ายากแก่ภกิ ษทุ ัง้ หลายไว้ ๑๖ ประการ คือ 146 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

(๑) ความปรารถนาอันเลวทราม (๒) ความเป็นผู้ยกตนข่มท่าน (๓) ความเป็นผ้มู กั โกรธ (๔) ความเปน็ ผูผ้ กู โกรธ (๕) ความเป็นผู้ชอบระแวงจดั เพราะความโกรธเปน็ เหตุ (๖) ความเปน็ ผเู้ ปลง่ วาจาใกลต้ อ่ ความโกรธ เพราะความโกรธ เปน็ เหตุ (๗) ความทีถ่ ูกโจทกฟ์ อ้ ง กลบั โต้เถียงโจทก์ (๘) ความทถ่ี ูกโจทก์ฟอ้ ง กลบั รกุ รานโจทก์ (๙) ความทีถ่ ูกโจทกฟ์ ้อง กลับปรักปรำ� โจทก ์ (๑๐) ความท่ีถกู โจทก์ฟอ้ ง กลบั นำ� เร่อื งอ่นื มากลบเกลอ่ื น ( ๑๑) ความท่ีถูกโจทก์ฟ้อง กลับเป็นผู้ไม่พอใจตอบด้วยความ ประพฤติ ( ๑๒) ความเป็นผู้ชอบลบหลู่ ชอบตีเสมอ (๑๓) ความเป็นผรู้ ษิ ยา เปน็ ผ้ตู ระหน่ี (๑๔) ความเป็นผู้โอ้อวด เจ้ามายา ( ๑๕) ความเปน็ ผู้กระด้าง ชอบดหู ม่นิ ผอู้ ่ืน ( ๑๖) ความเป็นผ้ถู อื แตค่ วามเห็นของตน แตใ่ นอรรถกถาสมันตปาสาทิกา ไดแ้ สดงธรรมที่ทำ� ให้เป็นผูว้ ่ายากนี้ ไว้ ๑๘ ประการ ๑๖ ประการข้างตน้ เหมอื นในพระไตรปฎิ ก แตเ่ พิม่ เตมิ อกี ๒ ประการ คอื (๑๗) ความเป็นผูด้ ้อื รั้น (๑๘) ความเป็นผูถ้ อนได้ยาก พระวินัยบัญญัติ 147 www.kalyanamitra.org

เจตนารมณข์ องสิกขาบทข้อน้ี สกิ ขาบทนี้ แสดงถงึ ลกั ษณะของผวู้ า่ ยากสอนยาก ทไี่ มม่ ใี ครวา่ กลา่ ว ตกั เตอื นได้ ใครวา่ ไมฟ่ ัง แม้จะมผี หู้ วังดเี ตอื นสติให้สละความประพฤตเิ ช่นนนั้ ก็ยังตอบโต้ไม่ยอมสละ แสดงถึงนิสัยว่าขาดความอดทน ไม่รับอนุศาสน์ค�ำ ตักเตอื นโดยเคารพ เปน็ ผูห้ ัวด้ือ เต็มไปดว้ ยทฐิ มิ านะ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้ภิกษุเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ยอมรับ ฟังค�ำตักเตือนส่ังสอนของผู้หวังดี มีความอดทนต่อถ้อยค�ำว่ากล่าว แสดง อัธยาศัยเป็นคนออ่ นน้อมถอ่ มตน ไม่หวั ดอ้ื ไมถ่ อื ทิฐิมานะ อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษผุ ู้ยังไมถ่ กู สวดสมนุภาสน์ (๒) ภกิ ษุผ้สู ละเสียได้ (๓) ภกิ ษผุ ู้วกิ ลจริต (๔) ภกิ ษผุ ู้เปน็ ต้นบญั ญตั ิ หรือภกิ ษอุ าทกิ มั มิกะ ไดแ้ ก่ พระฉนั นะ สงั ฆาทเิ สส สกิ ขาบทที่ ๑๓ ค�ำแปลพระบาลีในพทุ ธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุเข้าไปอาศัยหมู่บ้านก็ดี นิคมก็ดี แห่งใด แห่งหนึ่งอยู่ เป็นผู้ประทุษร้ายตระกูลมีความประพฤติ เลวทราม ความประพฤติเลวทรามของเธอเขาเห็นกนั อยู่ และได้ยินกันอยู่ และตระกูลท้ังหลายถูกเธอประทุษร้าย 148 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

แล้วเขาก็เห็นกันอยู่และได้ยินกันอยู่ ภิกษุน้ันอันภิกษุ ทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้ประทุษร้าย ตระกูล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลว ทรามของท่านเขาเห็นกนั อยูแ่ ละได้ยินกันอยู่ และตระกลู ทั้งหลายที่ท่านประทุษร้ายแล้วเขาก็เห็นกันอยู่และได้ยิน กนั อยู่ ทา่ นจงหลกี ไปเสียจากอาวาสน้ี ทา่ นอย่าอยู่ในที่น้ี และภิกษุน้ันอันภิกษุท้ังหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ พึงพูด โต้ตอบภิกษุเหล่าน้ันอย่างน้ีว่า พวกภิกษุล�ำเอียงเพราะ ชอบ ล�ำเอียงเพราะชัง ล�ำเอียงเพราะหลง และล�ำเอียง เพราะกลัว ในเพราะอาบัติเช่นเดียวกัน ขับภิกษุบางรูป แตไ่ มข่ บั ภกิ ษบุ างรปู ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ ตกั เตอื น อย่างนวี้ า่ ท่านอย่าไดก้ ล่าวอยา่ งนั้น ภิกษทุ ้งั หลายหาได้ ล�ำเอยี งเพราะชอบ หาไดล้ �ำเอียงเพราะชงั หาได้ล�ำเอียง เพราะหลง หาได้ล�ำเอียงเพราะกลัวไม่ ท่านเองแลเป็น ผู้ประทุษร้ายตระกูล มีความประพฤติเลวทราม ความ ประพฤตเิ ลวทรามของทา่ นเขาเหน็ กนั อยแู่ ละไดย้ นิ กนั อยู่ และตระกูลท้ังหลายที่ถูกท่านประทุษร้ายเขาก็เห็นกันอยู่ และไดย้ นิ กนั อยู่ ทา่ นจงหลกี ไปเสยี จากอาวาสน้ี ทา่ นอยา่ อยู่ในท่ีน้ี และภิกษุนั้นอันภิกษุท้ังหลายว่ากล่าวอยู่อย่าง นี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นแล ภิกษุน้ันอันภิกษุท้ังหลาย พึงสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละการ กระท�ำน้ันเสีย หากเธอถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ สามจบอยู่ ยอมสละการกระท�ำน้ันเสียได้ การสละได้ อยา่ งนี้ นน่ั เปน็ การดี หากเธอไมย่ อมสะ เปน็ สงั ฆาทเิ สส” พระวินัยบัญญัติ 149 www.kalyanamitra.org

เนอื้ ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ภกิ ษุประทษุ ร้ายตระกลู คอื ประจบคฤหสั ถ์ สงฆไ์ ล่เสยี จากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุอ่ืนห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวด กรรมเพ่ือให้ละขอ้ ท่ปี ระพฤตนิ ้ัน ถ้าไม่ละ ตอ้ งสังฆาทิเสส” อธบิ ายความโดยยอ่ ค�ำว่า ตระกลู ได้แก่ ตระกลู ๔ คอื ตระกลู กษตั ริย์ ตระกลู พราหมณ์ ตระกลู แพศย์ ตระกูลศทู ร ค�ำว่า เป็นผู้ประทุษร้ายตระกูล คือ ประจบตระกูลด้วยดอกไม้บ้าง ผลไมบ้ า้ ง แปง้ บา้ ง ดนิ บา้ ง ไมส่ ฟี นั บา้ ง ไมไ้ ผบ่ า้ ง การแพทยบ์ า้ ง การสอื่ สารบา้ ง กล่าวคือน�ำส่ิงของเหลา่ นหี้ รอื ของอื่นไปฝาก ไปเปน็ ของกำ� นัล เป็นของขวัญ ในวาระตา่ งๆ เพ่ือแสดงนำ�้ ใจ เพื่อใหเ้ ขาร้วู า่ ไมล่ ืมไม่ทอดท้งิ เปน็ ต้น คำ� ว่า มคี วามประพฤติเลวทราม คอื ทำ� ตนเป็นคนเออื้ เฟื้อ เอางาน ช่วยเหลือ เช่น ปลูกต้นไม้ให้บ้าง ใช้ให้คนอ่ืนปลูกบ้าง รดน�้ำเองบ้าง ใช้ให้ ผู้อ่ืนรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้คนอื่นเก็บบ้าง ร้อยดอกไม้เองบ้าง ใช้ ใหค้ นอนื่ ร้อยบา้ ง ค�ำว่า ตระกูลท้งั หลายถูกเธอประทุษร้ายแลว้ คอื คนทัง้ หลาย เมอ่ื ก่อนเป็นคนมีศรัทธา กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา เมื่อก่อนเป็นคนเลื่อมใส กลับ เป็นคนไม่เลื่อมใส เพราะภิกษุนั้น กล่าวคือท�ำให้คนท้ังหลายห่างศาสนา ทิ้ง ศาสนา หรือเลิกนับถือศาสนาไป 150 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

การประทษุ รา้ ยตระกลู ในสกิ ขาบทนม้ี ใิ ชห่ มายถงึ การทำ� รา้ ยรา่ งกาย การทำ� ให้บาดเจบ็ หรือการทำ� ใหท้ รพั ยส์ ินเสยี หาย ตามความหมายท่วั ไป แต่ หมายถึงการท�ำร้ายศรัทธาปสาทะของตระกูลให้เสียไป ให้เสื่อมไป อันเป็น เหตุให้ตระกูลห่างจากการบ�ำเพ็ญกุศลท่ีเคยท�ำ ท�ำให้เสียผลความดีท่ีควรได้ รับ ด้วยการที่ภิกษุประพฤติตนเหมือนคนรับใช้ ประพฤติเป็นอลัชชีไม่ละอาย แก่ใจ ประพฤติไม่สมควร เช่น ปลูกต้นไม้เองบ้าง ใช้ให้คนอ่ืนปลูกบ้าง ฉัน อาหารในภาชนะเดยี วกนั บา้ ง นอนบนเตยี งเดยี วกนั บา้ ง ดมื่ นำ้� เมาบา้ ง ทดั ทรง ดอกไมบ้ ้าง ฟอ้ นร�ำบา้ ง ขับรอ้ งบ้าง เล่นหมากรกุ บา้ ง และแสดงกริ ยิ าอาการ ท่ีน่ารังเกียจ ซึ่งเป็นกิริยาอาการของคฤหัสถ์ท่ีขาดการฝึกฝนอบรม เม่ือชาว ประชาในตระกูลท้ังหลายท้ังตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ หรือตระกูลอ่ืน เห็นแล้วไมอ่ าจทนดูทนเห็นได้ กค็ ลายศรทั ธา คลายความเคารพนบั ถอื ไม่ให้ ความส�ำคญั แกภ่ กิ ษุสงฆต์ อ่ ไปอีก เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อน้ี สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือปรามภิกษุอลัชชีผู้ไม่ละอายแก่ใจ ท่ี ชอบประพฤตเิ สียหายไมเ่ หมาะไมค่ วรแก่สมณภาวะ ใหเ้ ลกิ ละ ไมใ่ หก้ ระท�ำอีก ต่อไป แล้วตั้งอยู่ในสมณสารูป ประพฤติปฏิบัติมิให้เป็นที่เสื่อมศรัทธาปสาทะ ของชาวบ้าน ไม่เป็นผู้ประทุษร้ายตระกูลต่อไป ก็จะท�ำให้ชาวบ้านหันกลับมา ศรัทธาปสาทะได้เหมือนเดิม เมื่อเป็นดังนี้ พระศาสนาก็จะด�ำรงมั่นคงสถาพร สืบสานตอ่ ไปไดอ้ กี นานเทา่ นาน พระวินัยบัญญัติ 151 www.kalyanamitra.org

อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุผู้ยังไม่ถูกสวดสมนภาสน์ (๒) ภิกษุผู้เสียสละได้ (๓) ภิกษุผู้วิกลจริต (๔) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระอัสสชิและพระ ปนุ ัพพสุกะ (สองค่หู ูอกี คู่หน่งึ ในหมู่ภกิ ษุฉัพพคั คยี )์ สงเฺ กยฺย สงฺกิตพพฺ านิ รกฺเขยยฺ านาคตํ ภยํ ฯ พงึ ระแวงสิ่งท่ีควรระแวง พงึ ปอ้ งกนั ภยั ทีย่ ังไม่มาถงึ ตวั ที่มา : ปุจมิ นั ทชาดก ขุ.ชา. ๒๗/๕๔๕ 152 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

อนิยต ๒ อนิยต แปลว่า ไม่แน่นอน, การล่วงละเมิดท่ีมีการปรับอาบัติไว้ไม่ แน่นอน คำ� วา่ อนยิ ต นมี้ ิใชเ่ ป็นช่อื อาบัตเิ หมือนช่ืออาบัติอื่นๆ เชน่ ปาราชกิ สังฆาทิเสส เพราะการปรับโทษเป็นอาบัติตามความผิดน้ันยังไม่แน่นอน อาจ เปน็ ปาราชกิ เป็นสงั ฆาทิเสส หรือเป็นปาจติ ตยี ์กไ็ ด้ แล้วแตก่ รณี การปรับอาบตั ใิ นอนยิ ตนขี้ ้นึ อยูก่ ับบุคคลหลัก ๒ ฝา่ ย ฝา่ ยหนึ่งคอื อบุ าสกิ าผมู้ วี าจาทเ่ี ชอ่ื ถอื ไดท้ ไ่ี ดเ้ หน็ ภกิ ษนุ ง่ั ในทล่ี บั ตาหรอื ในทล่ี บั หกู บั ผหู้ ญงิ อันไมเ่ หมาะไมค่ วร แลว้ พดู ข้ึนมาโดยไมเ่ จาะจงวา่ ผดิ อยา่ งไร เช่นพูดว่า การ ที่พระคุณเจ้าน่ังในที่ลับท่ีก�ำบังกับผู้หญิงเช่นน้ีเป็นการไม่เหมาะไม่ควร แม้ พระคณุ เจ้าจะไม่ไดท้ �ำการนน้ั ๆ ให้ต้องอาบตั ิก็จริง แตก่ ็บอกใหพ้ วกชาวบ้าน ผูท้ ไ่ี มเ่ ลือ่ มใสใหเ้ ชือ่ ได้ยาก หรือพดู เจาะจงว่าภิกษุผิดวนิ ยั ขอ้ ไหน นฝี่ ่ายหนึง่ อกี ฝา่ ยหนงึ่ คอื ภกิ ษผุ นู้ ง่ั อยใู่ นทล่ี บั ตาหรอื ในทล่ี บั หนู นั้ เมอื่ ถกู กำ� หนดวา่ ทำ� ไม่ เหมาะไมค่ วร แตไ่ มไ่ ดเ้ จาะวา่ ผดิ อยา่ งไรหรอื พดู เจาะวา่ ผดิ วนิ ยั ขอ้ ไหน ยอมรบั การกระท�ำนั้น อยา่ งนพ้ี งึ ถูกปรับอาบตั ิ ๓ อย่างมปี าราชกิ เป็นต้น ตามท่ตี น ยอมรับ หรอื ถกู ปรับอาบตั อิ ย่างเดียวตามท่ีเขาเจาะจงความผิด อบุ าสกิ าผมู้ วี าจาทเ่ี ชอ่ื ถอื ไดน้ น้ั คอื อบุ าสกิ าซงึ่ เขา้ ถงึ พระรตั นตรยั เป็นสรณะ ซึ่งเป็นผู้ได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลหรือผู้เข้าใจเรื่องศาสนาดี เชน่ นางวสิ าขามหาอบุ าสกิ า ผเู้ ป็นโสดาบนั บุคคล ซึง่ เปน็ ผูแ้ จง้ การกระทำ� ของภิกษุอันเป็นต้นบัญญัติอนิยตสิกขาบทน้ี จัดว่าเป็นอุบาสิกาผู้มีวาจาท่ี เชื่อถอื ได้ พระวินัยบัญญัติ 153 www.kalyanamitra.org

อุบาสกแม้จะเป็นอริยบุคคล และหญิงธรรมดาท่ัวไปซึ่งมิได้ถึงพระ รัตนตรัยเป็นสรณะ ยังมิได้เป็นอริยบุคคลหรือมิได้บรรลุธรรม ยังไม่มีความ เขา้ ใจในเรอื่ งศาสนาดี หรอื นบั ถอื ศาสนาอน่ื ไมเ่ ขา้ ขา่ ยทจ่ี ะพดู ขนึ้ เพอ่ื ใหม้ กี าร ปรบั อาบตั แิ กภ่ ิกษใุ นเพราะเหตุนี้ อนยิ ตนม้ี ี ๒ สกิ ขาบท คือ อนิยต สกิ ขาบทท่ี ๑ ค�ำแปลพระบาลีทเี่ ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ “อนึ่ง ภิกษุใดนั่งในท่ีลับคือในอาสนะก�ำบังพอท่ีจะ ท�ำการได้กบั มาตคุ ามสองตอ่ สอง อบุ าสิกาผมู้ ีวาจาทเี่ ชอ่ื ถือได้เห็นภิกษุกับมาตุคามน้ันน่ันแล้ว พูดข้ึนด้วยธรรม ๓ ประการ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื ปาราชกิ กด็ ี สงั ฆาทเิ สส กด็ ี ปาจติ ตยี ก์ ด็ ี ภกิ ษยุ อมรบั การนง่ั พงึ ถกู ปรบั ดว้ ยธรรม ๓ ประการ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง คอื ปาราชกิ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อีกอย่างหนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจาที่เช่ือถือ ไดน้ น้ั กลา่ วด้วยธรรมใด ภิกษนุ ้ันพึงถูกปรับดว้ ยธรรมน้นั ธรรมน้ชี ่อื อนยิ ต” เนือ้ ความย่อในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุน่ังในท่ีลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนท่ีควร เชอ่ื ไดม้ าพดู ขนึ้ ดว้ ยธรรม ๓ อยา่ ง คอื ปาราชกิ หรอื สงั ฆา- ทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด 154 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ให้ปรับอย่างนั้น หรือเขาว่าจ�ำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับ อย่างน้ัน” อธิบายความโดยยอ่ ค�ำว่า ในทล่ี บั คอื ที่ลับตากับทีล่ ับหู - ที่ลับตา คือท่ีซ่ึงไม่มีใครสามารถจะแลเห็นภิกษุหรือมาตุคาม ขยบิ ตา ยกั คว้ิ หรอื ผงกศรี ษะได้ - ทล่ี บั หู คอื ทซี่ ง่ึ ไมม่ ใี ครสามารถจะไดย้ นิ คำ� ทพี่ ดู กนั ตามปกตไิ ด้ ค�ำว่า อาสนะก�ำบัง คืออาสนะที่ปิดบังไว้ด้วยฝา บานประตู เสื่อ ล�ำแพน มา่ น ต้นไม้ เสา หรือกระสอบข้าว อยา่ งใดอย่างหนึ่ง ค�ำว่า พอทีจ่ ะท�ำการได้ คือ อาจทจ่ี ะเสพเมถนุ ธรรมกนั ได้ ค�ำวา่ สองต่อสอง คือ ภกิ ษกุ ับมาตคุ ามคอื ผู้หญงิ คำ� วา่ นงั่ หมายถงึ เมอ่ื มาตคุ ามนงั่ ภกิ ษนุ งั่ ใกลห้ รอื นอนใกลก้ ด็ ี เมอื่ ภกิ ษุนง่ั มาตคุ ามนงั่ ใกลห้ รือนอนใกลก้ ็ดี นงั่ ทง้ั สองคนหรือนอนทัง้ สองคนก็ดี ค�ำว่า อุบาสิกา หมายถึงสตรีผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ผู้ถึงพระ ธรรมเปน็ สรณะ ผ้ถู ึงพระสงฆเ์ ป็นสรณะ ค�ำวา่ ผมู้ ีวาจาเชอื่ ถอื ได้ หมายถงึ ผบู้ รรลโุ สดาปตั ตผิ ล ผู้ตรัสรธู้ รรม ผเู้ ข้าใจศาสนาดี คำ� วา่ อนยิ ต แปลวา่ ไมแ่ นน่ อน คอื เปน็ ปาราชกิ กไ็ ด้ เปน็ สงั ฆาทเิ สส กไ็ ด้ เป็นปาจิตตยี ์ก็ได้ พระวินัยบัญญัติ 155 www.kalyanamitra.org

อุบาสิกาผู้มีวาจาท่ีเชื่อได้เช่นน้ันพึงพูดข้ึนด้วยธรรม ๓ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี ปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุยอมรับ การนั่ง พึงถกู ปรับดว้ ยธรรม ๓ ประการนนั้ อย่างใดอยา่ งหนึง่ คือ ปาราชกิ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อีกประการหนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจาท่ีเชื่อถือได้น้ัน กลา่ วด้วยธรรมใด ภกิ ษนุ ้นั พึงถกู ปรบั ด้วยธรรมน้นั สิกขาบทน้ีเป็นการแสดงถึงการให้ความส�ำคัญแก่อุบาสิกาผู้มีวาจา ที่เช่ือถือได้ โดยที่เมื่อนางเห็นภิกษุนั่งในที่ลับตาหรือที่ลับหูกับหญิงสองต่อ สองก็เข้าไปเตือนวา่ ไมเ่ หมาะไมค่ วร ไมพ่ งึ กระทำ� เม่ือภกิ ษุไมเ่ ชอื่ จงึ ไปแจง้ แก่ พระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้ามไว้ ทั้งนี้เพราะทรงเห็น ว่า อุบาสิกาเช่นน้ันเป็นเสาหลักในการให้ความอุปถัมภ์บ�ำรุงภิกษุสงฆ์ ช่วย ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา และมีจิตใจงดงามท่ีจะเห็นพระพุทธศาสนา สถาพรมั่นคง จึงเสียสละก�ำลังกาย ก�ำลังทรัพย์ และสติปัญญาถวายแก่ พระศาสนาอยา่ งเตม็ ท่ี การบญั ญตั พิ ระวนิ ยั คลอ้ ยตามความเหน็ ของอบุ าสกิ า เช่นนัน้ จงึ เปน็ การเหมาะสม บทภาชนยี แ์ ห่งสิกขาบทนี้ บทภาชนีย์ คือ บทท่ีควรขยายความ อันท่านต้ังไว้เพ่ือขยายความ หมายถึงการน�ำเอาค�ำหรือข้อความในสิกขาบทที่ท่านอธิบายมาช้ันหน่ึงแล้ว มาอธิบายเสริมความเข้าไปอีกเพื่อความชัดเจน แม้ในสิกขาบทน้ีท่านก็ต้ังบท ภาชนีย์ไว้ เพอ่ื เป็นแนวทางในการปรับหรือไม่ปรับอาบตั ิ คือ - ภกิ ษยุ อมรบั การไป ยอมรบั การนง่ั ยอมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั ตามอาบตั ิ - ภกิ ษยุ อมรบั การไป ไมย่ อมรบั การนงั่ ยอมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั ตาม อาบตั ิ 156 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ภกิ ษยุ อมรบั การไป ยอมรบั การนงั่ ไมย่ อมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั เพราะ การนง่ั - ภกิ ษยุ อมรบั การไป ไมย่ อมรบั การนงั่ ไมย่ อมรบั อาบตั ิ ไมพ่ งึ ปรบั - ภกิ ษไุ มย่ อมรบั การไป ยอมรบั การนงั่ ยอมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั ตาม อาบตั ิ - ภกิ ษไุ มย่ อมรบั การไป ไมย่ อมรบั การนงั่ ยอมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั ตาม อาบตั ิ - ภกิ ษไุ มย่ อมรบั การไป ยอมรบั การนงั่ ไมย่ อมรบั อาบตั ิ พงึ ปรบั เพราะ การนง่ั - ภกิ ษไุ มย่ อมรบั การไป ไมย่ อมรบั การนงั่ ไมย่ อมรบั อาบตั ิ ไมพ่ งึ ปรบั เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือเตือนสติภิกษุ มิให้ท�ำอะไรรุ่มร่าม ประเจิดประเจ้อ ไม่เหมาะไมค่ วร อันผคู้ นเห็นและได้ยนิ เพื่อใหส้ �ำรวมระวังใน การน่ังการอยู่กับสตรีสองต่อสอง ซึ่งอาจเกิดความประมาท พล้ังเผลอ หรือ หลงมัวเมาแล้วท�ำผิดพลาดพระวินัยขึ้นได้ เป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้า ดีกว่า มาแกต้ วั ในภายหลัง ซึ่งบางครัง้ ก็ไมอ่ าจแก้ตวั ได้ สรุปแล้ว การท่ีทรงบัญญัตหิ ้ามไว้ก็เพื่อป้องกนั ความเสยี หายอันจะ เกิดแก่ภิกษุและคณะสงฆ์ เพราะการกระทำ� เชน่ นน้ั ไม่เหมาะไม่ควรหลายประการ คือ พระวินัยบัญญัติ 157 www.kalyanamitra.org

(๑) ท�ำให้ภกิ ษเุ กิดความก�ำหนัดไดง้ ่าย (๒) ย่อมเปน็ ทีต่ ิเตียนวา่ ร้ายของผู้ทไี่ ดเ้ หน็ (๓) ยอ่ มเป็นที่รงั เกียจสงสัยของเหล่าภิกษดุ ว้ ยกัน (๔) ย่อมเปน็ ตวั อยา่ งท่ไี มด่ ีส�ำหรบั ผถู้ ือเพศนกั บวชเป็นภิกษุ อนิยต สกิ ขาบทท่ี ๒ ค�ำแปลพระบาลที ี่เป็นพุทธบัญญตั ิ “อน่ึง สถานที่นั่งไม่เป็นที่ก�ำบังเลย ไม่เป็นที่พอจะ ท�ำการได้ แต่เป็นที่พอจะพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่ว หยาบไดอ้ ยู่ และภกิ ษุใดส�ำเร็จการนง่ั ในทีล่ บั กบั มาตคุ าม สองตอ่ สองในอาสนะมรี ปู อยา่ งนน้ั อบุ าสกิ าผมู้ วี าจาทน่ี า่ เชอื่ ถอื ไดเ้ หน็ ภกิ ษกุ บั มาตคุ ามนน้ั นนั่ แลว้ พดู ขนึ้ ดว้ ยธรรม ๒ ประการอย่างใดอย่างหน่ึง คือ ด้วยสังฆาทิเสสก็ดี ดว้ ยปาจติ ตยี ก์ ด็ ี ภกิ ษยุ อมรบั การนง่ั พงึ ถกู ปรบั ดว้ ยธรรม ๒ ประการ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ คอื ดว้ ยสงั ฆาทเิ สสกด็ ี ดว้ ย ปาจิตตีย์ก็ดี อีกอย่างหนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจาท่ีน่าเช่ือถือ ได้นน้ั กลา่ วด้วยธรรมใด ภิกษุนนั้ พงึ ถกู ปรบั ดว้ ยธรรมนน้ั แม้ธรรมนก้ี ็ชือ่ วา่ อนยิ ต” 158 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เนือ้ ความยอ่ ในหนังสือนวโกวาท “ภิกษุน่ังในท่ีลับหูกับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนท่ีควร เช่ือได้มาพูดข้นึ ดว้ ยธรรม ๒ อยา่ ง คอื สังฆาทิเสส หรอื ปาจติ ตยี ์ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ภกิ ษรุ บั อยา่ งใด ใหป้ รบั อยา่ งนน้ั หรือเขาวา่ จ�ำเพาะธรรมอยา่ งใด ให้ปรับอยา่ งน้นั ” อธิบายความโดยย่อ ค�ำว่า สถานท่ีน่ังไม่เป็นที่ก�ำบัง หมายถึงสถานท่ีน่ังเป็นท่ีเปิดเผย คือเปน็ สถานทีท่ ่มี ิไดก้ ำ� บังดว้ ยฝา บานประตู เส่ือล�ำแพน ม่านบงั ต้นไม้ เสา หรอื ฉาง อย่างอยา่ งหน่งึ ค�ำว่า ไมเ่ ป็นทพี่ อท�ำการได้ คอื ไมอ่ าจเสพเมถุนธรรมได้ ค�ำว่า แต่เป็นที่พอจะพูดเคาะมาตุคามได้ หมายถึงพอท่ีจะพูดเคาะ พูดเก้ียวพามาตุคามด้วยวาจาชว่ั หยาบได้ ค�ำว่า ในทีล่ ับ คือในท่ีลับตากบั ท่ลี ับหู ค�ำว่า สำ� เรจ็ การน่งั คอื เมอ่ื มาตคุ ามนง่ั แล้ว ภิกษนุ ั่งใกล้หรอื นอน ใกล้ก็ดี เม่ือภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามน่ังใกล้หรือนอนใกล้ก็ดี น่ังทั้งสองคนหรือ นอนท้ังสองคนกด็ ี ค�ำว่า อุบาสิกา หมายถึงสตรีผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ผู้ถึง พระธรรมเปน็ สรณะ ผ้ถู ึงพระสงฆเ์ ปน็ สรณะ พระวินัยบัญญัติ 159 www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า ผู้มีวาจาที่เช่ือถือได้ หมายถึงผู้บรรลุโสดาปัตติผล ผู้ตรัสรู้ ธรรม ผู้เขา้ ใจศาสนาดี คำ� วา่ อนยิ ต แปลวา่ ไมแ่ นน่ อน คอื เปน็ สงั ฆาทเิ สสกไ็ ด้ เปน็ ปาจติ ตยี ์ ก็ได้ อุบาสิกาผู้มีวาจาที่เชื่อได้เช่นน้ันพึงพูดขึ้นด้วยธรรม ๒ ประการ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง คือ สังฆาทเิ สสกด็ ี ปาจิตตยี ก์ ด็ ี ภกิ ษยุ อมรับการนั่ง พึงถกู ปรับดว้ ยธรรม ๒ ประการ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ คือ สงั ฆาทเิ สสบ้าง ปาจติ ตีย์ บา้ ง อีกประการหนง่ึ อบุ าสิกาผูม้ วี าจาทเี่ ชอ่ื ถอื ไดน้ ั้นกล่าวดว้ ยธรรมใด ภิกษุ น้นั พึงถกู ปรบั ด้วยธรรมน้นั เจตนารมณ์ของสิกขาบทขอ้ นี้ สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ วก้ ด็ ว้ ยหตผุ ลตา่ งๆ เหมอื นกบั เหตผุ ลทแี่ สดง ไวแ้ ล้วใน อนยิ ต สิกขาบทที่ ๑ เพราะมีเหตุเกิดอันเป็นต้นบญั ญัติคลา้ ยคลึง กัน พงึ ดทู ี่แสดงไวแ้ ล้วนน้ั เถิด 160 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

นสิ สคั คิยปาจติ ตีย์ ๓๐ นิสสัคคยิ แปลว่า สงิ่ ของอันควรสละ, ทำ� ใหต้ อ้ งสละ คอื ภิกษุต้อง อาบัติเพราะสิ่งใดเป็นเหตุ เช่นต้องเพราะจีวร ต้องเพราะบาตร ต้องสละจีวร หรือบาตรนัน้ แกภ่ กิ ษอุ ่นื เสยี ก่อนจงึ แสดงอาบัตติ ก ปาจติ ตยี ์ แปลวา่ การละเมดิ อนั ยงั กศุ ลใหต้ กไป คอื เมอ่ื ละเมดิ อาบตั ิ นี้แล้วย่อมท�ำให้กุศลธรรมของผู้ละเมิดให้ตกไป ให้เสียไป ท�ำให้พลาดจาก อริยมรรคไป เปน็ ความผดิ ทีป่ ิดกั้นโอกาสแหง่ ความดมี ใิ หเ้ กิดข้ึน ค�ำว่า นสิ สคั คิยปาจติ ตีย์ แปลว่า การละเมิดอนั ยงั กุศลใหต้ กไปอัน ท�ำใหต้ ้องสละสิ่งของ ความจริง ค�ำว่า นิสสัคคิย หรือที่เรียกกันท่ัวไปว่า นิสสัคคีย์ น้ัน มใิ ชเ่ ปน็ ชอื่ ของอาบตั ิ อาบตั ทิ เี่ กดิ จากการลว่ งละเมดิ สกิ ขาบทเหลา่ นเ้ี ปน็ อาบตั ิ ปาจิตตีย์ โดยเมื่อต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทในหมวดนี้แล้ว ต้องสละ สง่ิ ของทเี่ ปน็ เหตใุ หต้ อ้ งอาบตั เิ สยี กอ่ นแลว้ จงึ ไปแสดงอาบตั ิ จงึ จะพน้ จากอาบตั ิ ปาจติ ตยี น์ นั้ ได้ ซง่ึ ตา่ งจากการตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ธ์ รรมดา เมอื่ ภกิ ษแุ สดงอาบตั ิ แลว้ อาบัตปิ าจติ ตียน์ ้นั กต็ กไป จึงเรียกรวมกันว่า อาบตั นิ ิสสคั คยิ ปาจติ ตีย์ นิสสคั คยิ ปาจติ ยน์ มี้ ี ๓๐ สิกขาบท แบ่งเปน็ ๓ วรรค คอื (๑) จีวรวรรค หมวดวา่ ด้วยจีวร มี ๑๐ สกิ ขาบท (๒) โกสิยวรรค หมวดวา่ ดว้ ยสันถัตใยไหม มี ๑๐ สกิ ขาบท (๓) ปัตตวรรค หมวดวา่ ด้วยบาตร มี ๑๐ สิกขาบท พระวินัยบัญญัติ 161 www.kalyanamitra.org

จวี รวรรค หมวดว่าด้วยจีวร จวี รวรรค สิกขาบทที่ ๑ ค�ำแปลพระบาลีที่เปน็ พุทธบญั ญัติ “เมื่อจีวรของภิกษุส�ำเร็จแล้ว เมื่อกฐินเดาะ เสียแล้ว พึงทรงอติเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วันเป็น อย่างย่ิง ภิกษุให้ล่วงก�ำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิย- ปาจติ ตยี ”์ เนือ้ ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภกิ ษทุ รงอตเิ รกจวี รไดเ้ พยี ง  ๑๐  วนั เปน็ อยา่ งยงิ่ ถา้ ล่วง ๑๐ วนั ไป เป็นนสิ สัคคิยปาจิตตยี ์” อธิบายความโดยย่อ ค�ำวา่ เม่ือจวี รสำ� เรจ็ แล้ว หมายถงึ จีวรของภิกษุทำ� ส�ำเร็จแลว้ หรือ หายไป หรือใชไ้ ม่ได้ หรือถูกไฟไหม้ หรอื หวงั วา่ จะได้ ค�ำว่า กฐินเดาะ หมายถึงกฐินเสียหายหรือบกพร่องกลางคัน หรือ กฐินทส่ี งฆเ์ ดาะเสยี ในระหว่าง - กฐินเสียหายหรือบกพรอ่ งกลางคนั ดว้ ยมาตกิ าหรือหวั ขอ้ แห่ง การเดาะกฐิน ๘ ประการ เชน่ ภิกษุได้กรานกฐินแลว้ ถือจีวรหลีกไป เธออยู่ 162 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

นอกสมี ามคี วามคดิ อย่างนวี้ า่ จักให้ท�ำจีวรผืนน้ี ณ ภายนอกสีมานแี้ หละ จกั ไม่กลับมา เธอให้ท�ำจีวรผืนนั้นเสร็จ การเดาะกฐินของภิกษูนั้น ก�ำหนดด้วย การท�ำจีวรเสร็จ - กฐนิ ทสี่ งฆเ์ ดาะเสยี ในระหวา่ ง คอื เมอ่ื สงฆก์ รานกฐนิ อนโุ มทนา กฐนิ ตามพระวนิ ยั แลว้ ยงั ไมพ่ น้ เขตจวี รกาล (คอื ฤดถู วายผา้ แกพ่ ระสงฆไ์ ด้ ถา้ กรานกฐินแลว้ กำ� หนดไว้ ๕ เดือน จากวนั แรม ๑ คำ�่ เดือน ๑๑ ไปจนถงึ วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่� เดอื น ๔) มผี ตู้ อ้ งการถวายกาลจวี ร ขอใหส้ งฆเ์ ดาะกฐนิ คอื ยกเลกิ อานสิ งสก์ ฐินในระหว่างจีวรกาลนนั้ ซ่ึงกท็ รงอนญุ าตให้เดาะกฐินได้ คำ� วา่ อติเรกจีวร หมายถงึ จวี รทย่ี งั ไมไ่ ด้อธษิ ฐาน ยังไม่ได้วิกปั - อธษิ ฐาน หมายถึงการตั้งใจกำ� หนดไวว้ า่ จะใช้เปน็ ของประจำ� ตัว อย่างน้ีๆ เช่นได้ผ้ามาแล้วตั้งใจไว้ว่าจะท�ำเป็นสังฆาฏิส�ำหรับเป็นผ้าซ้อน ท�ำ เป็นจีวรส�ำหรับห่ม ท�ำเป็นสบงส�ำหรับนุ่ง เม่ือต้ังใจแล้วก็อธิษฐานเป็นอย่าง นน้ั ๆ เมอื่ อธษิ ฐานแล้ว ผา้ นั้นเรยี กว่า ผา้ อธษิ ฐาน หรือ ผา้ ครอง ถ้ายังไม่ ไดอ้ ธษิ ฐาน ถอื เปน็ อตเิ รกจีวร - วิกัป หมายถึงการท�ำให้เป็นของสองเจ้าของ คือขอให้ภิกษุหรือ สามเณรอื่นร่วมเป็นเจ้าของจีวรหรือบาตรน้ันๆ ด้วย ซ่ึงท�ำให้ไม่ต้องอาบัติ เพราะเก็บอติเรกจีวรไว้เกินก�ำหนด ถ้าเป็นผ้าที่ยังไม่ได้วิกัป ถือเป็น อติเรก จวี ร คำ� ว่า ทรง คือ ครองหรอื นุ่งห่ม ตลอดถึงมีไวเ้ ป็นกรรมสิทธ์ิ คำ� วา่ ให้ล่วงกำ� หนดนัน้ ไป เป็นนิสสคั คิยปาจิตตีย์ คือ ในเมื่ออรณุ ขน้ึ ในวันที่ ๑๑ จีวรน้ันเป็นนสิ สคั คิยะ คือเปน็ ของจ�ำต้องสละแกส่ งฆ์ (ภิกษุ พระวินัยบัญญัติ 163 www.kalyanamitra.org

จ�ำนวน ๔ รูปข้ึนไป) แก่คณะ (ภิกษุจำ� นวน ๒-๓รูป) หรือแก่บุคคล (ภิกษุ รปู เดยี ว) และส่วนตัวภิกษุตอ้ งอาบัติปาจติ ตยี ์ วิธีการสละจีวรที่เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์นั้น ท่านก�ำหนดไว้ชัดเจน ในพระไตรปฎิ ก จวี รทเ่ี ปน็ นสิ สคั คยิ ะนนั้ ภกิ ษตุ อ้ งสละใหภ้ กิ ษอุ น่ื และมธี รรมเนยี ม ว่า ภิกษุผรู้ บั สละนนั้ ต้องคืนใหแ้ ก่ภิกษผุ ู้สละ ถ้าไม่คืนให้ เปน็ อาบตั ิ ทกุ กฏ ตามทีท่ รงบัญญตั ิไว้วา่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จีวรท่ีภิกษุสละแล้วแก่สงฆ์ แก่คณะ หรือ แกบ่ ุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้ ภิกษใุ ดไมค่ ืนให้ ต้องอาบตั ิทุกกฏ” เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุมีความมักมาก ไม่รู้ จกั พอ และเพ่อื ให้ภิกษมุ ีความประหยัดในการใชผ้ ้าน่งุ หม่ ไมม่ นี สิ ยั สรุ ยุ่ สรุ ่าย และไม่ต้องมีภาระหอบหิ้วบริขารในการจาริกไปในท่ีต่างๆ เพราะสมัยน้ันจีวร เป็นของหายาก ภิกษุต้องจาริกไปเผยแผธ่ รรมอยเู่ สมอ จะอย่เู ป็นหลักประจำ� ก็เฉพาะตอนเข้าพรรษาเท่านั้น และทรงผ่อนผันให้รับและใช้สอยได้ในเวลา จ�ำกัด ด้วยทรงเห็นความจ�ำเป็นบางกรณี เช่นรักษาศรัทธาของผู้ถวาย และ ในกรณมี ีเหตจุ �ำเป็นอ่ืน อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษอุ ธิษฐานไวภ้ ายใน ๑๐ วนั (๒) ภกิ ษุวกิ ปั ไว้ภายใน ๑๐ วัน (๓) ภิกษุ 164 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

สละไปภายใน ๑๐ วัน (คือรับไว้แล้วทิ้งไปก่อน ๑๐ วัน) (๔) จีวรหายไป ภายใน ๑๐ วัน (๕) จีวรฉิบหายไป (คือฉีกขาด ใช้การไม่ได้) ภายใน ๑๐ วัน (๖) จวี รถกู ไฟไหม้ไปภายใน ๑๐ วนั (๗) โจรชิงเอาไปภายใน ๑๐ วัน (๘) ภิกษถุ ือวิสาสะ (๙) ภกิ ษวุ ิกลจรติ (๑๐) ภกิ ษผุ ูเ้ ป็นต้นบญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษุ อาทิกมั มกิ ะ ได้แก่ พระอานนท์ จีวรวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ ค�ำแปลพระบาลที เี่ ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ “เมื่อจีวรของภิกษุส�ำเร็จแล้ว เมื่อกฐินเดาะเสียแล้ว ถา้ ภกิ ษอุ ยปู่ ราศจากไตรจวี ร แมส้ น้ิ ราตรหี นงึ่ เปน็ นสิ สคั - คยิ ปาจติ ตยี ์ เวน้ แต่ภกิ ษไุ ด้รับการสมมติ” เนอื้ ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิย- ปาจิตตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตไ่ ดส้ มมต”ิ อธิบายความโดยย่อ ค�ำวา่ เม่อื จวี รส�ำเร็จแลว้ หมายถงึ จวี รของภกิ ษทุ �ำสำ� เร็จแลว้ หรือ หายไป หรอื ใช้ไม่ได้ หรือถูกไฟไหม้ หรือหวงั วา่ จะได้ ค�ำว่า กฐินเดาะ หมายถึงกฐินเสียหายหรือบกพร่องกลางคัน หรือ กฐินทสี่ งฆเ์ ดาะเสยี ในระหวา่ ง (ดรู ายละเออี ดใน จวี รวรรค สิกขาบทท่ี ๑) พระวินัยบัญญัติ 165 www.kalyanamitra.org

ค�ำว่า อยู่ปราศ หมายถึงอยู่โดยปราศจากไตรจีวร ไตรจีวรมิได้อยู่ กับตวั ตัวกบั ไตรจวี รอยกู่ ันคนละท่ี การอยู่ปราศจากไตรจวี รนนั้ ทา่ นก�ำหนดไว้ดังนี้ - กฏุ ทิ มี่ บี รเิ วณ ภกิ ษอุ ยรู่ ปู เดยี ว กำ� หนดเอาเครอื่ งลอ้ มเปน็ เขต ถา้ ไมม่ บี รเิ วณ ก�ำหนดเอาตัวกฏุ เิ ปน็ เกณฑ์ - กฏุ ทิ เ่ี ปน็ กฏุ ใิ หญ่ เปน็ ทอี่ ยขู่ องภกิ ษหุ ลายรปู ถา้ มบี รเิ วณ กำ� หนด เอากุฏิที่ไว้ผ้า ถ้าไม่มีบริเวณ ก�ำหนดเอาท่ีไว้ผ้า ถ้าห้องหนึ่งมี หลายรูป ใหก้ ำ� หนดด้วยหัตถบาสในระหวา่ งตนกับผ้า - ศาลาและทอี่ น่ื ๆ อนั เปน็ สาธารณสถาน พงึ กำ� หนดเวลาใชร้ ปู เดยี ว หรอื หลายรูป - โคนไมแ้ ละทซ่ี ง่ึ มเี ครอ่ื งลอ้ ม กำ� หนดเอาเครอื่ งลอ้ ม ถา้ ไมม่ เี ครอ่ื ง- ล้อม โคนไม้ ก�ำหนดแดนท่ีเงาแผ่ในเวลาเทีย่ งวนั ที่แจง้ ก�ำหนด ดว้ ยหตั ถบาสในระหวา่ งตนกบั ผ้า ส่วนหัตถบาสนั้นท่านก�ำหนดไว้ว่าวัดจากตนไปหาผ้า ให้ได้ระยะ ๑ ศอก ถ้าอยู่หา่ งจากนี้ เรียกวา่ อย่ปู ราศ ค�ำว่า ไตรจีวร ได้แก่ ผ้า ๓ ผืน คือ สังฆาฏิ ผ้าซ้อนนอก ๑ อตุ ตราสงค์ ผ้าห่มหรือผ้าจีวร ๑ อนั ตรวาสก ผา้ นงุ่ ๑ คำ� วา่ เวน้ แตภ่ กิ ษผุ ไู้ ดร้ บั การสมมติ คอื ยกเวน้ ภกิ ษทุ ไี่ มส่ ามารถนำ� ไปหรือดูแลผ้าได้ครบ ๓ ผืน ทรงอนุญาตให้เป็นพิเศษและให้สงฆ์สวดสมมติ เชน่ ภกิ ษุอาพาธ ตามพระพทุ ธพจนว์ า่ 166 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

“ดกู ่อนภิกษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตใหก้ ารสมมตเิ พื่อไมเ่ ป็นการอยู่ ปราศจากไตรจีวรแกภ่ กิ ษผุ ูอ้ าพาธ ...” สิกขาบทนี้เป็น อจิตตกะ แม้มิได้ต้ังใจจะอยู่ปราศจากไตรจีวร เมื่อ อย่ปู ราศไปแล้ว กเ็ ปน็ อาบัติ ถา้ อยปู่ ราศไมถ่ ึงคืนหน่งึ ถอนไตรจีวรเสยี กอ่ น หรอื ไตรจวี รสญู เสีย ไป หายไป พ้นจากความเป็นกรรมสิทธ์ิของภิกษุต้ังแต่อรุณยังไม่ข้ึน คือยัง ไม่ถงึ คืนหน่งึ ไม่ตอ้ งอาบัติ ตามสิกขาบทนี้ ภิกษุต้องอยู่กับไตรจีวรโดยตลอด โดยเฉพาะกลาง คนื เพราะอาจสญู เสยี หรอื หายหรอื ถกู โจรลกั ไปไดง้ า่ ยถา้ ไมส่ นใจดแู ลรกั ษา แม้ ปจั จบุ นั ไตรจวี รจะหาไดไ้ มย่ าก แตภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายกย็ งั คงรกั ษาพระวนิ ยั บญั ญตั ิ ข้อนี้ไว้ โดยเฉพาะนยิ มรกั ษาผ้าไตรจีวรตอนกลางคนื ก่อนไดอ้ รุณ โดยการต่ืน ก่อนร่งุ อรณุ ทำ� กิจเสร็จแลว้ กน็ ่งุ หม่ ไตรจวี รครบชดุ เรียกว่า “ครองผา้ ” จาก นนั้ กท็ ำ� วตั รสวดมนตห์ รอื ทำ� สมาธจิ นกระทงั่ สวา่ งไดอ้ รณุ เปน็ อบุ ายวธิ มี ใิ หอ้ ยู่ ปราศจากไตรจวี ร จากนน้ั จงึ ออกบณิ ฑบาต วธิ กี ารเชน่ นนี้ ยิ มเครง่ ครดั ในชว่ ง เข้าพรรษา เม่ือออกพรรษาแล้ว ได้รับอานิสงส์พรรษาและอานิสงส์กฐิน อยู่ ปราศจากไตรจีวรได้ จนถึงกลางเดือน ๔ จากน้ันจึงเข้าระเบียบเดิมอีก วน เวยี นอยอู่ ยา่ งนี้ การอย่ปู ราศจากจีวรได้ (๑) จ�ำพรรษาครบไตรมาสแล้ว อยปู่ ราศจากไตรจวี รได้ ๑ เดือน (๒) ไดก้ รานกฐนิ แล้ว อยู่ปราศจากไตรจีวรตอ่ ไปไดอ้ ีก ๔ เดอื น พระวินัยบัญญัติ 167 www.kalyanamitra.org

(๓) เมื่ออาพาธหนัก ได้รับสมมติจากสงฆ์ให้อยู่ปราศจากไตรจีวร ได้จนกว่าจะหาย (๔) ในเขตท่ีสงฆ์สมมติติจีวราวิปปวาสลงในสมานสังวาสสีมาให้ เปน็ ที่อยปู่ ราศจากไตรจีวรได้ คอื ในเขตวิสงุ คามสมี า หรอื ในเขตอโุ บสถ เจตนารมณ์ของสิกขาบทขอ้ นี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือให้ภิกษุเก็บรักษาไตรจีวร ไม่มักง่าย ปล่อยปละละเลย หรือไม่เห็นคุณค่าของจีวร จ�ำต้องสนใจเก็บสนใจรักษามิ ใหเ้ สียหายกอ่ นเวลาอันควร เพราะสมยั กอ่ นจีวรหาไดย้ าก การปฏิบัติอยา่ งน้ี ได้จนเคยชิน ก็จะสร้างนิสัยละเอียดรอบคอบ ไม่มักง่าย ไม่ปล่อยปละละเลย ในการเก็บ ในการดูแล ในการรักษาส่ิงของส�ำหรับใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ท�ำให้ ส่ิงของยังคงสภาพ ไดใ้ ช้สอยโดยสะดวก ไม่ต้องสนิ้ เปลือง ไมต่ ้องเสียเวลาไป หาใหมก่ อ่ นเวลาโดยใชเ่ หตุ อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุถอนเสียภายในอรุณ (๒) ภกิ ษสุ ละไปภายในอรณุ (๓) จวี รหายไป (๔) จีวรฉบิ หายไป (๕) จีวรถูกไฟไหม้ (๖) โจรชงิ เอาไป (๗) ภกิ ษุถอื วิสาสะ (๘) ภิกษุได้รับสมมติ (๙) ภิกษุวิกลจริต (๑๐) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือภิกษุ อาทิกัมมิกะ ได้แกภ่ กิ ษทุ ัง้ หลายที่วดั เชตวนั 168 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ คำ� แปลพระบาลีทเี่ ป็นพุทธบญั ญตั ิ “เม่ือจีวรของภิกษุส�ำเร็จแล้ว เมื่อกฐินเดาะเสียแล้ว อกาลจีวรเกิดข้ึนแก่ภิกษุ ภิกษุต้องการอยู่ก็พึงรับไว้ คร้ันรับแล้วพึงรีบให้ท�ำเป็นจีวร ถ้าผ้าน้ันมีไม่พอ เมื่อมี ความหวังว่าจะได้เพ่ิม ภิกษุนั้นพึงเก็บผ้าน้ันไว้ได้เดือน หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง เพ่ือผ้าท่ียังขาดอยู่จะได้พอ ถ้าเก็บไว้ เกินกว่าก�ำหนดนั้น แม้จะมีความหวังว่าจะได้เพิ่ม เป็น นสิ สคั คิยปาจติ ตีย์” เนื้อความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ภิกษุประสงค์จะท�ำจีวร แต่ยัง ไม่พอ ถ้ามีท่ีหวังว่าจะได้มาอีก พึงเก็บผ้านั้นไว้ได้เพียง เดอื นหนึ่งเปน็ อย่างย่ิง ถา้ เกบ็ ไวใ้ ห้เกนิ เดือนหนึง่ ไป แมถ้ งึ ยงั มีทห่ี วังว่าจะได้อย ู่ ตอ้ งนสิ ัคคยิ ปาจิตตีย”์ อธิบายความโดยย่อ ค�ำวา่ เมื่อจวี รส�ำเรจ็ แล้ว หมายถึงจีวรของภกิ ษทุ �ำสำ� เรจ็ แล้ว หรอื หายไป หรอื ใช้ไม่ได้ หรือถูกไฟไหม้ หรอื หวงั ว่าจะได้ ค�ำว่า กฐินเดาะ หมายถึงกฐินเสียหายหรือบกพร่องกลางคัน หรือ กฐินท่สี งฆเ์ ดาะเสียในระหวา่ ง (ดูรายละเออี ดใน จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑) พระวินัยบัญญัติ 169 www.kalyanamitra.org

คำ� ว่า อกาลจีวร ไดแ้ ก่ ผา้ ส�ำหรับทำ� จีวรท่ีเกิดข้ึนนอกเขตฤดูถวาย จวี ร ในระยะเวลา ๑๑ เดอื น เมอื่ ไมไ่ ดก้ รานกฐนิ เกดิ ขน้ึ ในระยะเวลา ๗ เดอื น เมื่อไดก้ รานกฐิน แม้ผ้าทเ่ี ขาถวายในกาล กช็ ื่อว่า อกาลจวี ร อกาลจวี รนีก้ ค็ ืออตเิ รกจีวรน่ันเอง ถ้าภิกษุตอ้ งการจะท�ำเปน็ จีวรผนื ใดผนื หนง่ึ ใน ๓ ผืนใชส้ อย แตย่ งั ไม่พอ เมอ่ื มีความหวังว่าจะได้ผ้ามาเพ่มิ อกี ผ้าน้ันก็เป็นอกาลจีวร พึงเก็บผ้าน้ันไว้ได้ ๑ เดือน ถ้าไม่ต้องการจะท�ำ หรือ ไม่มีท่ีหวังว่าจะได้ ผ้าน้ันก็เป็นอติเรกจีวรตามปกติ พึงเก็บไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วนั หรอื ผ้าท่ีเกบ็ ไวเ้ พราะมที ่หี วังว่าจะไดเ้ พิม่ แต่นานเกนิ กว่า ๑ เดือน ก็นบั เปน็ อตเิ รกจีวร ท่ีเก็บไวไ้ ด้ไม่เกนิ ๑๐ วนั ค�ำว่า เกิดขึ้น หมายถึงผ้าที่เกิดขึ้นจากสงฆ์ก็ดี จากคณะก็ดี จาก ญาติก็ดี จากมติ รกด็ ี จากท่บี งั สุกุลก็ดี จากทรัพย์ของตนกด็ ี ค�ำว่า ตอ้ งการอยู่ คอื เมอื่ ปรารถนาตอ้ งการก็พงึ รับไว้ คำ� วา่ พงึ รีบท�ำ คอื พึงท�ำใหเ้ สร็จใน ๑๐ วนั คำ� วา่ เมอ่ื มคี วามหวงั วา่ จะไดเ้ พม่ิ คอื มคี วามหวงั วา่ จะไดผ้ า้ มาเพมิ่ ใหส้ มบูรณ์ จากสงฆ์ จากคณะ เปน็ ตน้ ค�ำวา่ ถ้าเก็บไวเ้ กินกวา่ ก�ำหนดนน้ั แม้จะมีความหวังว่าจะไดเ้ พมิ่ มีอธิบายวา่ - ผ้าเดิมเกดิ ขนึ้ ในวนั นัน้ ผา้ ท่ีหวงั ก็เกิดข้นึ ในวันนั้น พงึ ใหท้ ำ� ให้ เสร็จใน ๑๐ วนั ..... - ถ้าผ้าเดิมเกิดข้ึนได้ ๒๑ วัน ผ้าท่ีหวังจึงเกิดขึ้น พึงให้ท�ำให้ เสรจ็ ใน ๙ วนั ..... 170 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

- ถา้ ผา้ เดมิ เกิดข้นึ ได้ ๒๙ วัน ผา้ ที่หวังจึงเกดิ จึ้น พึงให้ทำ� ให้ เสร็จใน ๑ วัน ผ้าเดิมเกิดข้นึ ได้ ๓๐ วัน ผ้าที่หวังจึงเกิดขึน้ พงึ อธษิ ฐาน พงึ วิกัป ไว้ พึงสละใหผ้ ู้อ่นื ไปในวันนนั้ แหละ ถา้ ไมอ่ ธิษฐาน ไม่วิกัปไว้ หรือไมส่ ละใหผ้ ู้อืน่ ไป เม่ืออรณุ ที่ ๓๑ ขน้ึ มา ผ้านั้นเปน็ นิสสคั คยี ์ จ�ำตอ้ งสละแกส่ งฆ์ แก่คณะ หรอื แก่บุคคล เจตนารมณข์ องสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพ่ือทรงอนุเคราะห์ภิกษุผู้ได้อกาลจีวรมา แล้วตอ้ งรบี ให้ทำ� เปน็ จวี ร เพราะเปน็ อตเิ รกจีวร แต่ผ้าไม่พอ จงึ รีบซกั แลว้ รีด เพ่ือใหผ้ า้ ขยายจะได้พอ แต่ก็ยงั ไมพ่ อ จึงทรงอนญุ าตใหร้ บั อกาลจีวรไวไ้ ด้เมื่อ มีความหวังว่าจะได้ผ้ามาเพ่ิม แต่ก็ทรงก�ำหนดให้เก็บไว้ได้ไม่เกินเดือนหน่ึง ด้วยทรงต้องการมิให้เป็นภาระในการเก็บผ้าเดิมไว้รอนานเกินไป ท�ำให้เกิด ความรกรงุ รังบา้ ง ผา้ เกดิ เปล่ยี นสภาพเน่าเหม็นเม่ือเก็บไมด่ บี า้ ง ถกู ท้ิงขวา้ ง เม่ือเจ้าของเดิมละทง้ิ ไป กลายเปน็ ภาระของผูอ้ ย่ขู ้างหลังบา้ ง อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษอุ ธิษฐานภายในเดอื นหนึ่ง (๒) ภกิ ษวุ ิกัปไวภ้ ายในเดือนหนงึ่ (๓) ภกิ ษุ สละไป (๔) จีวรหายไป (๕) จีวรฉบิ หายไป (๖) จวี รถกู ไฟไหมไ้ ป (๗) โจรชิง เอาไป (๘) ภิกษุถือวิสาสะ (๙) ภิกษุวิกลจริต (๑๐) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรอื ภิกษุอาทกิ มั มิกะ ได้แก่ ภิกษวุ ัดเชตวัน พระวินัยบัญญัติ 171 www.kalyanamitra.org

จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๔ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พุทธบัญญัติ “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดใชภ้ กิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติใหซ้ กั ก็ดี ใหย้ อ้ มกด็ ี ให้ทุบก็ดซี ่งึ จวี รเก่า เป็นนิสสัคคิยปาจติ ตีย์” เนือ้ ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุใช้นางภิกษุณีท่ีมิใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ใหท้ ุบก็ดี ซ่งึ จวี รเกา่ ต้องนสิ สคั คยิ ปาจติ ตีย”์ อธิบายความโดยย่อ คำ� วา่ ภกิ ษณุ ี ไดแ้ ก่ สตรที อ่ี ปุ สมบทถกู ตอ้ งตามพระวนิ ยั ในสงฆส์ อง ฝ่าย คอื ภกิ ษุณีสงฆ์ฝา่ ยหนึง่ ภิกษุสงฆอ์ กี ฝ่ายหนึง่ ค�ำว่า ผู้มิใชญ่ าติ ไดแ้ ก่ คนท่ีไมไ่ ด้เก่ยี วเนื่องกนั ทางมารดาหรือทาง บดิ าตลอดเจด็ ชวั่ คน หมายถงึ วงศส์ กลุ ทส่ี บื สายโลหติ กนั ๗ ลำ� ดบั โดยตนเอง เปน็ ลำ� ดบั กลาง สูงข้นึ ไป ๓ ลำ� ดับ คอื พ่อ ปู่ ทวด ต�่ำลงมาจากตัวเอง ๓ ล�ำดับ คือ ลกู หลาน เหลน เมือ่ รวมกบั ตัวเองแลว้ กเ็ ปน็ เจ็ดชว่ั คน หรอื เจด็ ชั่วโคตร ค�ำว่า จวี รเกา่ ไดแ้ ก่ ผา้ ที่นงุ่ แลว้ แมค้ รง้ั เดียว ห่มแล้วแม้ครง้ั เดยี ว คำ� วา่ ใหซ้ กั ใหย้ ้อม ใหท้ ุบ คอื เมื่อสง่ั ให้ภิกษุณใี ห้ท�ำอย่างใดอยา่ ง หน่ึง เป็นทุกกฏ เม่ือท�ำเสร็จแล้วตามที่ส่ังอย่างใดอย่างหน่ึง เป็นนิสสัคคิย- ปาจติ ตีย์ 172 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สกิ ขาบทนท้ี รงบญั ญตั ไิ ว้ เพอ่ื มใิ หภ้ กิ ษมุ พี ฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม โดย ไปใชภ้ กิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าตใิ หซ้ กั จวี ร เพราะถอื วา่ เปน็ คนอน่ื เปน็ คนไมร่ จู้ กั คนุ้ เคย ไมท่ ราบอธั ยาศยั กัน อาจท�ำใหเ้ กดิ ความรังเกยี จได้ เป็นการป้องกนั มิใหภ้ กิ ษุ หลงลืมตัว ใช้คนอ่ืนซักผ้าโดยไม่เกรงใจหรือไม่ดูตาม้าตาเรือ ท�ำให้เกิดความ เสยี หายได้ หรือไปรบกวนภิกษุณีซึ่งเป็นสตรี ท�ำใหเ้ กิดความเดอื ดรอ้ นหรอื ไม่ สบายใจเมอื่ ไมท่ ำ� ให้ หากเปน็ ญาตกิ นั กพ็ อทจี่ ะยอมรบั ได้ เพราะรจู้ กั คนุ้ เคยกนั อนาปัตตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษุณีผู้เป็นญาติซักให้เอง มีภกิ ษณุ ีผูม้ ใิ ชญ่ าติเป็นผชู้ ่วยเหลอื (๒) ภิกษุมิได้ บอกใช้ ภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าตซิ กั ใหเ้ อง (๓) ภกิ ษใุ ชใ้ หซ้ กั จวี รทยี่ งั ไมไ่ ดใ้ ชส้ อย (๔) ภกิ ษใุ ช้ให้ซักบรขิ ารอยา่ งอ่ืนนอกจากจวี ร เช่นยา่ ม ผา้ อังสะ ประคตเอว (๕) ภิกษุใช้ให้นางสิกขมานาซัก (๖) ภิกษุใช้ให้สามเณรีซัก (๗) ภิกษุผู้วิกลจริต (๘) ภกิ ษผุ เู้ ป็นต้นบัญญัติ หรอื พระอาทกิ มั มิกะ ไดแ้ ก่ พระอุทายี จวี รวรรค สิกขาบทท่ี ๕ คำ� แปลพระบาลีที่เปน็ พุทธบญั ญตั ิ “อน่ึง ภิกษุใดรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี เ์ วน้ ไว้แตแ่ ลกเปลี่ยน” พระวินัยบัญญัติ 173 www.kalyanamitra.org

เนอื้ ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่มิใช่ญาติ เว้นไว้แต่ แลกเปลีย่ นกัน ตอ้ งนิสสคั คิยปาจติ ตีย์” อธิบายความโดยยอ่ สกิ ขาบทนม้ี ใี จความชดั เจนแลว้ โดยทรงหา้ มมใิ หภ้ กิ ษรุ บั จวี รจากมอื นางภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ดว้ ยมตี น้ เหตวุ า่ พระอทุ ายไี ดพ้ ดู ขอผา้ อนั ตรวาสกคอื ผา้ นงุ่ จากนางอบุ ลวรรณาเถรผี เู้ ปน็ พระอรหนั ต์ แมน้ างจะปฏเิ สธวา่ พวกผหู้ ญงิ จดั วา่ เปน็ แมบ่ า้ น หาลาภไดย้ าก ทงั้ ผา้ อนั ตรวาสกผนื นกี้ เ็ ปน็ ผนื สดุ ทา้ ย ถวายไม่ ได้ แตพ่ ระอทุ ายกี ร็ บเรา้ จนภกิ ษณุ ตี อ้ งถวาย ทำ� ใหภ้ กิ ษณุ เี ดอื ดรอ้ น ตอ้ งไปหา ผา้ ใหม่ จงึ ทรงบญั ญตั เิ ปน็ พระวนิ ยั ไวม้ ใิ หร้ บั จวี รจากมอื นางภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ต่อมา ภิกษุท้ังหลายต้งั ขอ้ รังเกียจ ไมร่ บั จวี รแลกเปลย่ี นของภกิ ษุณี ทงั้ หลาย ภกิ ษณุ ที งั้ หลายจงึ เพง่ โทษโพนทะนาวา่ ภกิ ษรุ งั เกยี จไมร่ บั ผา้ จวี รแลก เปลย่ี น พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ใหร้ บั ผา้ จวี รแลกเปลย่ี นของเพอ่ื น สหธรรมกิ ทง้ั ห้า คือ ภิกษุ ภกิ ษุณี สกิ ขมานา สามเณร สามเณรีได้ (สิกขมานา คอื หญิงผกู้ �ำลงั ศกึ ษา หมายถึงสามเณรผี มู้ อี ายุ ๑๘ ปี แลว้ อกี ๒ ปจี ะมอี ายคุ รบบวชเปน็ ภกิ ษณุ ี ชว่ งนน้ั ภกิ ษณุ สี งฆจ์ ะสวดใหส้ กิ ขา สมมติ ให้สมาทานสิกขาบท ๖ ข้อ คือขอ้ ท่ี ๑ ถงึ ขอ้ ท่ี ๖ แห่งสกิ ขาบท ๑๐ อยา่ งเครง่ ครดั ไมข่ าดเลยตลอด ๒ ปี หากขาดขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ตอ้ งสมาทานตงั้ ตน้ ใหมอ่ กี ๒ ปี เมื่อครบ ๒ ปแี ล้ว ภกิ ษณุ ีสงฆจ์ งึ อปุ สมบทให้ ขณะทีส่ มาทาน สิกขาบท ๖ ข้อ ตลอดเวลา ๒ ปนี ัน้ เรียกว่า สิกขมานา) 174 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพอ่ื ปอ้ งกนั มิให้ภกิ ษุไปเบยี ดเบยี นภกิ ษณุ ี ด้วยการขอสิ่งที่หาได้ยากส�ำหรับภิกษุณีโดยไม่เกรงใจหรือไม่ละอายใจ และ ให้มีน้�ำใจรับแลกเปลี่ยนจีวรกันได้ส�ำหรับสหธรรมิก เพ่ือเก้ือกูลกันในกรณีที่ ขาดแคลนจีวร หรอื จวี รมคี า่ ตา่ งกัน อนาปตั ตวิ าร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษรุ ับจวี รของผเู้ ปน็ ญาติ (๒) ภกิ ษุแลกเปลีย่ นกัน คือแลกเปลยี่ นจีวรดีกบั จีวรเลว หรือจีวรเลวกับจีวรดี (๓) ภิกษุผู้ถือวิสาสะ (๔) ภิกษุผู้ขอยืม (๕) ภกิ ษุผรู้ ับบริขารอืน่ นอกจากจวี ร (๖) ภกิ ษุผูร้ ับจวี รของสกิ ขมานา (๗) ภิกษุ ผู้รับจีวรของสามเณรี (๘) ภิกษุผู้วิกลจริต (๙) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือ พระอาทกิ มั มิกะ ได้แก่ พระอุทายี จีวรวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ คำ� แปลพระบาลีท่เี ป็นพุทธบญั ญตั ิ “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดขอจวี รตอ่ คหบดกี ็ดี คหปตานกี ด็ ี ผมู้ ิใช่ ญาติ นอกจากสมัยเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ สมัยในค�ำน้ัน ดังน้ี ภิกษุมีจีวรถูกชิงไปก็ดี มีจีวรหายก็ดีน่ีคือสมัยใน คำ� นัน้ ” พระวินัยบัญญัติ 175 www.kalyanamitra.org

เนอ้ื ความยอ่ ในหนังสอื นวโกวาท “ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นแต่มีสมัยที่จะขอได้ คือ เวลาภกิ ษุมีจีวรอนั โจรลกั ไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสยี ” อธิบายความโดยย่อ คำ� ว่า ผมู้ ใิ ชญ่ าติ ไดแ้ ก่ คนทไ่ี มไ่ ด้เกีย่ วเน่ืองกันทางมารดาหรือทาง บดิ าตลอดเจด็ ชว่ั คน หมายถงึ วงศส์ กลุ ทส่ี บื สายโลหติ กนั ๗ ลำ� ดบั โดยตนเอง เปน็ ลำ� ดับกลาง สงู ขึน้ ไป ๓ ลำ� ดับ คือ พ่อ ปู่ ทวด ตำ่� ลงมาจากตัวเอง ๓ ลำ� ดับ คือ ลกู หลาน เหลน เมื่อรวมกับตวั เองแลว้ กเ็ ปน็ เจ็ดชว่ั คน หรอื เจด็ ชว่ั โคตร ค�ำวา่ ปวารณา หมายถงึ การพูดให้ขอได้ การเปิดโอกาสใหข้ อได้ คือ ยินยอมใหภ้ กิ ษุขอหรือเรยี กร้องปัจจัย ๔ ได้ตามสะดวก โดยพดู หรอื นมิ นตไ์ ว้ ล่วงหนา้ คนทีม่ ไิ ด้พูดมไิ ด้เปิดโอกาสไวอ้ ยา่ งน้ี ช่อื วา่ ผูม้ ิใชป่ วารณา ค�ำว่า มจี วี รถูกชิงไป คือ จีวรของภกิ ษถุ กู ชงิ ไป โดยถูกพระราชากด็ ี พวกโจรกด็ ี พวกนักเลงกด็ ี หรอื คนพวกใดพวกหนงึ่ ชงิ เอาไป ค�ำว่า ผู้มีจีวรหายไป คือ จีวรของภิกษุถูกไฟไหม้ก็ดี ถูกน้�ำพัดไป กด็ ี ถกู หนูหรอื ปลวกกดั กนิ กด็ ี เก่าไปเพราะถกู ใช้สอยกด็ ี 176 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทขอ้ น้ี สกิ ขาบทนที้ รงบญั ญตั ไิ ว้ เพราะมเี หตเุ กดิ ขน้ึ คอื ภกิ ษไุ ดข้ อผา้ หม่ หรอื ผ้านุ่งผืนหน่ึงจากลูกชายเศรษฐีซึ่งเกิดความเลื่อมใสแล้วปวารณาไว้ โดยขอ ในระหว่างทาง แต่ลูกชายเศรษฐีขอผัดไว้ให้กลับบ้านก่อนเพราะไม่อาจนุ่งผ้า ผนื เดียวกลับบา้ นได้ แต่ภิกษรุ บเรา้ จนตอ้ งยอมถวายตามทปี่ วารณาไว้ ท�ำให้ ลูกชายเศรษฐีต้องเดินกลับบ้านโดยมีผ้านุ่งผืนเดียว ที่ทรงบัญญัติเป็นพระ วินัยไว้ก็เพ่ือมิให้ภิกษุมีความอยากได้จนเกินเหตุ ไม่รู้การควรไม่ควร แม้เขา ปวารณาไวแ้ ตม่ ิใชโ่ อกาสทจี่ ะขอ กไ็ ม่ควรขอ เพราะทำ� ใหเ้ ขาเดอื ดรอ้ นเฉพาะ หน้าได้ ทั้งเพื่อให้ภิกษุระมัดระวังในเรื่องการขอ อาจท�ำให้เสื่อมศรัทธาหรือ เกิดความเดือดร้อนไดเ้ ม่อื ไปขอต่อผู้มิใชญ่ าติ ไมร่ จู้ ักกนั หรอื มไิ ด้ปวารณาไว้ สกิ ขาบทนที้ รงหา้ มไวเ้ ฉพาะไตรจวี ร ถา้ เปน็ ผา้ อยา่ งอนื่ หรอื เปน็ ของ อื่น ไม่ได้ทรงห้ามไว้ แต่ก็เม่ือต้องการที่จะขอ ก็ต้องระวังในการขอว่าจ�ำเป็น หรอื ไมจ่ ำ� เปน็ อยา่ งไร มใิ ชข่ อสงิ่ ทต่ี อ้ งการทกุ อยา่ งตามใจชอบ เพราะทำ� ใหเ้ สยี ศรัทธาและสรา้ งความเดอื ดรอ้ นให้ผูถ้ ูกขอได้ อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภกิ ษขุ อในสมยั (๒) ภกิ ษขุ อตอ่ ญาติ (๓) ภกิ ษขุ อตอ่ คนปวารณา (๔) ภกิ ษขุ อ เพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษอุ นื่ (๕) ภกิ ษซุ อ้ื มาดว้ ยทรพั ยข์ องตน (๖) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๗) ภกิ ษผุ ้เู ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ หรอื ภกิ ษุอาทกิ มั มกิ ะ ไดแ้ ก่ พระอุปนันทศากยบุตร พระวินัยบัญญัติ 177 www.kalyanamitra.org

จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ ค�ำแปลพระบาลีทีเ่ ปน็ พทุ ธบญั ญัติ “ถ้าคหบดีก็ดี คหปตานีก็ดี ผู้มิใช่ญาติ น�ำจีวรเป็น จ�ำนวนมากมาปวารณาต่อภิกษุน้ัน ภิกษุนั้นพึงยินดี จีวรมีอุตตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างมากจากจีวร เหลา่ น้นั ถา้ ยนิ ดีเกนิ กว่านัน้ เปน็ นิสสัคคิยปาจติ ตีย”์ เนือ้ ความย่อในหนังสอื นวโกวาท “ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่าน้ัน ถ้าขอใหเ้ กินกวา่ น้ัน ไดม้ า ตอ้ งนสิ สัคคยิ ปาจิตตยี ”์ อธิบายความโดยย่อ สกิ ขาบทนี้มีเนือ้ ความคอ่ นข้างชัดเจน โดยต่อเน่อื งกบั สิกขาบทกอ่ น คือ เม่ือจีวรถูกแย่งชิงหรือถูกขโมยไป สูญหายหรือเสียหายไป ทรงอนุญาต ให้ภิกษุขอจีวรได้ โดยถือว่าขอในสมัย เมื่อเขาน�ำจีวรมาถวาย ก็สามารถรับ ได้ แต่ในการรับน้ันต้องรู้จักประมาณ มิใช่เห็นแก่ได้แบบเขาถวายเท่าไรก็รับ ไว้ทั้งหมด โดยทรงแนะน�ำไว้ว่า เมื่อจีวรหายไป ๓ ผืน พึงยินดีรับเพียง ๒ ผืนคือผา้ อตุ ตราสงค์ (ผ้าหม่ ) กบั ผ้าอันตรวาสก (ผา้ นุ่ง) เทา่ นั้น หากหายไป ๒ ผนื พึงยนิ ดีรับได้ ๑ ผืน แต่ถ้าหายไปผนื เดียว ไมพ่ งึ ยนิ ดีรบั เลย 178 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้ภิกษุรู้จักประมาณตน ไม่เห็นแก่ได้ โดยใช่เหตุ แม้จะมโี อกาสไดม้ าก ก็พงึ รบั พอประมาณ ทัง้ นี้เพื่อลดภาระในการ ดแู ลรักษาและการน�ำตดิ ตวั ไป ซึง่ ทรงแนะน�ำไวว้ ่า การจาริกไปในทีต่ ่างๆ นั้น พึงท�ำตัวเหมือนกับนกซึ่งน�ำไปเฉพาะขนปีกและหางเท่าน้ัน ท�ำให้เกิดความ สะดวกและคล่องตัวดว้ ยประการทั้งปวง อนาปตั ติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษนุ �ำเอาไปดว้ ยคดิ วา่ จกั น�ำจีวรที่เหลือมาคืน (๒) คหบดถี วายด้วยบอกว่า จวี รทีเ่ หลือเปน็ ของท่านรปู เดียว (๓) คหบดีถวายมใิ ช่เพราะเหตถุ กู ชงิ จวี รไป (๔) คหบดีถวายมิใช่เพราะเหตจุ ีวรหาย (๕) ภิกษผุ ขู้ อตอ่ ญาติ (๖) ภกิ ษผุ ขู้ อ ต่อคนปวารณา (๗) ภิกษุซือ้ มาดว้ ยทรัพย์ของตน (๘) ภกิ ษผุ วู้ ิกลจริต (๙) ภิกษผุ เู้ ป็นตน้ บญั ญัติ หรอื ภิกษอุ าทิกัมมิกะ ได้แก่ พวกภกิ ษุฉพั พัคคีย์ จวี รวรรค สิกขาบทที่ ๘ ค�ำแปลพระบาลที เี่ ปน็ พุทธบญั ญัติ “อน่งึ มีคหบดกี ็ดี คหปตานกี ็ดี ผมู้ ิใช่ญาติ ตระเตรยี ม ทรพั ยเ์ ปน็ คา่ จวี รเจาะจงภกิ ษไุ วว้ า่ เราจกั สงั่ จา่ ยจวี รดว้ ย ทรพั ยเ์ ปน็ คา่ จวี รนแ้ี ลว้ ยงั ภกิ ษชุ อ่ื นใ้ี หค้ รองจวี ร ถา้ ภกิ ษุ นั้นซึ่งเขามิได้ปวารณาไว้ก่อนเข้าไปกะเกณฑ์เอาจีวร พระวินัยบัญญัติ 179 www.kalyanamitra.org

ในสำ� นกั ของเขาเพราะอาศยั ความตอ้ งการจวี รทดี่ วี า่ ดลี ะ ขอท่านจงให้จ่ายจีวรเช่นนั้นเช่นน้ีด้วยทรัพย์เป็นค่าจีวร นีแ้ ล้ว ให้อาตมาครองเถดิ เป็นนสิ สัคคิยปาจติ ตยี ์” เนอื้ ความยอ่ ในหนงั สอื นวโกวาท “ถ้าคฤหัสถ์ผู้มิใช่ญาติมิใช่ปวารณา เขาพูดว่าเขาจะ ถวายจีวรแก่ภกิ ษชุ ่ือนี้ ภกิ ษุนน้ั ทราบความแลว้ เขา้ ไปพูด ให้เขาถวายจีวรอย่างน้ันอย่างนี้ ท่ีมีราคาแพงกว่าดีกว่า ทีเ่ ขากำ� หนดไวเ้ ดิม ได้มา ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจิตตีย”์ อธิบายความโดยยอ่ ประเด็นความในสิกขาบทนี้ก็คือ คฤหัสถ์ผู้มิใช่ญาติมิใช่ปวารณา ของภกิ ษุ แตม่ ศี รทั ธาเลอ่ื มใสในภกิ ษสุ งฆ์ จงึ เตรยี มเงนิ ไวล้ ว่ งหนา้ โดยบอกวา่ จะไปซอ้ื จวี รมาถวายภิกษรุ ูปน้ี ภกิ ษรุ ูปน้นั ซง่ึ เขามไิ ด้ปวารณาหรอื อนญุ าตให้ ขอได้ไว้ก่อน รู้เร่ืองน้ันเข้า เกิดความต้องการอยากได้จีวรที่ดีกว่าหรือที่แพง กว่าจวี รทเ่ี ขากำ� หนดไว้ จงึ เขา้ ไปหาคฤหัสถ์นั้นแล้วไปกะเกณฑใ์ ห้เขาซ้ือจีวร ตามท่ีตนต้องการ โดยบอกว่าขอให้จ่ายค่าจีวรเช่นน้ีแล้วน�ำมาถวายตน เม่ือ บอกเชน่ นี้ ท่านวา่ เปน็ ทุกกฏ ถา้ ได้มา เปน็ นสิ สคั คิยปาจติ ตยี ์ เจตนารมณ์ของสกิ ขาบทข้อนี้ สิกขาบทน้ีทรงบัญญัติไว้ เพ่ือรักษาศรัทธาของชาวบ้าน ป้องกัน มใิ หภ้ กิ ษรุ บกวนเขาเกินกว่าเหตุ เมอ่ื เขามศี รทั ธาจะถวายจีวร ก็ใหร้ ับไว้ตาม ทีเ่ ขาศรทั ธา มใิ ชไ่ ปกะเกณฑใ์ หถ้ วายจวี รทม่ี รี าคาแพงหรือเป็นจวี รท่ีเน้อื ผ้าดี 180 พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี) www.kalyanamitra.org

ซ่ึงอาจท�ำให้เขาเดือดร้อนได้ หากมีราคาเกินกว่าที่เขาปรารภตั้งไว้ ก็จะทำ� ให้ เดือดร้อนใช้จ่ายเงินเพ่ิม หรือท�ำให้เสียศรัทธาเพราะไม่อาจถวายตามที่ภิกษุ กะเกณฑไ์ ด้ สิกขาบทน้ีเป็นข้อเตือนใจให้ภิกษุมีความระมัดระวัง ไม่แสดงอาการ อยากได้จนเกินเหตุ หรือแสดงตนเป็นคนชอบหรูหรา นุ่งห่มจีวรมีราคาแพง ให้ภกิ ษทุ ำ� ตัวเปน็ ผูม้ ักน้อย สนั โดษ ตามมีตามได้ แล้วแตเ่ ขาจะถวายอยา่ งไร ซง่ึ เปน็ การรกั ษาศรทั ธาของชาวบา้ นไดเ้ ป็นอยา่ งดี อนาปัตติวาร ในสิกขาบทน้ี ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้ คือ (๑) ภิกษุขอตอ่ คหบดีผูเ้ ปน็ ญาติ (๒) ภิกษุขอต่อคหบดีผปู้ วารณาไว้ (๓) ภิกษขุ อ เพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษอุ นื่ (๔) ภกิ ษซุ อ้ื มาดว้ ยทรยั พข์ องตน (๕) คหบดตี อ้ งการ จะสง่ั จา่ ยจวี รมรี าคาแพง ภกิ ษใุ หเ้ ขาสงั่ จา่ ยจวี รมรี าคาถกู (๖) ภกิ ษผุ วู้ กิ ลจรติ (๗) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ต้นบญั ญัติ หรือภกิ ษุอาทกิ ัมมกิ ะ ไดแ้ ก่ พระอุปนนั ทศากยบตุ ร จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ คำ� แปลพระบาลีทเ่ี ปน็ พทุ ธบญั ญัติ “อน่ึง มีคหบดีก็ดี คหปตานีก็ดี ผู้มิใช่ญาติ สองคน ตระเตรียมทรัพย์เป็นค่าจีวรเฉพาะผืนเจาะจงภิกษุไว้ว่า เราทง้ั หลายจกั สง่ั จา่ ยจวี รเฉพาะผนื ดว้ ยทรพั ยเ์ ปน็ คา่ จวี ร เฉพาะผืนเหล่านี้แล้วให้ภิกษุช่ือน้ีครองจีวรหลายๆ ผืน พระวินัยบัญญัติ 181 www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook