เลี้ยงชพี ยาดับพิษเพือ่ อันรกั ษาชวี ิต บอเกิดเพอ่ื อนั เกิดแหง รัตนะ รตั นะเพ่ืออันประดบั อาชญาเพ่ืออนั ไมกา วลว ง อสิ รยิ ะเพื่ออันใหเ ปนไปในอาํ นาจ ฉนั ใด; ธุดงคคุณก็เพอื่ อัน งอกขึ้นแหงพชื คือ สามัญคณุ เพื่ออนั เผาเคร่อื งหมนหมองคือกเิ ลส เพ่ืออันนาํ กาํ ลงั คอื ฤทธมิ์ า เพ่อื อนั ผูกสติสงั วรไว เพื่ออนั ถอนความสงสยั สนเทห เพือ่ อันนาํ ความอยากนาํ้ คือตณั หาเสีย เพอื่ อนั กระทาํ ความยินดใี นอภิสมัย เพอื่ อันออกไปจากโอฆะส่ี เพอ่ื อัน ระงับพยาธิ คอื กิเลส เพอ่ื อนั ไดสขุ คือ นพิ พาน เพือ่ อนั บรรเทาภัย คอื ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาสเสีย เพื่ออนั รกั ษาสามัญคณุ ไว เพื่ออันหา ม ความตรึกชว่ั ดวยอาํ นาจความไมย นิ ดี เพอื่ อันตามสอนสามญั ประโยชนทง้ั สนิ้ เพอ่ื อัน เลี้ยงสามญั คุณท้งั ปวงไว เพื่ออนั แสดงสมถะวิปส สนา มรรคผลนพิ พาน เพอ่ื อันโลก สรรเสริญชมเชย และกระทาํ ใหง ามมาก ๆ เพ่อื อนั ปดอบายทง้ั ปวงเสยี เพอ่ื อนั ข้นึ สยู อด ภเู ขาแลว ดวยหิน คอื สามัญประโยชน เพ่อื อนั วางจติ ทีค่ ดโกงไมเ สมอเสีย เพอ่ื อัน กระทําการสาธยายธรรมท่คี วรเสพและไมค วรเสพใหสาํ เรจ็ ประโยชน เพือ่ อนั คุกคาม ศัตรตู อบคือกเิ ลสทัง้ ปวง เพ่ืออันกาํ จดั มดื คอื อวชิ ชา เพ่ืออันใหค วามกระวนกระวาย รอนพรอมคอื ไฟสามอยางดับ เพอ่ื อนั ใหส มาบตั อิ นั ละเอียดสขุ ุมสําเรจ็ เพอ่ื อนั ตาม รักษาสรรพสามญั คุณทั้งสนิ้ ไว เพ่ืออนั เกดิ ข้นึ แหง รตั นะอันประเสรฐิ คอื โพชฌงค เพ่ือ อันประดบั ชนผโู ยคาวจร เพือ่ อันไมกา วลว งสนั ติสขุ อนั เปน อนวชั ชสุขอันละเอียดสขุ มุ เพือ่ อันเปน ไปในอาํ นาจแหง อรยิ ธรรม คอื สามัญคณุ ทั้งสน้ิ ฉันนั้นแล. ธดุ งคคุณ อนั หนง่ึ ๆ เพ่ือความบรรลคุ ณุ เหลานี้ ดวยประการฉะน.้ี ขอถวายพระพร ธดุ งคคุณเปน ทพี่ งึ ช่งั ไมไ ด ที่นับไมไ ด ไมม ีสิง่ ไรเสมอ หาส่ิง เปรยี บไมได ไมมีสิง่ ไรจะประเสรฐิ กวา เปน ของยงิ่ เปน ของกวา ง เปนของหนกั เปน ของ ใหญ ดวยประการฉะน.ี้ ขอถวายพระพร บคุ คลใด เปน ผูมคี วามปรารถนาลามก อนั ความปรารถนา ลามกครอบงาํ แลว เปนคนโกง เปน คนโลภเหน็ แกท อง อยากไดล าภยศสรรเสรญิ เปนผู ไมค วรไมเ หมาะ สมาทานธดุ งคคณุ , บคุ คลน้นั ยอ มถงึ อาชญาทวคี ณู ยอ มถงึ ความฆา คุณเสีย คอื ยอ มไดค วามละอาย ความครหา ความเยาะเยย ความทอดทิง้ ความไมอยู รวม ความขบั ไล เปน ไปในทิฏฐธรรมชาตนิ ,ี้ แมใ นสมั ปรายภพยอ มไหม ดุจฟองนาํ้ นาํ้ กลบั ขึ่นลงขวาง ในท่ลี อมดว ยเปลวไฟอนั เรา รอ นในมหาอเวจี ซง่ึ ประกอบดว ยรอ ย โยชน สิน้ แสนโฏิปม ใิ ชอ นั เดยี ว, คร้นั พนจากนน้ั แลว เปน ผูมอี ังคาพยาพนอยใหญผอม หยาบดาํ มศี รี ษะเปน โพลงดุจสนุ ับศีรษะพอง หวิ อยากนํา้ มีวรรณแหง รูปไมเ ปน ปกติ นา กลวั มีชอ งหอู นั ทําลาย มีดวงตาเหลือกขน้ึ เหลือกลง มีตัวเปนแผลไหมเ กรียม มกี าย ทง้ั สน้ิ เกล่ือนกลนไปดวยหนอน กองไฟลกุ โพลงขา งในดุจลุกโพลงในชองลม หาผู
ปอ งกันมไิ ด หาทีพ่ ง่ึ มิได คราํ่ ครวญรอ งไห รองเพ่อื ใหก ารญุ เปน สมณมหา นชิ ฌามตัณหกิ เปรต เทยี่ วรอ งแสดงความลําบากอยทู แี่ ผน ดิน. เปรียบเหมอื นบคุ คล ผูใดผหู นงึ่ ไมควรไมเหมาะ เปนคนมชี าติตาํ่ ชา ยอมอภเิ ษกดวยขัตติยาภิเษก, บุคคล นั้นยอมไดก รรมกรณมีตดั มือตัดเทาเปน ตน , เพราะเหตอุ ะไร? เพราะเปน ผูไ มควรไม เหมาะ มชี าตติ าํ่ ชา ตง้ั ตนไวในความเปน อิสระอันใหญ ฉะนั้น. ขอถวายพระพร ก็บุคคลใด เปนผคู วร เหมาะ เปน ผมู กั นอย สนั โดษ มีจติ สงัด ไมค ลุกคลดี ว ยหมู มคี วามเพยี รปรารภแลว ยอบตน ไมโ ออวด ไมห ลอกลวง ไมเหน็ แก ทอง ไมม งุ ลาภยศความสรรเสรญิ เปน ผูมศี รทั ธาบวชดวยศรทั ธา อยากพนจากชราและ มรณะ สมาทาน ธุดงคคณุ ดวยราํ ถงึ วา ‘เราจักยกยองพระศาสนา’ ดงั น.้ี บคุ คลนน้ั ยอมควรซง่ึ อนั บชู าทวคี ูณ คอื เปนผูเปน ทรี่ กั เปน ทย่ี งั ใจใหเ จริญแหง เทพดาและมนษุ ย ทงั้ หลาย และเปน ผูอนั เทพดาและมนษุ ยท ้ังหลายปรารถนา, เปนราวกะดอกมะลซิ อน และมะลิวนั เปน ท่ปี รารถนาของผูอาบแลว ชโลมทาแลว เปน ราวกะวา โภชนะอัน ประณีตของผหู ิว, เปนราวกะนํา้ ควรดมื่ ท่เี ยน็ ใส มกี ลน่ิ หอมของผูอยากดม่ื เปน ราวกะ โอสถอันประเสรฐิ ของผูอันพษิ แลน ไปแลว เปน ราวกะรถอันอดุ มซง่ึ เทียมมา อาชาไนย ของผอู ยากไปเรว็ เปน ราวกะแกว มณีซง่ึ ใหยนิ ดีของผูอยากไดประโยชน เปน ราวกะ เศวตฉตั รอนั ขาวไมห มองมวั ของผอู ยากอภเิ ษก เปน ราวกะความบรรลพุ ระอรหตั ผล ของผใู ครตอ ธรรม. สติปฏฐานสี่ สมั มปั ปธานสี่ อทิ ธบิ าทส่ี อนิ ทรยี ห า พละหา โพชฌงค เจ็ด อรยิ าษฎางคิกมรรคแปด ของบคุ คลน้ัน ยอมถึงความเปน ของเจริญบรบิ รู ณ, บุคคลน้ัน ยอ มบรรลุสมถะและวปิ ส สนา, การปฏบิ ตั ิเพอื่ อธคิ มของบคุ คลนั้น ยอ มนอม ไปรอบ, คณุ ธรรมทัง้ ปวงคือสามัญผลสี่ปฏสิ มั ภทิ าส่ี วชิ ชาสาม อภิญญาหก สมณธรรม ทัง้ สน้ิ ยอมเปน เครื่องประกาศแหงบคุ คลน้นั , บุคคลนั้น ยอ มอภเิ ษกดว ยเศวตฉตั ร คือ วมิ ุตต.ิ เปรยี บเหมือนราชภฏั ทวยหาญพรอ มทงั้ ชาวแวนแควน ชาวนิคมชาวชนบท ยอมบํารุงบาํ เรอพระมหากษตั รญิ ืผูไ ดม ุรธาภเิ ษกแลว , และราชบรุ ษุ สามสบิ แปด คือ คนฟอนรํา คนรมู งคลท่ีหนา คนกลา ว ความสวัสดี สมณพราหมณห มคู นเจา ลทั ธทิ งั้ ปวง ยอมถงึ ยง่ิ ซงึ พระมหากษตั ริยนนั้ , พระมหากษตั รยิ นัน้ เปนเจา ของในการทรงวา กลาวเนือง ๆ ซึง่ ทา เรือ บอเกดิ รตั นะ พระนคร สถานทต่ี ัง้ สว ย ราชสมบตั ิตาง ๆ ชนผู แตกราวกนั ทงั้ ปวง ฉะนน้ั . ขอถวายพระพร ทา นผูท าํ ใหบริสุทธด์ิ ว ยธุดงคเ หลา ใด เขาไปสูม หาสมุทร คอื นพิ พานแลว ยอ มเลน ธรรมมอี ยา งมาก, ยอมใชส มาบตั ิทง้ั แปด คอื รปู สมาบตั สิ ี่ อรูป สมาบตั สิ ี่ ยอมถงึ ซงึ ฤทธิม์ อี ยา งตา ง ๆ ทิพยโสตธาตุ ปรจติ ตวิชชา บุพเพนวิ าสานสุ สติ ทิพยจักษุ และความสนิ้ ไปแหงอาสวะท้ังปวง ธดุ งคเหลานน้ี นั้ มสี ิบสามประการ คือ
(๑) องคข องผมู ีอันทรงผา บงั สกุ ลุ เปน ปกติ. (๒) องคของผมู อี ันทรงผา สามผนื เปน ปกต.ิ (๓) องคของผมู ีอันเทย่ี วบิณฑบาตเปน ปกติ. (๔) องคของผมู ีอันเทีย่ วบิณฑบาตเปน ไปดว ยความไมขาดเปน ปกติ. (๕) องคของผมู ีอนั บริโภคในอาสนะเดยี วเปนปกต.ิ (๖) องคข องผมู อี ันบริโภคในบาตรเปนปกติ. (๗) องคข องผหู ามภัตรทน่ี ํามาถวายเพอ่ื ภายหลงั เปน ปกต.ิ (๘) องคของผมู อี นั อยูในปาเปนปกต.ิ (๙) องคของผมู ีอนั อยูโ คนไมเ ปน ปกต.ิ (๑๐) องคของผูม อี นั อยูใ นทแี่ จงเปน ปกต.ิ (๑๑) องคข องผมู อี ันอยูใ นปา ชา เปน ปกต.ิ (๑๒) องคของผมู อี ันอยูใ นทล่ี าดไวอ ยางไรเปน ปกต.ิ (๑๓) องคของผมู ีอันนง่ั เปน ปกติ. ทานผมู ีปญญา ยอ มไดส ามัญคณุ ทงั้ สน้ิ ดวยธดุ งคคณุ สบิ สามเหลา น้ี ซง่ึ ทา น ไดเสพมากแลว เสพเนอื ง ๆ แลว สัง่ สมแลว ประพฤติแลว ใหบริบรู ณแ ลวในปางกอ น แล, สมาบตั เิ ปนของนําความสขุ มาเปน ของประณตี ทั้งส้นิ เปน เครอ่ื งประกาศแหง ทา น นนั้ . เปรียบเหมือนนายเรือผมู ีทรพั ย เสยี ภาษีทท่ี า เรอื ดวยดีแลว เขาไปสมู หาสมทุ ร ถึง วังคนคร ตักโกลนคร จนี นคร โสวรี นคร สรุ ฏั ฐนคร อลสันทนคร โกลปฏฏนนคร และ สวุ ณั ณภมู นิ คร แลว ไปสูประเทศท่ีเทยี่ วไปดวยเรอื ประเทศใดประเทศหนง่ึ แมอ ่นื ฉะนนั้ . และเปรยี บเหมอื นชาวนานาํ หญา และไมแ ละหนิ เปน โทษในนาออกเสยี กอ น แลว ไถหวา นแลว ยงั น้ําใหเ ขาไปแลวเฝา รกั ษาไว เปน ผูมีขาวเปลอื กมากดว ยอันเกย่ี ว และนวด, ชนยากจนไมมที รัพย เปนผปู ระกาศแหง ชาวนานน้ั ฉะนน้ั . อนึ่ง เปรยี บ เหมอื นพระมหากษัตริยผูไดม ุรธาภิเษกแลว เปน ผมู ีชาติย่ิง ยอมเปนผมู อี ิสระมอี ันให เปนไปในอํานาจ เปน เจา ของกระทาํ ตามความปรารถนา ในการทรงพราํ่ สอนชนผู แตกรา วกนั , แผน ดนิ ใหญท งั้ สนิ้ เปน ที่ประกาศแหง พระมหากษตั รยิ น น้ั ฉนั ใด ทา นผมู ี ปญ ญา เปน ผมู ีอสิ ระมอี นั ใหเ ปนไปในอาํ นาจ เปน เจา ของกระทาํ ตามปรารถนา ในพระ ชนิ ศาสนาอนั ประเสรฐิ ดว ยธุดงคคณุ สิบสามเหลา นี้ท่ีเสพมากแลว เสพเนอื ง ๆ แลว สงั่ สมใหเต็มรอบแลว ในปางกอ น, อน่งึ สามญั คุณทัง้ หลายทงั้ สน้ิ เปน เครือ่ งประกาศแหง ทานนน้ั ฉนั นนั้ แล. ขอถวายพระพร พระอปุ เสนเถระผบู ตุ รวงั คันตพราหมณม ิใชห รือ มไิ ดเ อื้อเฟอ กตกิ าแหง สงฆในกรุงสาวตั ถี ดวยความเปนผูกระทาํ ใหเ ต็มในธุดงคคณุ เปนเคร่ืองเกลา
กิเลส พรอ มดวยบรษิ ทั เขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจา ผคู วรทรมานนรชน ผูประทับอยูใ น ทเ่ี รน ถวายนมัสการ พระผมู ีพระภาคเจา ทพ่ี ระบาทดว ยเศียรเกลา แลว นงั่ ในทคี่ วรสว น หนง่ึ . พระผมู พี ระภาคเจา ทอดพระเนตรบริษทั อันพระเถระแนะนําดแี ลว นนั้ ทรงรา เริง บนั เทงิ มีพระหฤทัยเบกิ บาน ตรัสปราศรยั กับดวยบรษิ ทั แลว ไดตรัสพทุ ธพจนนี้ ดว ย พระสุรเสยี งดจุ เสียงพรหม อนั ไมข ดั ขวางวา ‘ดกู อนอปุ เสนะ บรษิ ทั ของทา นนนี้ ํามาซงึ่ ความเลื่อมใส, ทา นแนะนําบริษทั อยางไร?’ ฝายพระอปุ เสนเถระนนั้ เปนผูอนั พระสพั พญั ูทศพลเทพาดเิ ทพตรสั ถามแลว ไดก ลา วคําน้ีกะพระผูม พี ระภาคเจา ดว ยสามารถแหง คุณตามทเี่ ปน ที่มวี า ‘ขาแต พระองคผ เู จรญิ บคุ คลผใู ดผูหนง่ึ เขามาหาขาพระองค ขอบรรพชาหรอื นิสสยั , ขา พระองคกลา วอยา งนี้กะบุคคลน้ันวา ‘แนะ ผมู ีอายุ เราเปน ผมู อี นั อยใู นปา เปน ปกติ มี อนั เทยี วบณิ ฑบาตเปนปกติ มอี ันทรงผา บงั สกุ ุลเปน ปกติ มอี ันทรงไตรจวี รเปนปกต;ิ ถา วาแมท านจกั เปนผมู ีอนั อยูในปา เปน ปกติ มีอนั เทยี่ วบณิ ฑบาตเปน ปกติ มอี นั ทรงผา บงั สกุ ลุ เปน ปกติ มีอนั ทรงไตรจวี รเปนปกติเหมือนกันไซร, เราจักใหท า นบวช เราจกั ให นสิ สัยแกท าน’ ฉะน;ี้ ถาวา บุคคลนนั้ รบั ขาพระองคแลว ยินดรี นื่ รมย. ขา พระองคจ งึ ให บคุ คลน้นั บวช ใหน ิสสัยแกบ คุ คลนัน้ ถา วาบคุ คลนัน้ ไมยนิ ดีไมรื่นรมยขาพระองคก็ ไมใ หบ คุ คลนน้ั บวชไมใ หน สิ สัยแกบ ุคคลนัน้ ; ขาแตพ ระองคผ เู จริญ ขา พระองคแ นะนํา บรษิ ัทอยา งน’ี้ ดังน.ี้ ขอถวายพระพร ทา นผมู ปี ญ ญา สมาทานธุดงคคณุ อนั ประเสรฐิ ยอ มเปนผมู ี อสิ ระ มอี นั ใหเ ปนไปในอาํ นาจ เปน เจาของ กระทาํ ตามปรารถนาในพระชนิ ศาสนาอัน ประเสริฐ, สมาบัตทิ ง้ั หลาย เปน ของละเอียด เปน ของนาํ ความสขุ มาทง้ั สนิ้ ยอ มเปน เคร่ืองประกาศแหง ทา นผนู นั้ ดว ยประการฉะน.้ี ขอถวายพระพร ดอกบวั มชี าติอนั สงู แตเดมิ เกดิ มา เพราะเปน ของเจรญิ ยง่ิ และ บริสทุ ธิ์ เปน ของสนทิ เปน ของออน เปนของนา อยากได เปน ของมีกลนิ่ หอม เปน ทรี่ กั อันบคุ คลปรารถนา มไิ ดเปอ นดว ยน้ําตม ประดบั ดวยกลบี และเกสรและฝก อนั ละเอยี ด อนั หมภู มรสองเสพ เน่ืองดว ยนา้ํ อนั เยน็ ฉนั ใด, พระอริยสาวกเขา ถงึ พรอมแลวดวยคณุ อันประเสริฐสามสบิ ประการ เพราะธดุ งคคณุ สามสิบเหลา นี้ ทท่ี า นเสพมากแลว เสพ เนือง ๆ แลว สงั่ สมใหเตม็ รอบแลว ในกาลกอ นฉันนน้ั แล. คณุ อันประเสริฐสามสิบ ประการเปน ไฉน? คอื :- (๑) เปน ผูมจี ติ ประกอบดว ยเมตตาอันสนิทออนละมนุ . (๒) เปนผมู กี ิเลสอนั ฆา กาํ จดั แลว .
(๓) เปนผมู ีความเยอหยง่ิ ดว ยอาํ นาจความถือตวั อนั้ กาํ จัดใหพ นิ าศแลว. (๔) เปนผมู คี วามเช่อื ไมห วนั่ ไหว ตงั้ มนั่ หาความเคลอื บแคลงมิได. (๕) เปน ผูมอี นั ไดส มาบัติ อันบริบรู ณเ ยอื กเย็น นา รนื่ รมย นา อยากได อนั ละเอียดเปนสขุ . (๖) เปน ผูอบรมดว ยของหอมอันสะอาด หาของหอมอ่นื เสมอไมไ ด อนั ประเสริฐ คือ ศลี . (๗) เปน ผูเปน ทีร่ กั เปน ทใ่ี หใ จเอบิ อาบ แหง เทพดาและมนษุ ยท ้ังหลาย. (๘) เปน ผอู นั พระอรยิ บคุ คลผูประเสรฐิ มอี าสวะสน้ิ แลว ปรารถนาแลว . (๙) เปน ผอู นั เทพดามนษุ ยท งั้ หลายกราบไหวและบูชา. (๑๐) เปน ผอู นั ชนผูบ ัณฑิตรวู เิ ศษชนื่ ชมสรรเสรญิ แลว . (๑๑) เปนผูอนั โลกไมฉาบทาไวใ นโลกนแ้ี ละโลกหนา . (๑๒) เปน ผมู ปี กติเหน็ ภยั แมในโทษเล็กนอ ย. (๑๓) เปน ผยู ังประโยชนอ นั ประเสริฐคือมรรคและผลใหส าํ เร็จแกช นผตู อ งการ สมบัติ. (๑๔) เปนผูม สี ว นแหง ปจจยั ลาภอนั ไพบลู ยป ระณตี ทสี่ ัตวโลกบูชาแลว . (๑๕) เปนผอู ยูใ นทม่ี ิใชท ่ีอยูเปนหลักแหลง . (๑๖) เปน ผมู ฌี านอยา งประเสรฐิ เปนธรรมท่ีอย.ู (๑๗) เปนผมู ที ตี่ ง้ั แหง ขาย คอื กเิ ลสอันรอื้ แกแลว. (๑๘) เปน ผูมคี ติผูกัน้ ไวอ ันทาํ ลายแลวหกั แลวตดั เสียแลว . (๑๙) เปนผมู ธี รรมไมกาํ เริบ. (๒๐) เปน ผมู ที ่อี ยูอันจัดไวโดยเฉพาะ. (๒๑) เปน ผูมอี นั บริโภคส่ิงหาโทษมิได. (๒๒) เปน ผพู น พิเศษแลว จากคติ. (๒๓) เปนผมู คี วามสงสยั อนั ขา มสนิ้ แลว. (๒๔) เปนผมู ตี นอนั อาบแลว ดว ยวิมตุ ต.ิ (๒๕) เปน ผมู ธี รรมอนั เหน็ แลว. (๒๖) เปน ผเู ขา ถึงแลว ซ่ึงเครอื่ งตอตา นความขลาด อนั ไมห วนั่ ไหวมัน่ คง. (๒๗) เปน ผมู อี นุสยั อันถอนขึ้นแลว . (๒๘) เปน ผถู ึงแลว ซึง่ ธรรมเปนที่สนิ้ ไปแหง สรรพอาสวะ. (๒๙) เปนผมู สี มาบัติเปน สขุ ละเอียดเปน ธรรมทีอ่ ยูมาก. (๓๐) เปนผเู ขา ถงึ พรอ มสมณคณุ ทั้งปวงแลว .
พระอริยสาวก เปน ผเู ขา ถึงพรอ มแลวดว ยคุณอันประเสริฐสามสบิ ประการ เหลาน.ี้ ขอถวายพระพร พระสารบี ตุ รเถระมิใชห รอื เปนอคั รบุรุษในหม่ืนโลกธาตุ ยก เสนแตพ ระทศพลผูบ รมโลกาจารย. แมพระสารบี ุตรเถระนนั้ เปนผูเ กิดในตระกูล พราหมณ มกี ศุ ลมลู สรา งสมพรอมแลว สนิ้ อสงไขยและกปั ปนับไมไ ดแ ลว ละความยินดี ในกามและทรพั ยอ ันประเสริฐ นับดว ยรอยมใิ ชอนั เดียว เปน ของยงั ใจใหเ จรญิ บรรพชา ในพระชนิ ศาสนาแลว ทรมานกายวจจี ิตดว ยธดุ งคคณุ สบิ สามเหลานม้ี าตามพรอ มแลว ดวยคณุ หาทีส่ ดุ มไิ ด ไดยังธรรมจักรใหเปน ไปตามในพระศาสนาอนั ประเสรฐิ แหง พระผู มพี ระภาคเจา ผูโคดมในกาลน.้ี ขอถวายพระพร แมพ ระพทุ ธพจนน ี้อันพระผมู พี ระภาคเจาผูเ ทพาดิเทพ ไดทรง ภาสิตไวในพระลัญจกรอนั ประเสริฐ คอื เอกงั คุตรนิกายวา ‘ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ มไมเล็งเห็นบุคคลอ่นื ผูห นงึ่ ผูยงั ธรรมจกั รอนั ยง่ิ ที่ พระตถาคตใหเ ปนไป ใหเปน ไปตามโดยชอบ เหมือนสารบี ุตร; เพราะวา สารบี ุตรยงั ธรรมจกั รอนั ยงิ่ ทพี่ ระตถาคตใหเปน ไปใหเปน ไปตามโดยชอบ’ ดงั น.้ี ร. “พระผูเปน เจา นาคเสนดีแลว , นวงั คพทุ ธวจนะอันใดอนั หนึ่ง ความกระทําโล กุตตระอันใดอนั หนึง่ สมาบัติอนั ไพบูลยป ระเสริฐ คอื ความตรัสรอู นั ใดอนั หน่ึง, คณุ ชาติมนี วงั คพทุ ธวจนะเปนตน นนั้ ทงั้ หมดเปน ของถงึ แลว ซ่ึงอนั ประชมุ ลงในธุดงคคุณสบิ สามประการ.” เมณฑกปญ หา จบ. อนมุ านปญ หา พระราชาตรสั ถามวา “พระผูเปนเจา นาคเสน ภิกษมุ าตามพรอมแลวดวยองค ทั้งหลายเทา ไร จงึ กระทาํ ใหแ จงพระอรหัต?” พระเถรเจา ทูลวา “ขอถวายพระพร ภิกษใุ นศาสนาน้ี ผูใ ครจะกระทาํ ใหแจง พระอรหัต ตอ งถือเอาองคหนง่ึ ประการ แหง ลามีเสยี งอนั พลิ กึ . ตอ งถือเอาองคหาประการ แหงไก.
ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง กระแต. ตอ งถอื เอาองคหนงึ่ ประการ แหงนางเสอื เหลือง. ตองถอื เอาองคส องประการ แหงเสอื เหลอื ง. ตอ งถอื เอาองคห าประการ แหงเตา. ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหง ป. ตองถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหงรางปน . ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหง กา. ตองถอื เอาองคส องประการ แหง ลงิ . ตองถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหง เถานํ้าเตา . ตองถือเอาองคส ามประการ แหงบวั . ตอ งถือเอาองคส องประการ แหง พชื . ตอ งถือเอาองคห นงึ่ ประการ แหงไมข านาง. ตองถอื เอาองคสามประการ แหงเรอื . ตองถอื เอาองคส องประการ แหงสมอเรือ. ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการ แหงเสากระโดง. ตองถือเอาองคองคส ามประการ แหง ตนหน. ตองถอื เอาองคหนง่ึ ประการ แหงคนกระทาํ การงาน. ตอ งถอื เอาองคหา ประการ แหง มหาสมทุ ร. ตองถือเอาองคห าประการ แหงแผน ดนิ . ตองถือเอาองคห าประการ แหง นาํ้ . ตองถอื เอาองคหา ประการ แหงเพลิง. ตอ งถอื เอาองคห า ประการ แหง ลม. ตอ งถอื เอาองคห า ประการ แหงภเู ขา. ตองถือเอาองคห า ประการ แหง อากาศ. ตองถือเอาองคหา ประการ แหงพระจันทร. ตองถอื เอาองคเจด็ ประการ แหงพระอาทติ ย. ตองถือเอาองคส ามประการ แหง พระอินทร. ตองถือเอาองคสีป่ ระการ แหงพระเจา จกั รพรรด.ิ ตองถือเอาองคหนง่ึ ประการ แหง ปลวก. ตอ งถอื เอาองคส องประการ แหงแมว. ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหง หน.ู
ตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการ แหง แมลงปอ ง. ตอ งถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง พงั พอน. ตองถือเอาองคสองประการ แหงสนุ ขั จ้งิ จอกแก. ตองถอื เอาองคส ามประการ แหงเนอ้ื . ตองถอื เอาองคส่ีประการ แหงโค. ตองถอื เอาองคสองประการ แหง สกุ ร. ตอ งถือเอาองคหา ประการ แหงชา ง. ตอ งถือเอาองคเ จ็ดประการ แหง ราชสหี . ตองถือเอาองคส ามประการ แหงนกจากพราก. ตองถอื เอาองคสองประการ แหง นางนกเงอื ก. ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการ แหงนกพริ าบเรือน. ตอ งถอื เอาองคส องประการ แหง นกเคา . ตอ งถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหงนกสตปต ต (นกมีขนปกรอ ยหนงึ่ ) ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหง คา งคาว. ตองถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหงปลงิ . ตอ งถือเอาองคส ามประการ แหง ง.ู ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหงงเู หลอื ม. ตอ งถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหงแมลงมมุ ชกั ใยใกลท าง. ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง ทารกกินนม. ตองถอื เอาองคหนงึ่ ประการ แหง เตา เหลือง. ตอ งถือเอาองคห า ประการ แหงปาชฏั . ตอ งถือเอาองคส ามประการ แหงตน ไม. ตอ งถอื เอาองคห า ประการ แหง ฝน. ตองถอื เอาองคส ามประการ แหง แกว มณ.ี ตองถือเอาองคส ่ีประการ แหง พรานเนื้อ. ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหงพรานเบด็ . ตอ งถือเอาองคสองประการ แหง ชา งไม. ตองถือเอาองคห นงึ่ ประการ แหง หมอ . ตองถอื เอาองคสองประการ แหง กาลกั นา้ํ . ตองถอื เอาองคส ามประการ แหง รม. ตองถือเอาองคสามประการ แหง นา.
ตอ งถือเอาองคส องประการ แหงยา. ตอ งถอื เอาองคสามประการ แหง โภชนะ. ตอ งถอื เอาองคส ปี่ ระการ แหง คนแผลงศร. ตองถือเอาองคส่ปี ระการ แหงพระราชา. ตองถอื เอาองคส องประการ แหงนายประตู. ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหงหนิ บด. ตอ งถือเอาองคสองประการ แหงประทปี . ตอ งถือเอาองคส องประการ แหงนกยงู . ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหง มา . ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหงนักเลง. ตองถอื เอาองคส องประการ แหงธรณปี ระต.ู ตองถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหง คนั ชง่ั . ตอ งถือเอาองคส องประการ แหง พระขรรค. ตอ งถือเอาองคสองประการ แหงปลา. ตอ งถือเอาองคห นงึ่ ประการ แหงลกู หน.ี้ ตองถอื เอาองคส องประการ แหงคนเจบ็ . ตองถอื เอาองคสองประการ แหงคนตาย. ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหงแมน าํ้ . ตองถอื เอาองคห นงึ่ ประการ แหง โคผู. ตองถือเอาองคส องประการ แหง หนทาง. ตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการ แหง คนเรียกสว ย. ตองถอื เอาองคส ามประการ แหง โจร. ตองถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหง เหยย่ี ว. ตอ งถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง สนุ ัข. ตองถอื เอาองคสามประการ แหงหมอ. ตอ งถือเอาองคสองประการ แหง หญงิ มีครรภ. ตอ งถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหง นางจามร.ี ตอ งถือเอาองคส องประการ แหงนกกระแตตวิ ดิ . ตอ งถือเอาองคสามประการ แหง นางนกพริ าบ. ตองถอื เอาองคส องประการ แหงคนมีตาขา งเดยี ว. ตองถือเอาองคส ามประการ แหง ชาวนา.
ตอ งถอื เอาองคหนงึ่ ประการ แหงนางสนุ ัขปา. ตอ งถือเอาองคสองประการ แหง ผอบนอ ย. ตองถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหงทพั พ.ี ตอ งถอื เอาองคส ามประการ แหง คนใชห น.้ี ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการ แหงคนตรวจเนอื ง ๆ. ตองถือเอาองคส องประการ แหง นายสารถี. ตอ งถอื เอาองคสองประการ แหงนายอําเภอ. ตอ งถือเอาองคหนง่ึ ประการ แหงชา งหกู . ตอ งถือเอาองคหนงึ่ ประการ แหงคนเดินเรอื . ตองถือเอาองคส องประการ แหงแมลงภ.ู ” โฆรสร วรรคทหี่ นง่ึ พระราชาตรสั ถามวา “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง ลามีเสยี งอนั พลิ ึกนน้ั เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทูลวา “ขอถวายพระพร ธรรมดาลามเี สยี งอนั พิลกึ ทีป่ ระตบู า นบา ง ท่กี องแกลบบา ง ทใี่ ดทห่ี นง่ึ , ไมเปนสตั วน อนมากฉนั ใด; โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ลาดปูทอ นหนงึ่ ณ เครอื่ งลาด หญา บา ง ณ เครื่องลาดใบไมบ า ง ณ เตยี งไมบ าง ณ แผนดินบา ง ท่ใี ดทห่ี นงึ่ แลว นอนในท่ใี ดที่หน่งึ , ตอ งไมเปน ผนู อนมาก ฉนั นนั้ แล. นี้แล ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการแหง ลามีเสยี งอนั พิลึก. แมพ ระพระพทุ ธพจนน ้ี อนั พระผมู พี ระภาคเจาผเู ทพาดิเทพ กไ็ ดทรงภาสิตไว วา:- ‘ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย บัดนี้ สาวกท้งั หลายของเรา ตงั้ ไวซ ่งึ ความสาํ คญั ในรปู ดุจ ทอ นฟน เปน ผูไมป ระมาทแลว มคี วามเพยี ร ยงั กิเลสใหรอ นท่ัวในความเพยี ร อย’ู ดงั น.้ี แมค าํ นี้ อนั พระสารบี ตุ รเถระผูธ รรมเสนาบดี กไ็ ดภาสติ ไวว า :- ‘เมื่อภิกษุนง่ั อยูแ ลวดวยบัลลังก เธอช่ือวาอาศยั อยดู ว ยเขา ; ควรทภี่ กิ ษมุ ีจติ สงไปแลว จะมธี รรมเปนท่อี ยูส ําราญ ฉะน.ี้ ” ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคห า ประการแหง ไกนน้ั เปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ไกยอมหลกี เรน อยโู ดยกาลโดยสมัย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ อง กวาดลานเจดยี ตง้ั นาํ้ ฉันนํา้ ใชไวแลว ชาํ ระสรรี ะอาบนา้ํ แลว ไหวเ จดยี แ ลว ไปหาภกิ ษุ ผูเ ฒา ทง้ั หลายโดยกาลโดยสมยั เขาไปสูเ รือนวา งโดยกาลโดยสมยั ฉันนน้ั แล. น้แี ล ตองถือเอาองคทแ่ี รกแหงไก. อน่ึง ไกยอมออกจากท่หี ลกี เรนโดยกาลโดยสมัย ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกบอ ความเพยี ร กต็ องออกกวาดลานเจดยี ตง้ั นํ้าฉนั นา้ํ ใชไ ว ชําระสรีระแลว ไหวเ จดยี โ ดย กาลโดยสมยั แลว เขาไปสูเรอื นวางเปลา อกี ฉนั น้ันแล. นี้แล ตอ งถือเอาองคที่สองแหง ไก. อนึง่ ไกคยุ ๆ ดิน กินของทค่ี วรกิน ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอง พจิ ารณาแลว ๆ บริโภคของทค่ี วรบรโิ ภค ดวยปจจเวกขณวา ‘เราไมบ รโิ ภคเพ่ือจะเลน ไมบ ริโภคเพ่ือจะมัวเมา ไมบ รโิ ภคเพ่ือประดับ ไมบ รโิ ภคเพ่อื จะตกแตง ประเทืองผิวเลย ทีเดียว, เราบริโภคเพยี งเพื่อตง้ั อยแู หง กายน้ี เพอ่ื จะใหก ายนเ้ี ปน ไป เพื่อจะกาํ จดั ความ เบยี ดเบียนลําบาก คือ ความหวิ อยากอาหารเสยี เพอ่ื จะอนุเคราะหพ รหมจรรย; ดว ย คิดเห็นวา ‘ดวยอนั บริโภคน้ี เราจักกาํ จดั เวทนาเกา เสยี จกั ไมใหเวทนาใหมเ กดิ ขน้ึ , และ ความทก่ี ายจกั ไปไดน าน จกั มีแกเรา ความเปน ผูไมมโี ทษจักมีแกเ รา ความอยสู บายจัก มีแกเรา’ ดงั น้ี ฉนั นน้ั แล. นแ้ี ล ตองถือเอาองคท ่ีสามแหง ไก. แมพ ระผูมีพระภาคาเจาผเู ทพาดเิ ทพ กไ็ ดท รงภาสติ ไวว า:- ‘ภกิ ษุผูไ มซบเซาในประโยชนอ นั ใหอัตภาพเปน ไป บริโภคอาหารดจุ บุคคล บรโิ ภคเนอื้ บตุ รในทางกนั ดาร และเหมอื นนาํ้ มันสําหรับยอดเพลารถ ฉะนั้น’ ดังน.ี้ อนึ่ง ไกแ มเ ปน ไปดว ยจกั ษใุ นกลางวนั เปน ผมู ีตาฟางดงั ตาบอดในกลางคือ ฉัน ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร เปน ผไู มบ อดเลย กต็ องเปน ผรู าวกะบอด อยูใ นปา ก็ ดี เท่ยี วเพอ่ื บณิ ฑบาตในโคจรคามก็ดี ตอ งเปน ผูร าวกะคนบอดคนหนวกคนใบ ในรปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณท งั้ หลาย อนั เปนทต่ี งั้ แหง ความกาํ หนัด ไมพ ึง ถือเอาซงึ่ นิมติ ไมพึงถือเอาซึ่งอนพุ ยญั ชนะในรปู เปนตน อนั เปน ที่ตง้ั แหง ความกําหนัด นัน้ ฉนั นนั้ . นแี้ ล ตองถือเอาองคที่สแี่ หง ไก. แมพระกัจจายนเถระ ก็ไดภาสติ คาํ นี้ไวว า:- ‘ภกิ ษุมจี กั ษเุ หน็ ก็กระทําเหมือนตาบอด มีโสตไดย นิ กก็ ระทาํ เหมือนหหู นวก มี ชิวหาพดู ได กก็ ระทําเหมอื นคนใบ มกี าํ ลงั ก็กระทาํ เหมอื นคนไมม กี ําลงั ในเมอื่ ความตองการเกิดขึ้นพรอมพงึ นอนเสยี ดุจคนนอนตาย’ ดงั น.้ี
อนงึ่ ไกแ มอ นั บคุ คลจะท้ิงขวา งดว ยกอ นดนิ ทอ นไม ไมค อ น ไมตะบอง เพือ่ ให มันทงิ้ ลมื รงั มนั ก็ยอ มไม ละเวนรงั ของตน ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กระทําจวี รกรรม นวกรรม วตั ร ปฏิวตั รกด็ ี เรยี นบาลอี ัฏฐกถา บอกบาลอี ฏั ฐกถาก็ดี ก็ไมไ ดละทิง้ ความกระทาํ ในใจโดย แยบคาย ฉนั น้นั ; ความกระทาํ ในใจโดยแยบคายนนั้ แล เปน เรือนของพระโยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร. น้ีแล ตอ งถอื เอาองคท หี่ า แหง ไก. แมพ ระผมู ีพระภาคเจาผูเทพาดิเทพ กไ็ ดท รงภาสิตไวว า :- ‘ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย อะไรเลา เปนโคจรของตน เปน ของบดิ า เปน วสิ ยั ของภกิ ษุ , คอื สตปิ ฏฐานส’่ี ฉะน.้ี แมพระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระ ก็ไดภาสิตไวว า :- ‘ไกท รี่ ดู ี ยอ มไมละท้งิ รงั ของตน, เพราะวา ยอ มรแู จง สงิ่ ท่ีเปน ภกั ษาและไมใช ยอมเขา ใจการเลี้ยงชีพของตน ฉนั ใด, พุทธโอรส กพ็ งึ เปนผไู มประมาทในพระ ศาสนา ไมละเลย มนสกิ ารอันประเสรฐิ อดุ มในการไหน ๆ ฉันนนั้ ., ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคหนงึ่ ประการแหง กระแตน้นั เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร กระแตเม่อื ศตั รมู ารบกวน ก็พองหางของตนใหใ หญเ ขา ตอสูกับศตั รู ฉนั ใด; โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องตอ สูกเิ ลสทง้ั ปวงดว ยสติปฏฐาน ฉนั น้นั . นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคท ห่ี นึง่ แหง กระแต. แมพ ระจูฬปน ถกเถระ กไ็ ดภ าสติ ไวว า :- ‘เมอื่ ใด กิเลสทงั้ หลายมารบกวนเพอ่ื กาํ จดั สามญั คุณเสยี พึงฆา กลิ สเหลานน้ั เสยี ดวยสตปิ ฏ ฐานเนือง ๆ’ ดังน.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการ แหง นางเสือเหลอื ง เปน ไฉน?” ถ.”ขอถวายพระพร นางเสือเหลอื งยอมมคี รรภครั้งเดยี ว มิไดมีเนือง ๆ เหมอื น สตั วอืน่ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร เหน็ ปฏิสนธคิ วามเกดิ ขนึ้ ความนอนใน ครรภต อไป และจตุ ิ ความทาํ ลาย ความสนิ้ ไป ความฉบิ หาย ภัยในสงสารวัฏ ทคุ ติ ความเสมอปราศ ความเบียดเบียนแลว กต็ อ งกระทาํ ในใจโดยอบุ ายทชี่ อบวา ‘เราจกั ไม ปฏสิ นธใิ นภพอกี ’ ฉะนี้ ฉนั นน้ั . นี้แล ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการแหง นางเสอื เหลือง. แมพ ระผูม ีพระภาคเจาผเู ทพาดิเทพ ก็ไดต รัสไวในธนยี โคปาลกสูตร ในสุตต นบิ าตวา :-
‘เราจกั ไมเขาถงึ ซงึ่ อนั นอนในครรภอกี ดุจโคหลุดจากเครอื่ งผกู แลว, และชา ง ทําลายเถาวลั ยเคร่ืองพนั ผกู ออกไดแ ลว ไมก ลบั มาสเู คร่อื งผูกนน้ั ไดอีก ฉะนน้ั . เมื่อเปนเชน น้ี เทพดาและมนุษยทงั้ หลายปรารถนาความถึงทสี่ ดุ แหงทกุ ข ฉะน.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการแหงเสือเหลอื ง เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร เสือเหลอื งอาศัยชัฏหญา ชัฏปา หรือชัฏภูเขา ซอ นตัวจับ เนื้อทงั้ หลาย ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียรกต็ อ งเสพที่วเิ วก, คอื ปา รุกขมูล ภเู ขา ซอกภเู ขา ถา้ํ ปา ชา ปา อันวงั เวง ทแี่ จง กองฟาง ทเี่ งยี บ ทีไมก ึกกอง ที่สมควรเปน ทีเ่ รน; จรงิ อยู โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร เม่อื เสพทวี่ เิ วก ยอมถงึ ซง่ึ เปน ความเปน ผู มีอํานาจในอภญิ ญาหก ไมนานนนั่ เทยี ว ฉนั นนั้ . นี้แลตองถือเอาองคท ห่ี นง่ึ แหง เสอื เหลอื ง. ถงึ พระธรรมสงั คาหกเถระทงั้ หลาย ก็ไดภ าสิตไววา :- ‘ธรรมดาเสือเหลือง ยอมซอ นตัวจับเน้อื ท้งั หลาย ฉนั ใด, พทุ ธโอรส ผูมคี วาม เพยี รอนั ประกอบแลว มี ปญญาเหน็ แจง เขา สปู า ถอื เอาซึ่งผลอนั อุดม ฉนั นนั้ ’ ดังน.ี้ อน่ึง เสือเหลอื งฆา สัตวตวั ใดตัวหนงึ่ แลว ไมก นิ สตั วน ้นั ที่ลม ลงขา งซา ย ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร กไ็ มบ ริโภคโภชนะทสี่ าํ เร็จดวยการใหไ มไผ การใหใ บไม การใหด อกไม การใหผลไม การใหน า้ํ อาบ การใหดนิ การใหจ รุ ณ การใหไ มช าํ ระฟน การใหน ้าํ บว นปาก ดว ยอนั กระทาํ การงานเพ่อื ปจจัยสี่ ดว ยความเปน ลกู จาง ดวยกรรม เปน ที่สง ไปดวยแขง ดว ยการเปน หมอ ดว ยการเปน ทตู ดวยการใหและใหต อบ ดวยวัตถุ วิชชา นกั ขัตตวชิ ชา องั ควิชชา และกรรมเครือ่ งอาศยั เปน อยูผ ิดอนั ใดอนั หนงึ่ ที่ พระพทุ ธเจา ทรงติ ดจุ เสือเหลือไมกินสัตวท ่ลี ม ลงขา งซา ย ฉันน้ัน. น้ีแล ตองถือเอาองค ทีส่ องแหง เสือเหลอื ง. ถงึ พระสารบี ุตรเถระผธู รรมเสนาบดี ก็ไดภาสติ ไววา:- ‘ถา วา เราบริโภคมธปุ ายาสทีเ่ กดิ ข้ึนแลว แตอันเปลงวจวี ญิ ญัติออกไซร, ชีวิตุ บายเครอื่ งอาศยั เปนอยูแลว ของเราอนั นกั ปราชญต ิเตียนแลว . ถึงวา สายรดั ไส ของเราจกั ไหลออกมาขา งนอกไซร เราจกั ไมพ ึงทําลายชีวติ บุ ายเครื่องอาศัย เปน อยูเลย สสู ละชีวิต’ ดงั น.้ี ” ร. พระผูเปน ผเู จานาคเสน ตอ งถือเอาองคห าประการแหง เตาเปน ไฉน?”
ถ. ขอถวายพระพร เตา มีปกตเิ ที่ยวอยูในนํ้า อาศยั อยใู นนา้ํ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตอ งเปน ผมู ีจติ เก้ือกลู และไหวตามสัตวท ง้ั หลายทัง้ ปวง เปน ผมู ี จิตประกอบดว ยเมตตาอนั ไพบลู ย ถึงซง่ึ ความเปน จิตใหญ เปน จติ ไมม ปี ระมาณ ไมมี เวร ไมมีความเบียดเบียน แผไมตรีจติ ไปตลอดโลกอันมสี ัตวทง้ั ปวงอยฉู นั นนั้ . นแ้ี ล ตอ ง ถอื เอาองคท ห่ี นึ่งแหง เตา. อนึ่ง เตา ผดุ ขนึ้ จากนาํ้ ชศู ีรษะ ถาเหน็ อะไร ๆ เขา ก็ดําจมด่ิงลงไปทันทีในท่ีนนั้ ดวยคิดเหน็ วา ‘อะไร ๆ ที่เปน ศตั รูเหลา นนั้ ครนั้ เมือ่ กิเลสเขา มาใกล ก็ดาํ จมไปพลนั ใน สระ คือ อารมณ ดวยคิดเหน็ วา ‘กเิ ลสทง้ั หลายอยา ไดเหน็ เราอกี เลย’ ดงั นี้ ฉนั นน้ั . นี้แล ตอ งถอื เอาองคท สี่ องแหง เตา . อน่งึ เตา ขึ้นมาจากนาํ้ ผงิ กายอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอ ง นาํ ออกซงึ่ จติ จาก การนง่ั การยืน การนอน การเดนิ แลว ผงึ่ จิตในสัมมปั ปธาน ฉนั นน้ั . น้ี แล ตอ งถือเอาองคที่สามแหง เตา . อน่งึ เตา ขุดแผนดนิ สาํ เร็จการอยูในทีส่ งัด ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความ เพียร กต็ อ งละลาภสกั การและความสรรเสรญิ เขา ไปอยทู ีว่ า งเปลา ทเ่ี งยี บ ปาอนั วังเวง ภเู ขา ซอกภูเขา ถาํ้ อนั ไมม ีเสียง อนั ไมก กึ กอ ง ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถือเอาองคท ่ีสี่แหง เตา . แมพระอุปเสนเถระวังคนั ตบตุ ร กไ็ ดภ าสติ ไววา :- ‘ภิกษุพงึ สอ งเสพเสนาสนะอนั สงดั ไมม สี ําเนยี งกกึ กอง อนั เปน ทพ่ี าลมฤค อาศยั อยู เพราะเหตุแหงเสนาสนะเชน นน้ั เปน ท่ีหลีกออกเรนอย’ู ดังน.้ี อนงึ่ เตา เมอื่ เทย่ี วไป ถา เหน็ อะไรเขา หรอื ไดยนิ เสยี งอะไรเขา กห็ ดเขาซง่ึ อวัยวะทงั้ หลายมีศรี ษะเปน ที่หา ในกระดองของตน มขี วนขวายนอ ย หยุดนง่ิ ตาม รักษากายอยู ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ครัน้ รูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณทงั้ หลายมาใกลอ ยกู ต็ องปด เสยี ซงึ่ บานประตู คือ ความสาํ รวมในทวารทง้ั หกมีจกั ษเุ ปน ตน หดใจกระทําซง่ึ ความสาํ รวมอยดู ว ยสติสมั ปชัญญะ ตามรกั ษาสมณ ธรรมอยู ฉนั นนั้ . นี้แล ตอ งถอื เอาองคท ห่ี า แหงเตา . แมพระผูมีพระภาคเจาผเู ทพาดเิ ทพ ก็ไดท รงภาสติ ไวใ นกมุ มปู มสูตร ในสัง ยุตติ นกิ ายอันประเสรฐิ วา :- ‘ภิกษุไมอ าศัยแลว ซ่งึ ความตรกึ แหงใจทั้งหลาย ดับรอบแลวไมเบยี ดเบียนคน อนื่ ไมว า กลา วใครดุจเตาหดอวยั วะทง้ั หลายเขาในกระดองของตน ฉะน้นั ’ ดังน.้ี ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการแหงปเปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ปอ นั บุคคลเปาในท่ใี ด ก็ยอมไปตามในทน่ี นั้ ยอ มไมแ ลน ไป ในท่ีอนื่ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี รกต็ องตง้ั อยูในธรรมวนิ ยั ท่คี วรที่ไมม โี ทษ เปน ไปตามซง่ึ นวงั คสัตถุศาสนา อันพระผูม พี ระภาคพทุ ธเจา ทรงภาสติ ไวแ ลว แสวงหา สมณธรรมฉนั นนั้ , นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคประการหนง่ึ แหง ป. แมพระราหุลเถระ ก็ไดภ าสติ ไวว า:- ‘โยคาวจร ตง้ั อยใู นธรรมวนิ ยั ท่ีควรทห่ี าโทษมิได อนโุ ลมตามนวงั คพทุ ธพจนทกุ เมื่อ พยายามเพอื่ คุณอนั ยงิ่ ’ ดังน.้ี ” ร. “พระผูเปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการแหง รางปน เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร รางปน อันนายชา งถากดีแลว ยอมนอมไปตามรางปน ตลอดปลายตลอดตนแนบเนียน ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งนอมไป ตามสมณะผเู ถระ ผใู หม ผูปานกลาง ไมข ัดขวาง ฉนั นน้ั . นแ้ี ลตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการแหง รางปน . แมพระผมู พี ระภาคเจาผูเ ทพาดิเทพ ก็ไดต รัสไวใ นวิธุรปุณณกชาดกวา :- ‘นักปราชญ ยอมอนโุ ลมตามกระแสพระราชโองการ มไิ ดป ระพฤตติ ัดกระแส พระราชโองการ ดุจรางปน อนุโลมตามตัวปน และปอ นโุ ลมตามผูเปา ฉะนน้ั . นักปราชญนนั้ จงึ อยูในราช สาํ นกั ได’ ดังน.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหงกาเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร กาเปนสตั วรงั เกยี จทัว่ และรงั เกยี จรอบแลว ตอ อนั ตราย ประกอบดว ยความกลวั ภัย เทย่ี วอยู ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพียร ก็ตอ งเปนผู รงั เกียจตอ อนั ตราย ประกอบดว ยความกลัวภัย มสี ติตงั้ มนั่ มีอนิ ทรยี ทั้งหลายสํารวม แลว เทย่ี วอยู ฉนั นน้ั . น้ีแล ตอ งถอเื อาองคท แี่ รกแหงกา. อน่งึ กาเหน็ โภชนะอนั ใดอนั หน่งึ ยอ มแบงบรโิ ภคดวยญาตทิ ้งั หลาย ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร มิไดหวงลาภทง้ั หลายท่ีเกิดโดยธรรม ไดมาโดยธรรม โดยที่สุด ของทีม่ ใี นบาตรบริโภคแตผเู ดยี ว เปน ผูบ ริโภคทว่ั ไปดวยเพื่อนพรหมจรรยผ ูม ี ศีลทงั้ หลายฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคท ่ีสองแหง กา. แมพระสารบี ตุ รเถระผูธ รรมเสนาบดี ก็ไดก ลา วไวว า:- ‘ถาวา ทายกทง้ั หลายนอ มใหของที่ไดแลว โดยธรรม แกเ ราผมู ตี บะ เราก็ แบง ปน แกเพอื่ นพรหมจรรยท งั้ หลายแลว ภายหลงั จึงบรโิ ภค’ ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการแหง ลงิ เปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ลงิ เมอื่ อยู ยอ มอยทู โ่ี อกาสอันควร ตองไมใหญ ๆ ท่สี งดั ก่ิงไมคลมุ ในทท่ี ้งั ปวง ท่ปี อ งกนั ความกลวั ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ ง อยูอ าศัยกลั ยาณมติ ร อาจารย ผูมีความละอาย ผมู ีศลี เปน ทร่ี กั มธี รรมงาม เปน พหสุ ุต ทรงธรรมเปน ที่รกั เปนผทู ่ีตงั้ แหง ความเปน ผเู คารพ ผทู นตอถอ ยคาํ ผูโอวาท ผูใหร แู จง ผแู สดง ผูชกั ชวน ผใู หกลา หาญ ผใู หร า เรงิ ฉนั นนั้ . นี้แล ตองถือเอาองคที่ตน แหง ลิง. อนงึ่ ลงิ เทย่ี วอยู ยนื อยู นง่ั อยู บนตนไม, ถาหยั่งลงสคู วามหลับ กอ็ ยตู ลอดคืน บนตนไมน นั้ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ งเปน ผมู หี นา เฉพาะสูร าวปา ยืน เดิน นั่ง นอน หยั่งลงสคู วามหลบั ในราวปานน่ั แล, เจรญิ เนือง ๆ ซงึ่ สติปฏฐานใน ราวปา น้นั ฉนั นั้น. นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคท ีส่ องแหง ลงิ . แมพ ระสารีบตุ รเถระผธู รรมเสนาบดี กไ็ ดก ลา วไวว า :- ‘ภิกษุจงกรมยนื นงั่ นอนในราวปา ยอมงาม เพราะวา ราวปา นกั ปราชญทงั้ หลาย มีพระพทุ ธเจา เปน ตน สรรเสรญิ แลว’ ดังน.ี้ ” หวั ขอประจําโฆรสร วรรคน้นั ลามเี พยี งพลิ กึ หนงึ่ ไกห นง่ึ กระแตหนงึ่ นางเสอื เหลอื งหนง่ึ เสือเหลอื งหนงึ่ เตา หนงึ่ ปห นึ่ง รางปน หนงึ่ กาหน่ึง ลิงหนง่ึ ดงั น.้ี ลาวลุ ตา วรรคที่สอง พระราชาตรัสถามวา “พระผูเปนเจา นาคเสน ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการ แหง เถานา้ํ เตา เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทลู วา “ขอถวายพระพร เถานา้ํ เตา เลือ้ ยเหนย่ี วไปบนหญา หรอื ไม หรือเครือเขาดว ยมือทงั้ หลาย ยอ มเจริญเบือ้ งบนแหง หญา เปนตน นนั้ ฉนั ใด, โดยคาว จรผปู ระกอบความเพียร ใครเพ่อื จะเจรญิ ยงิ่ ในพระอรหตั ก็ตอ งหนว งดวยอารมณแ ลว เจริญยิง่ ในพระอรหตั ฉะนนั้ . น้แี ลตองถอื เอาองคห นึง่ ประการ แหง เถาน้ําเตา. แมพ ระสารีบตุ รเถระผธู รรมเสนาบดี กไ็ ดก ลาวไวว า:- “พทุ ธโอรสใครตอ พระอรหนั ตตผล กพ็ งึ หนว งอารมณดว ยใจแลวเจรญิ ในอเสข ผล, เหมือนอยา งเถานา้ํ เตายึดเหนยี่ วไปบนหญา หรอื ไม หรือเครอื เขาดวยมือ ทั้งหลาย ภายหลังกเ็ จริญขา งบน ฉะนั้น ดังน.ี้ ” ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหง บวั เปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร บวั เกดิ ในนาํ้ เจริญในนํา้ กแ็ ตหาตดิ ดว ยนา้ํ ไม ฉนั ใด, โดย คาวจรผปู ระกอบความเพียร กต็ อ งเปนผมู ไิ ดต ิดอยใู นตระกลู หมู ลาภ ยศ สกั การะ ความนับถอื และปจ จัยเคร่อื งบรโิ ภคท้ังปวง ฉนั นนั้ . น้ีแลตอ งถอื เอาองคท ี่ตนแหง บัว. อน่งึ บวั ยอ มตั้งขนึ้ พน จากนํา้ ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร กต็ อง ครอบงาํ เสียซงึ่ โลกท้ังปวง ขน้ึ ตงั้ อยูใ นโลกุตตรธรรมฉนั นนั้ . น้แี ลตอ งถอื เอาองคท ส่ี อง แหง บวั . อนึ่ง บัวตองลมเล็กนอยยอมไหว ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร ก็ตอ ง กระทําความสาํ รวมในกิเลสทั้งหลาย แมม ปี ระมาณนอย มีอนั เหน็ ภยั เปน ปกตอิ ยู ฉนั นัน้ . น้ีแลตองถอื เอาองคท ีส่ ามแหง บวั . แมพระพทุ ธพจนน ้ี พระผมู พี ระภาคเจาผเู ทพาดิเทพ ก็ไดทรงภาสิตไวว า :- “ภิกษมุ อี นั เหน็ ภัยเปน ปกตใิ นโทษทงั้ หลาย มีประมาณนอ ย สมาทานศึกษาอยู ในสกิ ขาบททง้ั หลาย” ดงั น.้ี สมาทานศกึ ษาอยใู นสกิ ขาบททงั้ หลาย” ดังน.้ี ร. “พระผูเปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการ แหงพืชเปน ไฉน?” ถ. ขอถวายพระพร พชื แมม ปี ระมาณนอ ยอันชาวนาหวานแลว ในนาอนั เจรญิ ครั้นเม่อื ฝนตกสมควร กย็ อมเพมิ่ ใหซงึ่ ผลมากหลายฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร กต็ อ งปฏบิ ัติชอบโดยประการทีศ่ ีลซึ่งตนใหถ งึ เฉพาะแลว เพมิ่ ใหซึง่ สามญั ผล ท้งั นัน้ ฉนั นนั้ , นีแ้ ล ตองถอื เอาองคท ่ีตน แหง พืช. อนง่ึ พืชอนั ชาวนาหวา นแลว ในนาที่แผว ถางดแี ลว ยอมงอกงามพลันนัน่ เทียว ฉนั ใด, จติ อนั โยคาวจรผูประกอบความเพยี รประคบั ประคองดีแลวใหบริสทุ ธิ์ในสญุ ญา คาร หวานลงในนาอันประเสรฐิ กลวคือสติปฏ ฐาน กง็ อกงามพลนั ฉะนน้ั . น้แี ลตอ ง ถอื เอาองคท สี่ องแหงพชื . แมพ ระอนุรทุ ธเถระ กไ็ ดภาสติ ไววา :- “พืชอันชาวนานั้นหวา นแลว ในนาอันบรสิ ทุ ธ์,ิ ผลของพืชนน้ั กเ็ ปน ของไพบลู , อนง่ึ ผลแหง พชื นน้ั ยอมยงั ชาวนาใหย นิ ดฉี นั ใด, จติ ทโี่ ยคาวจรชาํ ระดแี ลว ใน สุญญาคาร ก็ยอมงอกงามในนา กลา วคอื สตปิ ฏ ฐานโดยเร็วทเ่ี ดยี ว ฉันนน้ั ดงั น.ี้ ” ร. “พระผูเปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคห นงึ่ ประการแหง ไมขานางเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ไมข านางเจริญยง่ิ อยูภายในแผน ดินรอ ยศอกบา ง ยงิ่ กวา บา ง ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี รกต็ อ งยงั สามญั ผลสี่ ปฏสิ มั ภทิ าส่ี อภญิ ญา
หก และสมณธรรมท้ังสน้ิ ใหเต็มรอบในสญุ ญาคาร ฉันนน้ั . น้แี ลตอ งถอื เอาองคหนึง่ ประการ แหง ไมข านาง. แมพ ระราคหลุ เถระ กไ็ ดกลา วไวว า :- “ธรรมดาไมข านางงอกอยูในแผนดิน เจริญอยูในแผน ดนิ รอยศอก. คร้ันถงึ กาล แกแ ลว ไมขานางนน้ั ก็เจรญิ สขุ ขน้ึ วันเดยี วรอ ยศอก ฉันใด, ขา แตพระองคผู กลาใหญ ขา พระองคกเ็ จรญิ ยงิ่ แลว โดยธรรมในสุญญาคารอนั เปน ภายใน ดุจ ไมข านาง ฉนั น้ัน ดังน.้ี ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส ามประการแหง เรอื เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร เรือยอ มยังชนใหข า มไปสูที่ประสงคดว ยไมแ ละเคร่ืองไม เครื่องเหล็กอนั เปนโครงเปน เครือ่ งยดึ ติดกัน เปนอนั มาก ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพียร กต็ อ งยังโลกทงั้ เทวโลกใหขามไปสูที่ประสงค คอื อมตมหานิพพาน ดวยสง่ิ ทีเ่ ปน โครงเครื่องยดึ เหนยี่ ว กลาวคอื อาจารศีลคุณวัตรปฏิวตั ร และธรรมมอี ยา งตา ง ๆ ฉันนน้ั . นีแ้ ลตองถือเอาองคท แี่ รกแหง เรือ. อน่ึง เรือยอ มทนทานตอ กาํ ลงั คล่นื ท่กี ระทบกระแทกซดั และกาํ ลงั แหง วนปว น มีอยา งมาก ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียรก็ตอ งทนทานตอ กําลงั คลน่ื คือ กิเลสเปน อนั มาก และลาภสกั การ ยศ ชอ่ื เสียง การบูชากราบไหว และคลนื่ คือ ความ นินทา ความสรรเสริญ สุขทกุ ข ความยกยอ ง ความดหู มนิ่ และโทษมีอยูเปน อนั มากใน ตระกลู อน่ื ทงั้ หลาย ฉนั นน้ั . นีแ้ ลตองถอื เอาองคท่สี อง แหง เรอื . อน่ึง เรอื ยอมแลนไปในมหาสมุทรอนั ลกึ กาํ หนดไมได ไมม ที ่ีสุดไมเ หน็ ฝง มีโทษ มากเกลื่อนกลน ไปดว ยหมู ตมิ ิติมงิ คล ภตู มังกรและปลา ฉนั ใด. โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพียร ก็ตองยงั จติ ใหแ ลน ไปในความตรสั รจู ตรุ าริยสัจจาภิสมัยซึง่ มปี ริวฏั ฏส าม อาการสิบสองฉันนนั้ . นแ้ี ลตอ งถือเอาองคท ี่สาม แหง เรอื . แมพ ระผูม พี ระภาคเจา ผเู ทพาดเิ ทพ กไ็ ดท รงภาสติ ไวในสัจจสังยุตต ในสงั ยุตต นิกายอันประเสรฐิ วา :- “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอ่ื ทานทงั้ หลายจะคิดพงึ คิดวา ‘น้เี ปนทุกขน ี้เปนทุกขสมทุ ยั น้ี เปน ทกุ ขนิโรธ นเี้ ปนทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการ แหงสมอเรอื เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ธรรมดาสมอยอ มยงั เรอื ใหตง้ั อยูในมหาสมทุ รอนั มพี น้ื นํา้ อากลู ปน ปวนดว ยหมูคลน่ื เปน อันมาก ยอ มไมใหเรอื แลน ไปสทู ศิ ตา ง ๆ ได ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตองยงั จิตใหติดอยใู นอนั ประหารพรอมซ่งึ วติ กใหญ ในหมูคลนื่ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฉนั นั้น. นีแ้ ลตองถือเอาองคท่ีแรกแหง สมอเรอื .
อนงึ่ สมอเรอื ยอ มไมเ ลอ่ื นลอย มแี ตจะจม ยอมยงั เรอื ใหต ดิ อยู ใหเ ขา ถึงความ ตงั้ อยใู นน้ํา แมมีรอ ยศอกเปน ประมาณ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี รก็ตอ งไม เลื่อนลอยไปในลาภ ยศ สกั การ ความนับถือ การกราบไหว การบชู า การยาํ เกรง และ ลาภอันเลศิ ยศอนั เลิศ ยังจติ ใหตง้ั อยใู นปจ จยั สักวา ยงั สรรี ะใหเปนไปเทานนั้ ฉนั น้นั . นี้ แลตอ งถือเอาองคท่ีสองแหง สมอเรอื . แมพ ระสารบี ตุ รเถระผูธรรมเสนาบดกี ็ไดภ าสติ ไววา :- “สมอเรือ ยอ มไมเลอื่ นลอย มแี ตจ ะจมลงในทะเล ฉันใด, ทา นทง้ั หลาย กอ็ ยา เลื่อนลอยไปในลาภสกั การ จงจมอยูแตใ นปจ จยั อันยังอตั ภาพใหเ ปน ไปเทา นนั้ ฉนั นนั้ ดงั น.ี้ ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการ แหงเสากระโดงเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร เสากระโดงยอมทรงไวซ่งึ เชอื กสายระยาง รอกใบ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องเปน ผูมาตามพรอ มแลว ดว ยสตสิ ัมปชัญญะ คอื รู ท่ัวพรอมในอนั กา วไปกาวกลบั แลไปขางหนา แลไปขา ง ๆ คเู ขา เหยียดออก ทรงผา สังฆาฏบิ าตรจวี ร กนิ ดืม่ ลมิ้ อุจจาระปส สาวกรรม เดนิ ยนื นงั่ หลบั ต่ืน พูด นง่ิ อยู ฉนั นน้ั . นแี้ ลตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการแหง เสากระโดง. แมพ ระผมู พี ระภาคเจา ผูเ ทพาดิเทพ กไ็ ดต รสั ไววา:- “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษุพงึ เปน ผรู ะลกึ ท่ัวพรอ มอยูด ว ยอริยาิ บถทงั้ ปวง, วาจานเี้ รา พรํา่ สอนทา นทั้งหลาย ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตอ งถือเอาองคส ามประการ แหง ตน หนเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ตนหนเปนผไู มป ระมาทแลว เนืองนติ ยต ลอดคนื และวนั ให เรือแลนไปอยู ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งเปนผไู มป ระมาทเนืองนติ ย ตลอดคืนและวนั กาํ หนดจติ โดยโยนโิ สมนสิการ ฉะนน้ั . น้ีแลตอ งถือเอาองคท ีแ่ รกแหง ตนหน. แมพ ระผูมพี ระภาคเจา ผเู ทพาดิเทพ กไ็ ดต รัสไวในธรรมบทวา :- “ทานทงั้ หลาย จงเปน ผยู ินดใี นความไมป ระมาท, จงรกั ษาจติ ไวเนอื ง ๆ, จงยก ตนข้นึ จากสงสารอันเปน หนทางเดินยากดจุ ชา งจมอยใู นเปอ กตมยกตนข้ึนจาก เปอ กตม ฉะนนั้ ดังน.ี้ ” อนงึ่ ตนหนยอ มรูแจงซึ่งการดกี ารชว่ั ทง้ั ปวง มที างสวัสดแี ละทางมีโสโครกเปน ตน ในมหาสมทุ ร ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี รกต็ องรแู จง กุศลอกุศล กรรมมี
โทษและไมมโี ทษ ต่ําชา ประณีต มีสว นเปรยี บดวยของดาํ และของขาว ฉะน้นั . นแี้ ลตอง ถือเอาองคท ่สี องแหง ตน หน. อนึง่ ตน หนยอ มลั่นกญุ แจที่เข็มทิศ ดวยคิดวา ‘ใคร ๆ อยา ไดแตะตองเขม็ ทิศ’ ฉะน้ี ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี รก็ตองลัน่ กญุ แจ คอื ความสาํ รวมจติ ดว ยคิด วา ‘ทานอยา ไดต รกึ อกศุ ลวิตกอันลามากอะไร ๆ‘ ฉะน้ี ฉนั นน้ั . น้แี ลตองถือเอาองคที่ สามแหง ตน หน. แมพระผูม พี ระภาคเจาผูเทพาดิเทพ กไ็ ดต รสั ไวใ นสังยตุ ตนกิ ายอนั ประเสรฐิ วา :- “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทานทงั้ หลายอยา ตรึกถงึ อกุศลวติ กทง้ั หลาย อนั ลามก คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหงิ สาวติ ก ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการ แหง คนกระทาํ การงาน เปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร คนกระทาํ การงานยอมคิดอยา งน้ีวา ‘เราเปน ลูกจา ง กระทําการงานดวยเรือนี้ เราจะไดคา จา งและเบ้ียเลย้ี งดวยการนําเรอื นไี้ ป เราไมค วรจะ กระทําความประมาท เราตอ งนาํ เรอื นีไ้ ปดว ยความไมป ระมาท’ฉะน้ี ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ก็ตองคิดอยา งน้ีวา ‘เราเม่ือพิจารณากายอนั ประกอบดว ยมหาภตู ท้งั สน่ี ้ี จักเปน ผไู มป ระมาทเนอื ง ๆ มีสตเิ ขา ไปตง้ั อยูแลว ระลึกรูทว่ั พรอ มมจี ติ ต้ังมนั่ มี จิตมีอารมณอนั เดยี ว ก็จกั พน จากชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุ ปายาสทง้ั หลาย เพราะฉะนนั้ เราควรจะกระทาํ ความไมประมาท’ ฉะน้ี ฉนั นนั้ . นี้แล ตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการแหง คนกระทาํ การงาน. แมพ ระสารีบตุ รเถระผธู รรมเสนาบีด กภ็ าสติ ไวว า :- “ทานทงั้ หลายจงพิจารณากายนี้ จงกาํ หนดรูบอย ๆ; เพราะวา ทา นทงั้ หลาย เหน็ ความเปนเองในกายแลว จกั กระทาํ ทส่ี ุดแหง ทกุ ข ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห าประการ แหง มหาสมทุ รเปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร มหาสมทุ รไมปะปนดวยทรากศพอนั ตายฉนั ใด, โยคาวจร ผูป ระกอบความเพยี ร ก็ตองไมปะปนดวยเครื่องเศรา หมองทง้ั หลาย คอื ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความลบหลูคณุ ทา น ความยกตนขม ทาน ความรษิ ยา ความตระหนี่ มายา ความโออวด ความโกง ความไมส มํ่าเสมอ ความประพฤติชว่ั ดวยไตรทวารฉนั น้ัน. นแ้ี ล ตองถือเอาองคท ่ีหนงึ่ แหง มหาสมทุ ร. อนึ่ง มหาสมทุ รทรงไวซ งึ่ ขมุ แกว มอี ยา งตา ง ๆ คอื แกวมกุ ดา แกว มณี แกว ไพฑูรย ศลิ ามสี ดี จุ สังข แกว ประพาฬ แกว ผลึก ยอ มปกปดไว มิไดเรย่ี รายในภายนอก
ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี รไดร ัตนะ คือ คณุ มอี ยางตา ง ๆ คือ มรรค ผล ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ วิปส สนา อภญิ ญา กต็ องปกปด ไว มไิ ดน ําออกภายนอก ฉนั นน้ั . นีแ้ ล ตอ งถือเอาองคท่สี องแหง มหาสมทุ ร. อนึง่ มหาสมทุ รยอ มอยูร วมดวยภูตใหญ ๆ ทัง้ หลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตอ งอยูอาศัยพรหมจารบี คุ คล ผกู ัลยาณมิตร ผูม ีความปรารถนา นอ ย ผูสนั โดษ ผูก ลาวคุณอันขจัดกเิ ลส ผปู ระพฤติขดู เกลากิเลส ผสู มบรู ณด ว ย มรรยาท ผูมคี วามละอายตอ บาป ผูมีศลี เปน ทีร่ กั ผูควรเคารพ ผคู วรสรรเสรญิ ฉันน้นั . นี้แล ตอ งถอื เอาองคท ่สี ามแหงมหาสมทุ ร. อนึ่ง มหาสมทุ รแมเตม็ รอบแลวดว ยแสนแหง แมน ้ําท้ังหลาย มคี งคา ยมุนา อจริ วดี สรภู มหี เนตนอนั เตม็ แลว ดว ยน้ําใหม และไมเ ตม็ ดว ยธารน้ําทง้ั หลายในอากาศ ไมเปน ไปลวงแดนของตน ฉนั ใดโยคาวจรผปู ระกอบความเพยี รก็ตอ งไมแ กลงกา วลวง สกิ ขาบท เพราะเหตแุ หง ลาภสักการะ ความสรรเสริญ การกราบไหว การนับถือ การ บูชาแมเ พราะเหตแุ หง ชีวิต ฉันนนั้ . นแี้ ล ตอ งถือเอาองคท ่สี แ่ี หง มหาสมุทร. แมพ ระผูมพี ระภาคเจา ผเู ทพาดิเทพ ก็ไดต รสั ไววา:- “มหาสมุทรมธี รรมดาตงั้ อยแู ลว ยอมไมเ ปน ไปลวงแดนฉนั ใด, สกิ ขาบทใด อัน เราบญั ญัติแลวแกส าวกทง้ั หลาย สาวกทง้ั หลายของเราก็มิไดกวา งวสลิก ขาบท น้ัน แมเพราะเหตแุ หง ชวี ิต ฉนั นนั้ ดงั น.ี้ ” อน่งึ มหาสมอทุ มรวไมเตม็ รอบดนวยา้ํ แคมงค า ยมนุ า อจริ วดี สูรภมหี ท้งั หลายซึง่ มนี ้ําไหลมาแต ท ีท่ ง้ั ปวง และไมเ ตม็ ดวยธารน้ําในอากาศ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร แมฟงูซอึง่ วอทุ เทส ปรปิ ุจฉา การฟง การทรงจาํ วนิ ิจฉยั ธิ รรม วินยั สุตนั ตะวเิ คราะห ยอ บท ตอบท วภิ าคบท ชนิ ศาสนอ นั ประเสริฐมอี งคเ กา กม็ ไิ ดอิ่ม ฉันนนั้ . น้ีแล ตอื งเอถาองคท ่หี า แงหมหาสมทุ ร. แมพระผูมพี ระภาคเจา ผเู ทพาดิเทพ ก็ไดท รงภาสติ ไวใ นมหาสุตโสมชาดกวา :- “บัณิตทฑง้ั หลายเหลา น้ี ฟง คาํ ทเ่ี ปน สภุ าสิตกม็ ิไดอม่ิ คําที่เปน สุภาสติ เปร
เถานํา้ เตา หนง่ึ บวั หนงึ่ พืชหนึง่ ไมข านางหนง่ึ เรอื หนง่ึ สมอเรอื หนงึ่ เสากระโดงหน่งึ ตน หนหนง่ึ คนทําการงานหนง่ึ มหาสมทุ รหน่ึง เพราะฉะนน้ั ทานจงึ กลาววา วรรค. จกั กวัตติ วรรคท่ีสาม พระราชาตรสั ถามวา “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตองถอื เอาองคห า ประการ แหง แผน ดนิ เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทลู วา “ขอถวายพระพร ในเมอื่ บุคคลเร่ยี รายของทพ่ี งึ ใจและของไม พงึ ใจ มกี ารบรู กฤษณา แกน จนั ทน หญาฝรนั่ เปน ตน ก็ดี มดี ี เสมหะ บุพโพ โลหติ เหงอ่ื มนั ขนั เขฬะ นาํ้ มกู นาํ้ ไขขอ น้ํามตู ร อุจจาระ เปน ตน ก็ดี ลงทแ่ี ผนดนิ ๆ ก็เปน ของเฉยอยเู ชน นน้ั ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี รก็ตอ งเปน ผมู จี ติ เพกิ เฉย เชน นนั้ ในลาภและมิใชลาภ ยศและมใิ ชยศ ความนนิ ทาและความสรรเสริญ สขุ และ ทกุ ข อนั เปน ของพงึ ใจและมใิ ชข องพงึ ใจทง้ั ปวง ฉนั นนั่ . นี้แล ตอ งถือเอาองคท หี่ นงึ่ แหง แผนดนิ . อนึง่ แผน ดนิ ปราศจากเคร่อื งตกแตง กอ็ บอวนดว ยกล่นิ ของตนเอง ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี รปราศจากเครอ่ื งตกแตงกต็ องเปนผอู บอวนแลว ดว ยกลน่ิ คือ ศลี ของตนเอง ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถือเอาองคท่ีสองแหง แผน ดนิ . อน่ึง แผน ดินเปน ของไมม รี ะหวา ง ไมม ชี อ ง ไมม โี พรง เปน ของหนาทึบ กวางขวาง ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี รกต็ อ งเปนผมู ีศลี อันไมเ ปนระหวา ง ไม เปนทอน ไมทะลุ ไมเ ปน โพรง เปน ของหนาทบึ กวางขวาง ฉนั นั้น. นแ้ี ล ตองถือเอาองค ท่ีสาม แหง แผน ดนิ . อน่งึ แผนดนิ แมท รงไวซง่ึ บา น นคิ ม เมอื ง ชนบท และหมแู หงตน ไม ภเู ขา แมน ้าํ สระบวั เน้ือ หก มนุษยช ายหญงิ กเ็ ปนของไมย อทอ ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพยี รกลา วสอนก็ดี พราํ่ สอนกด็ ี ใหร ูแจง กด็ ี ใหเ หน็ พรอ มกด็ ี ใหถ ือเอาพรอมกด็ ี ใหก ลา หาญก็ดี ใหร าเริงกด็ ี กต็ องไมเปน ผูยอ ทอ ฉนั นนั้ . น้แี ลตอ งถือเอาองคท ่นี ่ีแหงแผน ดนิ . อนึง่ แผนดนิ เปนของพนพิเศษแลว จากความยนิ ดี และความยินราย ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งเปน ผพู น พิเศษแลว จากความยนิ ดี และความยิน ราย มจี ิตเสมอดวยแผน ดนิ อยทู กุ อริ ิยาบถ ฉันน้ัน. นี้แลตองถอื เอาองคทหี่ าแหง แผน ดิน.
แมนางจฬุ สุภทั ทาอบุ าสกิ าผยู กยองสมณะทงั้ หลายของตน ก็ไดก ลา วไววา :- “ขา พเจา มใี จโกรธแลว พงึ ทาสมณะองคห นง่ึ ดว ยของหอม. ความยนิ รา ยยอ ม ไมมใี นสมณะองคโ นน , ความยนิ ดยี อมไมม ใี นสมณะองคน นั้ , สมณะทั้งหลาย นน้ั เปน ผมู ีจติ เสมอดวยแผน ดิน, สมณะทั้งหลายของขา พเจา เปน ผมู ใี จเฉยอยู เชนนน้ั ดังน.ี้ ” ร. “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห าประการ แหงนํ้าเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นา้ํ เปน ของบรสิ ทุ ธ์ิโดยความเปน เอง ดว ยความเปน ของ ต้งั อยูพรอ มดี และไมหวั่นไหว ไมข ุน มวั ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร กต็ อ ง เปน ผูมอี าจาระบริสุทธโิ์ ดยความเปน เอง ดวยความเปน ผูมีจิตตง้ั อยพู รอมดี และไม หวนั่ ไหว ไมข นุ มวั เพราะนาํ เสียซง่ึ ความเปนคนมชี ือ่ เสยี งช่วั เหตพุ ดู โกง และเปน คนข้ี ฉอ ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตองถอื เอาองคทหี่ นงึ่ แหง นาํ้ . อนง่ึ นาํ้ ต้ังอยพู รอมโดยความเปน ของมีอนั เยน็ เปน สภาพ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร กต็ องเปน ผูถงึ พรอ มแลว ดวยความอดทนและเมตตาและความ เอน็ ดู มีปกติแสวงหาประโยชนเก้อื กูลในสตั วท งั้ ปวง ฉนั น้ัน. นแี้ ล ตอ งถือเอาองคท ีส่ อง แมนาํ้ . อนึง่ นาํ้ ยอมทําของท่ีไมส ะอาดใหส ะอาด ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความ เพียร ก็ตองเปน ผูไมมีอธกิ รณ มักทาํ สง่ิ ทม่ี ใิ ชโอกาสท่ีตงั้ แหงอธิกรณ ในทแ่ี ละบคุ คลทง้ั ปวง คอื ในบา นหรอื ปา ในอปุ ช ฌายอ าจารย หรือชนท้ังหลายผปู นู อาจารย ฉนั น้นั . น้ีแล ตองถอื เอาองคที่สามแหง นา้ํ . อน่ึง นาํ้ เปน ของอนั ชนมากปรารถนา ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร เปน ผูมคี วามปรารถนานอ ย ยินดตี ามมี มจี ิตสงัด มีจติ วงั เวง ก็ตองเปน ผูอนั โลกทง้ั ปวง ปรารถนาเฉพาะเนอื ง ๆ ฉนั น้นั . นี้แลตอ งถือเอาองคท ีส่ แ่ี หงนา้ํ . อน่งึ น้ํายอ มไมเ ขาไปตง้ั ไวซ ่งึ สงิ่ มใิ ชประโยชนเก้ือกลู แกใคร ๆ ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งไมกระทาํ ซง่ึ บาปดว ยกาย วาจา ใจ อันยงั ความ บาดหมาง ทะเลาะ แกงแยง ววิ าท เพง ความเสยี ความรษิ ยาใหเ กิด ฉนั นน้ั . นแ้ี ล ตอ ง ถือเอาองคท ี่หา แหงน้าํ . แมพ ระผูม ีพระภาคเจาผเู ทพาดเิ ทพ ก็ไดทรงภาสิตไวใ นกัณหชาดกวา :- “ขา แตท า วสกั กะ ผเู ปน อิสระแหงภูตทงั้ ปวง ถา พระองคจ ะประทานสิง่ ที่ให เลือกแกขาพระองค, ใจหรอื สรรี ะของขาพระองคกระทําแลว ไมพงึ เขา เบียดเบยี นใคร ๆ ในกาลไร ๆ ขา พระองคข อเลือกสิ่งทใ่ี หเลือกน้ี ดงั น.้ี ” ร. “พระนาคเสนผเู จริญ, ตอ งถือเอาองคห าประการ แหงไหเปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร ไฟยอ มเผา หญา ไม กงิ่ ไมแ ละใบไม ฉันใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ องเผากเิ ลสท้งั หลายซึง่ ไปตามอารมณท พ่ี ึงใจและไมพึงใจ มีใน ภายในและภายนอกทงั้ หวง ดวยไฟ คอื ญาณปรชี า ฉนั นั้น. น้แี ล ตอ งถือเอาองคท หี่ น่ึง แหงไฟ. อนง่ึ ไฟเปนของไมมคี วามเอน็ ดูไมมีความกรณุ า ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพียร กต็ อ งไมท ําความเอ็นดูความกรุณาในกิเลสทง้ั ปวง ฉนั น้ัน. นี้แล ตอ งถอื เอา องคท ส่ี องแหง ไฟ. อนงึ่ ไฟยอ มบาํ บัดเสยี ซงึ่ ความหนาว ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ ตองยังไฟอนั รอ นพรอมกลา ว คอื ความเพยี รใหเกิดเฉพาะแลว บําบดั เสียซง่ึ กเิ ลส ทง้ั หลาย ฉนั นน้ั . น้ีแล ตองถอื เอาองคท ี่สามแหงไฟ. อนง่ึ ไฟพนั พเิ ศษแลวจากความยินดีและความยนิ รา ย ยอมยงั ความรอ นใหเกดิ เฉพาะ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอ งเปน ผพู น พเิ ศษแลว จากความยนิ ดี และความยนิ รา ย มีจติ เสมอดวยไฟอยทู ุกอริ ยิ าบถ ฉนั นน้ั . นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคทสี่ แี่ หง ไฟ. อน่ึง ไฟยอ มกาํ จดั เสยี ซง่ึ ความมืด สอ งแสงสวา ง ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบ ความเพียร กต็ องกาํ จัดเสยี ซึง่ ความมดื คอื อวิชชา สองแสงสวา ง คือ ญาณ ฉันนนั้ . น้ี แล ตองถอื เอาองคท หี่ าแหง ไฟ. แมพระผูมพี ระภาคเจาผูเทพาดิเทพ ทรงสงั่ สอนพระราหลุ พระโอรสของ พระองค กไ็ ดตรสั ไวว า:- “ราหลุ ทา นจงเจรญิ ภาวนาเสมอดวยไฟ, เพราะวา เม่อื ทานเจรญิ ภาวนาเสมอ ดว ยไฟอยู อกศุ ลธรรมท้งั หลายท่ยี งั ไมเ กดิ ก็จะไมเกดิ ข้นึ ได อกศุ ลธรรมท้ังหลายที่ เกิดขน้ึ แลว กจ็ ะไมค รอบงําจติ ตง้ั อยู ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเ ปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคห าประการ แหง ลมเปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ลมยอ มหอมเอากลนิ่ ดอกไมอ ันบานในภายในปา ฉนั ใด โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตองไปในราวปา คอื อารมณ ซงึ่ มดี อกไม คือ วมิ ตุ ติ อันประเสรฐิ บานแลว ฉนั นนั้ . นแ้ี ลตองถอื เอาองคท ่แี รกแหง ลม. อนงึ่ ลมยอมยาํ่ ยีเสยี ซงึ่ หมตู น ไมอนั ข้ึน ณ แผนดนิ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบ ความเพยี ร กต็ องไปภายในปา พิจารณาสงั ขารทง้ั หลายยาํ่ ยเี สยี ซง่ึ กเิ ลสทงั้ หลาย ฉัน นน้ั . นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคท ่สี องแหง ลม. อนึ่ง ลมยอมพัดไปในอากาศ ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพียร ก็ตองยงั จติ ใหส ญั จรไปในโลกตุ ตรธรรมทัง้ หลาย ฉนั นน้ั . น้ีแล ตองถอื เอาองคทสี่ ามแหง ลม.
อนึ่ง ลมยอมเสวยซง่ึ กล่นิ แหง คนั ธชาติ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตอ งเสวยกลนิ่ เปนทย่ี นิ ดีดว ยดี กลา วคอื ศลี ของตนฉันนน้ั . น้ีแลตอ งถือเอาองคท ่สี ี่ แหง ลม. อน่งึ ลมของเปน ไมม อี าลยั ไมม ที ่อี ยู ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ ตองเปนผไู มม อี าลยั ไมม ที ่ีอยู ไมม คี วามชมเชยเปน ผูพน พเิ ศษแลวในทท่ี ัง้ ปวง ฉนั นน้ั . น้ีแลตองถอื เอาองคท ห่ี าแหงลม. แมพ ุทธภาสิตน้ี พระผูมีพระภาคเจาก็ไดต รัสไวใ นสตุ ตนบิ าตวา:- “ภยั เกิดแลวแตความชมเชย ธุลยี อมเกิดแตท ่อี ยู, ความไมม ีทีอ่ ยู ความไมม ี ความชมเชยนนั้ เปน เครื่องสอ ใหรคู วามเปน นกั ปราชญ ดังน.้ี ” ร. “พระผูเปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคห าประการ แหงภูเขาเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ภูเขาเปนของไผหวน่ั ไหวไมส ะเทอื น ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตองไมย นิ ดี ไมข ัดเคือง ไมห ลงในความยกยอง ความดูหมิน่ ความกระทาํ ดี ความไมก ระทําดี ความเคารพ ความไมเ คารพ ยศ เส่ือมยศ นนิ ทา สรรเสรญิ สุข ทุกข หรืออารมณท ่พี งึ ใจและไมพึงใจท้งั ปวง ไมก ําหนดั ในรูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ อนั เปน ท่ีต้ังแหงความกาํ หนัด ไมประทุษรายในรูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ อนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ความประทษุ ราย ไมหลงในรปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณอ นั เปนทตี่ งั้ แหง ความหลง ไมห วน่ั ไหว ไมส ะเทือนใน เหตทุ ง้ั หลายมยี กยอ งเปน ตน น้ัน ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตองถือเอาองคท ห่ี นงึ่ แหง ภเู ขา. แมพระพทุ ธภาสติ นี้ พระผูมพี ระภาคเจา ก็ไดต รสั ไววา :- “ภเู ขาแลวดวยศลิ าทบึ เปน แทง เดียว ยอ มไมห วนั่ ไหวดว ยลมฉนั ใด, บัณฑิต ท้ังหลายก็ยอ มไมห วน่ั ไหวในเพราะนนิ ทาและสรรเสริญทง้ั หลาย ฉนั นน้ั ดงั น.ี้ ” อน่งึ ภเู ขาเปน ของแข็งแรง ไมระคนแลว ดว ยอะไร ๆ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ องเปนผแู ข็งแรงไมระคนแลวดวยอะไร ๆ ฉนั นั้น. น้แี ล ตอง ถอื เอาองคท ่ีสองแหงภเู ขา. แมพ ุทธภาสติ นี้ พระผมู พี ระภาคเจา กไ็ ดตรสั ไวว า :- “เรากลา วบคุ คลผูไ มคลุกคลีแลวดวยคฤหสั ถ และบรรพชิตทงั้ สอง ผไู มม ีอาลัย เทีย่ วไป ผูมคี วามปรารถนานอ ย นน้ั วา เปน พราหมณ ดงั น.้ี ” อน่งึ พชื ยอ มไมงอกขน้ึ บนภเู ขา ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอง ไมย ังกิเลสทงั้ หลายใหงอกงามขึ้นในใจตน ฉันนน้ั . นแ้ี ล ตอ งถอื เอาองคท ่ีสามแหง ภเู ขา. แมคํานี้ พระสภุ ูติเถระ ก็ไดก ลา วไวว า :-
“เม่อื ใดจติ ประกอบดวยราคะเกิดขน้ึ แกเรา, เมือ่ น้ันเราผเู ดียวพจิ ารณาเห็นแลว ก็ทรมานจติ นน้ั เสียเองวา ทา นกาํ หนัดในอารมณเ ปน ท่ีตงั้ แหง ความกําหนัด ท้งั หลาย ทา นประทุษรา นในอารมณเปนที่ตงั้ แหง ความประทุษรา ยทง้ั หลาย ทานหลงในอารมณเปนทีต่ ง้ั แหงความหลงทง้ั หลาย ทา นจงออกไปจากปา . เพราะวาอรญั ประเทศน้ี เปนท่อี ยแู หง บคุ คลท้ังหลายผหู มดจดวเิ ศษ ผูไ มม ี มลทนิ ผมู ตี ปะ; ทานอยา ประทษุ รายบุคคลผหู มดจดพเิ ศษเลย ทา นจงออกไป จากปา ดงั น.ี้ ” อนง่ึ ภูเขาเปน ของสงู ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี รกต็ อ งเปน ผสู งู ดวย สามารถแหง ฌาณ ฉนั นั้น. น้แี ล ตอ งถอื เอาองคท ีส่ แ่ี หงภูเขา. แมพทุ ธพจนน ้ี พระผูม พี ระภาคเจา ก็ไดท รงภาติไวว า :- “เมอื่ ใดบณั ฑติ บรรเทาเสยี ซงึ่ ความประมาท ดวยความไมป ระมาท, เมือ่ นนั้ บัณฑติ นนั้ ขน้ึ สู ปราสาท คือ ปญญา เปนผไู มม ีโศก พจิ ารณาซ่งึ หมูสตั วผ ูม ีโศก, ผมู ีปญญา พจิ ารณาซงึ่ คนพาลทง้ั หลายราวกะบุคคลผูยืนอยบู นภเู ขา แลดซู ่ึงชนทง้ั หลาย ผยู ืนอยูบ นพน้ื ฉะนนั้ ดงั น.้ี ” อน่งึ ภเู ขาเปน ของไมสงู ขนึ้ ไมจมลง ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ ตองไมกระทาํ ซ่งึ อนั ฟูขน้ึ และเสอื่ มลง ฉนั นั้น. นี้แลตอ งถือเอาองคท ห่ี า แหงภูเขา. แมน างจูฬสุภทั ทาอบุ าสกิ า ผยู กยองสมณะท้ังหลายของตน กไ็ ดภ าสติ ไวว า :- “สัตวโ ลกสูงขน้ึ ดวยลาภ, และทรุดลงดว ยเส่อื มลาภ; สมณะทงั้ หลายของเรา เปนผมู ีจติ ดํารงอยูเปน ดวงเดยี ว ในลาภและเล่อื มลาภ, เปน ผูมจี ิตคงท่ี ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเ ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคห าประการแหง อากาศเปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร อากาศอนั อะไร ๆ ไมพ ึงถือเอาโดยประการทงั้ ปวง ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ องเปน ผูอนั กเิ ลสทงั้ หลายไมพ งึ ถอื เอาโดยประการ ท้งั ปวง ฉนั นนั้ . น้แี ล ตอ งถือเอาองคท่แี รกแหงอากาศ. อนึง่ อากาศเปนประเทศอนั หมฤู ษดี าบสภตู และนกสัญจรไป ฉนั ใด,โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร กต็ อ งยังใจใหส ัญจรไปในสงั ขารทง้ั หลาย โดยมนสกิ ารวา ‘อนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา’ ฉะนี้ ฉนั นนั้ น้ีแลตองถอื เอาองคท่สี องแหง อากาศ. อนงึ่ อากาศเปน ทตี่ ง้ั แหง ความสะดงุ พรอ ม ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพียร ก็ตองยงั ใจใหส ะดงุ ในปฏสิ นธิในภพท้งั ปวง หาควรกระทาํ ความยนิ ดไี ม ฉันนนั้ . นี้ แล ตอ งถอื เอาองคที่สามแหง อากาศ.
อนงึ่ อากาศไมม ีทีส่ ดุ ไมมปี ระมาณอนั บคุ คลไมพ ึงนับ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ อ งเปนผูมศี ลี ไมมที ีส่ ุด มญี าณไมม ปี ระมาณ ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอง ถือเอาองคท ส่ี แี่ หง อากาศ. อนงึ่ อากาศเปน ประเทศไมต ดิ ไมขอ งไมต้งั อยู ไมก ังวล ฉันใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร กต็ อ งเปนผไู มติด ไมข อง ไมต ้ังอยู ไมว ังวล ในตระกูล ในคณะ ใน ลาภ ในท่ีอยู ในเครือ่ งกงั วล ในปจ จัยและกเิ ลสทงั้ ปวง ในทท่ี ง้ั ปวง ฉนั นน้ั . นแ้ี ล ตอ ง ถอื เอาองคท ่หี า แหงอากาศ. แมพระผูม ีพระภาคเจา ผูเทพาดิเทพ เม่อื ตรสั สอนพระราหลุ ผพู ระโอรสของ พระองค ก็ไดต รสั ไววา :- “ดูกอ นราหลุ อากาศไมไดต ง้ั อยูเ ฉพาะในที่ไร ๆ ฉนั ใด, ทานจงเจรญิ ภาวนา เสมอดว ยอากาศ ฉันนน้ั ;เพราะวาเมอื่ ทา นเจรญิ ภาวนาเสมอดว ยอากาศ ผสั สะทงั้ หลาย ท่ียงั ใจใหเ อบิ อาบและไมยงั ใจใหเ อบิ อาบซ่ึงเกดิ ขึ้นแลว ยอม ไมค รอบงาํ จิตตั้งอยู ดังน.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห าประการแหง พระจนั ทรเ ปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร พระจนั ทรอ ทุ ยั ในสุกกปก ษ ยอมเจรญิ ดว ยแสงสวา งยิ่งขนึ้ ทุกที ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ องเจรญิ ในอาจาระ ศลี คุณ วัตรปฏบิ ตั ิ ในนกิ ายเปน ทม่ี า และธรรมอนั บคุ คลพงึ บรรลุ ในอารมณเปนทวี่ งั เวง ในสตปิ ฏฐาน ใน ความเปน ผูมที วารอนั ปด ในอนิ ทรียท ้ังหลาย ในความเปนผูรูประมาทในโภชนะในความ ประกอบเนือง ๆ ซง่ึ ความเพยี รแหง ผตู ื่นยิ่งขนึ้ ทุกที ฉนั นน้ั . นี้แล ตอ งถือเอาองคท ่ตี น แหงพระจนั ทร. อน่งึ พระจันทรเ ปน นักษตั รอนั ใหญยง่ิ ชนดิ หนง่ึ ฉนั ใด โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพียร กต็ อ งเปนผมู ฉี นั ทะเปนใหญย ิง่ ฉนั น้นั . น้แี ล ตอ งถอื เอาองคท ี่สองแหง พระจนั ทร. อนึง่ พระจนั ทรยอ มจรไปในราตรี ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ ง เปนผูสงดั ท่ัว ฉันนน้ั . นแี้ ลตองถอื เอาองคท ี่สามแหง พระจันทร. อน่งึ พระจนั ทรม ีวมิ านเปน ธง ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ งเปน ผูม ีศลี เปนธง ฉนั นนั้ . นี้แล ตอ งถือเอาองคท ส่ี ่ีแหงพระจนั ทร. อนงึ่ พระจันทรอ นั โลกบวงสวงและปรารถนา ยอมอุทยั ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ผูอันมหาชนบูชาและปรารถนา กต็ องเขา ไปสูต ระกลู ทง้ั หลาย ฉัน นน้ั . นแี้ ล ตองถอื เอาองคท ี่หา แหงพระจนั ทร. แมพ ระผูมีพระภาคเจาก็ไดต รสั ไวในสงั ยตุ ตนกิ ายอนั ประเสริฐวา:-
“แนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทา นทัง้ หลายเปน ผเู รียบรอ ยเหมอื นดว ยพระจนั ทร จง สํารวมกาย สาํ รวมจิต แลวเขาไปสตู ระกูลทงั้ หลาย เปน ผใู หมเ ปน นติ ย อยา คะนองในตระกูลทั้งหลาย ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเ ปน เจานาคเสน ตองถอื เอาองคเ จด็ ประการแหง พระอาทติ ยเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร พระอาทิตยย อ มยงั นา้ํ ทง้ั ปวงใหเ หอื ดแหง ฉันใด, โยคาวจร ผูป ระกอบความเพยี ร กต็ องยงั กิเลสท้งั หลายใหเหอื ดแหง ไมใ หเหลอื อยู ฉนั นน้ั . น้ีแล ตองถอื เอาองคท ห่ี นึง่ แหงพระอาทติ ย. อนึ่ง พระอาทติ ยย อมกาํ จัดเสยี ซงึ ความมดื ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร กต็ อ งกาํ จัดเสียซงึ่ ความมดื คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส และทจุ รติ ทงั้ ปวง ฉนั นนั้ . น้แี ล ตองถอื เอาองคท ส่ี องแหง พระอาทติ ย. อนึ่ง พระอาทติ ยยอมจรไปเนือง ๆ ฉนั ใด. โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ ตองกระทาํ โยนโิ สมนสกิ ารเนือง ๆ ฉนั นน้ั . นแ้ี ล ตองถือเอาองคท่สี ามแหงพระอาทิตย. อนง่ึ พระอาทติ ยม ีระเบยี บแหง รศั มี ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี รก็ ตองเปนผูม ีระเบียบแหง อารมณ ฉันนนั้ . นแ้ี ล ตอ งถอื เอาองคท ีส่ ี่แหง พระอาทิตย. อน่งึ พระอาทิตยย งั หมูมหาชนใหรอนพรอม เดินไปอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตองยงั โลกทง้ั ปวงใหร อ นพรอ มดวยอาจาระ ศีล คณุ วัตรปฏบิ ัติ และฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบัติ อนิ ทรยี พละ โพชฌงค สัมมัปปธาน อิทธบิ าท ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถอื เอาองคท ห่ี า แหงพระอาทติ ย. อนึ่ง พระอาทติ ยกลวั แตภัย คือ พระราหู เดนิ ไปอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพยี ร เหน็ สัตวท ัง้ หลายผตู ิดอยูในขา ยคือ ทุจริตทคุ ตกิ ันดารปราศจากความเสมอ วบิ าก วนิ บิ าต กิเลส ผอู นั ประชุมแหง ทฏิ ฐิสวมไวแลว ผูแลนไปสูทางผิด ผูด ําเนนิ ไปสู มรรคาผดิ ยงั ใจใหส ลด เพราะภัยเกิดแตความสลดอนั ใหญ ฉันนนั้ . นแี้ ล ตอ งถอื เอา องคทหี่ กแหง พระอาทิตย. อนึ่ง พระอาทิตย ยอ มสอ งใหเห็นสงิ่ ดแี ละชั่วทงั้ หลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ องแสดงอินทรีย พละ โพชฌางค สตปิ ฏฐาน สมั มปั ปธาน อิทธิ บาท โลกยิ ธรรม โลกตุ ตรธรรม ฉันนนั้ . นีแ้ ล ตองถือเอาองคทีเ่ จด็ แหง พระอาทิตย. แมพระวงั คสี เถระ กไ็ ดก ลาวไววา:- “ภิกษุผูทรงธรรม ยอ มยงั ชนผูอันอวชิ ชาปด บงั ไวแลว ใหเหน็ หนทางมปี ระการ ตาง ๆ เปรยี บเหมอื นพระอาทิตยอุทยั สําแดง รปู อนั สะอาดและไมส ะอาด ดแี ละชั่ว แก สตั วท ้ังหลาย ฉันนนั้ ดงั น.ี้ ”
ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตองถือเอาองคสามประการแหง ทาั วสกั กะเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ทาวสักกะอ่ิมดวยความสุขสว นเดยี วฉันใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตองเปนผยู นิ ดียิ่งในสุขเกิดแตค วามสงัดท่วั แหงกายใจสว นเดยี ว ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถือเอาองคทห่ี น่งึ แหง ทา วสกั กะ. อน่ึง ทาวสกั กะทอดพระเนตรเหน็ เทพดาทงั้ หลายแลว ทรงประคองความเห็น นัน้ ไว ยงั ความราเริงใหเ กิดยง่ิ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องประคองใจ ซ่งึ ไมหดหู ไมเ กยี จครา น ในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ยงั ความราเริงใหเ กดิ ย่งิ ในกุศลธรรม ท้ังหลาย หมน่ั สืบตอพยายามในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉะนั้น. น้แี ล ตอ งถอื เอาองคท ส่ี อง แหงทา วสกั กะ. อนึ่ง ความไมย นิ ดยี งิ่ ยอมไมเ กดิ ข้ึนแกท า วสักกะ ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบ ความเพยี ร กต็ อ งไมใหความไมย ินดียง่ิ ในสญุ ญาคารเกดิ ขนึ้ ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอ งถือเอา องคท ่สี ามแหง ทา วสกั กะ. แมพระสุภตู ิเถระ ก็ไดภ าสติ ไววา :- “ขา แตพระองคผกู ลาใหญ เมอ่ื ใด ขาพระองคบ วชแลว ในศาสนาของพระองค, เมอื่ นนั้ ขาพระองคยอ มทรงสงเคราะหม หาชน ดวยวตั ถเุ ครอ่ื งสงเคราะหท ัง้ ส่ี ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตองยึดเหนยี่ วนาํ้ ใจ ตอ งอนุเคราะหน า้ํ ใจของบรษิ ทั สี่ ตอ งชวนใจของบริษัทสี่ใหร ื่นเริง ฉนั นน้ั . นี้แลตอ งถอื เอาองคท ่ีหน่งึ แหง พระเจา จกั รพรรดิ. อนึง่ โจรทง้ั หลายยอ มไมต งั้ ซอ งสมุ ขึน้ ในแวน แควน แหง พระเจา จกั รพรรดิ ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร ก็ตอ งไมใหก ามราค พยาบาท วหิ งิ สา วติ ก เกดิ ขนึ้ ได ฉนั นน้ั . นแ้ี ลตอ งถือเอาองคที่สองแหงพระเจาจกั รพรรดิ. แมพ ระผูมพี ระภาคเจาผูเ ทพาดิเทพ กไ็ ดท รงภาสิตไววา :- “ผใู ดยินดแี ลว ในธรรมเปนท่เี ขาไประงับวิตก เปน ผมู สี ตเิ จริญอสุภารมณใน กาลทงั้ ปวง, ผูนนั้ แลกระทาํ ซง่ึ ที่สดุ แหง กองทกุ ข ผูน้ันตัดเครื่องผูกแหง มาร ดังน.ี้ ” อน่งึ พระเจา จกั รพรรดิทรงเลยี บมหาปฐพี มมี หาสมทุ รเปนทส่ี ดุ รอบ ทรง วจิ ารณก ารดีการช่วั ทั้งหลาย ทกุ วนั ๆ ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร กต็ อง พิจารณากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทกุ วัน ๆ วา ‘เมือ่ เราอนั บณั ฑติ ไมพงึ ตเิ ตยี นได ดวยเหตทุ ีต่ ้งั สามเหลา น้วี นั ยอ มเปน ไปลวงหรือหนอแล’ ดงั นี้ ฉันนน้ั . น้ีแล ตองถอื เอา องคทส่ี ามแหง พระเจา จักรพรรดิ.
แมพระผมู ีพระภาคเจา กไ็ ดท รงภาสิตไวในเอกงั คุตตรนกิ ายอนั ประเสริฐวา:- “บรรพชิตพึงพจิ ารณาเนือง ๆ วา เมื่อเราเปนอยอู ยา งไร วนั และคืนทั้งหลาย เปนไปลว งอย”ู ดงั น.ี้ อนึ่ง ความรักษาทว่ั ในภายในและภายนอก เปน ของอนั พระเจา จกั รพรรดทิ รง จัดดีแลว ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ตอ งตง้ั ไวซึ่งนายประตู กลาวคอื สติ เพื่ออนั รักษาทว่ั ซง่ึ กเิ ลสทง้ั หลายทเ่ี ปน ไปในภายในและภายนอก ฉนั น้ัน. นี้แล ตอ ง ถือเอาองคท ่ีสแ่ี หง พระเจา จกั รพรรด.ิ แมพ ระผูมีพระภาคเจา ก็ไดท รงภาสติ ไววา :- “แนะภิกษทุ ั้งหลาย อริยสาวกเปน ผูมสี ตดิ ุจนายประตู ละเสยี ซงึ่ อกุศล ยงั กศุ ล ใหเ จริญ, ละเสียซงึ่ กรรมมีโทษอนั บัณฑติ พงึ เวน ยังกรรมไมม โี ทษอนั บณั ฑิต ไมพึงเวนใหเจริญ, ยอมรกั ษาตนกระทําใหบ รสิ ุทธ”ิ์ ดังน.ี้ หวั ขอ ประจาํ จกั กวัตตวิ รรคนนั้ แผนดนิ หนงึ่ น้ําหนงึ่ ไฟหนึง่ ลมหนึง่ ภเู ขาหนง่ึ อากาศหนง่ึ พระจันทรห นง่ึ พระอาทติ ยหน่งึ ทา วสกั กะหนง่ึ พระเจา จกั รพรรดหิ นงึ่ . กญุ ชร วรรคทส่ี ี่ พระราชาตรสั ถามวา “พระผูเปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคหนงึ่ ประการแหง ปลวกเปน ไฉน?” พระเถรเจา ทูลวา “ขอถวายพระพร ปลวกทาํ เคร่อื งปด บงั ขา งบนปกปด ตน เท่ียวหากนิ อยู ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ องทาํ เคร่อื งปด บงั กลา วคือ ศีลสงั วร ปกปด ใจเทยี่ วอยูเ พอ่ื บณิ ฑาหารฉนั นนั้ . ขอถวายพระพร โยคาวจรผูประกอบ ความเพยี ร ยอ มเปนผูก า วลว งภัยท้ังปวงไดดวยเครอ่ื งปด บงั คอื ศลี สังวรแล. นีแ้ ล ตอ ง ถือเอาองคป ระการหนง่ึ แหง ปลวก. แมค าํ น้ี พระอปุ เสนเถระผูบ ตุ รวงั คันตพราหมณก็ไดกลาวไวว า :- “ผูป ระกอบความเพยี ร ทาํ ใจใหมีศลี สงั วรเปนเครื่องปด บงั เปนผอู นั โลกทาไล ไมไ ดแ ลว กย็ อ มพนรอบจากภัย ดังน”้ี ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหง แมวเปนไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร แมวไปสูถ ้าํ ไปสโู พรงไม หรอื ไปสูภายในเรือน ยอ ม แสวงหาหนเู ทา นน้ั ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี รไปสูบา น ไปสปู า ไปสโู คนไม หรือไปสูสุญญาคาร กต็ อ งเปนผไู มป ระมาทแลว เนือง ๆ แสวงหาโภชนะ กลา วคือ กายคตาสตอิ ยางเดยี วฉนั นน้ั . น้ีแล ตองถอื เอาองคทห่ี นงึ่ แหง แมว. อนึ่ง แมยอ มหากนิ ในท่ีใกลเ ทา น้ัน ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ ตอ งเปนผเู ห็นความเกดิ และความเสื่อมในอุปาทานขนั ธห า เหลานี้อยทู กุ อริยาบถวา ‘รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณอยางน้ี ๆ , ความเกิดขนึ้ พรอ มแหง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยางนี้ ๆ, ความดบั ไปแหง รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณอยาง นี้ ๆ’ ดงั น.ี้ น้แี ลตอ งถอื เอาองคทสี่ องแหง แมว. แมพ ระพทุ ธพจนน ี้ พระผมู พี ระภาคเจา กไ็ ดท รงภาสติ ไววา :- “ขนั ธบญั จกไมพ งึ มีไมพงึ เปน ในทไ่ี กลแตทน่ี ,ี้ ทีส่ ุดของความมคี วามเปน แหง ขนั ธบญั จก จกั ทําอะรได, ทา นทง้ั หลายประสพอยใู นกายเปน ของตน อนั เกดิ ขนเฉพาะหนา อนั นําไปวิเศษ ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการแหง หนเู ปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร หนวู ง่ิ ไปขางโนน ขา งน้ี หวงั ตอ อาหารเทา นนั้ วงิ่ ไปอยู ฉนั ใด,โยคาวจรผูประกอบความเพียร กต็ องเทย่ี วไปขางโนนขา งน้ี เปน ผหู วงั ตอ โยนโิ ส มนสิการเทา นน้ั ฉนั นน้ั . น้ีแลตอ งถือเอาองคประการหนงึ่ แหงหน.ู แมพระอุปเสนเถระวังคนั ตบตุ ร กไ็ ดกลาวไวว า:- “ผูม ปี ญญาเหน็ แจงกระทาํ ความมงุ หวงั ธรรมอยู มิไดย อ หยอ นเปน ผูขาระงับ แลว มสี ติอยทู กุ เม่ือ ดงั น.ี้ ” ร. “พระผูเ ปน เจา นาคเสน ตองถอื เอาองคหนึ่งประการแหง แมลงปองเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร แมลงปองมหี างเปน อาวธุ ชหู างเทย่ี วไปอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ งเปน ผมู ีญาณเปน อาวธุ ยกญาณขึ้นอยูทกุ อริ ยิ าบถ ฉนั นนั้ . นแี้ ลตอ งถอื เอาองคหนง่ึ ประการแหง แมลงปอ ง. แมพระอปุ เสนเถระคันตบตุ ร กไ็ ดกลา วไวว า :- “ผูมีปญญาเหน็ แจง ถือเอาพระขรรคก ลา ว คือ ญาณเท่ียวอยูยอมพนจาก สรรพภยั อันตราย, และผูมีปญ ญาเหน็ แจง นนั้ ยากทใ่ี คร ๆ จะผจญไดใ นภพ ดงั น.้ี ” ร. “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคห นง่ึ ประการแหง พังพอนเปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร พังพอนเม่อื เขาใกลงู เกลอื กกายดว ยยาแลว จึงเขา ใกล เพ่ือจะจบั งู ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพียรเมอื่ เขาใกลโลกผูม ีความโกรธความ อาฆาตมาก ผอู ันความทะเลาะถือเอาตาง กลา วแกง แยง ความยนิ ยา ยครอบงําแลว ก็ ตอ งลบู ทานาํ้ ใจดวยยากลา วคอื เมตตาพรหมวหิ าร ฉนั นน้ั . นแ้ี ลตองถอื เอาองคห นงึ่ ประการแหง พงั พอน. แมพ ระธรรมเสนาบดสี ารีบตุ รเถระ ก็ไดก ลา วไวว า:- “ดวยเหตนุ ั้น กลุ บุตรควรกระทาํ เมตตาภาวนาแกต นและคนอื่น, กุลบุตรควร แผไ ปดวยจติ ประกอบดวยเมตตา ขอนเี้ ปนคําสงั่ สอนแหง พระพทุ ธเจา ท้ังหลาย” ดงั น.้ี ร. “พระผูเปนเจา นาคเสน ตองถือเอาองคสองประการแหง สนุ ขั จ้งิ จอกแกเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพระ สุนขั จง้ิ จอกแกไดโภชนะแลว ไมเ กลยี ดกินจนพอตองการ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ไดโภชนะแลว กม็ ไิ ดเกลยี ด บริโภคสักวายงั สรรี ะ ใหเปนไปนน่ั เทียว, ฉันนั้น. นแี้ ล ตองถือเอาองคท ต่ี น แหง สนุ ขั จิง้ จอกแก. แมพ ระมหากสั สปเถระ ก็ไดก ลา วไวว า:- “ขา พเจา ลงจากเสนาสนะเขาไปบา นเพอ่ื บณิ ฑบาต; ขา พเจาบาํ รงุ บรุ ษุ ผมู ีโรค เร้ือนผูบรโิ ภคอยูนน้ั โดยเคารพ. บรุ ษุ นนั้ นอมคาํ ขา วไปดวยมือของขา พเจา , เมอ่ื ขา พเจา ปอนคาํ ขา วอยู บรุ ุษนน้ั งับเอานวิ้ มือของขา พเจา ไวในปากนัน้ . ขาพเจาอาศัย ประเทศเปน ทต่ี ั้งแหงฝาเรือน จักบรโิ ภคคาํ ขาว; ในเมอื่ คาํ ขา วท่ขี าพเจาบรโิ ภคอยหู รือ บรโิ ภคแลว ความเกลยี ดยอมไมม ีแกขา พเจา ดงั น.ี้ ” อนงึ่ สนุ ัขจงิ้ จอกแกไ ดโ ภชนะแลว มไิ ดเ ลือกกวา เศราหมองหรอื ประณตี ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร ไดโภชนะแลวก็ไมตองเลอื กวา เศราหมองหรอื ประณตี บริบรู ณห รือไมบ รบิ ูรณ ยินดีตามมตี ามทไ่ี ดม าอยา งไร ฉันนน้ั . นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคสอง แหงสนุ ัขจิง้ จอกแก. แมพ ระอปุ เสนวงั คันตบุตรเถระ กไ็ ดกลาวไวว า:- “เรายินดีตามมีแมดวยของเศราหมอง ไมปรารถนารสอน่ื มาก, เม่ือเราไม ละโมบในรสทงั้ หลาย ใจของเรากย็ อ มยนิ ดีในฌาน, ในเมื่อเรายนิ ดีดว ยปจจยั ตามมตี ามได คุณเครื่องเปน สมณะของเรายอ มเต็มรอบ ดังน.้ี ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหงเนือ้ เปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร เวลากลางวนั เนอื้ ยอ มเที่ยวไปในปา เวลากลางคืนยอม เทีย่ วไปในกลางแจง ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร เวลากลางวนั พึงอยใู นปา เวลากลางคนื อยูใ นทีแ่ จง ฉนั นน้ั . น้แี ล ตอ งถือเอาองคท ห่ี นึ่งแหง เนือ้ . แมพระผูมีพระภาคเจา ก็ไดต รัสไวในโลมหงั สนะปริยายวา:- “ดูกอนสารบี ตุ ร ราตรีท้ังหลายนนั้ ใด เยน็ เปน ไปในเหมนั ตฤดู ในราตรที ัง้ หลาย เหน็ ปานนนั้ ณ สมัยเปน ทตี่ กแหงน้ําคาง เรานน้ั แลสาํ เรจ็ อิรยิ าบถอยใู นอัพโภ กาสในราตรี สาํ เรจ็ อิริยาบถอยูใ นราวปาในกาลวัน, ในเดือนมีในภายหลงั แหง คมิ หฤดูเราสาํ เร็จอิริยาบถอยใู นอพั โภกาสในกลางวนั , เราสําเรจ็ อริ ิยาบถอยูใน ราวปา ในราตรี ดงั น.ี้ ” อนง่ึ เนอ้ื ในเมอ่ื หอกหรือศรตกลงอยู ยอมหลบ ยอ มหนไี ป ยอมไมนาํ กายเขา ไปใกล ฉันใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร ในเมื่อกเิ ลสทง้ั หลายตกลงอยู ก็ตองหลบ ตอ งหนีไป ตอ งไมนอ มจิตเขา ไปใกล ฉนั นน้ั . นี้แล ตองถอื เอาองคท ีส่ องแหง เน้ือ. อน่งึ เน้ือเหน็ มนุษยท งั้ หลายยอมหนีไปเสยี ทางใดทางหนึง่ ดวยคิดวา ‘มนษุ ย เหลา น้นั อยา ไดเหน็ เราเลย’ ฉะน้ี ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร เหน็ ชน ทงั้ หลายผมู ปี กตบิ าดหมางกัน ทะเลาะกนั แกง แยง กนั วิวาทกนั ผทู ศุ ีล ผเู กียจครา น ผู มคี วามยนิ ดใี นความคลุกคลี กต็ องหนีไปเสียทางใดทางหนงึ่ ดว ยคิดวา ‘ชนเหลา นน้ั อยา ไดพบเราเลย, และเรากอ็ ยาไดพบชนเหลาน้นั เลย’ ฉะน้ี ฉันนน้ั . นแ้ี ลตอ งถือเอา องคท ่ีสามแหง เนอื้ .” แมพระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระ กไ็ ดภาสิตไววา:- “บางทบี คุ คลมีความปรารถนาลามกเกียจครา น มคี วามเพียรอันละแลว มพี ุทธ วจนะสดับนอ ย ผปู ระพฤติไมควร อยา ไดพบเราในท่ไี ร ๆ เลย” ดงั น.้ี ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ป่ี ระการแหง โคเปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร โคยอมไมละทอี่ ยขู องตน ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร ก็ตอ งไมล ะกายของตนโดยโยนิโสมนสิการวา “กายนีไ้ มเทย่ี ง ตอ งอบกลน่ิ นวด ฟน มคี วามสลาย เรยี่ รายกระจดั กระจายเปน ธรรมดา’ ดงั น้ี ฉนั นน้ั . นี้แลตอ งถือเอา องคเ ปนปฐมแหง โค.” อนึ่ง โคเปน สัตวมแี อกอนั รับไวแลว ยอมนําแอกไปโดยงายและยาก ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอ งเปน ผูม ีพรหมจรรยอ นั ถือไวแ ลว ประพฤติ พรหมจรรยมชี วี ติ เปน ทสี่ ดุ จนถึงสน้ิ ชวี ิต โดยงา ยและโดยยาก ฉนั นั้น. น้แี ลตองถอื เอา องคท ่สี องแหง โค.
อนง่ึ โคเม่อื สดู ดมตามความพอใจ จงึ ดม่ื กนิ ซง่ึ นํา้ ควรดมื่ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร ก็ตองสดู ดมตามความพอใจ ตามความรัก ตามความเลอ่ื มใส รับ เอาคาํ พรา่ํ สอนของอาจารยแ ละอุปชฌาย ฉันนัน้ . นแ้ี ลตองถือเอาองคท่ีสามแหงโค. อนึง่ โคอนั บุคคลผใู ดผูหนึง่ ขับไปอยู กย็ อมทําตามถอ ยคาํ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ก็ตองรับโอวาทานุสาสนขี องภิกษผุ เู ถระผูใ หม ผปู านกลาง และ ของคฤหัสถผอู บุ าสก ดว ยเศยี รเกลา ฉันนนั้ . น้ีแลตองถอื เอาองคทีส่ ่ีแหง โค. แมพระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระ ก็ไดภ าสิตไวว า :- “กุลบุตรบวชในวนั นน้ั มีปเ จ็ดโดยกาํ เนิด, แมผูน นั้ พรา่ํ สอนเรา เรากต็ องรบั ไว เหนอื กระหมอม. เราเหน็ แลว พงึ ตั้งไวซงึ่ ความพอใจและความรกั อนั แรงกลา ในบุคคลนน้ั , พงึ นอบนอมบุคคลนนั้ เนอื ง ๆ โดยเอ้อื เฟอ ในตาํ แหนง อาจารย ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเ ปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหง สุกรเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร สกุ รเมือ่ ถึงคมิ หฤดเู ปน คราวเรา รอ น ยอมเขาไปหานาํ้ ฉัน ใด,โยคาวจรผูป ระกอบความเพียร ครน้ั เมอื่ จติ ขุน มัว พลงั้ พลาด เหหวน เรารอนดวย โทสะ กต็ อ งเขา ไปใกลซงึ่ เมตตาภาวนา ซงึ่ เปน ของเยอื กเยน็ เปน ของไมตาย เปน ของ ประณีตฉนั นน้ั . นแี้ ลตอ งถือเอาองคทห่ี น่ึงแหง สกุ ร. อน่งึ สกุ รเขาไปใกลนาํ้ ตมแลว คยุ ขุดดินดวยจมูกกระทําใหเปน ปลกั นอนใน ปลกั นน้ั ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งวางกายไวในใจ ไปในระหวา ง อารมณนอนอยู ฉนั นน้ั . นี้แลตอ งถือเอาองคท สี่ องแหง สกุ ร. แมพระปณ โทลภารทวาชเถระ กไ็ ดกลาไวว า :- “ผมู ปี ญ ญาเหน็ แจง เหน็ ความเปน เองในกายแลว พิจารณาแลว เปน ผูเดียวไม มีเพือ่ นท่ีสองนอนในระหวา งอารมณ ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตอ งถือเอาองคห า ประการแหง ชา งเปน ไฉน?” ถ.”ขอถวายพระพร ธรรมดาชาง เมื่อเทย่ี วไป ยอมทําลายแผน ดนิ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี รกต็ อ งพจิ ารณากายทาํ ลายกิเลสทง้ั ปวงเสยี ฉนั นนั้ . นแี้ ล ตอ งถือเอาองคทห่ี นึ่งแหง ชา ง. อนงึ่ ชางไมเ หลียวดว ยกายท้งั ปวง ยอ มเพงดตู รงน่นั เทยี ว มิไดเ ลอื กทศิ นอ ยทศิ ใหญ ฉนั ใด,โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งไมเหลียวดว ยกายท้ังปวง ไมเ ลือกทิศ นอยทิศใหญ ไมแ หงนขึ้นขางบน ไมก มลงขางลา ง เปน ผูเพง แลไกลชว่ั แอก ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตองถอื เอาองคท ่สี องแหง ชาง.
อน่งึ ชา งไมไ ดนอนเปน นิตย ไปหาอาหารเนือง ๆ ยอมไมเขาถงึ ซงึ่ ประเทศนน้ั เพื่อจะอยู มิไดม อี าลยั ในทอี่ าศยั แนน อน ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพียร กต็ อง เปน ผมู ิไดน อนเปน นติ ย มิไดมที อ่ี ยู ไปเพอ่ื บณิ ฑบาต ถา วา เปนผมู ีปญ ญาเหน็ แจง เหน็ มณฑปมใี นประเทศอนั งดงาม หรือโคนไม ถา้ํ เงอื้ ม เปน ทฟี่ ูใจสมควร ก็เขาอาศัยอยูใน ทีน่ น้ั แตห ากระทาํ ความอาลยั ในที่อาศัยแนน อนไม ฉนั นนั้ . น้แี ล ตองถอื เอาองคท ส่ี าม แหง ชา ง. อน่งึ ชา งลงสนู า้ํ กล็ งสสู ระบวั ใหญ ๆ ซง่ึ บริบูรณดว ยนาํ้ อนั สะอาดไมข นุ และ เย็น ดาดาษแลวดวยกมุ าท อบุ ล ปทมุ ปุณฑรกิ เลนอยางชา งอนั ประเสริฐ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตองลงสสู ระโบกขรณีอนั ประเสริฐ กลาวคือ มหาสติ ปฏฐาน ซึ่งเตม็ แลว ดวยน้ํา กลา วคือ ธรรมอันประเสริฐ อันสะอาด ไมหมน หมอง ผอง ใส มไิ ดข ุน มวั ดาดาษดว ยดอกไม กลา วคอื วมิ ุตติ ลางขดั สังขารทง้ั หลายดว ยญาณ ปรชี า เลน อยา งโยคาวจร ฉนั นั้น. นี้แล ตอ งถอื เอาองคท สี่ แี่ หง ชา ง. อน่งึ ชา งยกเทา ข้นึ กม็ ีสติ จดเทาลงก็มีสติ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร ก็ตอ งยกเทา ขึน้ ดว ยสตสิ มั ปชญั ญะ จดเทา ลงดวยสติสัมปชญั ญะ เปนผูมี สติสมั ปชญั ญะในเวลากา วไปและกาวกลบั คูอวยั วะเขาและออกในทที่ ัง้ ปวง ฉนั นน้ั . นี้ แล ตอ งถือเอาองคท หี่ า แหง ชา ง. แมพระผมู ีพระภาคเจา ผูเทพาดเิ ทพ ก็ไดต รัสไวใ นสงั ยตุ ตนิกายอนั ประเสริฐวา :- ‘ความสาํ รวมดว ยกายเปน คณุ ยงั ประโยชนใ หสาํ เรจ็ , ความสาํ รวมดว ยวาจา เปนคณุ ยังประโยชนใหส าํ เรจ็ , ความสาํ รวมดวยใจเปนคณุ ยงั ประโยชนให สําเร็จ, ความสาํ รวมในทที่ ั้งปวงเปน คณุ ยงั ประโยชนใ หส ําเร็จ, บคุ คลผสู าํ รวม ในทที่ ง้ั ปวง นกั ปราชญก ลา ววา ‘ผูม ีความละอาย มไี ตรทวารรักษาแลว ’ ดังน.้ี ” หัวขอ ประจาํ กญุ ชรวรรคนน้ั ปลวกหนงึ่ แมวหนึง่ หนหู นงึ่ แมลงปองหนงึ่ พังพอนหนงึ่ สนุ ัขจงิ้ จอกหน่งึ เนอื้ หนงึ่ โคหนงึ่ สกุ รหนงึ่ ชา งหนึง่ เปนสบิ ฉะน.ี้ สหี วรรคท่หี า
พระราชาตรัสถามวา “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคเจด็ ประการแหง ราชสีห เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทลู วา “ขอถวายพระพร ธรรมดาราชสหี เ ปน สัตวข าวไมห มน หมอง หมดจดสะอาด ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตองเปน ผูม จี ิตขาว ไม หมนหมอง บรสิ ทุ ธผิ์ ดุ ผอ ง ฉนั นนั้ . นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคท ่ีหนงึ่ แหง ราชสหี . อน่ึง ราชสหี ม เี ทา สีเ่ ปน เคร่ืองเทยี่ วไป มกั เท่ียวไปดว ยลลี าศ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพยี ร กต็ องเปน ผมู อี ทิ ธบิ าทส่ีเปน เครอ่ื งเทย่ี วไป ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอง ถือเอาองคท ่ีสองแหงราชสีห. อนงึ่ ราชสหี เ ปน สตั วมีผมงอกงามมรี ูปอนั ยงิ่ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพยี ร กต็ องเปนผมู ีผม กลา วคอื ศีลงาม มรี ปู อนั ยงิ่ ฉันนั้น. น้แี ล ตองถือเอาองคท ส่ี าม แหง ราชสหี . อนง่ึ ราชสหี ย อ มไมน อบนอ มแกสัตวไ ร ๆ แมเ พราะตอ งเสยี ชีวติ ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องเปน ผูไมน อบนอ มแกใคร ๆ แมเ พราะจะตอ งเสีย จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และยาเปน ปจ จยั แหงคนไขเปนบริขาร ฉนั นนั้ . น้แี ล ตอ ง ถือเอาองคท ีส่ แ่ี หงราชสหี . อนึ่ง ราชสหี เ ปน สตั วมีภกั ษามไิ ดขาด ยอมบริโภคเน้ือสัตวในโอกาสทสี่ ัตวนนั้ ลม น่ันแหละจนพอตอ งการ มิไดเลอื กบรโิ ภคเน้ือลา่ํ ของสตั ว ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ก็ตองเปนผมู ภี ักษามไิ ดข าด มไิ ดเลอื กตระกูลทั้งหลาย มไิ ดล ะ เรือนตนเขาไปใกลต ระกลู ทงั้ หลาย บริโภคพอยงั สรรี ะใหเปนไป ในโอกาสเปน ทรี่ ับ โภชนะนน่ั เอง มไิ ดเลอื กโภชนะอนั เลิศ ฉันนนั้ . นแี้ ล ตองถือเอาองคท ีห่ า แหง ราชสหี . อน่งึ ราชสีหม ไิ ดม ีภกั ษาหารสะสมไว ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ ตองเปนผูมคี วามบรโิ ภคมิไดก ระทาํ ความสะสมไว ฉนั นนั้ . นแี้ ล ตอ งถอื เอาองคทห่ี ก แหงราชสหี . อนงึ่ ราชสหี ม ิไดอ าหารก็ไมไ ดดิ้นรน ถงึ ไดอ าหารก็ไมโ ลภ ไมห มกมนุ ไม ทะยานกินฉนั ใด,โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ไมไ ดโภชนะกต็ องไมด้ินรน ถงึ ได โภชนะก็ตอ งไมโ ลภ ไมหมกมนุ ไมทะยาน เหน็ อาทนี พอยเู ปน ปกติ มีปญญาเปน เหตุ ออกไปจากภพ บริโภคอยู ฉันนนั้ . น้แี ล ตอ งถอื เอาองคที่เจ็ดแหง ราสหี . แมพ ระผูม ีพระภาคเจา เมอ่ื ทรงสรรเสริญพระมหากัสสปเถระก็ไดต รสั ไวใ นสัง ยตุ ตนกิ ายอันประเสรฐิ วา :- “แนะภิกษทุ งั้ หลาย กัสสปนเ้ี ปนผสู นั โดษดวยบณิ ฑบาตตามมตี ามได และมี ปกตกิ ลาวคุณของการสันโดา ดว ยบณิ ฑบาตตามมีตามได ยอมไมถงึ ความแสวงหาไม
ควร และกรรมไมส มควร เพราะเหตุแหง บณิ ฑบาต ไมไดบณิ ฑบาตก็ไมด้ินรนถงึ ได บณิ ฑบาตก็ไมโ ลภ ไมห มกมนุ ไมท ะยาน เหน็ อาทนี พอยเู ปนปกติ มีปญญาเปนเหตุ ออกไปจากภาพ บริโภคอย’ู ดงั น.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตองถอื เอาองคสามประการแหง นกจากพราก เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นกจากพรากยอมไมล ะทิง้ นางนกตัวท่ีเปน ภรยิ าจนตลอด ชวี ิต ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กม็ ไิ ดละทง้ิ ความกระทําในใจโดยอุบายท่ี ชอบ จนตลอดชวี ติ ฉนั นนั้ . นี้แล ตอ งถือเอาองคท หี่ นึง่ แหงนกจากพราก. อน่ึง นกจากพรากมสี าหรา ยและแหนเปน ภกั ษา ยอ มถึงความเตม็ ใจดวย สาหรา ยและแหนนนั้ และไมเ สอื่ มจากกําลงั และพรรณเพราะความเตม็ ใจนน้ั ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ องทาํ ความเตม็ ใจตามลาภทไ่ี ด ฉนั นนั้ . กโ็ ยคาวจรผู ประกอบความเพียรเปน ผเู ตม็ ใจตามลาภทไี่ ด กไ็ มเสอื่ มจากศีล สมาธิ ปญ ญา วิมตุ ติ วิมตุ ตญิ าณทสั สนะ และมิไดเ ส่ือมจากสรรพกุศลธรรมทงั้ หลาย. น้ีแลตองถือเอาองคท่ี สองแหงนกจากพราก. อน่งึ นกจากพรากยอ มไมเบียดเบียนสัตวมชี วี ติ ทัง้ หลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ องเปนผูม ที ัณฑะอนั ละทง้ิ แลว มีศสั ตราอนั ละทง้ิ แลว มคี วาม ละอาย ถึงพรอ มดว ยความเอน็ ดู มีปกตอิ นุเคราะหด วยประโยชนเ ก้อื กลู ในสัตวม ีชวี ติ ทัง้ ปวง ฉันนนั้ . นีแ้ ลตองถอื เอาองคท ส่ี ามแหง นกจากพราก. แมพระผูมพี ระภาคเจา ผเู ทพดเิ ทพ ก็ไดท รงภาสติ ไว ในจกั กะวากชาดกวา :- “ผูใ ดไมเบยี ดเบียน ไมฆ า ไมผจญ ไมวา กลา ว, เวรของผนู นั้ ยอ มไมม กี ับใคร ๆ เพราะอนั ไมเบยี ดเบยี นในสัตวท ง้ั ปวง’ ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเ ปน เจา นาคเสน ตองถือเอาองคส องประการแหงนางนกเงอื ก เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นางนกเงอื กยอมไมเลย้ี งลกู ท้งั หลายเพราะรษิ ยาในผัวของ ตน ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพียร ก็ตอ งหวงหามกเิ ลสทงั้ หลายอนั เกดิ ขนึ้ ในใจ ตนเสีย ใสเขา ซง่ึ กเิ ลสทงั้ หลายในโพรงไม กลาวคอื ความสาํ รวมโดยชอบดวยสติปฏ ฐานแลว ยังกายคตาสติใหเ จรญิ ในมโนทวาร ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอ งถอื เอาองคทห่ี นึ่งแหง นางนกเงือก. อนง่ึ นางนกเงอื กเที่ยวหาอาหารทป่ี า ใหญต ลอดทัง้ วนั เวลาเยน็ กก็ ลับมายงั ฝูง นกเพ่ือความรักษาซง่ึ ตน ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร กต็ อ งเปน ผใู หญผ ู เดยี ว เสพท่อี นั สงดั ทั้งเพอื่ ความพน รอบจากสงั โยชนธรรม, เมอ่ื ไมไดความยนิ ดใี นท่ีสงัด
ทวั่ นัน้ พงึ กลับสสู งั ฆมณฑล เปน ผูอนั สงฆรักษาแลวอยู เพื่ออนั ปองกนั ซงึ่ ภยั คือ ความถกู วา ได ฉนั นนั้ . น้แี ล ตองถอื เอาองคที่สองแหง นางนกเงือก. แมคาํ นที้ า วสหัมบดีพรหม กไ็ ดกราบทลู ในสาํ นกั พระผมู พี ระภาคเจา วา:- “เสพทน่ี อนทนี่ งั่ อนั สงดั ทง้ั หลาย, ประพฤติเพอ่ื ความพน วเิ ศษจากสงั โยชน ธรรม; ถาไมถ งึ ทบั ความยนิ ดใี นเสนาสนะเหลานัน้ , จงเปน ผูมีตนอนั รกั ษาแลว มสี ติอยูในสงั ฆมณฑล ดงั น”ี้ ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตองถอื เอาองคหนงึ่ ประการแหงนกพิราบเรอื นเปน ไฉน?” ถ. ขอถวายพระพร นกพริ าบเรอื นเม่ืออยูท ีเ่ รือนของชนอน่ื ยอ มไมถ อื เอานิมิต หนอ ยหน่ึงแหง เขา ของ แหง ชนทง้ั หลายเหลานนั้ เปน สตั วม ัธยัสถหมายรมู ากอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี รเขาไปสตู ระกลู อืน่ ก็ตอ งไมถอื เอานมิ ิตในเตียง ต่งั ผา เคร่อื งประดบั เคร่อื งอปุ โภค เครอื่ งบริโภค หรอื โภชนะวกิ ตั ิทง้ั หลายของสตรีหรอื บรุ ุณ เปน ผมู ัธยัสถ เขาไปต้ังไวเ ฉพาะซง่ึ ความสาํ คัญวา เราเปน สมณะฉนั น้ัน. น้ีแล ตอ ง ถือเอาองคห นงึ่ ประการแหงนกพริ าบเรอื น. แมพ ระผูมีพระภาคเจา กไ็ ดท รงภาสติ ไว ในจูฬนารทชาดก:- วา ‘เขาไปสตู ระกลู แลว พงึ เคย้ี วกติ แตพ อประมาณ บรรดานํ้าควรด่ืมทงั้ หลาย หรือโภชนะท้งั หลายพงึ เค้ยี วกนิ แตพ อประมาณ พงึ บรโิ ภคแตพ อประมาณ, และอยากระทาํ ซ่งึ ใจในรูป’ ดงั น”้ี ร. “พระผูเปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการแหงนกเคา เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นกเคาโกรธกาทง้ั หลาย พอเวลากลางคืนก็ไปยังฝงู กาแลว ฆา กาเสยี เปน อนั มาก ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอ งกระทาํ ความยินรา ย ตอ อญาณความไมรเู ทา เสยี เปนผู ๆ เดยี วนงั่ ณ ทีล่ บั ยาํ่ ยีอญาณ ตัดเสียต้ังแตรากเงา ฉนั นน้ั .น้ีแล ตอ งถอื เอาองคท ห่ี น่งึ แหง นกเคา. อนึ่ง นกเคา เปน สัตวห ลกี เรน อยู ณ ท่ลี บั ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพียร กต็ อ งเปน ผมู ีท่ีสงัดเปน ทม่ี ารื่นรมย ยินดีแลว ในการหลีกเรน อยู ฉนั นน้ั , นแ้ี ล ตอง ถอื เอาองคท ี่สองแหงนกเคา . แมพ ระผมู ีพระภาคเจา กไ็ ดตรัสไว ในสงั ยตุ ตนกิ ายอนั ประเสริฐวา :- ‘แนะ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินยั น้ี เปนผูมที ี่สงัดเปน ทมี่ ารืน่ รมย ยนิ ดใี น ความหลีกเรน อยู ยอมรชู ัดตามเปน จริงวา ‘อนั นี้เปน ทกุ ข อนั น้ีเปน สมุทยั อนั นี้เปน นโิ รธ อนั นี้เปน มรรค’ ดงั น้ี.”
ร. “พระผูเปนเจานาคเสน ตองถอื เอาองคห นง่ึ ประการแหง นกสตปตตะ เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นกสตปตตะรอ งขึน้ และยอมบอกสขุ เกษมหรือทกุ ขภ ยั ให เปน นมิ ติ แกช นทงั้ หลายอนื่ ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพียร เมือ่ สาํ แดงธรรมแก ชนทง้ั หลายอนื่ ก็ตอ งสาํ แดงวนิ ิบาตโดยความเปน ทกุ ขภ ยั แสดงนิพพานโดยความเปน สุขเกษม ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอ งถอื เอาองคประกอบหนง่ึ แหง นกสตปต ตะ. แมพระปโณโฑลภารทวาชเถระ กไ็ ดก ลา วไวว า :- ‘ผปู ระกอบความเพยี ร ควรจะแสดงซึง่ เนอื้ ความสองอยางน้ี คือ ความนา กลวั นา สะดงุ ในนรก ความสุขอันไพบูลในนพิ พาน’ ดงั น.ี้ ” ร. “พระผูเปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหง คางคาว เปน ไฉน?” ถ. ขอถวายพระพร คางคาวเขา ไปสูเรือน เท่ยี วไปแลวก็ออกไป ไมกงั วลอยูใน เรือนนนั้ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร เขาไปบิณฑบาตในบา น เทย่ี วไป ตามลาํ ดับตรอก ไดบิณฑบาตแลวก็กลบั ทนั ที มิไดก งั วลอยใู นบานนน้ั ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถอื เอาองคท่หี น่งึ แหง คา งคาว. อน่ึง คา งคาวเม่ืออยทู เี่ รือนของชนอน่ื ไมไ ดทําความเส่อื มแกช นเหลา นนั้ ฉันใด , โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร เขาไปสูตระกูลแลว กต็ องไมท าํ ความเดอื ดรอนหนอ ย หนงึ่ แกชนเหลา นน้ั ดวยการรบกวนเขาเหลอื เกิน ดว ยความเปน ผูข อเขามาก ดว ยความ เปนผมู ีโทษเกดิ แตกายมาก ดวยความเปน ผูช า งพดู เหลอื เกนิ หรือดวยความเปน ผมู ีสุข และทุกขร ว มดว ยเขา, และไมยงั การงานอันเปน ทต่ี ง้ั แหง ทรพั ญสมบตั ขิ องชนเหลา น้ัน ใหเ สอื่ มเสยี ไป ปรารถนาความเจริญอยา งเดยี วโดยประการทงั้ ปวง ฉันนนั้ . นีแ้ ล ตอง ถอื เอาองคท สี่ องแหงคา งคาว. แมพระผมู ีพระภาคเจา ก็ไดตรัสไวในลักขณสูตร ในทีฆนิกายอันประเสรฐิ วา:- ‘บคุ คลปรารถนาอยวู า ‘ไฉนชนเหลา อนื่ ไมพงึ เสือ่ มจากศรทั ธา ศีล สุตะ ปญญา จาคะ กรรมท่ียงั ประโยชนใ หส าํ เรจ็ เปนอนั มาก ทรพั ย ขา วเปลอื ก นา และทีด่ นิ บตุ รทง้ั หลาย ภรยิ าทง้ั หลาย เหลา สัตวสเี่ ทา เหลา ญาติ เหลา มติ ร เหลา พวกพอ ง กาํ ลงั พรรณ สขุ , ฉะน,ี้ และจาํ นงหวงั ความมน่ั คัง่ ความสําเร็จ แหงประโยชน’ ดงั น.้ี ” ร. “พระผูเ ปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห นง่ึ ประการแหง ปลงิ เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ปลิงเกาะทอี่ วยั วะใด ก็เกาะแนน ในอวยั วะนนั้ ดื่มโลหิตอยู ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพียร หนวงจิตไวในอารมณใ ด กต็ อ งตงั้ อารมณน ้นั ไว
ใหม ่นั โดย วรรณ สัณฐาน ทศิ โอกาส ปรจิ เฉท ลงิ ค และนมิ ิต ด่ืมรส คือ วมิ ุตตอิ นั ไม เจอื กเิ ลส ดว ยอารมณน น้ั ฉนั นนั้ . น้แี ล ตองถือเอาองคป ระกอบหน่งึ แหงปลงิ . แมพระอนุรทุ ธเถระ ก็ไดก ลา วไวว า:- ‘บุคคลมจี ิตบรสิ ุทธิ์ ตง้ั อยูเฉพาะในอารมณ พึงดม่ื รส คอื วิมตุ ติอนั ไมเ จือกเิ ลส ดวยจติ นน้ั ’ ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส ามประการแหง งเู ปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร งยู อมเลื้อยไปดว ยอก ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพยี ร กต็ อ งเท่ียวอยดู วยปญ ญา; เมอื่ โยคาวจรเท่ียวอยดู วยปญ ญา จติ ก็เทีย่ วอยใู น มรรคาอนั นาํ ออกไปจากภพ เวน สง่ิ ท่ีไมม ีเครอื่ งหมายเสยี ยงั ส่ิงท่ีมีเครอ่ื งหมายใหเ จริญ ฉนั นนั้ . นี้แลตองถือเอาองคท ี่ตนแหง ง.ู อน่ึง งเู มือ่ เท่ยี วไป เวน ยาเสยี เท่ียวไปอยู ฉันใด,โยคาวจรผูป ระกอบความเพียร กต็ องเวน ทจุ ริตเสียเท่ยี วอยู ฉันนน้ั . นี้แล ตองถือเอาองคท ีส่ องแหง ง.ู อน่ึง งูเหน็ มนษุ ยท ง้ั หลาย ยอ มเดอื ดรอน เศราโศก เสยี ใจ ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ตรึกถึงความตรกึ อนั ช่วั แลว ยังความไมย ินดีใหเ กิดขึ้นแลว กต็ อ ง เดือดรอน เศรา โศกเสียใจวา วันแหง เราเปน ไปลวงแลว ดว ยความประมาท วนั ท่ีเปน ไป ลวงแลว นัน้ เราไมอ าจไดอกี , ฉะนี้ ฉนั นนั้ . แมก ินนรทัง้ สอง ก็ไดก ลา วไว ในภลั ลาฏยิ ชาดกวา :- ‘แนะ นายพราน เราทง้ั สองอยูปราศจากกนั สน้ิ ราตรหี นงึ่ อนั ใด เราทงั้ สองไม อยากจะพลดั พรากกนั ระลกึ ถงึ กันอยู เดือดรอนเนอื ง ๆ เศราโศกถึงกันส้นิ ราตรหี นง่ึ อนั น้นั . ราตรนี นั้ จกั มีอีกไมได’ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเ ปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห นง่ึ ประการแหง งเู หลือม เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร งเู หลือมเปนสตั วม ีกายใหญ มที อ งพรอ งขัดสนอาหาร ยอ มไมไดอ าหารสักวา พอเตม็ ทอ ง สน้ิ วันเปน อันมากเปนสัตวไ มบ รบิ ูรณดวยอาหาร ยอมประทงั ไปเพยี งแตอาหารสกั วา ยงั สรีระใหเปน ไป ฉนั ใด, เมื่อโยคาวจรผปู ระกอบ ความเพียร ขวนขวายเพื่อภิกขาจารวตั ร เขา ไปใกลบ ณิ ฑะของบุคคลอื่น มคี วามมงุ หมายบิณฑะอันบุคคลอน่ื ใหแลว เวน เสยี จากความถอื เอาเอง กย็ ากทจ่ี ะไดอาหารให เพียงพอ, ถงึ กระนนั้ กลุ บตุ รผูเปน ไปในอาํ นาจประโยชนก ไ็ มบ ริโภคคําขา วสห่ี า คํา ยงั กระเพาะใหเ ตม็ ดว ยนํ้าแทนคําขาวทีเ่ หลอื นน้ั ฉนั นัน้ . นแี้ ล ตองถือเอาองคประการหนง่ึ แหง งเู หลือม. แมพระสารบี ตุ รเถระผูธรรมเสนาบดี ก็ไดกลา วไวว า :-
‘ภกิ ษุเม่ือบริโภคของสดหรือของแหง กม็ ิใหอมิ่ นกั เปน ผมู อี ุทรพรอง มีอาหาร พอประมาณ มสี ติเวนเสยี ไมบริโภค คาํ ขา วสห่ี าคํา ด่มื น้ําแทน การประพฤติ นน้ั เปน ของควรเพือ่ วหิ ารธรรมอนั สําราญ แหงภกิ ษุผมู ีจติ สงไปแลว ’ ดงั น.ี้ ” หัวขอประจาํ สหี วรรคนง่ึ ราชสีหห นงึ่ นกจากพรากหนึ่ง นางนกเงอื กหน่งึ นกพิราบเรอื นหน่งึ นกเคา หนง่ึ นกสตปตตะหน่ึง คางคาวหนงึ่ ปลงิ หน่งึ งหู นงึ่ งเู หลือมหนง่ึ เพราะฉะน้ัน ทา น จงึ กลาววา วรรค. มักกฎ วรรคทห่ี ก พระราชาตรสั ถามวา “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตองถือเอาองคหนงึ่ ประการแหง แมลงมุมชกั ใยใกลทาง เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทูลวา “ขอถวายพระพร แมลงมุมชกั ใยใกลท างนน้ั ชกั ใยดจุ เพดาน ไวใกลท างแลว , ถาวาหนอนหรอื แหลงหรอื บงุ มาติดที่ใยนน้ั , ก็จบั เอาสตั วมหี นอนเปน ตนนนั้ กนิ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องทาํ ใย คือ สตปิ ฏ ฐานใหเปน ดจุ เพดาน ทท่ี วารทัง้ หก ถา วา แมลงกลาวคอื กิเลสมาติดทีใ่ ยนน้ั , กฆ็ า เสยี ทใ่ี ยนน้ั ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตองถอื เอาองคประการหนงึ่ แหงแมลงมมุ ชกั ใยใกลท าง. แมพระอนุรุทธเถระ ก็ไดกลา วไวว า :- ‘สตปิ ฏ ฐานอันประเสริฐสูงสดุ เปน ดจุ เพดานในทวารทงั้ หก กเิ ลสท้ังหลายมา ติดในเพดาน คือ สติปฏ ฐานนน้ั ผมู ีปญญาเหน็ แจง พงึ ฆากเิ ลสนนั้ เสยี ’ ดังน.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคหน่งึ ประการแหง ทารกกนิ นม เปน ไฉน?” ถ. ขอถวายพระพร ทารกกนิ นมยอมขอ งอยใู นประโยชนของตน อยากนมก็ รองไห ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตองของอยใู นประโยชนข องตน เปน ผมู ี ธรรมเปนเครอื่ งรู ในอทุ เทส ปรปิ จุ ฉา สัมมาประโยค ทส่ี งดั ทว่ั ความอยูร วมดวยบคุ คล ผูควรเคารพ ความคบกบั กลั ยาณมิตร ฉันนน้ั . นแี้ ล ตองถือเอาองคป ระการหนงึ่ แหง ทารกกนิ นม.
แมพระผูม พี ระภาคเจา กไ็ ดต รสั ไวในปรินิพพานสตู ร ในทีฆนกิ ายอนั ประเสรฐิ วา :- ‘ดูกอนอานนท ทา นทง้ั หลายจงสบื ตอไปในประโยชนข องตน, จงประกอบเนอื ง ๆ ในประโยชนข องตน, จงเปน ผูไ มป ระมาท มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มจี ติ สง ไปแลว อยู ทกุ อริ ิยาบถ ในประโยชนข องตน’ ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคหนึง่ ประการแหงเตา เหลอื ง เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร เตา เหลอื งเวน เสียซง่ึ นาํ้ เพราะกลวั แตนํา้ เที่ยวอยูบนบก ก็ แตหาเสอื่ มจากอายุ เพราะการเวน เสยี ซงึ่ นา้ํ นนั้ ไมฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพยี ร กต็ องเปนผูเหน็ ภัยในความประมาทอยูเ ปน นิตย เห็นคุณวิเศษในความไม ประมาทอยูเ ปน ปกติ กแ็ หละความเสือ่ มจากสามัญคณุ ไม ยอ มเขา ไปในที่ใกลพ ระ นพิ พาน เพราะความเปน ผมู อี นั เหน็ ภัยเปน ปกตนิ นั้ ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตอ งถอื เอาองค ประการหน่งึ แหงเตา เหลอื .” แมพระผูมพี ระภาคเจา กไ็ ดตรสั ไวในธรรมบทวา :- “ภกิ ษผุ ูยินดใี นอปั ปมาทธรรม หรือมีปกตเิ หน็ ภยั ในความประมาท, เปน ผูไ ม ควรจะเส่ือมในที่ใกลพ ระนพิ พาน ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคห าประการแหง ปา ชัฏ เปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ธรรมดาปา ชัฏยอ มปกปด ไวซ ึ่งชนผูไมส ะอาด ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ งปกปดซึง่ ความผดิ ความพลงั้ พลาดแหง ชนเหลา อน่ื ไมเปดเผย ฉันน้นั . นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคท ีต่ นแหง ปา ชัฏ.” อนง่ึ ปา ชัฏเปน ทวี่ า งจากชนเปน อนั มาก ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร กต็ อ งเปนผวู า งจากขา ย คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ และกเิ ลสทั้งปวง ฉนั นนั้ . นี้ แล ตองถือเอาองคท ส่ี องแหง ปา ชฏั . อนงึ่ ปา ชัฏเปนสถานทเ่ี งยี บ เปน ทป่ี ราศจากความคบั แคบดว ยชน ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตองเปน ผูสงบสงดั จากอกุศลธรรมอนั ลามกทง้ั หลาย ซง่ึ มใิ ชของประเสริฐ ฉนั นนั้ . น้ีแล ตองถอื เอาองคท ส่ี ามแหง ปา ชฏั . อนึ่ง ปา ชฏั เปน ท่อี นั สงบหมดจด ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตอ ง เปน ผสู งบแลว หมดจดแลว ดบั แลว มมี านะอนั ละแลว มคี วามลบหลูคณุ ทา นอันละแลว ฉันนน้ั . นีแ้ ล ตองถือเอาองคท่สี ่แี หงปา ชฏั .” อนึ่ง ปา ชฏั เปน สถานท่อี นั อริยชนตองเสพ ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร กต็ อ งเปน ผูส อ งเสพดวยอรยิ ชน ฉันนน้ั . นแี้ ลตองถอื เอาองคท ห่ี า แหง ปา ชฏั .
แมพ ระผูมีพระภาคเจา ก็ไดต รัสไว ในสังยตุ ตนิกายอนั ประเสริฐวา :- ‘ผูมีปญญาพงึ เสพกบั ดวยบณั ฑิตท้ังหลาย ผูไ กลจากกเิ ลส ผมู จี ิตสงวัดแลว มี ตนสง ไปแลว มปี กติเพง พนิ จิ ผูม คี วามเพยี รอนั ปรารภแลวเปนนติ ย’ ดังน.ี้ ” ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหง ตน ไม เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ขนึ้ ชอ่ื วา ตนไม ยอ มทรงดอกและผลฉนั ใด. โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ก็ตอ งเปน ผทู รงดอก กลา วคือ วมิ ตุ ติ และผล กลาวคือ สามญั คณุ ฉันนน้ั . นี้แล ตอ งถอื เอาองคทห่ี นึง่ แหงตน ไม. อนงึ่ ตนไมย อมใหซ ึ่งรม เงาแกช นทงั้ หลายผูเขา ใกล ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพยี ร กต็ องเปนผูตอ นรับ ดว ยอามสิ ปฏสิ ันถารหรือธรรมปฏิสันถารแกบ คุ คลผเู ขา ไปหา ฉนั นน้ั . นแ้ี ล ตอ งถือเอาองคท ่ีสองแหงตน ไม. อนึ่ง ตน ไมยอ มไมทาํ ซง่ึ ความทีร่ ม เงาใหเปนของมีประมาณตา งกนั ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพยี ร กต็ องไมท าํ ความเปน ของมีประมาณตา งกนั ในสตั วท ้งั ปวง ฉนั น้ัน. นแี้ ล ตองถอื เอาองคท ีส่ ามแหง ตน ไม. แมพระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ รเถระ ก็ไดก ลาวไวว า :- “พระมนุ นี าถเจา เปน ผมู พี ระหฤทยั เสมอในชนทง้ั ปวง คอื ในเทวทตั ผฆู า ในองั คลุ มิ าลกโจร ในธนปาลกคชสาร และในพระราหลุ ดงั น”ี้ ร. “พระผูเปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคห าประการแหง ฝนเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ฝนยอมระงับเสยี ซ่ึงธลุ เี หงอื่ ไคลซ่งึ เกดิ ขน้ึ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ องระงบั เสยี ซึง่ ธุลเี หง่อื ไคล คือ กเิ ลสซง่ึ เกดิ ข้นึ ฉนั นั้น. น้ีแล ตอ งถือเอาองคท ห่ี นึ่งแหง ฝน. อนงึ่ ฝนยอมยงั ความรอนท่ีแผน ดินใหด บั เสีย ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพียร ก็ตองยงั โลกทงั้ เทวโลกดวยเมตตาภาวนาฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถือเอาองคทีส่ องแหง ฝน. อนงึ่ ฝนยอ มยังพชื ทง้ั ปวงใหง อกขน้ึ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ ตองยังศรทั ธาของสัตวท ง้ั ปวงใหเกดิ ขน้ึ แลว หวานลงซงึ่ พชื กลาวคือ ศรทั ธานนั้ ใน สมบัตสิ ามประการ คือ ทพิ ยสมบัติ และมนษุ ยสมบตั ิ จนถงึ สขุ สมบตั ิ คือ นิพพานอนั มี ประโยชนอ ยา งยิ่งฉนั นั้น. นแ้ี ล ตองถือเอาองคทีส่ ามแหง ฝน. อนึ่ง ฝนตง้ั ขนึ้ แลวแตฤดู ยอมรักษาไวซง่ึ หญา ตน ไม เครือเขา พุมไม ผัก และ ไมเปน เจา แหงไพรทั้งหลาย ซง่ึ งอกขน้ึ บนแผน ดนิ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตอ งยงั ความทาํ ในใจโดยอบุ ายทชี่ อบใหเกิดขึน้ แลวรกั ษาไวซ งึ สมณธรรมดว ยความ
ทําในใจโดยอบุ ายทช่ี อบนน้ั เพราะวากุศลธรรมท้งั ปวงมีโยนโิ สมนสกิ ารเปน มลู ราก ฉนั น้ัน. นแ้ี ล ตอ งถอื เอาองคท สี่ แ่ี หง ฝน. อนึง่ ฝนเม่ือตก ยอ มยงั แมนาํ้ หนอง สระบวั ซอก หวั ย ธาร เขา บงึ บอ ใหเต็ม ดวยธารนํา้ ทั้งหลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความเพียร กต็ องยังฝนคอื ธรรมใหต ก ดวยปริยตั เิ ปน ทม่ี า ยงั ใจแหง ชนทง้ั หลาย ผูใ ครซ งึ่ ธรรมอนั บคุ คลพงึ ตรัสรู ใหเตม็ รอบ ฉันนน้ั . นีแ้ ล ตองถอื เอาองคท ห่ี า แหงฝน:- แมพ ระสารีบตุ รเถระผูธรรมเสนาบดี กไ็ ดกลาวไวว า :- ‘พระมหามนุ ีผทู รงพระภาคเจา ทอดพระเนตรเหน็ ชนผอู ันพระองคควรแนะนํา ใหตรัสรู ในทแี่ มมแี สนโยชนเปนประมาณ ก็เสด็จพทุ ธดําเนนิ ไปหาชนนน้ั โดย ขณะเดียว ยงั ชนนนั้ ใหต รสั รธู รรม’ ดังน.้ี ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหง แกว มณี เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร แกว มณเี ปน ของหมดจดสวนเดยี ว ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ อ งเปน ผูมอี าชพี หมดจดสวนเดยี วฉันนั้น. นี้แล ตอ งถอื เอาองค ทห่ี นึ่งแหง แกว มณ.ี อนึ่ง แกว มณยี อมไมเจือปนกับอะไร ๆ ฉนั ใด,โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร ก็ ตองไมร ะคนดว ยคนชว่ั ทงั้ หลาย ดวยสหายชัว่ ท้งั หลาย ฉันนนั้ . น้ีแล ตองถือเอาองคท่ี สองแหง แกว มณ.ี อน่ึง แกว มณอี ันนายชา งยอ มประกอบกับชาตแิ ลวทง้ั หลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ องอยรู วมกับบุคคลทั้งหลายผมู ีชาติอุดมเลศิ ตองอยูร วมดว ย บุคคลผูป ฏิบัติ ผตู ้งั อยูในผล ผพู รอมเพรยี งดว ยเสขผล ดวยมณรี ตั นะ คอื สมณะผู โสดาบัน สหทาคามี อนาคารมี อรหนั ต เตวชิ ชา ฉฬภญิ ญา ฉันนน้ั . น้ีแล ตอ งถือเอา องคทสี่ ามแหง แกวมณ.ี แมพระผมู พี ระภาคเจา ก็ไดต รสั พุทธพจนน ไี้ วในสตุ ตนบิ าตวา :- ‘ทานทงั้ หลายผบู รสิ ทุ ธ์ิมีสตติ ้งั มัน่ พงึ สาํ เรจ็ การอยรู วมดว ย ผบู ริสทุ ธทิ์ ้งั หลาย, แตน ั้น ทา นทง้ั หลายผพู รอมเพยี งกนั มปี ญ ญารักษาตนโดยไมเ หลอื จกั ทาํ ซ่ึง ทสี่ ุดแหง ทกุ ข’ ดงั น.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจานาคเสน ตอ งถือเอาองคส ีประการแหง พรานเนื้อ เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร พรานเนอื้ เปน ผูมีความหลบั นอ ย ฉนั ใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร กต็ อ งเปนผูมคี วามหลับนอย ฉนั นนั้ . นแี้ ล ตอ งถอื เอาองคท่ตี น แหง พรานเน้ือ.
อน่ึง พรานเนอ้ื ยอมผูกใจอยแู ตใ นเน้ือทงั้ หลาย ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบ ความเพยี ร กต็ อ งผูกใจอยแู ตใ นอารมณทง้ั หลาย ฉนั นนั้ นีแ้ ล ตองถือเอาองคที่สองแหง พรานเน้ือ. อน่งึ พรานเนอ้ื ยอ มรกู าลของกจิ ท่จี ะพึงทํา ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพยี ร ก็ตองรูจกั กาลของความหลกี เรน อยูวา ‘กาลนเี้ ปน กาลของความหลีกเรน อย,ู กาล น้ีเปนกาลของความออกจากความหลีกเรน อย’ู ฉนั นั้น. น้แี ล ตองถอื เอาองคท ส่ี ามแหง พรานเนื้อ. อน่งึ พรานเนอ้ื เหน็ เน้อื แลว ยอ มยงั ความยินดีใหเ กดิ เฉพาะวา ‘เราจกั ไดเ นื้อน’ี้ ดังนี้ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องรื่นรมยใ นอารมณ ยงั ความยนิ ดใี ห เกิดเฉพาะในอารมณว า ‘เราจักบรรลคุ ณุ พเิ ศษอันย่งิ ’ ดงั น้ี ฉนั นน้ั . น้ีแล ตองถือเอาองค ทีส่ ี่แหง พรานเน้อื . แมพ ระโมฆราชเถระ ก็ไดก ลา วไวว า:- ‘ภกิ ษไุ ดอารมณแลว มีจิตสง ไปในอารมณแ ลว ยงั ความยนิ ดใี หเ กดิ ย่งิ วา ‘เรา จกั บรรลคุ ุณอันยิง่ ’ ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคสองประการแหงพรานเบด็ เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร พรานเบด็ ยอมวดั ปลาทง้ั หลายข้ึนดว ยเบ็ด ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตองยกข้นึ ซ่ึงสามัญผลท้ังหลายอนั ยิ่งดวยญาณ ฉัน นั้น. นี้แล ตองถอื เอาองคท ่ีหน่งึ แหง พรานเบ็ด. อน่ึง พรานเบด็ ฆาซง่ึ ปลาตัวเลก็ ๆ ยอ มไดลาภเปน อนั มาก ฉันใด, โยคาวจรผู ประกอบความเพียร ก็ตองละซ่ึงอามิสในโลกเล็กนอ ยเสยี ; เพราะวา ละเสียซง่ึ อามสิ ใน โลกแลว ยอ มบรรลสุ ามญั ผลเปนอันมาก ฉนั นนั้ . นแี้ ล ตอ งถือเอาองคท ส่ี องแหง พราน เบด็ . แมพ ระราหุลเถระ ก็ไดกลาวไววา :- ‘ละโลกามสิ เสยี แลว พงึ ไดสญุ ญตวิโมกข อนมิ ิตตวโิ มกข อัปปณิหติ วิโมกข และผลสี่ อภญิ ญาหก’ ดังน.้ี ” ร. “พระผูเปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหงชา งไม เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร ชางไมย อ มถากไมต ามเสนดาํ คอื สายบรรทัดท่ขี งึ ขีดไว ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพียร กต็ องยืนอยทู ่แี ผน ดนิ กลา วคอื ศลี แลวถือซง่ึ ขวาน กลาวคอื ปญญา ดวยมอื กลา วคอื ศรัทธา ถากซ่ึงกเิ ลสทง้ั หลาย อนโุ ลมตาม พระชนิ พระศาสนา ฉันน้นั . นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคทหี่ นง่ึ แหง ชา งไม.
อน่งึ ชางไมถากกระพอ้ี อกเสยี ถอื เอาแตแกน ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพยี ร กต็ อ งนาํ เสียซงึ่ หนทางแหงความกลา วแกง แยงวา ‘เทย่ี ง ขาด ชวี ติ อันนนั้ สรรี ะอัน น้ัน, ชวี ติ อืน่ สรรี ะอืน่ , ธรรมชาตสิ งู สุดอนั นนั้ , ธรรมชาติสงู สุดอนั อ่ืน, ธรรมชาติอนั ปจจยั ไมทาํ แลว ไมค วร, ไมใ ชความกระทาํ ของบรุ ษุ , มใิ ชความอยูดวยสามารถแหง ความประพฤตพิ รหมจรรย, ความฉิบหายแหง สตั ว, ความปรากฏแหง สตั วใหม, ความที่ สงั ขารเทย่ี ง, ผใู ดกระทาํ ผนู ้ันรูแจง พรอ มเฉพาะ, ผูอน่ื กระทํา ผูอ นื่ รแู จงพรอ มเฉพาะ, ความเหน็ กรรมและผลของกรรม, ความเหน็ ผลของความกระทาํ ฉะนกี้ ด็ ี ซง่ึ หนทางแหง ความกลา วแกง แยงอยา งอนื่ กด็ ี แลวถือเอาซึง่ ความเปน จรงิ แหง สังขารท้งั หลาย ซ่ึง ความทีส่ ังขารทัง้ หลายสญู อยา งย่งิ ซง่ึ ความทีส่ งั ขารทงั้ หลายเปนของไมมเี พียร ไมม ี ชีวติ ซงึ่ ความท่ีสงั ขารทง้ั หลายเปน ของลว งสว น ซ่ึงความทส่ี ังขารทงั้ หลายเปน ของวา ง เปลา ฉนั นนั้ . นีแ้ ล ตอ งถอื เอาองคท่สี องแหง ชา งไม. แมพ ระผูมีพระภาคเจา ผเู ทพาดิเทพ ก็ไดทรงภาสติ ไวว า :- “ทา นทงั้ หลาย จงกําจดั เสียซึ่งกิเลสดจุ หยากเย่ือ จงเสอื กไปเสียซ่ึงกิเลสอันดจุ สวะ แตน น้ั ทา นทง้ั หลาย จงลอยเสยี ซงึ่ บคุ คลทั้งหลายผูเ ปน ดจุ ฟาง ผูไมใชสมณะ แต มคี วามถอื ตัววาเราเปนสมณะ ครน้ั ทา นท้งั หลายกาํ จดั บุคคลทงั้ หลายผูมคี วาม ปรารถนาลามก มอี าจาระและโคจรอันลามก พงึ เปนผหู มดจด มสี ตติ ั้งม่นั สาํ เรจ็ ความ อยรู วมดว ยบคุ คลผูหมดจดทั้งหลาย’ ดงั น.ี้ ” หวั ขอ ประจาํ มกั กฏวรรคนัน้ แมลงมุมหนงึ่ ทารกหนงึ่ เตา หนงึ่ ปาหนงึ่ ตนไมห นง่ึ ฝนหนงึ่ แกว มณหี นงึ่ พรานเน้ือหนง่ึ พรานเบด็ หนง่ึ ชา งไมห นงึ่ . กุมภ วรรคทีเ่ จด็ พระราชาตรสั ถามวา “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคห นงึ่ ประการแหง หมอ เปน ไฉน?” พระเถรเจา ทูลวา “ขอถวายพระพร หมอ เต็มเปยมแลว ดว ยนาํ้ ยอมไมดัง ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ถงึ แลว ซงึ่ บารมใี นนกิ ายเปน ทมี่ า ในธรรมอันบคุ คลพึง บรรลุ ในปรยิ ตั ิ ในสามญั คณุ กไ็ มท าํ เสียง และเพราะความถึงบารมใี นคณุ นน้ั ก็ไมท ํา
มานะ ไมแ สดงความเยอ หยง่ิ เปน ผูมีมานะอนั ละแลว มคี วามเยอหยง่ิ อนั ละแลว เปน ผู ตรง ไมปากกลา ไมอวดตัว ฉันนนั้ . นแี้ ล ตองถอื เอาองคป ระการหนง่ึ แหงหมอ. แมพ ระผูมพี ระภาคเจา ก็ไดต รสั ไวว า:- ‘ของใดพรอง ของนั้นดงั , ของใดเต็ม ของนน้ั เงยี บ, คนพาลเปรยี บดว ยหมอ เปลา บัณฑติ ดุจหวงนา้ํ อนั เปยม’ ดงั น.ี้ ” ร. ”พระผูเปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส องประการแหงกาลกั น้ํา เปนไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร กาลกั น้ําบคุ คลดูดดีแลว ยอ มดดู นา้ํ ออกฉนั ใด, ใจของ โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร แอบแนบแลว ในโยนิโสนมสกิ าร ก็ยอ มนําโยคาวจรไป ฉันนน้ั . นแี้ ล ตองถือเอาองคท ต่ี นแหง กาลักน้าํ . อนึ่ง กาลักน้าํ อันบุคคลดดู ครงั้ เดียว ยอ มไมดูดน้าํ ออก ฉันใด, ความเลื่อมใส อนั ใด ไดเกดิ ขน้ึ ครงั้ เดยี ว โดยนยวา ‘พระผมู พี ระภาคเจานนั้ เปน ผูต รสั รูเองโดยชอบยงิ่ พระธรรมอันพระผูมพี ระภาคเจานนั้ ตรัสดแี ลว พระสงฆป ฏิบตั ดิ แี ลว ’ ฉะน้ี โยคาวจรผู ประกอบความเพียร. ไมค วรยังความเลอื่ มใสนน้ั ใหออกไปเสยี จากจติ สนั ดานอกี ; และ ปรชี าญาณอนั ใด เกิดขึ้นแลว คร้งั เดยี วโดยนยั วา ‘รปู ไมเ ท่ยี ง เวทนาไมเทีย่ ง สญั ญาไม เท่ยี ง สงั ขารไมเทย่ี ง วญิ ญาณไมเ ท่ียง’ ฉะน้ี โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร อยาให ปรีชาญาณนนั้ ออกไปเสยี จากจิตสนั ดาน ฉนั นั้น. นี้แล ตองถือเอาองคท ี่สองแหง กาลัก นาํ้ . แมพ ระผูมีพระภาคเจา กไ็ ดต รัสไวว า :- ‘นรชนผูช าํ ระสะอาดแลวในญาณเครื่องเหน็ เปน ผูเที่ยงแลว ในอรยิ ธรรม เปนผู ถือธรรมอันวเิ ศษ ยอมไมห วนั่ ไหวโดยสว นมใิ ชอนั เดียว และนรชนนนั้ ยอมเปน อยางนน้ั แหละเพราะความเปนหวั หนาโดยประการทง้ั ปวง’ ดังน.้ี ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหง รมเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร รมกน้ั อยบู นศีรษะ ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตอ งเปนผไู ปอยบู นกระหมอ มแหง กเิ ลสทง้ั หลายฉนั นนั้ . น้แี ล ตอ งถือเอาองคท ่แี รก แหงรม. อน่งึ รมเปนของบํารุงศรี ษะ ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อ งเปน ผู บํารุงโยนโิ สมนสกิ าร ฉนั น้นั . นี้แล ตอ งถอื เอาองคท ส่ี องแหงรม. อน่งึ รม ยอ มบาํ บัดเสียซง่ึ ลมและแดดและฝน ฉนั ใด, โยคาวจรผูป ระกอบความ เพยี ร ก็ตอ งบาํ บดั เสียซง่ึ ลม คอื ความสาํ คัญ แดด คือ ไฟสามอยา ง และฝน คอื กเิ ลส ของสมณพราหมณเ ปน อนั มาก ผมู ีความเหน็ ตา ง ๆ กนั ฉันนน้ั . น้แี ล ตองถอื เอาองคท ี่ สามแหง รม.
แมพระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ รเถระ ก็ไดก ลาวไวว า:- ‘รมดไี มทะลุประกอบม่นั คง ยอ มหา มเสียซง่ึ ลมและแดดและหาฝน ฉนั ใด, แม พุทธบตุ รกท็ รงรม คอื ศีล เปน ผสู ะอาด หามเสยี ซงึ่ ฝน คือ กเิ ลส และแดด คอื ไฟสามอยาง ฉันนนั้ ’ ดังน.้ี ” ร. “พระผเู ปนเจา นาคเสน ตอ งถอื เอาองคส ามประการแหงนาเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร นายอ มถงื พรอ มดว ยเหมอื ง ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบ ความเพยี ร กต็ อ งเปนผูถ งึ พรอมดวยเหมือง คือ สจุ ริตและขอ ปฏิบัตนิ อยใหญ ฉนั นั้น. น้ี แล ตองถอื เอาองคท ีแ่ รกแหง นา. อนึ่ง นาเปนของถึงพรอมแลว ดว ยคนั และรักษานาํ้ ไวด ว ยคันนัน้ ยงั ธญั ชาตใิ ห สําเร็จ ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตองเปน ผูถึงพรอมดว ยคันนา คือ ศลี และความละอายบาป ถอื เอาสามัญผลทง้ั ส่ี ฉนั นน้ั . น้แี ล ตองถือเอาองคท่ีสองแหงนา. อน่งึ นาเปน ของถงึ พรอมดวยความเจรญิ งาม ยงั ความยนิ ดใี หเ กิดแกช าวนา, พืชทเี่ ขาหวานแมนอย ก็มผี ลมาก ท่เี ขาหวา นมาก ก็ยงั มีผลมากกวา นน้ั ฉันใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ก็ตอ งเปน ผูถงึ พรอมดว ยความหมน่ั ใหผ ลอันไพบูลยแก ทายกทง้ั หลาย ยงั ความยนิ ดใี หเกิดแกท ายกทง้ั หลาย, ทานที่เขาใหน อยก็มผี ลมาก ท่ี เขาใหม ากกย็ ง่ิ มผี ลมากกวานน้ั ฉนั นน้ั . นแี้ ลตอ งถอื เอาองคท่ีสามแหง นา. แมพระอบุ าลีเถระผูวนิ ยั ธร กไ็ ดก ลาวไวว า :- ‘ภกิ ษุพงึ เปน ผเู ปรียบดวยนา มคี วามหมน่ั และใหผ ลไพบูลย; ผใู ดใหผลอัน ไพบูลย ผนู ้ันชอ่ื วาเปน ดจุ นาอนั เลศิ ’ ดงั น.ี้ ” ร. “พระผเู ปนเจานาคเสน ตอ งถอื เอาองคส องประการแหง ยาเปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร กมิ ชิ าตทิ งั้ หลาย ยอมไมต้ังอยูพรอ มในยาฉนั ใด, โยคาวจร ผปู ระกอบความเพยี ร ก็ตองไมใ หก เิ ลสตง้ั อยูพรอ มในใจ ฉันน้นั . นแี้ ล ตองถอื เอาองคท ่ี หนง่ึ แหง ยา. อนึง่ ยายอมกําจัดเสยี ซงึ่ พษิ ทีส่ ัตวก ัด ที่ถกู ตอ ง ทกี่ นิ ทดี่ ม่ื ทเ่ี ค้ยี ว ท่ชี มิ ทงั้ ปวง ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องกาํ จดั เสยี ซึง่ พษิ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิทั้งปวง ฉันนน้ั . นีแ้ ล ตองถอื เอาองคท ่ีสองแหงยา. แมพ ระผมู พี ระภาคเจาผูเทพาดิเทพ ก็ไดต รสั พทุ ธพจนน ีไ้ วว า :- ‘ผูประกอบความเพยี ร ใครเ พ่อื จะเหน็ ซึง่ เนอ้ื ความตามเปน จริงแหงสงั ขาร ทง้ั หลาย พงึ เปน ประหนง่ึ วา ยา เพราะยงั พษิ คือกิเลสใหพนิ าศ. ดังน.้ี ” ร. “พระผเู ปน เจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส ามประการแหงโภชนะ เปน ไฉน?”
ถ. “ขอถวายพระพร โภชนะเปนเคร่อื งอุปถมั ภแ หงสตั วท งั้ ปวงฉันใด, โยคาวจร ผูประกอบความเพยี ร ก็ตองเปน ผูอ ปุ ถมั ภมรรคาแหง สัตวท ้ังปวง ฉันนนั้ . น้ีแล ตอ ง ถือเอาองคท ีห่ นง่ึ แหง โภชนะ. อนง่ึ โภชนะยงั กําลงั ของสตั วใหเ จรญิ ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร ก็ ตองเจรญิ ดวยกาํ ไร คือ บญุ ฉันนน้ั . นแ้ี ล ตองถือเอาองคท ีส่ องแหง โภชนะ. อน่งึ โภชนะเปนของทสี่ ัตวท ง้ั ปวงปรารถนา ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความ เพยี ร ก็ตอ งเปนผูอันโลกทง้ั ปวงปรารถนา ฉันนนั้ . น้แี ล ตองถอื เอาองคทส่ี ามแหง โภชนะ. แมพระโมฆราชเถระ ก็ไดภาสติ คาํ นไี้ ดวา :- ‘ผปู ระกอบความเพยี ร พึงเปน ผอู ันโลกท้ังปวงปรารถนาดวยความสาํ รวม ความกาํ หนด ศลี ขอ ปฏิบัติ’ ดังน.้ี ” ร. “พระผูเ ปนเจา นาคเสน ตอ งถือเอาองคส ่ีประการแหง คนแผลงศร เปน ไฉน?” ถ. “ขอถวายพระพร คนแผลงศรเม่ือจะแผลงศร ตงั้ ไวซ ง่ึ เทาทงั้ สองใหมน่ั ที่ แผนดนิ , กระทาํ เขาทงั้ สองไมใ หมคี วามเปน ของวกิ ล, ตง้ั ไวซ ึ่งสายแหง ศร ณ ท่ตี อ คือ สะเอว, กระทาํ การใหแขง็ ขงึ ยกมือทงั้ สองขน้ึ ยงั ท่ีแหง ทต่ี อ , บบี เขาซึง่ กํามือ, กระทํานิว้ ทัง้ หลายมิใหม ีระหวา ง, ประคองคอไว หลว่ิ ตาทงั้ สองและหุบปาก, เลง็ ใหตรงท่ีหมาย, ยังความยนิ ดใี หเกิดขน้ึ วา ‘เราจักยงิ ’ ฉะน้ี ฉนั ใด, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร กต็ อ ง ตัง้ ไวซ งึ่ เทาทง้ั สอง คือ วิริยะ ณ แผน ดนิ คอื ศีล,กระทาํ ความอดกลน้ั และความเสงยี่ ม ใหเปน ของไมว กิ ล, ต้ังจติ ไวใ นความสาํ รวม, นาํ ตนเขา ไปในความระวังและความ กาํ หนด บบี ซง่ึ ความสยบดว ยความอจิ ฉาเขา, กระทําจติ ในโยนโิ สมนสกิ ารมใิ หมี ระหวา ง, ประคองไวซ ึง่ ความเพียร, ปดทวารทงั้ หกเสยี , เขา ไปตงั้ ไวซ่ึงสติ, ยงั ความยินดี ใหเ กดิ ขน้ึ วา ‘เราจักยงิ กิเลสทง้ั หลายดว ยศร คือ ปรีชาญาณ’ ฉะน้ี ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอ ง ถือเอาองคเปน ประถมแหงคนแผลงศร.” อนงึ่ คนแผลงศรยอมรักษาซง่ึ ไมต ะเกยี บ เพ่ืออนั ดัดลกู ศรซ่ึงคดโกงไมต รงให ตรง ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ องรักษาไวซ ง่ึ ตะเกยี บ คอื สตเิ ปน ทตี่ ง้ั ไว ท่วั กายน้ี เมื่ออนั ดัดจติ อันคดโกงไมตรงใหต รง ฉนั นน้ั . นแี้ ล ตอ งถือเอาองคท ่ีสองแหง คนแผลงศร. อนง่ึ คนแผลงศร ยอมยงิ ไปเปา ฉนั ใด, โยคาวจรผปู ระกอบความเพยี ร กต็ อง ยงิ เขาไปในกายน้ี คือ ยงิ เขาไปโดยความเปน ของไมเ ทีย่ ง โดยความเปน ทกุ ข โดยความ เปน อนตั ตา โดยความเปน โรค โดยความเปน ดงั หวั ฝ โดยความเปน ดงั ลกู ศร โดยความ เปน เครอื่ งลําบาก โดยความเปนความปว ยเจ็บ โดยความเปน สงิ่ อื่น โดยความเปน ของ
ทรดุ โทรม โดยความเปน เหตุรา ย โดยความเปน อปุ ททวะ โดยความเปนภยั โดยความ เปน ของขดั ของ โดยความเปน ของหวนั่ ไหว โดยความเปน ของเปอยพัง โดยความเปน ของไมย ่ังยนื โดยความเปน ของหาที่ปอ งกนั ไมได โดยความเปน ของไมม ที หี่ ลีกเรน โดย ความเปน ของไมมีวตั ถุเปน ทพี่ ่งึ โดยความเปนของไมม บี ุคคลเปนทพี่ งึ่ โดยความเปน ของวาง โดยความเปน ของสญู โดยความเปน โทษเปน ไป ดังมนษุ ยอ ันบคุ คลพึงกรณุ า โดยความเปนของไมมแี กนสาร โดยความเปนรากเงา แหง เคร่ืองลําบาก โดยความเปน ดังคนฆา โดยความเปน ของเปน ไปกบั ดวยอาสวะ โดยความเปนของทป่ี จ จยั ปรงุ แตง โดยความเปน ของมคี วามเกดิ เปน ธรรมดา โดยความเปนของมคี วามแกเ ปนธรรมดา โดยความเปนของมเี จ็บไขเปน ธรรมดา โดยความเปน ของมคี วามตายเปน ธรรมดา โดย ความเปน ของมีความแหงใจเปนธรรมดา โดยความเปน ของมคี วามราํ พนั เพอดว ยวาจา เปนธรรมดา โดยความเปน ของมคี วามคับใจเปน ธรรมดา โดยความเปน ของมเี ครื่อง เศราหมองพรอ มเปน ธรรมดา, โยคาวจรผูประกอบความเพยี ร ตอ งยงิ เขา ไปในกายน้ี อยางนี้ ฉนั น้ัน. นแี้ ล ตองถือเอาองคทีส่ ามแหงคนแผลงศร. อนง่ึ คนแผลงศร ยอ มหดั ยงิ ทกุ เวลาเยน็ เชา ฉันใด, โยคาวจรผปู ระกอบความ เพยี ร กต็ อ งหดั ยงิ เจาไปในอารมณท กุ เวลาเยน็ เชา ฉนั นนั้ . นแ้ี ล ตองถือเอาองคทสี่ แี่ หง คนแผลงศร. แมพระสารบี ตุ รเถระผูธรรมเสนาบดี กไ็ ดก ลาวคาํ นไี้ วว า :- ‘ธรรมดาคนแผลงศร ยอ มหดั ยิงทุกเวลาเยน็ เชา เมือ่ ไมท อดทงิ้ ซ่งึ การหัดยงิ ยอมไดร างวลั และบําเหน็จเครอ่ื งยินดี ฉนั ใด;พุทธบุตรก็กระทาํ ซ่งึ อนั ยิงเขา ไปในกาย เมอ่ื ไมทอดทงิ้ ซงึ่ อนั เขา ไปยงิ ในกาย ยอ มบรรลพุ ระอรหัต ฉนั นน้ั ’ ดังน.ี้ ” (หมดฉบับนทิ เทสแหง บทมาติกาเพยี งน้ี ไมมนี ทิ เทสจนหมดบทมาติกาทีต่ งั้ ไว นัน้ , ตอ น้ี ดําเนินความตามเร่อื งเปนลาํ ดับไปจนจบ) มิลินทปญหา ซง่ึ มาในคมั ภีรน ส้ี องรอ ยหกสบิ สองปญหา เปน ไปในกัณฑห ก กณั ฑ ประดบั ดวยวรรคยี่สบิ วรรค. ก็แตมิลินทปญ หาท่ียงั ไมม าในคมั ภรี นอี้ ีกสส่ี ิบสอง ปญ หา รวมทงั้ ท่ีมาทัง้ ทไ่ี มม าดวยกนั ท้งั หมดเปน สามรอ ยกับส่ีปญ หา ถึงซง่ึ อนั นับวา มิ ลนิ ทปญ หาทง้ั สิ้นดว ยประการฉะน.ี้ อปรภาคกถา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430