Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (ปฐมธรรม)

พุทธวจน (ปฐมธรรม)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-05-31 00:35:40

Description: พุทธวจน (ปฐมธรรม)

Keywords: พุทธวจน

Search

Read the Text Version

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 129 ๔๘ กุศลกรรมบถ ๑๐ จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อยา่ ง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อยา่ ง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่างนนั้ เป็นอย่างไรเล่า ? (๑)  บุคคลบางคนในกรณีนี้  ละการทำ�สัตว์ มีชีวิตให้ตกล่วง  เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางท่อนไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอาย ถงึ ความเอน็ ดกู รณุ าเกอ้ื กลู แก่ สตั วท์ ั้งหลายอย.ู่ (๒)  ละการถือเอาส่ิงของท่ีเจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้  ไม่ถือเอา ทรพั ยแ์ ละอปุ กรณแ์ หง่ ทรพั ยอ์ นั เจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ในบา้ นกด็ ี ในป่ากด็ ี ด้วยอาการแห่งขโมย. (๓)  ละการประพฤติผิดในกาม  เว้นขาดจาก การประพฤตผิ ดิ ในกาม, (คอื เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ) ในหญงิ ซึ่งมารดารกั ษา บิดารักษา พ่นี ้องชาย พน่ี ้องหญิง หรอื

1301 พุทธวจน ญาตริ ักษา อนั ธรรมรกั ษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอย่ใู น สินไหม โดยที่สุดแมห้ ญงิ อนั เขาหม้นั ไว้ (ดว้ ยการคล้อง มาลยั ) ไมเ่ ป็นผู้ประพฤตผิ ดิ จารีตในรูปแบบเหลา่ น้นั . จนุ ทะ ! อย่างน้ีแล  เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จนุ ทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อยา่ ง นน้ั เป็นอยา่ งไรเลา่ ? (๑)  บคุ คลบางคนในกรณีนี้ ละมุสาวาท เว้น ขาดจากมุสาวาท  ไปสู่สภาก็ดี  ไปสู่บริษัทก็ดี  ไปสู่ ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี  ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสทู่ า่ มกลางราชสกลุ กด็ ี อันเขานำ�ไปเปน็ พยาน ถามว่า “บุรุษผูเ้ จรญิ ! ทา่ นรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนัน้ ” ดังน,ี้ บุรุษนน้ั เมือ่ ไมร่ ู้กก็ ล่าววา่ ไมร่ ู้ เม่อื รู้กก็ ล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น  เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตผุ ู้อ่นื หรือเพราะเหตุเหน็ แก่ อามสิ ไรๆ ก็ไมเ่ ป็น ผกู้ ลา่ วเท็จทั้งที่รูอ้ ย.ู่ (๒)  ละคำ�ส่อเสียด  เว้นขาดจากการส่อเสียด ไดฟ้ งั จากฝ่ายน้ีแล้วไมเ่ ก็บไปบอกฝา่ ยโน้น เพ่อื แตกจาก ฝา่ ยนี้ หรือได้ฟังจากฝา่ ยโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝา่ ยนี้

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 131 เพ่ือแตกจากฝ่ายโน้น  แต่จะสมานคนท่ีแตกกันแล้วให้ กลับพร้อมเพรียงกัน  อุดหนุนคนท่ีพร้อมเพรียงกันอยู่ ใหพ้ รอ้ มเพรยี งกนั ยง่ิ ขน้ึ   เปน็ คนชอบในการพรอ้ มเพรยี ง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง  เป็นคนพอใจในการ พร้อมเพรยี ง  กล่าวแตว่ าจาทท่ี ำ�ใหพ้ รอ้ มเพรยี งกนั . (๓)  ละการกล่าวคำ�หยาบเสีย  เว้นขาดจาก การกล่าวคำ�หยาบ  กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ  เสนาะโสต ให้เกิดความรัก  เป็นคำ�ฟูใจ  เป็นคำ�สุภาพท่ีชาวเมือง เขาพูดกัน  เป็นที่ใคร่ท่ีพอใจของมหาชน  กล่าวแต่วาจา เชน่ นัน้ อยู่. (๔)  ละค�ำ พดู เพอ้ เจอ้ เวน้ ขาดจากค�ำ พดู เพอ้ เจอ้ กลา่ วแต่ในเวลาอันสมควร กลา่ วแต่ค�ำ จรงิ เปน็ ประโยชน์ เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั กลา่ วแตว่ าจามที ต่ี ง้ั มหี ลกั ฐานทอ่ี า้ งองิ มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแกเ่ วลา. จุนทะ ! อยา่ งน้แี ล เปน็ ความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จนุ ทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อยา่ ง เปน็ อย่างไรเล่า ?

1332 พุทธวจน (๑)  บคุ คลบางคนในกรณีนี้ เปน็ ผู้ไม่มากดว้ ย อภชิ ฌา คือเปน็ ผูไ้ มโ่ ลภ เพ่งเล็งวตั ถอุ ุปกรณแ์ หง่ ทรพั ย์ ของผอู้ น่ื วา่ “สงิ่ ใดเป็นของผู้อ่ืน ส่งิ นนั้ จงเป็นของเรา” ดังน.ี้ (๒)  เป็นผไู้ มม่ ีจติ พยาบาท มคี วามดำ�ริแห่งใจ อันไม่ประทุษรา้ ยว่า “สัตวท์ ั้งหลาย จงเปน็ ผูไ้ มม่ เี วร ไมม่ ี ความเบียดเบียน ไมม่ ที ุกข์ มีสุข บรหิ ารตนอยูเ่ ถดิ ” ดังน้ี เปน็ ตน้ . (๓)  เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง  มีทัสสนะไม่ วิปรติ วา่ “ทานท่ีให้แล้ว มี (ผล), ยญั ท่ีบชู าแลว้ มี (ผล), การบชู าทบ่ี ชู าแลว้ มี (ผล), ผลวบิ ากแหง่ กรรมทส่ี ตั วท์ �ำ ดี ท�ำ ชว่ั ม,ี โลกอน่ื ม,ี มารดา ม,ี บดิ า ม,ี โอปปาตกิ สตั ว์ ม,ี สมณพราหมณ์ทีไ่ ปแล้วปฏิบตั แิ ล้วโดยชอบ ถงึ กบั กระทำ� ให้แจง้ โลกน้แี ละโลกอ่ืน ด้วยปญั ญาโดยชอบเอง แลว้ ประกาศใหผ้ ู้อ่ืนรู้ กม็ ี” ดงั น.ี้ จนุ ทะ ! อยา่ งนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จนุ ทะ ! เหลา่ นแ้ี ล เรยี กวา่ กศุ ลกรรมบถ ๑๐.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 133 จนุ ทะ ! บคุ คลประกอบดว้ ยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ ลุกจากทีน่ อนตามเวลาแหง่ ตนแลว้ แมจ้ ะ ลูบแผน่ ดิน กเ็ ปน็ คนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผน่ ดนิ กเ็ ป็น คนสะอาด; แมจ้ ะจับโคมัยสด กเ็ ปน็ คนสะอาด, แม้จะไม่ จับโคมัยสด ก็เปน็ คนสะอาด; แมจ้ ะจับหญ้าเขยี ว ก็เป็น คนสะอาด, แมจ้ ะไมจ่ บั หญา้ เขยี ว กเ็ ปน็ คนสะอาด; แม้ จะบ�ำ เรอไฟ กเ็ ปน็ คนสะอาด, แม้จะไมบ่ �ำ เรอไฟ กเ็ ป็น คนสะอาด; แม้จะไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้ จะไมไ่ หวพ้ ระอาทติ ย์ ก็เป็นคนสะอาด; แมจ้ ะลงน�ำ้ ใน เวลาเย็นเป็นครง้ั ทส่ี ามกเ็ ป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงนำ้�ใน เวลาเย็นเปน็ ครั้งท่ีสาม กเ็ ปน็ คนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตไุ ร ? จุนทะ ! เพราะเหตวุ า่ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ เหล่าน้ี  เป็นตัวความสะอาด  และเป็นเคร่ืองกระทำ� ความสะอาด. จุนทะ ! อน่ึง  เพราะมีการประกอบด้วย กุศลกรรมบถท้ัง  ๑๐  ประการเหล่านี้  เป็นเหตุ  พวกเทพจึงปรากฏ หรือว่าสคุ ติใดๆ แม้อืน่ อีก ยอ่ มมี. ทสก. อ.ํ ๒๔/๒๘๓-๒๘๙/๑๖๕.

1345 พุทธวจน

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 135 ๔๙ อานิสงส์ส�ำ หรบั ผทู้ ำ�ศีลใหบ้ รบิ ูรณ์ ภกิ ษุท้งั หลาย ! เธอท้ังหลาย  จงมีศีลสมบูรณ์ มีปาตโิ มกขส์ มบรู ณอ์ ยู่เถดิ พวกเธอทงั้ หลาย จงส�ำ รวม ดว้ ยปาตโิ มกขสงั วร สมบรู ณด์ ว้ ยมรรยาทและโคจรอยเู่ ถดิ   จงเป็นผู้เห็นเป็นภัยในโทษท้ังหลายที่มีประมาณน้อย สมาทานศกึ ษาในสิกขาบทท้ังหลายเถิด. ภิกษุท้งั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจ�ำ นงวา่   “เราพงึ เปน็ ทร่ี กั ที่เจริญใจ ท่เี คารพ ท่ียกย่อง ของเพือ่ นผูป้ ระพฤติ พรหมจรรย์ด้วยกันทั้งหลาย”  ดังน้ีแล้ว,  เธอพึงทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย  พึงตามประกอบในธรรมเป็น เคร่ืองสงบแห่งจิตในภายใน  เป็นผู้ไม่เหินห่างในฌาน, เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยวิปัสสนา  และให้วัตรแห่งผู้อยู่ สุญญาคารทง้ั หลาย เจรญิ งอกงามเถิด. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจ�ำ นงวา่   “เราพงึ เปน็ ผู้มลี าภดว้ ยบริขารคอื จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปจั จยั เภสัชบริขารท้งั หลาย” ดังนกี้ ็ด,ี ...ฯลฯ...

1376 พพุทุทธธววจจนน ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เรา บรโิ ภคจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจั จยั เภสชั - บรขิ ารของทายกเหลา่ ใด การกระท�ำ เหลา่ นน้ั พงึ มผี ลมาก มอี านิสงสม์ ากแกท่ ายกเหลา่ นนั้ ”  ดงั นกี้ ็ด,ี ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “ญาติ สายโลหิตท้ังหลาย  ซ่ึงตายจากกันไปแล้ว  มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงเราอยู่  ข้อน้ันจะพึงมีผลมาก  มีอานิสงส์มาก แกเ่ ขาเหลา่ นัน้ ” ดงั นก้ี ด็ ี,  ...ฯลฯ... ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง อดทนได้ซง่ึ ความไม่ยนิ ดแี ละความยนิ ด,ี อน่งึ ความไม่ ยินดีอย่าเบยี ดเบียนเรา, เราพงึ ครอบง�ำ ย�ำ่ ยีความไม่ยนิ ดี ซ่ึงยังเกดิ ข้นึ แลว้ อย่เู ถดิ ”  ดังนก้ี ด็ ี,  ...ฯลฯ... ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง อดทนความขลาดกลัวได้,  อนึ่ง  ความขลาดกลัวอย่า เบียดเบียนเรา,  เราพึงครอบงำ�ยำ่�ยีความขลาดกลัว ทบี่ ังเกดิ ขึน้ แล้วอยูเ่ ถิด”  ดังนี้กด็ ,ี   ...ฯลฯ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง ได้ตามต้องการ  ได้ไม่ยาก  ได้ไม่ลำ�บาก  ซ่ึงฌานท้ังส่ี

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 137 อันเป็นไปในจิตอันย่งิ   เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร”  ดังน้กี ็ดี, ...ฯลฯ... ภกิ ษุท้งั หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง เป็นโสดาบัน  เพราะความส้ินไปแห่งสังโยชน์สาม  เป็นผู้มีอันไม่ตกตำ่�เป็นธรรมดา  ผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน  มีการตรัสร ู้ อยูข่ า้ งหน้า”  ดังนกี้ ด็ ี,  ...ฯลฯ... ภิกษทุ งั้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง เป็นสกทาคามี  เพราะความส้ินไปแห่งสังโยชน์สาม  และเพราะความเบาบางแห่งราคะ  โทสะ  และโมหะ  พึงมาสู่เทวโลกอีกครั้งเดียวเท่านั้น  แล้วพึงทำ�ที่สุด แห่งทกุ ข์ได”้   ดังน้กี ็ด,ี   ...ฯลฯ... ภกิ ษุท้ังหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง เป็นโอปปาติกะ  (พระอนาคามี)  เพราะความส้ินไปแห่ง สังโยชน์เบ้ืองตำ่�ห้า  พึงปรินิพพานในภพนั้น  ไม่กลับ จากโลกนนั้   เป็นธรรมดา”  ดังน้ีก็ดี,  ...ฯลฯ... ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง แสดงอิทธวิ ธิ มี ีอย่างต่างๆ ได้”  ดังนีก้ ด็ ,ี   ...ฯลฯ...

1398 พุทธวจน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง มที พิ ยโสต”  ดงั น้กี ด็ ี,  ...ฯลฯ... ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เรา ใคร่ครวญแล้ว  พึงรู้จิตของสัตว์เหล่าอ่ืน,  ของบุคคล เหล่าอน่ื   ด้วยจติ ของตน”  ดังนี้ก็ด,ี   ...ฯลฯ... ภิกษทุ ้ังหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง ตามระลกึ ถงึ ภพทีเ่ คยอยู่ในกาลก่อนได้หลายๆ อย่าง...” ดงั นีก้ ็ดี,  ...ฯลฯ.. ภกิ ษุท้ังหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง เห็นสัตว์ทั้งหลายด้วยจักษุทิพย์  อันหมดจดเกินจักษุ สามัญของมนุษย์”  ดังน้กี ด็ ,ี   ...ฯลฯ... ภิกษุทัง้ หลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า  “เราพึง ทำ�ให้แจ้งเจโตวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติ  อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง ในทิฏฐธรรมเทยี วเขา้ ถงึ แลว้ แลอย”ู่   ดังน้ีก็ด,ี เธอพึงทำ�ให้บริบูรณ์ในศีลท้ังหลาย  พึงตาม ประกอบในธรรมเป็นเคร่ืองสงบแห่งจิตในภายใน  เปน็ ผไู้ มเ่ หนิ หา่ งในฌานประกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยวปิ สั สนา  และใหว้ ตั รแหง่ ผอู้ ยสู่ ญุ ญาคารทง้ั หลายเจรญิ งอกงามเถดิ .

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 139 ค�ำ ใดที่เราผตู้ ถาคตกลา่ วแลว้ วา่ “ภิกษทุ งั้ หลาย !  เธอทั้งหลาย จงมศี ีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณอ์ ยู่เถิด เธอทง้ั หลาย จงสำ�รวมดว้ ยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจรอยูเ่ ถิด จงเป็นผู้เห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายท่ีมีประมาณเล็กน้อย สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบทท้ังหลายเถดิ ”  ดังน้ี. ค�ำ น้นั อนั เราตถาคต อาศัยเหตผุ ลดงั กลา่ วน้ีแล จึงได้กลา่ วแลว้ . ม.ู ม. ๑๒/๕๘/๗๓.

1410 พุทธวจน ๕๐ ผลของการมีศีล ภิกษทุ งั้ หลาย ! สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรม เป็นของตน เป็นทายาทแหง่ กรรม มกี รรมเปน็ ก�ำ เนดิ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นท่ีพ่ึงอาศัย  กระทำ� กรรมใดไว้ ดกี ต็ ามชว่ั กต็ าม จกั เปน็ ผรู้ บั ผลแหง่ กรรมนน้ั . ภกิ ษุท้งั หลาย ! บุคคลบางคน  ในกรณีน้ี  ละปาณาติบาต  เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอน็ ดกู รุณาเกอ้ื กลู แก่ สตั วท์ ง้ั หลาย.  เขาไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ย  (กรรมทาง)  กาย ไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ย (กรรมทาง) วาจา ไมก่ ระเสอื กกระสน ดว้ ย  (กรรมทาง)  ใจ;  กายกรรมของเขาตรง  วจกี รรมของ เขาตรง  มโนกรรมของเขาตรง  :  คตขิ องเขาตรง  อปุ บตั ิ ของเขาตรง. ภกิ ษุทั้งหลาย ! ส�ำ หรบั ผมู้ คี ตติ รง มอี ปุ บตั ติ รงนน้ั เรากลา่ วคตอิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในบรรดาคตสิ องอยา่ งแกเ่ ขา คือ  เหล่าสัตว์ผ้มู ีสุขโดยส่วนเดียว  หรือว่าตระกูลอันสูง

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 141 ตระกูลขัตติยมหาศาล  ตระกูลพราหมณ์มหาศาล  หรอื ตระกลู คหบดมี หาศาลอนั มง่ั คง่ั   มที รพั ยม์ าก  มโี ภคะมาก  มีทองและเงนิ มาก  มอี ุปกรณแ์ ห่งทรัพยม์ าก... (ในกรณีแห่งบุคคลผู้ไม่กระทำ�อทินนาทาน  ไม่กระทำ� กาเมสุมิจฉาจาร  ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับ ในกรณีของผู้ไม่กระทำ�ปาณาติบาต  ดังกล่าวมาแล้วข้างบน ทุกประการ). ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๑๑/๑๙๓.

1423 พุทธวจน ๕๑ ผลของการไมม่ ศี ลี ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ปาณาติบาต  ที่เสพท่ัวแล้ว เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือนรก เป็นไป เพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน  เป็นไปเพ่ือเปรตวิสัย  วิบากแห่ง ปาณาติบาตของผู้เป็นมนุษย์ท่ีเบากว่าวิบากท้ังปวง คือ วบิ ากท่ีเปน็ ไปเพอื่ มีอายุส้นั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อทินนาทาน  ที่เสพท่ัวแล้ว เจรญิ แลว้ ท�ำ ให้มากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื นรก เป็นไป เพ่ือกำ�เนิดเดรัจฉาน  เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย  วิบากแห่ง อทินนาทานของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากท้ังปวง คือ วบิ ากที่เปน็ ไปเพ่ือ ความเส่ือมแหง่ โภคทรพั ย์. ภิกษุท้ังหลาย ! กาเมสมุ จิ ฉาจาร ทเ่ี สพทว่ั แลว้ เจริญแล้ว  ทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมเป็นไปเพื่อนรก เป็นไปเพ่ือกำ�เนิดเดรัจฉาน  เป็นไปเพ่ือเปรตวิสัย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่า วบิ ากท้งั ปวง  คือ วิบากท่ีเป็นไปเพือ่ ก่อเวรด้วยศตั รู.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 143 ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! มุ ส า ว า ท   ท่ี เ ส พ ท่ั ว แ ล้ ว  เจริญแล้ว  ทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมเป็นไปเพ่ือนรก  เป็น ไปเพ่ือกำ�เนิดเดรัจฉาน  เป็นไปเพ่ือเปรตวิสัย  วิบาก แห่งมุสาวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง  คือ วิบากท่ีเปน็ ไปเพือ่ การถูกกลา่ วตดู่ ว้ ยค�ำ ไมจ่ รงิ . ภิกษุทั้งหลาย ! ปสิ ุณาวาท (ค�ำ ยุยงให้แตกกนั ) ทเ่ี สพทว่ั แลว้ เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื นรก เปน็ ไปเพื่อกำ�เนิดเดรจั ฉาน เปน็ ไปเพือ่ เปรตวสิ ยั วิบาก แห่งปิสุณาวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง คอื วบิ ากที่เป็นไปเพื่อ การแตกจากมติ ร. ภิกษทุ ั้งหลาย ! ผรุสวาท (คำ�หยาบ) ที่เสพทว่ั แล้ว  เจริญแล้ว  ทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมเป็นไปเพ่ือนรก เปน็ ไปเพื่อก�ำ เนดิ เดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งผรุสวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากท้ังปวง  คือ วบิ ากทเี่ ปน็ ไปเพอ่ื การได้ฟงั เสียงท่ีไม่น่าพอใจ.

1454 พุทธวจน ภิกษทุ ้ังหลาย ! สมั ผปั ปลาปวาท (ค�ำ เพ้อเจ้อ) ทเ่ี สพทว่ั แลว้ เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื นรก เปน็ ไปเพือ่ กำ�เนดิ เดรจั ฉาน เป็นไปเพอื่ เปรตวสิ ัย วิบาก แห่งสัมผัปปลาปวาทของผู้เป็นมนุษย์ท่ีเบากว่าวิบาก ทั้งปวง คือ วิบากทีเ่ ปน็ ไปเพอื่ วาจาทไ่ี ม่มีใครเชือ่ ถอื . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! การดม่ื น�ำ้ เมาคอื สรุ าและเมรยั ทเ่ี สพทว่ั แลว้ เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื นรก เป็นไปเพื่อก�ำ เนดิ เดรัจฉาน เปน็ ไปเพ่อื เปรตวสิ ยั วิบาก แหง่ การดม่ื น�ำ้ เมาของผเู้ ปน็ มนษุ ยท์ เ่ี บากวา่ วบิ ากทง้ั ปวง คอื วิบากทเ่ี ปน็ ไปเพื่อ ความเป็นบ้า (อุมมฺ ตตฺ ก). อฏก. อํ. ๒๓/๒๕๑/๑๓๐.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 145 ๕๒ ท�ำ ดี ได้ดี มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรี กต็ าม บรุ ษุ กต็ าม ละปาณาตบิ าตแลว้ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจาก ปาณาติบาต วางอาชญา วางศสั ตราได้ มคี วามละอาย ถงึ ความเอน็ ดู อนเุ คราะหด์ ว้ ยความเกอ้ื กลู ในสรรพสตั วแ์ ละ ภตู อยู่ เขาตายไป จะเขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เพราะกรรมนน้ั อนั เขาใหพ้ รง่ั พรอ้ มสมาทานไวอ้ ยา่ งน้ี หากตายไป ไมเ่ ขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ถา้ มาเปน็ มนษุ ยเ์ กดิ ณ ทใ่ี ดๆ ในภายหลงั จะเป็นคนมอี ายยุ ืน. มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกน้ีจะเป็นสตรี ก็ตาม  บุรุษก็ตาม  เป็นผู้มีปกติไม่เบียดเบียนสัตว์ ด้วยฝ่ามือ  หรือก้อนดิน  หรือท่อนไม้  หรือศัสตรา เขาตายไป  จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างน้ี  หากตายไป ไม่เขา้ ถึงสคุ ติโลกสวรรค์ ถา้ มาเป็นมนษุ ย์เกดิ ณ ทใี่ ดๆ ในภายหลงั จะเปน็ คนมีโรคนอ้ ย.

1476 พพุทุทธธววจจนน มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกน้ีจะเป็นสตรี ก็ตาม บุรุษก็ตาม ยอ่ มเป็นผู้ใหข้ า้ ว นำ�้ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เคร่อื งลบู ไล้ ท่ีนอน ท่ีอยู่อาศัย เครือ่ งตาม ประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์  เขาตายไป  จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมน้ัน  อันเขาให้พร่ังพร้อม สมาทานไวอ้ ย่างนี้ หากตายไป ไมเ่ ข้าถงึ สุคติโลกสวรรค์ ถา้ มาเปน็ มนุษยเ์ กิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเปน็ คน มีโภคทรัพยม์ าก. มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรี ก็ตาม  บุรุษก็ตาม  เป็นคนไม่มักโกรธ  ไม่มากด้วย ความแค้นเคือง  ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ  ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดรา้ ย ไม่ท�ำ ความโกรธ ความรา้ ย และ ความขง้ึ เคยี ดใหป้ รากฏ เขาตายไป จะเขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างน้ี หากตายไป ไมเ่ ข้าถงึ สุคตโิ ลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนษุ ย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลงั จะเปน็ คนน่าเลื่อมใส.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 147 มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกน้ีจะเป็นสตรี ก็ตาม  บุรุษก็ตาม  เป็นผู้มีใจไม่ริษยา  ย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย  ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ  ความเคารพ ความนบั ถือ การไหว้ และการบชู าของคนอนื่ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้ พร่ังพร้อมสมาทานไว้อย่างน้ี  หากตายไปไม่เข้าถึง สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ถา้ มาเปน็ มนษุ ยเ์ กดิ ณ ทใ่ี ดๆ ในภายหลงั จะเป็นคนมีศักดามาก. มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรี ก็ตาม บรุ ุษก็ตาม เป็นคนไม่กระดา้ ง ไม่เย่อหยงิ่ ยอ่ ม กราบไหวค้ นทค่ี วรกราบไหว้ ลกุ รบั คนทค่ี วรลกุ รบั ใหอ้ าสนะ แกค่ นทสี่ มควรแก่อาสนะ ใหท้ างแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนทคี่ วรเคารพ นบั ถอื คนทคี่ วรนับถอื บชู าคนทคี่ วรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์  เพราะกรรมน้ัน  อันเขาให้พร่ังพร้อม สมาทานไวอ้ ย่างน้ี หากตายไป ไม่เข้าถึงสคุ ติโลกสวรรค์ ถา้ มาเกิดเปน็ มนุษย์เกดิ ณ ที่ใดๆ ในภายหลงั จะเป็น คนเกิดในสกลุ สูง.

1489 พุทธวจน มาณพ ! บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรี ก็ตาม  บุรุษก็ตาม  ย่อมเป็นผู้เข้าไปหาสมณะหรือ พราหมณแ์ ลว้ สอบถามวา่ อะไรเปน็ กศุ ล อะไรเปน็ อกศุ ล อะไรมโี ทษ อะไรไมม่ ีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมอ่ื ท�ำ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู เพอ่ื ทกุ ขส์ น้ิ กาลนาน หรือวา่ อะไรเม่อื ท�ำ ยอ่ มเป็นไปเพ่ือประโยชนเ์ กอ้ื กลู เพอ่ื ความสุขสน้ิ กาลนาน เขาตายไป จะเขา้ ถึงสคุ ติโลกสวรรค์ เพราะกรรมน้ัน  อันเขาให้พร่ังพร้อมสมาทานไว้อย่างน้ี หากตายไป ไมเ่ ขา้ ถึงสุคตโิ ลกสวรรค์ ถา้ มาเป็นมนษุ ย์ เกดิ ณ ท่ีใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมปี ัญญามาก. อุปริ. ม. ๑๔/๓๗๖/๕๗๙.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 149 ๕๓ ธรรมดาของโลก มลี าภ เสื่อมลาภ มียศ เส่อื มยศ นินทา สรรเสรญิ สุข และ ทกุ ข์ แปดอยา่ งนเ้ี ปน็ สง่ิ ที่ไม่เทยี่ งในหม่มู นษุ ย์ ไมย่ ั่งยนื มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา. ผู้มีปัญญา มสี ติ รคู้ วามขอ้ นแ้ี ล้ว ย่อมเพ่งอย่ใู นความแปรปรวน เปน็ ธรรมดาของโลกธรรมน้ัน. อฏก. อํ. ๒๓/๑๕๙/๙๖.

1510 พุทธวจน ๕๔ กรรมทท่ี �ำ ใหไ้ ดร้ บั ผลเปน็ ความไมต่ กต�ำ่ ภิกษุทัง้ หลาย ! แ ต่ ช า ติ ท่ี แ ล้ ว ม า แ ต่ อ ดี ต ตถาคตได้เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด  ๗  ปี  จึงไม่ เคยมาบังเกิดในโลกมนุษย์น้ี  ตลอด  ๗  สังวัฏฏกัปป์ และวิวัฏฏกัปป์  ในระหว่างกาลอันเป็นสังวัฏฏกัปป์น้ัน เราได้บังเกิดในอาภัสสรพรหม  ในระหว่างกาลอันเป็น วิวฏั ฏกัปป์น้นั   เราก็ไดอ้ ยู่พรหมวิมานอันวา่ งเปล่าแล้ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกัปป์น้ัน  เราได้เคยเป็น พรหม ไดเ้ คยเปน็ มหาพรหมผยู้ ง่ิ ใหญ่ ไมม่ ใี ครครอบง�ำ ได้ เปน็ ผเู้ หน็ สง่ิ ทง้ั ปวงโดยเดด็ ขาด เปน็ ผมู้ อี �ำ นาจสงู สดุ . ภิกษุท้งั หลาย ! เราได้เคยเป็นสักกะ  ผู้เป็น จอมแห่งเทวดา  นับได้  ๓๖  คร้ัง  เราได้เคยเป็น ราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม  เป็นพระราชา โดยธรรม มีแว่นแควน้ จรดมหาสมุทรท้งั ๔ เปน็ ที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี  มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วย แกว้ เจด็ ประการ นบั ดว้ ยรอ้ ยๆ ครง้ั , ท�ำ ไมจะตอ้ งกลา่ วถงึ ความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 151 ภิกษุทงั้ หลาย ! ความคิดได้เกิดข้ึนแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอ ท่ีท�ำ ให้เราเปน็ ผมู้ ี ฤทธม์ิ ากถงึ อยา่ งน้ี มอี านภุ าพมากถงึ อยา่ งน้ี ในครง้ั นน้ั ๆ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ความรู้สึกได้เกิดข้ึนแก่เรา ว่า ผลวิบากแหง่ กรรม ๓ อยา่ งนแ้ี ล ที่ท�ำ ใหเ้ รามีฤทธ์ิ มากถงึ อยา่ งน ้ี มอี านภุ าพมากถึงอยา่ งนี,้ วิบากแหง่ กรรม ๓ อย่าง ในครง้ั นนั้ คอื :- (๑) ผลวิบากแหง่ ทาน การให้ (๒) ผลวิบากแห่งทมะ การบบี บงั คับใจ (๓) ผลวิบากแห่งสญั ญมะ การส�ำ รวมระวัง ดงั น้.ี อติ ิว.ุ ขุ. ๒๕/๒๔๐/๒๐๐.

1523 พุทธวจน ๕๕ ทานทใ่ี หแ้ ลว้ ในสงฆแ์ บบใด จงึ มผี ลมาก ภกิ ษุท้งั หลาย ! บคุ คล ๘ จำ�พวกเหลา่ น้ี เปน็ ผู้ควรแกข่ องบูชา ควรแก่ของต้อนรับ  ควรแก่ของทำ�บุญ  ควรทำ�อัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นย่งิ กวา่ . ๘ จำ�พวกอะไรบ้างเล่า ? ๘ จำ�พวก คือ :- (๑) พระโสดาบัน (๒) พระผูป้ ฏิบัตเิ พอ่ื ทำ�ใหแ้ จง้ โสดาปัตติผล (๓) พระสกทาคาม ี (๔) พระผู้ปฏบิ ัติเพอื่ ท�ำ ใหแ้ จ้งสกทาคามผิ ล (๕) พระอนาคามี (๖) พระผ้ปู ฏิบตั เิ พือ่ ท�ำ ใหแ้ จง้ อนาคามิผล (๗) พระอรหันต ์ (๘) พระผู้ปฏบิ ัตเิ พอ่ื ความเป็นอรหันต์

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 153 ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! บคุ คล ๘ จ�ำ พวกเหลา่ นแ้ี ล เปน็ ผคู้ วรแกข่ องบชู า  ควรแก่ของต้อนรับ  ควรแก่ของทำ�บุญ  ควรทำ�อัญชลี เปน็ เนอ้ื นาบญุ ของโลกไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กว่า. “ผปู้ ฏบิ ัติแลว้ ๔ จ�ำ พวก และผตู้ ั้งอยู่ในผลแล้ว ๔ จ�ำ พวก นีแ่ หละ ! สงฆ์ที่เป็นคนตรง, เปน็ ผู้ต้งั ม่นั แล้วในปญั ญาและศีล ยอ่ มกระท�ำ ใหเ้ กดิ บญุ อน่ื เนอ่ื งดว้ ยอปุ ธแิ กม่ นษุ ยท์ ง้ั หลาย ผู้มีความต้องการด้วยบญุ กระท�ำ การบชู าอยู่ ทานท่ีใหแ้ ล้วในสงฆ์ จงึ มีผลมาก”. อฏก. อ.ํ ๒๓/๓๐๑/๑๔๙.

1554 พุทธวจน ๕๖ ผปู้ ระสบบุญใหญ่ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! นกั บวชผมู้ ศี ลี เขา้ ไปสสู่ กลุ ใด มนษุ ยท์ ้ังหลายในสกุลน้ัน ย่อมประสบบญุ เป็นอันมาก ดว้ ยฐานะ ๕ อย่าง. ฐานะ ๕ อย่าง อะไรบ้างเลา่ ? ๕ อยา่ ง คือ :- (๑) ในสมยั ใด จติ ของมนุษยท์ ง้ั หลาย ยอ่ ม เล่ือมใส เพราะไดเ้ ห็นนกั บวชผู้มศี ลี ซ่ึงเขา้ ไปสสู่ กลุ , ในสมัยนั้น สกุลนนั้ ชือ่ ว่า ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏิบัติทเ่ี ป็นไปเพื่อ สวรรค์. (๒) ในสมยั ใด มนษุ ย์ทั้งหลาย พากนั ต้อนรบั กราบไหว้ ให้อาสนะแก่นกั บวชผูม้ ีศีล ซ่งึ เข้าไปสู่สกุล, ในสมยั นนั้ สกุลน้ัน ชอ่ื ว่า ปฏบิ ัติขอ้ ปฏิบัตทิ ่เี ปน็ ไปเพ่ือ การเกดิ ในสกลุ สูง. (๓) ในสมัยใด มนุษยท์ ้ังหลาย กำ�จดั มลทนิ คอื ความตระหนเ่ี สยี ไดใ้ นนกั บวชผมู้ ศี ลี ซง่ึ เขา้ ไปสสู่ กลุ , ในสมัยนั้น สกุลน้นั ช่อื วา่ ปฏิบัตขิ ้อปฏิบัตทิ เ่ี ปน็ ไปเพ่อื การได้เกยี รตศิ กั ดิ์อันใหญ่.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 155 (๔) ในสมยั ใด มนษุ ยท์ ง้ั หลาย ยอ่ มแจกจา่ ยทาน ตามสติ  ตามกำ�ลังในนักบวชผู้มีศีล  ซ่ึงเข้าไปสู่สกุล, ในสมัยน้ัน สกุลน้นั ชื่อว่า ปฏบิ ัติขอ้ ปฏบิ ตั ิที่เปน็ ไปเพอ่ื การได้โภคทรัพย์ใหญ.่ (๕) ในสมยั ใด มนุษย์ทั้งหลาย  ยอ่ มไตถ่ าม สอบสวน ยอ่ มฟงั ธรรมในนกั บวชผมู้ ศี ลี ซง่ึ เขา้ ไปสสู่ กลุ , ในสมยั นนั้ สกลุ น้ัน ชือ่ วา่ ปฏิบตั ขิ อ้ ปฏิบัติทีเ่ ป็นไปเพือ่ การไดป้ ญั ญาใหญ.่ ภกิ ษุทั้งหลาย ! นกั บวชผมู้ ศี ลี เขา้ ไปสสู่ กลุ ใด, มนษุ ย์ท้ังหลายในสกุลนัน้ ยอ่ มประสบบญุ เป็นอันมาก ด้วยฐานะ ๕ อยา่ งเหลา่ น้ี แล. ปญจฺ ก. อํ. ๒๒/๒๗๑/๑๙๙.



ธรรมะกับการสอบ

1589 พุทธวจน ๕๗ ตอ้ งขึงสายพิณพอเหมาะ โสณะ ! เธอมคี วามคดิ ในเร่อื งน้ี เป็นอย่างไร : เมื่อก่อนแต่คร้งั เธอยงั เปน็ คฤหัสถ์ เธอเชย่ี วชาญในเรื่อง เสียงแหง่ พณิ   มใิ ช่หรอื ? “เปน็ เช่นน ี้  พระเจา้ ขา้  !”. โสณะ ! เธอจะสำ�คัญข้อน้ันเป็นไฉน  เมื่อใด สายพิณของเธอขึงตึงเกินไป  เมื่อน้ัน  พิณของเธอจะมี เสยี งไพเราะนา่ ฟังหรือ  จะใช้การไดห้ รอื ? “ไม่เปน็ เชน่ น้นั   พระเจา้ ข้า !”. โสณะ ! เธอจะสำ�คัญข้อนั้นเป็นไฉน  เม่ือใด สายพิณของเธอขึงหยอ่ นเกนิ ไป เมื่อนัน้ พิณของเธอจะมี เสยี งไพเราะน่าฟงั หรอื   จะใชก้ ารได้หรอื ? “ไมเ่ ป็นเชน่ นน้ั   พระเจา้ ขา้  !”. โสณะ ! แตว่ า่ เมอ่ื ใด สายพณิ ของเธอ ไมต่ งึ นกั หรือไม่หย่อนนัก  ขึงได้ระเบียบเสมอๆ  กันแต่พอดี เมอ่ื นน้ั พณิ ของเธอยอ่ มมเี สยี งไพเราะนา่ ฟงั หรอื ใชก้ ารไดด้ ี มใิ ช่หรือ ? “เปน็ เช่นนน้ั   พระเจา้ ข้า !”.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 159 โสณะ ! ข้อนี้ก็เปน็ เชน่ นั้นแล กลา่ วคอื ความเพยี รทบี่ ุคคลปรารภจดั เกนิ ไป ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความฟ้งุ ซา่ น, ย่อหยอ่ นเกนิ ไป ยอ่ มเป็นไปเพื่อความเกียจครา้ น. โสณะ ! เหตผุ ลนั้นแล เธอจงต้ังความเพยี รแต่พอด,ี จงเขา้ ใจความที่อินทรยี ท์ ัง้ หลาย ตอ้ งเป็นธรรมชาติที่เสมอๆ กัน, จงกำ�หนดหมายในความพอดีนน้ั ไวเ้ ถดิ . “พระเจ้าข้า ! ข้าพระองค์จักปฏบิ ัติอยา่ งน้นั ”. ฉกฺก. อํ ๒๒/๔๑๘/๓๒๖.

1601 พุทธวจน ๕๘ ผเู้ หน็ แก่นอน ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอท้ังหลาย  จะเข้าใจ เรือ่ งนีก้ ันอยา่ งไร ? พวกเธอเคยไดเ้ หน็ ได้ฟังมาบ้างหรอื ว่า พระราชา ผเู้ ป็นกษตั รยิ ไ์ ดร้ บั มรุ ธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบความสุข ในการประทม หาความสขุ ในการเอนพระวรกาย หาความสขุ ในการประทมหลับ  ตามแต่พระประสงค์อยู่เนืองนิจ ยงั คงทรงปกครองราชสมบตั ใิ หเ้ ปน็ ทร่ี กั ใคร่ ถกู ใจพลเมอื ง จนตลอดพระชนม์ชพี ไดอ้ ย่หู รือ ? “อยา่ งนี้ ไม่เคยไดเ้ ห็นได้ฟงั เลย พระเจ้าข้า !”. ดีแลว้ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ข้อที่กล่าวนี้ แมเ้ ราเองก็ ไมเ่ คยไดเ้ ห็น ไดฟ้ ังอย่างนัน้ เหมอื นกนั . ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! พวกเธอท้ังหลาย  จะเข้าใจ เรื่องน้ีกนั อย่างไร ? พวกเธอเคยไดเ้ หน็ ไดฟ้ งั มาบา้ งหรอื วา่ ผคู้ รองรฐั กด็ ี ทายาทผู้สืบมรดกกด็ ี เสนาบดีกด็ ี นายบา้ นกด็ ี และ หวั หนา้ หมบู่ า้ นกด็ ี ประกอบความสขุ ในการนอน หาความสขุ

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 161 ในการเอนกาย หาความสขุ ในการหลับ ตามสบายใจอยู่ เนืองนจิ ยังคงด�ำ รงตำ�แหนง่ น้นั ๆ ให้เปน็ ทร่ี ักใคร่ ถูกใจ ของ  (ประชาชนทุกเหล่า)  กระทั่งลูกหมู่  จนตลอดชีวิตได้ อยูห่ รอื ? “อย่างนี้ ไม่เคยได้เหน็ ไดฟ้ ังเลย พระเจ้าข้า !”. ดีแลว้ ภิกษุทัง้ หลาย ! ข้อทก่ี ลา่ วน้ี แม้เราเองก็ ไม่เคยได้เห็น ได้ฟงั อยา่ งนัน้ เหมอื นกัน. ภกิ ษุทัง้ หลาย ! พวกเธอท้ังหลาย  จะเข้าใจ เร่อื งนก้ี ันอยา่ งไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า  สมณะ หรือพราหมณ์  ท่ีเอาแต่ประกอบความสุขในการนอน หาความสขุ ในการเอนกาย หาความสขุ ในการหลบั ตาม สบายใจอยูเ่ สมอๆ, ท้งั เป็นผ้ไู ม่คุ้มครองทวารในอนิ ทรยี ์ ทงั้ หลาย, ไม่ร้ปู ระมาณในการบริโภค, ไม่ตามประกอบ ธรรมเปน็ เครอ่ื งตน่ื , ไมเ่ หน็ แจม่ แจง้ ซง่ึ กศุ ลธรรมทง้ั หลาย, ไม่ตามประกอบการทำ�เนืองๆ ในโพธิปกั ขยิ ธรรม ทง้ั ใน ยามต้นและยามปลาย  แล้วยังจะกระทำ�ให้แจ้งได้ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความ

1623 พุทธวจน สน้ิ ไปแหง่ อาสวะท้ังหลาย ด้วยปญั ญาอันประเสริฐยง่ิ เอง ในทิฏฐธรรมเทยี ว เขา้ ถงึ แลว้ แลอยู่ ? “ขอ้ นน้ั กย็ ังไมเ่ คยได้เหน็ ได้ฟงั เลย พระเจา้ ข้า !”. ดแี ลว้ ภิกษุทัง้ หลาย ! ขอ้ ทกี่ ลา่ วถงึ นี้ แม้เราเอง กไ็ มเ่ คยได้เหน็ ได้ฟังอยา่ งนน้ั เหมอื นกนั . ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เพราะฉะนน้ั ในเรอ่ื งนพ้ี วกเธอ ทัง้ หลาย พงึ สำ�เหนียกใจไว้ว่า “เราทัง้ หลาย จกั คุ้มครองทวารในอินทรียท์ ั้งหลาย, เป็นผ้รู ู้ประมาณในการบรโิ ภค, ตามประกอบธรรมเปน็ เคร่ืองตน่ื , เปน็ ผเู้ ห็นแจ่มแจง้ ซง่ึ กศุ ลธรรมท้ังหลาย, และจกั ตามประกอบอนุโยคภาวนาในโพธิปักขยิ ธรรม ทง้ั ในยามต้นและยามปลายอยูเ่ สมอๆ” ดังนี.้ ภกิ ษุทั้งหลาย ! พวกเธอทง้ั หลายพงึ ส�ำ เหนยี กใจ อย่างนแี้ ล. ฉกฺก. อ.ํ ๒๒/๓๓๓/๒๘๘.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 163 ๕๙ ลกั ษณะของ “ผมู้ คี วามเพยี รตลอดเวลา” ภกิ ษุทั้งหลาย ! เม่ือภิกษุกำ�ลังเดิน...ยืน... น่ัง...นอนอยู่  ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น  หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางท�ำ ผู้อ่ืนให้ล�ำ บากเปล่าๆ ขน้ึ มา, และภกิ ษุ กไ็ มร่ บั เอาความครนุ่ คดิ นน้ั ไว้ สละทง้ิ ไป ถา่ ยถอนออก ทำ�ให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ; ภกิ ษทุ เ่ี ปน็ เชน่ น้ี แมก้ �ำ ลงั เดนิ ...ยนื ...นง่ั ...นอนอยู่ กเ็ รยี กวา่ เปน็ ผทู้ �ำ ความเพยี รเผากเิ ลส รสู้ กึ กลวั ตอ่ สง่ิ ลามก เป็นคนปรารภความเพียร  อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่ เนืองนจิ . จตุกฺก. อ.ํ ๒๑/๑๗/๑๑.

1654 พุทธวจน ๖๐ ลกั ษณะของ “ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา” ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เมื่อภิกษุกำ�ลังเดิน...ยืน... นั่ง...นอนอยู่  ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น  หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางท�ำ ผู้อื่นให้ล�ำ บากเปล่าๆ ขน้ึ มา, และภิกษกุ ร็ บั เอาความคร่นุ คิดนน้ั ไว้ ไม่สละทง้ิ ไมถ่ า่ ยถอนออก ไม่ท�ำ ให้สดุ ส้ินไป จนไม่มเี หลือ; ภิกษทุ เี่ ป็นเช่นนี้ แม้ก�ำ ลงั เดนิ ...ยืน...น่ัง...นอน อยู่ กเ็ รยี กวา่ เปน็ ผู้ไม่ท�ำ ความเพยี รเผากเิ ลส ไม่รู้สึกกลัว ตอ่ สง่ิ ลามก เป็นคนเกยี จครา้ น มคี วามเพียรอันเลวทราม อยูเ่ นอื งนิจ. จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๑๖/๑๑.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 165 ๖๑ วธิ ีการตามรกั ษาไวซ้ ึ่งความจรงิ (สจจฺ านรุ กขฺ ณา) “ข้าแตพ่ ระโคดมผ้เู จรญิ ! การตามรกั ษาไวซ้ ่ึงความจรงิ (สจฺจานุรกฺขณา) นนั้ มไี ด้ดว้ ยการกระท�ำ เพียงเทา่ ไร ? บุคคล จะตามรกั ษาไว้ซึง่ ความจริงนั้นได้ ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? ขา้ พเจา้ ขอถามพระโคดมผเู้ จรญิ ถงึ วธิ กี ารตามรกั ษาไวซ้ ง่ึ ความจรงิ ”. ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความเชื่อ ของบุรุษ มีอยู่ และเขาก็ ตามรกั ษาไว้ซึ่งความจรงิ กล่าวอยวู่ า่ “ขา้ พเจ้ามคี วามเช่อื อย่างน้”ี ดังน,้ี เขาก็ อย่าพงึ ถงึ ซ่ึงการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อยา่ งนเ้ี ทา่ น้นั จริง, อยา่ งอน่ื เปลา่ ” ดงั น้ีก่อน ... ภารทว๎ าชะ ! ถา้ แม้ ความชอบใจ ของบรุ ษุ มอี ยู่ และเขาก็ ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กลา่ วอยู่ว่า “ขา้ พเจา้ มีความชอบใจอย่างน”ี้ ดงั น,ี้ เขาก็ อยา่ พงึ ถงึ ซึ่งการสนั นษิ ฐานโดยสว่ นเดียว วา่ “อยา่ งนีเ้ ทา่ น้นั จริง, อยา่ งอ่นื เปลา่ ” ดังน้ีกอ่ น ...

1667 พพุทุทธธววจจนน ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ เรือ่ งทฟ่ี งั ตามๆ กนั มา ของบุรุษ มอี ยู่ และเขาก็ตามรกั ษาไว้ซ่ึงความจรงิ กลา่ วอยูว่ า่ “ข้าพเจา้ มีเรอื่ งท่ฟี ังตามๆ กันมาอย่างน”้ี ดงั นี้, เขาก็ อยา่ พงึ ถงึ ซึ่งการสนั นษิ ฐานโดยสว่ นเดียว ว่า “อย่างน้เี ทา่ นัน้ จริง, อย่างอน่ื เปล่า” ดงั นีก้ อ่ น ... ภารทว๎ าชะ ! ถา้ แม้ ความตรติ รกึ ไปตามเหตผุ ลทแ่ี วดลอ้ ม ของบรุ ษุ มอี ยู่ และเขากต็ ามรกั ษาไวซ้ ่งึ ความจรงิ กลา่ วอย่วู ่า “ขา้ พเจ้ามคี วามตริตรกึ ไปตามเหตผุ ลท่แี วดลอ้ มอยา่ งน”้ี ดงั นี้, เขาก็ อยา่ พึงถงึ การสันนษิ ฐานโดยสว่ นเดยี ว วา่ “อย่างน้เี ทา่ น้ันจรงิ , อย่างอน่ื เปลา่ ” ดังน้ีกอ่ น ... ภารทว๎ าชะ ! ถ้าแม้  ข้อยุตติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็น ของบุรษุ มีอยู่ และเขาก็ตามรกั ษาไว้ซงึ่ ความจริง กลา่ วอยูว่ า่ “ข้าพเจ้ามีข้อยุตติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็น อยา่ งน”้ี ดงั น้ี,

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 167 เขาก็ อยา่ พึงถึงซงึ่ การสันนษิ ฐานโดยส่วนเดียว วา่ “อยา่ งนีเ้ ทา่ นน้ั จรงิ , อยา่ งอื่นเปลา่ ” ดงั น้ีกอ่ น. ภารท๎วาชะ ! ด้วยการกระท�ำ เพียงเท่าน้แี ล การตามรกั ษาไว้ซึ่งความจรงิ ยอ่ มม,ี บคุ คลช่ือว่า ย่อมตามรกั ษาไว้ซง่ึ ความจริง ดว้ ยการกระท�ำ เพียงเท่าน,้ี และเราบญั ญัตกิ ารตามรักษาไวซ้ ง่ึ ความจรงิ ด้วยการกระทำ�เพยี งเท่าน;้ี และเราบัญญตั ิการตามรกั ษาไวซ้ ึ่งความจริง ด้วยการกระท�ำ เพยี งเทา่ น้;ี แตว่ ่าน่นั ยงั ไมเ่ ป็นการตามรซู้ งึ่ ความจรงิ .

1689 พุทธวจน

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 169 ๖๒ การตามรู้ซง่ึ ความจริง (สจฺจานโุ พโธ) “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  !  การตามรู้ซึ่งความจริง (สจจฺ านโุ พโธ) มไี ด้ ด้วยการกระทำ�เพียงเทา่ ไร ? บคุ คลชือ่ ว่า ตามรู้ซ่งึ ความจริง ดว้ ยการกระท�ำ เพียงเทา่ ไร ? ขา้ พเจ้าขอถาม พระโคดมผเู้ จรญิ ถึงการตามรู้ซ่งึ ความจรงิ ”. ภารทว๎ าชะ ! ได้ยินว่า  ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านหรือในนิคมแห่งใดแห่งหน่ึง. คหบดหี รอื คหบดบี ตุ ร ไดเ้ ขา้ ไปใกลภ้ กิ ษนุ น้ั แลว้ ใครค่ รวญ ดูอยใู่ นใจเกยี่ วกบั ธรรม ๓ ประการ คอื :- ธรรมเปน็ ท่ีตง้ั แหง่ โลภะ ธรรมเปน็ ท่ีตง้ั แห่งโทสะ ธรรมเปน็ ท่ีตงั้ แหง่ โมหะ... เมอ่ื เขาใครค่ รวญดอู ยซู่ ง่ึ ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มเลง็ เหน็ วา่ เป็นผู้บริสุทธ์ิจากธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งโลภะ  ต่อแต่น้ัน เขาจะพิจารณาใคร่ครวญภิกษุน้ันให้ย่ิงข้ึนไปในธรรม ทั้งหลายอันเป็นท่ีต้ังแห่งโทสะ…  ในธรรมท้ังหลาย

1710 พุทธวจน อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ โมหะ… เมอ่ื เขาใครค่ รวญดอู ยซู่ ง่ึ ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มเลง็ เหน็ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธจ์ิ ากธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ โทสะ... ธรรมอนั เปน็ ท่ตี ัง้ แหง่ โมหะ ล�ำ ดับนน้ั เขา :- (๑) ปลูกฝัง ศรัทธา ลงไปในภกิ ษนุ ั้น ครน้ั มี ศรัทธาเกิดแล้ว (๒) ยอ่ ม เขา้ ไปหา ครน้ั เขา้ ไปหาแลว้ (๓) ยอ่ ม เขา้ ไปนง่ั ใกล้ ครน้ั เขา้ ไปนง่ั ใกลแ้ ลว้ (๔) ยอ่ ม เง่ียโสตลง ครั้นเงีย่ โสตลง (๕) ย่อม ฟงั ซึ่งธรรม ครน้ั ฟังซึ่งธรรมแลว้ (๖) ย่อม ทรงไวซ้ งึ่ ธรรม (๗) ย่อม  ใคร่ครวญ  ซึ่งเนื้อความแห่งธรรม ท้ังหลาย  อันตนทรงไว้แล้ว  เม่ือใคร่ครวญซ่ึงเน้ือความ แห่งธรรมอยู่ (๘) ธรรมทง้ั หลายยอ่ มทนตอ่ ความเพง่ พนิ จิ , เมอื่ การทนตอ่ การเพง่ พนิ ิจของธรรมมีอยู่ (๙) ฉันทะย่อมเกดิ ข้นึ ผู้มีฉันทะเกิดข้นึ แลว้ (๑๐) ยอ่ ม มอี สุ สาหะ ครัน้ มีอสุ สาหะแล้ว

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 171 (๑๑) ยอ่ ม  พจิ ารณาหาความสมดลุ ยแ์ หง่ ธรรม, ครน้ั มคี วามสมดลุ ย์แหง่ ธรรมแลว้ (๑๒) ย่อม  ตั้งตนไว้ในธรรมนั้น;  เขาผู้มีตน สง่ ไปแลว้ อยา่ งนอ้ี ย ู่ ยอ่ ม  กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ปรมตั ถสจั จะ (ความจริงโดยความหมายสูงสุด)  ด้วยนามกาย  ด้วย,  ยอ่ ม  แทงตลอดซง่ึ ธรรมนน้ั   แลว้ เหน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญา  ดว้ ย. ภารท๎วาชะ ! การตามร้ซู ึง่ ความจรงิ ย่อมมี ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าน้ี, บคุ คลช่ือวา่ ย่อมตามรู้ซ่งึ ความจรงิ ดว้ ยการกระทำ�เพียงเท่าน้ี, และเราบญั ญตั กิ ารตามรูซ้ ่ึงความจริง ด้วยการกระท�ำ เพยี งเท่าน;ี้ แตว่ า่ นน่ั ยงั ไมเ่ ปน็ การตามบรรลถุ งึ ซง่ึ ความจรงิ .

1723 พุทธวจน ๖๓ การตามบรรลถุ ึงซง่ึ ความจริง (สจฺจานุปตฺต)ิ “ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ ! การตามบรรลถุ งึ ซง่ึ ความจรงิ (สจจฺ านปุ ตตฺ )ิ มไี ด้ ดว้ ยการกระท�ำ เพยี งเทา่ ไร ? บคุ คลชอ่ื วา่ ยอ่ ม ตามบรรลุถึงซ่ึงความจริง ดว้ ยการกระท�ำ เพยี งเทา่ ไร ? ขา้ พเจา้ ขอถามพระโคดมผ้เู จรญิ ถงึ การตามบรรลุถงึ ซง่ึ ความจรงิ ”. ภารทว๎ าชะ ! การเสพคบ  การทำ�ให้เจริญ การกระทำ�ให้มาก  ซ่ึงธรรมทั้งหลายเหล่านั้นแหละ (ทั้ง ๑๒ ขอ้ ข้างต้น) เป็นการตามบรรลุถึงซงึ่ ความจริง. ภารท๎วาชะ ! การตามบรรลถุ งึ ซึ่งความจริง ย่อมมี ด้วยการกระทำ�เพียงเทา่ น,ี้ บุคคลช่อื วา่ ย่อมตามบรรลุถึงซ่งึ ความจรงิ ด้วยการกระท�ำ เพยี งเท่าน้,ี และเราบญั ญตั ิการตามบรรลุถงึ ซ่งึ ความจรงิ ดว้ ยการกระทำ�เพียงเทา่ นี้. ม. ม. ๑๓/๖๐๑-๖๐๕/๖๕๕-๖๕๗.

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 173 ๖๔ ท�ำ ความเพยี รแขง่ กับอนาคตภัย ภิกษุท้งั หลาย ! ภัยในอนาคตเหล่าน้ี  มีอยู่ ๕  ประการ  ซ่ึงภิกษุผู้มองเห็นอยู่  ควรแท้ที่จะเป็น ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มตี นสง่ ไปแลว้ ใน การท�ำ เชน่ นน้ั อยตู่ ลอดไป, เพอ่ื ถงึ สง่ิ ทย่ี งั ไมถ่ งึ เพอ่ื บรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ  เพ่ือทำ�ให้แจ้งส่ิงท่ียังไม่ทำ�ให้แจ้งเสีย โดยเร็ว. ภัยในอนาคต ๕ ประการน้ัน คอื อะไรบา้ งเล่า ? ๕ ประการ คือ :- (๑)  ภิกษุในกรณีน้ี  พิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บดั น้ี เรายงั หนมุ่ ยงั เยาวว์ ยั ยงั รนุ่ คะนอง มผี มยงั ด�ำ สนทิ ตง้ั อยใู่ นวยั ก�ำ ลงั เจรญิ คอื ปฐมวยั ; แตจ่ ะมสี กั คราวหนง่ึ ที่ความแก่  จะมาถึงร่างกายน้ี,  ก็คนแก่  ถูกความชรา ครอบง�ำ แลว้ จะมนสกิ ารถงึ ค�ำ สอนของทา่ นผรู้ ทู้ ง้ั หลายนน้ั ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย;  และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด ซงึ่ เปน็ ป่าชฏั ก็ไม่ทำ�ไดง้ ่ายๆ เลย. กอ่ นแตส่ ิ่งอันไม่เป็น

1754 พุทธวจน ท่ตี ้องการ ไมน่ า่ ใคร่ ไม่นา่ ชอบใจ (คอื ความแก่) นัน้ จะมาถงึ เรา เราจะรีบทำ�ความเพยี ร เพื่อถึงสิง่ ทยี่ งั ไม่ถงึ เพ่ือบรรลุสงิ่ ทยี่ งั ไมบ่ รรลุ เพอื่ ท�ำ ใหแ้ จง้ สง่ิ ที่ยังไมท่ ำ�ให้ แจ้งเสยี โดยเรว็ ซง่ึ เปน็ สง่ิ ที่ทำ�ให้ผถู้ งึ แล้ว แมจ้ ะแกเ่ ฒา่ ก็จกั อย่เู ปน็ ผาสุก” ดังน้ี. ภกิ ษุท้ังหลาย ! ข้ออนื่ ยังมีอีก: (๒)  ภกิ ษุพิจารณาเหน็ ชดั แจ้งวา่ “บดั น้ี เรามี อาพาธน้อย มีโรคน้อย มีไฟธาตุใหค้ วามอบอนุ่ สมำ�่ เสมอ ไมเ่ ยน็ นกั ไมร่ อ้ นนกั พอปานกลาง ควรแกก่ ารท�ำ ความเพยี ร; แต่จะมีสักคราวหน่ึงท่ีความเจ็บไข้จะมาถึงร่างกายน้ี,  กค็ นทเ่ี จ็บไข้ถูกพยาธคิ รอบง�ำ แล้ว จะมนสกิ ารถงึ คำ�สอน ของทา่ นผรู้ ูท้ งั้ หลายนัน้ ไมท่ �ำ ไดส้ ะดวกเลย; และจะเสพ เสนาสนะอนั เงยี บสงดั ซง่ึ เปน็ ปา่ ชฏั กไ็ มท่ �ำ ไดง้ า่ ยๆ เลย.  ก่อนแต่สิง่ อันไมเ่ ปน็ ท่ีตอ้ งการ ไมน่ ่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือความเจบ็ ไข้) นัน้ จะมาถงึ เรา เราจะรบี ทำ�ความเพยี ร เพอ่ื ถงึ สง่ิ ทย่ี งั ไมถ่ งึ เพอ่ื บรรลสุ ง่ิ ทย่ี งั ไมบ่ รรลุ เพอ่ื ท�ำ ใหแ้ จง้ ส่งิ ท่ยี ังไม่ทำ�ให้แจ้งเสียโดยเร็ว  ซ่งึ เป็นส่งิ ท่ที ำ�ให้ผ้ถู ึงแล้ว แม้จะเจ็บไข้ กจ็ กั อยู่เป็นผาสกุ ” ดงั นี้. ภกิ ษทุ ้งั หลาย !   ขอ้ อน่ื ยงั มอี ีก :

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 175 (๓)  ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ ชดั แจง้ วา่ “บดั น้ี ขา้ วกลา้ งามดี บิณฑะ (ก้อนขา้ ว) หาไดง้ ่าย เป็นการสะดวกที่จะ ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต; แต่จะมีสักคราวหนึ่งท่ี  ภิกษาหายาก  ข้าวกล้าเสียหาย บณิ ฑะหาไดย้ าก ไมเ่ ป็นการสะดวกท่ีจะยังชีวติ ให้เป็นไป ดว้ ยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต, เมอ่ื ภิกษาหายาก ที่ใดภิกษาหาง่าย  คนทั้งหลายก็อพยพกันไปท่ีน้ัน,  เม่ือ เป็นเช่นน้นั ความอยูค่ ลกุ คลปี ะปนกันในหมู่คนกจ็ ะมขี น้ึ เมอ่ื มกี ารคลกุ คลปี ะปนกนั ในหมคู่ น จะมนสกิ ารถงึ ค�ำ สอน ของทา่ นผรู้ ทู้ ง้ั หลายนน้ั ไมท่ �ำ ไดส้ ะดวกเลย. กอ่ นแตส่ ง่ิ อนั ไมเ่ ปน็ ทต่ี อ้ งการ ไมน่ า่ ใคร่ ไมน่ า่ ชอบใจ (คอื ภกิ ษาหายาก) นน้ั จะมาถงึ เรา เราจะรบี ท�ำ ความเพยี ร เพอ่ื ถงึ สง่ิ ทย่ี งั ไมถ่ งึ เพื่อบรรลสุ ิ่งทย่ี ังไมบ่ รรลุ เพอื่ ท�ำ ใหแ้ จ้งส่ิงทย่ี ังไม่ท�ำ ให้ แจง้ เสยี โดยเรว็ ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทท่ี �ำ ใหผ้ ถู้ งึ แลว้ จกั อยเู่ ปน็ ผาสกุ แม้ในคราวที่เกิดทุพภิกขภัย”  ดังน้ี.  ภิกษุท้ังหลาย  !   ข้ออ่ืนยังมอี ีก :

1776 พพุทุทธธววจจนน (๔)  ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ ชดั แจง้ วา่ “บดั น้ีคนทง้ั หลาย สมัครสมานช่นื บานตอ่ กนั ไมว่ วิ าทกนั เขา้ กนั ไดด้ จุ ด่ัง นมผสมกับนำ้� มองแลกันดว้ ยสายตาแห่งคนท่ีรกั ใคร่กนั เป็นอยู่;  แต่จะมีสักคราวหนึ่งท่ี  ภัย  คือโจรป่ากำ�เริบ  ชาวชนบทผู้ขึ้นอยู่ในอาณาจักรแตกกระจัดกระจาย แยกยา้ ยกนั ไป, เมอ่ื มภี ยั เชน่ น้ี ทใ่ี ดปลอดภยั คนทง้ั หลาย ก็อพยพกันไปท่ีน้ัน  เม่ือเป็นเช่นนั้น  ความอยู่คลุกคลี ปะปนกนั ในหมคู่ นกจ็ ะมขี น้ึ เมอ่ื มกี ารอยคู่ ลกุ คลปี ะปนกนั ในหมู่คน  จะมนสิการถึงคำ�สอนของท่านผู้รู้ท้ังหลายน้ัน ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย  :  ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นท่ีต้องการ ไม่น่าใคร่  ไม่น่าชอบใจ  (คือโจรภัย)  น้ัน  จะมาถึงเรา เราจะรีบทำ�ความเพียร  เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง  เพื่อ บรรลุส่ิงที่ยังไม่บรรลุ  เพ่ือทำ�ให้แจ้งส่ิงท่ียังไม่ทำ�ให้ แจ้งเสียโดยเร็ว  ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีทำ�ให้ผู้ถึงแล้ว  จักอยู่เป็น ผาสุก แม้ในคราวทเ่ี กดิ โจรภยั ” ดงั น.้ี ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้ออ่นื ยงั มอี กี :

ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 177 (๕)  ภกิ ษพุ ิจารณาเห็นชดั แจง้ ว่า “บัดนี้ สงฆ์ สามคั คปี รองดองกนั ไมว่ วิ าทกนั มอี เุ ทศเดยี วกนั อยเู่ ปน็ ผาสุก;  แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่สงฆ์แตกกัน,  เม่ือสงฆ์ แตกกนั แลว้ จะมนสกิ ารถงึ ค�ำ สอนของทา่ นผรู้ ทู้ ง้ั หลาย นน้ั ไมท่ �ำ ไดส้ ะดวกเลย : ก่อนแตส่ ง่ิ อันไมเ่ ปน็ ทตี่ ้องการ ไมน่ า่ ใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือสงฆแ์ ตกกัน) นั้นจะมาถึงเรา เราจะรีบท�ำ ความเพียร เพื่อถึงสิง่ ท่ยี งั ไม่ถึง เพอ่ื บรรลุ ส่ิงที่ยังไม่บรรลุ  เพื่อทำ�ให้แจ้งส่ิงท่ียังไม่ทำ�ให้แจ้งเสีย โดยเร็ว  ซึ่งเป็นส่ิงที่ทำ�ให้ผู้ถึงแล้ว  จักอยู่เป็นผาสุก  แม้ในคราวเมอื่ สงฆแ์ ตกกัน” ดงั น้ี. ภิกษุท้ังหลาย ! ภยั ในอนาคต ๕ ประการเหลา่ น้แี ล ซงึ่ ภกิ ษุผู้มองเหน็ อยู่ ควรแท้ที่จะเปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มตี นสง่ ไปแลว้ ในการทำ�เชน่ น้นั อยตู่ ลอดไป, เพ่ือถึงสิ่งทีย่ งั ไมถ่ ึง เพื่อบรรลุสง่ิ ทย่ี ังไมบ่ รรลุ เพอ่ื ท�ำ ใหแ้ จ้งส่งิ ทยี่ ังไมท่ �ำ ให้แจ้งเสยี โดยเรว็ . ปญฺจก. อ.ํ ๒๒/๑๑๗/๗๘.

1798 พุทธวจน ๖๕ วธิ ีแก้ความหดหู่ ภิกษุทัง้ หลาย ! กส็ มัยใด จิตหดหู่ สมยั นน้ั มใิ ชก่ าล เพอ่ื เจรญิ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ มใิ ช่กาล เพือ่ เจริญสมาธสิ ัมโพชฌงค์ มใิ ชก่ าล เพ่ือเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค์. ข้อนน้ั เพราะเหตไุ ร ? เพราะจติ หดหู่ จติ ทห่ี ดหนู่ น้ั ยากทจ่ี ะใหต้ ง้ั ขน้ึ ได้ ดว้ ยธรรมเหล่าน้นั . เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ ลกุ โพลง เขาจึงใสห่ ญา้ สด โคมยั สด ไมส้ ด พน่ นำ้� และ โรยฝนุ่ ลงในไฟน้ัน บรุ ษุ นนั้ จะสามารถก่อไฟดวงนอ้ ยให้ ลุกโพลงข้ึนได้หรอื หนอ ? “ไม่ไดเ้ ลย พระเจ้าข้า !”. ฉันนั้นเหมอื นกัน...


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook