Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปแบบการบริหารวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคกลาง/สุภัค ตรงรัตนจิต

รูปแบบการบริหารวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคกลาง/สุภัค ตรงรัตนจิต

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-11-01 07:36:06

Description: บัณฑิตวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย

Search

Read the Text Version

35 2.2.3 องคป์ ระกอบของรูปแบบ องค์ประกอบ คือ สิ่งต่าง ๆ ท่ีใช้ประกอบเป็นส่ิงใหญ่ ส่วนของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเคร่ือง ประกอบทาให้เกดิ เป็นรูปแบบข้ึนใหม่โดยเฉพาะ ได้มีนักวชิ าการกล่าวถึงองค์ประกอบของรปู แบบไว้ ดงั น้ี ธีระ รุญเจริญ (2550, หน้า 162-163) ได้แบ่งองค์ประกอบของรูปแบบเป็น 6 องค์ประกอบ คอื 1) หลกั การของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) ระบบและกลไกของรูปแบบ 4) วิธีดาเนินงาน ของรูปแบบ 5) แนวทางการประเมนิ ผลรปู แบบ และ 6) เง่อื นไขของรปู แบบ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2553, หน้า 6) ได้กล่าวว่า การกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบจะ ประกอบ ด้วยอะไร จานวนเท่าใด มีโครงสร้างและความสัมพันธ์กันอย่างไรน้ันข้ึนอยู่กับปรากฎการณ์ ปัจจัยหรือตวั แปรต่าง ๆ ทีก่ าลงั ศึกษา ซึง่ จะออกแบบตาม แนวคิด ทฤษฎี งานวจิ ยั และหลักการพ้ืนฐาน ในการกาหนดรูปแบบนั้น ๆ คีฟส์ (Keeves, 1997 pp. 386-387 อ้างถึงใน ทิศนา แขมณี, 2555, หน้า 220) ได้กล่าว ว่า รูปแบบโดยท่ัวไปควรมีองค์ประกอบท่ีสาคัญ ดังน้ี 1) รูปแบบจะต้องนาไปสู่การทานาย (Prediction) ผลที่ตามมาซึ่งสามารถพิสูจน์ทดสอบได้ กล่าวคือ สามารถนาไปสร้างเคร่ืองมือเพื่อไป พิสูจน์ทดสอบได้ 2) โครงสร้างของรูปแบบจะต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (Causal relationship) ซึ่งสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์หรือเร่ืองนั้นได้ 3) รูปแบบจะต้องสามารถช่วย สร้างจินตนาการ (Imagination) ความคิดรวบยอด (Concept) และความสัมพันธ์ (Interrelations) รวมท้ังช่วยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้ และ 4 รูปแบบควรจะประกอบด้วยความสัมพันธ์ เชิงโครงสร้าง (Structural Relationships) มากกว่าความสัมพันธ์เชิงเช่ือมโยง (Associative relationships) จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ความหมายจากนักวิชาการต่าง ๆ ดังกล่าว สรุปได้ว่า การกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของรูปแบบหรือตัวแปรที่มีโครงสร้าง และความสัมพันธ์กันในตัวแปรที่กาลังศึกษา โดยแสดงให้เห็นสิ่งใหม่ท่ีส่งผลต่อการทานายผลและ อธิบายปรากฎการณน์ ั้น ๆ 2.2.4 ลักษณะของรปู แบบทีด่ ี รูปแบบเป็นส่ิงที่ได้รับการพัฒนาข้ึนเพื่อบรรยายลักษณะท่ีสาคัญของปรากฏการณ์เรื่อง ใดเรือ่ งหน่ึง เปรียบเสมือนกับวา่ เปน็ สิง่ ท่ีผู้สนใจทาการศกึ ษาในเรอ่ื งนั้น ๆ ไดเ้ ข้าใจเบ้อื งต้น และนาไปสู่ การศึกษาในเชงิ ลกึ ต่อไป ดังท่ี วาโร เพง็ สวัสดิ์ (2553, หนา้ 6) ได้กล่าวว่า รูปแบบท่ีดคี วรมลี ักษณะ ดังน้ี 1. รูปแบบควรประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรมากกว่าความสัมพันธ์ เชงิ เสน้ ตรงธรรมดา อยา่ งไรกต็ ามความสัมพันธเ์ ชงิ เส้นตรงกม็ ีประโยชน์ในชว่ งของการพัฒนารูปแบบ

36 2. รูปแบบควรนาไปสู่การทานายผลท่ีตามมา ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยเมื่อทดสอบรปู แบบแล้วถ้าปรากฏว่าไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชงิ ประจักษ์ รปู แบบนั้นต้องถกู ยกเลกิ 3. รูปแบบควรอธิบายโครงสรา้ งความสมั พนั ธ์เชงิ เหตุผลของเรอ่ื งทีศ่ กึ ษาได้อยา่ งชดั เจน 4. รูปแบบควรเปน็ เครื่องมือในการสรา้ งความคิดรวบยอด (Concept) ใหม่ และการสร้าง ความสมั พนั ธข์ องตัวแปรใหม่ ซึ่งจะเปน็ การเพิ่มองค์ความรู้ (Body of Knowledge) ในเรื่องท่ีกาลังศกึ ษา 5. รปู แบบในเรอ่ื งใด จะเปน็ เชน่ ไรขนึ้ อย่กู บั กรอบของทฤษฎใี นเรอ่ื งน้นั ๆ จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ความหมายจากนักวิชาการต่าง ๆ ดังกล่าว สรุปได้ว่า ลักษณะของรูปแบบที่ดีควรมีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง สามารถนาไปสู่การทานายผลที่ตามมา อธบิ ายโครงสร้างเรื่องที่ศึกษาได้อย่างชัดเจน เป็นเครื่องมือในการสร้างความคิดรวบยอด เพื่อเพิ่ม องค์ความรู้เร่ืองที่กาลังศึกษา และเปน็ ไปตามกรอบของทฤษฎที ี่ศกึ ษา 2.2.5 การพฒั นารปู แบบ จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบพบว่า การพัฒนารูปแบบนั้น อาจจะมีขั้นตอนในการดาเนินงานแตกต่างกันไป ซ่งึ ไดม้ นี ักวชิ าการกลา่ วถงึ การพฒั นารปู แบบไว้ ดังนี้ กาญจนา วัธนสุนทร (2550, หนา้ 3-4 - 3-11) กลา่ วไว้พอสรุปได้ดังต่อไปน้ี การออกแบบวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบหรือโมเดล เป็นการจัดทาแผนหรือการวิจัย เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ท้ังในทางทฤษฎีและจากงานวิจัยเชิงประจักษ์ในอดีต หรือเป็นการวางแผนวจิ ัยเพ่ือศึกษาความสัมพนั ธ์ ขององค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง ๆ ในเชิงเหตุและผลจากทฤษฎีและองค์ความรู้ท่ีได้จากผลงานที่มี ผู้ศึกษาไว้ในอดีต เพื่อจัดระบบโครงสร้างรูปแบบหรือกระบวนการที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ตามทฤษฎีและองค์ความรู้ที่ได้ศึกษามาโดยสามารถพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูล เชิงประจักษ์ว่า ระบบโครงสร้าง รูปแบบ หรือกระบวนการที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมกับข้อมูล เชิงประจักษ์ท่ไี ด้จากบริบทของสงั คมท่เี ป็นอย่หู รอื ไม่ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2553, หน้า 9-13) ได้กล่าวว่า กระบวนการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา รูปแบบ สามารถสรุปได้ว่าการพัฒนารูปแบบแบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การสร้างหรือพัฒนา รูปแบบ และ 2) การตรวจสอบความเท่ยี งตรงของรูปแบบ ซ่ึงแตล่ ะข้ันตอนมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. การสร้าง หรือพัฒนารูปแบบ ในข้ันตอนนี้ผู้วิจัยจะสร้างหรือพัฒนารูปแบบขึ้นมาก่อน เป็นรูปแบบตามสมมติฐาน (Hypothesis Model) โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง นอกจากนผ้ี ้วู ิจัยอาจจะศึกษารายกรณหี น่วยงานทดี่ าเนนิ การในเรอ่ื งนน้ั ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ซ่งึ ผลการศึกษา จะนามาใช้กาหนดองค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง ๆ ภายในรูปแบบ รวมท้ังลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ประกอบหรือตัวแปรเหล่านั้น หรือลาดับก่อนหลังของแต่ละองค์ประกอบในรูปแบบ ดังนั้น การพัฒนารูปแบบในขั้นตอนนี้จะต้องอาศัยหลักการของเหตุผลเป็นรากฐานสาคัญซึ่ง

37 โดยทั่วไปการศึกษาในข้ันตอนน้ีจะมีขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้ 1) การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เก่ียวข้อง เพ่ือนาสารสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นร่างกรอบความคิดการวิจัย 2) การศึกษาจากบริบทจริงในขนั้ ตอนนอี้ าจจะดาเนินการได้หลายวิธี ดงั น้ี การศึกษาสภาพและปัญหา การดาเนินการในปัจจุบนั ของหนว่ ยงาน ควรศึกษาความคิดเห็นจากบุคคลทีเ่ กี่ยวข้อง (Stakeholder) ซ่งึ วธิ ศี กึ ษาอาจจะใช้วธิ ีการสัมภาษณ์ การสอบถาม การสารวจ การสนทนากลุ่ม เปน็ ต้น การศึกษาราย กรณี (Case Study) หรือพหุกรณี หน่วยงานที่ประสบผลสาเร็จหรือมีแนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องที่ศึกษา เพื่อนามาเป็นสารสนเทศท่ีสาคัญในการพัฒนารูปแบบ และการศึกษาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือ ผู้ทรงคุณวุฒิ วิธีศึกษาอาจจะใช้วิธีการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เป็นต้น และ 3) การจัดทารูปแบบ ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยจะใช้สารสนเทศที่ได้ในข้อ 1) และ 2) มาวิเคราะห์และ สังเคราะห์เพื่อกาหนดเป็นกรอบความคิดการวิจัย เพื่อนามาจัดทารปู แบบ 1.1 การสร้างรูปแบบ คือ การกาหนดมโนทัศน์เกี่ยวขอ้ งสัมพันธ์กันอยา่ งเป็นระบบ เพื่อชี้ใหเ้ ห็นชัดเจนว่ารูปแบบเสนออะไร เสนออยา่ งไร เพอ่ื ให้ไดอ้ ะไร และส่ิงทีไ่ ดน้ ้ันอธิบายปรากฏการณ์ อะไร และนาไปสู่ขอ้ ค้นพบอะไรใหม่ ๆ (Steiner, 1969, Keeve, 1988, อ้างถึงใน บญุ เชดิ ชานศิ าสตร์, 2556 หน้า 18) ข้นั ตอนการสร้างรูปแบบเขยี นไวใ้ นภาพท่ี 2.2 มโนทศั น์ การวัด ตัวแปร สรา้ งความสมั พนั ธ์ ขอ้ เสนอ Concepts Measurement Variables ระหว่างตัวแปร Propositions Relating variables สรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งข้อเสนอ Relating Propositions ผลการทานาย การทานาย ข้อเสนอ Solution Prediction Propositions ภาพที่ 2.2 แสดงขน้ั ตอนการสร้างรูปแบบสร้างความสัมพนั ธ์ ที่มา : จาก การพัฒนารูปแบบการบริหารวิชาการในการจัดการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี, (หน้า 18), โดย คีฟส์ (Keeve, 1988, อ้างถึงใน บญุ เชิด ชานศิ าสตร์), 2556, วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั สยาม.

38 มยิ ากาวะ ทาดาโอะ (2550, หน้า 3) ไดเ้ สนอการสรา้ งโมเดลว่าเปน็ การศกึ ษาปรากฏการณ์ ทางธรรมชาตหิ รือสังคมเร่อื งใดเร่ืองหนึ่ง เราอาจไม่ศกึ ษาปรากฏการณ์เร่อื งน้นั โดยตรงก็ได้ แตเ่ ราศึกษา โดยวิธีการสร้างโมเดล เพื่อหาข้อสรุปท่ีสามารถนาไปอธบิ าย ทานาย หรือควบคุมปรากฏการณ์ที่ศึกษา ดังภาพที่ 2.3 การสร้างโมเดล การใชโ้ มเดล สภาพความเปน็ จรงิ ของ โมเดล ขอ้ สรุป ปรากฏการณ์ ที่ศกึ ษา - อธบิ าย - ทานาย - ควบคุม ภาพที่ 2.3 การศกึ ษาปรากฏการณโ์ ดยวิธีการสร้างโมเดล ทีม่ า : จาก เศรษฐมิตเิ บื้องตน้ , (หน้า 3), โดย มิยากาวะ ทาดาโอะ, 2550, กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พร์ แู้ จ้ง. โมเดลที่ใช้ศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ทางสังคมต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คอื ประการที่หน่ึง มลี ักษณะสอดคลอ้ งกับสภาพความจริงของปรากฏการณ์ของเรื่องที่ศึกษาและอีกประการหนงึ่ สามารถ นาไปใช้หาข้อสรุปเพ่ือ อธิบาย ทานายหรือควบคุมปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง คุณสมบัติ ของโมเดลทั้ง 2 ประการน้ี มีลักษณะขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ 1) ถ้าเราสร้างโมเดลให้สอดคล้องกับ สภาพความจริงของปรากฏการณ์มากเท่าใด โมเดลก็จะสลับซับซ้อนมากข้ึนทาให้การนาโมเดล ไปใช้มีความยุ่งยากในทางตรงกันข้ามถ้าเราเน้นความสะดวก ในการนาโมเดลไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ ก็ต้องเขียนโมเดลให้ง่ายเข้าไว้โมเดลก็ไม่ค่อยสอดคล้องกับสภาพความจริงของ ปรากฏการณ์ซ่ึงทาใหก้ ารนาโมเดลไปใช้อธิบายทานายหรือควบคุมปรากฏการณไ์ ด้จากัด จดุ มุง่ หมาย ท่สี าคัญของการสร้างโมเดลก็เพ่อื ทดสอบหรือตรวจสอบโมเดลนัน้ ด้วยขอ้ มลู เชงิ ประจักษ์ 1.2 การพัฒนารูปแบบ การพัฒนารูปแบบน้ันอาจจะมีขั้นตอนในการดาเนินงานท่ีแตกต่าง กนั ไป รัตนะ บัวสนธ์ (2556 ข, หน้า 13-15) ไดน้ าเสนอแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม (ผลิตภัณฑ์) โดยใช้กระบวนการวิจัยซึ่งมีขั้นตอนสาคัญ 5 ขั้น คือ 1) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การสารวจสังเคราะห์ สภาพปัญหาและความต้องการหรือการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยเพื่อหาคาตอบเกี่ยวกับ สภาพความต้องการผลิตภัณฑ์รวมทั้งลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการพัฒนา 2) การสร้างออกแบบ

39 และประเมินนวัตกรรม (ผลิตภัณฑ์) เป็นการนาความรู้หรือผลการวิจัยที่ได้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใหม้ ี ลักษณะหรือรูปแบบตามความต้องการของกลุ่มเปา้ หมายในการสร้างหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ อาจต้อง ใชบ้ คุ คลทมี่ ีความเช่ยี วชาญเฉพาะทางในการสร้างผลิตภัณฑแ์ ต่ละชนดิ เม่ือสร้างผลิตภณั ฑ์เสร็จแล้วก็ จะต้องนาไปตรวจสอบความเหมาะสมและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ต่อไป 3) การนานวัตกรรม (ผลิตภัณฑ์) ไปทดลองใช้ การทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์เป็นการนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปทดลองใช้กับ เป้าหมาย และการดาเนินงานในขั้นตอนน้ีจะมีลักษณะเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการออกแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ว่าจะใช้แบบแผนใด จึงจะเหมาะสมควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ดี และทาให้การวิจัยเกิดความเที่ยงตรงภายใน (Internal validity) ได้มากที่สุด 4) การประเมินและปรับปรุงนวัตกรรม (ผลิตภัณฑ์) เป็นการประเมินผลการใช้ ผลติ ภณั ฑ์ในภาพรวมทง้ั หมดซ่ึงประเมนิ ทัง้ ตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการใช้ผลติ ภัณฑ์ ผลทไ่ี ดจ้ ากการใช้ ผลิตภัณฑ์ ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ผลท่ีได้จากการประเมินจะนาไปสู่การตัดสินใจปรับปรุงพฒั นา ผลติ ภัณฑ์ และ 5) การเผยแพร่นวตั กรรม (ผลติ ภณั ฑ)์ เปน็ การเผยแพรน่ วัตกรรมทไี่ ดผ้ ่านการทดลองใช้ ประเมินผลในภาพรวมและปรับปรุงข้ันสุดท้ายแล้วออกสู่กลุ่มผู้ใช้ อาจนาไปใช้ทางสาธารณประโยชน์ ตลอดจนการให้บรกิ ารตา่ ง ๆ บุญชม ศรีสะอาด (2558, หนา้ 13) ได้แบ่งการดาเนนิ การออกเปน็ 2 ขน้ั ตอน คอื การพัฒนา รูปแบบและการทดสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรูปแบบ ในส่วนการพัฒนารูปแบบน้ัน ดาเนินการโดยวิเคราะห์ลาดับในการทาวิทยานิพนธ์ หลักการเขียนรายงานการวิจัย จุดบกพร่อง ที่มักจะพบในการทาวิทยานิพนธ์ ฯลฯ แล้วนาองค์ประกอบเหล่านั้นมาสร้างรูปแบบการควบคุม วิทยานิพนธ์ตามลาดับขั้นในการทาวิทยานิพนธ์ หลังจากน้ันจะเป็นข้ันตอนท่ี 2 นารูปแบบดังกล่าว ไปทดสอบและประเมนิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของรูปแบบ อยา่ งไรกต็ ามในงานวจิ ัยบางเร่ืองนอกจากจะศึกษาตามขั้นตอนท่ีกล่าวมาแล้ว ผู้วิจัยยงั อาจจะ ศึกษาเพ่ิมเติมโดยใช้กระบวนการวิจัยแบบเดลฟาย (Delphi Technique) หรือการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ในการพัฒนารูปแบบใดกไ็ ด้ (วาโร เพง็ สวสั ด์,ิ 2553, หนา้ 10) 2. การทดสอบความเที่ยงตรงของรูปแบบ ภายหลังท่ีได้พัฒนารูปแบบในข้ันตอนแรกแลว้ จาเปน็ ทจี่ ะตอ้ งทดสอบความเทย่ี งตรงของรปู แบบดังกล่าว เพราะรปู แบบทพี่ ัฒนาขนึ้ ถงึ แม้จะพัฒนา โดยมีรากฐานจากทฤษฎี แนวความคิดรูปแบบของบุคคลอ่ืน และผลการวิจัยที่ผ่านมาแต่ก็เป็นเพียง รูปแบบตามสมมติฐาน ซึ่งจาเป็นท่ีจะต้องตรวจสอบความเท่ียงตรงของรูปแบบว่ามีความเหมาะสม หรือไม่ และเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพตามท่ีมุ่งหวังหรือไม่ การเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานการณ์ จริงหรอื ทดลองใชร้ ูปแบบในสถานการณ์จริงจะชว่ ยให้ทราบอิทธิพลหรอื ความสาคัญขององค์ประกอบย่อย หรือตัวแปรต่าง ๆ ในรูปแบบผู้วิจัยอาจจะปรับปรุงรูปแบบใหม่โดยการตัดองค์ประกอบหรือตัวแปรที่ พบว่าไมม่ อี ทิ ธพิ ลหรอื มีความสาคัญนอ้ ยออกจากรูปแบบ ซง่ึ จะทาให้ไดร้ ูปแบบทีม่ ีความเหมาะสมยิง่ ข้นึ

40 การทดสอบรปู แบบอาจกระทาไดใ้ น 4 ลักษณะ ดงั น้ี 2.1 การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินตามมาตรฐานที่กาหนดการประเมินท่ีพัฒนาโดย The Joint Committee on Standards of Educational Evaluation ภายใต้การดาเนินงานของ Stufflebeam และคณะ ได้นาเสนอหลักการประเมินเพือ่ เป็นบรรทัดฐานของกิจกรรมการตรวจสอบ รปู แบบ ประกอบดว้ ยมาตรฐาน 4 ดา้ น ดังน้ี 2.1.1 มาตรฐานด้านความเป็นไปได้ (Feasibility Standards) เป็นการประเมินความเป็นไปได้ ในการนาไปปฏิบตั จิ รงิ 2.1.2 มาตรฐานด้านความเป็นประโยชน์ (Utility Standards) เป็นการประเมินการสนองตอบ ตอ่ ความต้องการของผู้ใชร้ ูปแบบ 2.1.3 มาตรฐานดา้ นความเหมาะสม (Propriety Standards) เป็นการประเมนิ ความเหมาะสม ท้ังในด้านกฎหมายและศีลธรรมจรรยา 2.1.4 มาตรฐานด้านความถูกตอ้ งครอบคลมุ (Accuracy Standards) เปน็ การประเมิน ความน่าเช่อื ถือ และไดส้ าระครอบคลุมครบถ้วนตามความตอ้ งการอย่างแท้จริง 2.2 การทดสอบรปู แบบด้วยการประเมนิ โดยผ้ทู รงคุณวุฒิ การทดสอบรูปแบบในบางเรื่อง ไม่สามารถกระทาได้โดยข้อมูลเชิงประจักษ์ ดว้ ยการประเมินคา่ พารามเิ ตอร์ของรปู แบบ หรือการดาเนินการ ทดสอบรปู แบบด้วยวิธกี ารทางสถิติ แต่งานวจิ ยั บางเร่ืองนัน้ ต้องการความละเอียดอ่อนมากกวา่ การได้ ตวั เลขแล้วสรปุ ซง่ึ ไอส์เนอร์ (Eisner, 1976, อา้ งถงึ ใน วาโร เพ็งสวัสดิ,์ 2553, หนา้ 10-11) ได้เสนอ แนวคดิ ของการทดสอบหรอื ประเมินรปู แบบโดยใชผ้ ูท้ รงคุณวฒุ ิ โดยมีแนวคิด ดังน้ี 2.2.1 การประเมินโดยผู้ทรงคุณวฒุ ิ จะเน้นการวิเคราะห์และวิจารณ์อย่างลึกซ้ึงเฉพาะ ในประเด็นท่ีถูกพิจารณา ซ่ึงไม่จาเป็นต้องเก่ียวโยงกับวัตถุประสงค์ หรือผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ เสมอไปแตอ่ าจจะผสมผสานกับปัจจัยต่าง ๆ ในการพิจารณาเข้าด้วยกันตามวิจารณญาณของผู้ทรงคุณวุฒิ เพือ่ ให้ได้ข้อสรุปเก่ียวกบั ขอ้ มูลคณุ ภาพ ประสิทธิภาพและความเหมาะสมของสิ่งทจี่ ะทาการประเมิน 2.2.2 รูปแบบการประเมินที่เป็นความชานาญเฉพาะทาง (Specialization) ในเรื่องท่ีจะ ประเมินโดยพัฒนามาจากแบบการวิจารณ์งานศิลปะ (Art Criticism) ที่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง และต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญระดับสูงมาเป็นผู้วินิจฉัย เนื่องจากเป็นการวัดคุณค่าที่ไม่อาจประเมินด้วย เครื่องวัดใด ๆ และต้องใช้ความร้คู วามสามารถของผู้ประเมินอยา่ งแท้จริง แนวคิดนี้ไดน้ ามาประยุกต์ใช้ ในทางการศกึ ษาระดบั สงู มากขึน้ ทง้ั น้เี พราะเป็นองค์ความรู้เฉพาะสาขา ผู้ทีศ่ ึกษาเรอื่ งนัน้ จรงิ ๆ จึงจะ ทราบและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น ในวงการศึกษาจึงนิยมนารูปแบบนี้มาใช้ในเรื่องที่ต้องการความลึกซึ้ง และความเชยี่ วชาญเฉพาะ

41 2.2.3 รูปแบบที่ใช้ตัวบุคคล คือผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเครื่องมือในการประเมินโดยให้ ความเชื่อถือว่าผู้ทรงคุณวุฒิน้นั เท่ียงธรรม และมีดุลพินิจที่ดี ท้ังน้ีมาตรฐานและเกณฑพ์ ิจารณาต่าง ๆ น้นั จะเกดิ ข้ึนจากประสบการณแ์ ละความชานาญของผูท้ รงคุณวฒุ นิ น้ั เอง 2.2.4 รปู แบบที่ยอมให้มีความยดื หย่นุ ในกระบวนการทางานของผู้ทรงคุณวฒุ ิ ตามอัธยาศัย และความถนัดของแต่ละคน นับตั้งแต่การกาหนดประเด็นสาคัญท่ีจะนามาพิจารณา การบ่งชี้ข้อมูล ที่ต้องการ การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล การวินิจฉัยขอ้ มูล ตลอดจนวิธีการนาเสนอ 2.3 การทดสอบรูปแบบโดยการสารวจความคิดเห็นของบุคลากรท่ีเก่ียวข้อง มักจะใช้กับ การพัฒนารูปแบบโดยใช้เทคนิคเดลฟาย เม่ือผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบโดยใช้เทคนิคเดลฟายเสร็จส้ิน เรียบร้อยแล้วผู้วิจัยจะนารูปแบบที่พัฒนาข้ึนในรอบสุดท้ายมาจัดทาเป็นแบบสอบถามที่มีลักษณะเป็น แบบประมาณคา่ (Rating Scale) เพื่อนาไปสารวจความคิดเหน็ ของบุคคลทเ่ี ก่ียวขอ้ งเก่ยี วกับความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ 2.4 การทดสอบรูปแบบโดยการทดลองใช้รูปแบบ การทดสอบรูปแบบโดยการทดลองใช้ รูปแบบน้ีผู้วิจัยจะนารูปแบบท่ีพัฒนาข้ึนไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย มีการดาเนินการตาม กจิ กรรมอย่างครบถว้ นผู้วจิ ัยจะนาข้อค้นพบทีไ่ ดจ้ ากการประเมนิ ไปปรับปรุงรปู แบบตอ่ ไป กระบวนการพัฒนารปู แบบสามารถแสดงเปน็ ภาพท่ี 2.4 และภาพท่ี 2.5 ได้ (วาโร เพ็งสวัสด์ิ, 2553, หนา้ 12-13) ดังน้ี

42 ขั้นตอน กิจกรรม ผลที่ได้ 1. ขน้ั การพฒั นา การศกึ ษาเอกสาร และงานวิจัยท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เน้ือหา (ร่าง) กรอบความคดิ รูปแบบ และรูปแบบของเร่อื งทศี่ ึกษา การวิจัย การศึกษาจากสภาพจรงิ ไดแ้ ก่ กรอบความคคิ การวิจัย 1) การศึกษาสภาพและปญั หาการดาเนินงานของ หน่วยงานหรอื 2 การศึกษาความคดิ เห็นของผเู้ ช่ยี วชาญโดยการ สมั ภาษณ์ การสนทนากลมุ่ เปน็ ต้น หรือ 3) การศึกษารายกรณี (Case Study) ของหนว่ ยงาน ที่ดาเนนิ การได้ดใี นเรอื่ งที่ศกึ ษา การพัฒนารปู แบบโดยการวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ (ร่าง) รูปแบบ (หรอื ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่ เรยี กวา่ รูปแบบตาม เกยี่ วขอ้ ง และจากการศกึ ษาจากสภาพจรงิ สมมติฐาน) ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 2. ขั้นตรวจสอบ ทดสอบความเหมาะสม และความเปน็ ไปไดข้ อง ได้ขอ้ เสนอแนะ ความเท่ยี งตรง รูปแบบซง่ึ สามารถกระทาได้ ดงั น้ี คาแนะนาในการ ของรูปแบบ 1) การศึกษาความคิดเห็นของผู้ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ซง่ึ อาจ ปรับปรุงแกไ้ ข กระทาไดโ้ ดยการสัมภาษณ์ การสนทนากล่มุ การสอบถาม เปน็ ตน้ 2) การศึกษาความคิดเหน็ ของผู้เช่ียวชาญ ซึ่งอาจจะ ใชว้ ธิ กี ารสมั ภาษณ์ การสนทนากลมุ่ เป็นตน้ 3) การนารปู แบบไปทดลองใชจ้ รงิ ปรับปรงุ และนาเสนอรปู แบบ รูปแบบทีเ่ หมาะสม ภาพท่ี 2.4 ข้ันตอนการวิจยั การพฒั นารปู แบบ กรณีที่ 1 รา่ งรูปแบบจากการวเิ คราะห์เอกสารและ การศึกษาจากสภาพจริง ท่ีมา : จาก การวจิ ยั พฒั นารูปแบบ, (หนา้ 12), โดย วาโร เพ็งสวสั ดิ,์ 2553, วารสารมหาวทิ ยาลัยราชภัฏ สกลนคร.

ขัน้ ตอน กิจกรรม 43 1. ขั้นการพัฒนา การศกึ ษาเอกสาร และงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั เนอ้ื หาและ ผลทไี่ ด้ รูปแบบ รูปแบบของเรอ่ื งท่ศี ึกษา (รา่ ง) กรอบความคิด การวจิ ยั การศกึ ษาจากสภาพจรงิ ไดแ้ ก่ กรอบความคคิ การวิจัย 1) การศึกษาสภาพและปัญหาการดาเนินงานของหน่วยงาน หรอื 2 การศกึ ษาความคิดเห็นของผ้เู ช่ยี วชาญโดยการสมั ภาษณ์ (ร่าง) รูปแบบ (หรือ เรยี กว่ารปู แบบตาม การสนทนากล่มุ เปน็ ต้น หรือ สมมติฐาน) 3) การศึกษารายกรณี (Case Study) ของหน่วยงาน ทด่ี าเนนิ การได้ดใี นเร่อื งท่ศี ึกษา พัฒนารูปแบบ. (ตามประเด็นท่ศี กึ ษา) โดยใช้เทคนคิ เดลฟาย (3 รอบ) รอบท่ี 1 สง่ แบบสอบถามชนิดเลือกตอบเห็นดว้ ย-ไมเ่ หน็ ด้วยพร้อมคาถามปลายเปิดใน ตอนทา้ ยของแตล่ ะตอน เพื่อให้ผูเ้ ชี่ยวชาญแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระ รอบท่ี 2 สร้างแบบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั สง่ ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญตอบ จากน้นั นามาวิเคราะหห์ าคา่ Md และ IQR รอบท่ี 3 สง่ ให้ผเู้ ช่ยี วชาญตอบ ซ่ึงในรอบนจี้ ะแสดงคา่ Md และ IQR เป็นรายขอ้ ทัง้ ของกลมุ่ และคาตอบของแต่ละคน เพื่อให้ผู้เช่ียวชาญพจิ ารณาคาตอบ เสนอรูปแบบ/ตัวบ่งชน้ี าคาตอบรอบที่ 3 มาวิเคราะห์หาคา่ Md และ IQR เปน็ รายข้อ โดยคดั เลือกข้อท่ีมีความเหมาะสมและสอดคล้องกนั สูง (Md > 3.50, IQR < 1.50) 2. ขั้นตรวจสอบ วิเคราะห์ความเหมาะสมตามความคิดเห็นของผู้ทเ่ี กย่ี วข้อง (ซึ่งเปน็ ได้ขอ้ เสนอแนะคาแนะนา ความเทย่ี งตรง บคุ คลท่ไี ดร้ บั ผลกระทบจากการนารูปแบบ/ ตวั บ่งชี้ไปใช้) โดยนา ในการปรับปรุงแก้ไข ของรปู แบบ แบบสอบถามชนดิ มาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั (ทสี่ ร้างจาก ขอ้ ความทผ่ี า่ นการคดั เลอื กในการทาเดลฟายรอบที่ 3) ไปให้ ผ้เู กยี่ วขอ้ งตอบ แล้วนาเสนอรปู แบบ/ ตวั บ่งชี้ที่มคี วามเหมาะสม (เลอื กขอ้ ท่ี Md > 3.50, IQR < 1.50 หรือ คา่ เฉลี่ย >3.50) ปรบั ปรุงและนาเสนอรูปแบบ รปู แบบท่ีเหมาะสม ภาพท่ี 2.5 ขัน้ ตอนการวิจัยการพฒั นารูปแบบ กรณที ี่ 2 ร่างรูปแบบโดยใชเ้ ทคนิคเดลฟาย ที่มา : จาก การวิจัยพัฒนารปู แบบ, (หนา้ 13), โดย วาโร เพง็ สวสั ด,์ิ 2553, วารสารมหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร.

44 จากการวเิ คราะห์ และสังเคราะหก์ ารพฒั นารูปแบบจากนกั วชิ าการตา่ ง ๆ ดังกล่าว สรุปไดว้ ่า การพัฒนารูปแบบนั้นไมม่ ีองค์ประกอบที่แนน่ อน ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับลักษณะและกรอบแนวคิดที่เป็นพ้ืนฐาน ซึ่ง การพัฒนารปู แบบ สรุปได้เป็น 2 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การสร้างหรือพัฒนารูปแบบ และ 2) การตรวจสอบ ความเที่ยงตรงของรปู แบบ 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารงานวชิ าการในระดบั มธั ยมศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2550, หน้า 58) ได้เสนอหลักการและ แนวคิดในการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ ดังนี้ 1) ยึดหลักให้สถานศึกษาจัดทา หลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นไปตามกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและสอดคล้องกับ สภาพปญั หาและความต้องการของชุมชนและสังคมอย่างแท้จริงโดยมีครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และ ชุมชนมีส่วนร่วม 2) มุ่งส่งเสริมสถานศึกษาให้จัดกระบวนการเรียนรู้ โดยถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญ ที่สุด 3) มุ่งส่งเสริมให้ชุมชนและสังคมมีส่วนร่วมในการกาหนดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้รวมทัง้ เป็นเครือขา่ ยและแหล่งการเรยี นรู้ 4) มุง่ จัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานโดยจดั ให้มีดัชนีชี้วัด คุณภาพการจัดหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ และสามารถตรวจสอบคุณภาพการจัดการศึกษาได้ ทุกช่วงช้ันท้ังระดับเขตพ้ืนที่การศึกษาและสถานศึกษา 5) มุ่งส่งเสริมให้มีการร่วมมือเป็นเครือ ข่าย เพ่ือเพ่ิมประสิทธภิ าพและคุณภาพในการจัดและพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา จากหลักการและแนวคิด ดังกล่าวขา้ งตน้ การบรหิ ารงานวิชาการจึงเปน็ งานที่สาคัญของผู้บรหิ ารท่ีจะต้องรับผิดชอบในการใช้ หลักการในการบริหารงานด้านนี้ให้มีประสิทธิภาพเพ่ือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ซงึ่ มนี กั วิชาการได้ ศกึ ษาและค้นคว้าเกย่ี วกับการบริหารงานวิชาการไว้ ดังนี้ 2.3.1 ความหมายเกย่ี วกบั การบรหิ ารงานวิชาการ การบริหารงานวิชาการเป็นงานท่สี าคัญถอื วา่ เป็นหวั ใจของการบรหิ ารสถานศกึ ษาทกุ ระดับ ทั้งนี้เพราะจดุ มงุ่ หมายของสถานศึกษากค็ อื การจัดการศกึ ษาให้มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลเพ่ือให้ จัดการศึกษาเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดี มีความสามารถ และอยู่ รว่ มกับสงั คมอยา่ งมีความสุข ซึ่งได้มนี กั วชิ าการได้ศึกษา ค้นคว้าไว้ ดงั น้ี ฟอเรสท์ และกินเซอร์ (Forest and Kinser, 2002 p. 1) ได้ให้ความหมายของการบริหารงาน วิชาการไว้ว่า งานที่ต้องรับผิดชอบเก่ียวกับการบริหารและการส่งเสริมการจัดทาหลักสูตรการสอนและ การจัดการเรียนรู้

45 ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550, หน้า 3-4) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การบริหารงานหรือการดาเนินงานทุกชนดิ ในสถานศึกษา เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้เกดิ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด มหาวิทยาลัยในฐานะเป็นหน่วยปฏิบัติการท่ีมีหน้าที่และภารกิจ โดยตรงในการจดั การศึกษา มีหนา้ ท่พี ัฒนานักศึกษาให้มคี วามรคู้ วามสามารถนาไปใชใ้ นการดารงชีวิต อยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ มคี ุณคา่ และมศี ักดิ์ศรี กมล ภู่ประเสริฐ (2550, หน้า 3) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การบรหิ ารท่เี กีย่ วกับการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาอันเปน็ เป้าหมายสงู สดุ ของภารกิจสถานศึกษา วรรณชุรีย์ เกิดมงคล (2551, หน้า 23) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การบริหารกิจกรรมทุกชนิดท่ีเก่ียวข้องกับการปรบั ปรุงพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียน ให้มีประสิทธภิ าพ ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดม่งุ หมายของหลกั สูตร วิกค์ เจนนิเฟอร์ และไฮเบอร์เกอร์ (Vick, Jennifer, and Heiberger, 2008, p. 7) ได้กล่าวว่า การบรหิ ารงานวชิ าการเป็นการวางแผนงานที่ต้องรับผิดชอบในการตดิ ตามงานท่ีเกี่ยวข้องกับวิชาการ ท้งั หมด ซึง่ เป็นภาระงานทใี่ หญก่ ว่างานในด้านการบรหิ ารงานทว่ั ๆ ไป ฟราย เคทเทอริดจ์ และมาร์แชล (Fry, Ketteridge, and Marshall, 2009, p. 68) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการเป็นการดาเนินงานกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนา และปรับปรุงแก้ไขการเรยี นการสอนของนักเรียนให้ได้ผลดีมีประสิทธภิ าพมากที่สุด ซ่ึงประกอบไปด้วย หลกั สูตร การจดั แผนการเรียน การจัดครูเข้าสอน การพัฒนาการเรียนการสอน การพัฒนาครูด้านวิชาการ รวมถงึ การนเิ ทศการสอน เป็นต้น จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 148) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถงึ การบริหารกจิ กรรมทุกชนิดในสถานศึกษาซง่ึ เก่ียวกับการปรับปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน ให้เกิดผลตามเป้าหมายของหลักสูตรอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 76) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารวิชาการ หมายถึง การบริหารกิจกรรมทุกชนิดที่เก่ียวกับการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือการบริหารงานที่ให้พลเมืองมีความรู้ มีคุณธรรมสามารถประกอบอาชีพ ดารงตนใหเ้ ป็นพลเมอื งดี ชว่ ยพฒั นาชาติให้เจริญกา้ วหน้าตอ่ ไป สันติ บุญภิรมย์ (2553, หน้า 22) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารวิชาการ หมายถึง การบริการกิจกรรมทุกชนิด ทุกประเภท ที่เก่ียวกับการเรยี นการสอน และการบริหารส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้การเรียนการสอนดาเนินไปอย่างราบร่ืนส่งผลต่อ ประสทิ ธิภาพ ประสิทธผิ ล และคณุ ภาพของการศึกษาอยา่ งตอ่ เนอื่ งตลอดไป รงุ่ ชชั ดาพร เวหะชาติ (2554, หนา้ 29) ไดก้ ลา่ วว่า การบริหารวิชาการเปน็ กระบวนการบริหาร ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่การกาหนดนโยบาย การวางแผน

46 การปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมินผลการสอน เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ของหลกั สตู ร และจดุ ม่งหมายของการศึกษา คานาย อภิปรัชญาสกุล (2554, หน้า 22) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง การบริหารกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการเรียนการสอนและการพัฒนาการศึกษาให้มี ประสิทธภิ าพ จอมพงศ์ มงคลวนชิ (2556, หนา้ 30) ไดก้ ลา่ วว่า การบรหิ ารงานวิชาการ เปน็ การดาเนินงาน ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนซึ่งครอบคลุมเกี่ยวกับการนาหลักสูตรไปใช้ การทาแผนการสอน การปรับปรงุ การเรียนการสอน การใชส้ ่อื การสอน การประเมินผลการวัดผล และการนิเทศการสอน เปน็ ต้น การบริหารการศึกษาเป็นการดาเนินงานของกลุ่มบุคคลเพ่ือพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คนจะมีคุณภาพ คือ มีความรู้ ความสามารถ ความคิด และความเป็นคนดีได้ จะต้องมีการเรียนการสอนหรือจะต้อง มีการบริหารงานที่มีคุณภาพนั่นเอง การบริหารงานวิชาการจึงถือว่าเป็นหัวใจของการบริหาร การศึกษา ในสถาบันการศึกษาท้ังมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนต่าง ๆ จะมีผู้บริหารฝ่ายวิชาการซึ่ง จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กนั ไป เชน่ รองอธกิ ารบดีฝ่ายวิชาการ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ ผู้ช่วยผอู้ านวยการ ฝ่ายวชิ าการ หรอื ผ้ชู ว่ ยอาจารยใ์ หญ่ฝา่ ยวิชาการ เป็นตน้ สัมมา รธนิธย์ (2556, หน้า 99) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการดาเนินงาน ปรับปรุง พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ที่มีการร่วมมือของบุคลากรใน โรงเรียนในการจัดกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และการศึกษาของผู้เรียน โดย มีการประสานงานของทุกคนในโรงเรียนร่วมกัน บุคคลที่มีส่วนเก่ียวข้องในการส่งเสริมงานวิชาการ ของโรงเรยี น คอื ผู้บริหารโรงเรียนและครูผสู้ อน สว่ นในการบริหารโรงเรียนน้ันผ้บู ริหารจะต้องใชเ้ วลา ส่วนใหญ่ในการบริหารงานด้านวิชาการ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน มีความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ และภาวะสุขภาพ ตามจุดหมายของหลกั สตู รอย่างมีประสทิ ธภิ าพ จารุณี เก้าเอี้ยน (2557, หน้า 3) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวชิ าการ เป็นการบริหารจัดการ กิจกรรมทุกชนิด ทุกประเภท ที่เก่ียวกับการเรียนการสอนและการบริหารส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีมี อิทธิพลต่อการเรียนการสอนเพ่ือให้การเรียนการสอนดาเนินไปอย่างราบร่ืน และมีประสิทธิภาพให้ เกดิ ประโยชน์สูงสดุ กับผู้เรยี น จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการบริหารงานที่ใช้ศาสตร์และศิลป์ของผู้บริหารโรงเรียนในการดาเนินงาน กิจกรรมทุกประเภทท่ีเก่ยี วข้องกับการพัฒนา การปรับปรุง การประเมินผลการเรียนการสอนให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพสูงสุด เพ่ือให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และจุดม่งหมายของการศึกษา และ เกิดประโยชนส์ ูงสดุ แก่นักเรยี น

47 2.3.2 ความสาคญั เกยี่ วกับการบรหิ ารงานวิชาการ การบริหารงานวิชาการนับเป็นหัวใจสาคัญหรือเป็นงานหลักของสถานศึกษาที่ผู้บริหาร จะตอ้ งให้ความสาคัญอย่างยงิ่ ตอ้ งมกี ารจัดระบบงานใหร้ ัดกุม และต้องมีการดาเนนิ งานอย่างมีประสิทธิภาพ ไดม้ ีนกั วิชาการกล่าวถงึ ความสาคญั ของการบรหิ ารงานวิชาการไว้ ดงั นี้ ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550, หน้า 4) ได้กล่าวว่า งานวิชาการถือเป็นหัวใจสาคัญในการจัด การศึกษาในระดับสถานศึกษา การบริหารงานวิชาการเป็นกระบวนการดาเนนิ งานเก่ียวกับหลักสูตร และการเรียนการสอนเพือ่ ใหน้ ักเรยี นไดเ้ รียนร้ตู ามทก่ี าหนดไวใ้ นจุดมงุ่ หมายของการพัฒนาผ้เู รยี น ชุมศกั ด์ิ อนิ ทร์รกั ษ์ (2551, หนา้ 2) ได้กล่าวว่า งานวิชาการเปน็ งานทร่ี วมภารกิจหลักของ หนว่ ยงานหรอื สถานศึกษาทบี่ ง่ บอกถงึ ปรัชญา จดุ มุ่งหมายในการปฏิบตั ิงานเพอ่ื ให้ผ้รู บั บริการ ซ่ึงไดแ้ ก่ นักเรียนหรือบุคคลในชุมชนได้รับการพัฒนาตนเองด้านความรู้ เจตคติและทักษะในศาสตร์ต่าง ๆ เพ่ือนาไปสู่เปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา สานักบริหารงานการมธั ยมศึกษาตอนปลาย (2552, หน้า 18) หากเปรยี บงานแผนงานเป็น สมอง เป็นแผนท่ี เป็นเข็มทิศของชีวิต งานวิชาการก็คือหัวใจของสถานศึกษา ท่ีมีความสัมพันธ์กับ แผนงานอย่างแยกกันไม่ได้ การจะบริหารงานวิชาการให้ประสบผลสัมฤทธิ์ต้องตระหนักว่า หัวใจของการจัดการศึกษาคือ ผู้เรียน หากจะดูว่างานวิชาการโรงเรียนใดเป็นอย่างไรดูได้จาก นกั เรียนในโรงเรยี นนนั้ ๆ จันทรานี สงวนนาม (2553, หนา้ 143) ได้กล่าวว่า การปฏบิ ตั ิงานวิชาการเป็นหัวใจสาคัญ ของการบริหารโรงเรียน และเป็นส่วนหนึ่งของการบรหิ ารการศึกษาท่ีผู้บริหารจะต้องให้ความสาคญั เป็นอย่างยิ่ง ส่วนการบริหารงานด้านอ่ืน ๆ นั้นแม้จะมีความสาคัญเช่นเดียวกัน แต่ก็เป็นเพียงส่วน ส่งเสรมิ สนับสนุนใหง้ านวชิ าการดาเนนิ ไปไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ผูบ้ ริหารโรงเรยี นซ่งึ มีบทบาทหน้าท่ี ในการบริหารจะตอ้ งสนับสนุนให้ครูจดั กิจกรรมการสอนให้บรรลุจดุ หมายของหลกั สตู ร ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 15) ได้กล่าวว่า งานวิชาการเป็นงานหลักของการบรหิ าร สถานศกึ ษาไมว่ า่ สถานศึกษาจะเป็นประเภทใด มาตรฐานและคุณภาพของสถานศึกษาจะพิจารณาได้ จากผลงานด้านวิชาการ เนื่องจากงานวชิ าการเกี่ยวข้องกับหลักสตู ร การจัดโปรแกรมการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นหัวใจของสถานศึกษาซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องทั้งทางตรงหรือ ทางอ้อมก็อยู่ท่ีลกั ษณะของงานนนั้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553, หน้า 9) งานวิชาการถือเป็นงานที่ มีความสาคัญท่สี ุดและเป็นหวั ใจของการจดั การศึกษา ซ่ึงทง้ั ผบู้ รหิ าร โรงเรียน คณะครู และผูม้ สี ่วนเก่ียวข้อง ทุกฝ่าย ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ให้ความสาคัญและมีส่วนร่วมในการวางแผน กาหนดแนวทาง ปฏิบัติ การประเมนิ ผล และการปรับปรุงแกไ้ ขอย่างเป็นระบบและตอ่ เนอื่ ง

48 รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 29-30) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการเป็นงาน ที่สาคัญ เนื่องจากการบริหารงานวิชาการเก่ียวข้องกับกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษา โดยเฉพาะเกี่ยวกบั การปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน ซ่ึงเป็นจุดมุ่งหมายหลักของสถานศึกษา และเป็นเคร่ืองช้ีวัด ความสาเรจ็ และความสามารถของผู้บริหาร คานาย อภิปรัชญาสกุล (2554, หน้า 119) ได้กล่าวว่า งานวิชาการถือเป็นหัวใจสาคัญ ในการจัดการศึกษาในระดับสถานศึกษา การบริหารวิชาการเป็นกระบวนการดาเนินงานเก่ียวกับ หลกั สตู รและการเรยี นการสอน เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดเ้ รียนรูต้ ามทก่ี าหนดไว้ในจุดมงุ่ หมายของการพัฒนา ผู้เรียน โดยท่ัวไปงานวิชาการจะประกอบด้วย การศึกษาปัญหาชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาและการนาหลักสูตรไปใช้ การจัดเตรียมการเรียนการสอน การจัดวัสดุอุปกรณ์ประกอบการเรียน การสอน และสื่อการเรียนการสอน การส่งเสริมการสอน การวัดและประเมินผล การดาเนินงาน เกี่ยวกับห้องสมุด แหล่งการเรียนรู้ การนิเทศติดตามผล การวางแผนกาหนดวิธีการดาเนินงาน ทางดา้ นวชิ าการ รวมถงึ การประชมุ ทางวชิ าการในระดับเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา สานกั นโยบายและแผนการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน (2556, หนา้ 39) การบริหารงานวิชาการเป็น งานหลักของสถานศึกษา มีความสาคัญอย่างย่ิงยวดต่อการจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายตามท่ี กาหนดไว้ มาตรฐานคุณภาพการศึกษาจะปรากฏเด่นชัด เมื่อการบริหารงานวิชาการประสบผลสาเร็จ การบรหิ ารงานวิชาการจงึ นับว่ามีบทบาทสูงสุดต่อความสาเร็จหรือล้มเหลวของการบริหารสถานศึกษา ให้ไดค้ ุณภาพ จากการวเิ คราะห์ และสงั เคราะหค์ วามสาคญั ของการบรหิ ารงานวิชาการดังกลา่ ว สรปุ ได้ว่า การบริหารงานวิชาการนับเป็นหัวใจสาคัญของการบริหารโรงเรียน ซึ่งเป็นงานหลักของผู้บริหาร โรงเรียนท่ีจะต้องให้ความสาคัญ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน ซ่ึงเป็น จดุ ม่งุ หมายหลกั ของโรงเรียนและเป็นเครือ่ งชว้ี ดั ความสาเร็จของผบู้ ริหารโรงเรียน นน่ั คือ จัดการศึกษา ให้มปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลเพือ่ ให้จัดการศึกษาเป็นไปเพื่อพฒั นาผู้เรยี นให้เปน็ มนษุ ย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีความสามารถ และอยรู่ ว่ มกับสงั คมอย่างมคี วามสขุ 2.3.3 หลักการบรหิ ารงานวิชาการ การบริหารโดยทั่วไปมีความมุ่งหมายเพื่อต้องการให้การปฏิบัติงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ การบริหารจงึ เปน็ ทั้งศาสตร์และศิลป์ ซ่งึ มีเทคนคิ วธิ ีเพื่อนาไปสู่เป้าหมายที่กาหนดไว้ การบริหารงาน วิชาการนับเป็นหัวใจสาคัญซึ่งเป็นงานหลักของผู้บริหารโรงเรียนท่ีจะต้องให้ ความสาคัญอย่างย่ิง โรงเรียนจะดีหรอื ไม่ดี ขึ้นอยู่กับการบริหารงานวิชาการท้ังสิ้น ดังนั้น ในการบริหารงานวชิ าการ ผู้บริหาร โรงเรียนจาเป็นจะต้องมีหลักการในการบริหารงานด้านน้ีอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ได้มี นกั วิชาการกลา่ วถงึ หลักการบรหิ ารงานวิชาการไว้ ดังน้ี

49 ชาญชัย อาจินสมาจาร (2550, หน้า 44-45) ได้กล่าวว่า หลักการบริหารการศึกษาแบ่ง ออกเป็น 1) การตัง้ วัตถุประสงค์ การตัง้ วัตถปุ ระสงค์จะใหท้ ิศทางในการทางาน เพ่ือใหบ้ รรลุเป้าหมาย 2) การวางแผน การวางแผนเปน็ การเลือกแนวทางในการปฏบิ ัติงานจากแนวทางหลาย ๆ แนวทาง การวางแผนมีประโยชน์เพราะเป็นการกาหนดสิ่งที่ต้องการให้สาเร็จ การวางแผนจะช่วยประหยัดเวลา การทางานและการเงินเพ่ิมประสิทธิภาพและประสิทธิผล และ 3) การจัดองค์การ ประกอบด้วย โครงสรา้ งของหนว่ ยงานและกระบวนการขององค์การในฐานะเปน็ โครงสร้าง เปน็ รปู แบบของความสัมพันธ์ การจัดองค์การเป็นการกาหนดตาแหน่งของบุคลากรในการปฏิบัติงาน เช่น การมอบหมายงานและหน้าที่ รับผดิ ชอบ การผสานงานและการผสานกิจกรรมของทุกคนเปน็ เคร่อื งมอื ทจ่ี ะทาให้บรรลจุ ุดม่งุ หมาย ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (2551, หน้า 9) ได้กล่าวว่า หลักการบริหารงานวิชาการที่สาคัญ ๆ มีดังน้ี 1) หลกั การพฒั นาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารเพอ่ื นาไปสู่ความเป็นเลิศ ทางวิชาการ องค์ประกอบของคุณภาพท่ีเป็นตัวช้ีวัดคือ ผลผลิต และกระบวนการเป็นปัจจัยสาคัญ ที่ทาให้บุคลากรและผู้รบั บริการได้รบั ความพงึ พอใจ พัฒนาศักยภาพเป็นทีย่ อมรับของสังคมในระดบั สากลมากข้ึน โดยอาศัยกระบวนการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา ได้แก่ การควบคมุ คุณภาพ การตรวจสอบ คุณภาพ และการประเมินผล 2) หลักการมีส่วนร่วม (Participation) การปรับปรุงคุณภาพของ กระบวนการบริหารได้พฒั นามาอย่างต่อเนอื่ ง สม่าเสมอ โดยหลักการมีส่วนร่วม การเสนอแนะและ การพัฒนาในงานวิชาการต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย จึงอาจดาเนินงานในรูปของ คณะกรรมการวิชาการโดยมีเป้าหมายนาไปสู่การพัฒนาคุณภาพได้มากขึ้น การมีส่วนร่วมต้องเร่ิมจาก การร่วมคิด ร่วมทาและร่วมประเมินผล 3) หลักการ 3 องค์ประกอบ (3-Es) ได้แก่ ประสิทธิภาพ ประสิทธผิ ล ประหยัด 3.1) หลกั ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หมายถงึ การปฏิบตั ติ ามแผนทกี่ าหนดไวเ้ ป็นไป ตามขั้นตอนและกระบวนการ ถ้ามีปญั หาและอุปสรรคขณะดาเนนิ การก็สามารถปรับปรงุ แกไ้ ขได้ การท่ี มีประสิทธิภาพเน้นไปที่กระบวนการ (Process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีต่าง ๆ ท่ีทาให้บรรลุ วัตถุประสงค์มากท่ีสุด 3.2) หลักประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ได้ผลผลิต (Outcome) ตาม วัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะเพิ่มข้ึน รวมท้ังการคานึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ อย่างไรก็ตามมักใช้สองคานี้ควบคู่กันคือมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล 3.3) หลักประหยัด (Economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย การลงทุนน้อย การใช้กาลัง หรือแรงงานน้อย โดยไม่ต้องเพมิ่ ทรัพยากรการบริหาร แต่ได้ผลผลิตตามที่คาดหวัง ดังน้ัน การลงทนุ ทางวิชาการจึงต้องคานึงถึงหลักความประหยัดด้วยเช่นกัน 4) หลักความเป็นวิชาการ (Academics) หมายถงึ ลกั ษณะท่คี รอบคลุมเนื้อหาสาระของวชิ าการ ได้แก่ หลกั การพัฒนาหลกั สูตร หลกั การเรียนรู้ หลักการสอน หลักการวัดผลประเมินผล หลักการนิเทศการศึกษา และหลักการวิจัย เป็นต้น หลักการ เหลา่ น้เี ป็นองคป์ ระกอบสาคญั ทก่ี อ่ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงและสรา้ งสรรค์

50 จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 151) ได้กล่าวว่า หลักการและแนวคิดของการบริหารงาน วิชาการมี ดังน้ี 1) ยึดหลักให้สถานศึกษาจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา ให้เป็นไปตามกรอบหลักสูตร แกนกลางของการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน และสอดคล้องกับสภาพปัญหาความตอ้ งการของชุมชนและสังคม อย่างแท้จริง โดยมีครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และชุมชน มีส่วนร่วมในการดาเนินงาน 2) มุ่งส่งเสริม สถานศึกษาให้จัดกระบวนการเรียนรู้ โดยยึดถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญสูงสุด 3) มุ่งส่งเสริมให้ชุมชน และสงั คมมีสว่ นร่วมในการกาหนดหลกั สูตร กระบวนการเรียนรู้ รวมทงั้ เปน็ เครือข่ายและแหล่งการเรียนรู้ และ 4) มุ่งจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยจัดให้มีดัชนีช้ีวัดคุณภาพการจัดการศึกษาได้ ทุกช่วงชั้น ทั้งระดบั เขตพ้นื ท่ีการศึกษาและทกุ สถานศกึ ษา ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 9) ได้กล่าวถึงหลักการบริหารงานวิชาการ คือ หลักแห่งประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การได้มีผลผลิตเพ่ิมขึ้นโดยไม่เพิ่มการลงทุน น่ันคือ นักเรียนนักศึกษาสามารถสาเร็จการศึกษาตามกาหนดของหลักสูตรไว้โดยไม่ลาออกกลางคัน เรียนเกิน เวลาและช้ากว่าเวลาที่กาหนด และหลักแห่งประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ผลผลิตได้ ตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้นั้น คือ นักเรียนนักศึกษามีคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีความรู้ ความสามารถทักษะคุณภาพ นอกจากน้ีผู้บริหารควรจะได้คานงึ ถึงหลักการบรหิ าร ดังน้ี 1) มีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของโรงเรียนท่ีชัดเจน ผู้บริหารต้องเข้าใจถึงเป้าหมายของโรงเรียนว่าเป็นไปใน ทิศทางใด จึงจะจัดงาน จัดคน จัดเงิน จัดวัสดุอุปกรณ์ได้เหมาะสม 2) ต้องมีเทคนิควิธีในการบริหารงาน วชิ าการ การบริหารงานทุกประเภทย่อมต้องมีเทคนิควธิ กี าร ข้นั ตอน และกระบวนการท่ีทาควรมีระบบ มีความรอบคอบ จงึ จะทาให้งานดาเนินไปด้วยดี 3) มกี ารประเมินผลงานทางวิชาการ เมือ่ ไดด้ าเนนิ กิจการใด ควรจะไดม้ ีการประเมินผลและตดิ ตามผลเพอ่ื จะไดเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ปรุงงานได้ดีขน้ึ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 32) ได้กล่าวว่า การบริหารจัดการสถานศึกษาซ่งึ มหี นา้ ที่ ใหก้ ารบรกิ ารการศกึ ษาแก่ประชาชนและเป็นสถานศึกษาของรัฐ จึงตอ้ งนาหลกั การว่าดว้ ยการบริหาร กิจการบ้านเมืองและสังคมท่ีดีในการจัดการศึกษา เพอ่ื เสริมสร้างความเข้มแข็งซง่ึ เรียกว่า ธรรมาภิบาล มาบูรณาการให้เข้ากับการดาเนินงานในด้านต่าง ๆ การบริหารงานวิชาการ ก็ต้องมีหลักธรรมาภบิ าล คือ หลกั การคุ้มค่า เปน็ การไดผ้ ลผลิตคุม้ ค่าแกก่ ารลงทุน คอื ผเู้ รยี นสามารถสาเร็จการศกึ ษาได้ตามกาหนด ของหลกั สูตรไม่ลาออกกลางคัน สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2556, หน้า 40-41) หลักการและแนวคิด ของการบริหารงานวิชาการมี ดังนี้ 1) ให้สถานศึกษาจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาเป็นไปตามกรอบ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการของชุมชนและสังคม อย่างแท้จริง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) มุ่งส่งเสริม สถานศึกษาให้จัดกระบวนการเรยี นรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ 3) มุ่งส่งเสริมให้ชุมชนและสังคมมีส่วนรว่ ม ในการกาหนดหลกั สูตรกระบวนการเรียนรู้ รวมทัง้ เปน็ เครือขา่ ยและแหลง่ การเรียนรู้ 4) มงุ่ จัดการศึกษา

51 ให้มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยจัดให้มีดัชนีช้ีวัดคุณภาพการจัดหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ สามารถตรวจสอบคุณภาพการจัดการศึกษาได้ทุกชั้นปี และ 5) มุ่งส่งเสริมให้มีความร่วมมือกับทุก ภาคส่วนเป็นเครือขา่ ย เพ่อื เพ่มิ ประสิทธภิ าพ ประสทิ ธผิ ลในการจดั และพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา สัมมา รธนิธย์ (2556, หน้า 95) ได้กล่าวว่า หลักการบริหารการศึกษา ประกอบไปด้วย 1) การวางเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ชัดเจน 2) การวางแผน และนาเทคนิคในการบริหารงาน 3) การจัดโครงสร้าง และวางระบบงาน 4) การใช้ทรัพยากร และค่าใช้จ่ายท่ีคุ้มค่า 5) การใช้อานาจใน การสัง่ การ และควบคุม และ 6) การประเมนิ ผลเพอ่ื ปรับปรุงงาน จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า หลักการบรหิ ารงานวชิ าการควรคานงึ ถึงหลกั แหง่ ประสิทธภิ าพและประสิทธิผล เพราะการบรหิ ารงาน วชิ าการเปน็ หัวใจสาคญั ของโรงเรียน โรงเรียนจะมีคณุ ภาพขน้ึ อยกู่ บั การบรหิ ารงานวิชาการเป็นส่วนสาคัญ ดังนน้ั ผบู้ ริหารโรงเรียนจาเปน็ จะต้องมีหลกั การในการบริหารงานวิชาการเพื่อใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมายของ การศึกษา คือ พัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีความสามารถ และอยู่ร่วมกับสังคม ได้อย่างมีความสุข 2.3.4 ขอบขา่ ยของการบรหิ ารงานวชิ าการ ดัชนีชี้วัดความสาเร็จของการจัดการศึกษาของโรงเรียนน้ัน สิ่งสาคัญสิ่งหนึ่งก็คือการบริหารงาน วชิ าการ และงานวิชาการเป็นภารกจิ หลักของโรงเรียน ดังนนั้ ผู้บริหารโรงเรียนตอ้ งเข้าใจขอบข่ายของ งานวิชาการ เพื่อที่จะบริหารงานวิชาการได้ครอบคลุม ซ่ึงได้มีนักวิชาการท้ังในประเทศและ ตา่ งประเทศหลายทา่ นได้กลา่ วถงึ ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการไว้ ดงั น้ี ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550, หน้า 3-4) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ ด้านหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้ ด้านการจัดการเรยี นการสอน ด้านสื่อ การเรยี นการสอน ดา้ นการวดั และประเมินผล ด้านหอ้ งสมดุ และดา้ นการนิเทศภายใน ธีระ รุญเจริญ (2550, หน้า 97) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการ ประกอบ ไปด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผลและการดาเนินการเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาใน สถานศึกษา 5) การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ 6) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและ มาตรฐานการศึกษา 7) การส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ 8) การพัฒนาและใช้สื่อ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ชมุ ศักดิ์ อนิ ทร์รกั ษ์ (2551 หน้า 9) ไดก้ าหนดขอบข่ายของการบรหิ ารงานวิชาการออกเป็น 6 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร 2) ด้านบริหารหลักสูตร 3) ด้านส่ือและนวัตกรรม 4) ด้านวัดและประเมนิ ผล 5) ดา้ นนิเทศภายใน และ 6) ดา้ นสง่ เสรมิ งานวชิ าการ

52 เซอร์จิโอวานนี และคณะ (Sergiovanni and other, 2008, pp. 267-268) ได้แบ่งรูปแบบ การบริหารงานวิชาการไว้ 5 ประเภท คือ 1) ตั้งปรัชญาการศึกษาและวัตถุประสงค์ในการบริหารงาน เพื่อใหบ้ รรลุปรชั ญาการศึกษา 2) จัดทาโครงการหรือวางแผนเพื่อให้การบริหารบรรลุวัตถุประสงค์ 3) มีการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนอย่างสม่าเสมอ 4) สร้างบรรยากาศในโรงเรียนเพื่อ การเปล่ียนแปลง และ 5) การจัดหาแหล่งเรียนรู้ให้เพียงพอและผู้ปกครองชุมชนมีส่วนร่วม สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2551, หน้า 9) ได้แบ่งขอบข่ายของ การบริหารงานวิชาการ ดังต่อไปน้ี 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการ เรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษา 5) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนา วิชาการกับสถานศึกษาอื่น และ 12) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันอ่ืนท่ีจัดการศึกษา สานักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย (2552, หน้า 6) ได้แบ่งขอบข่ายงานวิชาการ โรงเรียนมัธยมศึกษา ดังน้ี 1) การวางแผนงานวิชาการ 2) การบริหารงานวิชาการ 3) การจัดกิจกรรม การเรียนการสอน 4) การพัฒนาและส่งเสริมทางด้านวิชาการ 5) การวัดผล ประเมินผล และงาน ทะเบยี นนักเรียน 6) การแนะแนวการศกึ ษา และ 7) การประเมนิ ผลงานวชิ าการ จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 151) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย 1) หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร 2) การวิจัยในช้ันเรียน 3) การสอนซ่อมเสริม 4) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร 5) การนิเทศภายในสถานศึกษา และ 6) การประกันคุณภาพ การศกึ ษา ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 3-4) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงาน วิชาการ ประกอบด้วย 1) การวางแผนงานเกี่ยวกับงานวชิ าการ 2) การจัดดาเนินงานเก่ียวกับการเรยี น การสอน 3) การจัดบริหารเก่ยี วกบั การเรยี นการสอน 4) การวดั และประเมินผลการเรยี น สานักการศึกษากรุงเทพมหานคร (2554, หน้า 32-33) ได้แบ่งขอบข่ายการบริหารงาน วิชาการออกเป็น 9 ด้าน ได้แก่ 1) การวางแผนงานวิชาการ 2) การบริหารจัดการหลักสูตรระดับ สถานศึกษา 3) การบริหารจัดการเรียนรู้ 4) การนิเทศงานวิชาการภายในโรงเรียน 5) การวัดผล ประเมินผลการเรียน 6) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้ 7) การวิจัยเพ่ือพัฒนา คุณภาพการศึกษา 8) การให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ และ 9) การประกันคุณภาพการศึกษากบั งานวิชาการ

53 รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 30) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาสื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศกึ ษา 8) การแนะแนว การศึกษา 9) การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น และ 12) การส่งเสริมและสนับสนนุ งานวิชาการแกบ่ ุคคล ครอบครวั องค์กร หนว่ ยงานและสถาบนั อน่ื ทีจ่ ัด การศึกษา คานาย อภิปรัชญาสกุล (2554, หน้า 22) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายของการบริหารงาน วิชาการทส่ี าคัญและผู้บริหารต้องมีความรู้และเข้าใจมีดงั นี้ 1) การพัฒนาหลกั สูตร 2) การจัดแผนการสอน 3) การจัดตารางเรียน 4) การจัดครูเข้าสอน 5) การจัดกลุ่มในการเรียนรู้ 6) การจัดสอนซอ่ มเสริม และ 7) การประเมินผลการเรียน ฮอย และมิสเกล (Hoy and Miskel, 2012, p. 301) ได้กลา่ วถึง ปัจจัยของการบริหารงาน วชิ าการที่มีคณุ ภาพของสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) มุ่งเน้นงานดา้ นวิชาการ 2) มุ่งสมั ฤทธ์ผิ ล 3) หลักสูตร มีคุณภาพและใหโ้ อกาสเรยี นรู้ 4) การจดั บรรยากาศของโรงเรยี น 5) จดั บรรยากาศในชน้ั เรียน 6) การมีสว่ นร่วม ของผู้ปกครองในการพัฒนาการศึกษา 7) การประเมินมีศักยภาพ 8) เวลาในการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 9) การจัดการเรียนการสอนมีรูปแบบท่ีชัดเจน 10) มีการพัฒนาปรับการจัดการเรียน การสอน 11) มกี ารเรียนรูอ้ ย่างอสิ ระ และ 12) การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั สัมมา รธนิธย์ (2556, หน้า 99) ได้กล่าวว่า ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ หมายถึง การดาเนินงานด้านต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1) การจดั การหลกั สูตรและแผนการเรยี นรู้ 2) การจดั การเรียน การสอน 3) การจดั ส่ือและวสั ดุเพื่อการเรยี นการสอน 4) การนเิ ทศและพฒั นาการเรยี นการสอน และ 5) การวดั และประเมนิ ผลการเรียนการสอน สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2556, หน้า 40-41) ได้แบ่งประเภท ขอบข่ายของการบริหารงานวิชาการออกเป็น 17 ดา้ น ดังนี้ 1) การพัฒนากรอบสาระหลกั สูตรท้องถ่ิน 2) การวางแผนงานด้านวิชาการ 3) การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา 4) การพัฒนาหลักสูตรของ สถานศึกษา 5) การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ 6) การวัดผล ประเมนิ ผล และดาเนินการเทียบโอนผล การเรียน 7) การวิจัยเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาในสถานศกึ ษา 8) การพัฒนาและสง่ เสริมให้มแี หล่ง เรยี นรู้ 9) การนิเทศการศึกษา 10) การแนะแนวทางการศึกษา 11) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพ ภายในและมาตรฐานการศึกษา 12) การส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ 13) การประสาน ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น14) การส่งเสริมและสนับสนุน งานวิชาการแก่บคุ คล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน สถานประกอบการ และสถาบนั อ่นื ท่ีจัดการศึกษา

54 15) การจัดทาระเบียบและแนวปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั งานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา 16) การคดั เลือกหนังสือ แบบเรยี นเพ่อื ใช้ในสถานศึกษา และ 17) การพัฒนาและใชส้ ื่อเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ดิเรก พรสีมา (สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม 2561) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอน ควรใช้กระบวนการกลุ่มโดยยกเอาปญั หาเป็นตัวตั้งให้นกั เรยี นร่วมกันแก้ปัญหา และใช้กระบวนการเรียนรู้ ให้สอดคลอ้ งกับกระบวนการเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ 21 กลา่ วคอื ผ้เู รียนตอ้ งมวี จิ ารณญาณ ต้องสรา้ งสรรค์ ใช้ส่ืออย่างรู้เท่า เข้ากันได้กับผู้อื่น มีทักษะวิชาชีพ เข้าใจความแตกต่าง เปิดกว้างรับเทคโนโลยี นอกจากนี้ได้กล่าวถึงขอบข่ายของงานวิชาการ ประกอบไปด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตรแกนกลาง 2) การจัดบรรยากาศในห้องเรียน 3) การจัดกระบวนการเรียนรู้ 4) การส่งเสริมงานวิจัยเพ่ือ พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน 5) การส่งเสริมการใช้สื่อนวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การวางแผนงานวิชาการ 7) การนิเทศการศึกษา และ 8) การจัดทาระเบียบและแนวปฏิบัติใน งานวิชาการ บุญรักษ์ ยอดเพชร (สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม 2561) ได้กล่าวว่า ครูต้องมีความตืน่ ตวั และเตรียมพร้อมในการจัดการเรยี นรูเ้ พ่อื เตรยี มความพร้อมให้นกั เรียนมีทักษะในกระบวนการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ได้กล่าวถึงขอบข่ายงานวิชาการ ประกอบไปด้วย ) การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนาระบบ การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการแกช่ ุมชน 11) การประสาน ความรว่ มมือในการพัฒนาวชิ าการกับสถานศึกษาอ่ืน และ 12) การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ บุคคล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงานและสถาบันอื่นท่ีจัดการศกึ ษา นงลักษณ์ เรือนทอง (สัมภาษณ์, 3 กรกฎาคม 2561) ได้กล่าวว่า รูปแบบการบริหารงาน วิชาการของผ้บู ริหารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาน้นั โรงเรยี นต้องมีความเปน็ อิสระทางวิชาการ มกี ารพัฒนา ผู้เรียนแตล่ ะโรงเรียนตา่ งบรบิ ท โรงเรียนต้องเปน็ แบบอยา่ งให้กบั ชุมชน รัฐต้องให้ความชว่ ยเหลือและ ควบคุมมาตรฐานกลางของประเทศ จังหวัด และอาเภอ นอกจากน้ีกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล ควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีในการเรียนการสอน ควรจัดกองทุนเพื่อการศึกษาให้กับ นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ นอกจากน้ียังได้กล่าวถึงขอบข่ายของงานวิชาการ ประกอบไปด้วย ดังนี้ 1) การจัดกระบวนการเรียนรู้ 2) สภาพแวดล้อมในโรงเรียน 3) การคัดเลือกหนังสือและส่งเสริม การใช้เทคโนโลยี 4) การส่งเสริมและมีส่วนร่วมของชุมชน 5) การพัฒนาโรงเรียนเป็นต้นแบบ 6) การวางแผนงานวิชาการ 7) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8) การพัฒนาและสง่ เสรมิ งานวชิ าการ กับชมุ ชน 9) การวัดผล ประเมินผลการเรียน 10) การแนะแนวการศกึ ษา และ 11) การประสานความร่วมมือ ในการพัฒนาวชิ าการกบั สถานศกึ ษาและองค์กรอื่น

55 ขวญั ชวี า วรรณพนิ ทุ (สัมภาษณ,์ 3 กรกฎาคม 2561) ไดก้ ลา่ ววา่ การทจี่ ะพัฒนาผ้เู รยี นใหม้ ี คุณภาพจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนและมีกระบวนการในการบริหารงานแบบมีคุณภาพ ซึ่ง ผู้บรหิ ารจะต้องเป็นผู้นาองค์กรและมีวิสัยทัศน์ในการบริหารงานทั้งระบบใน 4 ฝ่าย และให้ผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการวางแผนและวางกลยทุ ธ์ในการบรหิ ารวิชาการอย่างเป็นระบบและ มีคุณภาพ นอกจากน้ียังได้กล่าวถึงขอบข่ายงานวิชาการ ประกอบไปด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตร การสอน 2) การจัดการเรียนการสอน 3) การสนับสนุนครูผู้สอน 4) การส่งเสริมงานวิชาการแก่ ชุมชน 5) การวัดผล และประเมินผลทางการศึกษา 6) การจัดสรรงบประมาณวิชาการ 7) การมีส่วนได้ ส่วนเสียของผ้เู รียนในการบรหิ ารงานวิชาการ และ 8) การนิเทศการศึกษา นิจสุดา อภินันทาภรณ์ (สัมภาษณ์, 18 กรกฎาคม 2561) ได้กล่าวถึง กระบวนการใน การส่งเสริมงานวิชาการจะต้องมีกระบวนการในการวางแผนงานวิชาการรวมไปถึงการบริหารงาน บุคลากร และได้กล่าวถึงขอบข่ายของงานวิชาการ ประกอบไปด้วย 1) การพัฒนาหลักสูตรและ มาตรฐานการเรียนรู้ 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การพฒั นาสื่อการเรียนรู้ 4) การพฒั นาและ ส่งเสริมการวัดผล ประเมินผลการเรียนรู้ 5) การพัฒนาการศึกษาพิเศษ 6) การแนะแนวการศึกษา 7) การพัฒนา สง่ เสรมิ วิทยบริการ 8) การนิเทศการศกึ ษา และ 9) การพัฒนาหนังสือเรียน จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร ตารา งานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้องท้ังในประเทศและต่างประเทศ สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในระดับนโยบายด้านบริหารการศึกษา ผู้วิจัยได้นามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ดังตารางท่ี 2.1

56 ตารางท่ี 2.1 การวิเคราะห์ สงั เคราะห์องคป์ ระกอบการบริหารงานวชิ าการ นักการศกึ ษาและสานักการศึกษาวิชาการ ภารกิจขอบข่าย เซอร์ ิจโอวาน ีน และคณะ (2008) การบริหารงานวิชาการ ฮอย และมิเกล (2012) ธีระ รุณเจริญ (2550) ภา ิวดา ธาราศรี ุสทธิ (2550) ุชม ัศก ิ์ด อินทร์รักษ์ (2551) สา ันกบริหารงานมัธยม ึศกษาตอนปลาย (2552) สา ันกการ ึศกษากรุงเทพมหานคร (2554) สานักนโยบายแผนการ ึศกษาข้ัน ืพ้นฐาน (2556) ัจนทรานี สงวนนาม (2553) ปรียาพร วง ์ศอ ุนตรโรจน์ (2553) รุ่งชัชดาพร เวหะชา ิต (2554) คานาย อภิปรัชญาส ุกล (2554) ัสมมา รธ ินต ์ย (2554) ิดเรก พรสีมา (สัมภาษณ์ 28 พ.ค. 2561) บุญรักษ์ ยอดเพชร ( ัสมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) นงลักษณ์ เรือนทอง ( ัสมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) ินจสุดา อภินันทาภรณ์(สัมภาษณ์ 18 ก.ค.2561) ขวัญชีวา วรรณ ิพน ุท (สัมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) ่คาความ ี่ถ (รวม) 1. ต้ังปรัชญาและวัตถุประสงค์  1 2. การบริหารงานวิชาการ   3 3. การสร้างบรรยากาศ  2 ในช้ันเรยี น 4. ม่งุ สมั ฤทธิผ์ ลดา้ นวิชาการ  1 5. การประเมินศกั ยภาพ   3 6. การเรยี นรู้อยา่ งมีอิสระ  1 7. การให้ข้อมลู ย้อนกลับ  1 8. การเรียนรอู้ ยา่ งมี  1 ประสทิ ธิภาพ 9. การมีส่วนได้สว่ นเสยี  2 ของผเู้ รียน 10. การสอนซ่อมเสริม   3 11. จดั เวลาในการเรียนรู้ให้  1 มีประสิทธภิ าพ 12. การพฒั นาสาระหลกั สูตร    5 ท้องถิน่ 13.การวางแผนงานวิชาการ    6 14. จัดการเรียนการสอน      9 15. การพฒั นาหลกั สูตร       11 สถานศกึ ษา

ตารางท่ี 2.1 (ต่อ) 57 นักการศึกษาและสานกั การศึกษาวชิ าการ ภารกจิ ขอบข่าย การบรหิ ารงาน เซอร์ ิจโอวาน ีน และคณะ (2008) ฮอย และ ิมเกล (2012) วชิ าการ ธีระ รุณเจริญ (2550) ภา ิวดา ธาราศรี ุสทธิ (2550) ุชม ัศก ิ์ด อินทร์รักษ์ (2551) สา ันกบริหารงานมัธยม ึศกษาตอนปลาย (2552) สา ันกการ ึศกษากรุงเทพมหานคร (2554) สานักนโยบายแผนการศึกษาข้ัน ืพ้นฐาน (2556) ัจนทรานี สงวนนาม (2553) ปรียาพร วง ์ศอ ุนตรโรจน์ (2553) รุ่งชัชดาพร เวหะชา ิต (2554) คานาย อภิปรัชญาส ุกล (2554) ัสมมา รธ ินต ์ย (2554) ิดเรก พรสีมา (สัมภาษณ์ 28 พ.ค. 2561) บุญรักษ์ ยอดเพชร ( ัสมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) นงลักษณ์ เรือนทอง (สัมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) ินจสุดา อภินันทาภรณ์( ัสมภาษณ์18 ก.ค.2561) ขวัญชีวา วรรณพิน ุท (สัมภาษณ์ 3 ก.ค. 2561) ่คาความ ี่ถ (รวม) 16. การพฒั นากระบวน           11 การเรยี นรู้ 17. การวัดผล ประเมนิ ผล       13 และการเทยี บโอน 18. การวิจัยเพื่อพฒั นา     7 คณุ ภาพ 19.การสง่ เสรมิ แหล่งเรยี นรู้          9 20. การนเิ ทศการศึกษา     8 21. การแนะแนวการศกึ ษา     7 22. การประกันคณุ ภาพ     6 ภายใน 23. สง่ เสริมชุมชนให้มีความ     9 เขม้ แข็งทางวิชาการ  24. ประสานความร่วมมอื    5 กับสถานศกึ ษาอื่น 25. ส่งเสริมงานวิชาการกับ    5 บคุ คล ครอบครวั ชมุ ชนฯ 26. การจัดทาระเบยี บและ     5 แนวปฏบิ ัตงิ านวิชาการ 27. การคดั เลอื กหนังสือ     5 28. การใช้ส่ือเทคโนโลยี       9 รวม 10 9 8 7 5 6 10 17 6 4 12 5 6 8 11 11 8 6 149

58 จากตารางท่ี 2.1 ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องท้ังใน ประเทศและนอกประเทศ และจากการสมั ภาษณ์ผู้เช่ียวชาญและผู้ทรงคุณวฒุ ิในระดับนโยบายดา้ นบริหาร การศกึ ษา ผ้วู ิจยั ไดว้ เิ คราะห์ สงั เคราะห์ แลว้ สรุปเป็นองค์ประกอบในระดับค่าความถี่ตงั้ แต่ระดับ 5 ข้นึ ไป ตามตารางที่ 2.1 ได้ร่างองค์ประกอบ จานวน 17 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การพัฒนากรอบสาระหลักสูตร ท้องถนิ่ 2) การวางแผนงานด้านวิชาการ 3) การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา 4) การพัฒนา หลักสูตรของสถานศึกษา 5) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6) การวัดผล ประเมินผล และ ดาเนินการเทียบโอนผลการเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8) การพัฒนา และส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ 9) การนิเทศการศึกษา 10) การแนะแนวการศึกษา 11) การพัฒนา ระบบประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 12) การส่งเสรมิ ชมุ ชนใหม้ ีความเขม้ แข็งทางวิชาการ 13) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น 14) การส่งเสริมและ สนบั สนุนงานวชิ าการแก่บคุ คล ครอบครวั องค์กร หนว่ ยงาน สถานประกอบการ และสถาบนั อื่นท่ีจัด การศึกษา 15) การจัดทาระเบียบและแนวปฏิบตั ิเกยี่ วกบั งานด้านวิชาการของสถานศกึ ษา 16) การคัดเลือก หนังสอื แบบเรยี นเพ่ือใชใ้ นสถานศึกษา และ 17) การพฒั นาและใชส้ ือ่ เทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษา 2.3.5 การบริหารงานวิชาการของผบู้ ริหารโรงเรยี น การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมีขอบข่าย/ภารกิจการดาเนินการด้านการบริหาร วิชาการของสถานศึกษาตามระบบการพัฒนาการบริหารรูปแบบนิติบุคคล มีรายละเอยี ดดังน้ี 1. การพัฒนากรอบสาระหลกั สตู รทอ้ งถน่ิ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553 มาตรา 29 กาหนดให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน และสถาบันสังคมอื่น ๆ ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายใน ชุมชน เพ่ือให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู้ ข้อมูลข่าวสาร และรู้จักเลือกสรรภูมิ ปัญญาและวิทยาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาระหว่างชุมชน (ฝ่ายวิชาการ สานกั พมิ พเ์ ดอะบุคส์, 2556, หน้า 13) สขุ วสา ยอดกมล (2551, หน้า 144) ไดก้ ลา่ วว่า หลักสูตรท้องถิ่น คือ การจัดประสบการณ์การเรียน และเน้ือหาสาระให้กบั ผู้เรียนในท้องถิ่นหนึ่ง โดยเฉพาะเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพชีวติ จริงทางสังคม วฒั นธรรมและตอบสนองความต้องการของผเู้ รียนและท้องถนิ่ นน้ั ๆ ฆนทั ธาตทุ อง (2552, หน้า 98-99) ได้กล่าววา่ การพฒั นาหลักสูตรท้องถิน่ หมายถงึ การวางแผน การจัดการเรียนรู้ ทงั้ มวลประสบการณ์อื่น ๆ โดยต้องจดั ทาสาระการเรียนรู้ จดั กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น

59 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชน สังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ินรวมท้ังจัดให้สอดคล้องกับ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผูเ้ รยี น สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553 ก, หน้า 23-24) ระบบการศึกษาในปัจจุบัน มกี ารกระจายอานาจใหท้ ้องถิน่ และสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรในสว่ นที่สอดคล้องกับ สภาพและความต้องการของท้องถ่ิน ดังนี้ สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาจะต้องเป็นตัวกลางในการประสาน ความร่วมมือกับโรงเรียนและชุมชนในการร่วมกันคิดและจัดทากรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น เพ่ือให้ สถานศึกษาภายในเขตพ้ืนท่ีใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในเรอ่ื งที่เก่ียวข้องกับท้องถิ่น ในแง่มุมต่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เป็นต้น เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้เรียนรู้เร่ืองราว ของชุมชน ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความผูกพันกับท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกของชุมชน เพ่ือให้การจัดทาหลักสูตรท้องถิ่นไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เสนอองค์ประกอบสาคัญของหลักสูตร ท้องถิ่นไว้ 3 ประการ ดังน้ี 1) เป้าหมายและจุดเน้น เขตพ้ืนท่ีการศึกษาหรือหน่วยงานระดับท้องถ่ิน เป็น หน่วยงานสาคัญท่ีจะช่วยขับเคล่ือนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาภายในเขตหรือท้องถิ่น เพื่อให้ สามารถพฒั นาผูเ้ รียนใหบ้ รรลุคณุ ภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้ตามหลกั สตู รแกนกลางและผู้เรยี นได้มี โอกาสเรียนรู้ในเรื่องเกี่ยวกับชุมชน ท้องถ่ิน ในการจัดการศึกษาให้บรรลุผลดังกล่าว เขตพื้นท่ี การศึกษาอาจกาหนดเป้าหมายและจุดเน้นที่ต้องการให้เด่นชัดเป็นการเฉพาะ เพื่อให้สถานศึกษาได้ เล็งเห็นทิศทางในการพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่น เช่น การพัฒนาด้านการอ่านออกเขียนได้ การคิดวิเคราะห์ เป็นตน้ ส่วนเปา้ หมายและจุดเน้นนั้น ควรกาหนดเปน็ คุณภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้น ในตัวผู้เรียนมิควรกาหนดในส่ิงที่ก่อให้เกิดข้อจากัดต่อการจัดการเรียนการสอนในระดับสถานศึกษา 2) สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เปน็ สว่ นที่ให้ข้อมูลเก่ียวกับหัวข้อหรือประเดน็ ทผี่ ู้เรียนในท้องถนิ่ ควรเรียนรู้ หรือไดร้ บั การปลกู ฝังในฐานะท่ีเป็นสมาชกิ ของชุมชนนั้น เพ่ือให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และ ต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษส์ ภาพแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพแวดล้อมในท้องถิ่น การกาหนด สาระการเรียนรู้ท้องถ่ินควรกาหนดในขอบเขตประเด็นสาคัญ พร้อมท้ังมีคาอธิบายประกอบในแต่ละ ประเด็นพอสังเขปเพื่อครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ในเรื่องเกี่ยวกับ ท้องถ่ิน เช่น ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของท้องถ่ิน สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน สภาพปัญหา และเหตุการณ์สาคัญในชุมชนและ สังคมนั้น ๆ รวมทั้งข้อมูลแนวโน้มการพัฒนาท้องถิ่น เป็นต้น การจัดทาสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินอาจได้ จากการวิเคราะห์รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของ กลมุ่ สาระการเรียนรูท้ ้ัง 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับชุมชน และท้องถิ่น รวมทั้งข้อมูลจากการศึกษา สารวจสภาพปัญหา การเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขึ้นใน สังคม ชุมชน เพื่อนามาสังเคราะห์ จัดเป็นหมวดหมู่เพ่ือสถานศึกษาใช้เป็นแนวทางในการจัดการ เรียนรู้ต่อไป และ 3) การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับท้องถิ่น การประเมิน คุณภาพผู้เรียน

60 และการรายงานผลการศึกษาระดบั ทอ้ งถิ่น เปน็ กลไกสาคญั ในการควบคุมคุณภาพการศึกษา เพอ่ื เปน็ การตรวจสอบว่าคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางตลอดจนเป้าหมายและจุดเน้น ซึ่งกาหนด เป็นคุณภาพผู้เรียนในพื้นท่นี ั้นบรรลผุ ลหรอื ไม่เพยี งใด และมอี ะไรจะต้องปรับปรุงพฒั นาตอ่ ไป ดังน้ัน ควรมีการระบุเก่ียวกับการประเมินคุณภาพผู้เรียนไว้ในกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน ให้โรงเรียนต่าง ๆ ได้รับทราบข้อมูลว่าเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจะจัดการประเมินคุณภาพในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ใดบ้าง ระดับชั้นใดบ้างและประเมินเมื่อไร ด้วยวิธีการหรือเคร่ืองมืออะไร มีเกณฑ์การประเมินเป็นอย่างไร และโรงเรยี นทมี่ ีผลการประเมินไมถ่ งึ เกณฑท์ ีก่ าหนดจะตอ้ งดาเนนิ การอยา่ งไร เปน็ ตน้ รุ่งนภา นุตราวงค์ (2553, หน้า 5-35) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของหลักสูตรท้องถิ่นวา่ เปน็ หลักสูตรที่สถานศึกษานาสภาพต่าง ๆ ท่ีเป็นสภาพในปัจจุบัน ปัญหา จุดเด่น เอกลักษณ์ของชุมชน สังคมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นมากาหนดเป็นสาระการเรียนรู้ให้ผู้เรียน หลักสูตรท้องถิ่น จะต้องออกแบบจัดทาบนพื้นฐานของหลักสูตรแกนกลาง และความต้องการของชุมชน ตลอดจน ความต้องการของสถานศกึ ษาเอง สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2556, หน้า 49-50) การพัฒนาหรือ การดาเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถ่ิน มีการดาเนินงาน ดังน้ี 1) วิเคราะห์กรอบ สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจัดทาไว้ หรือจัดทากรอบสาระการเรียนรู้ ท้องถิ่นเพ่ิมเติมตามบริบทของสถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน 2) วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อกาหนดจุดเน้นหรือประเด็นที่สถานศึกษาให้ความสาคัญ 3) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาและชุมชนเพ่ือนามาเป็นข้อมูลจัดทาสาระ การเรียนรู้ท้องถ่ินของสถานศึกษาให้สมบูรณ์ย่ิงขึ้น และ 4) จัดทาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นของ สถานศกึ ษาเพ่ือนาไปจัดทารายวชิ าพื้นฐานหรือรายวิชาเพ่มิ เติม จัดทาคาอธิบายรายวิชา หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ เพื่อจดั ประสบการณ์ และจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหแ้ กผ่ เู้ รยี นประเมนิ ผล และปรบั ปรุง ชัยวัฒน์ สทุ ธริ ตั น์ (2556, หน้า 121-123) ได้กล่าววา่ การพัฒนาหลกั สูตรท้องถน่ิ สามารถ ดาเนินการได้ทั้งในระดับโรงเรียน กลุ่มโรงเรียน ระดับอาเภอ ระดับจังหวัด และระดับเขตพ้ืนท่ี การศึกษา โดยดาเนินการตามขั้นตอนดังน้ี 1) จัดตั้งคณะทางานเพื่อจัดทาหลักสูตร โดยผู้บริหาร โรงเรยี นคัดเลอื กครู ศกึ ษานิเทศก์ นักวชิ าการในท้องถนิ่ ตลอดจนผ้นู าชุมชนและปราชญ์ชาวบ้านใน ท้องถ่ินน้ัน ๆ มาเป็นคณะทางานเพ่ือร่างหลักสูตรท้องถิ่น 2) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คณะทางานต้องทาการศกึ ษาสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถ่ินเพ่ือให้หลักสูตรน้นั ๆ เกิดประโยชน์ต่อ ท้องถ่ินอย่างแท้จริง โดยรวบรวมข้อมูลจากคนในท้องถิ่นด้วยวิธีการสัมภาษณ์ การสังเกต และสารวจ ความต้องการของผู้เรียน เป็นต้น 3) กาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะทางานจะต้องศึกษา สภาพปัญหาและความต้องการของทอ้ งถ่ินและผู้เรียน จากนน้ั กาหนดจุดประสงค์ที่ตอ้ งการให้เกิดขึ้น

61 แก่ผู้เรียนเมื่อเรียนจบรายวิชานั้น ๆ ท่ีสาคัญคือจะต้องเป็นจุดมุ่งหมายที่สามารถเป็นไปได้จริงในทาง ปฏิบัติ 4) กาหนดเนื้อหา เป็นการนาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรในข้ันท่ี 3 มาวิเคราะห์และกาหนดเนื้อหา สาระของรายวิชาอย่างกว้าง ๆ ใหส้ อดคล้องกบั จุดประสงค์ของรายวิชาน้ัน ๆ จากนน้ั จงึ แยกออกเป็น เนือ้ หายอ่ ย ซงึ่ ในส่วนนี้สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละท้องถ่ินและผู้เรียนได้ ตลอดจนมีความต่อเนื่องกับรายวิชาในข้ันต้นและรายวชิ าต่าง ๆ 5) กาหนดกิจกรรม พิจารณาจาก จุดประสงคแ์ ต่ละขอ้ การกาหนดกิจกรรมไมค่ วรมากหรือน้อยเกินไป เนน้ ทักษะกระบวนการ แลว้ เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ทากิจกรรม โดยมีครูเป็นผู้ประสานกิจกรรมและช้ีแนะแก่ผู้เรียน 6) กาหนดคาบ การเรียน ถ้ารายวิชาท่ีจัดทาได้กาหนดให้เป็นวชิ าบังคับเลือก คาบเวลาเรียนท่ีกาหนดจะต้องเป็นไป ตามท่ีระบุไว้ในโครงสร้างของหลักสูตร ถ้าเป็นรายวิชาเลือกเสรี สามารถกาหนดตามความเหมาะสมกับ จุดประสงค์ และเน้ือหาท่ีกาหนดใหเ้ รียนแต่ความสัมพนั ธ์กับโครงสร้างของกลุ่มวิชาที่เปน็ อยู่เดิมดว้ ย ในกรณีที่เน้ือหามากอาจจัดทาเป็นหลายวิชา และอาจมีได้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ 7) กาหนด เกณฑ์การวัดและประเมินผล คณะที่ทางานควรกาหนดเกณฑ์การวัดและประเมินผลในรายวิชาที่ ทาข้ึนใหม่ เพื่อผู้นาหลักสูตรไปใช้จะได้วัดและประเมนิ ผลได้ตรงตามเจตนารมณข์ องหลักสูตร สงิ่ ที่ควร ระบุคือรายวิชาที่สร้างขึ้นจะมีการวัดและประเมินผลแบบใด ก่อนเรียน ระหว่างเรียนหรือเมื่อจบ หลักสูตร ใช้วิธีการ เคร่ืองมือและเกณฑ์ใดในการวัดและประเมินผล 8) จัดทาเอกสารหลักสูตร หลังจากจัดทาหลักสูตรท้องถิ่นในรายวิชาใหม่แล้วควรจะต้องจัดทาเอกสารหลักสูตร เช่น แผนการ สอน คู่มือครู หนังสืออ่านเพ่ิมเติม และเอกสารประกอบการเรียนการสอนต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้ ผู้ใช้หลักสูตรสามารถนาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 9) ตรวจสอบคุณภาพและทดลองใช้หลักสตู ร คณะทางานควรจะพจิ ารณาร่วมกนั หรือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลกั สูตร เช่น จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เน้ือหา กิจกรรม การวัดผลประเมินผล และองค์ประกอบอ่ืน ๆ ของ หลกั สตู รมคี วามสอดคลอ้ งกันหรอื ไม่ อย่างไร เอกสารหลักสูตร เชน่ ค่มู ือการใชม้ คี วามชัดเจนเพียงใด หากพบข้อบกพร่องหรอื ปัญหาจะทาการแก้ไขกอ่ น จากน้ันคณะทางานจึงคัดเลือกกลุ่มตัวอยา่ งทีจ่ ะ นามาทดลองและกาหนดวิธีการประเมนิ ผล เพือ่ พจิ ารณาว่าหลกั สูตรท้องถน่ิ ที่สร้างขึน้ มาใหมแ่ ละสื่อการเรียน การสอนต่าง ๆ สามารถนาไปปฏบิ ัตจิ รงิ ไดห้ รอื อยา่ งไร ในการทดลองใช้หลกั สูตรคณะทางานจะตอ้ งเตรียม ครูผู้สอนให้เข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรและการใช้หลักสูตรเสียก่อน จากนั้นจึงทดลองให้ครูนาไปใช้ใน ชั้นเรียน โดยมีการนิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตร นาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์แล้วนาไปปรับปรุง หลักสูตรให้มีคุณภาพมากย่ิงข้ึนก่อนนาไปใชจ้ ริงต่อไป 10) เสนอขออนุมัติใช้หลักสูตร เมื่อตรวจสอบ คุณภาพและแกไ้ ขหลักสตู รทอ้ งถนิ่ ที่สร้างขนึ้ เรยี บร้อยแล้ว จะตอ้ งนาหลกั สตู รที่สร้างข้นึ ใหม่เสนอต่อ ผู้มีอานาจในการอนุมัติใช้หลักสูตร 11) นาหลักสูตรไปใช้ โดยคณะทางานจะต้องทาการวาง แผนการใช้หลักสูตรโดยเตรียมการอบรมครูเก่ียวกับวิธีการใช้หลักสูตร ควรจัดในรูปการประชุมเชิง ปฏิบัติการและเมื่อการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว ผู้บริหารหรือผู้ได้รับมอบหมายจะต้องนิเทศติดตามผล

62 ของการใช้หลักสูตรของครูด้วย เพื่อให้การสอนเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและข้อกาหนด ต่าง ๆ ในหลักสูตร และ 12) ประเมินผลหลักสูตร หลังจากครูนาหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนระยะหนึ่ง แลว้ โรงเรียนควรจัดให้มกี ารพิจารณาถึงคณุ คา่ ของหลกั สูตรว่าเปน็ อย่างไร ใหผ้ ลตรงตามจุดมุ่งหมาย ของหลกั สตู รที่กาหนดไวห้ รือไม่ ต้องปรับปรงุ แก้ไขในส่วนใด หรอื ควรจะยกเลิกหลกั สูตรนนั้ ไป รุ่งทิวา จันทน์วัฒนวงษ์ (2557, หน้า 93) ได้กล่าวว่า หลักสูตรท้องถิ่นเป็นหลักสูตรที่ สร้างขึ้นให้สอดคลอ้ งกับสภาพปัญหาและสนองความต้องการของสงั คมท่ีใช้หลักสูตรนั้น โดยการเปิด โอกาสให้ผู้ใช้หลักสูตรได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรได้ ซึ่งหมายถึง โรงเรียน ชุมชน รวมถึง หน่วยงานราชการที่จัดการศึกษาในระดับท้องถ่ินมีบทบาทหน้าท่ีในการจัดทา การจัดทาหลักสูตร ท้องถิ่นสามารถจดั ทาได้ในลกั ษณะของการปรับกิจกรรมการเรียนการสอน จดั ทาเปน็ รายวิชาเพิ่มเติม หรือปรับรายละเอียดของเนื้อหาโดยเพิ่มหรือลดรายละเอียดจากหลักสูตรแกนกลาง รวมถึง ปรับปรุงหรือเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับท้องถ่ิน ทั้งน้ีเพ่ือให้ผู้เรียนรู้เรื่องของ ท้องถนิ่ ของตนเอง ไดร้ จู้ กั ตนเอง มีจดุ ยืนของตนเอง ภาคภูมิใจในท้องถนิ่ และรักถ่ินฐานของตนเอง จรรยา กุลชาติ (2559, หน้า 93) ได้กลา่ วว่า หลกั สตู รทอ้ งถิน่ จะตอ้ งครอบคลุมส่งิ ท่ีกาหนด ไว้ในหลักสูตรแกนกลาง เพื่อความเปน็ เอกภาพของคนในชาติ และส่วนท่สี ถานศกึ ษาแตล่ ะแห่งพัฒนา เพมิ่ เติมให้สอดคล้องเหมาะสมกับบรบิ ท ความต้องการของท้องถ่นิ และสถานศกึ ษา หลักสูตรท้องถิ่น ที่ดี นอกจากจะพัฒนาความรู้และทักษะต่าง ๆ แล้ว ควรส่งเสริมการพัฒนาในด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม สังคม และวัฒนธรรม เพ่ือปลูกฝังให้ผู้เรียนเข้าใจในความรับผิดชอบ เสียสละ คานึงถึงประโยชน์ ของสงั คม ความตอ้ งการ ความถนดั และความสามารถของผเู้ รยี น จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนา กรอบสาระหลักสูตรท้องถ่ิน หมายถึง การดาเนนิ งานของผบู้ ริหารโรงเรียนเกย่ี วกับหลักสูตรที่มีเนื้อหา สาระสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของแต่ละท้องถิ่น ครอบคลุมถึงสิ่งท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร แกนกลาง ตลอดจนความต้องการของโรงเรียนเอง โดยมีการวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริง และ สอดคล้องกับความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผู้เรียน 2. การวางแผนงานด้านวชิ าการ การวางแผนงานดา้ นวิชาการ เปน็ เครื่องมืออยา่ งหนึง่ ของการบริหารโรงเรียนให้เป็นระบบ และช่วยให้การปฏิบัติงานของโรงเรียนสาเร็จลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีนักวิชาการกล่าวถึง การวางแผนงานด้านวิชาการไว้ ดังน้ี

63 ชุมศักด์ิ อินทร์รักษ์ (2551, หน้า 37-38) ได้กล่าวว่า การวางแผนงานด้านวิชาการเพื่อให้ งานมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายท่ีกาหนดไว้มี 5 ข้ันตอน ดังน้ี 1) ข้ันการวางแผน เป็นขั้นเตรียมการ โดยเร่ิมจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมทั่วไป รวมทั้งความเป็นไปได้ กาหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ จัดแผนงาน โครงการ และกิจกรรมท่ีนาไปสู่การปฏบิ ัติ 2) ข้นั การจัดองค์การ เปน็ การจดั ระบบโครงสร้าง โดยท่ี ผู้บริหารมอบความรับผิดชอบให้กับผู้ช่วยหรือรองผู้บริหารให้ทาหน้าที่วิชาการ และแบ่งงานไปตาม ลักษณะงานในแต่ละกลุ่มวิชา 3) ข้ันการจัดดาเนินการ เป็นข้ันตอนงานตามแผน โครงการ หรือ กิจกรรมที่วางไว้ ตามบทบาทหน้าท่ีของแต่ละฝ่าย ในข้ันตอนของการวางแผนและการจัดองค์การ ผู้บริหารทาหน้าท่ีคอยกากับ ให้คาปรึกษา ติดตามประเมินผล ให้ขวัญกาลังใจ ส่งเสริมการปฏิบัติ กจิ กรรมต่าง ๆ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ 4) ขั้นการนิเทศภายใน เป็นกระบวนการติดตามของผูบ้ ริหาร โดย การควบคุม กากับ ติดตามและประเมินผล พร้อมทั้งให้กาลังใจ และกระตุ้นให้บุคลากรปฏิบัติงาน อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และ 5) ขน้ั การประเมนิ ผล เปน็ ขั้นการตรวจสอบความก้าวหน้า การเปลยี่ นแปลงและ การพฒั นางานวิชาการเป็นระยะ ๆ เปน็ การตรวจสอบทเ่ี กิดขน้ึ กบั วตั ถปุ ระสงค์หรอื เป้าหมายทก่ี าหนด ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 3) ได้กล่าวว่า การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ เป็นการวางแผนเก่ียวกับการพฒั นาหลักสูตรและการนาหลักสูตรไปใช้ การจัดการล่วงหนา้ เกี่ยวกับ การเรียนการสอน มีรายละเอยี ดของงาน ดังน้ี 1) แผนปฏิบัติงานวชิ าการ ได้แก่ การประชุมเกี่ยวกบั หลักสูตร การจัดปฏิทินการศึกษา ความรับผิดชอบงานตามภาระหน้าที่ การจัด ขั้นตอน และเวลา ในการทางาน 2) โครงการสอน เป็นการจัดรายละเอยี ดเก่ียวกับวิชาทีต่ ้องสอนตามหลักสตู ร 3) บันทึก การสอน เป็นการแสดงรายละเอียดของการกาหนดเนื้อหาท่ีจะสอน ในแต่ละคาบเวลาของแต่ละวัน หรือสัปดาห์ โดยการวางแผนไว้ล่วงหน้า และยึดโครงการสอนเป็นหลัก สันติ บุญภิรมย์ (2553, หน้า 66) กล่าวว่า การวางแผน คือ กระบวนการซึ่งเป็นแนวทางใน การปฏิบัติงานเพื่อให้สาเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน โดยใช้ความรู้ความสามารถทาง วิทยาการในการกาหนดส่ิงที่พึงปฏิบัติในอนาคต ซ่ึงถือว่าการวางแผนเป็นเครื่องมือที่มีความสาคัญยิ่ง ของการบริหารทีเ่ ปน็ ระบบและมีประสทิ ธิภาพ สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2556, หน้า 50) ในการวางแผนงานด้าน วิชาการมีการดาเนินงาน ดังต่อไปน้ี 1) วางแผนงานด้านวิชาการในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน การประกัน คุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาและใช้ส่อื และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพฒั นา และส่งเสริมให้มีแหล่งเรยี นรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และการส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ทางวิชาการโดยการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ กาหนดเป้าหมาย จัดทากรอบในการดาเนินงาน

64 ตลอดจน ดูแล นิเทศ กากับ และติดตาม และ 2) ผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติโดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ วา่ การวางแผนงานดา้ นวิชาการ หมายถึง การดาเนนิ งานของผบู้ ริหารโรงเรียนเก่ียวกับการวางแผนงาน ด้านวิชาการในโรงเรยี น โดยมีการรวบรวมข้อมูล เพื่อใช้ในการกาหนดแนวทางการปฏิบัติงาน โดยมี คณะกรรมการวชิ าการรับผิดชอบ และมีการดาเนนิ การตามแผน มกี ารกากับ ดแู ล นิเทศ และติดตาม ประเมนิ ผล พร้อมทง้ั มีการนาผลการประเมินไปปรับปรุงและพัฒนางานวชิ าการ 3. การจดั การเรียนการสอนในสถานศึกษา การจัดการเรียนการสอนเป็นการกาหนดจุดมงุ่ หมายกิจกรรมและวิธีการเรียนรู้ รวมท้ังได้ ประเมินผลการพัฒนาการเรียนรู้ตามศักยภาพ ความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของ นักเรียนแต่ละคน ซึ่งมีนักวชิ าการกลา่ วถงึ การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาไว้ ดังน้ี สุราษฎร์ พรมจันทร์ (2550, หน้า 1) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนโดยท่ัวไป มี องค์ประกอบที่สาคัญอยู่ 3 อย่าง คือ 1) ผู้สอนทาหน้าที่วางแผน และจัดเตรียมกิจกรรมการเรียน การสอน 2) ตัวผู้เรียนซ่ึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ 3) วัสดุการเรียนการสอน รวมถึงส่ิงอานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน แมก้ ารจัดการเรยี นการสอน ยุคใหม่ผู้เรียนสามารถท่ีจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากส่ือหรือวัสดุการเรียนการสอนรูปแบบต่าง ๆ ได้ แตค่ รูผู้สอนกย็ งั เป็นกลไกทส่ี าคัญและจาเป็นในการพฒั นาสอ่ื หรอื วัสดุการเรยี นการสอนเหล่านน้ั กระทรวงศึกษาธิการ (2552, หน้า 25-26) การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญ ในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐาน การเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนา เด็กและเยาวชน ผูส้ อนพยายามคัดสรรกระบวนการเรยี นรู้ จดั การเรยี นรูโ้ ดยชว่ ยให้ผู้เรียนเรียนรูผ้ ่านสาระ ที่กาหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะตา่ ง ๆ อันเป็นสมรรถนะสาคัญใหผ้ ู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย อาภรณ์ ใจเท่ียง (2553, หน้า 1) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอน คือ กระบวนการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เพ่ือทาให้ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ ที่กาหนด ซึ่งจะต้องอาศัยทั้งศาสตรแ์ ละศลิ ปข์ องผู้สอน ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2553, หน้า 53) ได้ใหค้ วามหมายของคาวา่ การจดั การเรียนการสอน หมายถึง การจัดกิจกรรมในการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อการสอน การจัดกิจกรรมระหว่างสอน การทดสอบ เป็นต้น รวมทั้งความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูในการให้ความช่วยเหลือแนะแนวแกผ่ ู้เรียน ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการใหก้ าลังใจ ให้ความรกั และความเอาใจใสด่ ว้ ย

65 ทิศนา แขมมณี (2561, หน้า 17) ได้ให้ความหมายของคาว่า การจัดการเรียนการสอน หมายถึง วัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน สาระและเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอน วิธีการหรือ กระบวนการที่ใช้ในการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน สื่อและอุปกรณ์ ที่ใช้ในการเรียนการสอน สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2556, หน้า 50) การจัดการเรียนการสอน ในสถานศึกษา มกี ารดาเนนิ งาน ดังนี้ จดั ทาแผนการเรยี นรู้ทกุ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ จดั การเรยี นการสอน วัดผลและประเมินผลทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ พัฒนาคุณธรรมนาความรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ใช้สื่อการเรียนการสอนและ แหล่งเรียนรู้ จัดกิจกรรมพัฒนาหอ้ งสมุด ห้องปฏิบัตกิ ารต่าง ๆ ให้เอ้อื ต่อการเรียนรู้ สง่ เสริมการวจิ ัยและ พัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และส่งเสริมการพัฒนาความเป็นเลิศของผู้เรียน ชว่ ยเหลือผ้เู รียนพิการ ดอ้ ยโอกาส และผ้เู รยี นที่มีความสามารถพิเศษ จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ท่ีนักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนในการดูแล ควบคุม กากับ ติดตาม นิเทศการเรียนการสอน โดยให้ครูจัดทาหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ และมีแผนการจัดเรียนรู้ ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ มีหลักฐานการนาหน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ไปใชอ้ ย่างสม่าเสมอ และตรวจสอบได้ มกี ารดาเนนิ การปรับปรุงพัฒนาหน่วย การเรยี นร้แู ละแผนการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ า เพือ่ มงุ่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นไปท่ผี ้เู รยี นเปน็ สาคญั 4. การพัฒนาหลักสตู รของสถานศึกษา พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 27 วรรค 2 กาหนดให้สถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานมีหน้าท่ีในการจัดทาสาระ ของหลักสูตร ในสว่ นท่เี ก่ยี วกบั สภาพปญั หาในชุมชนและสงั คม ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ มคี ุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ โดยจดั ให้ผูเ้ รยี นสามารถพฒั นาตนเองไดเ้ ป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครวั ชมุ ชน สงั คม ประเทศชาติ และ ดารงชวี ิตอยา่ งเปน็ สขุ (ฝา่ ยวชิ าการ สานักพิมพ์เดอะบคุ ส,์ 2556, หน้า 13) คณาจารย์สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2551, หนา้ 266) ได้กล่าว ว่า องคป์ ระกอบในการพฒั นาหลักสูตรประกอบดว้ ย คณะกรรมการดาเนินงานจัดทาหลกั สูตร ศกึ ษา วิเคราะห์สภาพของสังคมปัจจุบัน เพ่ือนาข้อมูลมากาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร วางแผนงานหรอื กาหนดโครงสร้างหลักสูตร ดาเนินงานพัฒนาหลักสูตร และประเมินผลหลักสูตร องค์ประกอบใน ทุกส่วนของหลกั สูตร จะมีความสาคัญเท่าเทียมกนั และในการพฒั นาหลักสตู รจะขาดองค์ประกอบใด องค์ประกอบหนง่ึ ไมไ่ ด้ จะตอ้ งดาเนนิ งานเก่ยี วโยงและสมั พันธ์กันทัง้ หมด ดังภาพที่ 2.6

หลักสูตรทอ้ งถนิ่ สง่ิ แวดล้อมของโรงเรียน รวมทงั้ 66 ปัญหาตา่ ง ๆ ของผเู้ รียน หลกั สตู รสถานศึกษา ศกึ ษาและวิเคราะห์ ปัญหา การประเมินผล กาหนดจดุ ประสงค์ ผู้บรหิ ารงานใน หรอื จุดมุ่งหมาย โรงเรียนและครู การจัดเตรียมการสอน การจดั กจิ กรรม อาคารเรียน อุปกรณก์ ารสอน การเรียนการสอน และบุคลากร นกั เรยี น ภาพที่ 2.6 การพัฒนาหลักสตู รในระดบั โรงเรียน ท่มี า : จาก เอกสารการสอนชุดวิชาวทิ ยาการการสอน พุทธศักราช 2551, (หนา้ 266), โดย คณาจารย์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2551, กรงุ เทพฯ : อรุณการพิมพ์. โอลิวา (Oliva, 2009, p. 3) ได้กล่าวว่าความหมายของหลักสูตร สามารถแบ่งเป็น การให้นิยามโดยยึดจุดประสงค์ บริบทหรือสภาพแวดล้อม และวิธีดาเนินการหรือยุทธศาสตร์ ดังน้ี 1) การให้นิยามโดยยึดจุดประสงค์ (Purpose) หลักสูตรจึงมีภาระหน้าที่ท่ีจะทาให้ผู้เรียนควรจะเปน็ อย่างไร หรือมีลักษณะอย่างไร หลักสูตรในแนวคิดนี้จึงมีความหมายในลักษณะท่ีเป็นวิธีการท่ีนาไปสู่ ความสาเร็จตามจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายน้ัน เช่น หลักสูตร คือ การถ่ายทอดมรดก ทางวัฒนธรรม หลักสตู ร คอื การพฒั นาทักษะการคดิ ผู้เรียน เปน็ ต้น 2) การให้นยิ ามโดยยดึ บรบิ ทหรอื สภาพแวดล้อม (Contexts) นิยามของหลักสูตร ในลักษณะน้ีจึงเป็นการอธิบายถึงลักษณะทั่วไปของหลักสูตรซึ่ง แล้วแต่ว่าเน้ือหาสาระของหลักสูตรนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร เช่น หลักสูตรท่ียึดเนื้อหาวิชา หรือ หลกั สูตรทีย่ ดึ ผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง หรือหลกั สูตรที่เน้นการปฏริ ูปสังคม เปน็ ตน้ และ 3) การให้นิยาม โดยยดึ วธิ ีดาเนินการหรอื ยุทธศาสตร์ (Strategies) เปน็ การให้นิยามในเชงิ วธิ ีดาเนนิ การที่เป็นกระบวนการ

67 ยุทธศาสตร์หรือเทคนิควธิ กี ารในการจัดการเรียนการสอน เช่น หลักสูตร คือ กระบวนการแก้ปญั หา หลักสูตร คอื การอยรู่ วมกันเป็นกล่มุ การทางานกลุม่ หลักสตู ร คอื โครงการหรือแผนการจัดการเรียนการสอน เปน็ ต้น สันติ บุญภิรมย์ (2551, หน้า 53) ได้กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตร คือ ความพยายามของ ผู้บริหารสถานศึกษาและ คณะครู อาจารย์ ได้ร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรการเรียน การสอนให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคม ทั้งปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพ่อื ใหผ้ ้เู รียนและผู้เกี่ยวข้องได้เกดิ ความเชอ่ื ม่นั ในการจัดการเรยี นการสอนในสถานศกึ ษานนั้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2553, หน้า 9-10) การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ 1) ศึกษาวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ.2544 และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2546 และกรอบสาระการเรียนรู้ท่ีพัฒนาโดย สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2) ศึกษาศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและภูมิภาค ตลอดจนข้อมูล สารสนเทศเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการของสังคม ชุมชน และท้องถ่ิน 3) วิเคราะห์ สภาพแวดล้อมและประเมินสถานภาพสถานศึกษา เพ่ือร่วมกันกาหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย ภารกิจเป้าหมาย คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายรวมท้ังคณะกรรมการสถานศึกษา 4) ศกึ ษามาตรฐาน การเรียนรู้ช่วงช้ันของกลุ่มสาระหลักสูตรการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พ.ศ. 2544 หรือมาตรฐานการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 5) จดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษาทส่ี อดคล้อง กบั หลักสตู รแกนกลางของกระทรวงศึกษาธกิ ารและกรอบสาระการเรยี นร้ทู อ้ งถิ่นของสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษา ปฏิบัติงานตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงาน วิชาการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน 6) ขอความเห็นชอบการใช้หลักสูตรสถานศึกษาจากคณะกรรมการ สถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 7) การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาตามแนวปฏิบัติเก่ียวกับการใช้ หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2544 คือ การจัดสาระการเรียนรู้ การกาหนดค่าน้าหนักและเวลา เรียนช่วงชั้นที่ 1-3 การกาหนดรหัสวิชา และการกาหนดระดับผลการเรียน 8) การบูรณาการภายในและ ระหว่างสาระการเรียนรู้ การบูรณาการเฉพาะเรื่องตามลักษณะสาระการเรียนรู้ การบูรณาการท่ี สอดคล้องกับวิถีของผู้เรียน และ 9) ประเมินผลการใช้หลักสูตรและปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภาพ ยง่ิ ขึน้ ฆนัท ธาตุทอง (2553, หน้า 70) ไดก้ ลา่ วว่า การพฒั นาหลักสูตรเป็นการปรับ แต่ง เสริม เติม ต่อ หรือดาเนินงานอ่ืน ๆ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมท่ี เปลยี่ นแปลงไปและสนองต่อความตอ้ งการของผู้เรียน บญุ เลย้ี ง ทุมทอง (2553, หนา้ 167) ไดก้ ล่าววา่ การพฒั นาหลกั สูตรเป็นกระบวนการหรือ ข้ันตอนของการตัดสินใจเลือกทางเลือก ทางการเรียนการสอนที่เหมาะสมหรือรวบรวมทางเลือก ท่ีเหมาะสมต่าง ๆ เข้าด้วยกนั จนเปน็ ระบบท่ีสามารถปฏิบัติได้

68 รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 41) ได้กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นกระบวนการหรือขั้นตอนของการตัดสินใจหาทางเลือกทางการเรียนการสอนให้เหมาะสม เพื่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทางการเรียนการสอนไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้เหมาะกับผู้เรียน โดย ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วม สานักนโยบายและแผนการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2556, หน้า 50-51) การพัฒนาหลักสูตร สถานศกึ ษา มีแนวทางในการปฏบิ ตั ิดังนี้ 1) จัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษาเป็นของตนเอง โดยจดั ใหม้ ีการ วิจัยและพัฒนาหลักสูตรขึ้นใช้เองให้ทันกับการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และเป็น ตน้ แบบใหก้ ับสถานศึกษาอน่ื จัดทาหลกั สูตรท่ีมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบรู ณ์ทัง้ รา่ งกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้และคุณธรรม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่นื ได้อย่างมีความสุข จัดให้มีวิชาต่าง ๆ ครบถ้วนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ เพ่ิมเติมเนื้อหาสาระ ของรายวิชาให้สูงและลึกซงึ้ มากขึ้น สาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ การศึกษาด้านศาสนา ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา อาชีวศึกษา การศึกษาที่ส่งเสริมความเป็นเลิศผู้บกพร่อง พิการ และการศึกษา ทางเลือก และเพิ่มเติมเนื้อหาสาระของรายวิชาที่สอดคล้องสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม และมุ่งสู่ความเป็นสากล 2) สถานศึกษาสามารถจัดทาหลักสูตร การจัด กระบวนการเรียนรู้ การสอน และอ่ืน ๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนตามกลุ่มเป้าหมาย พิเศษ 3) คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานใหค้ วามเหน็ ชอบหลักสตู รสถานศกึ ษา 4) นิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล และปรับปรงุ หลกั สตู รสถานศกึ ษา และรายงานผลใหส้ านกั งานเขตพน้ื ทร่ี ับทราบ ร่งุ ทิวา จนั ทน์วฒั นวงษ์ (2557, หนา้ 98) ไดก้ ล่าววา่ การพฒั นาหลักสตู ร เปน็ การปรับปรงุ หรือเปลี่ยนแปลงหลักสูตรท่ีใช้อยู่เดิมทั้งองค์ประกอบ เริ่มต้นท่ีการปรับเปล่ียนจุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอนรวมถึงการวัดประเมินผลเพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับ สภาวะ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครองภายในท้องถ่ิน ภายในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงการให้การอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตามวตั ถุประสงค์ ของการพฒั นาหลักสตู รและการสอน รวมท้ังการบริหารและบรกิ ารหลกั สูตร จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา หมายถึง การดาเนนิ งานของผู้บริหารโรงเรียนในการกาหนดวสิ ัยทัศน์ เป้าหมาย จุดเน้นของหลักสูตรโรงเรียนที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน โดยจัดให้มีการจัดทา โครงสรา้ งหลกั สตู รท่ีสอดคลอ้ งกับวสิ ัยทัศน์ เปา้ หมาย จุดเนน้ ของหลกั สตู รโรงเรียน และเหมาะสมกับ ศกั ยภาพของผู้เรียน โดยมีการนาหลักสูตรโรงเรียนไปใช้ในระดับชั้นเรียน และมีการกากับ ติดตาม และประเมินผล การใช้หลักสูตรอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง พร้อมท้ังนาผลการประเมินการใช้ หลกั สูตรไปวเิ คราะห์วางแผนพัฒนาหลกั สตู รโรงเรยี นให้มีคุณภาพยง่ิ ขน้ึ

69 5. การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศกึ ษาและหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ดาเนินการ ดังต่อไปนี้ 1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ ผู้เรียนโดยคานงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล 2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา 3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ เรยี นรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็นทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รอู้ ย่าง ต่อเนื่อง 4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทัง้ ปลกู ฝงั คณุ ธรรม ค่านิยมทดี่ ีงามและคุณลักษณะอนั พึงประสงคท์ ุกวิชา 5) ส่งเสรมิ สนบั สนุนให้ ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอานวยความสะดวก เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังนี้ผู้สอน และผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ และ 6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และ บุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (ฝ่ายวิชาการ สานักพิมพ์ เดอะบคุ ส,์ 2556, หนา้ 12) กระทรวงศึกษาธิการ (2552, หน้า 25-26) กระบวนการเรียนรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้น ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ ผู้เรยี นจะตอ้ งอาศัยกระบวนการเรียนรู้ทหี่ ลากหลาย เปน็ เครอื่ งมอื ทจี่ ะนาพาตนเอง ไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรยี นรทู้ ี่จาเป็นสาหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบ บูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนา ลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนและ พัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นร้ไู ด้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังน้ัน ผู้สอน จึงจาเป็นต้องศึกษาทาความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน (2553, หนา้ 10-14) การพฒั นากระบวนการ เรียนรู้ มีแนวทางในการปฏบิ ัติดังนี้ 1) จัดทาแผนการจัดการเรยี นรู้แบบมีส่วนรว่ มตามสาระและหนว่ ย การเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยวิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหาสาระ มีมาตรฐานการเรียนรู้ มีผล การเรียนรู้ท่ีคาดหวัง และออกแบบกิ จกรร มก ารเรี ยนรู้โ ดย เน้นผู้ เรียน เป็นสาคัญ และจัดเตรียมสื่อ การเรียนร้ทู ี่เหมาะสมกบั ผู้เรียน 2) จัดกระบวนการเรยี นรใู้ ห้ยดื หยุ่นตามความเหมาะสม โดยจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจความถนัดของผู้เรียน ตลอดจนผู้ที่มีความสามารถพิเศษ

70 และผู้ท่ีมีความบกพร่องหรือด้อยโอกาส โดยฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ การประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาในชีวิตประจาวัน การเรียนรู้จาก ประสบการณ์จรงิ และการปฏิบัติจริง สร้างสถานการณ์ตวั อย่าง 3) ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการอ่านและ ใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง มีการผสมผสานความรู้ต่าง ๆ ให้สมดุลกัน 4) ปลูกฝังผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์สอดคล้องกับเนื้อหาสาระกิจกรรม 5) จัดบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมแหลง่ เรยี นรู้ใหเ้ อ้อื ต่อการเรียนรู้ 6) นาภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ และประสาน ความร่วมมือเครือข่ายผู้ปกครอง ชุมชน ท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนตาม ความเหมาะสม เพ่ือร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ 7) จัดให้มกี ารนเิ ทศการเรียนการสอนในกลุ่ม สาระการเรียนร้ตู ่าง ๆ โดยเป็นการนิเทศทีร่ ่วมมอื ชว่ ยเหลอื กนั แบบกัลยาณมติ ร การนิเทศแบบเพ่ือน ช่วยเพอื่ น เพ่อื พฒั นาการเรยี นการสอนร่วมกันของบุคลากรภายในสถานศึกษา 8) สง่ เสรมิ ให้ใชก้ ารวิจัย เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ (การวิจัยในชั้นเรียน) 9) การส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนา วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างหลากหลายและต่อเนื่อง เพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตาม ความเหมาะสม 10) จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ได้แก่ 10.1) การจัดกิจกรรมแนะแนว โดย จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้แบบบันทึกและจัดทา ส่ือ ให้คาปรึกษาการแก้ไขข้อบกพร่องและพัฒนาตนเอง และให้คาปรึกษาการศึกษาต่อและแนะนา อาชีพ 10.2) จัดกจิ กรรมนักเรยี น โดยสนบั สนนุ เกอ้ื กลู ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เชน่ โครงงานส่งเสรมิ ความ ถนัด ความสนใจ ความสามารถ ความต้องการของผู้เรียน เช่น ชมรมทางวิชาการ ส่งเสริมการทา ประโยชน์ต่อสังคม เช่น กิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาด ส่งเสริมการฝึกทางานที่เป็นประโยชน์ต่อ ตนเองและส่วนรวม จัดกิจกรรมการเรียนรู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ และจัดทาแผนการจัดกิจกรรม แบบบันทึก รายงานผล สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (2553 ข, หนา้ 24) ไดใ้ หค้ านิยามไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการทผ่ี ู้เรียนใช้ในการแสวงหาความรู้ สรา้ งความเขา้ ใจ สร้างองคค์ วามรู้ และพัฒนา ตนเองใหม้ คี วามรู้ ความสามารถ และศกั ยภาพตามท่มี ุ่งหวังในหลักสตู ร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (2553, หน้า 45) กระบวนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการท่ีผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันจัดเป็นกิจกรรมขึ้นมาเพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์อันจะทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ความสามารถ เจตคติและค่านิยมท่ีดี ในการจัดการเรียนรูใ้ ห้สอดคลอ้ งกับจุดประสงคข์ องการเรียนและจุดเนน้ ของสาระสาคัญ ผ้สู อนควร มียุทธวิธีในการดาเนนิ งานเพ่ือให้ได้ผลดี คอื คดิ คน้ คว้า เพอื่ แสวงหาหลกั การแนวทางตา่ ง ๆ และนา วิธีการใหม่ ๆ ไปใช้จัดการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญด้วยวิธีการท่ีหลากหลายโดยเน้น กระบวนการเรยี นรู้

71 จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 153) ได้กล่าวว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หรือที่ เรยี กว่า การปฏิรปู การเรียนรู้ ทั้งในส่วนท่เี กี่ยวกบั วิธีการเรียนของผเู้ รียนและวธิ ีการสอนของครู ซ่งึ ครู จะต้องสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์และศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเอง โดยมีครเู ปน็ ผู้ควบคุมดูแล เป็นการฝึกปฏิบัติให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักวิธีคิด วิธีการดาเนินชีวิต และมที ักษะในการเผชญิ ปัญหาต่าง ๆ ได้ ฆนัท ธาตุทอง (2553, หน้า 37) ไดก้ ล่าวถงึ หลกั การจัดการเรียนรู้วา่ ผสู้ อนเปล่ียนจากผูถ้ ่ายทอด มาเป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ทาหน้าที่เรียนด้วยตนเอง และต้องเรียนรู้คู่คุณธรรม เป้าหมายของการเรียนแบ่งเป็นด้านปัญญามุ่งให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่ม สรา้ งสรรค์ และคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ดา้ นอารมณม์ งุ่ เน้นใหผ้ ู้เรียนมีความสามารถทางอารมณ์ เหน็ คุณค่า และเขา้ ใจตนเอง เหน็ อกเหน็ ใจผูอ้ ่ืน แก้ปญั หาความขดั แย้งทางอารมณไ์ ดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสม ด้านสังคม มุ่งเน้นความรูเ้ พื่อเข้าใจสถานการณ์ แก้ไขปัญหาความขัดแยง้ ทางความคิด การกระทา โดยเฉพาะ ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาและวฒั นธรรม วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒนผล (2553, หน้า 37) ได้กล่าวถึงหลักการจัดการเรียนรู้ไว้ ดงั น้ี 1) ยึดหลกั ผูเ้ รยี นมคี วามสาคัญเชอ่ื วา่ ทกุ คนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ 2) กระบวนการเรียนรู้ เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก ใช้วิธีสอนที่หลากหลายเหมาะกับผู้เรียนรายบุคคล และ 3) การออกแบบ การจดั การเรียนรู้ใช้วธิ ีการ กจิ กรรม สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผลท่ีเหมาะสมกบั ผู้เรยี น รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 96) ได้กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนรู้ คือ การเรียนรู้ เป็นการปรับปรงุ เปลย่ี นพฤติกรรมจากประสบการณก์ ารเรยี นรู้จะเกิดข้นึ ได้ดีจาตอ้ งอาศัยสภาวการณ์ สนับสนุนหลายอย่างในการจัดการเรียนการสอน ครูจะต้องหาทางให้นักเรียนได้ผ่านประสบการณ์ ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้มากท่ีสุด และเน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ หลักการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญการจัดการศกึ ษามีเป้าหมายสาคญั ท่ีสดุ คอื การจดั การให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นแตล่ ะคนไดพ้ ัฒนาตนเองสงู สุด ตามกาลงั หรอื ศักยภาพของแตล่ ะคน โดย มีแนวคิดการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ด้านความเสมอภาคของโอกาสทาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านมาตรฐานคุณภาพการศึกษา ด้านระบบบริหารและการสนับสนุนทาง การศึกษา ด้านครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ด้านหลักสูตร ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา มีองค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ และใช้เทคนิคการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้ท่ีมีความสาคัญก็คือ ครู เปรียบเสมือนผู้จัดการหรือผู้อานวยความสะดวก และผู้บริหารที่ดีต้องมีบทบาทในการเป็นผู้ให้ การส่งเสริมและสนบั สนุน สานักนโยบายและแผนการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน (2556, หน้า 51) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้ 1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้อง กับความสนใจและ

72 ความถนัดของผู้เรียนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา 3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ไดเ้ รียนร้จู ากประสบการณจ์ ริง ฝกึ การปฏิบตั ิให้ทาได้คิดเปน็ ทาเป็น รกั การอา่ น และเกดิ การใฝร่ อู้ ย่าง ตอ่ เนื่อง 4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรูด้ ้านต่าง ๆ อยา่ งได้สดั ส่วนสมดุลกนั รวมทัง้ ปลูกฝังคณุ ธรรม ค่านยิ มทดี่ งี าม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคไ์ ว้ในทุกวิชา 5) ส่งเสริม สนับสนุนให้ ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนการสอนและอานวยความสะดวก เพื่อให้ ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรแู้ ละมีความรอบรู้ รวมท้งั สามารถใช้การวิจัยเปน็ ส่วนหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ 6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา และ บุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ และ 7) ศึกษาค้นคว้าพัฒนา รูปแบบหรือการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ท่ีก้าวหน้าเพื่อเป็นผู้นาการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพ่ือเป็น ต้นแบบให้กับสถานศึกษาอ่ืน จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้วา่ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรยี นในการส่งเสริมให้ครูจดั กระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรโรงเรียน จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้อง กบั ความสนใจ ความถนัดของผเู้ รยี น ทง้ั ด้านความรู้ ทกั ษะ กระบวนการ และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ มกี ารจัดบรรยากาศ ส่งิ แวดลอ้ ม และแหล่งเรยี นรู้ให้เออ้ื ต่อการจดั กระบวนการเรียนรู้ นาภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ หรือเครอื ขา่ ย ผปู้ กครอง ชุมชน ท้องถิน่ มสี ว่ นร่วมในการจัดการเรยี นรู้ตามความเหมาะสม และมีการสรุป ประเมินผลกระบวนการจดั การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 6. การวดั ผล ประเมินผล และดาเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ.2553 ไดม้ ีการกาหนดตามมาตรา 15 วรรคสุดท้าย ใหม้ ีการเทียบโอนผลการเรียนท่ี ผู้เรยี นสะสมไวใ้ นระหว่างรปู แบบเดยี วกนั หรอื ตา่ งรูปแบบได้ ไมว่ ่าจะเปน็ ผลการเรยี นจากสถานศึกษา เดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมท้ังจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจาก ประสบการณ์การทางาน และในมาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจาก พัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา (ฝ่าย วชิ าการ สานกั พมิ พเ์ ดอะบคุ ส์, 2556, หน้า 10,12) มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (2553, หน้า 177) ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ท่ี สะท้อนถึงความสามารถจริงของผู้เรียนนั้นจะเห็นได้ว่าการวัดและประเมินผลภาคปฏิบัติ ใน

73 ด้านความสามารถ และโดยใชแ้ ฟ้มผลงานมีความสาคัญยงิ่ ซึง่ ขอ้ มลู ทน่ี ามาใช้ในการประเมนิ ต้องมา จากแหล่งที่หลากหลาย เช่น จากผลงานการทาแบบฝึกหัดหรือโครงงาน ใบงาน ใบความรู้ จากการ สังเกต จากการสัมภาษณ์ จากการสอบในลักษณะต่าง ๆ และจากการบันทึกของผู้เรียน ผู้สอน ผปู้ กครอง เปน็ ตน้ วชิ ัย วงษใ์ หญ่ และมารุต พัฒนผล (2553, หนา้ 37) ไดก้ ล่าววา่ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ มี 4 ระดับ คือ 1) การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ เน้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจรงิ 2) การประเมินระดบั สถานศกึ ษา เป็นการวัดและประเมินผลรายปี รายภาค รวมทั้งการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน 3) การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐาน การเรียนรู้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานสาหรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา 4) การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 และชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 เข้ารับการประเมิน สานกั นโยบายและแผนการศึกษาขัน้ พื้นฐาน (2556, หน้า 51-52) ได้กาหนดแนวทางการวัดผล ประเมนิ ผล และดาเนินการเทียบโอนผลการเรียน ดงั นี้ 1) กาหนดระเบยี บการวัดและประเมินผลของ สถานศึกษาตามหลักสูตรสถานศึกษาโดยให้สอดคล้องกับนโยบายระดับประเทศ 2) จัดทาเอกสาร หลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบการวัดและประเมินผลของสถานศึกษา 3) การวัดผล ประเมินผล เทียบโอนประสบการณ์ผลการเรียน และอนุมัติผลการเรียน 4) จัดให้มีการประเมินผล การเรียนรู้ช่วงชั้น และจัดให้มีการซ่อมเสริมกรณีที่มีผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน 5) จัดให้มี การพัฒนาเครื่องมือในการวัดและประเมินผล 6) จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดผล ประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียนเพื่อใชใ้ นการอ้างองิ ตรวจสอบ และใชป้ ระโยชนใ์ นการพัฒนาการเรียน การสอน 7) ผูบ้ ริหารสถานศึกษาอนมุ ัติการประเมนิ การเรียนด้านต่าง ๆ รายป/ี รายภาคและตดั สินผล การเรียนการสอนผ่านช่วงชั้นและจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 8) การเทียบโอนผลการเรียนเป็น อานาจของสถานศกึ ษาที่จะแต่งต้ังคณะกรรมการดาเนินการเพื่อกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ ได้แก่ คณะกรรมการเทยี บระดับการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย คณะกรรมการเทียบ โอนผลการเรียน และเสนอคณะกรรมการการบริหารหลักสูตรและวิชาการ พร้อมทั้งให้ผู้บริหาร สถานศกึ ษาอนมุ ัติการเทยี บโอน จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ท่ีนักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การวัดผล ประเมินผล และดาเนินการเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหาร โรงเรียนโดยกาหนดให้มีมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหลักสูตรโรงเรียน ให้ครูวัดและ ประเมินผลตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั ของหลักสตู รโรงเรยี น การจบหลกั สตู รให้เปน็ ไปตาม

74 เกณฑก์ ารจบของโรงเรียน มีการเทียบโอนหลกั สูตรกรณโี อนย้ายโรงเรยี น มีการจดั ทาเอกสารหลกั ฐาน ให้เป็นไปตามระเบียบการวัดและการประเมินผลของโรงเรยี น อนุมัติการประเมินผลการเรยี น รายภาค และรายป และตดั สินผลการเรียน และมีการนาผลการประเมินมาปรบั ปรุงการเรียนการสอน 7. การวิจยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 ได้มีการกาหนดตามมาตรา 30 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัย เพ่ือ พัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา และในมาตรา 24 (5) ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรยี นรู้ ทง้ั นี้ผสู้ อนและผูเ้ รยี นอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการ ประเภทต่าง ๆ และมาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสง่ เสรมิ ให้ผู้สอนสามารถวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรทู้ ี่เหมาะสมกบั ผู้เรยี นในแต่ละระดบั การศึกษา (ฝา่ ยวชิ าการ สานกั พมิ พเ์ ดอะบคุ ส์, 2556, หน้า 12-13) สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553 ข, หน้า 40) ได้นิยามศัพท์ของการวจิ ัยเพ่ือ พฒั นาการเรียนรู้ (Action research) หมายถึง การบูรณาการกระบวนการวจิ ัยในการจัดการเรียนการสอน เพ่ือพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและเพ่ือให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา หรือพัฒนา การดาเนินการแก้ปัญหาหรอื พฒั นา การเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากการดาเนินการ การสรุปผล การแก้ปัญหาและรายงานผล และนาผลการวิจัยไปประยุกตใ์ ช้ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ (2553, หน้า 203) การวิจัยในชั้นเรียน เป็นการ พัฒนาหลักสูตรและพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ด้วยการวิจัย โดยการนานวัตกรรม เทคนิค หรือ วิธีการที่มีคุณภาพผ่านกระบวนการวิจัยท่ีน่าเช่ือถือได้มาแล้วมาใช้แก้ปัญหาในชั้นเรียนโดยตรง มีผลให้ การจัดการเรียนรู้บรรลุผลตามจุดประสงค์ที่วางไว้ เป็นการเผยแพร่ความรู้จากการปฏิบตั ิจริงซงึ่ จะ เป็นประโยชน์ตอ่ ผ้บู รหิ ารหรือหน่วยงาน และเปน็ การสง่ เสริมพัฒนาผู้เรียนไดต้ รงตามศกั ยภาพของผเู้ รยี น จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 157) ได้กล่าวว่า การวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการที่ น่าเชื่อถือและเป็นระบบในการแสวงหาคาตอบ เพราะเป็นการคิดค้นพัฒนาที่เป็นการแก้ปัญหาใน สภาพการณ์ท่ีเป็นจริงในชั้นเรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงวิทยาศาสตร์ท่ีมีเป้าหมายสาคัญอยู่ที่ การแสวงหาคาตอบจากปัญหาและข้อสงสัยของครู เป็นการคิดพัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา และการเรยี นการสอน

75 ธีระ รุญเจริญ (2550, หน้า 358) ได้กล่าวถึงจุดหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา มี 3 ประการ ดังนี้ 1) เพ่ือแสวงหาแนวทางและเทคนิควิธีการในการบริหารจัดการตามภารกิจของ โรงเรียน 2) เพื่อแสวงหาเทคนคิ และวิธจี ัดการเรียนการสอนใหส้ อดคล้องกบั ธรรมชาติ และศักยภาพ ของนักเรียน 3) เพ่ือทาให้การเรียนรู้ที่มีหลักการและเหตุผลด้วยตนเอง ซ่ึงจะนาไปสู่ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คอื เก่ง ดี และมีความสุข สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2553, หน้า 18-24) การวิจัยเพ่ือพัฒนา คณุ ภาพการศกึ ษา มีการดาเนินการ ดังนี้ 1) ศกึ ษาและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการศึกษาวิเคราะห์ วิจัย และการนาผลวิจัยมาใช้ในการบริหารจัดการและการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของ สถานศึกษา 2) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ 3) ดาเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน 4) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับข้อมูลและ ผลงานวิจัยเพ่ือพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพนักเรียนในความรับผิดชอบ 5) สร้างเครือข่ายในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยกระบวนการจัดการเรียนรู้ทั้งภายในโรงเรียนระหว่าง โรงเรียน เขตพื้นท่ีการศึกษา และส่วนกลาง 6) วิจัย ประเมินผล เพ่ือพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ของสถานศึกษา สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน (2556, หน้า 51-52) ได้กาหนดแนวการวิจยั เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาในสถานศึกษา ดงั น้ี 1) กาหนดนโยบายและแนวทางการใช้การวิจัยเป็น ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้และกระบวนการทางานของผูเ้ รยี น ครู และผเู้ กย่ี วข้องกับการศึกษา 2) พัฒนาครูและผู้เรียนให้มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นสาคัญ ในการเรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้นทาให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิด การจัดการ การหาเหตุผลในการตอบปัญหา การผสมผสานความรู้แบบสหวิทยาการ และการเรียนรู้ในปัญหาท่ีตนสนใจ 3) พัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาด้วยกระบวนการวจิ ัย และ 4) รวบรวมและเผยแพร่ผลการวิจัยเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา คุณภาพการศึกษา รวมท้ังสนับสนนุ ให้ครูนาผลการวิจัยมาใช้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาของสถานศึกษา จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ท่ีนักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียน ในการกาหนดนโยบาย และแนวทางการใช้การวิจัยเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ ของโรงเรียน โดยส่งเสริมให้ครูมีความรู้ในการวิเคราะห์ วจิ ยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน จดั ให้ครูนา ความรู้ไปดาเนินการวิเคราะห์ วิจัย นาผลการวิเคราะห์ วิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรยี นรู้ของผ้เู รียน มีการประเมินผลการดาเนินการในการนาผลการวิเคราะห์ วิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ และมีการเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ วิจัยทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

76 8. การพัฒนาและสง่ เสรมิ ให้มีแหล่งเรียนรู้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553 ได้มีการกาหนดตามมาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจดั ตั้ง แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรยี นรู้อ่ืนอย่างพอเพียงและมีประสิทธภิ าพ (ฝ่ายวชิ าการ สานักพิมพ์เดอะบุคส์, 2556, หน้า 12) สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553 ข, หน้า 25) ได้นิยามศัพท์ของแหล่งการเรียนรู้ (Learning resource) หมายถึง สถานท่ีหรือแหล่งข้อมลู ท้ังในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาที่ผู้เรียน สามารถเข้าไปศึกษา แสวงหาประสบการณ์ ความรู้ เพื่อช่วยพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ลึกซึง้ สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า (2553, หน้า 233-234) ได้จาแนกประเภทแหล่งเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล 2) แหล่งเรียนรู้ประเภทสถานที่ เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ สหกรณ์ร้านค้าในโรงเรียน บ่อเลี้ยงปลาในโรงเรียน 3) แหล่งเรียนรู้ ประเภทสื่อและเทคโนโลยี ได้แก่ เทปบันทึกเสียง วีดีทัศน์ ชุดการสอน 4) แหล่งเรียนรู้ประเภท เอกสารส่ิงพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ ภาพถ่าย แผนที่ แผนผัง และ 5) แหล่งเรียนรู้ประเภทวสั ดุธรรมชาติ ได้แก่ หนิ นา้ ปา่ เขา ถา้ สัตว์ พชื รงุ่ ชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 140) ไดก้ ลา่ วว่า กระบวนการเรียนรูแ้ ละสาระท่กี าหนดไว้ ในหลักสูตรสถานศึกษา มุ่งเน้นไปท่ีการจัดให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย รูปแบบต่าง ๆ ทั้งในและนอกโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนจึงต้องพัฒนาแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน ให้มีความพร้อมสาหรับจัดการเรียนรู้ ดังนั้น สถานศึกษาจึงจาเป็นต้องการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ การจัดหาแหล่งเรียนรู้ แหล่งการเรียนรแู้ ละสื่อเทคโนโลยีทางการศกึ ษา จัดกระบวนการเรียนรู้ภายใน ชุมชน การนาคุณค่าภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้จัดการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทสาคัญใน การให้การสนับสนุนและพัฒนาชุมชน เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการ ของผเู้ รียน สมศกั ด์ิ คงเที่ยง (2556, หนา้ , 50) ไดก้ ลา่ ววา่ แหล่งเรยี นรู้ เปน็ แหลง่ เสริมจติ นาการและ ความคิดสรา้ งสรรค์ สร้างความรู้ ความคิดวชิ าการ และประสบการณ์ อนั ประกอบไปด้วยแหล่งเรยี นรู้ ในโรงเรียน ได้แก่ ห้องสมุด ห้องหมวดวิชา ห้องคอมพิวเตอร์ ศูนย์วิทยบริการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์วิชาการ ศูนย์ส่ือการเรียนการสอน สวนพฤษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ ฯลฯ และแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์

77 หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา วัด ครอบครัว ภมู ิปญั ญา ท้องถ่นิ ชมุ ชน สถานประกอบการ องคก์ รภาครฐั และเอกชน ฯลฯ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน (2553, หนา้ 32-33) ได้เสนอแนวดาเนินการ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ มีการดาเนินการ ดังน้ี 1) สารวจแหล่งการเรียนรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนา คุณภาพท้ังในและนอกสถานศึกษาทั้งในและนอกเขตพื้นที่การศึกษาที่โรงเรียนสังกัด 2) จัดทา เอกสารรวบรวมเผยแพร่แหลง่ เรียนรู้แก่ครู บคุ ลากร ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน สถานศกึ ษาอืน่ ๆ ที่จัด การศึกษาบริเวณใกล้เคียง 3) มีส่วนร่วมในการจัดตั้งและพฒั นาแหล่งเรยี นรู้ภายในโรงเรียน รวมท้ัง พฒั นาใหเ้ กิดองค์ความรู้ 4) ประสานความร่วมมอื วางแผนกบั สถานศกึ ษาอืน่ บุคคล ครอบครวั องคก์ ร และหน่วยงานที่จัดการศึกษา โดยส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ที่แต่ละแหล่งมี เพ่ือใช้ประโยชน์ให้เกิด การเรียนรู้ร่วมกัน และ 5) มีส่วนร่วมในการส่งเสริม สนับสนนุ ใหเ้ พอ่ื นครูได้ใช้แหลง่ เรยี นรู้เชงิ อนุรักษ์ ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา โรงเรียนในการจัดกระบวนการเรียนรูใ้ ห้ครอบคลุมถึงภูมิปญั ญา ทอ้ งถน่ิ สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2556, หน้า 52) ได้กาหนดแนวการพัฒนา และส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ ดังน้ี 1) จัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลายทั้งภายในและภายนอก สถานศึกษาให้พอเพียงเพื่อสนับสนุนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ 2) จัดระบบแหลง่ เรียนร้ภู ายในสถานศึกษาให้เอือ้ ต่อการจดั การเรียนร้ขู องผู้เรยี น เชน่ พฒั นาหอ้ งสมุดให้ เปน็ แหล่งการเรียนรู้ จัดใหม้ ีหอ้ งสมุดหมวดวชิ า หอ้ งสมุดเคลือ่ นท่ี มุมหนงั สือในหอ้ งเรยี น ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยบริการ Resource Center สวนสขุ ภาพ สวนวรรณคดี สวนหนังสือ สวนธรรมะ เปน็ ต้น 3) จัดระบบข้อมูลแหลง่ เรยี นรู้ในท้องถิ่น ใหเ้ อ้อื ต่อการจัดการเรยี นรู้ของผู้เรียน ของสถานศึกษา ของตนเอง เช่น จัดเส้นทาง/แผนที่และระบบ การเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดสถาบันการศึกษา พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ 4) ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนได้ใช้แหล่งเรียนรู้ท้ังภายในและ ภายนอกสถานศึกษา เพื่อพฒั นาการเรียนรู้และนิเทศ กากับ ติดตาม ประเมนิ และปรบั ปรุงอย่างต่อเนื่อง และ 5) ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนใช้แหล่งเรียนรู้ในต่างประเทศ จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนในการจัดหา รวบรวมข้อมูล จัดทาทะเบียนแหล่งการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระ ให้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ใช้แหล่ง เรียนรู้ โดยมีการจัดให้นักเรียนไปฝึกประสบการณ์การเรียนรู้ในแหล่งการเรียนรู้ โดยมีการกากับ ติดตาม การใช้แหล่งการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และมีการรายงานผลการใช้แหล่งการเรียนรู้ เพ่ือนามา ปรบั ปรงุ และพฒั นา

78 9. การนิเทศการศึกษา การนิเทศการศึกษา เป็นการให้ความช่วยเหลือ แนะนา หรือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ การศึกษา แกบ่ ุคลากรทางการศกึ ษาในสถานศึกษา โดยเนน้ การให้ความช่วยเหลือ แนะนา และผ้รู ับการนิเทศ ยอมรบั เพอ่ื ประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา ซงึ่ ได้มีนกั วชิ าการไดก้ ลา่ วไว้ ดงั นี้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน (2553, หนา้ 33-34) การนเิ ทศการศึกษา มี การดาเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาระบบการนิเทศงานวิชาการและการเรียนการสอนภายในสถานศึกษา ดังน้ี ร่วมเป็นคณะกรรมการนิเทศภายในสถานศึกษา ร่วมวางแผนนิเทศภายในสถานศึกษาโดยใช้ กิจกรรมที่หลากหลายและเหมาะสมกับสถานศึกษา และจัดทาเครื่องมือนิเทศงานวิชาการและ การเรียนการสอน 2) ดาเนินการนิเทศงานวชิ าการและการเรยี นการสอนตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย ดงั น้ี สร้างความตระหนักความรู้ความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง กาหนดปฏิทินการนิเทศ และดาเนินการ ตามแผนนิเทศ 3) ประเมินผลระบบและกระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษา ดังนี้ มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการประเมินผลการนิเทศ จัดทาเคร่ืองมือประเมินผลการนิเทศ และประเมินผลการนิเทศ อย่างต่อเนื่อง 4) ประสานงานกับเขตพื้นท่ีการศึกษา เพ่ือพัฒนาระบบและกระบวนการนิเทศงาน วิชาการและการเรียนการสอนของสถานศึกษา ดังนี้ ขอความร่วมมือเป็นวิทยากร พัฒนาผู้นิเทศ เก่ียวกบั ความรู้และทักษะการนิเทศงานวิชาการ การเรียนการสอนและการสร้างเครอ่ื งมอื นิเทศ และ ขอความร่วมมือประเมินระบบและกระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษา 5) แลกเปลี่ยนเรียนรู้และ ประสบการณ์การจัดระบบการนิเทศภายในกับสถานศึกษาอื่น หรือเครอื ข่ายการนิเทศภายในเขตพ้นื ที่ การศึกษา ดังน้ี รวบรวมข้อมูลสถานศึกษาที่จัดการนิเทศภายในสถานศึกษาดีเด่น ศึกษาดูงาน สถานศึกษาที่จัดการนิเทศภายในสถานศึกษาดีเด่น พัฒนาระบบการนิเทศภายในสถานศึกษา โดย หัวหน้ากลุ่มสาระและผู้บริหารแบบกัลยาณมิตรหรือระหว่างครูผู้สอน ศึกษาสถานการณ์โลกและ สังคมที่เปล่ียนแปลง เพื่อเช่ือมโยงกับองค์ความรู้และประสบการณ์เดิม ปรับปรุง พัฒนาองค์ความรู้ ใหม่อย่างต่อเนื่องจนเกิดผลดีต่อการจัดประสบการณ์เรียนรู้ และแลกเปล่ียนประสบการเรียนรู้ ระหว่างครู กลุ่มสาระ สถานศึกษาหรอื สถานบันอนื่ ๆ สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553, หน้า 48-49) ได้นิยามศัพท์ของ การนิเทศ (Supervision) หมายถึง กระบวนการท่ีสนับสนุนส่งเสริม กระตุ้นให้ครูและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียจาก การจัดการศึกษารว่ มมือรว่ มใจกนั พจิ ารณาวางแผนและดาเนินการรว่ มกัน เพื่อจะช่วยแก้ไขปรบั ปรงุ ส่วนท่ีบกพร่องให้มกี ารพฒั นาและเกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้ได้ผลดีย่ิงข้ึน อันจะยังผลให้ เกิดผลสัมฤทธิ์อันสูงสุดในการเรียนของผู้เรียน และ การนิเทศภายใน (Internal supervision) หมายถึง การนิเทศที่ดาเนินการภายในสถานศึกษา ซึ่งมีครู ผู้บริหาร และบุคคลภายในสถานศึกษา ร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงงานด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพ่ิมประสิทธิภาพของการเรียนการสอน อันจะนามาซึ่ง ผ ล สัม ฤ ท ธิ์ท า ง ก า ร เ รีย น ข อ ง นัก เ รีย น แ ล ะ ค ว า ม สา เ ร็จ ต า ม ม า ต ร ฐ า น ที่ก า ห น ด

79 บุคลากรในโรงเรียนเป็นผู้ใกล้ชิดกับนักเรียน จึงย่อมทราบปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนภายนอก เพราะฉะน้ันการนิเทศภายในโรงเรียนจะสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของบุคลากรใน โรงเรียนไดอ้ ยา่ งดี ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553, หน้า 223) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการจัดการบริหารการศึกษาเพ่ือช้ีแนะ ให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับครู บุคลากรท่ี เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เพ่ือปรับปรุงการเรยี นการสอนของครแู ละเพ่ิมคุณภาพของบทเรียนให้ เป็นไปตามจดุ มุ่งหมายของการศึกษา จันทรานี สงวนนาม (2553, หน้า 153) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียน หมายถึง การดาเนินการโดยผู้บริหารโรงเรียนและครู ตลอดจนบุคลากรภายในโรงเรียนร่วมมือกัน ปรับปรุงงานในด้านต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนอันจะนามาซ่ึง คุณภาพของโรงเรียนและของผู้เรียนให้อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ซึ่งผู้รับการนิเทศ ได้แก่ ครูผู้สอนและ บคุ ลากรภายในโรงเรยี นทกุ คน สันติ บุญภิรมย์ (2553, หน้า 204) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กิจกรรมหน่ึงในหลาย ๆ กิจกรรมของการบริหารการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเงื่อนไข การเรียนรู้ และความเจริญงอกงามของผู้เรียน โดยมุ่งให้ผู้สอนปรับปรุงวิธีการสอนและจัดกิจกรรมอื่น ควบคไู่ ปดว้ ย รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 148) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาเป็นการร่วมมือ ระหวา่ งผู้นิเทศและผ้รู ับการนิเทศในการชว่ ยเหลอื ปรับปรงุ ประสิทธิภาพการสอนของครู ซ่ึงจะสง่ ผล ไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือผู้เรียนให้มีคุณภาพดังจุดมุ่งหมายของการศึกษา และในขณะเดียวกัน การนิเทศการศึกษาต้องพิจารณาในเรื่องการพัฒนากลุ่มคนผู้ร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงครูให้มีความรู้ ความสามารถ นาความรู้ความสามารถของตนเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทางาน สามารถทางาน ด้วยความมั่นใจ มีขวัญ และกาลังใจในการทางาน กระบวนการทางานเป็นไปในลักษณะที่ก่อ การประสานสัมพันธ์อันดีปราศจากความขดั แย้ง กรองทอง จิรเดชากลุ (2550, หนา้ 2) ได้กลา่ วว่า การนเิ ทศภายในโรงเรยี น มีความสาคัญ และจาเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดการเรียนรแู้ ละการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้บรรลุตามเป้าหมาย ซึ่ง เป็นหน้าท่ีของผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทุกฝ่ายในสถานศึกษา จะต้องร่วมมือร่วมใจกัน ดาเนินการพัฒนางานทุกด้านในสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในฐานะหน่วยงานหลัก ในการรับผิดชอบการจัดการศึกษา จะต้องให้ความสาคัญกับการนิเทศภายในโรงเรียน โดยกาหนดไว้ใน มาตรฐานของสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษา เพื่อใหส้ ถานศกึ ษาได้ใชเ้ ป็นแนวทางในการกาหนดมาตรฐาน ของสถานศึกษาให้สอดคล้องกัน ทาให้เกิดผลในการปฏิบัติท่ีชัดเจนข้ึน และ กรองทอง จิรเดชากุล (2550, หน้า 4) ได้ให้ความหมายของการนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง การส่งเสริม สนับสนุน หรือ

80 ให้ความช่วยเหลือครูในโรงเรยี นใหป้ ระสบความสาเร็จในการปฏิบตั งิ านตามภารกจิ หลัก ได้แก่ การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนหรือการสร้างเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน ท้ังทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ จิตใจ และสตปิ ญั ญา ชุมศักดิ์ อินทรร์ กั ษ์ (2551, หน้า 238-239) ได้กล่าววา่ บทบาทหนา้ ท่ขี องผู้บริหารโรงเรยี น ที่มีต่อการนิเทศ ดังนี้ 1) การช่วยให้ผู้สอนแต่ละคนทาหน้าท่ีการสอนให้ได้ผลดี แก้ปัญหาของผู้สอน แต่ละคนทางดา้ นการสอน ช่วยให้ผูส้ อนมีความเจริญงอกงามในวิชาชีพของตนเอง 2) การเปน็ ผู้ ประสานงานและบริการแก่ผู้สอนทุกคนในด้านการสอน เช่น ช่วยจัดหาหนังสือ วิเคราะห์เน้ือหา วิธีสอน อุปกรณ์ รวมท้ัง อานวยความสะดวกการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 3) การเป็นวิทยากรที่ดีท่ีสุด ของผู้สอนในทุกโอกาสคือสามารถให้คาปรึกษา แนะนา ช้ีแจง ช้ีแหล่งวิทยาการท่ีเหมาะสมให้แก่ ผู้สอน 4) การเป็นผู้ประเมินผลการเรียนการสอนและโปรแกรมต่าง ๆ ของสถานศึกษาเพื่อปรับปรุง พัฒนาให้ดีขึ้น 5) การเป็นผู้นาที่ดีของสถานศึกษาและชุมชน สร้างความสัมพันธ์ระหวา่ งสถานศึกษา กับชุมชนเพื่อร่วมมือในด้านการนิเทศภายใน 6) การช่วยเหลือผู้สอนด้านวิชาการ การให้คาปรึกษา เปน็ รายบคุ คลหรือกล่มุ การอบรม บรรยาย อภปิ ราย การสมั มนาในโอกาสต่าง ๆ การจดั หนงั สือ คู่มอื ต่าง ๆ ให้การปรับปรงุ ห้องสมุดให้ใช้ได้อยา่ งสะดวกท้ังผู้สอนและผู้เรียน การจัดอุปกรณ์โสตทัศนศึกษา ใหใ้ ช้ได้อย่างทั่วถงึ และการแนะนาใหเ้ ป็นสมาชิกชมรมหรือสมาคมต่าง ๆ 7) สง่ เสรมิ ขวัญและกาลังใจ ในการทางาน เช่น จดั สวสั ดิการให้ สรา้ งความสามัคคีภายในสถานศึกษา จัดสภาพแวดล้อมในการทางาน ใหเ้ อื้อต่อบรรยากาศภายในสถานศกึ ษา สานักนโยบายและแผนการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2556, หน้า 52-53) ได้กาหนดแนวทางใน การนิเทศการศึกษา ไว้ดังนี้ 1) สร้างความตระหนักให้แก่ครูและผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการ นิเทศภายในว่า เป็นกระบวนการทางานร่วมกันท่ีใช้เหตุผล การนิเทศเป็นการพัฒนาปรับปรุงวิธีการ ทางานของแต่ละบุคคลให้มีคุณภาพ การนิเทศเป็นส่วนหน่งึ ของกระบวนการบริหารเพ่ือให้ทุกคนเกิด ความเช่ือมั่นว่าปฏิบัติได้ถกู ต้อง ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์สูงสุดตอ่ ผู้เรยี นและตัวครเู อง 2) จัดการนิเทศ ภายในสถานศึกษาให้มีคุณภาพทั่วถึงและต่อเนื่องเป็นระบบและกระบวนการ 3) จัดระบบนิเทศ ภายในสถานศกึ ษาให้เชอื่ มโยงกับระบบนเิ ทศการศึกษาของสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา สัมมา รธนิธย์ (2556, หน้า 99) ได้กล่าวว่า การนิเทศและพัฒนาการเรียนการสอน ประกอบด้วย การติดตามการดาเนินการสอน การวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอน การพัฒนาครู การประชุมทางวิชาการ จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้วา่ การนิเทศการศึกษา หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนอย่างเป็นกระบวนการที่มี หลักการให้บุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการทางาน โดยมกี ารวางแผนในการดาเนินงาน มีการปฏิบัติ

81 ตามแผน มีการกากับ ติดตาม กระบวนการนเิ ทศเป็นระยะและต่อเน่อื ง และมีการสรุปผลแล้วนาผล การนเิ ทศ นาไปปรับปรงุ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นรขู้ องครู เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ ตอ่ ผู้เรียน 10. การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวการศึกษา เป็นกระบวนการช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็ม ความสามารถทุกด้าน รูจักและเข้าใจตนเอง รูจักสภาพแวดล้อมรอบตัว สามารถแก้ปัญหาหรือ ตัดสินใจได้ถูกต้อง และยังสามารถปรับตัวและดาเนินชีวิตได้อย่างมีสุข ได้มีนักวิชาการได้กล่าวถึง ความหมายและหลักการดาเนนิ งานของการแนะแนวการศึกษาไว้ ดงั น้ี 10.1 ความหมายของการแนะแนวการศกึ ษา มีนกั วิชาการไดก้ ลา่ วไว้ ดงั นี้ ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550, หน้า 207) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การแนะแนวการศึกษา หมายถึง กระบวนการช่วยเหลือนกั เรยี นให้รู้จัก และเข้าใจตนเอง รู้จักสภาพแวดล้อมรอบตัว เพ่ือให้ สามารถปรับตัวและดารงอยู่ในสังคมได้อย่างถูกต้องและมีความสุขและส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนา สงู สดุ ตามศักยภาพของแตล่ ะคนทกุ ๆ ดา้ น รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 151) ได้ใหค้ วามหมายไวว้ ่า การแนะแนวการศึกษาเปน็ กิจกรรมกระบวนการท่ีสถานศึกษาจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เรียนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน โดย การช้ีแนะ ช่วยเหลือให้สามารถเข้ากับส่ิงแวดล้อม สังคม ได้อย่างมีความสุข และได้กล่าวถึงแนว ปฏิบัติการแนะแนวในสถานศึกษา ดังน้ี 1) จัดระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพภายใน สถานศึกษาโดยเช่ือมโยงกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และกระบวนการเรียนการสอน 2) ดาเนินการ แนะแนวการศึกษาโดยความรว่ มมอื ของครทู ุกคนในสถานศึกษา 3) ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การ ระบบ และกระบวนการแนะแนวการศึกษาในสถานศึกษา 4) ประสานความร่วมมือและแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ประสบการณด์ ้านการแนะแนวการศึกษากับสถานศึกษาหรือเครอื ข่ายการแนะแนวภายในเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษา รังสรรค์ โฉมยา (2555, หน้า 3) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การแนะแนวการศึกษา หมายถึง กระบวนการใหค้ วามช่วยเหลอื บุคคลเพื่อให้บคุ คลไดเ้ รยี นรู้ท่ีจะแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง สามารถ ทจ่ี ะปรับตวั และพัฒนาดว้ ยตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั บริบททางสงั คม อัชรา เอบิ สุขสริ ิ (2556, หน้า 196) ไดใ้ หค้ วามหมายไว้วา่ การแนะแนวการศึกษา หมายถึง กระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักและเข้าใจตนเอง เข้าใจสภาพแวดล้อม สามารถตัดสินใจใน การแก้ปัญหาต่าง ๆ และวางแผนชีวิตได้อย่างฉลาด โดยพัฒนาตนเองให้เติบโตเต็มศักยภาพและ ดาเนนิ ชวี ติ ได้อย่างมคี วามสขุ และมคี ณุ ค่าตอ่ สงั คม กล่าวสรปุ ไดว้ ่า การแนะแนวการศึกษา เป็นกจิ กรรมหรือกระบวนการทสี่ ถานศึกษาจัดข้ึน เพ่อื ช่วยเหลอื นักเรยี นใหร้ ู้จักเข้าใจตนเอง แกไ้ ขปญั หาเปน็ และรู้จกั สภาพแวดลอ้ ม สงั คม และดาเนิน ชวี ติ ไดอ้ ย่างมีความสขุ

82 10.2 หลกั การดาเนนิ งานแนะแนวในโรงเรยี น มีนกั วิชาการไดก้ ลา่ วไว้ ดังนี้ สมจิตรา เรืองศรี (2550, หน้า 5) ได้กล่าวว่า การแนะแนวเข้ามามีบทบาทต่อการจัด การศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้กระบวนการแนะแนวยึดปรัชญาเป็นหลักใน การปฏิบัติ ดังนี้ 1) บุคคลมคี วามแตกต่าง โดยยดึ ถอื วา่ บุคคลมีความแตกต่างทางด้านร่างกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ บุคลิกภาพ ใหค้ วามสาคญั กบั เอกัตบุคคล 2) บคุ คลย่อมต้องการความช่วยเหลอื ผูแ้ นะแนวจงึ ความใหค้ วามชว่ ยเหลือเพอื่ ใหส้ ามารถช่วยเหลือตนเองได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 3) บุคคลแต่ละคนย่อม มีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ความเปลี่ยนแปลงในด้านรา่ งกาย ความรู้สึกนึกคิด บุคลิกภาพต่าง ๆ จะ เกิดข้ึนอยู่เสมอ 4) พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุสอดคล้องกับความเช่ือตามหลักการทาง วิทยาศาสตร์ และศาสนา เช่น ผลยอ่ มเกดิ แต่เหตุ ถ้าจะแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมก็ให้แก้ ที่สาเหตุ ก็จะสามารถแก้ไขพฤติกรรมเหล่าน้ันได้ 5) บุคคลย่อมมศี กั ด์ิศรีในตนเอง เช่อื ในศกั ยภาพ ของแตล่ ะคนท่ีสามารถวางแผนสร้างทางเลอื ก ในการดาเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง การแนะแนวจึงควรให้ แต่ละคนได้สามารถเลือกให้โอกาสในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ช่วยให้บุคคลมีกาลังใจ มีความภาคภมู ใิ จ มองเห็นคณุ ค่าในตนเอง ช่วยให้เขาสามารถดาเนนิ ชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข 6) บคุ คล จะประสบความสาเร็จถ้าไดร้ ับการพัฒนาในทุกด้านตามศกั ยภาพทีม่ อี ยู่ การแนะแนวจงึ ควรใหโ้ อกาส บุคคลในการพฒั นาด้านตา่ ง ๆ โดยควรให้ความช่วยเหลอื จนั ทรเ์ พ็ญ ภโู สภา (2558, หนา้ 255) ได้กลา่ วว่า การแนะแนวมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่ือให้บุคคล รู้จัก ตัวเอง รู้จักสิ่งแวดล้อม สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจแก้ปัญหา รู้จักเลือกและวางแผนชีวิตการเรยี น อาชีพ และสามารถปรับตัวเองได้อย่างเหมาะสม สามารถพัฒนาตนเต็มศักยภาพ อันจะนาไปสู่ การมีชีวิตที่ดี มีความสุข ความสาเร็จ และเป็นประโยชนต์ ่อตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไป การแนะแนวมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ 1) ป้องกันปัญหา 2) การแก้ปัญหา 3) การส่งเสรมิ พฒั นาการทุกดา้ น สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน (2553, หนา้ 34-35) การแนะแนวการศกึ ษา มี การดาเนนิ การ ดงั น้ี 1) จดั ระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพภายในสถานศึกษา โดยเชื่อมโยง กับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและกระบวนการเรียนการสอน โดยตั้งคณะกรรมการแนะแนว ภายในสถานศึกษา และวางแผนจัดกิจกรรมแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพภายในสถานศึกษา 2) ดาเนินการแนะแนวและพัฒนาศักยภาพผู้เรียน โดยความร่วมมอื ของครทู ุกคนในสถานศกึ ษา ดังนี้ ประสานความร่วมมือกับฝ่ายปกครอง ครูทป่ี รึกษาและครูทกุ คน เพ่อื ทาความเข้าใจและขอความร่วมมือ จัดกิจกรรมตามแผน และจัดกิจกรรมแนะแนววิชาการและวิชาชีพตามแผนที่วางไว้ 3) ติดตามและ ประเมินผลระบบและกระบวนการแนะแนวในสถานศกึ ษา ดงั นี้ จัดทาเคร่ืองมือประเมินผลระบบแนะแนว ใหค้ รอบคลมุ วัตถุประสงค์และกจิ กรรมแนะแนว และดาเนนิ การตดิ ตาม ประเมนิ ผลการจดั กิจกรรมอยา่ ง ต่อเนื่อง 4) ประสานความร่วมมือ แลกเปล่ียนเรียนรู้และประสบการณ์ด้านการแนะแนวกับ

83 สถานศึกษาอ่ืน หรือเครือข่ายแนะแนวภายในเขตพ้ืนที่การศึกษา ดังนี้ รวบรวมข้อมูลสถานศึกษา ที่จัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและแนะแนวดีเด่นเป็นแบบอย่างได้ ศึกษาดูงานสถานศึกษาท่ี จัดระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี นและการแนะแนวดเี ดน่ และพัฒนาระบบแนะแนวภายในสถานศึกษา แนวทางการดาเนินงาน สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2554, หน้า 1) การแนะแนวการศึกษา เป็นงานที่ สถานศึกษาทุกแห่งต้องจัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพ และสามารถจัดการชีวิตของตนอย่างชาญ ฉลาด มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้เรียนร้จู ักและเข้าใจตนเอง สู่โลกกว้างทางการศึกษาและอาชีพ สามารถ ตัดสินใจ แก้ปัญหา เลือกและวางแผนชีวิตการเรียน อาชีพและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม สามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติ และเต็มตาม ศักยภาพ มีทักษะชีวิต สามารถดารงชีวิต อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ความสาเร็จและเป็นประโยชน์ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2554, หน้า 151) ได้กล่าวถึง แนวปฏิบัติการแนะแนวใน สถานศึกษา ดังน้ี 1) จัดระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพภายในสถานศึกษาโดยเช่ือมโยงกับ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และกระบวนการเรยี นการสอน 2) ดาเนินการแนะแนวการศึกษาโดยความ รว่ มมือของครูทกุ คนในสถานศึกษา 3) ติดตามประเมนิ ผลการจัดการระบบ และกระบวนการแนะแนว การศึกษาในสถานศึกษา 4) ประสานความร่วมมือและแลกเปล่ียนเรียนรู้ ประสบการณ์ด้านการแนะแนว การศึกษากับสถานศึกษาหรือเครือข่ายการแนะแนวภายในเขตพื้นท่ีการศึกษา สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2554, หน้า 2) องค์ประกอบของการจัด กิจกรรมแนะแนวมี 3 ด้าน คือ 1) ด้านการศึกษา ให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองด้านการเรียนเต็มตาม ศักยภาพ รู้จักแสวงหาและใช้ข้อมลู ประกอบการวางแผนการเรียน หรือการศึกษาต่อไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ มีนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถวางแผนการเรียนหรือการศึกษาต่อได้อย่างเหมาะสม 2) ด้านอาชีพ ให้ผูเ้ รยี น รู้จักตนเองในทุกดา้ น รูแ้ ละเขา้ ใจโลกของงานอาชพี อย่างหลากหลาย มีเจตคติท่ีดี ต่ออาชีพสุจริต มีการเตรียมตัวสู่อาเซียนสามารถวางแผนเพ่ือประกอบอาชีพตามท่ีตนเองมีความถนัด และสนใจ 3) ด้านส่วนตัวและสังคม ให้ผู้เรียนรู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อ่ืน มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีเจตคตทิ ี่ดี มีทกั ษะชีวติ ปรับตวั และอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ สานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2556, หน้า 53) ได้กาหนดการแนะแนว การศึกษา ดังนี้ 1) กาหนดนโยบายการจัดการศึกษาท่ีมีการแนะแนวเป็นองค์ประกอบสาคัญ โดยให้ ทกุ คนในสถานศึกษาตระหนกั ถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการแนะแนวและการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน 2) จัดระบบงานและโครงสร้างองค์กรแนะแนวและดูแลช่วยเหลือผู้เรียนของสถานศึกษาให้ชัดเจน 3) สร้างความตระหนักให้ครูทุกคนเห็นคุณค่าของการแนะแนวและดูแลช่วยเหลือผู้เรียน 4) ส่งเสริม และพัฒนาให้ครูได้รับความรู้เพิ่มเติมในเรื่องจิตวิทยาการแนะแนวดูแลช่วยเหลือผู้เรียน เพื่อให้ สามารถบรู ณาการในการจัดการเรียนรู้และเช่ือมโยงสู่การดารงชีวิตประจาวัน 5) คัดเลือกบุคลากร

84 ท่ีมีความรู้ ความสามารถ และบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม ทาหน้าท่ีครูแนะแนว ครูที่ปรึกษา ครูประจาชั้น และคณะอนุกรรมการแนะแนว 6) ดูแล นิเทศ กากับ ติดตาม และสนับสนุนการดาเนินงานแนะแนว และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนอย่างเป็นระบบ 7) ส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างครู ผู้ปกครอง และชุมชน 8) ประสานงานด้านการแนะแนวระหว่างสถานศึกษา องค์กรภาครัฐและเอกชน บ้าน ศาสนสถาน ชุมชน ในลักษณะเครือข่ายการแนะแนว และ 9) เชอ่ื มโยงระบบแนะแนวและระบบ ดแู ลช่วยเหลอื ผู้เรยี น จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ที่นักวิชาการต่าง ๆ ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การแนะแนวการศึกษา หมายถึง การดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนโดยมีการแต่งตั้งครู ผู้รับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อกั ษร จดั ระบบการแนะแนวทางวิชาการและวิชาชีพภายในโรงเรียน โดย เชื่อมโยงกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและกระบวนการเรียนการสอน โดยดาเนินการแนะแนว การศึกษาด้วยความร่วมมือของครูทุกคนในโรงเรียน พร้อมทั้งกากับ ติดตาม ประเมินผลในการจัดการระบบ กระบวนการแนะแนวการศึกษาในโรงเรียน และมีการประสานความร่วมมือแลกเปล่ียนเรียนรู้และ ประสบการณ์ด้านการแนะแนวการศึกษากับโรงเรียนหรือเครือข่ายการแนะแนวภายในหรือนอกเขต พ้ืนท่กี ารศกึ ษา และหนว่ ยงานอื่น ๆ 11. การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา การประกันคุณภาพการศึกษา เป็นการดาเนินงานของผู้บริหารโรงเรียนในการจัดทาระบบ ประกันคณุ ภาพภายในโรงเรียนตามมาตรฐานการศึกษาทีก่ าหนด โดยมีการประเมินผลการดาเนินงาน แผนงานและประกันคุณภาพโดยมีหลักฐานให้ตรวจสอบได้ มีนักวิชาการได้กล่าวถึงความหมายและ การดาเนนิ งานการประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษาไว้ ดงั นี้ 11.1 ความหมายของการประกันคุณภาพการศกึ ษา มีนกั วชิ าการได้กลา่ วไว้ ดังนี้ ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2550, หน้า 198) ได้กล่าวว่า การประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหน่ึง ของกระบวนการบริการและการทางาน ผู้บริหารต้องมีความตระหนักเข้ามามีส่วนในการส่งเสริม สนับสนุน ร่วมคิด ร่วมทา รวมทั้งจะต้องมีการทางานเป็นทีม โดยบุคลากรในสถานศึกษาต้อง ได้รับการเตรียมความพร้อมให้มองเห็นคุณค่าและมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการประกันคุณภาพ ภายใน และดาเนินการอย่างต่อเนื่องร่วมกับทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา โดยมกี ารตดิ ตามและกากับดูแลการดาเนินการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา วีรยุทธ ชาติกาญจน์ (2551, หน้า 75) ได้ให้ความหมายของคาว่า การประกันคุณภาพ การศึกษา หมายถึง กระบวนการหรือกลไกใด ๆ ท่ีจะรักษาไว้ซึ่งคุณภาพของการจัดการศึกษาให้ได้ มาตรฐานและมกี ารพฒั นาอย่างตอ่ เน่ือง นับว่าเป็นระบบท่ีสร้างความมัน่ ใจต่อสังคม ผปู้ กครอง ประชาชน และสถาบันประกอบการ ซึ่งนับได้ว่าสถาบันการศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ผู้จบ