Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

มุฮัมมัด (ศ.) รัศมีนิรันดร 1

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-09 03:54:34

Description: ประวัติท่านศาสดามุฮำมัด(ศ)แบบละเอียด

Search

Read the Text Version

ดวยพระนามแหง อลั ลอฮฺ ผูทรงกรณุ าปรานี ผทู รงเมตตาเสมอ มุฮมั มัด (ศ.) รัศมีนริ ันดร --------------- MUHAMMAD (S.A.W.) ETERNAL LIGHT จดั ทําโดย : สํานักพมิ พอลั -ฮุดา อินเตอรเ นชนั่ แนล PRINTED BY : AL-HODA INTERNATIONAL PUBLISHERS & DISTRIBUTORS

ISBN : 964 – 439 – 182 – 9 ชอ่ื หนังสือ : มุฮัมมดั (ศ.) รัศมีนิรนั ดร TITLE : MUHAMMAD (S.A.W.) ETERNAL LIGHT ช่ือผูเ ขยี น : อลั ลาละฮฺ ญะอฟฺ ร ซุบฮานี AUTOR : ALLAMAH JAFAR SOBHANI ผูอาํ นวยการผลิต โดย : คุณมฮุ มั มัด ตัมฮดี ี MANAGING DIRECTOR : MR.MOHAMMAD TAMHIDI คณะแปล : BOARD OF TRANSLATORS : เชคซยั นลุ อาบิดนี ฟน ด้ี (SHEIK ZAINUL ABIDEEN FINDY) เชคมุฮมั มดั ชะรีฟ เกตุสมบูรณ (SHEIK MUHAMMAD SHAREEF KETSOMBOON) เชคมฮุ ัมมัดนะอมี ประดบั ญาติ (SHEIK MUHAMMAD NA-EEM PRADABYAT) เชคฮเุ ซน บนิ ซาเล็ม (SHEIK HUSEIN BIN SALIM) เชคชะรีฟ ฮาดยี  (SHEIK SHAREEF HADEE) คณะพิสจู นอ กั ษร EDITORIAL BOARD : ดร. ไรนา น อรุณรงั ษี DR. RAINAN ARUNRUNGSI เชคอับดุลมาลิก อาเมน SHEIK ABDULMALIK AMEN

คณุ สรุ พล พุมภักดี MR.SUPAROL POOMPAKDI คุณโสภณ แสงศรี MR.SOPHON SAENGSRI คณุ ประพาส แสงเงนิ MR.PRAPAST SANGNGONE จาํ นวนพิมพ : ๒,๐๐๐ เลม CIRCULATION : 2,000 เลม ปท ่ีพมิ พ : ครั้งแรก พฤศจิกายน ๒๕๔๙ YEAR OF PUBLICATION : NOVEMBER 2006 แบบปกและรปู เลม GRAPHIC DESIGNED : คุณสินสมุทร บินการมติ ร MR.SINSAMUT BINKAMIT คณุ สรุ นิ ทร นิลเชอ้ื วงศ : MR.SURIN NINCHUAWONG จัดพิมพโ ดย : สํานักพมิ พ อลั -ฮุดา อินเตอรเนชนั่ แนล PRINTED BY : AL-HODA INTERNATIONAL PUBLISHERS & DISTRIBUTORS www.al-hoda.org Email: [email protected]

สารบัญ ๑๑ ๑๕ 1 คาบสมทุ รอาหรบั ออู ารยธรรมอสิ ลาม ๓๑ ๒ อาหรับกอนอิสลาม ๕๖ ๓ บรรพบรุ ุษของทานศาสดา (ศ.) ๖๓ ๔ กาํ เนดิ ศาสดา (ศ.) ๖๔ ๕ ชว งเยาววยั ของทา นศาสดา (ศ.) ๖๙ ๖ กลบั สูออมกอดครอบครัว ๗๑ ๗ ชวงวยั รนุ ๘๐ ๘ จากการเลย้ี งสตั วถ ึงการคาขาย ๙๐ ๙ จากการสมรสจนถึงการแตงตง้ั ๙๖ ๑๐ การเผยแพรศ าสนาอยา งลับๆ (ตอเครอื ญาต)ิ ๑๑๖ ๑๑ การเผยแพรศ าสนาอยางเปด เผยของทา นศาสดา (ศ.) ๑๒ การฮิจญเราะฮฺครั้งแรก ๑๓ เสียงระฆงั แหงสงครามไดดังขึน้ ๑๒๗ ๑๔ การปดลอ มทางเศรษฐกิจตอ ทา นศาสดา (ศ.) ๑๓๕ ๑๕ การอสัญกรรมของทา นอบูฏอลบิ ๑๔๒ ๑๖ การขน้ึ เมยี๊ ะอฺรอจญ ๑๕๓ ๑๗ การเดินทางไปยงั เมืองฏออฟิ ๑๕๖

๑๘ สญั ญาอกุ บะฮฺ ๑๖๓ ๑๙ เรื่องราวของการอพยพ (ฮจิ ญเราะฮฺ) ๑๗๓ ๒๐ การกระทําท่เี ปน ประโยชนประการแรกของทา นศาสดา ๑๙๕ ๒๑ การเปลยี่ นทิศกบิ ลัต ๒๐๔ ๒๒ สงครามบะดรั ๒๐๙ ๒๓ การสมรสของทานหญิงฟาฏิมะฮ( อ) ๒๔๒ ๒๔ การปกปองอสิ รภาพ ๒๔๙ เชิงอรรถ ๒๙๙

คาํ นําผเู ขยี น สดุ ยอดวรี กรรมแหง ประวัตศิ าสตร เรื่องราวทางประวัติศาสตรอันทรงคุณคาที่สุดที่หนาประวัติศาสตรทั้งหลายไดบันทึกการ ดําเนินชีวิตของเหลาวีระบุรุษผูยิ่งใหญการดําเนินชีวิตของพวกเขาไดสรางคล่ืนชีวิต แบบพิเศษ มหศั จรรย และถูกจาลึกเปนเรอ่ื งราวในรปู แบบตางๆ พวกเขาเปนผูย่ิงใหญ สิ่งท่ีเกี่ยวพันกับพวกเขา อยางเชน ชีวประวัติของพวกเขาก็ยิ่งใหญ และทรงพลัง เจิดจรัสสวางไสวเสียจนเราตองเรียนรู ศึกษาคนควาในสิ่งล้ีลับของบทเรียนชีวิตอัน ทรงคณุ คา นัน้ พวกเขาเปนศิลปนผูเชี่ยวชาญแหงการสรางสรรค การดําเนินชีวิตของพวกเขาเปนสุดยอด แหงประวตั ศิ าสตร ซ่งึ ไดถูกจารึกเปนขบวนการตา งๆ อนั ทรงคุณคา แหง การสราง ในหมูวีรบุรุษผูย่ิงใหญแหงประวัติศาสตรเหลานี้ ไมมีใครท่ีมีการดําเนินชีวิตท่ีทรงพลัง เต็มเปยมไปดวยเรื่องราว และเหตุการณ ท่ีสรา งการเปล่ียนแปลงไดอยางมากมายเทากับ “มุฮัมมัด” ศาสดาแหงอิสลาม ( ศ. ) ไมมีผูใดในหมูพวกเขาเลยที่อยูทามกลางสังคมอันฟอนเฟะ ตกต่ํา ลาหลัง เปล่ียนให กลายเปน อารยธรรมอันสูงสง ล้ําคาได ความเปนจริงอันน้ีเปนที่รูจักกันดีในหมูบานผูบันทึก ประวตั ิศาสตรทัง้ ตะวนั ออกและตะวันตก

การศึกษาชีวประวัตขิ องบรุ ษุ ผูย งิ่ ใหญเ ชนนี้ จะสอนสง่ิ ตางๆ ใหแกเราอยางมากมาย ดังเหคุ การณแ ละเรอ่ื งราวสอนใจตา งๆ ที่เราไดร ับมา เรื่องราวเก่ียวกับความมหัศจรรย เชน ชวงแรกของการกอสรางอาคาร กะอฺบะฮฺ การตั้ง รกรากของบรรพบุรุษของทานศาสดาในมหานครมักกะฮฺการโจมตีของกองทัพชางเพ่ือทําลาย อาคารกะอฺบะฮฺ และการดําเนินของทา นศาสดา เรื่องราวแหงความโศรกเศรา รันทด เชน การจากไปของ “อับดุลลอฮฺ” และ “อามินะฮฺ” บดิ ามารดาของทานศาสดาตัง้ แตยังเยาวว ัย ในสภาวะแหง ความเจ็บปวดรวดรา วใจ เรื่องราวแหงความล้ีลับและซอนเรน เชน ชวงแรกของการลงวะฮฺยูเหตุการณท ่ีถ้ํา “ ฮิรออฺ” ตามตดิ ดวยการยืนหยัดอนั ยากลําบากและนา ประหลาดใจของบรรดาสหายและสาวกของทานถึงสิบ สามป เตม็ ในเสนทางแหงการเผยแพรศ าสนาอสิ ลามในมักกะฮ รวมถงึ การตอสูกบั เหลาผูบชู าเจวด็ เร่ืองราวแหงปรากฏการณและเต็มไปดวยความนาสนใจ เชน เหตุการณในปแรกแหงการ อพยพและปตอ ๆมาหลังจากน้ัน ซ่ึงแตละเร่ืองเปนแบบอยางของการเสียสละอันสูงสงท่ีสุด ใน เสนทางของเปาหมายที่เลิศล้ําท่ีสุดในเสนทางของการสลายรูปแบบตาง ๆ ของการบูชาเจว็ดที่เปน รูปธรรม ในเสนทางการตอสูกับการบางช้ัน เผาพันธุ หรือสีผิว ท่ีเกิดข้ึนจากการใชอํานาจและการ กดขี่จากน้ํามอื ของมนษุ ยด ว ยกัน จากมุมมองอันน้ีเอง หากเรียกส่ิงเหลานั้นวา “ สุดยอดแหงขบวนการทางประวัติศาสตร” ซึ่งการดําเนินชีวิตของทาศาสดา ( ศ. ) ไดถูกเขียนโดยนักรายงานประวัติศาสตรทั้งตะวันออกและ ตะวันตก ซ่งึ ในแตละภาคสว นไดต ีแผแงม มุ ทแ่ี ตกตางกันออกไป แตเ ปน ท่นี าเสียดายกค็ อื สวนใหญ แลว ก็ยงั ไมพ น จากขอ บกพรองตา งๆ โดยเฉพาะอยางยงิ่ งานเขยี นของเหลานักบูรพาคดี บางคร้ังสรางขอความเขาใจผิด บิดเบือน และหลอกลวงประชาชนอยา งโจงแจง

อนึ่งหนังสือที่ทานผูอานท่ีเคารพอานอยูขณะน้ี คือประวัติศาสตรท่ีชัดเจนเปนการดําเนิน ชวี ิตของทานศาสดาอสิ ลาม ( ศ. ) ผูย ่งิ ใหญที่สามารถกลาวไดวาอางอิงกับหลักฐานที่นาเช่ือถือที่สุด ของประวัติศาสตรอิสลาม และดวยกับการประพันธท่ีไหลล่ืน กลมกลืนและถูกตรวจสอบอยาง สมบูรณ มุมมองหน่ึงท่ีสําคัญของหนังสือเลมน้ีคือ ไมเปนเพียงแตการกลาวถึงเหตุการณทาง ประวตั ศิ าสตรเพยี งอยางเดียว แตไดพยายามแยกแยะและ วิเคราะหสวนที่จําเปน เก่ียวสาเหตุเกี่ยวกับเหตุการณตางๆ และผลท่ีเกิดข้ึนของ เหตุการณเหลาน้ัน ตามแนวทางดังเชน นักเขียนเปน ผูนกั คนควา วิจยั ไดทาํ กันจนถึงเปาหมายสุดทายซึ่งน้ันก็คือบทเรยี น จากประวัตศิ าสตรในรปู แบบที่สมบรู ณ จุดเดนที่สําคัญอีกจุดหนึ่งของหนังสือเลมนี้ก็คือ อางอิงกับหลักฐานทางประวัติศาสตรของ ชีอะฮอยางสมบูรณแบบ โดยปราศจากส่ิงแปดเปอน และการบิดเบือนปายสีของมือสกปรกตอ ประวัติศาสตร เกย่ี วกบั ผูน าํ อันสูงสง ของอิสลาม เราไดศึกษาอยางละเอียดเก่ียวกับหนังสือเลมนี้ เพื่อเปนวิทยาทานแกมุสลิมโดยท่ัวไปและ โดยเฉพาะอยางยิ่งเยาวชนคนหนุมสาวอันเปนท่ีรักของพวกเรา หวังเปนอยางยิ่งที่พ่ีนองมสุ ลิมของ เรา โดยเฉพาะฮุจญาจ ผเู ดนิ ทางไปยังมหานครมักกะฮอันย่ิงใหญ และมักดีนะอันเจิดจรัส จะไดอาน หนังสอื เลม นี้กอ นเดินทาง เพ่อื จะไดรจู ัก เตมิ เต็ม รับรูถึงความคิดและความรูสึกในความยากลําบาก ของทานศาสดา ( ศ. ) และบรรดามุสลมิ ในยดุ แรกของอสิ ลามตามจดุ ตางๆ ของแควนฮญิ าซ ในสมัย ทา นศาสดา ( ศ. ) จนกระถงึ การทาํ ฮัจญใ นแผนดนิ แหง วะฮยฺ ู อัลลามะฮฺ ญะอฟฺ ร ซบุ ฮานี

คาํ นาํ ผูจดั พิมพ อายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา ซัยยิด อะลี คาเมเนอี ผูนําสูงสุดทางจิตวิญญาณของการปฎิวัติ อสิ ลามแหงอิหรา นไดประกาศใหป  ๒๕๔๙ เปน “เปนปแ หง ทา นศาสดาผใู หญ ( ศ. )” ซึ่งทานไดรับ มอบสาสนอันทรงคุณคาย่ิง ในชว งปใหมของอิหรานท่ีผานมา เพ่ือกระตุนเตอื นผูศรัทธาใหตื่นจาก ความหลงงมงายตอ ส่งิ ไรสาระ ทา นยังเชือ่ เชิญโลกอิสลามใหหันมาสนใจศึกษาหลักการดําเนินชีวิต ของทา นศาสดา ( ศ. ) ผนู าํ สารจากพระผูอ ภบิ าลมาสมู นุษยชาติ ผูศรทั ธาทุกคนทราบดีวา ความสม บูรณและคุณคาของหลักการดําเนินชีวิตรวมทั้งเปนแบบอยางท่ีมิอาจมีผูไดเสมอเหมือนได ถูก กําหนดมายังทานสาสดาองคสุดทายเพ่ือปกปองคุณงามความดีของความเปยมนุษย บง ช้ีถึงเอกภาพ ภราดรภาพในหมูมนุษยทุกเผาพันธุและเชื้อชาติ เปนการสําแดงใหเห็นถึงวิธีการแสดงความเปน บาวอันเปนที่รักของพระผูอภิบาลไดอยางชัดเจน มิใชบาวทาสของมารรายที่ชอบสรางความเสื่อม เสยี บนหนา แผน ดนิ ทานผูนําสูงสุดฯ ไดกลาวตอไปอีกวา ประเทศสาธารณรัฐอิสลามแหงอิหรานและ ประชาชาติอิสลามในวนั นี้ ตองมาความสนใจในการดําเนินชวี ิตของทา นศาสดามุฮัมมัด ( ศ. ) ท่ีได สอนพวกทานในเรื่องตางๆ ไมวาจะเปนเรื่องกิริยามารยาท เอกภาพ สอนใหรูจักการอยูรวมกัน มี ความเมตตาซ่งึ กันและกนั อยางรูรกั และสามคั คี ในปแหงศาสดาผยู งิ่ ใหญ ( ศ. ) นท้ี างคณะผจู กั ทาํ หนงั สืออตั ชีวประวตั ขิ องทานศาสดามุฮัม มัด ( ศ. ) จึงไดดําริจัดทําหนังสือเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของทาน ( ศ. ) เพื่อเผยแพรตอสาธาณ

ชน ซ่ึงหนังสือท่ีอยูในมือของทานนี้มีชื่อวา “มุฮัมมัด ( ศ. ) รัศมีนิรันดร” เขียนโดยทานอัลลามะฮฺ ญะอฺฟร ซุบฮานี วึ่งเปนผูรูทางศาสนาและผูทรงคุณวุฒิไดคนควา รวบรวมและนําเสนอการดําเนิน ชีวิตของทานศาสดามุฮมั มัด ( ศ. ) ผูทรงเกียรติในแงมุมตางๆ ในเชิงวิเคราะหเพ่ือหาขอสรุปในการ นาํ มาเปน บทเรียนอันทรงคุณคาแกผ ูอา นอยา งดีท่สี ุด เน่ืองจากในโอกาสงานเมาลดิ กลางแหง ประเทศไทย ฮ.ศ. ๑๔๒๗ ท่ีจัดขึ้นโดยพี่นองมุสลิม ผศู รัทธาในประเทศไทย ทางคณะผูจักทําไดรับเกียรติจากบรรดานักการศาสนาของประเทศไทย ซ่ึง ศึกษาศาสนาจากเมืองกุม ประเทศอิหราน ไดรวมกันจัดแปลหนังสือชีวประวัติการดําเนินชีวิตของ ทา นศาสดา ( ศ. ) ขน้ึ เพือ่ เผยแพรตอบรรดาศรทั ธาชนที่เคารพรักทั้งหลาย ขาพเจาในนามคระผูจัดทําหนังสือฯ หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือชีวประวัติการดําเนินชีวิต ของทานสสาดาผูยิ่งใหญ ( ศ. ) เลมน้ีจะเปนประโยชนตอพี่นองผูศรัทธา ท่ีจะนําจริยวัตรของทาน ศาสดา ( ศ. ) มาเปน แบบอยา งในการดําเนินชีวิตบนหนทางของอัลลอฮฺ ( ซ.บ. ) และประการสําคัญ ที่สุดก็ตองขอขอบคุณตอทานผูรูและนักการศาสนาคือ เชคซัยนุลอาบิดีน ฟนดี้, เชคมุฮัมมัด นะอีม ประดับญาติ, เชคชะรฟี ฮาดี, เชค ฮุเซน บินซาเล็ม, เชคมฮัมมัดชรีฟ เกตุสมบูรณที่ไดชวยกันจัดแปล ขอขอบคุณ ดร. ไรนาน อรุญ รังษี และคณะพสิ ูจนอักษร สุดทายน้ีขอขอบคุณผูรวมงานทุกทานท่ีไดรวมงานกัน ใหงานนี้สําเร็จลุลวงตาม กาํ หนดเวลาทว่ี างไว มฮุ ัมมดั ตมั ฮดี ี ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๙ กรงุ เทพมหานคร

ดว ยพระนามแหง อัลลอฮฺ ผทู รงกรุณาปรานี ผูท รงเมตตายิ่งเสมอ 1 คาบสมทุ รอาหรบั ออู ารยธรรมอสิ ลาม ซาอุดิอาระเบียเปนคาบสมุทรใหญ ต้ังอยูที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใตของทวีปเอเชีย ซึ่งมีเนื้อ ท่ีประมาณ ๓ ลานตารางกิโลเมตร กลาวคือมีพ้ืนที่ใหญประเทศอิหรานประมาณ ๒ เทา ใหญกวา ประเทศ ฝร่ังเศสประมาณ ๖ เทา ใหญกวาประเทศอิตาลีประมาณ ๑๐ เทาและใหญกวาประเทศ สวสิ เซอรแ ลนดประมาณ ๘๐ เทา คาบสมุทรน้ีมีลักษณะเปนรูปทรงส่ีเหล่ียมผืนผาดานไมเทา ทิศเหนือติดกับประเทศ ปาเลสไตนและทะเลทรายซีเรีย ทิศตะวันออกติดฮัยเราะฮฺ ดัจละฮฺ แมน้ํายูเฟรตีส และอาวเปอรเซีย ทศิ ใต จรดมหาสมทุ รอินเดียและอา วโอมาน สว นทศิ ตะวันตกจรดทะเลแดง ดังน้ันทําใหทิศตะวันตกและทิศใตติดกับทะเล สวนทางทิศเหนือและทิศตะวันออกติด กบั ทะเลทรายและอาวเปอรเ ซยี ในอดตี ภภู าคน้ถี กู แบง ออกเปน ๓ สวน คอื ๑. ภาคเหนอื และภาคตะวันตก เรียกวา ฮิญาซ ๒. ภาคกลางและภาคตะวันออก เรียกวา ทะเลทรายอาหรบั ๓. ภาคใต เรียกวา เยเมน

ในคาบสมุทรอาหรับมีพื้นท่ีทะเลทรายที่รอนระอุ ไมสามารถอยูอาศัยไดซ่ึงหน่ึงในพ้ืนที่ ดงั กลาว คือ ทะเลทราย “ บาดยี ะฮฺ ซะมาวะฮฺ ” ว่งึ ปจ จุบัน เรียกขานกันวา “ นุฟูซ ” และอีกพื้นท่ีหนึ่งก็คือ ทะเลทรายท่ีใหญท่ีสุด คือมีพ้ืนท่ีถึงอาวเปอรเซีย ปจจุบันวา “ อัลรุบอุลคอลี ” ซงึ่ ในอดีตทะเลทรายดังกลาวถูกแบงเปน ๒ สวน สวนท่หี นึ่งมีช่ือวา “ อะฮกฺ อฟ ” และอีกสวนหนึ่งมีช่ือวา “ ดะฮฺนา ” เนื่องจาก ๑ ใน ๓ ของทะเลทรายดังกลาวเปนคาบสมุทรท่ีปราศจากน้ําและพืชพันธุ ซึ่งไม สามารถอาศัยอยูในพ้ืนท่ีน้ันได แตในบางครั้งเนื่องจากมีฝนตกในใจกลางทะเลทราย ทําใหมีแหลง นํ้าเกดิ ขึ้นในบางพื้นท่ี ซ่ึงในบางครงั้ ชนเผาอาหรับบางกลุมกจ็ ะพาอูฐและสัตวเล้ียงของตนมาด่ืมน้ํา ณ ทแ่ี หง นั้นเปนคร้งั คราว ลักษณะภูมิอากาศของคาบสมุทรแหงน้ี ในสวนของภาคพ้ืนทะเลทรายและภาคกลางมี ความรอนระอุและแหงแลงเปนอยางมาก สวนตามแนวชายฝงทะเลมีความชื้นปานกลาง และใน ภูมิภาคอื่นๆ มีภูมิอากาศเหมาะสม เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ไมเอ้ืออํานวย ทําใหประชากรใน พื้นท่ีแหงนี้มีนอ ยกวา ๑๕ ลานคน คาบสมุทรแหงนี้มีสภาพภูมิประเทศเปนเทือกเขาแนวยาวตลอด ตั้งแตทิศใตจรดทิศเหนือ ซึ่งมีความสูงที่สดุ ประมาณ ๒,๔๗๐ เมตร ตั้งแตอดีตกาลคาบสมุทรแหงน้อี ุดมสมบูรณไปดวยแหลงทองคํา เงิน และหินมีคา สําหรับ ปศุสัตวที่นิยมเล้ียงคือ อูฐ มา สวนสัตวปกนั้นสวนใหญเล้ียงนกพิราบ และนกกระจอกเทศจะมีอยู มากกวานกชนิดอ่นื ๆ ปจ จุบันทท่ี าํ ใหค าบสมทุ รแหง นี้ร่ํารวยมหาศาลคอื เปนแหลงผลิตนํ้ามนั และแหลงนํา้ มันท่ี ใหญท ี่สุด คอื เมืองดะฮรฺ าน เมืองทตี่ ง้ั อยูใ นสว นของ อะฮซฺ าอ ใกลอ าวเปอรเซีย ฮิญาซ คือ สวนที่อยูทางดานทิศเหนือ และทิศตะวันตกของประเทศซาอุดิอาระเบีย มีพื้นที่ ต้ังแตดินแดนปาเลสไตนถึง เยเมน ทางชายฝงทะเลแดงดินแดนแหงที่เต็มไปดวยเทือกเขาซึ่งไม สามารถทาํ การเพาะปลกู ได

ในประวัตศิ าสตรแผน ดินนี้เปน ทร่ี จู ักกันโดยท่ัวไป จากเหตุผลดาน จิตวิญญาณและศาสนา ปจจุบันก็ยังเปนท่ีต้ังของวิหารอัลกะอฺบะฮฺ(๑) และเปนชุมทิศของบรรดา มสุ ลมิ พันกวาลา นคน บริเวณท่ีตั้งอัลกะอฺบะฮฺนับแตอดีตกาลกอนกําหนดอิสลามก็เปนที่เคารพสักการะของ ประชาชาติอาหรับ การรบพุงกันบริเวณวิหารอัลกะอฺบะฮฺถือเปนที่ตองหามต้ังแตอดีต ปจจุบัน อิสลามกย็ าํ้ ในหลกั การนี้เชน กนั เน่ืองสําคัญของฮิญาซ คือ มักกะฮฺ มะดีนะฮฺ และ ฏออิฟ ต้ังแตอดีต ฮิญาซ มีเมืองทาท่ี สําคัญ ๒ แหง คือ ญิดดะฮฺ บริเวณรอบเมืองมักกะฮฺจะใหประโยชนกัน สวนยันบูฮชาวมะดีนะฮฺจะ ไดประโยชนก นั เมืองทา ท้ังสองอยรู ิมทะเลแดง มกั กะฮฺอันทรงเกียรติ มักกะฮฺนับเปนมหานครท่ีสําคัญของโลก เปนเมืองท่ีมีประชากรหนาแนนที่สุดของฮิญาซ อยูบน ความสงู ๓๐๐ เมตร เหลอื ระดับนา้ํ ทะเล มักกะฮฺตั้งอยูบริเวณหุบเขา ไมสามารถมองเห็นตัวเมืองไดจากระยะไกล มีจํานวน ประชาชน ประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน ประวัติเมืองมักกะฮฺ ประวัติเมืองมักกะฮฺเริ่มจากยุดทานนบีอิบรอฮึม ( อ. )* โดยทานไดสงบุตรของทานคือ ทานนบีอีซมาอีลพรอมมารดาทานหญิงฮาญัรมาอยูที่เมือง มักกะฮฺ ( ซ.บ. )**ใหสรางอัลกะอฺบะฮฺ

แตมีรายงานท่ีเช่ือถือไดวา อัลกะอฺบะฮฺ ไดสรางตั้งแตยุดของนบีนูฮ แตนบีอิบรอฮีมไดมาซอ มแซม มักกะฮฺ จงึ เร่มิ เจริญข้นึ ------- *(อ.) ยอมาจากอะลัยฮิซซะลาม จะนํามากลาวตอทายนามของบรรดาศาสดา แปลวา ขอความสันติ จงประสบแดทาน **(ซ.บ.) ยอมาจากซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะนํามากลาวหลังพระนามของอัลลอฮฺ แปลวา มหา บรสิ ทุ ธิแ์ ละสูงสงยิ่งเปนของพระองค บริเวณเมืองมักกะฮฺ เปนพื้นที่มีความเค็มจึงไมสามารถทําการเพาะปลูกได นักบูรพาคดีได กลาวกนั วาในโลกนี้ไมม ีทใี่ ดอกี แลว ท่ีจะมีสภาพภูมิประเทศที่เลวรายเชนนี้ มะดีนะฮฺ มะดีนะฮตฺ ง้ั อยูทางเหนือของเมืองมักกะฮฺมีระยะทางหา งกันประมาณ ๙๐ ฟรซัค ( ๑ ฟร ซัค ประมาณ ๖ กม. ) บริเวณเมืองมีสวนอินทผลัม และการเพาะปลูก ซึ้งพื้นดินนั้นเหมาะแกการ เพาะปลกู เดิมมีชื่อวา เมืองยัษริบ หลังจากการอพยพของทานศาสดาจึงเรียกวา มะดีนะตุรศาสดา ตอมาตัดเหลือคําวา มะดีนะฮฺ ในประวัติศาสตรบอกเราวาบุคคลกลุมแรกที่ไดอาศัยอยูที่น่ีคือ กลุม ชนอะมาลิเกาะห หลังจากน้ันก็กลุมชนยะฮูดี และกลุมของ เอาซฺกับค็อซร็อจญ ซึ่งมุสลิมเรียกพวก เขาวา อันศอร แผน ดินฮิญาซ แตกตางจากพื้นที่อ่ืนๆ ที่สามารถรอดพนจากอิทธิพลของอาณาจักรใหญท้ัง สองคือ อาณาจักรโรมและเปอรเซีย โดยไมเห็นรองรอยอารยธรรมของอาณาจักรท้ังสองกอน อสิ ลาม เพราะเหตุที่เปนพ้ืนที่ไมเหมาะแกการเพาะปลูกและอยูอาศัยจึงไมคาอันใดที่จะยกทัพมา เพ่ือแยงชิงดนิ แดน

๒ อาหรับกอ นอิสลาม เพอ่ื การรจู กั สภาพของอาหรับการมาของอัลอิสลามสามารถคน ควา จากแหลง ทมี่ าไดดังนี้ ๑. คัมภีรเตารอต ( ทัง้ ท่ีไดถกู ดดั แปลงแลว ) ๒. บันทึกตา งๆของชาวกรกี และโรม ในยุดกลาง ๓. ประวัตศิ าสตรอ สิ ลามท่นี กั วิชาการอิสลามไดจดบันทกึ ๔. หลักฐานทางโบราณคดี ท่ีถูกคนพบโดยนักบูรพาคดี ซึ่งเปนขอมูลท่ีชวยไดในระดับ หนง่ึ คาบสมุทรอาหรับเปนท่ีอาศัยของเผาตางๆ ต้ังแตอดีตกาล ซึ่งบางเผาบางกลุมคน ประสบ กบั ภยั พบิ ตั ิจนสาบสูญแตตามประวตั ศิ าสตรข องแผน ดินน้ีมชี นสามเผา ทมี่ ชี ื่อเสียงอาศัยอยู กลาวคอื ๑. บาอิดะฮฺ ใหค วามหมายวา สูญสลาย เนอื่ งจากชนกลุมนฝ่ี า ฝนพระบัญชาคร้ังแลวครั้งเลา จึงโดนลงทัณฑจากฟากฟาและแผนดินบางทีอาจหมายถึงกลุมของอาด และ ษะมูด ซึ่งในอัลกุ รอานไดก ลา วไวบอยครัง้ ๒. เกาะฮฺฏอนี คือชนกลุมที่เปนลูกหลานของยุอฺร็อบ บิน เกาะฮฺฏอน ซึ่งอาศัยอยูในเยเมน อยูทางตอนใตของคาบสมุทรอาหรับ พวกเขาจึงไดช่ือวาชาวอาหรับด้ังเดิมหรือชาวเยเมนใน ปจจบุ นั รวมทัง้ เผา ของเอาซฺ และค็อซรอ็ จญ ไดอาศัยอยูในเมอื งมะดีนะฮฺในชว งตน ของอสิ ลามน้ัน

ลวนมาจาก บุตรหลานของเกาะฮฺฏอน ชาวเกาะฮฺฏอนมีรัฐบาลปกครองมาแลวมากมาย และมีความ พยายามอยางมากในการพัฒนาแผนดินเยเมนและไดวางรากฐาน อารยธรรมอันสูงสงของตนไว ตําราและบันทึกของพวกเขาลวนเปนรากเหงาทางวิชาการ เม่ือกอนถึงอารยธรรมอาหรับกอน อิสลามกจ็ ะเก่ยี วพนั กบั พวกเขาซงึ่ มรี กรากอยูในแผนดินเยเมน ๓. อดั นานี คือ กลุม ชนที่เปนลูกหลานของทานอิซมาอีล บุตรของทานศาสดาอิบรอฮีม ( อ. ) ซึ่งจะกลาวถึงสายตระกูลในบทถัดไปบทสรุปก็คือ ทานศาสดาอิบรอฮีม ( อ. ) ไดรับคําบัญชาการ ใหน าํ บุตรของทา น คอื อซิ มาอลิ และมารดาของทา นคอื ทา นหญิงฮาญรั ไปพํานักที่เมืองมักกะฮฺอิบอ ฮีม ( อ. ) ไดพาทานทั้งสองออกจากแผนดินที่แหงแลงปราศจากท้ังนํ้าและพืชพันธุ แตดวยความ โปรดปรานจากพระผู อภิบาล ไดมอบนํ้าตา ซัมซัมใหกับพวกเขา ทานอิซมาอีลไดเชื่อมความสัมพันธกับเผาุรฮุม ซ่ึงตั้ง จรธโจมอยูบริเวณใกลเมืองมักกะฮฺจนกระทั่งมีลูกหลาน จํานวนมาก และอัดนานก็คือคนหนึ่งที่สืบ ขึน้ ไปถึงทานอิซมาอีล บตุ รหลานของอัดนาน แบง ออกเปนหลายชนเผาดว ยกนั และชนเผา ท่ีมชี ่ือเสยี งคือ เผา กุเรช ซึ่งตระกูลบนีฮาชิม มีมาจากเผากุเรช จรยิ ธรรมทวั่ ไปของชาวอาหรบั หมายถึงจริยธรรมและมารยาทสังคมโดยทั่วไป ที่ไดถือปฏิบัติมากอนอิสลาม ขนบธรรมเนียมบางอยางถือปฏิบัติอยางกวางขวางในหมูชาวอาหรับสามารถแบงสภาพโดยทั่วไป ของชาวอาหรับดงั น้ี ชาวอาหรับในยุคญาฮิลียะฮฺโดยเฉพาะลูกหลานของอัดนาน มีจิตใจโอบออมอารี และ ตอ นัรแขก เปนผูทมี่ คี วามรับผดิ ชอบและไมทรยศผูอ่นื การละเมิดและบิดพล้ิวสัญญาถือเปนบาปที่มิ

อาจยอมรับได พรอมจะพลีชีพบนหลักความเช่ือของตัวเอง มีสําเนียงไพเราะ มีความจําเปนเลิศใน การทองบทกลอน และสนุ ทรพจนท้ังการประพนั ธบ ทกลอนตา งๆ ความ กลา หาญทระนงเปนท่กี ลา วขาน มคี วามเชีย่ วชาญการขี่มา และยิงธนู การหันหลังใหศัตรูเปนเรื่องนา ตาํ หนแิ ละประณาม แตคุณลักษณะอันตรงขามน้ันก็คือความเสื่อมทรามทางศีลธรรมซ่ึงทําใหคุณลักษณะท่ีดี งามดังกลาวมลายสน้ิ ไป หากประตูแหงฟากฟาไมไดเปดความโปรดปรานลงมาใหพ วกเขา แนนอน เหลือเกินชีวิตของพวกเขาคงจะสับสนไปย่ิงกวาน้ี กลาวคือ ถาในกลางคริสตศตวรรษท่ี ๖ รัศมีแหง อิสลามไมไดฉายแสงสาดสองมายังดวงใจของพวกเขา วันน้ีพวกทานก็จะไมไดรูจ ักชาวอาหรับอัด นานเลย คํากลา วของทา นอะมีรลุ มอุ ม นิ ีนทอี่ ธบิ ายสภาพของอาหรับกอนอสิ ลามเปนประจักษพยาน ยืนยันวาพวกเขามีสภาพที่ยํ่าแยและตกต่ําแคไหนเพื่อพิจารณาดานศีลธรรม ทานกลาวเปนคุฏบะฮฺ ไวด ังน้ี “อัลลอฮฺทรงแตงตั้งมุฮัมมัดใหเปนผูตักเตือนสําหรับสากลโลกเปนผูไดรับความไววางใจ ในเร่ืองการประธานสาสน พวกทาน ชาว อาหรับทั้งหลายเคยอยูในสภาวะท่ีเลวรายในดานหลัก ความเช่ือ และอยูในสถานที่อันเลวราย ทามกลางกอนหินและทะเลทราย พวกทานดื่มนา้ํ ที่โสโครก และกินอาหารท่ีหยาบกระดาง หลั่งเลือดพวกเดียวกันเองและตัดความสัมพันธทางเครือญาติ เจว็ด ไดร บั การยกยอ ง และความบาปไดร บั การรักษาไว” (๒) เราไดกลาวถึงเรื่องราวของอัซอัด บินซุรอเราะฮฺมากอนหนานี้ ซึ่งเปนตัวอธิบายสภาพ ความเปนอยูข องประชาชนชาวฮิญาซเปน อยา งดี ณ ทน่ี เี้ ราขอนํามากลา วดังตอไปนี้ ไฟแหงสงครามระหวางกลุมชนเอาซฺและค็อซร็อจญที่อยูในเมืองมะดีนะฮฺถูกจุดขึ้นเปน เวลาหลายป วันหนึ่งแมทัพของชนเผาค็อซร็อจญคนหน่ึงนามวา อัซอัด บินซุรอเราะฮฺ ไดเดินทาง ไปมักกะฮฺเดินทางไปมักกะฮฺเพื่อสรางขวัญและกําลังใจใหกับกลุมชนของตนเอง เขาไดขอความ รวมมือทางทหารแลเงินทองจากพวกกุเรช เพอื่ ทําลายลางศตั รูของเขาคือชนเผาเอาซฺเขาไดเดินไปยัง บานของอุตบะฮฺ บินรอบีอะฮฺ ซึ่งมีความสัมพันธอันดีตอกันพูดถึงเปาหมายในการเดินทางมาครั้งน้ี

เพ่ือนของเขาบอกเขาวา “เราไมอาจตอบรับการรองขอของทานได เพราะทุกวันนี้เราเผชิญปญหา ภายใน มากอยูแลว มีชายคนหนึ่งในกลุมพวกเรา กลาวตําหนิติเตียนพระเจาของเราและตอวาบรรพบุรุษ ของเราวาโงเขลาเบาปญญา เขาไดเชิญชวนชายหนุมของเราดวยโวหาร อันทําใหเกิดความแตกแยก ในหมูพวกเรา ชายคนนี้จะไปอาศัยอยูท่ี ชะอฺบุอบูฏอลิบ ในเวลานอกเทศกาลฮัจญ และกลับเขามา อยูในบริเวณนี้เม่ือเทศกาลฮัจญมาถึง เขาจะนั่งอยูขางฮาญัรอิซมาอีล และเชิญชวนประชาชนสู ศาสนาของเขา” กอนที่อัซอัดจะไดติดตอกับแมทัพคนอ่ืนๆ เขาไดตัดสินใจกลังไปยังมะดีนะฮฺ แตท่ี ปรารถนาท่ีจะไปเยือนอัลกะอบฺ ะฮฺตามธรรมเนียมของอาหรับท่ัวไปเสียกอน อุตบะฮฺ ไดเตือนเขาวา “ในเวลาที่กําลังเวียนรอบอัลกะบะฮฺอยูนั้นอยาไดฟงคําพูดของชายคนนั้น” พอเขาคิดท่ีจะลมเลิกไม ไปเยือนกะอฺบะฮฺก็ไดแนะนําเขาวาใหเขาเอาสําลีอุดหู เพื่อจะไมไดยินเสียงของชายคนน้ัน อัซอัด คอ ยๆ เดนิ เขามัสญิดอลั ฮะรอมและเริ่มเวียนรอบกะอฺบะฮฺ เมื่อเขาเวียนรอบแรก สายตาของเขาก็หัน ไปเห็นศาสดาของอิสลาม เขาเห็นชายคนหนึ่งน่ังอยูตรงฮาญัรอิซมาอีลโดยที่มีชาว บนีฮาชิม หอม ลอมและคอยปกปองเขาอยู เขาไมกลาเดินไปขางหนาเพราะกลัวจะอยูภายใตมนตสะกดของเขา ใน ที่สุดเขาก็คิดไดในขณะเวียนรอบกะอฺบะฮฺวา นี่เปน การกระทําที่ชางโงเขลาส้ินดี เพราะอาจมีคนใน เมืองมะดีนะฮฺมาถามฉันเกยี่ วกับเหตุการณเหลานี้ แลวฉันจะตอบพวกเขาไดอยางไรเม่ือคิดไดเชนนี้ เขาก็ตองหาความจริงใหไ ด เขาเดินมาขางหนากลาวทักทายตามธรรมเนียมของอาหรับวา “อันอะมะ ศอบาฮัน” ทาน ศาสดาตอบรับเขาวา “พระเจาของฉันไดประทานคํากลาวทักทายที่ย่ิงกวาน้ันก็คือ ซะลามุน อะลัย กุม ( ขอความสานติ จงมีแดทาน )” อัซซัดไดถามถึงเจตนาของทานศาสดา ทานไดตอบโดยยกอัลกุ รอาน อายะฮฺที่ ๑๕๑ – ๑๕๓ ซูเราะฮฺ อัลอันอาม ซ่ึงบงบอกสภาพจิตใจของชาวอาหรับในยุคญาฮิลี ยะฮฺ อายะฮเหลานี้สรางความประทับใจใหเกิดขึ้นกับเขา คนที่เคยมีชีวิตอยูในสภาพท่ีตองทํา สงครามกับผูอ่ืนมาเปนเวลารอยกวาป เขาไดยอมรับอิสลามในทันที และรองขอทานศาสดาสงนัก เผยแพรค นหนึ่งมายังมะดีนะฮฺ ทานศาสดาจงึ ไดส งมุศอับ บนิ อุมัยรฺ ไปเมืองมะดีนะฮใฺ นฐานะครสู อน

อัลกรุ อานและอสิ ลาม เม่ือพิจารณาดังกลาวอยางละเอียด เราก็แทบไมตองไปหาขอมูลรายละเอียดของสภาพของ ชนชาวอาหรับอีกเพราะโองการเหลาน้ันบอกเราวา ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณเปนตัวทําลาย ชาวอาหรับยุคญาฮลิ ียะฮซฺ ่ึงเราขอเสนอนํามาสรุปเปน หัวขอ ดงั ตอ ไปน้ี ๑. ฉนั ถกู แตง ต้งั มาเพอื่ ทําลายการต้ังภาคแี ละการบูชาเจว็ด ๒. ตามแนวทางคาํ สอนของฉนั น้ัน ตองทาํ ความดีตอ บิดามารดาและผูบงั เกดิ เกลา (๔) ๓. ในศาสนาของฉันบอกวา การสังหารลูกของตนเองอันเน่ืองจากกลัวความยากจนนั้น ถือ เปนสิ่งทีน่ า เกียจทสี่ ดุ ๔. ฉันถูกแตงต้ังมาเพ่ือใหมนุษยชาตินั้นออกหางจากสิ่งที่นารังเกียจไมวาจะเปนความ สกปรกโสมมจากภายในหรือภายนอกก็ตาม (๕) ๕. ตามกฎเกณฑของศาสนาของฉันนั้น การสังหารชีวิตมนุษยโดยไมชอบธรรมน้ัน ถูก หามอยง เด็ดขาด มันคอื คําตกั เตอื นท่พี ระเจา ตอ งการใหเราไดคิด (๗) ๖.การเบียดบงั เอาผลประโยชนของลูกกาํ พรานน้ั เปนทตี่ อ งหาม (๘) ๗. รากฐานของศาสนาของฉันคอื ความเท่ียงธรรมและการโกงตาชัง่ ถือเปนทต่ี อ งหา ม (๙) ๘. เราจะไมวางภาระหนักแกผใู ดทีเ่ กนิ ขดี ความสามารถของเขา (๑๐) ๙. ล้ินและคําพูดคือสิ่งท่ีแสดงใหเห็นถึงจิตใจภายในบุคคล ดังน้ันเขาตองใชมันไปเพื่อ ความจริงและสัจธรรม เขาจะตองไมพูดสิ่งใดนอกจากสิ่งนั้นตองเปนความจริง ถึงแมจะเปน อนั ตรายกบั ตัวผพู ูดก็ตาม(๑๑) ๑๐. สญั ญาใดทท่ี ําไปในนามของพระเจาแลว กจ็ งใหเ กยี รตติ อสัญญาน้นั (๑๒) “น่คี อื คําตกั เตือนของพระเจา ท่ีมีช่อื ตอ ทา นซึง่ ทานตอ งปฏิบัตติ าม”(๑๓)

ลทั ธศิ าสนาของชาวอาหรับ เมื่อตอนที่ทานนบีอิบรอฮีมไดปกธงแหงการมีพระเจาองคเดียวในดินแดนฮิญาซ ก็มีกลุม ชนกลุมหน่ึงไดปฏิบัติตามทาน แตยังไมเปนท่กี ระจางชัดวา ทานสามารถเผยแพรแนวคิดการมีพระ เจาองคเดียวไดสักเทาไหร ทานอะมีรุลมุอมินีน*ไดอธิบายสภาพของประชาชาติอาหรับในยุคนั้น ดงั นี้ “ ประชาชนในยุคนัน้ แตกแยกกนั เปนฝกเปนฝาย คนกลุมหนึ่งเทียบเคียงพระเจาใหมีสภาพ เหมอื นส่งิ ถูกสรา ง และบางกลมุ ก็เขา ไปแอบอา งช่ือของพระเจา แตบางกลุม ก็ไดรับทางนําโดยผาน ทา นศาสดาผูทรงเกยี รต”ิ (๑๔) กลุมชนทเ่ี ปนนักคดิ ของชาวอาหรับก็จะเคารพบชู าดวงดาว และดวงจันทร สวนคนท่ีอยูมน ระดับลางลงมาซ่ึงเปนคนสวนใหญของชาวอาหรับไมเพียงแตเคารพบูชาเจว็ดประจําเผาเทาน้ัน พวกเขายังตองเคารพบูชาเจว็ด ๓๖๐ รูป โดยแตละวันก็จะเคารพเจว็ดประจําวันเหลานัน้ การเคารพ บูชาเจว็ดในดินแดนของมกั กะฮฺ ภายหลงั จากส้ินนบีอบิ รอฮีม เกิดขน้ึ จากความพยายามของอัมร บิน กุศ็อย แตในชวงแรกน้ันยังไมไดแพรหลายเหมือนวันน้ี พวกเขานับถือเจว็ดที่อยูรายลอมอัล กะอฺบะฮฺน้ันไดรับการใหเกียรติในทุกกลุมชน แตเจว็ดประจําเผาก็จะไดรับการบูชาเฉพาะเผาน้ัน และอันเน่ืองจากตองรักษาเจว็ดประจําเผาไว จึงจําเปนตองมีการสรางวิหารเปนท่ีอยูของเจว็ด เหลานัน้ และมีผทู ีถ่ อื กญุ แจประจาํ วหิ ารโดยรับหนาทีส่ บื ทอดกันเปนมรดก เจว็ดประจาํ บานจะไดรับการเคารพบูชาจากคนภายในบานท้ังวันท้ังคืน เมื่อใดพวกเขาตอง ออกเดินทาง เขาก็จะเอามือสัมผัสกับรูปเจว็ดเหลาน้ันแตเมื่อเขาอยูระหวางการเดินทาง เขาก็ จําเปนตองหันไปบูชาหินสีตางๆ ที่อยูในทะเลทราย และเม่ือเขากลับมาถึงบานเขาก็จะเลือกหินท่ี สวยทส่ี ดุ มาส่กี อนเพอื่ นํามาบชู า สวนท่เี หลอื กจ็ าํ นาํ ไปเปน ฐานรองเตา -------

* อะมีรุลมุอมินีน ฉายานามที่ใชเรียกนําหนาชื่อผูปกครองอิสลามในยุคตน แปลวา ผูปกครองแหง บรรดาผศู รทั ธา เจว็ดลาต อยูในฐานะของพระมารดาของพระเจาทั้งหลาย วิหารของลาต อยูใกลกับฏออิฟ ลาต ถูกสรางมาจากหนิ สขี าว เจวด็ มะนาต ถอื เปน พระเจา แหง ความตาย วิหารจะอยรู ะหวางมกั กะฮฺกบั มะดนี ะฮฺ อบูซุฟยาน ไดนําเอลาตและอุซซาติดตัวไปในสมรภูมิอุฮุด และขอความสวัสดีมีชัยจาก เจวด็ ทัง้ สอง ผลของการเคารพบูชาเจว็ดอันหลากหลายนี่เองเปนสาเหตุใหเกิดการสูรบฆาฟนกัน จนใน ท่สี ดุ ประชาชาตอิ าหรบั กต็ กอยูในสภาพที่เส่อื มทรามทั้งทางดานวัตถุและจิตวิญญาณ และกลายเปน กลมุ ชนลาหลงั ไปในท่ีสดุ (๑๕) สถานภาพของสตรีในหมูชนอาหรบั ในบทนี้ เราจะนําเอาเหตุผลเพ่ือการคนหาควมจริงของสถานภาพของสตรีที่วา : สตรีเปน ส่ิงตองหามหนึ่งที่ประหลาดในหมูของพวกเขาและมีสภาพความเปนอยูท่ีเลวรายท่ีสุด เม่ือเราผาน เหตุผลน้ีไปเราจะพบวามีอายะฮฺกุรอาน๑๕ หลายๆ อายะฮฺที่ไดกลาวตําหนิถึงการกระทําท่ีไม เหมาะสมของพวกเขา ซ่ึงการกระทําทีป่ า เถอื่ นที่สุดของพวกเขาจะปรากฏใหเ หน็ ในบทน้ี ในอัลกุรอานไดกลาวถึงการกระทําที่ไมเหมาะสมของพวกเขา (ดานการฆาบุตรี) ดังมี ใจความวา และเมอ่ื ทารกหญิงทถ่ี กู ฝง ( ไดฟ น คืนชพี และวนั กยิ ามตั ) (๑๖) ถูกถามวา ....(๑๗) กลาวคือ วนั กิยามัตเปนวันหนึ่งซึ่งทารกหญิงจะถูกทําใหฟนคืนชีพและถูกถามถึงการท่ีเธอ ถูกฆาจริงๆ แลวมนุษยจะตองตกอยูกับการกระทําที่ปาเถื่อนไปอีกนานแคไหน ซึ่งน้ันก็คือดวงใจ ของพวกเขาเองหลังจากที่พวกเขาไดเลี้ยงดูเติบโตขึ้นมา หรือหลังจากวันถือกําเนิบุตรของเขาแลว พวกเขาไดฝง บุตรของเขาเองโดยที่ไมแยแสตอเสียงรอ งของบุตรของเขาเลย

ดว ยกับการนําเลือดเนื้อเช้อื ไขหรือดวงใจของพวกเขาที่ไดเติบโตขึ้นมาหรือหลังจากวันถือ กําเนดิ นน้ั มาทาํ การฝงทง้ั เปน โดยทเ่ี สียงรองของเธอ นนั้ ไมมผี ลอนั ใดตอ พวกเขาเลย ชนเผาแรกท่ีไดเริ่มกระทําการแบบนี้ คือ ชนเผา “บนีตะบีม” โดยการนําของ นุอมาน บิน มุมซิร ผูบัญชาการทหารอิรัก เพื่อที่จะปราบปรามพวกตอตานทั้งหลาย เขาไดนํากองทัพจํานวน หนึ่งเขากวาดลางพวกตอตา นเหลานนั้ ไวเ ปน เชลย เมื่อบรรดาผูแทนของเผาบนีตะมมี เขามาพบเขา (นุอมาน บนิ มนุ ซัร) ตางรองขอใหปลดปลอยบรรดาบุตรีของพวกเขาคืน แตทวามีเชลยบางคนที่ถูก ขังอยูในคุกไดแตงงานไปบางแลว นุอมาน จึงใหคําแนะนํากับพวกเขาวา : ใหพวกเขาเลือกตัด ความสัมพันธระหวางพวกเขากับผูเปนบิดาคือจะเลือกใชชีวิตอยูกับสามีของตนในแผนดินนี้ หรือ จะเลอื กหยากับสามีและเดินทางกลับไปยังบานเมืองของตน ลูกสาวของเกซ บนิ อาซิม เลือกท่ีจะอยู กับสามีของเขา ซึ่งสิ่งนี้เองไดสรางความเจ็บปวดใหกับผูเปนบิดาของนางเปนอยางมาก เนื่องจาก บิดาของนางเปนถึงหน่ึงในผูแทนของตระกูลบนีตะมีม เขาจึงสาบานกับตนเองวา ต้ังแตน้ีตอไปเขา จะฆาบุตรสาวของตนทุกคนตั้งแตแรกเกิดเลยทีเดียว ซ่ึงการกระทําน้ีภายหลังไดกลายมาเปน ประเพณแี ละมอี ทิ ธพิ ลอยางมากตอชนเผาอื่น ครั้นเมื่อเกซ บินอาซิม ไดรับเชิญจากทานศาสดา (ศ. ) มีชาวอันศอร(๑๘) คนหน่ึงไดถามเขา ถึงลูกสาวของเขา เกซ ไดตอบไปวา: ฉันไดฆาลูกสาวทุกคนของฉันทั้งเปน และฉันก็ไมไดรูสึก เสยี ใจเลยแมแ ตนอ ย นอกเสียจากคร้ังหน่ึงที่ฉันตองออกเดินทางไปตา งแดน ตอนนั้นภรรยาของฉัน กําลังต้ังครรภและใกลจะถึงกําหนดคลอด แตบังเอิญการเดินทางขิงฉันยาวนานมากและหลังจากท่ี ฉนั เดินทางกลบั มาแลวนั้น ฉนั ไดถ ามถงึ การต้ังครรภของภรรยาของฉัน นางตอบกับฉันวา มีสาเหตุ ท่ีทําใหเด็กตายต้ังตแรกเกดแตในความเปนจริงแลวนางคลอดบุตรเปนบุตรสาว แตเน่ืองจากนาง กลัวฉันนางจึงนําเด็กไปฝากไสวกับนางสาวของนาง เมื่อหลายปผานไปจนกระทั่งบุตรสาวเขาสู วัยรุน และฉันก็ไมรูเร่ืองการมีบุตรเลยแมแตนอย จนกระท่ังวันหน่ึงขณะที่ฉันนั่งอยูในบาน ทันใด

นั้นเองไดมีเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเขามาในบานและถามหามารดาของเขา เด็กหญิงคนนั้นมีใบหนา งดงาม มีผมท่ีสวยถกั เปน เปยยาว และสวมสรอยคอเสนหน่ึงท่ีคอของเขา ฉันไดถามภรรยาของฉันวาเด็กหญิงผูงดงามนารัก คนนี้เปนใคร? นางตอบฉนั ในขณะท่ีนํ้าตาคลอบาวา :เด็กหญิงคนนี้เปนบุตรสาวของทานเอง เขาได เกิดมาขณะท่ีทานเดินทางไปตางเมือง และเนื่องจากความกลัวท่ีฉันมีตอทาน ฉันจึงไดซอนเขาไว ความเงียบเฉยของฉันที่มีตอภรรยา แสดงใหเห็นถึงความพึงพอใจของฉันท่ีมีตอบุตรสวาคนนี้ ภรรยาของฉันจึงคิดวาฉันคงจะไมฆาบุตรสาวคนน้ีอีกอยางแนนอน แตทวา วันหนึ่งภรรยาของฉัน ออกจากบาไปดวยความไวว างใจที่ฉันจะไมฆาบุตรของฉัน แตเน่ืองจากฉันไดเคยสาบานกับตัวเอง ไวแลว ฉันจึงจูงมือบุตรสาวของฉันไปยังสถานที่ที่หางไกลจากผูคน โดยมีแผนการที่จะขุมหลุมฝง นาง ซึ่งในขณะท่ีฉันกําลังขุมหลุมอยูนั้น บุตรสาวของฉันไดถามขึ้นซ้ําแลวซ้ําเลาวา จุดประสงค ของการขุดหลุมนี้คืออะไร? หลังจากท่ีขุดหลุมเสร็จเรียบรอย ฉันจับมือของบุตรสาวของฉัน และ คอยๆวางตัวเธอลงในหลุม และฉันไดนําดินกลบตามใบหนาและศรีษะของเธอและฉันก็ไมได สนใจตอเสยี งรอ งของเธออกี เลย เธอยังคงรองตอไปและพูดขน้ึ อกี วา : พอ จา พอ จะซอ นฉันไวในหลุมน้ีหรือ ? และพอจะท้ิง ฉันไวในหลุมนี้เพียงคนเดียวแลวทานจะกลับไป หาแมของฉันเพียงลําพังกระน้ันหรือ? แตฉันก็ ไมไดฟงเสียงรองน้ันฉันนําดินมากลบจนกระท่ังบุตรสาวของฉันจมลงในดิน ซ่ึงดินก็ไดกลบเขา อยางมิดชดิ เหตุการณน้ีเปนเหตุการณเดียวที่ทําใหฉันเสียใจ เม่ือคําพูดของเกซสินสุดลง ดวงตาของ ทานศาสดา (ศ) เต็มไปดวยนํ้าตา และทานไดกลาวประโยคนี้วา “การกระทําเชนนี้เปนการกระทําท่ี เหี้ยมโหดอํามหิต และกลุม ชนใดก็ตามท่ีซึ่งไรความเมตตา กลุมชนนั้นกธจะไมไดรับความเตตาจาก พระองคอลั ลอฮฺเชนกัน (๑๙)

ความเชอื่ สงิ่ งมงายของชาวอาหรับ อัลกรุ อาน(๒๐) กลา วถึงจดุ หมายของการประกาศศาสนาของทานศาสดาไวเปนประโยคสั้นๆ ซ่งึ หน่ึงในขอความดงั กลา วทน่ี า สนใจมีดงั นค้ี ือ ความวา .... ถอดถอนขอจํากดั ของพวกเขา และบวงซ่ึง (คลอง) อยูเหนือพวก เขา ออกจากพวกเขา ....” (๒๑) ตอไปน้ีเราจะตองพิจารณาถึงจุดประสงคของหวงโซในสมัยแรกเร่ิม ของศาสนาอิสลาม ซ่ึง ชวงเวลาน้ันสงั คมอาหรับเปนยุคญาฮิลยี ะฮุ (๒๒) วาจดุ ประสงคดังกลาวนั้นคืออะไร ? โดยปกติแลว จุดประสงคด งั กลาวมิไดห มายความ ถึงโซตรวนเหล็ก แตหมายถึงความหลงเชื่อและความงมงายท่ี เปนทํา ใหความคิดและสติปญญาของพวกเขาไมไดร ับการพัฒนา และน้ีก็เปน อีกหลุมพรางหน่ึง ที่ยึดติดอยูในความคิดมนุษย เปรียบเสมือนดัง ลําดับข้ันของโซตรวน ซึ่งความเสียหายจะยังคงแผ ขยายไปไดกวางไกล เนื่องจากโซตรวนเหล็กท้ังหลายเม่ือผานไปชวงระยะเวลาหนึ่งก็จะถูกปลด ออก จากมือหรือเทาได และชาวคุกก็จะดําเนินชีวิตดวยกับความคิดท่ีถูกตอง และปราศจากความ เช่ือที่งมงาย แตทวาความเช่ือและความงมงาย เหลานั้นก็เหมือนกับสิ่งที่มาทําใหคนหลงทางซึ่ง คอยทําใหสติปญญา ความคิด และความเขาใจของมนุษยน้ันสับสนอยูตลอดเวลา และจะอยูคูกับ มนษุ ยจน กระทัง้ ความตายไดมาเยือนพวกเขา นอกจากน้ียังทําใหมนุษยไมพยายามขจัด ความเช่ือ เหลาน้ันใหหลุดพนไปจากตน ซึ่งปกติแลวมนุษยสามารถทําลาย โซตรวนเหลานั้นดวยกับ สติปญญาและความท่ีถูกตอง แตทวาหาก ความพยายามของมนุษยปราศจากความคดิ ท่ีถูกตองแลว ไซร การออกหางจาก สง่ิ ไรส าระและความคิดเพอเจอ เหลาน้นั ก็จะไมม ีประโยชนอ นั ใดเลย หนึ่งในความภาคภูมิใจที่ย่ิงใหญท่ีสดุ ของทานศาสดา (ศ.) ก็คือการตอสูกับความเชื่อท่ีงม งาย และความคิดที่เพอเจอ ตลอดจนตํานานเลาขานตางๆ อีกท้ังการชําระลางสติปญญาของ ประชาชาติใหหลุดพนจากการเขาครอบงําของความงมงายตางๆโดยทานศาสดา (ศ.) ไดกลาวไว ดังนี้วา : ฉันมาเพื่อท่ีจะสรางความแข็งแกรงทางความคิดใหกับมนุษยชาติ และฉันมาเพ่ือทําการ ตอสกู บั ความเช้อื งมงายทกุ วิถที างถึงแมว าสิง่ เหลา น้นั จะชว ยเหลอื ฉันใหบรรลุจดุ มงุ หมายก็ตาม

นักการปกครองทั่วโลกที่ปกครองประชาชนอยางไรจุดหมาย พวกเขาจะยึดติดกับทุกสิ่ง เพ่ือใชในการสรางผลประโยชนใหกับพวกเขา แมกระทั้งตํานานเลาขานหรือความเช่ือทาง ไสยศาสตรของประชาชาติ ท่ีสามารถชวยเหลือการปกครองของพวกเขาได และถาหากพวกเขา เปนบุคคลท่ีมีความคิดและมีเหตุผล เพื่อใหไดเช่ือวาเปนบุคคลที่เคารพความคิดสวนรวมและ ความเช่ือของคนสว นมากแลว พวกเขาจะเขาขางตํานานเลาขานหรือความเช่ือท่ีผิด ถึงแมสติจะขัด กบั สติปญญากต็ าม อยางไรก็ตามทานศาสดาไมเพียงแตจะขัดขวางความเชื่อท่ีหลงผิดท่ีไดสรางความเสียหาย ใหเกิดขึ้นแกสังคมสวนรวมและสวนตนเทาน้ัน แตทวาทานยังเขาขัดขวางประเพณีความเชื่อ โบราณที่ไรแกน สาว ถึงแมมนั จะสามารถชว ยใหจ ุดมงุ หมายของทานศาสดา (ศ.) สําเร็จลุลวงก็ตาม ที แตทานก็จะตอสูกับสิ่งเหลาน้ันดวยกับพลังอํานาจท่ีมีอยูทั้งหมด และทานยังเพียรพยายามท่ีจะ ทําใหประชาชาติของทานเปนบาวที่แทจริง ไมใชบาวของสิ่งงมงาย ซ่ึงสามารถศึกษาไดจาก ตัวอยางหนึ่งในเร่ืองดังตอ ไปนี้ ...คร้ังหนึ่งเมื่อบุตรชายของทานศาสดา (ศ.) ซึ่งมีนามวา อิบรอฮึม ไดเสียชีวิตลง ดวย ความโศกเศราเสียใจตอการจากไปของบุตรของทาน ทานศาสดา (ศ.) มิอาจยับยั้งนํ้าตาของทานไว ได นํ้าตาของทานไหลพรากจากดวงตาทั้งสองของทาน และในวันนั้นเองไดเกิดสุริยุปราคาขึ้น ซ่ึง ตามประเพณีและความเช่ือของชาวอาหรับแลว ถือวา การเกิดสุริยปุ ราคาในวันน้ันเนื่องมาจากความ โศกเศราของทานศาสดา (ศ.) ซ่ึงพวกเขากลาวกันวา ปรากฏการณสุริยุปราคาเกิดข้ึนเพราะการจาก ไปของบุตรทานศาสดา (ศ.) เม่ือทานศาสดาไดยินดังน้ัน ทานจึงขึ้นไปบนมิมบ้ัร*และกลาววา : “สุริยุปราคาและจันทรุปราคาเปนการแสดงถึงอํานาจ อยางไมมีวันสูญสลายของพระผูเปนเจาและ เกดิ ขน้ึ ดว ยกับคําสง่ั ของพระองค

-------- * มิมบัร คือ แทน สาํ หรบั ยืนกลา วเทศนาธรรม มิไดเกินข้ึนเพราะการเสียชีวิตของบุคคลใด และทุกครั้งที่เกิดเหตุการณและจันทรุปราคา พวกทาน จึงละหมาดอายาต**เถดิ เม่อื ทานศาสดา ( ศ. ) กลาวโอวาทจบ ทานไดลงจากมิมบัรและละหมาดอา ยาตรว มกับประชาชน (๒๓) ความเชื่อท่ีปรากฏการณสุริยุปราคาท่ีเกิดขนึ้ เนื่องจากการเสียชีวิตของบุตรของทานศาสดา ( ศ. ) นัน้ ถึงแมประชาชนจะยืนหยดั ตอ ทานศาสดา ( ศ. ) และใหก ารชวยเหลืองานศาสดาก็ตาม แต ก็มิอาจทาํ ใหท านศาสดาพงึ พอใจหรือยอมรบั ตอสภาพการณดา นความเช่อื งมงายท่ีมีอยูในจิตใจของ พวกเขาไดเลย สําหรับตัวอยางการตอสูของทานตอความเช่ืองมงายที่เห็นไดชัดคือการตอสูกับการกราบ ไหวรูปปนในทุกวิถีทาง ซึ่งการตอสูของทานมิไดเกิดขึ้นในสมัยของการเผยแพรศาสนาเทาน้ัน แต ทวาทานทําการตอสูกับบรรดาความเชื่อและสิ่งงมงายในทุกสมัยตลอดชวงชีวิตของทาน แมกระทั่ง ในขณะท่ที านยงั เยาววยั กต็ าม ในคร้ังทีท่ านศาสดา ( ศ. ) มอี ายเุ กือบ ๔ ป ทา นอาศยั อยกู บั ผูเปน นาและแมนมของทาน ซ่ึง กค็ ือ นางฮะลีมะฮฺ ทา นขออนญุ าตมารดาของทานเพอ่ื ทจี่ ะออกไปเลน กบั บรรดาพี่นอ งรวมมารดายัง ทองทุงแหงหน่ึง นางฮะลีมะฮฺ เลาวา วันน้ันฉันไดอาบน้ําใหกับมุฮัมมัด ( ศ. ) และไดใสน้ํามันผม ใหกับเขาและไดทาตาให เพื่อท่ีจะไมใหมารรานแหงทองทุงทําอันตรายใดๆ กับเขาไดและสวม ตะกรุดอันหนึ่งใหที่คอของทาน ซึ่งรอยดวยสายดาย เพ่ือชวยปกปกษรักษาทาน ทานศาสดา ( ศ. ) ดึงตะกรุดออกมาจากคอของทาน และกลาวกับผูเปนมารดาวา : แมจา พระเจาของฉันจะอยูกับฉัน จะเปน ผดู ูแลและคุมครองฉันเอง (๒๔) ความเชื่องมงายของชาวอาหรบั ยคุ ญาฮิลียะฮฺ

------- ** ละหมาดอายาต หรือ นมาซอายาด คือละหมาดที่จะกระทําในชวงเวลาท่ีมีเหตุการณผิดปกติหรื อภยั ธรรมชาติ อยา งรนุ แรง เปร นลกั ษณะของการวิงวอนขอตอพระเจาในลักษณะหนง่ึ เม่ือวันแหงการเร่ิมตนของศาสนาอิสลามไดมาถึง ในชวงน่ีประชากรโลกยังตกอยูในหวง ของความงมงายนานาชนดิ ไมวา จะเปนความเช่ือดา นไสยศาสตร หรือความเชอ่ื เร่ืองตํานานเลาขาน ตางๆ ซึ่งตํานานเลาของ กรีก และอิหรานมีอิทธิพลตอความคิดของประชากรในสมัยน้ันเปนอยาง มากปจจุบันก็เชนกันในหมูประชาชาติตะวันออกยังคงมีความเช่ือ เรื่องไสยศาสตรหลงเหลืออยู ซึ่ง อารยธรรมปจจุบันก็ไมสามารถทําใหความเชื่อเหลาน้ันหลุดพนไปจากวิถีชีวิตของพวกเขาได อน่ึง ความกาวหนาของตํานานและไสยศาสตรข้ึนอยูกับวิชาการและวัฒนธรรม โดยสังคมใดก็ตามท่ี หางไกล จากวิชาการและวัฒนธรรมมากเทาไหร สังคมน้ันก็จะการยึดติดเร่ืองความเช่ืองมงายและ ไสยศาสตรม ากขึ้นเทาน้นั ประวัติศาสตรไดบันทึกเร่ืองราวเก่ียวกับความเชื่องมงายและตํานานเลาขานตางๆ ไวอยาง มากมาย เพื่อใหประชาชาติอาหรับไดศึกษา ดังในหนังสือ บุลูฆุลอัรบิ ฟมะอฺริฟะติ้ลอะร็อบ(๒๕)ซ่ึง สวนใหญเร่ืองราวๆ นั้นจะถูกรวบรวมไวในหนังสือเลมนี้ดวยหลักฐานทางบทกวีและอื่นๆ ซึ่ง หลังจากที่มนุษยไดศึกษาหนังสือเลมนี้และเลมอื่นๆ จะพบวาความเช่ืองมงายเหลานั้นมีอยูมากมาย ซ่ึงเต็มเติมอยูในสมองของชาวอาหรับยุดญาฮิลียะฮฺท้ังสิ้น และนี่ก็คืออีกแงมุมหนึ่งซึ่งไรแกนสาร ซ่ึงเปนสาเหตุหน่ึงของความตกต่ําของประชาชาติน้ีซ่ึงเปนความตกต่ําที่ยิ่งกวาประชาชาติอื่น สําหรับตัวปดกั้นที่สําคัญท่ีดานความกาวหนาทางศาสนาอิสลาม ก็คือ ตํานานเลาขานที่ผิดๆนั้นเอง ดวยเหตุนี้เองทานศาสดา ( ศ. ) จึงพยายามทุกวิถีทางท่ีจะทําใหผลพวงของยุคญาฮิลียะฮฺ ซ่ึงก็คือ ตํานานเลาขานและความเช่ือที่ผิดนั้นถูกทําลายไปจากสังคม ครั้งหนึ่งเม่ือมะอาซ บินญะบัลถูก สงไปยังเมืองเยเมน ทานศาสดา ( ศ. ) กลาวกบั เขาวา “โอ มะอาซ จงทาํ ลายทุกสิ่งทีห่ ลงเหลือมาจาก ยุคญาฮิยะฮฺ ตลอดจนความเช่ือท้ังมวล และจงทําใหแบบแผนของอิสลามซ่ึงก็คือ การเช้ือมาสู ความคดิ และสติปญญาคงอยูเสมอ” (๒๖)

เขาไดกลา วตอ หมชู นชาวอาหรบั จํานวนมากทีต่ กอยูในความครอบงาํ ของความผดิ ท่ีโงเขลา และความเชื่อที่งมงายเปนเวลาชานานวา “ดวยกับการมาของอิสลาม ทุกๆ ประเพณีและความเชื่อ ตลอดจนสิ่งไรส าระ ทั้งมวลจะถูกทําลายและจะอยูภ ายใตอ งุ เทาของฉัน” (๒๗) ดังน้ันเพ่ือใหคุณคาของศาสนาอิสลามประจักษชัดเจนยิ่งข้ึนจึงขอหยิบยกตัวอยางมาแสดง ณ ทน่ี ีด้ ังตอ ไปน้ี ๑. การจุดเปลวเพลงิ เพ่ือใหฝนตก คาบสมุทรอาหรับมักจะประสบกับฤดูท่ีแหงแลงเปนสวนใหญ ดังน้ันประชาชนจึงหาวิธีท่ี จะทําใหเกิดฝนตก โดยพวกเขาจะรวบรวมเศษไมจากตนไมท่ีมีช่ือวา ชิลอฺ และจากตนไมอื่นท่ีมี คุณสมบัติไวตอการเผาไหมซึ่งก็คือตน อุช้ัร หลังจากนั้นพวกเขาจะนําเศษไมท่ีหามาไดผูกติดกับ หางวัว และตอนวัวเหลานั้นไปบนภูเขา และจุดไฟเผาไมเหลานั้น และดวยกับการที่ไมอุช้ัรมี คุณสมบัติของการลุกไหมที่ดี ทําใหเกิดเปลวเพลิงลุกโชติชวงข้ึน เมื่อเกิดการลุกไหมวัวเหลานั้น ตา งวิ่งและสง เสียงรอ งอยางเจ็บปวด การทพี่ วกเขากระทําการตา่ํ ชาดงั กลา วกเ็ พียงเพ่ือท่จี ะเรยี นแบบ ฟาแลบและฟารองเทาน้ัน โดยเปลวไฟเปรียบดังสายฟาแลบ และเสียงรองของวัวเปรียบดังเสียงฟา รองซง่ึ พวกเขาเชื่อกนั วาการกระทําเชนนัน้ จะมีผลตอการตกของฝน ๒. การตวี วั ตวั ผูเ มื่อวัวตวั เมยี ไมด ่ืมนํ้า ชาวาหรบั ยุอญาฮียะฮฺจะพาวัวตวั เมียและตัวผไู ปกินนาํ้ ท่ีลําธารอยเู สมอ ซงึ มีบางในบางครั้ง ที่วัวตัวผูกินน้ําเพียงฝายเดียวแตวัวตัวเมียจะไมแตะตองนํ้านั้นเลย พวกเขาจึงพากันคิดไปวาสาเหตุ ของการท่ีวัวตัวเมียไมด่ืมนํ้าเนื่องมาจากระหวางเขาของวัวตัวผูมีมารรายแฝงตัวอยู และไมอนุญาต ใหวัวตัวเมียเขาไปรวมดื่มน้ําดวย ดังนั้นพวกเขาจึงตีไปยังหนาและศรีษะของวัวตัวผูเพ่ือใหมารราย น้ันหลุดพน ไป

๓. การทาํ การทรมานอฐู ปกติจนกวา อฐู ตัวจะหายปว ย หากเกิดโรคภัยไขเจ็บข้ึนในฝูงอูฐ หรือเกิดแผลหรือเม็ดพุพองในปากเพ่ือเปนการปองกัน การระบาดของโรคน้ี พวกเขาจึงนําวัวไมเปนโรคมาจี้ที่ปากสะโพก และนองใหเกิดความรอน แต สาเหตขุ องการ การทําดังกลาวไมเ ปน ที่แนชัด บางก็สันนิฐานวาสามารถปองกันโรคระบาดได หรืออาจเปนวิธีรักษาอีกอยางหน่ึง จาก ความคดิ ดงั กลาว นบั วาเปนการกระทําหนึ่งซ่ึงเติมไปดวยความหลงงมงายและไรสาระ เนื่องจากใน ฝงู อูฐมอี ูฐต้ังมากมายแตเขากลบั ทรมารอูฐเพียงตัวเดียวเทานัน้ ๔. การขงั อูฐใกลห ลดุ ศพเพือ่ ใหผตู ายไมตอ งเดนิ ปะปนกบั ฝูงชนในวนั กยิ ามตั หากบุคคลสําคัญไดตายลง พวกเขาจะกักขังอูฐไวขางหลุมฝงศพของผูตาย โดยไมมีการให นํ้าใหหญากับมันเลย จนกระท้ังมันตายลงเพื่อในวันฟนคืนชีพของผูตายจะไดขี่มัน ทําใหผูตายไม ตองเดินรวมกบั ผูอน่ื ๕.การฆาอฐู ขางหลุดฝง ศพผูตาย เริ่มจากการที่ผูตายเมื่อคร้ังยังมีชีวิตอยูเขาเคยนําอูฐมาทํากุรบานเลื้ยงอาหารแขกเหร่ือ และ เพื่อเปนการขอบคุณกับผูตาย ผูท่ีมีชีวิตอยูจะนําอูฐมายังท่ีหลุดฝงศพและทําการทรมารเพื่อใหอูฐ ตายตามผตู ายไป อิสลามตอ สกู บั ความเชอ่ื งมงายเหลา น้ี อิสลามไดตอสูกับความเช่ืออันงมงายมาโดยตลอด เมื่ออาหรับทะเลทราย กลุมหนึ่งซ่ึงใช หินและกระดูกสัตวมารอยเปนเครื่องรางเพ่ือรักษาการเจ็บไขไดปวย ไดมาหาทานศาสดา และถาม ทานเร่ืองการรักษาดว ยพืชสมุนไพร ทานศาสดาตอบพวกเขาวา “จําเปนที่คนปวยตองหายามารักษา เพราะพระเจา สรา งความเจ็บปวดขึ้นมา ขณะเดียวกันพระองคก็สรางยารักษามาดว ย” (๒๘) ตอนท่ีซะ

อัด บินอะบีวักกอศปวยเปนโรคหัวใจทานศาสดาบอกกับเขาวา “ตองไปพบหมอท่ีมีช่ือเสียง ของษะกฟี ชอ่ื ” ฮาริษ ก้ลั ดะฮฺ” แลวทานก็ได แนะนาํ ตัวยาหนึง่ ใหเขาดว ย (๒๙) มีชายคนหน่ึงพาบุตรชายของเขาซงึ่ ปวยเปนโรคลําไสอักเสบมาพบทาน ศาสดาในสภาพที่ มีเครอื่ งรางหอยอยทู ี่คอ ทา นศาสดากลาววา “พวกทานอยา ทําใหลกู ๆ ของพวกทานตองกลัวเคร่ืองรางพวกนี้ นาจะใช เอาดฺฮินดี (สมุนไพรชนิด หนึง่ ) มารกั ษา” (๓๐) ทานศาสนาและบรรดาทายาทผูบริสุทธิ์ของทานไดพยายามช้ีนําใหประชาชนหันมาสนใจ รักษาดวยตัวยา ซึ่งบรรดานักรายงานฮะดีษของทานศาสดาไดนํามาสรุปเปนตําราที่มีช่ือวา ฎิบบุน นะบี หรอื ฏบิ บลุ ริฏอ ฯลฯ ความรูและวทิ ยาการในฮญิ าซ ประชาชนชาวฮิญาซไดช่ือวาเปนพวกอุมมี (ไมไดรับการเรียนรูจากที่ใด) กลาวคือ พวกเขา จะอยูในสภาพไมยอมเรียนรูและรับส่ิงใดทั้งสิ้นสังเกตไดจากประวัติศาสตรที่บอกวา ตอนท่ีมีรัศมี แหงอิสลามเริ่มฉายแสงนั้นมีชาวกุเรซเพียง ๑๗ คนเทานั้นที่สามารถอานเขียนได สวนในเมืองมะดี นะฮฺน้นั ในหมชู าวเอาซแฺ ละคอ็ ซรอ็ จญก ม็ ีคนรูห นงั สือเพยี ง ๑๑ คนเทา น้ัน (๓๑) เมอื่ พิจารณาเรอ่ื งราวท่สี นั้ และกระชบั เก่ยี วขอ งกับประชาชนในภมู ิภาคนี้ เราก็ไดเห็นความ ยิ่งใหญของอิสลามท่ีสําแดงออกมาในทุกกิจการงานของมนุษยไมวาจะเปนงานดานเศรษฐกิจ จริยธรรม และวัฒนธรรม และเมื่อลองเปรียบเทียบอารยธรรมที่มากอนอิสลามดูแลวทายนก็จะพบ กบั ความสงู สงอนั หาท่ีเปรียบมไิ ด (๓๒)

๓ บรรพบรุ ษุ ของทานศาสดา ( ศ. ) ๑. วรี บรุ ษุ เตาฮีด(๓๓)อบิ รอฮมิ ( อ. ) เปาหมายที่กลาวถึงชีวประวัติของทา นศาสดาอิบรอฮมิ ( อ. ) ก็เพ่ือรูจักบรรพบุรุษ ของทา นศาสดา ( ศ. ) เพราะสายตระกลู อันมเี กียรติของทานมาจากทา นอซิ มาอีลบุตรของทานอิบรอ ฮิม ( อ. ) เพราะบุคคลท้ังสองทานเปนบรรพบุรุษที่มีตําแหนงสูงสงของทานศาสดา ( ศ. ) และมี บทบาทในประวัติศาสตรอาหรับและอิสลาม ดวยเหตุนี้ จึงเปนเร่ืองเหมาะสมอยางยิ่งที่จะเอยถึง ชีวประวตั ิของพวกเขา เฉพาะอยางยิ่งเหตุการณประวัตศิ าสตรอิสลามนน้ั ลวนเปนความเช่ือมโยงกัน ต้งั แตกําเนิดและกอนหนานัน้ สถานทีก่ ําเนดิ อิบรอฮีม ( อ. ) วีรบุรษุ เตาฮีดถือกําเนิดมาทานกลางสภาพสังคมท่ีมีการกราบไหวเทวรูป และการ บชู าบคุ คล กราบไหวด วงดาวและส่งิ ที่ตัวเองประดิษฐข ้ึนมา สถานท่ีกําเนิดทานอยูที่เมือง บาบุล ซึ่งนักบันทึกประวัติศาตรถือเปนหนึ่งในเจ็ด มหัศจรรยของโลก จากการย่ิงใหญของอารยธรรมของเมืองนี้มีเร่ืองราวกลาวถึงมากมาย นัก ประวตั ศิ าสตรท ่เี ลอื งชือ่ ฮโี รโดตุซบันทึกวา

บาบุล ถูกสรางขึ้นมาในลักษณะทรงส่ีเหลี่ยม มีความยาวแตละดาน ๑๒๐ ฟรซัคซึ่งมีเน่ือท่ี ๔๘๐ ฟรซัค (๓๔) คํากลาวน้ีอาจดูไมสมจริง แตคงไมอาจปฏิเสธได ซ่ึงในปจจุบันไมมีประสาทหรือส่ิงปลูก สรางอันใหญโ ตใหเหน็ นอกจากเนินดินทต่ี ั้งอยรู ะหวางแมน้ํา ดิจลาฮฺกบั ฟรุ อต กลบั มแี ตความเงียบ สงบ เวนบางกรณีท่ีนกั โบราณคดี ที่มาหาขดุ แหลง อารยธรรมของบาบลุ กอ็ ึกทกึ อิบรอฮิม ถือกําเนินในชวงการปกครองของ นัมรูด บินกันอานนัมรูด นอกจากการกราบ ไหวรูปปนแลว ยังขายเทวรูปอีกดวย ซึ่งเร่ืองท่ีแปลกที่วาเปนไปไดอยางไรที่คนๆหน่ึงกราบไหว เทวรูปท่เี ขาเองกเ็ ปนคนขายเทวรูปนน้ั ดวย เร่อื งราวลักษณะเดยี วกนั นอ้ี ัลกุรอานไดกลาวถึงเร่ืองราว ของฟรอูนแฟง อยี ปิ ต ขณะท่ี มซู า บุตรของอมิ รอน ( อ. ) ไดเ ขยาบงั ลังคของฟร อูน ดวยหลักแหงผล บรรดาบรวิ ารของฟร อนู ไดร อ งคัดคา นฟรอูนวา “ทานจะปลอยใหมูซาและพวกของเขาบอนทําลายในแผนดินและทอดท้ิงทานใหอยูกับ พระเจาของทา น กระนั้นหรอื ?” (๓๕) เปนเรื่องชัดแจงท่ี ฟรอูนอางตนเปนพระเจา และเปนผูกลาวประโยคคําวา “เราคือพระผู อภบิ าลของพวกเจา ทส่ี ูงสง ”(๓๖) และประโยคท่ีวา “ฉันไมเคยรูมากอนเลยวา พวกเจาจะมีพระเจาอ่ืน ใดนอกจากฉัน”(๓๗)ในขณะเดียวกันเขาก็กราบไหวเทวรูป ทวาในตรรกะของพวกบูชาเทวรูปไมถือ วาเปนส่ิงท่ีขัดกันแตอยางใดท่ีบุคคลหนึ่งจะเปนพระเจาและเปนสิ่งที่ถูกกราบไหว ขณะเดียวกันก็ กราบไหวพระเจา ทย่ี ิ่งใหญกวา เพราะวาเปาหมายท่ีวา พระเจาลัสิ่งท่ีถูกกราบไหวน้ันไมไดหมายถึง ผูสราง จักรวาล แตหมายถึงผูที่เปรียบตนเองมีความสูงสุงกวาบุคคลอ่ืน และถืออํานาจใจการ ปกครองเหนือพวกเขา ประวัติศาสตรไดกลาววา ในอานาจักรโรมบรรดาผูอาวุโสในวงศตระกูลจะ

เปนท่ีเคารพกราบไหวของบรรดาญาติพ่ีนอง ขณะเดียวกันตัวเขาเองก็มีสิ่งอันเปนที่กราบไหวของ ตน กลุมที่ใหญท่ีสุดที่สนับสนุนนัมรูด คือพวกโหราจารยและนักเวทมนตซ่ึงเปนกลุมท่ีมี ความรูขณะนั้น การสวามิภักด์ิพวกเขากําใหการบังคับกลุมอื่นๆท่ีขาดความรูงายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ การสวามิภกั ดิ์ของ อาซ้ัร ญาติ ผูใกลชิดของอิบรอฮีม ผูมีความรอบรูเรื่องของดวงดาว และเปนชาวราชสํานักของนัมรูด เปนตัว ขัดขวางอิบรอฮิมไดอยางดี เพราะนอกจากทานจะตอสูกับแนวคิดของสาธารณชนแลวยังตองเผชิญ กบั การตอตา นของญาติใกลชดิ อีก นัมรูดใชชีวิตอยูบนการคาดเดาและพยากรณ เม่ือบรรดาโหราจารยไดแจงเตือนวา รัฐบาล ของทานจะลมสลายดวยน้ํามือของบุคคลหน่ึงที่ถือกําเนิดในบริเวณนี้ นัมรูดตกใจจึงถามวา เขาถือ กําเนิดแลวหรือยัง ? พวกเขาตอบวา เขายังไมถือกําเนิด นัมรูดจึงมีคําส่ังใหผูห ญิงและผูชายแยกกัน อยู (เพอ่ื ไมใหม ีการจตุ ิของศัตรูในคาํ่ คนื ทีโ่ หราจารยไดค าํ นวณ) บรรดาทาสรับใชท่ีปาเถื่อน เขนฆา เด็กผูชายอยางโหดเห้ียม และไดนําทารกไปที่สํานักเพ่ือตรวจดูใบหนาในคืนเดียวกันนั้นเอง อิบรอ ฮีม ไดจุติในภรรคมารดาของทาน เหมือนกับมารดาของ มูซา บุตรของ อิมรอน ขณะต้ังภรรคอยูใน สภาพวะหลบซอนหลังจากคลอดแลวก็นําบุตรของตนไปไวในถ้ํานอกเมืองแลวเดินเขาออกท้ัง กลางวันกลางคืนเพ่ือเล้ียงดูบุตรของทานเทาท่ีเปนไปไดการทําเชนน้ีดําเนินไประยะหน่ึงจนนัมรูด มนั่ ใจวา ศัตรูของเขาถกู สงั หารแลว แนน อน อิบรอฮิม อาศัยอยูในถ้ําจนอายุครบ ๑๓ ป ทางเขาออกถํ้าคับแคบไปสําหรับทาน มารดา ของทานไมเคยพบเห็นมากอนจึงกลับเขาไปอยูในเมือง เมื่อบริวานของมันรดู เห็นซ่ึงไมเคยพบเห็น มากอ น มารดาของทานจึงกลาววา นคี่ อื บุตรของฉนั ท่เี กิดกอนการอานทํานายของบรรดาโหราจารย (๓๘) เม่ือทานนบีอิบรอฮีมออกจากถํ้า ธรรมชาติดั้งเดิมแหงความเชื่อในพระองคเดียวของทาน (๓๙)มคี วามสมบูรณยิ่งขึ้นเมื่อไดเห็นแผนดิน ทองฟาดวงดาวระยิบระยับ และตนไมเขียวขจี เม่ือทาน ไดเ หน็ ชนกลมุ หนึ่งกราบไหวดวงดาว อกี กลุมหนงึ่ ย่ิงกวา กราบไหวเ ทวรูปทแี่ กะสลักขน้ึ มาเอง และ

ขายเทวรปู ใหกับผอู ืน่ ไดใ ชกราบไหวบูชา อิบรอฮิมจึงจะตัดสินใจที่จะตอสูกับแนวความคิดท้ังสาม อัลกุรอานไดกลาวถงึ เร่อื งราวการตอสขู องทา นดงั น้ี “อบิ รอฮมิ ” ผูทําลายเจว็จ เมือ่ ถึงเทศกาลฉลิมฉลอง(อีด)อันเปนชวงเวลาที่ชาวเมืองบาบุลตองออกนอกเมือง เพ่ือรวม พีถีกรรมตามประเพณีอันเปนเหตุใหพวกเขาตองละท้ิงบานเรือนของตัวเองเปนเวลาหน่ึงวัน และ แลวเมื่อชวงเวลามาถึงผูคนตางก็เตรียมพรอมในประเพณีดังกลาวแตส่ิงท่ีเปนความกังวลสําหรับ พวกเขากค็ อื ตวั ของอิบรอฮิม ซ่ึงเปนผูที่มักจะตอตานพวกเขาอยูตลอดในเรื่องของความเชื่อพวกเขา ไมสบายใจนักท่ีจะปลอยใหอิบรอฮิมอยูตามลําพัง ดวยเหตุดังกลาวพวกเขาจึงรองเรียกให ทานอิบรอฮิมเดินออกไปพรอมกับพวกเขาดวยแตสิ่งนั้นไดรับคําปฏิเสธจากอิบรอฮิมดวยคําตอบ ของอิบรอฮมิ ท่ีวา ฉนั ไมส บายส่งิ น้จี ึงเปนคาํ อางท่ีประสบความสาํ เรจ็ ทที่ า นไมต อ งออกนอกเมอื ง วันนี้สําหรับผูคนท่ีบูชาเทวรูปถือเปนวันที่สําคัญและมีความยิ่งใหญทั้งดานของความเชื่อ และอีกทั้งเปนการรักษาขนบธรรมเนียมของบรรพชนผูคนตางทยอยกันออกจากบานเรือนเพ่ือมุง หนาไปยังเชิงเขา ทองทุงที่เขียวขจีที่รายรอบเมืองอยู แตอีกดานหน่ึงสําหรับอิบรอฮิมวีรบุรุษแหง เตารฮีดคือจุดเร่ิมตนภาระกิจที่ทานเฝารอโอกาสเชนน้ีมานานแลว รอโอกาสที่บานเรือนและเมืองน้ี วา งเปลา จากผคู น เมื่อกลุมสุดทายไดทยอยออกพนเขตเมืองแลว ทานจึงมุงหนาไปยังสถานที่เปนท่ีรวม เทวรูปไว สิ่งท่ีปรากฏอยูเบ้ืองหนาของทานก็คือบรรดาเทวรูปมากมายท่ีถูกทํามาจากทอนไม รวมถึงอาหารท่ีถูกทําไวเบื้องหนาของเทวรูปเหลาน้ัน ทานไดหยิบเศษขนมปงขึ้นมาช้ินหน่ึงแลว ทานกลาวแกเทวรูปเหลาน้ีวา ทําไมหนอพวกเจาไมเห็นกินอาหารเหลานี้เลย?! แตไมมีสิ่งใดที่ ปรากฏใหเห็นนอกจากเสียงท่ีเงียบงันที่ปกคลุมสถานที่ดังกลาวและดวยความเงียบที่ถูกทําลายดวย กับเสียงขวานที่อยูในมือของอิบรอฮิมท่ีกระหน่ําทุบตีเทวรูปเหลานั้นตัวแลวตัวเลาที่ถูกทําลายดวย

มือของอบิ รอฮมิ จนในทสี่ ดุ ทานก็เวน ไวร ปู หน่ึงทใ่ี หญท ่ีสดุ แลว ทานไดนําขวานไปแขวนไวท่ีใบหู ของเทวรูปตัวนั้น แนนอนการกระทํานี้ของทานยอมมีจุดประสงคบางอยางแนนอน ซึ่ง วัตถปุ ระสงคข องทานในการกระทํานกี้ ถ็ ูกเปดเผยเมือ่ ชาวเมอื งไดเ ดนิ ทางกลับมาเมอื่ มีการไถถามวา ผใู ดมีความกลาและ ทาทายเชนน้ีแตไมมีผูใดยอมรับการกระทําน้ัน จนมีคนหน่ึงกลาววา ผูท่ีกอเหตุนาจะเปนอิบรอฮิม อันเนื่องมาจากเขาไมไดเดินทางรว มไปกับเราดวยประกอบกับเขามักจะตอตานความเช่ือในการสา การะบูชาตอ เทวรปู อยเู สมอ ในที่สุดพวกเขาก็จับตัวทานอิบรอฮิมพรอมดวยมารดาไปหา นัมรูด เพื่อใหไตสวนและ ตดั สินเรื่องท่ีเกิดข้นึ ผูไตสวนก็ไดถามอิบรอฮิม วา การกระทําดังกลาวเปนการกระทําของเจาหรือไม ? ทา นอิบรอฮิม ไดตอบวา มันเปนการกระทําของเทวรูปตัวใหญห ากพวกทานไมเชื่อกถามเทวรปู นั้น ดูสิ! แนนอนการกลาวเชนน้ีของอิบรอฮิมก็เพ่ือวัตถุประสงคเดียวกับทานไดแขวนขวานไวท่ีหูของ เทวรูปตัวนั้นนั้นกคือทานตองมั่นใจวาพวกเขาจะตองตอบวา พวกเราจะถาม เทวรูปทําไดอยางไร เม่ือมันไมสามารถพูดได และแลวก็เปนไปตามท่ีทานคาดการณไวคําตอบที่ทานไดรับคือคําตอบ เดียวท่ีทานคิดไว ทานจึงกลาวตอบโตไปวาในเมื่อแมแตการพูด เทวรูเหลานี้ยังไมสามารถที่จะทํา ไดแลวไฉนพวกทานยังคาดหวังใหมันชวยเหลือในกิจการงานตางๆของพวกทานอีกเหลาซึ่งเปน การกระทําที่ยากกวาพูดเปนบทกวีคูณ?! ดังนั้นพวกทานยังเคารพบูชาเทวรูปเหลานี้อีกกระน้ันหรือ ?! อันเน่ืองจากความเขลาและความเช่ือบรรพชนอยางสิ้นคิดทําใหพวกเขาไมสามารถตอบ คําถามของอิบรอฮิมได ในท่ีสุดพวกเขาก็ตัดสินใจนําอิบรอฮิมไปเผาท้ังเปน แลวไดโยนทานเขาไป ในเตาไฟท่ีไดเตรียมไว แตดวยความเมตตาของพระองคเปลวไฟน้ันไมสามารถทําอะไรทา นนบีอิบ รอฮีมได แลวทานก็ไดออกมาจากเตาไฟอยางปลอดภยั (๓๙)

การฮจิ ญ( ๔๐)ของทา นนบอี บิ รอฮมี (อ.) ศาลแหง เมืองบาบุล ไดตดั สินใหมแ กอิบรอฮิมโดยการใหเนรเทศทานนบีอิบรอฮีมออกจาก เมืองทานไดละท้ิงภูมิลําเนาและเดินทางสูแผนดินปาเลสไตนและอิยิปตและแลวทานก็ไดรับการ ตอ นรบั อยางดจี ากชาวเมอื งอะมาลเิ กาะฮฺโดยการมอบส่งิ กํานลั ใหแ กทา นมากมายเพื่อแสดงถึงความ เปนมติ ร หนง่ึ ในสิง่ เหลา นั้นน้กี ็คือ ทานหญงิ ฮาญัร ซงึ่ ในตอนน้ีทานอบิ รอฮิมกม็ ีภรรยาอยูแลว คือทานหญิงซาเราะฮฺ แตนางยังไมมีบุตรดวยกัน นางจึงคะยั้นคะยอใหทานอิบรอฮิมรวมหลับนอน กับทานหญิงฮาญัร เพ่ือหวัดใหนางกําเนิดบุตรใหกับทานสิ่งนี้แสดงถึงความรกั ท่ีนางมีตออิบรอฮิม (๔๑) และก็เปนไปตามที่คาดไวทานหญิงฮาญัรไดกําเนิดบุตรชายใหแกทานอิบรอฮีมหน่ึงคน โดยใหนาวา อิซมาอีล ละสิ่งท่ีเหนือการคาดคิดีกอยางหน่ึงซึ่งเปนความโปรดปรานจากพระองค อัลลอฮนฺ ้นั กค็ อื หลังจากวันนน้ั ไมนานทานหญงิ ซาเราะฮฺกใ็ หกําเนิบุตรชายดยใชนามวา อิซฮาก หลังจากผานไปเปนระยะเวลาหน่ึงอัลลอฮฺ ( ซ.บ.) ก็มีบัญชาใหทานอิบรอฮีม พรอมนาง ฮาญัรและบุตรเดินทางไปยังตอนใตของเมือง (มักกะฮฺในอตีด ) โดยใหทานอิบรอฮีม เลือกเปนท่ี อาศัยและใชชีวิตของทานหญิงฮาญัรและบุตร แตส่ิงที่นากลัวของสถานที่นี้ในอดตี ก็คือเปนสถานท่ี ซึ่งไมมีผูใดอาศัยอยูเลย อันเกิดจากสภาพท่ีรอนระอุไมมีตนไม ไมมีน้ําหรือแมแตจะพูดไดวาไมมี สิ่งมีชีวิตอาศัยอยูเลย มีก็แตเพียงกองคาราวานท่ีผานมาจากเยเมนเพื่อไปตอซีเรีย หรือเดินทางกลับ เทา นั้น การอาศัยในสถานท่ีเชนนี้สําหรับผูหญิงตัวคนเดียวที่เคยใชชีวิตอยางสบายในเมืองยอม เปรียบด่ังนรกบนดิน ไมเพียงแตนางที่คิดเชนนั้น ทานอิบรอฮีม ก็เชนกัน ในขณะที่มือของทานจับ เชือกมาที่เปนยานพาหนะเพื่อกลาวคําอําลา นํ้าตาก็ไดรินไหลลงมายังแกมท้ังองขางของทานพรอม กับกลาวแกนางวา ขอใหเจาอดทนเพราะทั้งหมดทีข่ าทําน้ีลวนเปนคําบัญชาของพระองคทั้งสิ้น ให เจา จงเชือ่ มน่ั เถดิ วาพระองคจะไมท อดทิง้ เจา และจะไมทําใหเจา ตกตํา่ อยา งแนน อน แลว ทานกแ็ หงน มองยังเบื้องบนพรอมกับกลาววา “ โอองคอภิบาล โปรดบันดาลแผนดินน้ีใหเปนเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานโชคผลแกช าวเมอื งนั้นจากผลไมตา งๆดวยเถดิ ” (๔๒)

การเดินทางของทานอิบรอฮีมในครั้งนี้หากมองผิวเผินแลวจะเห็นไดวามีอุปสรรคและ ความยากลําบากมากมายในตัวของมันแตหากมองถึงผลลัพธท่ีตามมาจะเห็นไดวามีคุณคาอยาง มหาศาล ก็เพราะวา มันคือจุดเร่ิมตนในการสรงรากฐานของกะอฺบะฮฺอันเปนสถานท่ีซึงพระองค ทรงกาํ หนดใหเ ปน ศนู ยก ลางของผคู นท่ียดึ มั่นในพระเจางองคเ ดยี ว เพือ่ รองรบั การสรา งศาสนจักร ท่ีม่ันคงในอนาคตโดยผานศาสนฑูตทานสุดทาย นั้นก็คือทาน นบีมุฮัมมัด (ศ.) ซึ่งทั้งหมดเลาน้ี จดุ เร่มิ ตนมาจากการฮจิ ญเราะฮฺในครง้ั น้ีของทา นอิบรอฮมี การคน พบน้าํ ตา ซัมซมั (๔๓) หลังจากท่ีทานอิบรอฮีมเดินทางมายังมักกะฮฺแลวใหที่พํานักของภรรยาและบุตรทานก็จาก บุคคลทั้งสองดวยน้ําตา และหลังจากท่ีอิบรอฮีมจากไปไมนานอาหารและเครื่องด่ืมของทานหญิง ฮาญัรกไ็ ดห มดลงรวมถึงนํ้านม ที่จะใหลูกของนางดื่ม นางไดอุมลูกนอยไวแนบตักในสภาพที่นํ้าตา ไดไหลบนแกมนอยๆของบุตรของนาง แลวในทันใดนางก็ไดวางลูกนอยไวกับพ้ืนแลว ลุกขึ้นเดิน ไปยังเชิงเขาศอฟา เมื่อนางเขาไปใกลกอนหินกอนหน่ึงนางก็ไดเห็นภาพของน้ําตาที่อยูเชิงเขา มัร วะฮฺ นางไมรอชามุงหนาไปยังตานํ้าน้ันในทันทีแตเม่ือนางไปถึงปรากฏวาน้ําน้ันเปนเพียงแคภาพ ลวงตาเทานั้น แตภาพใบหนาและริมฝปากเหือดแหงของลูกนอยชวงกระตุนใหนางออกตามหา น้ําตาตอไปอยางไมรูจักเหน็ดเหนื่อยและตามรายงานบอกวานางเดินระหวางภูเขาศอฟากับมัรวะฮฺ เพ่ือหานํ้าถึงเจ็ดรอบจนนางหมดหวังท่ีจะเจอน้ํานางจึงเดินกลับมาจุดที่วางลูกนอยไวเม่ือนางมาถึง ปรากฏวา ลมหายใจของเด็กนอยไดแฝวลงเปนลําดับและเสียงรองดวยความหิวกระหาย ก็เร่ิมไมมี เสียงรองออกมาน้ันเทากับบอกถึงชวงวาระสุดทายแหงการมีชีวิตอยูของเด็กนอย แตกอนจะถึงจุด นั้นคําวงวอนของอิบรอฮีมก็ถูกตอบรับ เพราะทานหญิงฮาญัรสังเกตวาเริ่มมีตาน้ําผุดข้ึนมาจาก รอยเทาของอิซมาอีลนางไมรอชารีบนํานํ้าใหลูกนอยดื่มในทันทีและนํ้านั้นก็สามารถชวยชีวิตแมลู ทง้ั สองไวได

จากวันนั้นถึงปจจุบันตาน้ําดังกลาวยังปรากฏใหผูคนไดประจักษแกสายตาจนที่สุดน้ําตา นน้ั ก็ภูกเรียกวา ซมั ซัม (๔๔) จากการผุดข้ึนของตาน้ําซัมซัมทําใหหมูนกกาตางโผบินมายังตาน้ํานี้จนเปนที่สังเกตของ เผาุรฮุมที่อยูใกลท่ีสุดกับมักกะฮฺจนทําใหหัวหนาเผาตองสงคนมาสังเกตจนไดรับคําตอบวา มี หญิงคนหนึ่งกับลูกนางอาศัยอยูใกลๆกับตาน้ํา เม่ือขาวน้ีแพรสะพัดออกไปทําใหผูคนจากเผา ดังกลา วเดิน ทางมายงั ตานาํ้ น้นั แลวเลอื กเปนที่พํานักอาศัย สิ่งนี้ทําใหทานหญิงฮาญัรรูสึกหลุดพนจากความเงียบ เหงาที่ตองอยูตามลําพังกับลูก จนสิ่งน้ีนําไปสูงานแตงงานของอิซมาอีลกับหญิงสาวเผานี้และเชื่อ สายของอซิ มาอลี กน็ บั ไดว า มาจากหญงิ สาวเผา นเ้ี ชนกัน การกลบั มาอีกครง้ั ของอิบรอฮีม หลงั จากทีอ่ บิ รอฮีมไดท ้งิ นางฮาญัรพรอมบุตรอยางตามลําพังในดินแดนอันหางไกลตามคํา บัญชาของพระองคออัลลอฮฺ ทานไดดฝาคิดอยูเสมอที่จะกลับไปเย่ียมเยือนพวกนาง มีอยูคร้ังหน่ึง ทานไดก ลับไปเยยี่ มคนทั้งสองเปนครัง้ แรก ทานไดม ายังมักกะฮแฺ ละบานของอิซมาอีล แตไมพบอิซ มาอีลมีเพียงหญิงนางหนึ่งซึ่งคาดเดาไดวาเปนภรรยาของอิซมาอีล ทานจึงไดถามนางขึ้นวา อิซมา อีล ไปไหนหรือ? ไดรับคําตอบวาอิซมาอีล ออกไปลาสัตว ทานอิบรอฮีม จึงถามนางวา เจามีอาหาร บางไหม? นางไดปฏิเสธ การใหอาหารแกทาน ทานจึงสัมผัสไดถึงความไรเมตตาและการไมมี มารยาทของภรรยาแหง บุตร ทา นจงึ กลา วกับนางวา เม่ืออิซมาอีล กลับมาฝากสลามถึงเขดวยแลวให กลาวกบั เขาวา ใหเ ปล่ยี นแปลงสงิ่ แวดลอ มและบา นของเขาเสียใหมแลวอบิ รอฮีม ก็ไดลาจากไป เมื่ออิซมาอีลกลับถึงบานก็รูสึกถึงกลิ่นอายของผูเปนบิดา รวมถึงคําพูดของภรรยาที่กลาว กับเขากใ็ หมั่นใจไดว าผทู ่ีมาเยือนคอื บดิ าอยา งแนน อนและเขาใจถึงวัสถุประสงคจากคําพูดท่ีบิดาได ฝากไว น้ันหมายถึงผูเปนบิดาตองการใหอิซมาอีล ทําการหยากับภรรยาเพราะภรรยานิสัยเชนนี้ไม เหมาะสมกับการเลอื กเปน คคู รอง ?

จากตรงนี้อาจเกิดคําถามวาทําไมทานนบีอิบรอฮีมไมอดทนรอจนกวาอิซมาอีล กลับมาจาก การลาสัตว ? เพราะทานตอ งเดนิ ทางมาเปนระยะทางอนั ยาวไกล ? นักประวัติศาสตรไดบันทึกไววา สาเหตุท่ีทานอิบรอฮีมไมรออิซมาอีลก็เพราะกอนการ เดินทางคร้ังน้ีทานไดใหคํามั่นสัญญาแกทานหญิงฮาญัร วาจะไมลาชากวานี้ ทานจึงไมตองการให ผิดสัญญาท่ใี หไ วก บั พระนาง แตห ลงั จากนน้ั ไมนาน ทานอิบรอฮีม ไดไดเดินทางมายังมักกะฮฺอีกครั้งหน่ึงตามคําบัญชาของพระองคอัลลอฮฺในการฟนฟู กะอบฺ ะฮทฺ เ่ี กดิ ความเสยี หายอันเกิดจากเหตุการณพ ายทุ วมโลกในสมยั ของทานนบีนฮู ฺ การยืนยันของพระมหาคัมภีรอัลกุรอานแสดงใหเห็นวาแผนดินมักกะฮฺ หลังจากสิ้นอายุไข ของ อิบรอฮีมไดกลายเปนเมืองในท่ีสุดเพราะหลังจากท่ีทานอิบรอฮีม ไดเสร็จส้ินภารกิจ(การฟนฟู กะอฺบะฮฺ)ทานไดกลาวขอตอพระองค “โอองคอภิบาลโปรดบันดาลใหแผนดินน้ีเปนเมืองที่ ปลอดภัยดวยเถดิ และโปรดบันดาลใหขาพเจาและลูกๆของขาพเจาหางไกลจากการท่ีพวกเราจะทํา การกราบไหวพ วกเทวรปู ท้งั หลาย”(๔๖) และประโยคนี้ก็เหมือนกับคําทูลขอทานเมื่อตอนไดเหยียบแผนดินมักกะฮฺที่ทูลขอตอ พระองคว า “โอองคภบิ าลโปรดใหแ ผน ดินกลายเปน เมืองทีป่ ลอดภยั ดวยเถดิ ”(๔๗) เพื่อใหเนื้อหาสมบูรณกวานี้ตองจําเปนตองกลาวถึงรายละเอียดในการสรางกะอฺบะฮฺและ ประวัติความเปนมา แตถึงอยางไรเพื่อไมใหเน้ือหาและวัตถุประสงคในการเขียนครั้งน้ีเกิดความ บกพรอ งเชนกัน จะกลาวถึงตนตระกูลและบรรพชนในตระกูลของทานศาสดาแหงอิสลามกอนเปน อันดบั แรก ๒. กุศ็อย บนิ กิลาบ

บรรพบุรุษของทานศาสดาเรียงตามลําดับดังน้ีคือ อับดุลลอฮฺ,อับดุลมุฏฏอลิบ,ฮาชิม,อับดุ มะนาฟ,กศุ อ็ ย,กิลาบ,มรุ เราะฮ,ฺ กะอบั ลอุ ัย,ฆอลมิ ,ฟฮ ร,ฺ มาลิก,นฏั ร,ฺ กินานะฮ,ฺ คซุ ัยมะฮ,ฺ มดุ รกิ ะฮ,ฺ มุดริ กะฮฺ,อลิ ยาซ,มุฏิร,นิซาร,มะอคั ,อดั นาน(๔๘) เปนท่ชี ัดในหมูนกั ประวตั ิศาสตรวาเชื้อสายตนตระกูลของทาน นบีมุฮัมมัด ( ศ. ) สืบไปถึง มะอัด บินอัดนาน แตจากนี้ข้ึนไปจน ถึง อิซมาอีล คอนขางจะมีความเห็นท่ีไมตรงกันในหมูนัก ประวัติศาสตรถึงจํานวนตัวบุคคลแมแตจนะของทาน นบีท่ีรายงานจากอิบนิอับบาสวา เม่ือใดก็ ตามท่ีกลาวถึงเช้ือสายตนตระกูลของทานนบีก็ใหหยุดแคนั้นและไมเคยอนุญาตใหผูใดกลาวช่ือที่ มากไปกวานีเ้ ลยและกาํ ชับอีกวา จงหลกี เลยี่ งการนบั เชื้อ สายไปถึงอิซมาอีลและทรงกลาวอีกวา ส่ิงที่กลาวขานในหมอู าหรับ(ถึงเรื่องนี้) เปนส่ิงท่ีไมถูกตอง (๔๙) ดังน้ันเราจึงจะกลาวเพียงบุคคลเชื้อสายของทานนบีท่ีทานอนุญาตเทาน้ันเปนบุคคลที่ ชัดเจนวา เปนเชือ้ สายจากตน ตระกูลทา นอยางแนนอน กลุมบุคคลที่จะกลาวถึงและเปนบุคคลที่ประวัติของอาหรับบันทึกไวรวมไปถึงการบันทึก ของประวัติศาสตรของอิสลามดวยเชนกันน้ันก็คือ กุศ็อย. จนถึงบิดาของทานนบี(ทานอับดุลลอฮฺ) (๕๐) กุศ็อย เปนปูชั้นท่ี ๔ ของทานศาสดา มารดาเขาคือ ฟาฏิมะฮฺ ซ่ึงไดแตงงนกับคนเผากิลาบ และมีบตุ รดว ยกนั สองคนคือซุฮเฺ ราะฮฺและกุศ็อยซึ่งเปนบุตรคนที่สองยังอยใู นเปลผูเปนบิดาของเด็ก ทั้งสองก็ถึงแกกรรมลง จากนั้นไมนานนางก็ไดแตงงานใหมกับรอบีอะฮฺและไดเดินทางไปยังซีเรีย พรอมกบั สามแี ละตวั ของกุศ็อยก็อยูภายใตการดูแลของคนดังกลาวจนกระท่ังเกิดความขัดแยงกันระ กวางกุศ็อยกับคนในเผารอบีอะฮฺ จนเปนเหตุใหมารดาของเขาตองพาทานกลับมายังมักกะฮฺอีกคร้ัง หนึ่ง เวลาผา นไปไมนานนักดวยกับความสามารถท่ีมีอยูในตัวของกุศ็อยจนทําใหเ ขาไดรับตําแหนง ผูถือกุญแจกะอฺบะฮฺและเปนผูออกคําส่ังในเร่ืองนี้ท้ังหมด รองรอยจากผลงานของเขามีใหเห็น มากมายหน่ึงจากผลงานเหลาคือ การเชิญชวนใหมักกะฮฺปลูกบานเรือนรอบๆกะอฺบะฮฺ แตงต้ังท่ี ปรึกษาไวปรึกษางานตางๆใหแกชาวอาหรับที่มีชื่อวา ดารุลนัดวะฮฺ ซ่ึงเปนสถานท่ีรวมตัวของ

หัวหนาเผาอาหรับตางๆในการปรึกษาหารือถึงปญหาตางๆ จนในที่สุดก็ถึงชวงบั้นปลายชีวิตของ ทานซ่งึ ทา นมีบุตรดว ยกนั สองคนทม่ี ีนามวา อบั ดุดดา รและอับดุมะนาฟ ๓.อับดมุ ะนาฟ อับดุมะนาฟ คือปูชั้นที่ ๓ ของทานศาสดา ช่ือของทาคือ มุฆีเราะฮฺ และมีสรอยนามวา กอ มะรุล บฏั ฮา เขาเปนนอ งคนเลก็ ตอ จาก อับดดุ ดาร แตกลับเปนผทู ี่ประชาใหความเรารพมากกวาและ เปน ผูมดั หวั ใจของปรัฃะชาชนไวใ นสมัยนนั้ ซึ่งมีอุดมคติเปนของตัวเองทีเ่ ขายดึ ปฏบิ ตั ิ อยางเครงครัดนั้นก็คือ การเปนผูประกอบคุณงามความดีเชิญชวนประชาชนสูการยําเกรง การมี มารยาททีด่ ีตอเพ่ือนพอ งและสัมพันธท ดี่ ีกบั เครือญาติ ถึงเขาจะเปนผูที่ดูดหัวใจของประชาชนไดและมีฐานะอันสูงสงกวาในสายตาของ ประชาชนในยุคน้ัน แตเ ขากไ็ มเคยคิดจะชวงชิงความไดเปรียบทเ่ี ขามีอยู เอาตําแหนงผูท่ีเปนบิดาสั่ง เสียไวจากผูเปนพี่ชายเลย และเขาก็ปฏิบัติตามคําส่ังของผูเปนบิดาเปนอยางดีน้ันก็คือ ตําแหนงการ ปกครองเปนของ อับดุดดาร แตความขัดแยงไดเกิดข้ึนหลังจากท่ีเขาสองสูการทําสัญญาและแบง หนาที่การงานกนั ในทส่ี ดุ ผูท ีท่ าํ หนาที่ดแู ลกะอบฺ ะฮฺ และเปนประธารดารลุ นัดวะฮฺ คือลูกหลานของ อบั ดดุ ดา ร สวนลกู หลานของอับดุมะนาฟ ก็รับหนาท่ีในการตอนรับแขกผูมาเยือนซ่ึงสัญญาคร้ังน้ีมี ผลถึงยุคสมยั ของการมาของอิสลาม (๕๑) ๔.ฮาชมิ ทา นคอื ปคู นท่ี ๒ ของทานศาสดา ชอื่ ของทา นคือ อัมรว และมี สรอยนามวา อะลาอฺ ซึ่งเปน คฃู แฝดกับ อบั ดุลชัมซ และมีพ่ีนองอีกสองคนคอื มุฏฏอลิบ และเนาฟล

นักประวัติศาสตรไดบันทึกไววาในชวงม่ีสองไดถือกําเนิดน้ิวมือ ของฮาชิมติดอยูกับ หนาผากของอับดุลชัมซ จนนําไปสูการผาตัดในท่ีสุด ซ่ึงในขณะที่ทําการผาตัดดวยของมีคมจนทํา ใหเ ลอื ดไหลออกมาจนเปน เหตใุ หเฃกิดการทํานายทายทักไมด ีในหมูประชาชนในยคุ น้นั (๕๒) มารยาทที่ดีอยางหนึ่งของฮาชิม ก็คือ ในทุกๆปเมื่อเห็นดวงจันทรเสี้ยวของเดือน ซุล ฮิจญะฮฺ ในเชา ตรขู องวนั นน้ั ทา นจะมายนื อยหู นากะอฺบะฮลฺ แกลาวคาํ เทศนาทมี่ ีใจความดังน้ี “ โอชาวกุเรช พวกทานคือผูที่มีปญญาอันเฉียบแหลมและมีเกียรติท่ีสุดในหมูชาวอาหรับ ดว ยกัน เชอื้ สายของพวกทา คือเชอื้ สายทด่ี ีทส ดุ พระเจาไดนําพวกทานมาอยูรอบๆบานของพระองค เกียรตินม้ี ีเพยี งพวกทานเทา นัน้ ท่เี ปน ลกู หลานของอิซมาอีล โอก ลมุ ชนของขา ในไมชานี้ผูคนจะหลัง่ ไหลเขา มายังเมืองของเรา พวก เขาคือแขกของพระเจา แตการตอนรับถือเปนหนาท่ีของพวกทาน และในหมูผูมาเยือนก็จะมีผู ยากไรมากมายที่มาจากดินแดนอันหางไกล ขอสาบานตอเจาของสถานที่น้ี ( อัลลอฮฺ) หากฉันมี พละกาํ ลังเพยี งพอทั้งทางรา งกายและทางทุนทรัพย ฉันก็จะไมขอความชวยเหลือพวกทานเลยแมแต นอย แตสิ่งท่ีพวกทานรูดีทุกอยางจากรายไดท่ีฉันไดรับมาจากหนทางที่ถูกตองฉันอทิศในทางน้ี อยางหมดส้นิ เพราะฉะน้ันฉันขอความชวยเหลือจากพวกทาน แตส่ิงที่พวกทานพึงตองระวังคือจง หลีกเล่ียงการบริจาคส่ิงใดก็แลวแตที่ไดมาโดยไมถูกตอง หรือมาจากทรัพยที่ไดมาจากการอธรรม ผูอื่น และจงออกหางจากการบริจาคเพ่ือความพึงพอใจของใครบางคน ( แตตองทําเพื่อพระเจาเพียง อยา งเดยี ว )” ( ๕๓) การปกครองมักกะฮฺของฮาชิม ทําใหชาวมักกะฮฺมีความเปนอยูท่ีดีขึ้น แมแตชวงของการ ขาดแคลน เขาก็สามารถทําใหชามักกะฮฺไมรูสึกถึงส่ิงน้ันเลยอันเกิดจากการเสียสละของทานและ การกระทาํ ของทา นทุกอยา งกเ็ พอ่ื ชาวมกั กะฮอฺ ยา งแทจ รงิ

กาวยางในดานการทําตลาดมักกะฮฺใหไดรับความนิยมของเขาคือเขาสามารถตกลงทํา สัญญาการคาขายกับ ฆอซาน และยังเปนเหตุทําใหผูเปนพ่ีชายคือ อับดุลชัมซ สามารถทําขอตกลง ในการคาขายกับผูปกครองฮะบะชีและทําใหมุฏฏอลิบกับเนาฟลลงนามแลกเปล่ียนดานการคากับ ผูปกครองเยเมนและกษัตริยของเปอรเซียไดเปนผลสําเร็จ จนในท่ีสุดส่ิงเหลาน้ีนําไปสูการ เปล่ียนแปลงคร้ังยิ่งใหญนั้นก็คือทําใหมักกะฮฺเปนศูนยกลางของการแลกเปล่ียนสินคา และจะเห็น วา สง่ิ นี้อยจู นถงึ การมาของอสิ ลาม และอีกการงานหน่ึงที่นายกยองของฮาชิม ก็คือการสรางแบบแผนในการเดินทางและการ คาขายของชาวมักกะฮฺน้ันก็คือ ยามเมื่อถึงหนารอนใหการเดินทางไปยังซีเรีย คร้ันเม่ือถึงหนาหนาว ก็ใหเดินทางไปยังเยเมนซ่ึงจะเห็นไดว า แบบฉบบั นี้ยงั คงสืบทอดตอ กนั มาจนถงึ ยคุ อิสลาม อุมัยยะฮฺ บินอบั ดุชัมซ เรม่ิ อจิ ฉา อุมัยยะฮฺ บุตรของ อับดุชัมซ ซึ่งมีศักดิ์เปนหลานชายของฮาชิมเม่ือมองเห็นความยิ่งใหญและความ รกั ความเคารพของประชาชนที่มีตอฮาชิมก็เกิคความอิจฉาริษยา ไมวาเขาจะใชวิธีการตา งๆมากมาย เพ่ือดึงดูดความสนใจจากปนะชาชนในสมัยนั้นไมวาจะดวยกับการบริจาคอยางมากมายหรือแมแต การกลาวรายฮาชิมแตมันกลับไมทําใหความยิ่งใหญของฮาชิมที่มีอยูในหัวใจของประชาชนลด นอยลงเลยแมแ ตน ดิ แตส ิ่งเหลานนั้ มนั กลบั สรางเกียรตภิ มู ใหกบั เขามากยงิ่ ขน้ึ และแลวเปลวไฟแหงความริษยามันก็ไดป ระทุออกมา อุมัยยะฮฺ ไดเชิญฮาชิมแกมบังคับให ไปพบพอมดของชาวอาหรับ หากเขาสรรเสรญิ ผูใ ดผูน ้นั ตองเปนผูนํา ในเบื้องตนฮาชิมไดปฏิเสธคํา ทาทายนี้เพราะทานไมตองการที่จะเกิดความขัดแยงกับหลานของตัวเอง แตดวยารบีบบังคับจากอุ มัยยะฮทฺ ําใหท านตองยอมทําตามเง่อื นไขทอ่ี ุมัยยะฮฺ ไดว างไว นั้นกค็ ือ

- ๑ - ผูใดถูกตัดสิน (น้ันหมายถึงเปนฝายแพ ) ใหทําการเชือดอูฐในชวงประกอบพิธีฮัจญ ๑๐๐ ตัว - ๒ -ผใู ดถูกตัดสิน จําเปนตองออกมาจากมักกะฮฺเปนเวลา ๑๐ ป และแลวเมื่อท้ังสองไดไป พบพอมด เขาเห็นฮาชิมเขาฏ็ไดสรรเสริญฉาชิมเปนการใหญ ซึ่งหมายถึงอุมัยยะฮฺ เปนฝายตอง จํานนและทาํ ใหเ ขาตองออกจากมกั กะฮฺ ไปอาศัยอยูในซเี รียสเปนเวลาถึง ๑๐ ป (๕๔) เราจะเห็นไดวาความอิจฉาริษยาของอุมัยยะฮฺและตระกูลน้ีมีตอตระกูลของฮาชิมมาโดย ตลอดจวบจนการมาของอิสลามและหลังจากนั้น ๑๓๐ ป ก็เกิดเหตุการณท่ีไมมีใครคาดคิด (การ สังหารหลานของทา นศาสดา) และสามารถทําใหเขาเขาใจวาทําไมราชวงศบนีอุมัยยะฮฺจึงมีอิทธิพล มากในซเี รยี การแตงงานของฮาชมิ ซัลมา บุตรสาวของอัมรวฺ ค็อซรอญี เปนผูหญิงที่มีเกียรติหลังจากที่นางไดหยารางกับสามี ของนางกไ็ มคิดจะแตง งานกับใครอีก แตช วงหนึ่ง ท่ีฮาชิมไดเดินทางมายังซีเรีย ซ่ึงในชวงท่ีเดินทางไปกลับทานก็ไดแวะเมืองยัษริบ (มะดีนะฮฺใน อดีต) จนมาครั้งน้ีเปนจุดเร่ิมตนนําไปสูการสุขอซัลมา อันเน่ืองความยิ่งใหญและเกยี รติศักดิ์ของฮา ชิม นางซัลมายอมรับการสูขอของฮาชิมดวยกับเง่ือนไขสองประการ คือในชวงท่ีนางตั้งครรภนาง ตองอยูยิษริบทามกลางกลุมชนของนาง และหากมองประวัติศาสตรก็จะเห็นไดวาเปนไปตามนั้น เพราะเมื่อนางต้ังครรภท้ังสองก็ไดเดินทางมายังยัษริบอีกครั้งหนึ่งและกใหกําเนิดบุตรชายที่น้ันซ่ึง เรียกขานวา “ชัยบะฮฺ” ซึ่งตอมาถูกรูจักในช่ือของอับดุลมุฏฏอลิบ นักประวัติศาสตรไดกลาวถึง สาเหตทุ ่ีไดช อื่ น้ีมาวา กอนที่ฮาชิมจะเสียชีวิตเขาไดกลาวกับอับดุลมุฏฏอลิบวา “นองชายเจาจะตองดูแลเด็กนอย ของเจาชัยบะฮฺดวย” และดวยสาเหตุที่ฮาชิมไดเรียกบุตรชายของตัวเองวาเด็กนอยอับดุลมุฏฏอลิ บทา นจึงถูกเรียกวา อบั ดุลมฏุ ฏอลบิ ในทส่ี ุด นกั ประวัติศาสตรบางคนบนั ทึกไววา ครัง้ หนง่ึ มีผชู ายชาวมกั กะฮฺไดเดินมายังยัษริบเมื่อเดิน ผานตรอกซอยหนึ่งก็เห็นเด็กๆกําลังแขงยิงธนูกันอยูซ่ึงมีเด็กคนหนึ่งที่มีชัยไดกลาวขึ้นวา ฉันคือ

บตุ รของหวั หนา แหงมักกะฮฺซ่ึงสรางความแปลใจใหแกชาวมักกะฮฺคนดังกลาวเขาจึงเดินเขาไปถาม เด็ก คนดงั กลาววาเจา เปนใครจึงไดรบั คําตอบวา เปนบตุ รของฮาชมิ หลานของอบั ดุลมะนาฟ เมื่อชายคนดังกลาวกลับมาถึงมักกะฮฺจึงกลาวเร่ืองทั้งหมดใหกับอับดุลมุฏฏอลิบฟง ทําให ทา นเขาใจทนั ทวี า น้ันคอื หลานชายซึง่ เปนบตุ รของพีช่ ายคือฮาชิม ทานจึงตัดสินใจเดินทางไปยังยัษรับทนั ที และทันทีที่ทานเห็นใบหนาของหลานชาย นํ้าตา ของทานก็หล่ังออกมา ความรัก ความสัมพันธก็ไดกอตัวขึ้นจึงนําไปสูการตัดสินใจที่จะนําฃัยบะฮฺ มาอยูอยูท่ีมักกะฮฺดวย ทานจึงไปหาแมเด็กเพื่อขออนุญาตนําเด็กคนน้ีไปอยูดวยหลังจากไดรับ อนญุ าตทัง้ สองกไ็ ดเ ดินทางมายงั มกั กะฮฺ ซ่งึ ระหวางทางทต่ี อ งผานทะเลทรายนนั้ ทําใหฝุนและทราย ติดตามตัวและเสื้อผาของชัยบะฮฺซ่ึงเม่ือเขามายังมักกะฮฺในสภาพเชนนั้นทําใหชาวมักกะฮฺเขาใจวา ชัยบะฮเฺ ปน เดก็ รับใชข องมุฏฏอลบิ ไมวามุฏฏอลิบจะอธิบายวาน้ีคือหลานชายแตพวกเขาก็กลับเรียกเด็กนอยคนนี้วา เดกรับใชของ มฏุ ฏอลิบ บางคนบันทึกไววาสาเหตุก็คือสมัยกอนหากใครนําเด็กคนหนง มาอยูในความอุปการะดูแล เดก็ น้นั จะถกู รยี กวา เด็กรับใชข องผูน ้ัน ดวยเหตุนี้ชยั บะฮจฺ ึงถกู เรยี กวา อบั ดุลมุฏฏอลบิ (๕๕) (๕).อบั ดลุ มฏุ ฏอลิบ ทานคือบุตรของ ฮาชิมและเปนปูของทาศาสดาแหงอิสลามซึ่งในชวงการปกครอองของ ทานมเี หตกุ ารณณม ากมายที่เกิดข้นึ โดยเฉพาะเหตุการณณ ท เี่ กย่ี วของกับการมาของศาสนาอสิ ลาม เปนท่ีแนชัดวาสังคมส่ิงแวดลอมที่อยูรอบกายสามารถเปล่ียนแปลงหรือสรางอุดมคติและ ความคิดของมนุษยได ไมวาเขาจะแข็งแกรงเพียงใดก็ตาม แตไมใชทั้งหมดเพราะมีบางคนท่ี สามารถยืนหยัดตอสูกับส่ิงเหลาน้ีไดละสามารถทําใหตัวเองออกหางจากส่ิงเลวรายของสังคม เหลา นั้นได

อับดุลมุฏฏอลิบก็เปนอีกคนหนึ่งท่ีทําไดเพราะเราหากมองดูประวัติขิงทานจะเห็นไดวา ทานอยูทามกลางฝูงชนท่ีบูชาเทวรูป ดื่มสุราและส่ิงมึนเมา คดโกง กินดอกเบี้ย สังหารผูอื่นอยาง อธรรมและกระทําสิ่งช่ัวรายตางๆนาๆ แตทานสามารถออกหางจากส่ิงเหลาน้ันไดอยางสมบูรณ ทานไมเคยแตะตองสุรา ไมเคยฆาใคร ไมเคยประพฤผิดในทางท่ีไมดีไมเคนฎอวาฟ*ในสภาพท่ี เปลือยเปลา และเปนผูท่ีรักษาคํามั่นสัญญา ดังน้ันทานคือผูหน่ึงที่เปนตัวอยางของผูท่ีนายกยองใน ประวัตศิ าสตร ใชแลว! ผูที่นูร ( รัศมี ) แหงความเปนศาสนทูตแหงมวลมนุษยชาติมาจากทานตองมี คุณสมบัติเยย่ี งทา นอยา งแนนอน ------- * ฏอวาฟ คือ การเวียนรอบอาคารอัลกะอฺบะฮฺ ๗ รอบเปนพิธีกรรมท่ีสําคัญของการทําฮัจญ (แสวง บญุ ) และหากเราพจิ ารณาคาํ พดู และคําสอนของทา นเราจะรูทันทวี า คอื บาวคนหนง่ึ ของพระเจาท่ี เช่ือในความเปนเอกะของพระองคดังที่ทานมักจะกลาวอยูเสมอวา ผูกดข่ีจะไดรับการตอบแทน อยางแนนอนในโลกน้ี แตหากโลกน้ีเกิดข้ึนไดเขาก็จะไดรับการตอบสนองอยางแนนอนในโลก หนา”(๕๖) และอีกตัวอยางหน่ึงจากความเท่ียงธรรมของทานจะเห็นไดจากเร่ืองราวท่ีเกิดขึ้นระหวาง ฮรั บฺบนิ อุมัยยะฮทฺ ี่เปน สหายใกลช ิดของทา นและอกี ทั้งเปน คนท่ีถกู นับหนาถอื ตาในหมูชาวกเุ รช ซึ่ง ฮัรบเฺ กิดปากเสยี งกับชาวยิวคนหนึ่งจนเปน เหตทุ าํ ใหช าวยวิ ผูน้ันถึงแกชีวิต หลังจากท่ีอับดุลมุฏฏอลิ บทราบขาวเขาก็ไดตัดความสําพันธกับฮัรบฺทันทีและเรียกรองความเปนธรรมใหแกชาวยิวผูน้ัน สิ่ง นค้ี อื อีกบทพิสูจนห นึ่งถึงความเท่ยี งธรรมของทา น การเสียสละเพอื่ รักษาในคํามน่ั สัญญา

ถงึ แมอ าหรับในยคุ มืดที่ตกอยูภายใตแนวความคิดและอารยธรรมที่ปาเถื่อน แตในบางเรื่อง การกระทําของพวกเขาก็นายกยองสรรเสริญ อยางเชน การักษาคําม่ันที่ใหไว ซึ่งพวกเขาจะจะมี สัจจะในเรอ่ื งนีม้ าก แมการรักษามันจะยากลาํ บากสักแคไ หนก็ตาม ในวันหน่ึงขณะที่อับดุลมุฏฏอลิบกับลังขุดตาน้ําซัมซัมอยูในใจของทานก็งวนคิดคํานึงถึง ชีวิต ทานซึ่งในขณะนั้นทานยังมีไมมีบุตรเลยและทําใหทานคิดวานั้นคือความออนแอของทานใน หมูชาวกุเรช ทานจึงสาบานกับตัวเองวาหากทานมีบุตรชายถึง ๑๐ คนทานจะเชือดบุตรคนหนึ่งเพ่ือ ทํากรุ บาน* ณ บัยตุลลอฮฺ **ซงึ่ คําบนบานนี้มที า นเพยี งคนเดียวทร่ี ู วันเวลาผานไปไมนานพระองคก็ทรงประธานบุตร ๑๐ คนใหแกอับดุลมุฏฏอลิบและน้ัน หมายถึงทานตองทาํ ตามคําสญั ญาท่ีใหไ ว สิ่งน้ีคือส่ิงท่ียากลําบากสําหรับอับดุลมุฏฏอลิบแตอ ีกดาน หนึ่งทานก็ไมส ามารถ -------- *กุรบาน คือ สัตวที่ใชสําหรับการเชือดพลี ไดแก แพะ แกะ วัว ควายและอูฐ เพ่ือแจกจายเนื้อใหกับ คนยากจนตามหลกั การศาสนา **บัยตุลลอฮฺ หรืออัลกะอฺบะฮฺ คือชุมทิศซ่ึงมุสลิมทุกคนตองผินหนาไปยังที่น่ันเวลาทําการเคารพ ภกั ดพี ระเจาอยูในมสั ญิดอัลฮะรอม มหานครมกั กะฮฺ ประเทศชาอดุ อิ าระเบยี ทจี่ ะขัดตอคาํ บนบานของทานได ทา นจึงตัดสินใจนําเร่ืองดังกลาวไปปรึกษาลูกๆจนในท่ีสุดก็ไดรับ การยินยอมของบุตรทาน ( ๕๗ ) ดวยกับการใชวิธีการจับฉลากหากช่ือของใครปรากฏข้ึนมาเขาก็ ยนิ ยอมท่จี ะโดนพลี ซ่ึงเมื่อจับข้ึนมาปรากฏวาเปนชื่อของอับดุลลอฮฺ ( บิดาของทานศาสดา ) อับดุล มุฏฏอลบิ ไมรอชาไดจบั มือของอบั ดลุ ลอฮแฺ ลวนําไปยังกะอฺบะฮเฺ พอื่ ทําพธิ ี เมื่อชาวกุเรชทราบขาวตางทยอยกันมาหาอับดุลมุฏฏอลิบโดยท่ีเขาไมรูจะจัดการเร่ืองนี้ อยางไร จนในที่สุดมีชาวกุเรชคนหน่ึงเสนอวาใหทานนําเร่ืองน้ีไป ปรึกษาพอมดเผื่อเขาจะมี ทางออกท่ีดีกวาน้ีใหกับทานทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินทางไปยังยัษริบซ่ึงเปนที่พํานักของชายพอมด คนดงั กลา ว เม่ือเรื่องน้ีถกู นาํ มาปรกึ ษา เขาไดข อเวลา ๑ วนั เพื่อใหคําตอบและเมื่อถึงวันรุงขึ้นเขาจึง กลาวกับอับดุลมุฏฏอลิบและทุกคนวา เลือดของคนหนึ่งคนในหมูพวกเรามีคาเทากันสิ่งใด พวกเขา ตอบวา มคี าเทา กับอูฐ ๑๐ ตัว เขาจึงกลาววา ดังน้ันใหพ วกทานจับฉลาดกันใหมระหวา งชื่อของคนท่ี จะกุรบานกับชื่ออูฐ ๑๐ ตัวหากผลออกมาเปนช่ือของเด็ก คนนี้อีกก็ใหเพ่ิมจํานานอูฐอีกหน่ึงเทาตัว

และทําเชนน้ีเร่ือยๆ หากผลออกมาเหมือนเดิมจนกวาจะออกมาเปนช่ือของอูฐคําเสนอน้ีสรางความ ปต ิยนิ ดีในหมชู าวกุเรชเปนอยางมากเพราะการเชือดอูฐไมวาจะอีกตัวก็ดีกวาการเชือดเด็กนอยอยาง อุบดุลลอฮฺ เม่ือทกุ คนกลบั มาถึงกะฮกฺ ไ็ ดทําการจับฉลาดใหมทนั ทีซึ่งในครั้งแรกออกมาเปนชื่อของอับ ดุลลอฮฺ ซ่ึงเปนผลใหตองจับใหมซึ่งผลออกมาเชนเดิมจนกระท่ังจํานวนอูฐเพ่ิมถึง ๑๐๐ ตัวจึง ออกมาเปนช่ือ แตสิ่งนั้นก็ยังไมสรางความม่ันใจใหแกอับดุลมุฏฏอลิบวาพระเจาจะพอใจในการ กระทําน้ีหรือไม เขาจึงจับใหมอีกสามคร้ังซึ่งในแตละครั้งก็ออกมาเปนช่ือจํานวนของอูฐ สิ่งนี้จึง สรางความสบายใจใหแกเขามากท่สี ุด (๕๘) เหตุการณท ่ีเกิดขึ้นในปแ หง ชา ง (อามุลฟล ) เรื่องราวท่ีถูกกลาวไวในอัล-กุรอานดวยเชนกัน ซ่ึงเราจะกลาวโองการเหลาน้ีในตอนทาย นักประวตั ิศาสตรไ ดเ ขยี นเหตกุ ารณณด งั กลา วไวดงั นี้ ซูนะวาซ ซ่ึงเปนผูปกครองเมืองเยเมนท่ีเขาไดสรางรากฐานความมั่นคงในความปกครอง ของตัวเองในชวงหนึ่งเขาไดเดินทางมายังยัษริบ(มะดีนะฮฺในอดีต) ซึ่งเปนเมืองท่ีผูคนนับถือศาสนา ยิว นับเปนศนู ยกลางของการเผยแพรศาสนาดังกลา วมสี ถานทกี่ ารสักการบชู ามากมายทั่วเมือง ชาวยวิ ซ่งึ เปนกลุมบุคคลที่ไมยอมปลอยโอกาสดีๆ ใหหลุดมือไป เม่ือโอกาสน้ันมาถึง พวก เขาจงึ นําเสนอและเชญิ ชวนซูนะวาซใหยอมรับศาสนายิวเพ่ือเปนหลักค้ําประกันไดวาพวกเขาจะไม ถูกโจมตีจากพวกโรมหรือแมแตพวกอาหรับท่ีบูชาเทวรูปซ่ึงการเชิญชวนนั้นเปนผล สําเร็จน้ันก็ คือซูนะวาซยอมรับศาสนายิว ซ่ึงการยอมรับของเขาตอศาสนายิวในครั้งน้ีทําใหบุคคลอีกมากมาย ยอมรบั ศาสนาดังกลาวตามไปดว ยบาง กเ็ กดิ จากความหวาดกลัวจากการถกู โจมตีของซูนะวาซ

แตก ็มหี ลายเผาท่ไี มยอมรับในหลักคาํ สอนของพวกยิวหน่ึงจากกลุม เหลาน้ันก็คือ ชาวนัจญ รอนซึ่งเปนผูนับถือและเหน่ียวตามหลักคําสอนของศาสนาคริสเตียนอยางเหนียวแนน และไมยอม กมหวั ใหแ กก ษัตริยเยเมนจงึ เปนเหตใุ หซ นู ะวาซไดส ง ทหารมาเพื่อบดขย้พี วกเขา นักประวัติศาสตรอิสลาม อินิอะษัร ไดเขียนถึงเหตุการณดงั กลาวไววา ในชวงท่ีซุลนะวอซ ไดบุกโจมตีชาวนัจญรอน ชายชาวนัจญรอนคนหนึ่งท่ีชื่อ ดูช สามารถหลบหนีไปยังโรมซ่ึงเปน ศูนยกลางของคริสตจักรเพ่ือขอความชวยเหลือจากกษัตริยโรมหลังจากท่ีกษัตริยโรมไดรับขาวนี้ และแสดงความเสียใจเขาก็ไดแจงขาวแกช ายผูมาแจงขาววาอันเน่ืองจากเมืองของเจาน้ันอยูหางไกล จากเมืองน้ีเราจะเขียนสารไปถึงกษัตริย ฮะบะชี เพื่อใหเขาแกแคนใหกับชาวนัจญรอน ชายคน ดังกลาวก็รีบนําสารนั้นไปหากษัตริยฮะบะชีในทันที หลังจากที่กษัตริยฮะบะชีไดรับขาวและแสดง ความเสยี หายแกช ายคนดงั กลาว เขากไ็ ดจ ัดกองทัพในทนั ทซี ่งึ มีทหารมากกวา ๗๐,000 นาย โดยใหอับรอฮะฮฺเปนนําทัพ ซึ่งพวกเขาก็ไดยกทัพมาทางทะเลและเม่ือถึงฟงพวกเขา ก็ไดลอ มเมือง เยเมนไวทันที เม่ือซูนะวาซทราบขาวถึงการบุกโจมตีของอับรอฮะฮฺเขาก็ไดเชิญชวนเผาตางๆ เพื่อ รวมนากรตอตา นของอบั รอ ฮะฮฺในครั้งนท้ี นั ที แตก ลับไมไดการตอบรบั จากเผาตา งๆ เหลาน้ัน จนในท่ีสุด อับรอฮะฮฺก็สามารถบดขยี้ซูนะวาซไดในที่สุด และเมืองเยเมนกอยูภายใตการ ปกครองของฮะบะชีในท่ีสุด และอับรอฮะฮฺ กถูกแตงต้ังจากกษัตริยฮะบะชีใหขึ้นปกครองเมืองนั้น โดยทันที หลังจากชัยชนะอันยิ่งใหญของอับรอฮะฮฺ เขาก็ไมไดตกอยูภายใตความสุขสบายใน ตําแหนงการปกครองที่ไดรับ แตเขากลับคิดสรางมหาวรวิหารอันใหญโต และสวยงามซึ่งไมมี สถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธอ์ิ นั ใดเทียบเคยี งได การสรา งคร้งั นกี้ เ็ พอ่ื เอาใจกษัตริยฮะบะชีนั่นเอง หลังจากสราง เสร็จเขา นัจญาชีโดยมีใจความวาการสรางมหาวิหารของขาไดเสร็จสมบูรณแลว และฉันจะทําให


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook