Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มงคล 38 ประการ

มงคล 38 ประการ

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-16 13:34:34

Description: มงคล 38 ประการ

Keywords: มงคล 38 ประการ,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

๑๑มงคลขอ้ ท่ี การบำ� รุงบิดามารดา เร่อื งภิกษเุ ล้ียงบดิ ามารดา ในกาลอดีต มีบุตรเศรษฐีผู้หน่ึงอยู่ในเมืองสาวัตถี มีความ  ศรทั ธาลามารดาบดิ าออกบวช และเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ยั ในพระ-  พทุ ธศาสนาอยมู่ าเปน็ เวลานาน ในกาลตอ่ มา เศรษฐซี ง่ึ เปน็ บดิ าของ  พระภิกษุนั้นก็เกิดยากจนลง จนต้องขอทานเขาเลี้ยงชีพ ซึ่งเม่ือ  พระภกิ ษนุ น้ั รขู้ า่ วเขา้  จงึ ไดเ้ ขา้ ไปขออนญุ าตสกึ ออกมาเลยี้ งดบู ดิ า มารดา พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เป็นภิกษุก็สามารถท่ีจะเลี้ยงดูบิดา  มารดาได้ ภิกษุนั้นจึงได้หม่ันไปมาเย่ียมเยือนบิดามารดาอยู่เนืองๆ  และเมอื่ บณิ ฑบาตอาหารมาได ้ กน็ ำ� เอาอาหารนน้ั มาใหบ้ ดิ ามารดา  ของตนกินเสียก่อน ส่วนตัวของท่านเองก็สู้อด จนกระท่ังร่างกาย  ซบู ผอม ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหน็ ผดิ สงั เกตจงึ ไดส้ อบถาม ทา่ นกบ็ อกตาม  ความจริงว่า ท่านได้นำ� อาหารท่ีได้มาไปเลี้ยงมารดาบิดาของท่าน  ภกิ ษทุ งั้ หลายกเ็ ทย่ี วยกโทษทา่ นวา่  บณิ ฑบาตมาเพอ่ื เลย้ี งฆราวาส  และนำ� ความนไี้ ปทูลแก่พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ส่ังให้ประชุมสงฆ ์ แลว้ สอบถามทา่ นกใ็ หก้ ารตามความเปน็ จรงิ  เมอื่ พระพทุ ธองคไ์ ด ้ ทรงทราบว่าผู้น้ันเป็นบิดามารดาของท่าน พระพุทธองค์ก็ทรง  ยกยอ่ งสรรเสริญว่า “ดกู รภกิ ษ ุ ทา่ นปฏบิ ตั บิ ดิ ามารดานเ้ี ปน็ ประเพณขี องตถาคต  ได้ปฏิบัติมา” แล้วทรงแสดงเร่ืองสุวรรณสามชาดก ยกข้อปฏิบัต ิ มารดาบิดาวา่ 150 มงคล ๓๘ ประการ

“ภิกษุใดเล้ียงบิดามารดา ไปบิณฑบาตได้อาหารมายังไม่ได ้ ฉันจะให้แก่บิดามารดาก็ควร อน่ึงบิดามารดาเจ็บไข้ จะท�ำยาให้  และตกั นำ�้ มาใหอ้ าบกค็ วร บดิ ามารดาเจบ็ ไขใ้ นพรรษาจะสตั ตาหะ  ไปรักษาก็ควร ด้วยบิดามารดานี้มีคุณมากควรจะปฏิบัติ” แล้ว  พระองคก์ ไ็ ดแ้ สดงอรยิ สจั  ๔ ยงั พระภกิ ษนุ น้ั ใหส้ ำ� เรจ็ พระโสดาบนั   เป็นพระอริยบุคคลในพระพทุ ธศาสนา การทเี่ ราตอบแทนคณุ ของทา่ น เลย้ี งดทู า่ นใหไ้ ดร้ บั ความสขุ   นน้ั  จดั เปน็ มงคล คอื  ความเจรญิ  เพราะวา่ เปน็ ทย่ี กยอ่ งสรรเสรญิ   แกค่ นทวั่ ไป ตรงขา้ มการทเ่ี ราไมเ่ ลย้ี งดทู า่ น ไมย่ กยอ่ งทา่ น กเ็ ปน็   การลบหลู่ตนเอง เป็นทเี่ หยียดหยามของคนทวั่ ไป หาความเจรญิ   มิได้เลย สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 151

๑๒มงคล ข้อท่ี ปตุ ตฺ สงฺคโห (เลีย้ งดบู ุตร) ในมงคลท่ีแล้วแสดงการเล้ียงดูบิดามารดา ในมงคลน้ีท่าน  สอนใหเ้ ราสงเคราะหบ์ ตุ ร เราจะเหน็ ไดว้ า่ ในโลกนบี้ รรดาคนตา่ งๆ  ทอี่ ยตู่ ดิ ตอ่ กบั ชวี ติ เรานน้ั  คนทใี่ กลก้ บั เราทส่ี ดุ คอื  พอ่  แม ่ ลกู  เมยี   และอน่ื ๆ ตามลำ� ดบั  ทำ� ไมจงึ ยกเอามารดาบดิ าวา่ เปน็ ใกล ้ และรอง  ลงไปคอื  บตุ ร ขอ้ นนี้ า่ คดิ  เราลองนกึ ดอู ยา่ งนก้ี แ็ ลว้ กนั  เรานกึ ดถู งึ   เลอื ดเนอื้ ในตวั ของเรานน้ั ไดแ้ บง่ มาจากบดิ ามารดาเขา้ มาอยใู่ นตวั เรา  นเ้ี อง เพราะเราเอาทา่ นมาเปน็ ตวั เรา เพราะฉะนน้ั  ทา่ นกบั เราจงึ   เปรยี บเปน็ เลอื ดเนอ้ื กอ้ นเดยี วกนั  ดว้ ยเหตนุ เี้ รากบั ตวั ทา่ นจงึ ใกล้  ที่สดุ 152 มงคล ๓๘ ประการ

ทนี รี้ ะหวา่ งเรากบั ลกู เมยี  (หรอื ผวั ) เรากบั ลกู เปน็ เลอื ดกอ้ น  เดยี วกนั  เพราะลกู กค็ อื กอ้ นเลอื ดของเราทแ่ี บง่ ออกไปจากเรานเี่ อง  ลกู จงึ เปน็ อกี ผหู้ นงึ่ ทอี่ ยใู่ กลช้ ดิ ตวั เรามากทส่ี ดุ รองจากบดิ ามารดา  ของเรา สว่ นเมยี  (หรอื ผวั ) นนั้  ไมใ่ ชเ่ ลอื ดเนอื้ กอ้ นเดยี วกนั  เปน็ คน  ละกอ้ น ไดม้ าคนละทางไมเ่ หมอื นลกู  ฉะนน้ั  (เมยี หรอื ผวั ) เราจงึ   ถือว่าเป็นคนอ่ืน ที่กล่าวมาน้ีเราเอาความจริงเป็นเครื่องวัด ไม่ได้  หมายเอาสง่ิ ทก่ี ฎหมายกำ� หนด กฎหมายกำ� หนดวา่ ผวั เมยี เปรยี บ  เหมือนคนเดียวกัน น่ีว่าตามกฎหมาย แต่ในทางหลักธรรม สามี  ภรรยาไม่ใชญ่ าตฝิ า่ ยโลหิต แต่กเ็ ป็นญาติทางธรรม เรานส้ี ามารถทจี่ ะหยา่ ขาดจากสามหี รอื ภรรยาได ้ เพราะเปน็   คนละคนอยแู่ ลว้  เอาใจมาเกยี่ วกนั ไวเ้ ทา่ นนั้  ปลดออกเสยี  ผวั กบั เมยี   กเ็ ปน็ คนละคน เมอื่ หยา่ ขาดกข็ าดกนั จรงิ ๆ ทางวนิ ยั ไมเ่ อาโทษเลย  เชน่ ฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ ไปมีค่คู รองใหมก่ ็มไี ด้ ไมถ่ อื ว่าผิดศลี ข้อกาเม แต่พ่อแม่กับลูกน้ันชาตินี้ท้ังชาติหย่าขาดกันไม่ได้ ถึงแม้ว่า  อกี ฝา่ ยหนงึ่ จะชวั่ ชา้ เลวทรามอยา่ งไรกต็ าม ถงึ แมว้ า่ เราจะโกรธกนั   ถงึ ขนาดตดั พอ่ ตดั ลกู กนั กต็ าม นน่ั วา่ กนั ตามกระแสโลก แตใ่ นทาง  ธรรม ถา้ ลกู ทพี่ อ่ แมบ่ อกตดั ขาดแลว้ ไปฆา่ พอ่ ฆา่ แม ่ กเ็ ปน็ บาปหนกั   ถงึ ขนั้ อนนั ตรยิ กรรมตามเดมิ  จะอา้ งวา่ เปน็ คนอนื่ หาไดไ้ ม ่ เพราะ  มนั กบ็ อกอยทู่ นโทแ่ ลว้ วา่ เรามาจากทา่ น และลกู กม็ าจากเรา ดงั นน้ั   ตัวเราก็เปน็ เหมอื นตวั ของท่าน ลกู เราก็เหมือนตัวของเรา เมอื่ เราเขา้ ใจความสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งกนั อยา่ งนแี้ ลว้  ตอ่ จากน้ี  ไปเราก็จะได้มาศึกษาถึงเร่ืองประเภทของลูกท่ีท่านได้แบ่งไว้ตาม  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 153

๑๒มงคลขอ้ ท่ี เลย้ี งดูบตุ ร ลักษณะโดยก�ำเนิดตามพุทธวจนะโดยตรง ซึ่งทรงตรัสการนับไว้  คนละด้าน คือทางกำ� เนดิ  ทางคณุ ธรรม ทางกำ� เนิด ในพระสุตตันตปิฎก ปัณฑรกชาดก กล่าวว่าบุตรมีอยู่ ๓  ประเภท คอื ๑. อนั เตวาส ี ลกู ศษิ ย์ ๒. ทนิ นโก ลูกเลยี้ ง ๓. อตรโช ลูกเกดิ จากตัว ในประเภทท ี่ ๑ อนั เตวาส ี หมายถงึ คนทย่ี อมมอบกายถวาย  ตวั เรยี นศลิ ปศาสตรต์ า่ งๆ กบั เรา เราเปน็ ผปู้ ระสาทความเจรญิ ให ้ แกเ่ ขา ซง่ึ หมายเอาทมี่ าอยกู่ นิ กบั เรา เรารบั เปน็ ภาระดแู ลทกุ ขส์ ขุ   ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยอยใู่ นภาระของเรา ซงึ่ เราเรยี กวา่  ลกู  เหมอื นกนั   แตเ่ รียกวา่  ลูกศษิ ย์ ประเภทท ี่ ๒ ทนิ นโก แปลวา่ บตุ รทเี่ ขาให ้ คอื ตวั เราเองไมไ่ ด้  ใหก้ ำ� เนดิ  เปน็ แตค่ นอนื่ เอามาใหเ้ ปน็ ลกู  อยา่ งทค่ี นไปขอลกู คนอนื่   เขามาเลี้ยง เราเรียกลูกประเภทนวี้ ่า ลูกเลยี้ ง ประเภทท ี่ ๓ อตรโช แปลวา่ ลกู เกดิ จากตวั  คอื ลกู ทเี่ กดิ เพราะ  เราเปน็ ผทู้ ำ� ใหเ้ กดิ  หมายถงึ ลกู ในไสข้ องเราจรงิ  ไมม่ อี นื่ แปลกปน  มา อยา่ งตามที่เราเรยี กกันวา่  ลกู ตวั  หรอื ลูกในไส้ 154 มงคล ๓๘ ประการ

ลูกโดยภูมิธรรม ทางด้านภูมิธรรม คือความดีในตัวลูก พระพุทธองค์ได้ตรัส  ไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ตโตปุตตสูตร ทรงแบ่งไว้ ๓ ช้ันเหมือน  กนั  คือ อภิชาตบุตร หมายถึงลูกที่สงู กวา่ บิดามารดา อนชุ าตบตุ ร หมายถงึ ลกู ที่เสมอบดิ ามารดา อวชาตบุตร หมายถึงลกู ที่ต�่ำกว่าบิดามารดา ทจี่ ดั ประเภทอยา่ งน ้ี ถอื เอาความดขี องลกู นนั่ เองเปน็ เกณฑ ์ และเอาความดีของพ่อแม่เป็นเครื่องเทียบ ลูกคนใดท�ำความด ี ทำ� ความเจรญิ มาสวู่ งศส์ กลุ เดมิ ของตน ทำ� ใหว้ งศส์ กลุ ของตนไดร้ บั   ความรุ่งเรือง เกิดมาแล้วท�ำความเจริญแพร่เกียรติคุณของวงศ ์ ตระกูลให้กว้างขวางออกไป ลูกคนน้ันจัดว่าเป็นอภิชาตบุตร คือ  เกดิ มาแลว้ ดีกว่าบิดามารดา ลูกคนใดเกิดมาแล้วไม่ดีหรือไม่ต่�ำกว่าบิดามารดา ไม่ท�ำให้  วงศ์ตระกูลเสื่อมหรือเจริญขึ้น ลูกท่ีพอจะอาศัยวงศ์ตระกูลมีชีวิต  อยอู่ ยา่ งนเี้ รยี กวา่  อนชุ าตบตุ ร แปลวา่ บตุ รทเี่ สมอบดิ ามารดา หรอื   วงศต์ ระกูล ลกู ทส่ี าม อวชาตบุตร เปน็ ลกู ชัว่ เกดิ มาแล้วมแี ตล่ ้างผลาญ  วงศ์ตระกูลให้ฉิบหายวายวอดไป มีความประพฤติต�่ำทราม นิสัย  ชั่วช้าเลวทราม ฉุดเอาศักดิ์ศรีของพ่อแม่ลงสู่ฐานะอันต่�ำทราม  ลกู ประเภทนฉี้ ดุ เอาพอ่ แมล่ งสอู่ เวจ ี ซงึ่ ไมต่ อ้ งพดู ถงึ ความตาย แม้  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 155

๑๒มงคลข้อที่ เล้ียงดูบตุ ร ยงั เปน็ ๆ อยกู่ ท็ ำ� ใหต้ กนรกวนั ละหลายๆ ครง้ั  คอื เมอ่ื นกึ ถงึ ทไี รกม็  ี แตค่ วามชว่ั ชา้ ของลกู  ไมม่ คี วามชนื่ ชมยนิ ดแี ตอ่ ยา่ งไรเลย ซง่ึ ลกู น้ ี ถงึ แมจ้ ะมคี วามชวั่ ชา้ เลวทรามอยา่ งไร พอ่ แมก่ ไ็ มส่ ามารถทจี่ ะตดั   ให้ขาดได้ เพราะเป็นเสมือนตัวของเราเอง ซ่ึงเร่ืองน้ีพ่อแม่ทุกคน  ก็มีความปรารถนาดีต่อลูก พยายามส่งเสียให้ลูกได้รับการศึกษา  ใหไ้ ดร้ บั การอบรม แตถ่ งึ กระนนั้ ลกู กไ็ มเ่ อาใจใส ่ เมอื่ เราพยายามทำ�   จนสดุ ความสามารถของเราแลว้ ไมไ่ ดด้  ี กเ็ ปน็ เรอื่ งทเี่ ราจะตอ้ งวาง  อเุ บกขา นกึ เสยี วา่ เปน็ กรรมของเรา อยา่ ไดม้ คี วามคดิ วติ กทกุ ขร์ อ้ น  จนเกนิ ไปซง่ึ จะทำ� ใหเ้ สยี การงาน ซง่ึ ลกู ประเภทนก้ี ไ็ มใ่ ชว่ า่ จะมแี ต่  ของเราคนเดียว แม้คนอน่ื กม็ ีเชน่ กัน การสงเคราะหบ์ ตุ ร ธุระของพ่อแม่ท่ีจะพึงท�ำให้แก่บุตรนั้น มีอยู่หลายอย่าง  เริ่มตั้งแต่อาบน้�ำ ป้อนข้าว เอาลงเปล ล้างขี้ล้างเยี่ยว จนกระทั่ง  แต่งงานให้เป็นฝั่งเป็นฝา แล้วในท่ีสุดเล้ียงลูกให้เขาอีกในฐานะท ่ี เป็นคุณตาคุณยายของเขา ถ้าจะนับงานของพ่อแม่น้ันยังจะมีอีก  มาก แต่หน้าท่ีท่ีส�ำคัญซึ่งเราพอจะประมวลมาได้น้ัน เราพอท่ีจะ  จ�ำแนกออกเปน็ ประเภทใหญ่ได้ ๒ ประการคือ เลยี้ งลูกใหโ้ ต เล้ียงลูกใหด้ ี ท้ังสองประการน้ีเป็นประเด็นใหญ่ที่เราจะพึงศึกษา ดังได้  156 มงคล ๓๘ ประการ

กล่าวไว้ในตอนแรกแล้วว่า ธรรมน้ันมีอยู่ ๒ ประการ คือ สภาว  ธรรม และคุณธรรม ในประการแรกที่ว่าเล้ียงลูกให้โตน้ัน เป็น  สภาวธรรม เพราะในการทจี่ ะเลย้ี งลกู ใหโ้ ตนนั้ ไมส่ จู้ ะเปน็ ภาระมาก  แมแ้ ตส่ ตั วท์ ว่ั ๆ ไปกส็ ามารถทจ่ี ะท�ำได ้ เพราะความเตบิ โตนนั้ เปน็   ธรรมชาติอย่างหน่ึงของสิ่งที่มีชีวิตท้ังหลายซ่ึงมีอยู่ประจ�ำตาม  ธรรมชาตแิ ลว้  สว่ นประเดน็ ทส่ี องทวี่ า่ เลย้ี งลกู ใหไ้ ดด้ นี น้ั  คนเทา่ นนั้   ทีจ่ ะสามารถท�ำไดด้ ี มคี ตอิ ยบู่ ทหนง่ึ ในศาสนาพราหมณท์ ว่ี า่  ลกู ไมม่  ี ๑ ลกู ตาย ๑  ลูกโง่ ๑ สามอย่างน้ีเป็นทุกข์ของพ่อแม่อย่างมาก ประการต้น  และประการทส่ี องนนั้ ไมเ่ ทา่ ไร ประการทสี่ ามนส้ี เิ ปน็ ทร่ี า้ ยยงิ่ กวา่   เพราะการไม่มีลูก หรือว่าลูกตายน้ันยังพอท�ำเนา เพราะมันไม่มี  และลกู กต็ ายไปแลว้  แตก่ ารทลี่ กู โงน่ ส่ี เิ ปน็ ของรา้ ย เพราะเลยี้ งไม ่ โตจะตอ้ งเปน็ ภาระของพอ่ แมอ่ ยตู่ ลอดเวลา ถงึ แมว้ า่ จะตายลงไป  ก็ยังมีความห่วงกังวลลูกอยู่อีก นอกจากน้ันพ่อแม่ที่เล้ียงลูกมา  ก็เพ่ือมุ่งหวังที่จะให้ลูกได้ดี ซึ่งเป็นคุณธรรมประการหนึ่งของพ่อ  แม่ ลูกที่ไม่ดีนั้นต้องท�ำให้พ่อแม่ได้รับความล�ำบากและขายหน้า  ชาวบา้ นอยา่ งมากมาย ไมเ่ ปน็ ทแี่ ชม่ ชนื่ แกผ่ เู้ ปน็ พอ่ แมเ่ ลย ฉะนน้ั   ในมงคลข้อน้ีพระพุทธองค์จึงตรัสว่า การสงเคราะห์บุตรน้ันเป็น  มงคลคอื ความดอี นั ประเสรฐิ ขอ้ หนง่ึ  พอ่ แมจ่ ะพงึ สงเคราะหล์ กู ดว้ ย ประการใดบา้ ง พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน สิงคาลกสูตร พระ  สุตตันตปิฎกว่า ปาปา นวิ าเรนตฺ  ิ กนั ลกู จากความชั่ว กลฺยาเณ นิวาเสนตฺ  ิ ปลูกฝงั ความดี สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 157

๑๒มงคลข้อท่ี เล้ียงดูบุตร สิปปฺ ํ สิกฺขาเปนฺติ ให้ได้รบั การศกึ ษา ปฏิรเู ปน ทาเรน สโํ ยเชนฺติ หาภรรยาที่สมควรให้ สมเย ทายชฺชํ นิยยาเทนฺติ มอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัย  อันควร ขอ้ ท่ ี ๑ กนั ลูกจากความช่ัว ตามภาษาบาลีว่า ปาปา นิวาเรนติ เม่ือจะแปลตามตัวแล้ว  จะไดค้ วามวา่  หา้ มลกู จากความชว่ั  ขอ้ นใี้ นหนงั สอื ของพนั เอกปน่ิ   มทุ กุ นั ต ์ ทา่ นไดแ้ ปลความวา่  กนั ลกู จากความชวั่  ทแ่ี ปลจาก หา้ ม  เปน็  กนั  ทา่ นใหเ้ หตผุ ลวา่ เพอื่ ใหค้ วามมนี ำ�้ หนกั ขนึ้  เพราะทา่ นให ้ ความหมายวา่  คำ� วา่ หา้ มนน้ั เปน็ คำ� ทอ่ี อกจะมนี ำ้� หนกั ไปในทางบบี   บงั คบั จติ ใจของบตุ ร เพราะวา่ การหา้ มนนั้ แทนทจี่ ะไดร้ บั ผลด ี บาง  คร้ังกลับกลายเป็นผลเสีย เพราะเด็กบางคนเม่ือพ่อแม่ห้ามหรือ  วา่ กลา่ วตกั เตอื นในสงิ่ ทไี่ มช่ อบตอ่ ความดงี าม แทนทจี่ ะเหน็ ความ  หวงั ดขี องพอ่ แม ่ กลบั เหน็ วา่  พอ่ แมน่ ชี้ อบแทรกแซงในชวี ติ สว่ นตวั   ของตนเกนิ ไป แทนทจ่ี ะกลบั ตวั  กลบั จะหนเี ตลดิ เปดิ เปงิ ออกจาก  บ้านไปเสียก็มี หรือบางทีก็ฆ่าตัวตายเพ่ือประท้วงการห้ามปราม  ของพ่อแม่ก็มี ซึ่งเรามักจะพบกันอยู่บ่อยๆ ในข่าวตามหน้า  หนงั สอื พมิ พ์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในความหมายของข้อนี้จะถือเอาความหมายของ  หนังสือดังกล่าว ซ่ึงคิดว่าเป็นค�ำแปลที่มีความหมายชัดเจน การ  ห้ามเป็นเหมือนสิ่งที่บุตรเม่ือไม่เข้าใจ จะเกิดความคิดไปในทางท่ี  ไม่ถูกต้องแล้วจะเป็นผลเสียมากกว่าผลได้ ดังนั้นความหมายใน  158 มงคล ๓๘ ประการ

ข้อนี้ จึงอยู่ที่ บิดา มารดา จะต้องใช้ กุศโลบาย ท่ีชอบแก่เหตุผล  พยายามที่จะท�ำความเข้าใจในสิ่งท่ีบุตรต้องการมากกว่าที่จะใช้  การบังคับ การท่ีอยู่ใกล้ชิดและพยายามที่จะเข้าใจความต้องการ  ของบตุ รให้มากทีส่ ดุ จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสยี  ท้งั น้เี พราะเด็กท่ ี อยใู่ นวยั นมี้ กั จะเปน็ ผมู้ อี ารมณร์ อ้ น และมกั จะใชอ้ ารมณม์ ากกวา่   เหตุผล แต่จะอย่างไรก็ดีบุตรก็ควรที่จะท�ำความเข้าใจในเจตนาด ี ของพ่อแม่ให้มาก ท้ังนี้เพราะพ่อแม่ทุกคนมีความปรารถนาดีต่อ  บตุ รของตน ๑๐๐ เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ตม็  มากกวา่ จะหวงั รา้ ยตอ่ บตุ ร การ  ปอ้ งกนั บตุ รไมใ่ หท้ ำ� ความชวั่ นนั้ เปน็ การสงเคราะหบ์ ตุ รในขอ้ แรกน้ี ขอ้  ๒ ปลกู ฝงั ความดี คำ� วา่  ความด ี ในทนี่ ห้ี มายถงึ ความประพฤตดิ  ี อยใู่ นระบอบ  ของศีลธรรม เรอื่ งน้ีเปน็ เร่อื งทีจ่ ะต้องไดร้ บั การอบรม ทง้ั นเี้ พราะ  วา่ คนเราจะดหี รอื ชั่วนนั้ ขน้ึ อยู่กบั จิตใจเป็นสำ� คัญ ถา้ หากว่าจิตใจ  ไดร้ บั การอบรมในทางดี การกระท�ำทป่ี รากฏออกมาทางกายและ  วาจาก็จะเป็นความดี ถ้าใจคิดช่ัวเสียอย่างเดียว การกระทำ� ทาง  กายและวาจากพ็ ลอยชว่ั ไปดว้ ย เรอ่ื งของจติ ใจจงึ เปน็ ปญั หาขอ้ แรก  ทเ่ี ราจะต้องแก้ไข เม่ือพูดถึงเร่ืองของใจแล้วก็มีปัญหาอยู่ว่า ท�ำไมจึงต้องท�ำใจ  ของเราใหด้  ี หมายความวา่ ใจของเดก็ ทเ่ี กดิ มานน้ั ไมด่ หี รอื อยา่ งไร  จะว่าไม่ดีทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่ากันตามหลักแล้วถ้าไม่ดีก็คงจะ  ไมเ่ กดิ มาเปน็ คน เพราะผทู้ เี่ กดิ มาเปน็ คนนน้ั จะตอ้ งมจี ติ ใจด ี หรอื   ท่ีเรียกว่าเป็นกุศลจึงจะเกิดมาได้ แต่ว่าความดีนั้นเป็นความดีข้ัน  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 159

๑๒มงคลข้อท่ี เลยี้ งดูบตุ ร อุปนิสัย คือมีแววพอเหมาะแก่การฝึกเท่านั้น เราลองนึกดูว่า มือ  ของเราทกุ คนนน้ั ดมี ากอ่ นแลว้  คอื ดมี าแตเ่ กดิ  มสี บิ นว้ิ ครบบรบิ รู ณ์  แตค่ วามดนี น้ั มนั เปน็ เพยี งทนุ  ไมใ่ ชว่ า่ เมอ่ื มมี อื แลว้ เราจะสามารถ  ท่ีจะเขียนหนังสือได้ หรือเขียนภาพเป็น เราจะต้องมาฝึกกันใหม่  สว่ นดเี ดมิ กเ็ หมอื นกนั  มนั เหมาะทจี่ ะฝกึ เทา่ นนั้  ใจของเรากเ็ หมอื น  กนั  จะตอ้ งใชก้ ารฝกึ ฝนใหร้ จู้ กั ความด ี ใหร้ จู้ กั เวน้ จากการทำ� ความ  ช่ัว โดยท่ีเราพยายามที่จะปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ไว้ในใจของเด็ก  ฝึกให้มีความคุ้นเคยกับความดีอยู่เสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะ  ต้องศึกษากันอีกมาก แต่ท่ีส�ำคัญที่สุดในข้อน้ีนั้น การสงเคราะห ์ บุตรจ�ำเป็นที่จะต้องปลูกฝังความดีให้แก่บุตร ซ่ึงเป็นหน้าท่ีการ  สงเคราะหบ์ ุตรในข้อท่ี ๒ ข้อที่ ๓ ให้ลูกไดร้ บั การศึกษา ขอ้ นม้ี คี วามหมายชดั เจนอยแู่ ลว้ วา่  การใหไ้ ดร้ บั การศกึ ษานน้ั   กค็ อื การใหเ้ ลา่ เรยี นหนงั สอื นน่ั เอง สว่ นวชิ านน้ั ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง กไ็ ด ้ กล่าวไว้แล้วในข้อที่ว่า พาหุสัจจะ และสิปปะ การกวดขันให้บุตร  ไปโรงเรียนนั้น นอกจากจะให้เด็กได้วิชาความรู้แล้ว ยังเป็นการ  ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ ดก็ เสยี อกี ดว้ ย การศกึ ษานที้ �ำใหม้ คี วามฉลาดในการ  ทจ่ี ะประกอบอาชพี  การใหส้ มบตั อิ ยา่ งอน่ื นนั้ มวี นั ทจ่ี ะหมดได ้ แต่  ให้การศึกษาน้ันไม่มีวันหมดและใช้ได้ตลอดชีวิต มีคำ� อยู่ค�ำหนึ่ง  ซงึ่ จำ� ไมไ่ ดว้ า่ ใครพดู  แตม่ คี ตนิ า่ คดิ เหมอื นกนั  คอื คตทิ ว่ี า่  “มเี งนิ ให ้ ฝงั ไวใ้ นหวั  อยา่ ใหแ้ กบ่ ตุ ร” ทวี่ า่ ฝงั ไวใ้ นหวั นนั้  หมายความวา่ ใหไ้ ด้  รบั การศกึ ษาตามความสามารถทจ่ี ะเรยี นได ้ เพราะถา้ ลกู ไมม่ กี าร  ศกึ ษาแล้วจะเป็นภาระแกเ่ ราจนตายทเี ดียว 160 มงคล ๓๘ ประการ

ข้อท่ี ๔ จัดแจงหาค่คู รองทีส่ มควรให้ การสงเคราะห์บุตร นอกจากที่ได้กล่าวไว้ในข้อต้นๆ แล้ว  พ่อแม่จะต้องเป็นภาระในการแต่งงานของลูก และต้องให้ลูกได้  คคู่ รองทด่ี  ี ซงึ่ เรอ่ื งนเี้ ปน็ เรอื่ งสำ� คญั  เพราะจะวา่ เปน็ หวั เลย้ี วหวั ตอ่   ของชวี ติ กไ็ ด ้ ซงึ่ บางทจี ะทำ� ความเจรญิ หรอื ความเสอื่ มใหก้ ไ็ ด ้ บาง  คนแตง่ งานแลว้ มหี ลกั ฐาน มคี วามสบาย บางคนแตง่ งานแลว้ แยไ่ ป  เลยกม็  ี ฉะนน้ั ประเดน็ ปญั หาในขอ้ นจ้ี งึ ตอ้ งพจิ ารณา ๒ ประเดน็ คอื   ประเดน็ แรก วยั สมควรตอ่ การทจ่ี ะมคี รอบครวั แลว้ หรอื ไม ่ ประเดน็   ท่สี อง ค่คู รองนน้ั สมควรหรอื ไม่ เร่ืองวัยน้ันก็ส�ำคัญ ถ้าเป็นวัยเด็กเกินไปก็ไม่เหมาะสมที่จะ  ครองเรอื น เพราะเปน็ วยั ทมี่ แี ตอ่ ารมณม์ ากกวา่ เหตผุ ล เรอ่ื งนเ้ี ปน็   เร่อื งทพ่ี ่อแม่จะตอ้ งพจิ ารณา ประการที่สอง เร่ืองคู่ครอง เป็นเรื่องท่ีน่าหนักใจอยู่เหมือน  กัน เพราะเรื่องนี้มักจะเป็นปัญหา เพราะบางคร้ังพ่อแม่ก็เห็นแต่  ความชอบของตนเอง โดยไม่ได้ค�ำนึงถึงความต้องการหรือความ  พอใจของลกู  เรอ่ื งนเ้ี ราจะตอ้ งใหอ้ สิ ระแกล่ กู พอควร พยายามใหม้  ี ความเหน็ สอดคลอ้ งกนั  อยา่ ไดใ้ ชแ้ ตว่ า่ เราเปน็ คนใหญเ่ กดิ มากอ่ น  อยา่ งเดยี ว หรอื ทางฝา่ ยลกู กเ็ หมอื นกนั  อยา่ คดิ วา่ ขอใหฉ้ นั รกั เสยี   อย่างเดียว ต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว  การสงเคราะหบ์ ตุ รกจ็ ะกลายเปน็ การหาเคราะหใ์ หแ้ กบ่ ตุ รไป แตท่  ่ี สำ� คญั พอ่ แมค่ วรจะถอื หลกั วา่  “คนทเี่ ราไมช่ อบแตล่ กู เรารกั  ดกี วา่   คนท่ีเรารักแต่ลูกเราไม่ชอบ” เพราะถ้าขืนให้เขาแต่งงานไปโดย  เขาไมร่ กั แลว้  จะทำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขม์ ากกวา่ ความสขุ  จะเปน็ การ  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 161

๑๒มงคลข้อที่ เลย้ี งดบู ตุ ร ท�ำลายมากกว่าการสรา้ งสรรค์ ข้อท่ี ๕ มอบทรพั ย์สมบตั ใิ หใ้ นสมยั เรอื่ งการมอบทรพั ยส์ มบตั ใิ หใ้ นสมยั นนั้  หมายความถงึ วา่ ใน  กรณที บี่ ดิ ามารดามที รพั ยส์ มบตั  ิ ถา้ ไมม่ ที รพั ยส์ มบตั กิ เ็ ปน็ เรอื่ งท ่ี จนปญั ญาอย ู่ ทำ� ไมจงึ จะตอ้ งมอบทรพั ยส์ มบตั ใิ ห ้ เรอื่ งทเี่ ราไมต่ อ้ ง  คดิ กค็ อื เพอ่ื เปน็ ทนุ ในการสรา้ งตวั  แตท่ ส่ี ำ� คญั ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รง  แสดงไว้ก็คือ มอบให้ในสมัย ที่ว่ามอบให้ในสมัยน้ัน หมายความ  ถงึ วา่  ดคู วามเหมาะสม อยา่ งเชน่ วา่ บตุ รนมี้ อี ายสุ มควรทจี่ ะรกั ษา  ทรัพย์สมบัติแล้วหรือไม่ หรือว่าบุตรของเราเป็นคนประพฤติ  อยา่ งไร พอทจี่ ะรกั ษาทรพั ยส์ มบตั แิ ลว้ หรอื ไม ่ เหลา่ นเ้ี ปน็ ตน้  และ  ไมใ่ ชห่ มายความว่าให้เม่ือตอนตัวจะตาย เร่ืองการท�ำธุระเก่ียวกับทรัพย์มรดกไว้ให้เสร็จสิ้นก่อนตาย  น้ัน เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์ เพราะถ้ารายไหนไม่ท�ำไว้ให้  เรียบร้อย ปล่อยให้ลูกแย่งกันเอาเอง มักจะเป็นเร่ืองแตกแยกใน  หมพู่ น่ี อ้ ง จนถงึ กบั ฟอ้ งรอ้ งกนั ถงึ โรงถงึ ศาล บางทกี ฆ็ า่ กนั เองตาย  เพราะมรดกกม็  ี แทนทจี่ ะเอาทรพั ยส์ มบตั ทิ พี่ อ่ แมใ่ หม้ าทำ� กนิ  กลบั   ไปเปน็ คา่ ทนายหมด หนกั เขา้ ศพพอ่ ศพแมก่ ไ็ มม่ ใี ครจดั ท�ำ การทำ�   ตามหลักพุทโธวาทนั้นจะเกิดเป็นมงคลแก่ตนและวงศ์ตระกูล  ตอ่ ไป 162 มงคล ๓๘ ประการ

การสงเคราะหบ์ ตุ ร เปน็ มงคลอย่างไร เป็นท่ีทราบกันอย่างดีดังที่ได้อธิบายไว้แล้วว่า พ่อแม่ทุกคน  มคี วามปรารถนาทจี่ ะใหบ้ ตุ รของตนเปน็ คนด ี เปน็ คนทส่ี มบรู ณเ์ ชน่   คนอ่ืน ดังนั้นการสงเคราะห์บุตรนี้ก็เป็นการทำ� ให้บุตรมีความสุข  และมีความคิดถึงคุณธรรมของพ่อแม่ในท่ีสุด เราจะลองเปรียบ  เทยี บกบั รา่ งกายของเราดกู ไ็ ด ้ คนทเี่ กดิ มานนั้ จะตอ้ งบรบิ รู ณด์ ว้ ย  สงิ่ หา้  ซง่ึ เราเรยี กวา่  เบญจสาขา คอื  ขา ๒ ขา แขน ๒ แขน ศรี ษะ ๑  ถ้าร่างกายเราไม่ครบห้าแล้ว ก็ไม่เป็นที่ปลื้มปีติแก่บิดามารดา  ซ่ึงเป็นความจ�ำเป็นในสายตาของคนธรรมดา (ส่ิงอ่ืนนอกจาก  น้ี เช่น ตา หู จมูก ฯ เหล่านี้สงเคราะห์อยู่ในส่วนของศีรษะ) แต ่ พระพุทธเจ้าซ่ึงเป็นพระบรมครู ได้ทรงมีพระญาณมองเห็นเหตุ  แห่งความเจริญ ความเสื่อมลึกซ้ึง จึงทรงสอนให้มารดาบิดา  สงเคราะหบ์ ตุ รของตนดว้ ยสถาน ๕ เหมอื นกนั คอื  ตดั ชวั่  ทำ� ตวั ด ี มีวิชา มคี ูบ่ ุญ เพิ่มพูนความม ี นีแ่ หละเปน็ สง่ิ ท่ีบิดามารดาจะตอ้ ง ช่วยแต่งเติมให้แก่บุตรนอกเหนือจากให้กำ� เนิดแล้ว และลูกก็จะ  ต้องมอบกายถวายชีวิตแก่บิดามารดาเป็นแน่ นี่แหละมงคลที่เรา  จะได้รบั ละ สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 163

๑๓มงคล ขอ้ ท่ี ทารสสฺ  สงคฺ โห (การสงเคราะห์ภรรยา - สามี) การมีภรรยานั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ท้ังนี้มันม ี ประเดน็ ปญั หาอยเู่ พยี งวา่  ท�ำอยา่ งไรผวั เมยี จงึ จะอยกู่ นิ ดว้ ยกนั ยดื   เชน่ เราตง้ั ปญั หาอยา่ งนแี้ ลว้  กจ็ ะมคี ำ� ตอบดว้ ยมากมายหลายความ  คดิ แลว้ แตค่ วามถนดั หรอื ความชอบของตน ถา้ จะถามหมอด ู หมอ  กจ็ ะวา่ มนั เกยี่ วกบั ดวงชะตา คธู่ าตคุ สู่ มพงศ ์ แลว้ จะตอ้ งใหฤ้ กษใ์ ห ้ เหมาะๆ บางทกี ต็ อ้ งท�ำอยา่ งนน้ั อยา่ งน ้ี การแตง่ งานตอ้ งหามงคล  แฝดบา้ ง ใชห้ อยสงั ขซ์ งึ่ เปน็ หอยมงคลบา้ ง ถา้ จะถามคนทหี่ วั สมยั   ใหม่กจ็ ะว่า จะตอ้ งมเี งิน ตอ้ งมีรถ มตี กึ  จงึ จะท�ำใหอ้ ย่ดู ว้ ยกนั ยดื   เมอ่ื ความคดิ เหน็ ตา่ งกนั ดงั นแี้ ลว้  เราลองสอบดเู ถอะวา่ ทก่ี ลา่ วมานี้  164 มงคล ๓๘ ประการ

อยู่ด้วยกันยืดไหม แม้จะมีเงินมีทอง มีตึก มีรถเก๋ง เคร่ืองบำ� รุง  ความสขุ ตา่ งๆ แตก่ ไ็ มไ่ ดป้ อ้ งกนั ความแตกรา้ วของครอบครวั ไดเ้ ลย  แลว้ ทางพทุ ธศาสนาเล่ามคี วามคดิ เหน็ อย่างไร ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงมงคลที่ ๑๓  วา่  ทารสสฺ  สงคฺ โห ซงึ่ คำ� ทง้ั สองนเ้ี มอื่ เราจะแยกออกกจ็ ะไดค้ วาม  ว่า ทาระ แปลว่า เมีย กับค�ำว่า สังคหะ แปลว่า สงเคราะห์ เมื่อ  แปลรวมกันก็จะได้ความว่า การสงเคราะห์เมีย หมายความว่า  ผชู้ ายท่ีมเี มียตอ้ งสงเคราะห์เมยี จึงจะเกิดมงคล แต่ที่ว่ามานี้ อย่าหมายว่าเมียจะไม่ต้องสงเคราะห์ผัวบ้าง  เพราะส่ิงทั้งสองน้ีจะต้องมีความสัมพันธ์กัน เหมือนกับว่าเม่ือเรา  กินข้าวก็ต้องมีกับข้าว ขนม ร่วมอยู่ด้วย เพราะค�ำว่ากินนั้นรวม  ความหมายอยู่แล้ว ในมงคลข้อน้ีก็เหมือนกัน แม้จะระบุเพียง  ข้างเดียวว่า ให้ชายสงเคราะห์เมีย แต่เมียก็จะต้องถือปฏิบัติด้วย  ไมใ่ ชค่ อยนงั่ ๆ นอนๆ ใหผ้ วั ปฏบิ ตั อิ ย ู่ สว่ นเมยี นงั่ กรดี เลบ็  ประเดยี๋ ว  พระเอกของเราเกิดโมโหขน้ึ มา อปั มงคลก็เล่นงานเอาเทา่ นัน้ ความหมายของค�ำวา่ สามี ภรรยา ค�ำแรกคือค�ำร้องเรียกผัวว่า สามี ถ้าจะแปลตามมูลศัพท์  แล้ว ค�ำว่า สามี แปลว่า นาย ก็ได้ แปลว่า เจ้าของ ก็ได้ ที่ว่าเจ้า  นาย ไมใ่ ชห่ มายความวา่ เปน็ สามแี ลว้ จะตง้ั ตวั เปน็ นายของภรรยา  ค�ำว่า เจ้านาย นี้หมายถึงผู้ท่ีให้ความคุ้มครอง ให้ความอุปถัมภ ์ สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 165

๑๓มงคลข้อท่ี การสงเคราะห์ภรรยา-สามี เพราะวา่ คำ� วา่ เจา้ นายโดยตรงมอี ยคู่ ำ� หนงึ่ ซงึ่ เราใชว้ า่  อยั ยะ แปล  ว่า เจ้านาย ดังนั้น นายแบบสาม ี คู่กับผรู้ บั เลยี้ ง นายแบบอยั ยะ  คกู่ บั ข้าทาส บา่ ว ฝา่ ยหญงิ  ซงึ่ กม็ อี ยหู่ ลายศพั ทอ์ ยเู่ หมอื นกนั ทใี่ ชเ้ รยี กวา่ เมยี   เชน่  ทาระ ชายา ปรจิ ารกิ า และภรรยา ค�ำวา่  ทาระและชายา เรา  แปลว่า เมีย ตรงตัว ส่วนคำ� ว่า ปริจาริกา เป็นความหมายที่ค่อน  ข้างจะเหยียดผู้หญิงอยู่นิดๆ แปลว่า ผู้ปรนนิบัติ (บ�ำเรอ) บางท ี กดลงถึงว่า บาทปรจิ าริกา แปลว่า นางบำ� เรอเทา้ ส่วนค�ำท่ีน่าสนใจเป็นพิเศษคือค�ำว่า ภริยา หรือภรรยา ซึ่ง  แปลวา่  คนควรเลยี้ ง เป็นค�ำคู่กับสามี ซ่งึ แปลเอาความว่า ผูเ้ ลย้ี ง  ลักษณะของภรรยาหรือสามี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ใน  สตุ ตนั ตปฎิ ก องั คตุ ตรนกิ าย สตั ตกนบิ าต วา่  ภรรยามอี ย ู่ ๗ ชนดิ   ดังความต่อไปนี้ ครงั้ หนง่ึ  พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาตทค่ี ฤหาสนข์ อง  ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีในกรุงสาวัตถี เมื่อเสด็จเข้าไปถึง  แลว้  พระองคก์ ท็ รงประทบั นง่ั อยบู่ นบวรพทุ ธอาสนท์ เี่ ศรษฐปี ลู าด  ถวาย เวลานนั้  ผคู้ นในบา้ นของเศรษฐพี ากนั สง่ เสยี งเอด็ องึ เอะอะ  โวยวายกนั ลน่ั บา้ น ขณะนน้ั  ทา่ นเศรษฐไี ดเ้ ขา้ ไปถวายบงั คมพระ-  พทุ ธองค ์ แลว้ นงั่ เฝา้ อยเู่ ฉพาะพระพกั ตร ์ พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงตรสั   ถามเศรษฐวี า่  คหบด ี ทำ� ไมทบี่ า้ นของคหบด ี ผคู้ นจงึ สง่ เสยี งเอด็ องึ   166 มงคล ๓๘ ประการ

เอะอะมากนกั  ดเู หมอื นชาวประมงสง่ เสยี งรอ้ งกนั เวลาจบั ปลาเทยี ว ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีจึงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า  ลูกสะใภ้ของข้าพระองค์คนหน่ึง ชื่อสุชาดา เป็นน้องสาวของนาง  วิสาขา ธิดาของท่านธนัญชัยเศรษฐี เป็นคนถือตัวจัด ถือว่าเป็น  ลูกสาวเศรษฐี เป็นคนข้ีโกรธ ข้ีโมโห พูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว  รนุ แรง ไมย่ อมเชอ่ื ฟงั พอ่ ผวั  แมผ่ วั  และสาม ี แมพ้ ระองค ์ เธอกไ็ ม่  นับถือ ไม่ยอมสักการะบูชา พระเจ้าข้า พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ  เรอ่ื งราวเชน่ นนั้  กท็ รงพระมหากรณุ าตรสั เรยี กนางสชุ าดาใหเ้ ขา้ ไป  เฝ้า นางสุชาดาสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี จึงเข้าไป  ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่อันควรข้างหนึ่ง พระพุทธองค์จึง  ประทานพระโอวาทวา่ สุชาดา ภรรยาของชายมีอยู่ ๗ จ�ำพวก คือ ภรรยาเสมือน  เพชฌฆาต ๑ ภรรยาเสมอื นโจร ๑ ภรรยาเสมอื นนาย ๑ ภรรยา  เสมอื นแม ่ ๑ ภรรยาเสมอื นพสี่ าวนอ้ งสาว ๑ ภรรยาเสมอื นเพอ่ื น  ๑ ภรรยาเสมือนทาส ๑ บรรดาภรรยา ๗ จ�ำพวกนี้ เธอจะเป็น  ภรรยาจ�ำพวกไหน นางสุชาดาไม่เข้าใจจึงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้อความท่ ี พระองคต์ รสั นย้ี อ่ นกั  หมอ่ มฉนั ยงั ไมเ่ ขา้ ใจความหมายเลยพระเจา้   ขา้  ขอพระองคไ์ ดโ้ ปรดแสดงธรรม อธบิ ายความหมายใหห้ มอ่ มฉนั   เขา้ ใจดว้ ยเถดิ  พระเจ้าขา้ พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนให้นางสุชาดาตั้งใจฟังพระโอวาท  ดว้ ยความเคารพ แล้วทรงอธิบายความหมายโปรดนางสุชาดาว่า ๑. ภรรยาเสมอื นเพชฌฆาตนน้ั  หมายความวา่ ภรรยาใจรา้ ย  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 167

๑๓มงคลขอ้ ท่ี การสงเคราะห์ภรรยา-สามี ไมม่ คี วามรกั ใครใ่ นสาม ี ไมเ่ กอื้ กลู สาม ี เปน็ หญงิ มกั มากในกามา-  รมณ์ นิยมรักใคร่กับชายอ่ืน ดูถูกดูหมิ่นสามี สามีเป็นคนท�ำงาน  หาเงนิ หาทองมาเลยี้ งปากเลยี้ งทอ้ งแทๆ้  กไ็ มม่ คี วามเหน็ อกเหน็ ใจ  มีแต่ข่มเหงน�้ำใจ คอยพิฆาตฆ่า เสมือนเพชฌฆาตถือดาบคอย  ประหารสามีอย่ทู ุกเวลา น่เี รียกวา่  ภรรยาเสมือนเพชฌฆาต ๒. ภรรยาเสมือนโจรนั้น หมายความว่า ภรรยาเป็นคนใจ  ขโมย คอยลัก คอยผลาญสมบัติ คอยทำ� ลายทรัพย์สินเงินทองท่ ี สามที ำ� งานหามาดว้ ยความเหนอ่ื ยยาก ใหฉ้ บิ หายไป พยายามลกั   เลก็ ขโมยนอ้ ย เปน็ หญงิ คดในขอ้ งอในกระดกู  ไมซ่ อ่ื ตรงตอ่ สาม ี นี่  เรยี กวา่  ภรรยาเสมอื นโจร ๓. ภรรยาเสมอื นนายนนั้  หมายความวา่  ภรรยาใจชวั่  ตงั้ ตวั   เป็นนายของสามี เป็นคนหยาบคาย ใจเห้ียม พูดแต่ค�ำกักขฬะ  กบั สาม ี ชอบใชส้ าม ี ขม่ ข ู่ ขม่ เหงสามเี หมอื นนายท�ำกบั ทาส สามี  เปน็ คนขยนั หมน่ั เพยี ร แตต่ วั เองเปน็ คนขเ้ี กยี จขคี้ รา้ น ไมเ่ อาการ  เอางาน เอาแตก่ นิ แตน่ อน มวั แตแ่ ตง่ เนอ้ื แตง่ ตวั  นเ่ี รยี กวา่  ภรรยา  เสมือนนาย ๔. ภรรยาเสมอื นแมน่ นั้  หมายความวา่  ภรรยาเปน็ คนใจสงู   มีความหนักแน่นเหมือนแม่ มีความรัก ความปรารถนาดีต่อสาม ี คอยเฝ้าดแู ลสามีเหมอื นแม่ดแู ลลูก สามหี าทรพั ย์สนิ เงนิ ทองใดๆ  มาไดก้ พ็ ยายามเกบ็ ไว ้ ออมไว ้ รกั ษาไวด้ ว้ ยด ี มใิ หเ้ สอื่ มสญู  นเ่ี รยี ก  วา่  ภรรยาเสมือนแม่ ๕. ภรรยาเสมือนพี่สาวน้องสาวนั้น หมายความว่า ภรรยา  เปน็ คนมสี มั มาคารวะ มคี วามเคารพยำ� เกรงสาม ี มคี วามละอายแก่  168 มงคล ๓๘ ประการ

ใจ ไมป่ ระพฤตอิ ะไรลว่ งล�้ำกำ้� เกนิ สาม ี เปน็ หญงิ อยใู่ นอ�ำนาจสาม ี เช่ือถ้อยฟังค�ำของสามี มีความรักฉันพ่ีน้อง น่ีเรียกว่า ภรรยา  เสมือนพีส่ าวนอ้ งสาว ๖. ภรรยาเสมอื นเพอื่ นนนั้  หมายความวา่  ภรรยามใี จรกั สาม ี ประพฤติดีต่อสามีฉันเพื่อนท่ีดีประพฤติต่อกัน เป็นคนมีตระกูล  มคี วามประพฤติเรยี บร้อย ปฏบิ ตั ิสามดี ้วยนำ้� ใจ รกั ใคร่สนิทสนม  เมื่อสามีไปไหนกลับมา ก็ยินดีต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส  เสมอื นเพอื่ นทด่ี ตี อ้ นรบั เพอื่ นทจี่ ากกนั ไปนานๆ จงึ กลบั มาพบกนั   ฉะนัน้  นเ่ี รยี กวา่  ภรรยาเสมือนเพื่อน ๗. ภรรยาเสมอื นทาสนนั้  หมายความวา่  ภรรยาเปน็ หญงิ มี  นำ้� ใจอดทน สงบเสงยี่ ม แมจ้ ะถกู สามขี ม่ ข ู่ ดดุ า่  ตบต ี เมอ่ื คราวผดิ   พลาด กม็ คี วามยมิ้ แยม้ แจม่ ใส ไมโ่ กรธตอบ ไมโ่ ตเ้ ถยี ง ไมเ่ ปน็ คน  ใจร้าย รู้จักอด รู้จักกลั้น เป็นคนอยู่ในอำ� นาจของสามี ไม่เป็นคน  ขโ้ี กรธ ข้ีโมโห นเ่ี รยี กวา่  ภรรยาเสมือนทาส สุชาดา ภรรยาของชายมี ๗ จ�ำพวกดังกล่าวน้ี เธอจะเป็น  ภรรยาจ�ำพวกไหน ฯลฯ ตามนัยพุทธโอวาทน้ีจะเห็นได้ว่า หญิงใดประพฤติตนเป็น  ภรรยาจ�ำพวกท่ี ๑-๒-๓ หญิงน้ันชื่อว่าตั้งตนเป็นศัตรูของสาม ี ครอบครัวก็จะต้องไม่มีความสุข จะมีแต่ความวิวาทบาดหมาง  เดอื ดรอ้ นวนุ่ วาย และสามกี จ็ ะรสู้ กึ วา่ ตนอาภพั เพราะมเี มยี ผดิ  เมอ่ื   จะเลกิ กนั กเ็ ลกิ ไมไ่ ด ้ กม็ แี ตจ่ ะคดิ กลมุ้ อกกลมุ้ ใจ ไมม่ กี ำ� ลงั ใจทจ่ี ะ  ขวนขวายเพ่อื ความกา้ วหนา้ ในชีวิต สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 169

๑๓มงคลขอ้ ท่ี การสงเคราะห์ภรรยา-สามี หญิงท่ีจัดว่าเป็นภรรยาที่ดี คือเป็นภรรยาท่ี ๔-๕-๖-๗ ซ่ึง  ถือว่าเป็นภรรยาท่ีดี ท�ำให้สามีมีความภาคภูมิใจว่ามีภรรยาด ี เลือกคู่ครองไม่ผิด จิตใจก็จะเบิกบาน มีก�ำลังใจในการที่จะ  ประกอบกจิ การงาน มอี ตุ สาหะพยายามทจ่ี ะสรา้ งฐานะใหด้ ยี งิ่ ๆ ขนึ้   ครอบครวั กจ็ ะมีความกา้ วหนา้  มีความสงบสุข แตง่ - งาน ขา้ พเจา้ ไดเ้ คยกลา่ วอยเู่ สมอในมงคลตา่ งๆ โดยเปรยี บเทยี บ  ธรรม วา่ มอี ย ู่ ๒ อยา่ งคอื  สภาวธรรมและคณุ ธรรม การกระทำ� ของ  ชายหญงิ  เพยี งแตไ่ ดเ้ สยี กนั ดว้ ยอำ� นาจกามราคะ นน่ั เปน็ เพยี งเรอ่ื ง  ของธรรมชาติ ไม่ใช่คุณธรรม ไม่ใช่ความดี แม้แต่สัตว์ทั้งปวงก ็ สามารถทจี่ ะกระทำ� ไดเ้ ชน่ นนั้  คณุ ธรรมแทจ้ รงิ อนั จดั วา่ เปน็ มงคล  ของชีวิตสมรส พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า สังคหะ ซ่ึงเป็นเครื่อง  เช่อื มความรกั ระหว่างภรรยาสามไี ม่ให้เกดิ ความแตกรา้ วกัน ประเพณีการแต่งงานของไทยเรา ซ่ึงได้รับการถ่ายทอดมา  จากลทั ธพิ ราหมณ ์ เวลาเจา้ บา่ วเจา้ สาวจะรบั หลง่ั นำ้� สงั ข ์ เรามกี าร  สวมมงคลแฝด คอื ดา้ ยมงคลทท่ี ำ� เปน็ หว่ งสองหว่ ง สำ� หรบั ไวส้ วม  ศรี ษะเจา้ บา่ วขา้ งหนงึ่  เจา้ สาวขา้ งหนง่ึ  เวลาสวมแลว้ ดคู ลา้ ยๆ จะลา่ ม  คนสองคนใหต้ ดิ กนั ไว ้ ความมงุ่ หมายนนั้ กเ็ พอ่ื ทจี่ ะยดึ กนั ไว ้ ไมใ่ ห ้ แยกจากกัน นนั่ เป็นการยดึ แบบพราหมณ์ ยดึ คนด้วยเส้นด้าย ในทางพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนให้เรายึด  170 มงคล ๓๘ ประการ

เหมอื นกนั  แตแ่ ทนทแ่ี ตจ่ ะทรงสอนใหย้ ดึ ดว้ ยดา้ ย แตท่ รงสงั่ สอน  ให้ยึดด้วยคุณธรรมท่ีเรียกว่า สังคหะ เราลองมานึกดูว่า การยึด  อย่างไหนจะมีความม่ันคงต่อกัน การสวมมงคลแฝดน้ันด้ายที่  สวมไวส้ วมไวห้ มนิ่ เหลอื เกนิ  แตะๆ ไวน้ ดิ เดยี วเทา่ นน้ั  ถา้ ทงั้ สองยงั   กม้ หวั อยอู่ ยา่ งนนั้ กไ็ มเ่ ปน็ ไร แตถ่ า้ เกดิ ฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ สลดั หวั นดิ   เดยี ว หรอื เกดิ ชะเง้อมองใครๆ เข้าหนอ่ ยเดยี ว มงคลกห็ ลดุ มงคลของพระพทุ ธเจา้ เหนยี วกวา่  และคลอ้ งแนน่ กวา่  มงคล  ของพระพุทธเจ้านั้นคล้องด้วยสัจจธรรม ซ่ึงเรียกว่า สังคหธรรม  มคี วามเหนยี วแนน่ กวา่  ตอ่ ใหม้ นษุ ยห์ นา้ ไหนกม็ ายอ้ื แยง่ ของเราไป  ไมไ่ ด ้ แมแ้ ตค่ วามตายมาพราก กพ็ รากไดแ้ ตร่ า่ งกายเทา่ นน้ั  สว่ น  ใจนัน้ คล้องกันแนน่ ชว่ั นริ ันดร สังคหธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ถึงหน้าท่ีของสาม ี ภรรยา ดงั ตอ่ ไปนี้ ผวั สงเคราะหเ์ มยี เมยี สงเคราะห์ผัว ๑. ยกย่องวา่ เปน็ ภรรยา จัดการงานดี ๒. ด้วยไมด่ หู ม่นิ สงเคราะหค์ นขา้ งเคยี งของผวั ๓. ด้วยไมป่ ระพฤติลว่ งใจ ไม่ประพฤติลว่ งใจผวั ๔. ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให ้ รกั ษาทรัพยท์ ีผ่ ัวหามาได้ไว้ ๕. ด้วยให้เคร่ืองแต่งตัว ขยนั ไม่เกยี จครา้ นในกิจการ ทง้ั ปวง สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 171

๑๓มงคลขอ้ ที่ การสงเคราะห์ภรรยา-สามี สถานแรก สามีบ�ำรุงภรรยา “ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา” น้ัน นอกจากจะสงเคราะห์กันแล้วยังส่อให้เห็นถึงน�้ำใจอันซื่อตรง  ต่อกันอีกด้วย การแสดงความรักใคร่ไว้วางใจให้ปรากฏแก่ญาติ  มิตร เป็นลักษณะยกย่องที่ออกจากใจจริง เป็นการให้เกียรติแก่  ภรรยา เปดิ โอกาสใหภ้ รรยามภี าวะเสมอตน และมสี ิทธิทีจ่ ะแทน  กันไดท้ ุกอยา่ งตรงกบั ทกี่ ฎหมายเรยี กวา่  เปน็ คนๆ เดียวกัน สถานท ่ี ๒ สามบี �ำรงุ ภรรยา “ดว้ ยไมด่ หู มน่ิ ” นอกจากจะ  ยกยอ่ งตามขอ้ แรกแลว้  ประการทสี่ องรองลงมานนั้ ไดแ้ ก ่ ไมด่ หู มนิ่   คำ� วา่ ไมด่ หู มนิ่ นนั้ หมายถงึ การดหู มนิ่ ในทางกายและวาจา เชน่ ไม่  ทบุ ตดี า่ วา่ ภรรยา ดว้ ยลกั ษณะอาการทห่ี ยาบคาย ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ   ความอบั อายขายหนา้ แกภ่ รรยา นอกจากนน้ั กต็ อ้ งพยายามใหอ้ ภยั   ซ่ึงกันและกัน ด้วยใบหน้าท่ีย้ิมแย้มต่อกัน เหล่านี้เป็นลักษณะท่ ี ไมด่ ูหม่ินทัง้ นน้ั สถานท ี่ ๓ สามบี ำ� รงุ ภรรยา “ไมป่ ระพฤตลิ ว่ งใจ” ขอ้ นเ้ี ปน็   ประเด็นปัญหาส�ำคัญในสังคมปัจจุบันซ่ึงมักจะมีปรากฏอยู่บ่อยๆ  ท้ังน้ีเพราะว่า ภรรยาน้ันต้องการท่ีจะมีตนผู้เดียวเท่านั้นที่เป็น  ขวัญใจของสามี การกระท�ำโดยแอบไปมีภรรยาใหม่ เป็นเครื่อง  เฉือนใจภรรยาเดิม ท�ำให้คลายความรัก ความนับถือและความ  ต้ังใจดีของภรรยาเสียสิ้น ย่ิงกว่าน้ันจะเป็นศัตรูที่ทำ� ลายน�้ำใจกัน  ไม่มีท่ีสิ้นสุด การอยู่กันด้วยความถนอมน�้ำใจ เคารพสิทธิซ่ึงกัน  และกนั  ยอ่ มนำ� มาซึง่ ความเจริญของครอบครวั สถานท ่ี ๔ สามบี ำ� รงุ ภรรยา “ดว้ ยมอบความเปน็ ใหญใ่ ห”้   คอื มอบความเปน็ ใหญใ่ นการจดั กจิ การภายในบา้ นเรอื น เปน็ ตน้ วา่   172 มงคล ๓๘ ประการ

ปกครองดูแลบ่าวไพร่ ตลอดจนการปกครองทรัพย์สมบัติทั้งปวง  ให้เปน็ สิทธิขาดเท่าๆ กบั สามี สถานท ่ี ๕ สามบี ำ� รงุ ภรรยา “ดว้ ยใหเ้ ครอ่ื งแตง่ ตวั ” เมอ่ื ได้  ศกึ ษาขอ้ ตอนตอ่ ไปในหนา้ ทขี่ องภรรยาแลว้  เราจะเหน็ ไดว้ า่ ภรรยา  นนั้ ทำ� งานจนแทบจะไมม่ เี วลาวา่ ง ดงั นนั้ เรอื่ งการแตง่ ตวั กบ็ างครง้ั   แทบจะไมส่ นใจ สามผี มู้ ใี จเผอ่ื แผก่ ต็ อ้ งคอยตกั เตอื นใหภ้ รรยาหา  เคร่ืองแต่งกายตามสมควร หรือว่าเราไปพบเห็นส่ิงใดเป็นท่ีพอใจ  เรากซ็ อื้ มาฝากดว้ ยความเออื้ เฟอ้ื  อยา่ งนอ้ ยภรรยากต็ อ้ งเหน็ วา่ เรา  ยังเห็นเขามคี วามส�ำคัญอยู่ เมอื่ ภรรยาไดร้ บั การสงเคราะหจ์ ากสามแี ลว้  กพ็ งึ สงเคราะห ์ แกส่ ามดี ว้ ยสถาน ๕ เหมอื นกนั  ดงั ทไี่ ดแ้ สดงแผนผงั ตง้ั แตต่ น้  ดงั   ตอ่ ไปนี้ สถานท่ี ๑ ภรรยาสงเคราะห์สามี “ด้วยการงานดี” เร่ือง  จดั การงานดนี นั้  หมายถงึ ความเปน็  แมเ่ รอื นทด่ี  ี เชน่  จดั กจิ การทกุ   อยา่ งทอี่ ยภู่ ายในบา้ นใหอ้ ยใู่ นสภาพเรยี บรอ้ ย ตลอดจนดแู ลความ  เป็นอยู่คอยรับใช้สามี จัดหาเคร่ืองล้างหน้าหรือเครื่องอาบน�้ำให้  สามใี นเวลาตน่ื นอน จดั แจงตรวจตรากจิ การภายในบา้ น หาอาหาร  ปรงุ อาหารใหส้ าม ี จดั เครอื่ งแตง่ กาย ซกั เสอื้ ผา้ ใหส้ าม ี ดแู ลเครอื่ ง  ใช้ไม้สอยต่างๆ ให้อยู่ในระเบียบ ต้อนรับสามีซึ่งกลับจากงานมา  ใหมๆ่  เหลา่ นเ้ี ปน็ ตน้  เปน็ หนา้ ทๆี่  ภรรยาจะตอ้ งสงเคราะหแ์ กส่ ามี  และกย็ งั มอี กี มากถา้ จะพรรณนาแลว้ กจ็ ะไดห้ นงั สอื อกี เลม่ ทเี ดยี ว สถานท ี่ ๒ ภรรยาสงเคราะหส์ าม ี “ดว้ ยการสงเคราะหค์ น  ข้างเคียงของผัว” ซ่ึงได้แก่ญาติทั้งหลายตลอดจนคนท่ีมีความ  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 173

๑๓มงคลข้อที่ การสงเคราะหภ์ รรยา-สามี ใกล้ชิดสนิทสนมของสามีมาก่อน และผู้ท่ีมาติดต่อกับสามี การ  สงเคราะห์น้ันก็มีอยู่ ๒ ทาง คือ ก�ำลังกาย และก�ำลังทรัพย์ ซึ่ง  ส่วนมากก็มักจะเป็นก�ำลังทรัพย์มากกว่า นอกจากนั้นมีอัธยาศัย  ไมตรตี อ่ คนทว่ั ไปทมี่ าตดิ ตอ่ ดว้ ย ทงั้ นเี้ พราะวา่  การกระทำ� นนั้ อาจ  จะเป็นท่ียกย่อง สรรเสริญและนินทาแก่คนท่ัวไปได้ ภรรยาน้ัน  จึงเหมอื นศักดิ์ศรีของสามีด้วย สถานท ี่ ๓ ภรรยาสงเคราะหส์ าม ี “ดว้ ยไมป่ ระพฤตลิ ว่ งใจ”  กม็ คี วามหมายอยา่ งเดยี วกนั กบั ของสาม ี คอื จะตอ้ งมคี วามละอาย  รู้จักออมถนอมตน เพราะการกระท�ำตัวนอกใจสามีน้ันเป็น  ของที่น่าละอายท่ีสุด ท้ังเป็นการท�ำลายเกียรติของสามีอีกด้วย  การกระท�ำตนให้เป็นที่กว้างขวางในหมู่สังคม ให้ความสนิทสนม  จนเกินไปเป็นอาจิณอยู่นั้น แม้ว่าจะไม่เป็นการกระท�ำในท�ำนอง  ชู้สาว แต่ก็เป็นที่ต�ำหนิแก่คนท่ัวไป ความท่ีมีสัตย์ต่อกันอย่าง  ม่นั คงนีเ้ ป็นเคร่อื งผูกความสขุ ภายในครอบครวั อยา่ งดี สถานท ่ี ๔ ภรรยาสงเคราะหส์ าม ี “ดว้ ยรกั ษาทรพั ยท์ ผี่ วั หา  มาได”้  หมายความวา่ ทรพั ยต์ า่ งๆ ทผี่ วั หามาไดน้ นั้  ภรรยาจะตอ้ ง  เปน็ ผดู้ แู ลรกั ษา และใชจ้ า่ ยในทางทเี่ ปน็ ประโยชน ์ รจู้ กั การใชจ้ า่ ย  ทรัพย์ รู้จักเก็บออม ทั้งพยายามท่ีจะให้ทรัพย์ท่ีได้มานั้นงอกเงย  ออกไปอกี  (ไมไ่ ดห้ มายความวา่ เอาไปเลน่ ไพ)่   สถานท ่ี ๕ ภรรยาสงเคราะหส์ าม ี “ดว้ ยความขยนั ไมเ่ กยี จ-  ครา้ น” ซงึ่ ความหมายขอ้ นมี้ คี วามหมายตรงตวั อยแู่ ลว้  ซง่ึ หมายถงึ   ความขยนั ในกจิ การของแม่บา้ นที่จะพึงกระท�ำ การสงเคราะห์ซ่ึงกันและกันระหว่างภรรยากับสามีนั้น เรา  174 มงคล ๓๘ ประการ

จะเห็นได้ว่า ค�ำส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้วาง  หลักไว้อย่างเหมาะสมต่อเหตุการณ์ไม่ล้าสมัย แม้ว่าเราจะน�ำมา  ปฏิบัติก็จะเกิดความเจริญแก่ครอบครัว ท�ำให้มีความสุขย่ิงข้ึน  ดังน้ันมงคลของพระพุทธเจ้าจึงเป็นมงคลที่สามารถจะสวมใจของ  ท้งั สองให้อย่กู ันชว่ั นริ นั ดร สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 175

มงคล ๑๔ขอ้ ที่ อนากุลา จ กมมฺ นฺตา (การงานไมค่ งั่ ค้าง) ความกา้ วหนา้ ของคนเรานอกจากจะเปน็ ผลจากการคบมติ ร  การเรียน การฝึก และการปฏิบัติบำ� รุงพ่อแม่ลูกเมีย ดังกล่าวมา  แลว้ ในมงคลสบิ สามขอ้ กอ่ น ยงั จะตอ้ งขนึ้ อยกู่ บั ปจั จยั สำ� คญั อยา่ ง  ยง่ิ  อกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื  การทำ� งาน ความจรงิ แลว้ งานกบั คนนนั้  เปน็   สงิ่ ท่แี ยกกันไมไ่ ด้ เมอ่ื เราเกดิ มาเปน็ คนแล้ว จำ� เปน็ เหลือเกินท่จี ะต้องทำ� งาน  แตก่ ย็ งั มบี างคนเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ ตวั เองนน้ั ไมไ่ ดเ้ กดิ มาเพอื่ ทำ� งาน แต ่ เกดิ มาเพอื่ จะกนิ และนอนเฉยๆ ถา้ คดิ อยา่ งนน้ั แลว้ กเ็ หมอื นกบั วา่   ตนนนั้ ไดต้ ายไปแลว้  เพราะคนตายไมต่ อ้ งทำ� งาน นอนวนั ยงั คำ่� คนื   ยันรุ่งก็ได้ ไมม่ ใี ครวา่ 176 มงคล ๓๘ ประการ

แทจ้ รงิ แล้ว การงานเปน็ สมบตั ิของคน คนทม่ี ีงานคือคนที่ม ี สมบัติ ตรงข้ามคนท่ีไม่มีงาน คือคนที่ไม่มีสมบัติ เป็นคนท่ีวิบัติ  ดังนั้น คนท่ีวิบัติเพราะไร้งาน หรือเพราะมีความเกียจคร้านไม ่ ท�ำงาน จึงเป็นคนท่ีอาภัพน่าสงสารท่ีสุด เพราะว่าหลักฐานท่ีจะ  พิสูจน์คนว่าดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่การงาน โรงงานทุกแห่งก็คือโรง  ท�ำเงนิ  ท�ำเกียรติยศช่ือเสียงใหแ้ ก่ตนเอง การงานนนั้  เปน็ อดุ มการณข์ องมนษุ ยท์ รี่ กั จะครองชวี ติ อยใู่ น  โลก มนษุ ยท์ ม่ี กี ารงานเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ ์ เพราะการท�ำงานตาม  ปกติย่อมสร้างก�ำลังกาย สร้างก�ำลังใจ สร้างก�ำลังปัญญา สร้าง  ความเจริญ สร้างความสุขให้แก่ชีวิตในโลก ท�ำให้ชีวิตสูงด้วยค่า  ตรงขา้ มคนทเ่ี กยี จครา้ นไมเ่ อาการเอางาน จงึ เปน็ คนทโี่ ง ่ ออ่ นแอ  ไมม่ เี รยี่ วแรง เปน็ คนรกโลก ดว้ ยเหตทุ คี่ วามสำ� คญั ของกจิ การงาน  นนั้ เปน็ ความสำ� คญั ของชวี ติ  ดว้ ยเหตนุ ใี้ นมงคลขอ้ น ้ี พระพทุ ธเจา้   จงึ ไดท้ รงชีค้ วามเป็นมงคลลงไปทกี่ ารงานอีกแผนกหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเรา ทรงเป็นนักท�ำงานตัวอย่างของคน  ทำ� งานทดี่ เี ดน่ ทสี่ ดุ  ชว่ั ในระยะ ๒,๕๐๐ ปเี ศษมาแลว้  ยงั ไมม่ ผี ใู้ ด  ท�ำงานได้เกินกว่าพระองค์ งานก็ดี ผลก็ดี คนก็นิยม พระองค์ได ้ ทรงทำ� งานตลอดพระชนมชพี ของพระองค ์ ตลอด ๘๐ พรรษา เรา  ลองส�ำรวจดูการท�ำงานของพระองค์อย่างคร่าวๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไดเ้ ปน็ ไปตามแผนทท่ี รงกำ� หนดไวต้ ง้ั แตเ่ สดจ็ ออกผนวช ตงั้ พระทยั   ทจ่ี ะแสวงหาความพน้ ทกุ ขใ์ หไ้ ด ้ กท็ รงกระทำ� ความเพยี รจนไดพ้ บ  ทางพน้ ทกุ ขจ์ รงิ  ครน้ั ตรสั รแู้ ลว้ ทรงวางแผนในการประกาศศาสนา  และตั้งพระทัยว่า เม่ือพระศาสนาได้ประดิษฐานม่ันคงแล้ว จึงจะ  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 177

๑๔มงคลข้อที่ การงานไมค่ งั่ ค้าง ปรนิ พิ พาน การทัง้ ปวงกเ็ ป็นไปตามแผนทกุ ประการ มงคลชีวิตข้อท่ีว่า การทำ� งานที่ไม่ค่ังค้างเป็นมงคล ซ่ึงข้อนี้  พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสเอาไว้ ก่อนอ่ืนเราก็จะได้มาทำ� ความเข้าใจ  ในความหมายของมงคลขอ้ นเี้ สยี กอ่ น คำ� ทว่ี า่  อนากลุ า ซง่ึ แปลวา่   คงั่ คา้ ง งานอากลู คอื งานคา้ ง ทวี่ า่ คา้ งนน้ั หมายความวา่ คนท�ำๆ ให้  คา้ ง ไมใ่ ชห่ มายความถงึ งานทท่ี ำ� ตอ่ กนั แตย่ งั ไมส่ ำ� เรจ็  คอื งานบาง  อย่างนั้น จะต้องอาศัยปัจจัยและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งผู้ท�ำจ�ำเป็น  จะตอ้ งรอ การทำ� งานอยา่ งนไ้ี มเ่ รยี กวา่ งานอากลู  การทำ� งานแบบ  น้ีเป็นนิสัยของคนจ�ำพวกหน่ึง ซ่ึงแรงใจมีไม่พอจะท�ำงาน ท�ำงาน  แลว้ ตอ้ งทงิ้ ลงกลางคนั  ท�ำงานไมถ่ งึ ทเี่ สรจ็ ทงิ้ เสยี กอ่ น ไปรทิ �ำงาน  อยา่ งใหมต่ อ่ ไป ควา้ งานใหมม่ าทำ�  กท็ ำ� ไมเ่ สรจ็ อกี เหมอื นกนั  เปน็   คนดีแต่ขึ้นต้น แต่ท�ำงานจริงๆ แล้วไปไม่รอด คนที่มีนิสัยทิ้งๆ  ขว้างๆ ก็เพราะเป็นนิสัยจับจดของตัวเอง อะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง  สานกระด้งไว้หน่อยแล้วท้ิงไปสานกระจาดอีกนิด และก็ไพล่ไป  ทอกระสอบ แล้วก็ทิ้งอีกเหมือนกัน งานที่สานกระจาดก็ไม่เป็น  กระจาด กระดง้ กไ็ มเ่ ปน็ กระดง้  กระสอบกไ็ มเ่ ปน็ กระสอบ นแี่ หละ  เรียกว่างานค่ังค้างอากูล คนทท่ี ำ� งานคง่ั คา้ งนนั้ เสยี เปรยี บอยหู่ ลายอยา่ ง คอื งานอยา่ ง  เดยี วจะตอ้ งท�ำซำ้� ถงึ สองหนสามหน ชาวไรท่ ห่ี กั รา้ งถางพงแลว้ ไม ่ ลงพชื  ครน้ั ถงึ เวลาทจ่ี ะตอ้ งปลกู จรงิ  กจ็ ะตอ้ งทำ� ใหม ่ ตกลงวา่ ตอ้ ง  ทำ� ถงึ สองหน ยงิ่ คนทท่ี ำ� งานราชการแลว้ ยง่ิ เสยี หายใหญ ่ โดยปลอ่ ย  งานของตนไว้ให้ค่ังค้างมาก พอถึงเวลาท่ีจะต้องท�ำเข้าจริงๆ แล้ว  จะต้องอดหลับอดนอนทำ� ส่ิงน้ันให้สำ� เร็จลงไป และย่ิงต้องทำ� งาน  178 มงคล ๓๘ ประการ

อยา่ งเรง่ รบี แลว้ จะเกดิ ความผดิ พลาดอยา่ งใหญห่ ลวง เราลองนกึ ดู  กแ็ ลว้ กนั วา่  เราจะมคี วามกา้ วหนา้ หรอื ไมถ่ า้ เราตอ้ งทำ� งานคง่ั คา้ ง  อยา่ งเชน่ ทย่ี กตวั อยา่ งวา่ คนท�ำไร ่ เมอื่ หกั รา้ งถางพงแลว้ ไมท่ �ำการ  ปลูกพืช ครั้นถึงเวลาแล้วก็ต้องทำ� ใหญ่ แทนท่ีเราจะจับงานใหม่ก ็ จะต้องท�ำงานน้ันซ้�ำอีก ซึ่งเป็นการไม่ทำ� ให้เราก้าวหน้าไปได้เลย  การทปี่ ลอ่ ยงานใหค้ งั่ คา้ งไวน้ นั้ เปน็ อปั มงคลใหญ ่ โดยเฉพาะอยา่ ง  ยงิ่ ถา้ สงิ่ นนั้ เราไมไ่ ดจ้ ดบนั ทกึ ไว ้ นานวนั เขา้ เรากล็ มื  หรอื เราจดไว ้ เกดิ ทเี่ ราจดไวน้ นั้ มนั สญู หายไปแลว้  ถา้ เปน็ บญั ชเี งนิ แลว้ เราจะเสยี   หายเพียงไร ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า การท�ำงานไม่คั่งค้าง  น้ันเป็นมงคล จะทำ� อยา่ งไรท่ีจะไมใ่ ห้งานนั้นคั่งคา้ ง พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักของการท�ำงานเอาไว้ ซ่ึงเป็น  หลกั ทป่ี ระกนั ความคงั่ คา้ งของการงาน และสามารถทจ่ี ะท�ำใหเ้ รา  สำ� เรจ็ สมความปรารถนาในกจิ การทงั้ ปวง ถา้ เรามธี รรมะนอี้ ยใู่ นใจ  ของเราแลว้ กจ็ ะไมท่ �ำงานนนั้ ใหค้ ง่ั คา้ ง หลกั ทว่ี า่ นคี้ อื  อทิ ธบิ าท ๔ หลกั อทิ ธบิ าท ๔ น ้ี เปน็ หลกั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงคน้ พบและ  ได้ทดลองท�ำได้รับความส�ำเร็จมาแล้ว จึงได้ทรงวางหลักสูตรเอา  ไวใ้ หเ้ ราไดศ้ กึ ษา และปฏบิ ตั ติ ามเพอ่ื ความกา้ วหนา้ ของชวี ติ  คนท ่ี มีความส�ำเร็จสมความปรารถนาของตนเพราะมีหลักอิทธิบาท ๔  คนทท่ี �ำงานไม่ส�ำเร็จเพราะขาดหลักอิทธบิ าท ๔ คอื สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 179

๑๔มงคลข้อที่ การงานไมค่ ัง่ คา้ ง ขาดฉันทะ ความพอใจทำ� ขาดวิรยิ ะ ความเพียรในการทำ� ขาดจติ ตะ ความสนใจท�ำ ขาดวิมงั สา ความรอบคอบ หลักธรรมทั้ง ๔ ประการดังกล่าวมานี้ เป็นหลักการท่ีท�ำ  ความส�ำเร็จให้เกิดข้ึน และท่ีไม่มีความส�ำเร็จเพราะขาดหลักการ  ทง้ั  ๔ ขอ้ น ี้ ซึง่ เราจะไดศ้ กึ ษากันตามล�ำดับไป อทิ ธิบาทขอ้ ท ี่ ๑ งานทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ก่อนอื่นนั้นเราจะต้องมีความพอใจท ี่ จะท�ำเสียก่อน ไม่ใช่ความจ�ำใจท�ำ เพราะความจ�ำใจท�ำน้ันเป็น  สาเหตแุ หง่ การละทง้ิ งาน ไมว่ า่ จะเปน็ งานท�ำไร ่ ทำ� นา คา้ ขาย บวช  พระ หรอื เปน็ นกั เรยี น เพราะถา้ ทำ� ดว้ ยความไมพ่ อใจหรอื ไมต่ งั้ ใจ  แล้ว จะส�ำเร็จไม่ได้ ซ่ึงในกรณีน้ีเราไม่ได้หมายถึงว่างานนั้นจะดี  หรอื ชวั่ กอ่ น เราตอ้ งการอยทู่ ว่ี า่  จะสำ� เรจ็ หรอื ไมส่ ำ� เรจ็  ถา้ ทำ� ดว้ ย  ความพอใจแล้วกจ็ ะพบกับความส�ำเรจ็ และท�ำได้ดดี ว้ ย ถ้าทำ� ด้วย  ความจำ� ใจทำ� แลว้ จะไมพ่ บกบั ความสำ� เรจ็ เลย ดงั นน้ั พระพทุ ธองค ์ จงึ สอนให้เราทำ� ความพอใจให้เกดิ ขึ้นกอ่ น เพราะความพอใจน่ีเป็นเสมือนยาชูก�ำลังให้เราเกิดความ  มุมานะ ซ่ึงเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาประการหนึ่ง เพราะลองได ้ พอใจแลว้ เปน็ อนั วา่ ไมห่ วนั่  ดแู ตค่ นหนมุ่ คนสาวทรี่ กั กนั ส ิ ลองไดม้ ี  ความรกั เสยี อยา่ งเดยี ว จะดกึ ดนื่ เทย่ี งคนื อยา่ งไรกท็ นได ้ หรอื แมว้ า่   จะเปน็ คนกลวั ผอี ยกู่ อ่ น แตถ่ า้ ลองไดเ้ กดิ ความรกั  แมว้ า่ บา้ นคนรกั   180 มงคล ๓๘ ประการ

จะอยใู่ กลป้ า่ ชา้ กไ็ มก่ ลวั  เพราะความรกั นไี้ ดท้ ำ� ลายความกลวั เสยี   ได้ น่ันแสดงว่าความรักน้ันได้เพ่ิมก�ำลังใจให้อย่างประหลาด ท ่ี พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักความพอใจไว้เป็นการวางตามหลัก  จติ วทิ ยาโดยตรง ไมว่ า่ งานใดลองมคี วามรกั งานเสยี อยา่ งเดยี วเทา่   ไหร่เท่ากัน ดังน้ันการปลูกความพอใจเป็นสิ่งที่ส�ำคัญ แต่ความ  พอใจท่ีจะเกิดขึ้นได้นั้น เราจะต้องอาศัยการศึกษาเป็นพ้ืนฐาน ที่  ว่าการศึกษานั้น หมายความว่า เราจะต้องศึกษาให้รู้ผลของการ  ท�ำงานนั้นเสียก่อน เม่ือเราเห็นผลแล้วความรักงานก็จะเกิดขึ้น  เรื่องของฉันทะคือการท�ำงานดว้ ยความพอใจ แล้วจะไดผ้ ลสมใจ อทิ ธบิ าทขอ้ ที ่ ๒ ได้แก่ความเพียร หรือความกล้า การท�ำงานทุกอย่างน้ันจะ  ตอ้ งมอี ปุ สรรค และอปุ สรรคนน้ั จะลลุ ว่ งไปดว้ ยดกี ต็ อ้ งอาศยั ความ  เพียร ความกล้า ท่ีว่าเป็นความกล้าน้ันอย่างไร เราลองกลับมา  มองดวู า่ คนทเ่ี กยี จครา้ นนน้ั  คอื คนทข่ี ลาดกลวั  คอื กลวั ความหนาว  ความรอ้ น กลวั หวิ  กลวั แดด กลวั ฝน กลวั ความงว่ ง และอกี สารพดั   กต็ รงอยทู่ คี่ วามกลวั ตาย คอื กลวั วา่ รอ้ นมากจะตาย หนาวมากจะ  ตาย การเอาชนะความกลวั เหลา่ นเี้ สยี ไดเ้ รยี กวา่  วริ ยิ ะ ความเพยี ร  หรอื ความกลา้  คอื กลา้ ทจ่ี ะสกู้ บั อปุ สรรค เหลา่ นเ้ี ปน็ คณุ ธรรมทจ่ี ะ  สนับสนนุ ข้อแรกใหส้ �ำเร็จ อทิ ธิบาทข้อท ี่ ๓ การทำ� งานทจ่ี ะไดร้ บั ผลสมความมงุ่ หมาย นอกจากคณุ ธรรม  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 181

๑๔มงคลขอ้ ท่ี การงานไม่คั่งคา้ ง ดังกล่าวมาแล้ว จะต้องอยู่ที่การเอาใจใส่ ซ่ึงตามภาษาบาลีว่า  จติ ตะ ไดแ้ กค่ วามเอาใจใสใ่ นกจิ การงานทเี่ รากระทำ� อย ู่ คอยสอด  สอ่ งดคู วามเสยี หายทจี่ ะไดร้ บั  อยา่ งเชน่ ชาวไรท่ ปี่ ลกู พชื  นอกจาก  จะรดน�้ำแล้วยังจะต้องคอยเอาใจสอดส่องในผลงานของเราด้วย  เพราะถ้าไม่สอดส่องดูแล้วผลงานก็จะเสียไปได้เหมือนกัน ดังน้ัน  ธรรมขอ้ นี้จงึ เปน็ เครื่องสนบั สนุนขอ้  ๑-๒ อทิ ธิบาทขอ้ ท่ี ๔ สุดยอดของการท�ำงานอยู่ท่ีอิทธิบาทข้อสุดท้าย คือวิมังสา  ความรอบคอบ ความพินิจพิเคราะห์ หมายถึงการท�ำงานด้วย ปญั ญา ดว้ ยสมอง ไมใ่ ชส่ กั แตว่ า่ ทำ�  ถงึ เราจะรกั งาน มคี วามเพยี ร  มีความสอดส่องแต่ขาดการใช้ปัญญาแล้ว ผลท่ีสุดงานก็อากูล  คงั่ คา้ งจนได ้ คนทที่ ำ� งานไมใ่ ชป้ ญั ญากท็ ำ� งานไมร่ จู้ กั เสรจ็  ความที่  เราวิจัยงานนั้นเป็นเรื่องส�ำคัญมาก เราจงยกตัวอย่างนักวิทยา-  ศาสตร์ที่สามารถไปดวงจันทร์ได้ส�ำเร็จ เพราะอาศัยการพินิจ  พิเคราะห์ด้วยปัญญา พยายามทดลองแก้ไขส่วนที่บกพร่องจน  ส�ำเร็จขน้ึ มาได ้ ฉะนั้นความส�ำคญั ของงานจงึ อยู่ทก่ี ารใชป้ ญั ญา เม่ือเรามคี ณุ ธรรมคอื อิทธิบาท ๔ แลว้  การทำ� งานของเราก็  ไม่คั่งค้าง เม่ือการงานไม่ค่ังค้างแล้วเราก็สามารถที่จะท�ำงาน  อย่างอื่นต่อไปได้ ซ่ึงไม่ต้องมาท�ำของเก่าอีก จัดเป็นความเจริญ  ก้าวหน้าทั้งในด้านการท�ำราชการ การค้าขาย การศึกษา ความ  เจรญิ อยู่ท่ีการท�ำงานไมค่ ั่งคา้ งน่นั เอง 182 มงคล ๓๘ ประการ

มงคล ๑๕ข้อที่ ทานญจฺ (บำ� เพญ็ ทาน) พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าความสูงของใจได้ถูกกดไว้ด้วย  อ�ำนาจความต่�ำทรามของใจนั่นเอง เพิกถอนความตำ่� ทรามของใจ  ออกเสียเราก็จะเป็นคนใจสูง และได้ทรงค้นพบความจริงว่า สิ่งท ่ี กดใจใหต้ ำ่� ลงเพราะความเหน็ แกต่ วั  อนั เปน็ ลกั ษณะของความโลภ  โดยปรกตใิ จทเี่ หน็ แกต่ วั แลว้ จะเปน็ ใจทใี่ ฝต่ ำ�่  สงู ขนึ้ ไมไ่ ด ้ ดคู นเหน็   แกต่ วั กแ็ ลว้ กนั  ตำ่� กไ็ มเ่ ลอื ก ทรามกไ็ มเ่ กลยี ด เอาทง้ั นน้ั  ดว้ ยเหตนุ ี้  การที่จะท�ำใจของเราให้สูงขึ้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราละ  ความเหน็ แกต่ วั ออกไปจากใจเสยี กอ่ น การทจ่ี ะละความเหน็ แกต่ วั   น้ันจะต้องอาศัยการฝึก และฝึกด้วยใจจริง คือหยิบทรัพย์ของเรา  ให้แก่คนอ่ืนไป เป็นการทวนกระแสใจท่ีเห็นแก่ตัว และวิธีน้ีทาง  ศาสนาเรียกวา่  “ทาน” ซึง่ แปลว่าการให้ สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 183

มง๑คล๕ขอ้ ที่ บำ� เพ็ญทาน ทา่ นผอู้ า่ นทราบอยแู่ ลว้ วา่  ความมงุ่ หมายทแ่ี ทจ้ รงิ ของการให ้ อยทู่ ก่ี ารเพกิ ถอนความเหน็ แกต่ วั ออกจากจติ ใจ จติ ใจของเราจะได้  สงู ขนึ้  ดงั นน้ั วธิ บี รจิ าคทานจงึ ไดว้ างกฎเกณฑใ์ นทางทจ่ี ะปฏบิ ตั ใิ น  การบรจิ าคทานไวด้ ังน้ี การให้ท่จี ะท�ำใหจ้ ิตใจบรสิ ุทธิส์ ะอาด และเปน็ บุญมาก ผู้ให ้ จะตอ้ งพยายามท�ำให้ครบองค ์ มี ๓ อย่าง ๑. วตั ถบุ ริสทุ ธ์ิ ๒. เจตนาบริสุทธ์ิ ๓. บุคคลบรสิ ุทธ์ิ ๑. วัตถุบริสุทธ์ิ หมายถึงของท่ีจะบริจาคทาน จะเป็นข้าว  ปลาอาหารหรือเงินทองใดๆ ก็ตาม ต้องเป็นของที่เราทำ� มาหาได้  โดยความสุจริต จะเป็นของที่ซ้ือมา ขอเขาก็เป็นไปด้วยความ  บริสุทธ์ิ โดยไม่ได้ฉ้อโกงเขามาแต่ประการใด ถ้าเป็นของที่ซ้ือมา  เงนิ ที่ซือ้ กจ็ ะตอ้ งท�ำมาหาไดด้ ว้ ยความสจุ ริต ทานจงึ จะบรสิ ทุ ธ์ิ ๒. เจตนาบริสุทธ์ิ หมายถึงว่าเจตนาของผู้ให้จะต้องต้ัง  เจตนาบริจาคเพ่ือความบริสุทธ์ิในจิตใจของตน ไม่ได้แฝงเจตนา  ดว้ ยความเหน็ แกต่ วั ไวใ้ นการใหท้ าน เชน่ ทำ� บญุ เพอื่ โฆษณาตวั เอง  หรอื เพอื่ หาเสยี งนยิ ม นมิ นตพ์ ระกเ็ ลอื กนมิ นตท์ ต่ี นเหน็ วา่ จะเปน็   ประโยชนแ์ กต่ นในภายหนา้  อยา่ งนเี้ รยี กวา่ มเี จตนาไมบ่ รสิ ทุ ธ ์ิ ไม ่ ได้มุ่งหวังความบริสุทธ์ิแห่งจิตใจอย่างแท้จริง อย่างน้ีก็ท�ำให้ผล  ทานน้ันลดน้อยลง ๓. บคุ คลบรสิ ทุ ธ ิ์ หมายความวา่  คนใหก้ บั คนรบั ตอ้ งเปน็ คน  บรสิ ทุ ธ ิ์ เรอ่ื งการใหท้ านโดยเลอื กบคุ คลนนั้  พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ปรยี บ  184 มงคล ๓๘ ประการ

เหมอื นการหวา่ นพชื ลงในพน้ื ดนิ  ดงั มปี รากฏอยใู่ นองั คตุ ตรนกิ าย  พระสุตตนั ตปิฎก ดังต่อไปนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พืชท่ีบุคคลหว่านลงในนาอันประกอบ  ดว้ ยองค ์ ๘ ประการ ยอ่ มมผี ลมาก มคี วามดใี จมาก มคี วามเจรญิ   มาก นาประกอบด้วยองค ์ ๘ ประการเป็นไฉน ๑. ดกู ่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย นาในโลกทไี่ มเ่ ปน็ ทีล่ ุ่มๆ ดอนๆ   ๒. ไม่ปนหนิ ปนกรวด ๓. ไมเ่ ป็นดินท่ีเคม็ ๔. เปน็ ที่ไหลลงลกึ ได้ ๕. เป็นท่ีมที างน�้ำเข้าได้ ๖. เปน็ ทม่ี ที างน�้ำออกได้ ๗. เปน็ ทม่ี เี หมอื ง ๘. เป็นท่มี คี ันนา ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลหวา่ นพชื ลงในนาอนั ประกอบดว้ ย  องค ์ ๘ ประการนย้ี อ่ มมผี ลมาก มคี วามดใี จมาก มคี วามเจรญิ มาก และในสตู รเดยี วกนั น ี้ พระพทุ ธองคก์ ไ็ ดแ้ สดงถงึ บคุ คลทคี่ วร  จะไดร้ บั ไทยทานนน้ั  จะตอ้ งประกอบดว้ ยองค ์ ๘ ประการเชน่ กนั โดยกลา่ วว่า ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั นนั้ เหมอื นกนั  ทานทบี่ คุ คลในสมณ-  พราหมณผ์ ปู้ ระกอบดว้ ยองค ์ ๘ ประการ ยอ่ มมผี ลมาก มอี านสิ งส์  มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก สมณพราหมณ์  ผูป้ ระกอบด้วยองค์ ๘ ประการนัน้ เปน็ อย่างไร ๑. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สมณพราหมณใ์ นโลกนเ้ี ปน็ สมั มา-  สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 185

มง๑คล๕ข้อท่ี บำ� เพญ็ ทาน ทิฏฐิ (มคี วามเหน็ ถกู ต้อง) ๒. เป็นสัมมาสังกปั ปะ (ความคดิ ชอบถกู ตอ้ ง) ๓. เป็นสมั มาวาจา (มีคำ� พูดที่ดี) ๔. เปน็ สมั มากมั มนั ตะ (ท�ำการงานที่ปราศจากโทษ) ๕. เปน็ สมั มาอาชวี ะ (เลยี้ งชพี ในทางทถี่ กู  ไมห่ ลอกลวงเขา  เล้ยี งชีพ) ๖. เปน็ สมั มาวายามะ (มคี วามเพยี รทถ่ี กู ตอ้ งในการละกเิ ลส) ๗. เป็นสมั มาสต ิ (มคี วามระลกึ ท่ีดี) ๘. เปน็ สมั มาสมาธ ิ (มคี วามตง้ั มนั่ ในจติ ใจทดี่  ี ประกอบดว้ ย กศุ ล) พืชอันหว่านลงในนาท่ีสมบูรณ์ เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล  ธญั ชาตยิ อ่ มงอกงาม ไมม่ ศี ตั รพู ชื ยอ่ มแตกงอกงามถงึ ความไพบลู ย ์ ให้ผลเต็มที่ฉันใด โภชนะท่ีบุคคลถวายในสมณพราหมณ์ผู้มีศีล  สมบูรณ์ก็ฉันนั้น ย่อมน�ำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์เพราะกรรมที่เขา  ทำ� นน้ั สมบรู ณแ์ ลว้  เพราะฉะนนั้ บคุ คลในโลกน ี้ ผหู้ วงั กศุ ลสมั ปทา  จะเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ ์ ปุญญสัมปทาย่อมส�ำเร็จได้ดังน้ี ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและ  จารณะในจิตสัมปทาแล้ว กระท�ำกรรมให้บริบูรณ์ย่อมได้ผล  สมบรู ณ ์ รโู้ ลกนตี้ ามความเปน็ จรงิ  พงึ ถงึ ทฏิ ฐสิ มั ปทา อาศยั มรรค  สมั ปทา มใี จบรบิ รู ณ ์ ยอ่ มบรรลอุ รหตั ตผลเพราะกำ� จดั มลทนิ ทง้ั ปวง  ไดแ้ ลว้  บรรลนุ พิ พานสมั ปทาไดแ้ ลว้  ยอ่ มหลดุ พน้ จากทกุ ขท์ งั้ ปวง  นน้ั  จดั เป็นสรรพสมั ปทา หลกั ของการเลอื กใหท้ านดงั ทก่ี ลา่ วมาน ้ี เรากจ็ ะเหน็ ไดแ้ ลว้   186 มงคล ๓๘ ประการ

ว่า เราควรจะท�ำทานอย่างไรและควรท่ีจะแสวงหาบุญอย่างไร  การทท่ี ่านสอนให้เราบรจิ าคทานน้ ี ไม่ไดม้ ีความมงุ่ หวังที่จะให้เรา  อุดหนุนวัด หรือให้เล้ียงพระ หรือทำ� ให้พระร�่ำรวย จุดมุ่งหมายก ็ เพ่ือท่ีจะขจัดความเห็นแก่ตัวให้หลุดออกไปจากใจของเราเท่าน้ัน  เพื่อจะท�ำให้ใจของเราสูงข้ึน จุดมุ่งหมายอยู่ตรงนี่ ส่วนข้อท่ีเม่ือ  เราบรจิ าคทานแลว้  ทางวดั เจรญิ ขน้ึ นน้ั กอ็ กี เรอื่ งหนง่ึ ตา่ งหาก เปน็   ผลพลอยได ้ ยกตวั อยา่ งเชน่  ถา้ พอ่ แมเ่ ราสอนใหเ้ ราซกั เสอ้ื ผา้  เพอื่   ทจ่ี ะใหเ้ ราไดใ้ ชเ้ สอ้ื ผา้ ทส่ี ะอาด แตเ่ มอ่ื เราซกั เสอ้ื ผา้  เรากจ็ ะตอ้ งใช ้ ผงซกั ฟอกหรอื สบมู่ าซกั  แลว้ เลยท�ำใหบ้ รษิ ทั ผงซกั ฟอกหรอื สบมู่  ี กำ� ไรเจรญิ กา้ วหนา้  นน่ั กเ็ ปน็ เรอ่ื งหนง่ึ  แตจ่ ดุ มงุ่ หมายทแี่ ทจ้ รงิ ของ  เราอยู่ที่ต้องการไล่สิ่งสกปรกออกจากเส้ือผ้าเท่านั้น การบริจาค  ทานกเ็ ชน่ กนั  มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ทจ่ี ะทำ� ใหใ้ จของเราสะอาดและสงู   ขึน้  ขับไลค่ วามเห็นแก่ตวั ออกไปจากสันดาน ทานทจ่ี ะใหน้ น้ั ทา่ นแบง่ ออกเปน็  ๒ ประเภทใหญๆ่  คอื  วตั ถ ุ ทาน และธรรมทาน การที่เราให้เส้ือผ้า เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย  ยารกั ษาโรค ตลอดจนดอกไมธ้ ปู เทยี นนนั้ จดั เปน็ วตั ถทุ าน สว่ นการ  ให้ค�ำส่ังสอน การสร้างหนังสือถวายเพื่อให้พระภิกษุสามเณรเล่า  เรยี น หรอื การทเ่ี ราแนะนำ� ใหเ้ ขาประพฤตปิ ฏบิ ตั ชิ อบ ใหค้ วามเหน็   ที่ถูกต้อง ทั้งแนะน�ำและช้ีทางสวรรค์ให้ อีกอย่างหนึ่งที่อยู่ใน  ประเภทธรรมทานนเี้ หมอื นกนั เรยี กวา่  อภยั ทาน ซง่ึ หมายถงึ การที่  เราให้อภัยซ่ึงกันและกัน ไม่อาฆาตจองเวรกันและกัน เพราะการ  จองเวรซ่ึงกันและกันนั้นไม่ใช่ทางแห่งความสุข ท่านจึงได้สอนให้  เราอภยั ซึง่ กันและกัน เราเรยี กว่า อภยั ทาน สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 187

มง๑คล๕ขอ้ ท่ี บำ� เพ็ญทาน ทานสองประเภท การท�ำทานในพระพุทธศาสนา นอกจากสองประเภท  ดังกล่าวแล้ว ยังแบ่งออกจากสองประเภทน้ันออกเป็นอีกสอง  ประเภทใหญ ่ คอื  ปาฏปิ คุ คลกิ ทาน แปลวา่ การใหท้ านโดยจ�ำเพาะ  เจาะจงบคุ คล และสงั ฆทาน แปลวา่  การใหท้ านถวายเปน็ สงฆห์ รอื   ทานทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ กส่ าธารณะทวั่ ไป เชน่  การสรา้ งโรงเรยี น โรง-  พยาบาลอุทิศเป็นสาธารณะ ในทานท้ังสองอย่างนี้ พระพุทธเจ้า  ไดท้ รงสรรเสรญิ  “สงั ฆทาน” วา่ เปน็ ทานทม่ี อี านสิ งส ์ และมผี ลมาก  กว่าปาฏิปุคคลกิ ทาน คอื ทานท่จี �ำเพาะเจาะจง ท�ำไมสังฆทานจึงมีผลมากกว่าปาฏิปุคคลิกทาน การท่ ี พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงสรรเสรญิ  สงั ฆทาน วา่ มผี ลมากกวา่ ทานขา้ งตน้   เพราะว่าพระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า การท่ีพระพุทธศาสนาจะ  อยู่ได้นั้นก็ต้องอาศัยพระสงฆ์เป็นผู้ด�ำรงไว้ และบุคคลนั้นมีอายุ  เพียงเล็กน้อย คร้ันเม่ือบุคคลล่วงลับไปแล้วก็จะท�ำให้ผู้ท่ีติดอยู่  ในบุคคลจะไม่ทำ� นุบ�ำรุงสงฆ์ และพระสงฆ์ก็ต้องเป็นผู้ท่ีเล่าเรียน  ทรงจำ� พระพทุ ธวจนะ การทเ่ี ราใหค้ วามอปุ ถมั ภแ์ กท่ า่ นกเ็ ปน็ การ  อปุ ถมั ภแ์ ก่ศาสนาดว้ ย อน่ึง ถ้าเราจะมาพิจารณาเราจะเห็นได้ว่า การบริจาคทาน  ของเรานั้นก็เพื่อที่จะมุ่งความบริสุทธ์ิของจิตใจเป็นส�ำคัญ การที่  เราบริจาคเป็นสังฆทานน้ัน เป็นการขจัดความเห็นแก่ตัว เห็นแก ่ พวกพ้องอันจะก่อให้เกิดอคติแก่ตัวเองและบุคคลท่ีเรามีความรัก  188 มงคล ๓๘ ประการ

ความชงั โดยสนิ้ เชงิ  และเมอื่ เราจะนมิ นตพ์ ระในวดั  กข็ อใหน้ มิ นต์  เป็นกลางๆ แล้วแต่สมภารจะจัดมาให้ แล้วเมื่อท่านจัดมาแล้ว  ก็จะต้องพอใจ จะดีใจเป็นพิเศษว่าเราได้พระท่ีคุ้นเคยกัน หรือจะ  เสียใจว่าเราได้พระท่ีไม่ชอบใจกันมา ได้พระใหม่มา อย่างน้ีไม่ได้  ผู้ให้ทานต้องนึกว่าเราท�ำทานอุทิศต่อพระสงฆ์ในศาสนา การให้  ทานแบบสังฆทานน้ีถือว่าเป็นทานที่มีผลสูงสุด เพราะผู้ให้ตัด  เจตนาเห็นแก่ตัวออกโดยส้ินเชิง ตรงกับวัตถุประสงค์ของการให ้ ทานอยา่ งแท้จรงิ ใครจ่ ะขอกลา่ ววธิ ที �ำสงั ฆทานในทนี่ ใี้ หเ้ ขา้ ใจเสยี กอ่ น เพราะ  ว่าได้เห็นชาวพุทธท�ำสังฆทานแบบผิดๆ มามาก โดยมากมักจะ  ไม่มีความเข้าใจในเรื่องน้ี ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างน้ีแล้ว ทานที่เราทำ�   ไปบางทีก็จะเป็นปาฏิปุคคลิกทานไป ตัวอย่างเช่น บางท่านจะท�ำ  สงั ฆทาน แตเ่ วลาไปนมิ นตก์ ลบั ไปเลอื กเอาพระทเี่ รารจู้ กั มกั คนุ้ กนั   แล้วบอกว่านิมนต์ท่านมารับสังฆทาน หรือว่านิมนต์พระองค์น้ัน  องคน์ ม้ี ารบั สงั ฆทาน อยา่ งนน้ั ไมถ่ กู ตอ้ งตามหลกั ทท่ี า่ นวางไว ้ ฉะนนั้   จึงต้องท�ำให้ถูกต้องตามท่ีกล่าวแล้วว่า เราจะต้องนิมนต์ไว้เป็น  กลาง แลว้ แตท่ า่ นผเู้ ปน็ หวั หนา้ จะจดั มาให ้ อยา่ งนจี้ งึ เปน็ สงั ฆทาน มงคลหรือความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิตในข้อน้ี การให้ทาน  เปน็ การทำ� ใจของตนใหส้ ะอาด และความสะอาดของจติ ใจนนั้ เปน็   ปจั จยั ทจี่ ะท�ำใหผ้ ทู้ �ำนนั้ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้  เปน็ ทเี่ คารพรกั ใคร ่ ของคนทวั่ ไป ทา่ นลองนกึ เอาเองกแ็ ลว้ กนั  สมมตุ วิ า่ มคี นอยสู่ องคน  คือคนใจบุญกับคนท่ีใจบาปหยาบช้า ท่านเองควรท่ีจะรักใคร  มากกว่า ท่านอยากมีเพอื่ นใจบุญ หรือใจบาป สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 189

มง๑คล๕ข้อที่ บำ� เพญ็ ทาน พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงตรสั ผลของการใหท้ านและอานสิ งสข์ อง  การใหท้ านไวใ้ น อังคตุ ตรนิกาย ปญั จกนบิ าตว่า “นรชนผไู้ มต่ ระหนใ่ี หท้ าน ยอ่ มเปน็ ทรี่ กั ของชนเปน็ อนั มาก  ชนเปน็ อนั มากไดค้ บหานรชนนน้ั  นรชนนนั้ ยอ่ มไดเ้ กยี รตมิ ยี ศเจรญิ   เปน็ ผไู้ มเ่ กอ้ เขนิ  แกลว้ กลา้ ในทป่ี ระชมุ  เพราะเหตฉุ ะนแี้ ล บณั ฑติ   ผู้มีความสุข จงขจัดมลทินคือความตระหน่ีแล้วให้ทาน บัณฑิต  เหลา่ นนั้ ยอ่ มประดษิ ฐานในไตรทพิ ย ์ ถงึ ความเปน็ สหายของเทวดา  ร่าเริงอยู่ตลอดกาลนาน บัณฑิตเหล่าน้ันได้ท�ำส่ิงที่มุ่งหวัง ได้ท�ำ  กุศลแลว้ จตุ ิจากโลกแลว้  ย่อมมรี ศั มีเปลง่ ปล่งั  เท่ียวชมในอทุ ยาน  ชอื่ นนั ทวนั  สาวกทั้งปวงของพระสุคตผู้ไม่มีกิเลส ผู้คงท่ี ท�ำตาม  พระดำ� รัสของพระองค์แล้ว ยอ่ มรา่ เริงทุกเมื่อ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย อานิสงส์ของการให้ทาน ๕ ประการน้ี  เป็นไฉน ๑. พหุโน ชนสฺส ปิโย โหต ิ ผู้ให้ทานย่อมเป็นท่ีรักที่ชอบใจ  ของคนหมูม่ าก ๒. มนาโป สนโฺ ต สปปฺ รุ สิ า ภชนตฺ  ิ สปั บรุ ษุ ผสู้ งบยอ่ มคบหา  ผูใ้ หท้ าน ๓. กลยฺ าโณ กติ ตสิ ทโฺ ท อพภฺ คุ คจฉฺ ติ กติ ตศิ พั ทอ์ นั งามของ  ผู้ให้ทานย่อมขจรท่วั ไป ๔. คิหิธมฺมา อนปคโต โหติ ผู้ให้ทานย่อมไม่ห่างเหินจาก  ธรรมของคฤหัสถ์ ๕. กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคติ สคฺคํ โลกํ อุปฺปชฺชติ  ผู้ใหท้ านเมอื่ ตายแล้ว ย่อมเข้าถึงสคุ ติโลกสวรรค์ 190 มงคล ๓๘ ประการ

ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักแก่ชนเป็นอันมาก ชื่อว่าดำ� เนินตาม  กรรมของสปั บรุ ษุ  สปั บรุ ษุ ผสู้ งบผสู้ ำ� รวมอนิ ทรยี  ์ ผปู้ ระกอบพรหม-  จรรยย์ อ่ มคบหาผใู้ หท้ านทกุ เมอื่  สปั บรุ ษุ เหลา่ นน้ั ยอ่ มแสดงธรรม  เปน็ ทบี่ รรเทาทกุ ขท์ ง้ั ปวงแกเ่ ขา เขาทราบไดช้ ดั แลว้  ยอ่ มเปน็ ผหู้ า  อาสวะมไิ ดป้ รนิ พิ พานในโลกนี้ สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 191

มงคล ๑๖ขอ้ ท่ี ธมฺมจริยา จ (ประพฤติธรรม) ในมงคลข้อนี้ ท่านสอนให้ประพฤติธรรมว่าเป็นมงคลคือ  ความเจริญ เม่ือพูดถึงธรรมแล้วบางคนอาจจะคิดลึกออกไปถึง  ภาวะท่ีละเอียด จะต้องดูด้วยวิปัสสนาจึงจะเห็น หรือแบกกลด  เข้าป่าน่ังดูกันอย่างจริงจังจึงจะพบธรรม ดังน้ันเพ่ือความเข้าใจ  กอ่ นทเี่ ราจะไดศ้ กึ ษามงคลขอ้ น ้ี เรากจ็ ะไดม้ าศกึ ษาถงึ คำ� วา่  ธรรม  เสยี ก่อน เรื่องของธรรมนั้น เป็นเร่ืองท่ีมีความหมายกว้างขวางมาก  และมคี วามหมายอยหู่ ลายนยั  แลว้ แตเ่ ราจะน�ำเอามา แตเ่ พอ่ื ทจี่ ะ  ใหค้ วามเขา้ ใจ และไมเ่ กดิ ความฟน่ั เฝอื เกย่ี วกบั ธรรม ในทนี่  ี้ จะให ้ 192 มงคล ๓๘ ประการ

ความหมายของธรรม ส�ำหรับมงคลในข้อนี้เพ่ือให้เข้าใจชัด จึงจะ  ตอ้ งเอาสภาพตรงกนั ขา้ มมาเปรยี บเทยี บกนั  คำ� ตรงกนั ขา้ มกบั คอื   อธรรม ความถกู  ความดีทงั้ สน้ิ  รวมเรียกวา่  ธรรม ความผดิ  ความเสยี ทัง้ ส้ิน รวมเรียกวา่  อธรรม ทั้งนี้หมายถึงเรื่องความประพฤติ หรือการกระท�ำของคน  เท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงอย่างอ่ืน  เม่ือกล่าวอย่างน้ีแล้ว บาง  ท่านอาจจะนึกสงสัยว่า ความหมายของธรรมเพียงเท่านี้แล้วค�ำ  สอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่มากมายไม่เรียกว่าธรรมหรือ ข้อน้ีขอ  ตอบวา่  เรยี กวา่ ธรรมเหมือนกนั  แตว่ า่ เปน็ หวั ขอ้ ธรรม ทวี่ ่าหวั ขอ้   ธรรมนน้ั หมายความวา่  หวั ข้อซ่ึงเปน็ ความถูก ความดี ส่วนธรรม  ในท่ีน้ีหมายถึงว่าท�ำอย่างไรจึงจะเป็นความถูก ความดี มีความ  หมายอย่างนี้ ฉะนั้นความหมายของธรรมหรือธรรมะ หมายถึง  ความถูกกับความดี ใครจะท�ำอะไรก็ตาม ถ้าท�ำให้ถูกให้ดีแล้วก็  เปน็ การปฏิบตั ิธรรม เมอ่ื ถงึ ปญั หาขอ้ นกี้ เ็ ปน็ เรอื่ งทจ่ี ะตอ้ งคดิ อกี เหมอื นกนั วา่  เรา  จะเอาอะไรเป็นเคร่ืองตัดสินความถูก ความดี ท้ังน้ีเพราะว่าการ  ตดั สนิ ใจของคนเรานน้ั  ยอ่ มเปน็ ไปตามอำ� นาจความเหน็ ของแตล่ ะ  บคุ คล ซง่ึ ความเหน็ น ี้ ในทางศาสนาเรยี กวา่  อธปิ ไตย ทา่ นจำ� แนก  ออกเป็น ๓ คอื ๑. อตั ตาธิปไตย ความเห็นของตนเอง  ๒. โลกาธิปไตย ความเหน็ ของคนอื่น ๓. ธรรมาธปิ ไตย ความเหน็ ตามธรรม คอื  ตามเหตผุ ล สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 193

มง๑คล๖ข้อที่ ประพฤตธิ รรม อตั ตาธปิ ไตย หลกั การขอ้ น ี้ ถอื เอาความถกู ความผดิ  ดว้ ยความชอบใจของ  ตวั เองเปน็ ใหญ ่ ถา้ อะไรตวั เองชอบใจหรอื วา่ ด ี กเ็ ปน็ ความด ี ถา้ สง่ิ   ใดที่เราไมช่ อบใจ แมค้ นทั้งเมืองเขาชอบกันกว็ า่ ของเขาไมด่ ี การตัดสินความถูกผิดในท�ำนองน้ี เข้าในลักษณะที่ว่าเป็น  ตัวของตัวเองก็ดีเหมือนกัน แต่นั่นต้องหมายความว่าเราจะต้อง  เปน็ คนมจี ติ ใจดพี อตวั เสยี กอ่ น คนทรี่ กั ดแี ละรตู้ วั วา่ ดอี ยแู่ ลว้  และ  ความชอบใจน้ันคงเส้นคงวาอยู่ในทางที่ดีแน่นอน คงตัดสินความ  ถกู ผดิ ดว้ ยความชอบใจของตนเองได ้ แตส่ ำ� หรบั คนทพี่ นื้ จติ ใจยงั ไม่  ดพี อ คอื ยงั ไมร่ กั ความดแี ท ้ ถา้ เปน็ อยา่ งนแี้ ลว้ การตดั สนิ ความถกู   ความผดิ กเ็ ปน็ เรอื่ งทเี่ สยี่ งอนั ตราย การทปี่ ระพฤตธิ รรมดว้ ยความ  ชอบใจของตัวเองน้ัน ไม่ใช่ความประพฤติธรรมเสมอไป ไม่ใช่ท�ำ  ตามกรรม  แต่ท�ำตามใจตัวเอง ไม่ใช่นับถือธรรม นับถือตัวเอง  ไมใ่ ชเ่ คารพธรรม เคารพตวั เอง คนทเี่ ดนิ ตามตวั เองนน้ั จะไปไดไ้ กล  ท่สี ุดก็ได้แตต่ ามตวั เองเท่าน้ัน โลกาธิปไตย การตัดสินใจแบบนี้เป็นการตัดสินใจโดยเอาความเห็นข้าง  มากของคนอนื่ เปน็ ประมาณ คอื  หมายความวา่ ตามใจเขา เขาวา่ ดี  194 มงคล ๓๘ ประการ

เรากด็ ดี ว้ ย เขาวา่ ไมด่ เี รากไ็ มด่ ดี ว้ ย ซงึ่ ความจรงิ แลว้ การถอื ตามน ี้ กไ็ มผ่ ดิ กบั การถอื อตั ตาธปิ ไตย เพราะวา่ ตา่ งคนตา่ งกถ็ อื เอาความ  เห็นของตัวด้วยกันทั้งส้ิน เม่ือความเห็นมันตรงกันแล้วก็ถือว่าถูก  ผลที่ได้รับก็คงจะพอๆ กัน ดีอยู่หน่อยก็ตรงที่ว่ารับความเห็นของ  คนอนื่ ดว้ ย หลายคนหลายความคดิ รวมกนั เขา้  กอ็ าจจะท�ำใหก้ าร  ตัดสินใจดีกว่าความคิดล�ำพังคนเดียว แต่การที่ตามใจคนอื่นนั้น  เปน็ เรอื่ งทไี่ มส่ น้ิ สดุ  ทงั้ นเี้ พราะวา่ หลายคนกห็ ลายความคดิ  ไมร่ จู้ กั   สน้ิ สดุ  คนทไ่ี มช่ อบใจเรากจ็ ะวา่ รา้ ยตฉิ นิ นนิ ทา ถา้ เขาด ี เรากด็ ดี ว้ ย  ถา้ เขารา้ ยเรากร็ า้ ยดว้ ย ดไี มด่ กี จ็ ะพาเราเขา้ รกเขา้ พงไปเทา่ นน้ั  ซงึ่   ในปจั จุบันน้เี รากพ็ อท่ีจะหาดูเป็นตวั อยา่ งไดไ้ ม่ยาก เรอ่ื งการถอื เสยี งขา้ งมากเปน็ เกณฑน์ น้ั  ทางพระพทุ ธศาสนา  ก็สนับสนุน ตัวอย่างเช่น ทรงแนะน�ำและบัญญัติให้สงฆ์ประชุม  ท�ำสังฆกรรม และทรงสอนให้ชาวพุทธหม่ันประชุมกัน ให้เคารพ  ที่ประชุมตามนัยอปริหานิยธรรมเป็นต้น แต่ในทางปฏิบัติธรรม  พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ยึดเหตุผลท่ีถูกต้องเป็นเกณฑ์ ในการ  ฟังเสียงคนข้างมากนั้น จะต้องวิเคราะห์ลงไปอีกว่า คนพวกน้ัน  เปน็ ใคร คนประเภทไหน ดหี รอื เลว ถา้ คนไมด่ กี เ็ ปน็ อนั วา่ ใชไ้ มไ่ ด้  ฉะน้ันจึงใคร่ขอเตือนชาวพุทธไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการที่เรามัก  จะหลงเสยี งเล่าลือ เปน็ ตน้ ว่าอยา่ งน้นั อย่างนี้ด ี วิเศษ ก็จะตอ้ งใช ้ เหตผุ ลเขา้ พจิ ารณาเสยี กอ่ นจะไดไ้ มเ่ ปน็ คนงมงาย ตนื่ ผวู้ เิ ศษตาม  เขา ซงึ่ เปน็ การผดิ วิสยั ของชาวพุทธ สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 195

มง๑คล๖ข้อที่ ประพฤติธรรม ธรรมาธปิ ไตย คอื หลกั การใชเ้ หตผุ ลเปน็ การวนิ จิ ฉยั  ไมไ่ ดค้ ดิ อะไรดว้ ยความ  งมงาย ซง่ึ การคดิ โดยใชเ้ หตผุ ลนน้ั  ทา่ นใหย้ ดึ เอาหลกั ศาสนาเปน็   หลกั เกณฑ ์ พระพทุ ธเจา้ ของเรานน้ั ไดร้ บั การยกยอ่ งจากนกั ปราชญ ์ ทว่ั โลกเปน็ เวลานบั พนั ปมี าแลว้  วา่ พระองคน์ น้ั ทรงคณุ ลกั ษณะ ๓  อยา่ ง คอื ทรงปญั ญารยู้ งิ่ เหน็ จรงิ  ทรงมนี ำ้� พระทยั บรสิ ทุ ธ ิ์ และทรง  หวังดีต่อมหาชนจริง ดังนั้นค�ำสั่งสอนของพระพุทธองค์จึงเป็น  ค�ำสั่งสอนท่ีเช่ือถือได้ เช่น พระองค์ตรัสว่าการทำ� อย่างนี้เสีย เรา  ลองไปท�ำเขา้ กเ็ สยี จรงิ ๆ ถา้ พระองคต์ รสั วา่ สงิ่ นด้ี  ี ใครท�ำไปแลว้ ก็  จะได้รับผลดีจริงๆ การท่ีเรายึดเอาค�ำสอนของท่านเป็นหลักแล้ว  ย่อมเปน็ ทางปลอดภยั ท่สี ุด ตามมงคลขอ้ น ี้ ทา่ นสอนใหเ้ ราประพฤตธิ รรม การประพฤติ  ธรรมนั้นเราจะท�ำอย่างไร ประการแรกทีเดียวน้ันเราจะต้อง  ประพฤตเิ ปน็ ธรรม ทวี่ า่ ประพฤตเิ ปน็ ธรรมนน้ั  หมายความวา่ ปรบั   ความประพฤติของตนเองเข้าหาธรรม ใครมีหน้าท่ีท�ำงานอะไร  และมีอาชีพอย่างไรอยู่แล้ว ก็ท�ำงานอย่างนั้นอย่างดีท่ีสุดให้ถูก  และดยี งิ่ ขน้ึ  เชน่ การคา้ ขายกค็ า้ ขายใหถ้ กู ใหด้  ี เปน็ ขา้ ราชการกท็ �ำ  ราชการให้ถูกให้ดี และไม่ว่าจะท�ำอะไรก็ตามก็ต้องท�ำให้ถูกให้ดี  อยา่ ท�ำงานนัน้ ใหผ้ ิดให้เสีย อยา่ งนีเ้ รียกว่าประพฤตเิ ปน็ ธรรม ประการท่ีสองเรียกว่าประพฤติตามธรรม หมายความว่า  การเปลี่ยนแปลงตัวเองจากธรรมดาสามัญ แล้วอบรมตัวเองตาม  196 มงคล ๓๘ ประการ

แนวทางของธรรม สงู ขนึ้ ประณตี ขน้ึ ตามลำ� ดบั  เชน่ เราเคยทำ� อาชพี   บางอยา่ งทผี่ ดิ ธรรม หรอื เปน็ ทนี่ า่ รงั เกยี จของผปู้ ระพฤตธิ รรม เรา  กเ็ ลกิ เสยี หาทางทำ� มาหากนิ ใหม ่ ไมเ่ คยรกั ษาศลี  กฝ็ กึ รกั ษาศลี  ไม่  เคยเจรญิ ภาวนา ไหวพ้ ระสวดมนต ์ เรากห็ ดั เจรญิ ภาวนา ไหวพ้ ระ  สวดมนต ์ ฯลฯ การทที่ �ำตามอย่างน ้ี เรยี กว่าประพฤติตามธรรม ในบางแหง่ ทา่ นไดใ้ หอ้ รรถาธบิ ายวา่  การประพฤตธิ รรมจรยิ า  คอื  เวน้ จากอกศุ ลกรรมบถ ตง้ั อยใู่ นกศุ ลกรรมบถ ทนี เี้ รากต็ อ้ งมา  ตรวจดูการประพฤติธรรมของเราว่า เราควรท่ีจะประพฤติธรรม  แบบไหน การปฏิบัติธรรมท่ีถูกต้องท่ีพระพุทธองค์ทรงชมเชยนั้น  เราจะตอ้ งยดึ หลกั ไว ้ ๒ ขอ้  คอื ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัตดิ ี ๒. อชุ ุปฏปิ นโฺ น เปน็ ผ้ปู ฏิบตั ิตรง ประการแรก การปฏบิ ตั ดิ  ี เรอื่ งของการปฏบิ ตั ดิ นี น้ั เปน็ เรอื่ ง  ทอี่ ธบิ ายยาก วา่ ปฏบิ ตั ดิ นี นั้ ท�ำอยา่ งไร กอ่ นอน่ื เรากจ็ ะตอ้ งเขา้ ใจ  เสยี กอ่ นวา่  ความดนี น้ั มอี ยสู่ องชนั้  คอื ดที งี่ าน กบั  ดที ที่ ำ�  อยา่ งเชน่   การศกึ ษาเลา่ เรยี น การรกั ษาศลี  การฟงั ธรรม การท�ำบญุ  เหลา่ น ี้ เปน็ งานทดี่ ที งั้ นนั้  ใครทำ� คนนนั้ กไ็ ดช้ อ่ื วา่ เปน็ คนมเี กยี รต ิ นเ่ี รยี กวา่   ดีช้ันที่หน่ึง ดีที่งาน ทีนี้บรรดาคนทำ� งานเหล่านี้ก็มีอยู่หลายพวก  อยา่ งเชน่ คนเรยี นหนงั สอื  บางทกี ส็ กั แตว่ า่ เรยี นเทา่ นนั้  หรอื วา่ การ  รักษาศีลก็สกั แต่ว่ารักษาเทา่ นั้น การฟังธรรมก็สักแต่ว่าฟังเท่าน้ัน การท�ำบุญก็สักแต่ว่าท�ำ  เทา่ นนั้  ดงั นนั้ พวกทเ่ี ปน็ สปุ ฏปิ นั โนนน้ั จะตอ้ งท�ำดสี องชน้ั  คอื งาน  ดีและท�ำดี สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 197

มง๑คล๖ขอ้ ที่ ประพฤติธรรม การท�ำความดีท่ีจะให้ได้รับผลนั้น จะต้องท�ำแบบสุปฏิบัต ิ คอื ทำ� ดใี หด้  ี เรอื่ งการทำ� ดใี หด้ นี นั้  กจ็ ะขอยกตวั อยา่ งทเี่ ราเหน็ กนั   อยู่อย่างดาษดื่น ทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวง โดยเฉพาะ  อย่างยิ่งในชนบทมีมากเป็นพิเศษ ทั้งน้ีเพราะเราไม่เข้าใจว่าท�ำ  อย่างไรจึงจะได้ดี ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ซึ่งเร่ืองนี้ข้าพเจ้าได้พบ  มาและเป็นปัญหาอยู่บ่อยๆ คือเรื่องของการบวชพระ ทอดกฐิน  เจตนาเหล่าน้ีเป็นไปในทางดีท้ังนั้น แต่เวลาท�ำเกิดมีการเลี้ยง  เหล้ายาปลาปิ้งกันอย่างเอิกเกริก คร้ันเมื่อกินเหล้าเข้าไปแล้วก็ม ี ความเมามาย เกดิ การทะเลาะววิ าทกนั  บางทกี ฆ็ า่ เจา้ ภาพตายกม็ ี หรอื การไปทอดกฐนิ ตา่ งจงั หวดั กเ็ ตม็ ไปดว้ ยความประมาท รถคว�่ำ ตายกม็ มี าก นเี่ ปน็ เพราะทำ� ดไี มด่  ี แลว้ มาโทษวา่ ทำ� ดแี ทบตายแลว้   ไม่ได้ดี ซ�้ำแล้วยังมีความทุกข์เสียอีก บางรายจะบวชลูกท้ังท่ีไม่มี  เงนิ  หรอื มเี งนิ ไมเ่ พยี งพอ กก็ เู้ ขามาเพอื่ บวชลกู  โดยมงี านมหรสพ  อยา่ งเอกิ เกรกิ  เลยี้ งเหลา้ เลย้ี งคนหมดไปเปน็ เรอื นหมน่ื  แตท่ ำ� บญุ   จรงิ แลว้ ไมถ่ งึ พนั บาท เสรจ็ แลว้ มานงั่ ทกุ ขจ์ ะตอ้ งใชห้ นเ้ี ขา อยา่ งนี้  เรียกว่าท�ำดีไม่ถูกดี แล้วเราก็มาโทษว่าค�ำสอนของพระท่ีว่าท�ำด ี ได้ดีน้ันไม่จริง ขอได้โปรดพิจารณาดูเอาเถิดว่าท่ีทำ� ดีน่ัน ท่านท�ำ  ดีให้เสีย หรือว่าท�ำดีให้ดี แบบการท�ำดีที่ถูกน้ัน ก็คือ ท�ำดีให้ดี  อยา่ งนจี้ งึ จะมผี ลดี ประการท่ีสอง อุชุปฏิบัติ ค�ำว่าอุชุปฏิบัติน้ัน หมายถึงการ  ปฏิบัติให้ตรง คือ ตรงต่อที่หมาย ตรงต่อหลักวิชา ตรงต่อบุคคล  อนื่  ทว่ี า่ ตรงตอ่ ทห่ี มายนน้ั  คอื เราประพฤตธิ รรมเพอ่ื อะไร จะมงุ่ ส่ ู จดุ ไหน เชน่ อยา่ งเราบวชพระ จดุ มงุ่ อยทู่ ก่ี ารประพฤตพิ รหมจรรย์  198 มงคล ๓๘ ประการ

เพอ่ื บรรลมุ รรคผล จดุ มงุ่ หมายอยทู่ นี่ น่ั  ครน้ั เราบวชแลว้ กต็ อ้ งทำ�   ทกุ ส่ิงทุกอยา่ งเพื่อสง่ิ น้ัน  ตรงตอ่ หลกั วชิ านน้ั  คอื ยดึ หลกั ธรรมเปน็ ใหญ ่ ดงึ ตวั เราเขา้ หา  ธรรม ไมใ่ ชด่ งึ ธรรมมาหาเรา การทคี่ นพยายามทจ่ี ะอธบิ ายธรรม  ใหเ้ อนเอยี งมาเพื่อให้เขา้ กับการปฏบิ ตั ิของตนนน้ั  เปน็ การไม่ตรง  ตอ่ หลกั วชิ า ถึงท�ำได้กจ็ ะไม่ไดผ้ ลดีแก่ตัวเอง การปฏบิ ัติทต่ี รงตอ่   หลกั วชิ าจงึ จะได้ผล ตรงตอ่ คนอนื่  กห็ มายความวา่  เราตอ้ งปฏบิ ตั ธิ รรมแบบไมม่  ี เจ้าเล่ห์มารยา ไม่ท�ำเพ่ือเรียกร้องเอาผลประโยชน์แก่ผู้อ่ืน การ  กระทำ� ทม่ี เี ลห่ เ์ หลย่ี มเพอื่ หวงั ประโยชนแ์ กผ่ อู้ นื่ นน้ั  ไมใ่ ชอ่ ชุ ปุ ฏบิ ตั ิ เม่ือเราได้ปฏิบัติธรรมตามหลักท่ีท่านได้วางเอาไว้ ดังท่ีได้  อธิบายมานี้ ย่อมเป็นมงคลแก่ตัวเองและผู้อื่น ท�ำงานของเราให้  ก้าวหน้า เพราะการทำ� งานทุกอย่างต้องการความถูกและความด ี เป็นส�ำคัญ การท่ีเราท�ำถูกและท�ำดีน่ันแหละจัดเป็นการปฏิบัต ิ ธรรมในมงคลขอ้ น้ี สิ ริ คุ ตฺ โ ต ภิ กฺ ขุ 199


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook