ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 279 (๒) สมณพราหมณท์ ก่ี ลา่ วสอนเรอ่ื งกรรมพวกใด ยอ่ มบญั ญตั คิ วามทกุ ขว์ า่ เปน็ สง่ิ ทผ่ี อู้ น่ื ท�ำ ให,้ แมค้ วามทกุ ข์ ท่ีพวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จงึ เกิดมไี ด;้ (๓) สมณพราหมณท์ ก่ี ลา่ วสอนเรอ่ื งกรรมพวกใด ยอ่ มบญั ญตั คิ วามทกุ ขว์ า่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นท�ำ เอาดว้ ยตนเองดว้ ย ผู้อ่ืนทำ�ให้ด้วย, แม้ความทุกข์ท่ีพวกเขาบัญญัติน้ัน กย็ งั ตอ้ งอาศัยผสั สะเปน็ ปัจจัย จงึ เกดิ มไี ด้; (๔) ถงึ แมส้ มณพราหมณท์ ก่ี ลา่ วสอนเรอ่ื งกรรม พวกใด ย่อมบญั ญตั ิความทุกข์ ว่าเปน็ ส่งิ ท่ีไมใ่ ชท่ �ำ เอง หรอื ใครท�ำ ใหก้ เ็ กดิ ขน้ึ ได้ กต็ าม, แมค้ วามทกุ ขท์ พ่ี วกเขา บญั ญตั นิ น้ั กย็ งั ตอ้ งอาศยั ผสั สะเปน็ ปจั จยั จงึ เกดิ มไี ดอ้ ยู่ นัน่ เอง. อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณท์ ก่ี ลา่ วสอน เรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกน้ัน... สมณพราหมณ์พวกน้นั หนา หากเว้นผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกต่อสุขและทุกข์นั้นได้ ดงั นนั้ หรอื : นั่นไมใ่ ชฐ่ านะทจ่ี กั มไี ดเ้ ลย... นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕.
2810 พุทธวจน ๑๐๒ สิ้นทุกขเ์ พราะสิน้ กรรม ภิกษุทง้ั หลาย ! มรรคใด ปฏิปทาใด เปน็ ไป เพ่อื ความส้นิ แห่งตัณหา พวกเธอจงเจริญซึ่งมรรคนน้ั ปฏิปทานัน้ ภิกษุท้งั หลาย ! มรรคนั้น ปฏปิ ทาน้ัน เป็นอยา่ งไรเลา่ ? น้ันคอื โพชฌงค์เจ็ด; กล่าวคือ สติสมั โพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขา- สัมโพชฌงค์ เม่ือตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอุทายิทูลถามว่า เจรญิ โพชฌงคเ์ จด็ นัน้ ด้วยวิธีอย่างไร ? ตรัสว่า :- อุทายิ ! ภิกษใุ นกรณีน้ี เจริญสตสิ ัมโพชฌงค์ ... ธมั มวิจยสัมโพชฌงค์... วิรยิ ะสัมโพชฌงค์... ปีตสิ มั - โพชฌงค.์ .. ปสั สัทธสิ ัมโพชฌงค.์ .. สมาธิสมั โพชฌงค.์ .. อเุ บกขาสัมโพชฌงค์ ชนิดท่ี อาศยั วเิ วก อาศัยวิราคะ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 281 อาศยั นโิ รธ น้อมไปเพือ่ โวสสัคคะ (การปล่อย, การวาง) เปน็ โพชฌงค์อันไพบูลย์ ถึงซึ่งคณุ อันใหญห่ าประมาณ มิได้ ไม่มีความลำ�บาก เมอื่ เจรญิ สติสัมโพชฌงค์ (เป็นตน้ ) อย่างนีอ้ ย่,ู ตณั หายอ่ มละไป. เพราะตณั หาละไป กรรมกล็ ะไป; เพราะกรรมละไป ทกุ ขก์ ็ละไป. อทุ ายิ ! ดว้ ยอาการอย่างนแ้ี ล ความสิน้ กรรมยอ่ มม ี เพราะความสิ้นตณั หา ความสนิ้ ทุกขย์ ่อมมี เพราะความส้ินกรรม. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๒๓-๑๒๔/๔๔๙-๔๕๔.
2832 พุทธวจน ๑๐๓ สิ้นนนั ทิ สิน้ ราคะ สมั มา ปัสสงั นิพพนิ ทะติ เมอ่ื เหน็ อยโู่ ดยถกู ต้อง ย่อมเบือ่ หน่าย นันทิกขะยา ราคักขะโย เพราะความส้ินไปแหง่ นนั ทิ จงึ มคี วามสนิ้ ไปแหง่ ราคะ ราคกั ขะยา นันทกิ ขะโย เพราะความส้ินไปแหง่ ราคะ จึงมคี วามส้นิ ไปแห่งนันทิ นนั ทริ าคักขะยา จติ ตัง สวุ มิ ตุ ตนั ติ วุจจะติ เพราะความสนิ้ ไปแห่งนนั ทแิ ละราคะ กลา่ วไดว้ ่า “จิตหลดุ พ้นแล้วดว้ ยด”ี ดังนี้. สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 283 ๑๐๔ ความสน้ิ ตณั หา คอื นิพพาน “ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจรญิ ! ท่เี รยี กว่า ‘สัตว์ สัตว์’ ดังน้ี, อันว่าสตั ว์มีได้ ด้วยเหตเุ พยี งเท่าไรเลา่ พระเจ้าขา้ !”. ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอนั ใด นนั ทิ อนั ใด ตณั หาอนั ใด มอี ยู่ในรปู ในเวทนา ในสญั ญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ, เพราะการตดิ แลว้ ขอ้ งแลว้ ในสง่ิ นั้นๆ, เพราะฉะนัน้ จึงเรียกวา่ “สัตว”์ ดงั น.้ี ราธะ ! เปรยี บเหมอื นพวกกมุ ารนอ้ ยๆ หรือ กมุ ารนี อ้ ยๆ เลน่ เรอื นนอ้ ยๆ ทท่ี �ำ ดว้ ยดนิ อย,ู่ ตราบใด เขายังมีราคะ มีฉันทะ มีความรัก มีความกระหาย มคี วามเรา่ รอ้ น และมตี ณั หา ในเรอื นนอ้ ยทท่ี �ำ ดว้ ยดนิ เหลา่ นน้ั ; ตราบนน้ั พวกเดก็ นอ้ ยนน้ั ๆ ยอ่ มอาลยั เรอื นนอ้ ย ทท่ี �ำ ดว้ ยดนิ เหลา่ นน้ั ยอ่ มอยากเลน่ ยอ่ มอยากมเี รอื นนอ้ ย ที่ทำ�ด้วยดินเหลา่ น้นั ยอ่ มยึดถือเรอื นน้อยท่ที �ำ ด้วยดิน เหลา่ นน้ั วา่ เปน็ ของเรา ดังน้ี.
2845 พุทธวจน ราธะ ! แตเ่ มื่อใดแล พวกกุมารนอ้ ยๆ หรือ กมุ ารนี อ้ ยๆ เหลา่ นน้ั ปราศจากราคะแลว้ ปราศจากฉนั ทะ แลว้ ปราศจากความรกั แลว้ ปราศจากความเร่ารอ้ นแลว้ ปราศจากตัณหาแล้วในเรือนน้อยท่ีทำ�ด้วยดินเหล่านั้น, ในกาลนน้ั พวกเขายอ่ มท�ำ เรอื นนอ้ ยๆ ทท่ี �ำ ดว้ ยดนิ เหลา่ นน้ั ให้กระจัดกระจายเรี่ยรายเกล่ือนกล่นไป กระทำ�ให้จบ การเล่นเสีย ด้วยมอื และเทา้ ทั้งหลาย, อปุ มานีฉ้ นั ใด; ราธะ ! อุปไมยก็ฉันน้ัน คือ แม้พวกเธอ ทง้ั หลายจงเรย่ี รายกระจายออก ซ่งึ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณ จงขจัดเสียให้ถูกวิธี, จงทำ�ให้ แหลกลาญ โดยถูกวิธี, จงทำ�ให้จบการเล่นให้ถูกวิธี, จงปฏบิ ัตเิ พ่ือความส้นิ ไปแหง่ ตัณหาเถิด. ราธะ ! เพราะวา่ ความสน้ิ ไปแหง่ ตณั หานน้ั คอื นพิ พาน ดงั น้ี แล. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 285 ๑๐๕ ความเพลิน เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ความเพลินใดในรูป, เวทนา, สญั ญา, สังขาร, วิญญาณ; ความเพลนิ นน้ั เป็นอุปาทาน; เพราะอปุ าทานของเขานน้ั เปน็ ปจั จยั จงึ เกดิ มภี พ; เพราะภพเปน็ ปจั จัย จึงเกดิ มชี าต;ิ เพราะชาติเปน็ ปจั จัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จงึ เกิดมพี ร้อม; ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ท้ังสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ดว้ ยอาการอยา่ งน้.ี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๘/๒๘.
2876 พพุทุทธธววจจนน ๑๐๖ ความเป็นโสดาบนั ประเสรฐิ กว่า เปน็ พระเจ้าจักรพรรดิ ภิกษุทงั้ หลาย ! แม้พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ครอง ความเป็นใหญ่ย่ิงแห่งทวปี ทง้ั ๔ เบ้ืองหนา้ จากการตาย เพราะการแตกท�ำ ลายแหง่ กาย อาจไดเ้ ขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เปน็ สหายอยรู่ ว่ มกบั เหลา่ เทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ ถกู แวดลอ้ มอยู่ ดว้ ยหมนู่ างอัปษร ในสวนนนั ทวนั ท้าวเธอเปน็ ผู้เอิบอม่ิ เพยี บพรอ้ มดว้ ยกามคณุ ทง้ั หา้ อนั เปน็ ของทพิ ยอ์ ยา่ งนก้ี ต็ าม, แตก่ ระนน้ั ทา้ วเธอกย็ งั รอดพน้ ไปไมไ่ ด้ จากนรก จากก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน จากวสิ ัยแห่งเปรต และจากอบาย ทุคติ วินิบาต. ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ แม้เป็นผู้ยังอัตตภาพให้พอเป็นไปด้วยคำ�ข้าวที่ได้มาจาก บณิ ฑบาตดว้ ยปลีแขง้ ของตนเอง พันกายด้วยการนงุ่ หม่ ผา้ ปอนๆ ไมม่ ชี าย, หากแต่วา่ เปน็ ผูป้ ระกอบพรอ้ มแล้ว ด้วยธรรม ๔ ประการ เธอก็ยังสามารถ รอดพ้นเสียได้ จากนรก จากก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน จากวิสัยแห่งเปรต และ จากอบาย ทคุ ติ วินิบาต.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 287 ภกิ ษุท้ังหลาย ! ธรรม ๔ ประการนน้ั เปน็ ไฉน ? ๔ ประการคอื อริยสาวกในธรรมวนิ ัยน้ี เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระพทุ ธเจา้ ... ในองคพ์ ระธรรม... ในองค์พระสงฆ์... เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีล ทง้ั หลาย ชนดิ เปน็ ทพ่ี อใจเหลา่ อรยิ เจา้ อนั เปน็ ศลี ทไ่ี มข่ าด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไมพ่ ร้อย... ดังน.ี้ ภกิ ษุท้งั หลาย ! ระหวา่ งการได้ทวปี ทง้ั ๔ กับ การไดธ้ รรม ๔ ประการนีน้ ้ัน การได้ทวปี ท้ัง ๔ มีค่าไมถ่ งึ เส้ยี วที่สบิ หก ของการไดธ้ รรม ๔ ประการนี้ เลย. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๘-๔๒๙/๑๔๑๑-๑๔๑๓.
2889 พุทธวจน ๑๐๗ สทั ธานสุ ารี ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ตา.. ห.ู . จมกู .. ลน้ิ .. กาย.. ใจ เปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวนเปน็ ปกติ มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอนื่ เปน็ ปกต.ิ ภิกษุทงั้ หลาย ! บุคคลใด มคี วามเชื่อ นอ้ มจติ ไปในธรรม ๖ อย่างนี้ ด้วยอาการอย่างน;ี้ บุคคลนี้ เราเรียกวา่ เป็น สัทธานสุ ารี หย่งั ลงสู่ สมั มตั ตนยิ าม (ระบบแหง่ ความถกู ตอ้ ง) หยง่ั ลงสสู่ ปั ปรุ สิ ภมู ิ (ภมู แิ หง่ สตั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเขา้ ถงึ นรก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน หรอื เปรตวสิ ยั และไมค่ วรท่จี ะท�ำ กาละ (ตาย) ก่อน แตท่ จ่ี ะทำ�ให้แจ้งซึ่ง โสดาปตั ติผล.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 289 ๑๐๘ ธมั มานุสารี ภิกษทุ ั้งหลาย ! ธรรม ๖ อย่างเหลา่ น้ี ทนตอ่ การเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใด ดว้ ยอาการอย่างน้ี; บุคคลน้ี เราเรียกว่า ธัมมานุสารี หย่ังลงสู่ สมั มตั ตนยิ าม (ระบบแหง่ ความถกู ตอ้ ง) หยง่ั ลงสสู่ ปั ปรุ สิ ภมู ิ (ภมู แิ หง่ สตั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเขา้ ถงึ นรก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน หรอื เปรตวสิ ยั และไมค่ วรท่ีจะท�ำ กาละ (ตาย) ก่อน แต่ที่จะทำ�ใหแ้ จ้งซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล. ขนฺธ. ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.
2901 พุทธวจน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 291 ๑๐๙ ฐานะทเี่ ป็นไปไม่ได้ ของผู้ถงึ พรอ้ มด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบนั ) ภกิ ษุท้ังหลาย ! ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ เหลา่ น้ีมอี ยู่. ๖ ประการเหลา่ ไหนเลา่ ? ๖ ประการ คอื :- (๑) เป็นไปไมไ่ ด้ ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ ปลงชวี ติ มารดา; (๒) เปน็ ไปไมไ่ ด ้ ท่ีผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ ปลงชวี ิตบิดา; (๓) เปน็ ไปไม่ได้ ท่ีผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ ปลงชีวิตพระอรหนั ต์; (๔) เปน็ ไปไมไ่ ด ้ ที่ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ คิดประทษุ รา้ ยตถาคต แมเ้ พยี งทำ�โลหติ ให้หอ้ ; (๕) เป็นไปไมไ่ ด้ ท่ีผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ ท�ำ สงฆ์ใหแ้ ตกกนั ; (๖) เปน็ ไปไมไ่ ด้ ท่ีผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพึงถอื ศาสดาอืน่ (นอกจากพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ).
2923 พุทธวจน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เหลา่ นแ้ี ล ฐานะทไ่ี มอ่ าจเปน็ ไปได้ ๖ ประการ. ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๘๘/๓๖๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 293 ๑๑๐ ล�ำ ดับการปฏิบัตเิ พ่อื อรหตั ตผล ภิกษทุ ้ังหลาย ! เรายอ่ มไม่กลา่ วการประสบความพอใจในอรหตั ตผล ด้วยการกระท�ำ อนั ดบั แรกเพยี งอนั ดับเดยี ว. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! กแ็ ตว่ า่ การประสบความพอใจในอรหตั ตผล ยอ่ มมไี ด้ เพราะการศกึ ษาโดยล�ำ ดบั เพราะการกระท�ำ โดยล�ำ ดบั เพราะการปฏบิ ตั ิโดยลำ�ดบั . ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ก็การประสบความพอใจในอรหตั ตผล ยอ่ มมไี ด้ เพราะการศกึ ษาโดยล�ำ ดับ เพราะการกระท�ำ โดยล�ำ ดบั เพราะการปฏบิ ัติโดยลำ�ดับนัน้ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ?
2954 พุทธวจน ภิกษุท้งั หลาย ! บรุ ุษบคุ คลในกรณนี ้ี : เปน็ ผมู้ ีศรัทธาเกดิ ขึน้ แล้ว ยอ่ ม เขา้ ไปหา (สปั บรุ ษุ ); เมอื่ เขา้ ไปหา ย่อม เขา้ ไปน่งั ใกล้; เมื่อเข้าไปน่ังใกล้ ยอ่ ม เงยี่ โสตลงสดับ; ผเู้ งีย่ โสตลงสดับ ยอ่ ม ไดฟ้ ังธรรม; ครัน้ ฟงั แลว้ ยอ่ ม ทรงจำ�ธรรมไว้, ย่อม ใคร่ครวญพจิ ารณาซง่ึ เนือ้ ความ แหง่ ธรรม ทัง้ หลายทีต่ นทรงจำ�ไว้; เมื่อเขาใคร่ครวญพจิ ารณา ซง่ึ เนอื้ ความแห่งธรรมนั้นอยู่, ธรรมทง้ั หลายยอ่ มทนตอ่ การเพ่งพิสจู น์; เมื่อธรรมทนตอ่ การเพง่ พสิ จู นม์ ีอยู่ ฉนั ทะ (ความพอใจ) ยอ่ มเกิด; ผ้เู กิดฉนั ทะแลว้ ย่อม มีอุตสาหะ; คร้นั มอี ุตสาหะแลว้ ยอ่ ม ใช้ดลุ ยพนิ ิจ (เพื่อหาความจรงิ ); ครน้ั ใชด้ ลุ ยพนิ ิจ (พบ) แลว้ ยอ่ ม ตั้งตนไว้ในธรรมนนั้ ; ผมู้ ตี นสง่ ไปแล้วในธรรมนั้นอยู่ ยอ่ ม กระทำ�ให้แจ้ง ซ่ึงบรมสจั จด์ ว้ ยนามกาย ดว้ ย, ยอ่ ม เหน็ แจง้ แทงตลอด ซง่ึ บรมสจั จน์ น้ั ดว้ ยปญั ญา ดว้ ย. ม. ม. ๑๓/๒๓๓/๒๓๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 295 ๑๑๑ อรยิ มรรค มอี งค์ ๘ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ก็ อริยสัจ คือหนทางเป็น เครอ่ื งใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? คือ หนทางอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐน้ีเอง องคแ์ ปดคือ ความเหน็ ชอบ (สมั มาทฏิ ฐิ) ความด�ำ รชิ อบ (สมั มาสงั กปั ปะ) วาจาชอบ (สมั มาวาจา) การงานชอบ (สมั มากมั มนั ตะ) อาชวี ะชอบ (สมั มาอาชวี ะ) ความเพยี รชอบ (สมั มาวายามะ) ความระลกึ ชอบ (สมั มาสต)ิ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ (สัมมาสมาธ)ิ . ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ความเห็นชอบ เปน็ อย่างไร ? ภิกษทุ ั้งหลาย ! ความรใู้ นทุกข์ ความรใู้ นเหตุ ใหเ้ กดิ ทุกข์ ความรู้ในความดับไมเ่ หลอื แหง่ ทุกข์ ความรู้ ในหนทางเปน็ เครอ่ื งใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ อนั ใด, น้เี ราเรียกวา่ ความเห็นชอบ. ภิกษุท้งั หลาย ! ความด�ำ รชิ อบ เป็นอย่างไร ? ภิกษทุ ้ังหลาย ! ความดำ�ริในการออกจากกาม ความด�ำ รใิ นการไมพ่ ยาบาท ความด�ำ รใิ นการไมเ่ บยี ดเบยี น, นี้เราเรยี กวา่ ความดำ�รชิ อบ.
2967 พพุทุทธธววจจนน ภิกษทุ ั้งหลาย ! วาจาชอบ เป็นอยา่ งไร ? ภกิ ษุท้ังหลาย ! การเว้นจากการพูดเท็จ การ เว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ, น้เี ราเรยี กว่า วาจาชอบ. ภกิ ษุทั้งหลาย ! การงานชอบ เป็นอย่างไร ? ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! การเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ การเวน้ จากการถือเอาส่ิงของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการ ประพฤตผิ ดิ ในกามทง้ั หลาย, นเ้ี ราเรยี กวา่ การงานชอบ. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! อาชวี ะชอบ เป็นอย่างไร ? ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! อริยสาวกในกรณนี ี้ ละการหา เลย้ี งชพี ท่ผี ิดเสีย สำ�เร็จความเป็นอยดู่ ้วยการหาเลีย้ งชพี ทชี่ อบ, นี้เราเรียกว่า อาชวี ะชอบ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ความเพยี รชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษุในกรณีน้ี ยอ่ มปลูกความ พอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ย่อมต้ังจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อนั เปน็ บาปทง้ั หลายทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ ; ยอ่ มปลกู ความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 297 ย่อมต้ังจิตไว้ เพื่อการละเสียซ่ึงอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่บังเกิดข้ึนแล้ว; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมต้ังจิตไว้ เพอ่ื การบงั เกดิ ขน้ึ แหง่ กศุ ลธรรมทง้ั หลาย ทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ ; ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความย่ังยืน ความ ไมเ่ ลอะเลอื นความงอกงามยง่ิ ขน้ึ ความไพบลู ย์ ความเจรญิ ความเตม็ รอบ แหง่ กุศลธรรมทงั้ หลายที่บงั เกดิ ขึน้ แลว้ , น้เี ราเรยี กวา่ ความเพยี รชอบ. ภกิ ษุทั้งหลาย ! ความระลกึ ชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติ พจิ ารณาเหน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ , มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มคี วามรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม (สมั ปชญั ญะ) มสี ติ น�ำ ความพอใจ และความไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได;้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลายอย่เู ปน็ ประจ�ำ , มคี วามเพยี ร เผากิเลส มคี วามรสู้ ึกตัวท่วั พรอ้ ม มีสติ น�ำ ความพอใจ และความไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได;้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เหน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ , มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มคี วาม
2989 พุทธวจน รสู้ กึ ตัวทว่ั พร้อม มีสติ น�ำ ความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสยี ได;้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม ท้ังหลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ , มีความเพียรเผากิเลส มคี วาม รู้สึกตวั ทว่ั พร้อม มีสติ น�ำ ความพอใจและความไมพ่ อใจ ในโลกออกเสยี ได,้ น้ีเราเรยี กวา่ ความระลกึ ชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความต้ังใจม่ันชอบ เป็น อยา่ งไร ? ภกิ ษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี สงัดแล้วจาก กามท้ังหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมท้ังหลาย เข้าถึง ฌานทีห่ นึง่ อันมีวิตกวิจาร มีปตี ิและสขุ อันเกดิ แต่วิเวก แล้วแลอยู่ เพราะวติ กวิจารรำ�งับลง, เธอเขา้ ถึงฌานทส่ี อง อนั เป็นเคร่อื งผอ่ งใสแหง่ ใจในภายใน ให้สมาธเิ ป็นธรรม อนั เอกผดุ ขน้ึ ไมม่ วี ติ กไมม่ วี จิ าร มแี ตป่ ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ แต่ สมาธิ แลว้ แลอยู่ เพราะปตี จิ างหายไป, เธอเปน็ ผเู้ พง่ เฉยอยไู่ ด้ มสี ติ มคี วามรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม และไดเ้ สวยสขุ ดว้ ยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานทส่ี าม อันเปน็ ฌานทพี่ ระอรยิ เจา้ ทั้งหลาย กลา่ วสรรเสรญิ ผไู้ ดบ้ รรลวุ า่ “เปน็ ผเู้ ฉยอยไู่ ด้ มสี ติ มคี วาม รสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม” แลว้ แลอยู่ เพราะละสขุ และทกุ ขเ์ สยี ได้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 299 และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสใน กาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานท่ีส่ี อันไม่ทุกข์และไม่สุข มแี ตส่ ตอิ นั บรสิ ทุ ธเ์ิ พราะอเุ บกขาแลว้ แลอย,ู่ นเ้ี ราเรยี กวา่ สมั มาสมาธิ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจ คือ หนทางเป็นเคร่ืองให้ถึงความดบั ไมเ่ หลือแห่งทุกข.์ มหา. ที. ๑๐/๓๔๓-๓๔๕/๒๙๙.
3001 พุทธวจน ๑๑๒ “ดนิ นำ้� ไฟ ลม” ไมอ่ าจหยง่ั ลงได้ในที่ไหน เกวัฏฏะ ! เรอื่ งเคยมมี าแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุน้ีเอง เกิดความสงสัยข้ึนในใจว่า “มหาภูตส่ี คอื ดิน น�ำ้ ไฟ ลม เหลา่ น้ี ย่อมดบั สนิท ไม่มเี ศษเหลือ ในทีไ่ หนหนอ” ดังนี.้ (ความว่า ภิกษุรูปนั้นได้เข้าสมาธิอันอาจนำ�ไปสู่ เทวโลก ได้นำ�เอาปญั หาขอ้ ทต่ี นสงสัยนนั้ ไปเที่ยวถามเทวดาพวก จาตุมหาราชิกา, เม่ือไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาใน ชัน้ ดาวดงึ ส์, เทวดาช้นั น้ันโยนใหไ้ ปถามทา้ วสักกะ, ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ, ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพ พวกพรหมกายกิ า กระท่ังทา้ วมหาพรหมในทีส่ ดุ , ทา้ วมหาพรหม พยายามหลกี เลยี่ ง เบ่ยี งบ่ายท่ีจะไม่ตอบอยู่พกั หน่ึง แลว้ ในที่สดุ ได้สารภาพวา่ พวกเทวดาทัง้ หลาย พากนั คิดวา่ ท้าวมหาพรหมเอง เปน็ ผรู้ เู้ หน็ ไปทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง แตท่ จ่ี รงิ ไมร่ ู้ ในปญั หาทว่ี า่ มหาภตู รปู จกั ดบั ไปในทไ่ี หนนน้ั เลย มนั เปน็ ความผดิ ของภกิ ษนุ น้ั เอง ทไ่ี มไ่ ป ทลู ถามพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ในทส่ี ดุ กต็ อ้ งยอ้ นกลบั มาเฝา้ พระผมู้ ี พระภาคเจา้ )
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 301 เกวฏั ฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ท่ีควร แล้วถามเราว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาภตู สี่ คอื ดนิ น�้ำ ไฟ ลม เหลา่ น้ี ยอ่ มดับสนิท ไมม่ เี ศษเหลือ ในทีไ่ หน?” ดงั นี.้ เกวัฏฏะ ! เม่ือเธอถามข้ึนอยา่ งน้ี เราไดก้ ลา่ ว กะภกิ ษุนัน้ ว่า แนะ่ ภกิ ษ ุ ! เรอ่ื งเก่าแก่มอี ยูว่ า่ พวกคา้ ทางทะเล ได้พานกสำ�หรับค้นหาฝั่งไปกับเรือค้าด้วย เมอ่ื เรอื หลงทศิ ในทะเล และแลไมเ่ หน็ ฝง่ั พวกเขาปลอ่ ยนก ส�ำ หรบั คน้ หาฝง่ั นน้ั ไป นกนน้ั บนิ ไปทางทศิ ตะวนั ออกบา้ ง ทศิ ใตบ้ า้ ง ทศิ ตะวนั ตกบา้ ง ทศิ เหนอื บา้ ง ทศิ เบอ้ื งบนบา้ ง ทศิ นอ้ ยๆ บา้ ง เมอ่ื มนั เหน็ ฝง่ั ทางทศิ ใดแลว้ มนั กจ็ ะบนิ ตรง ไปยังทิศนัน้ , แตถ่ ้าไมเ่ หน็ กจ็ กั บินกลับมาสู่เรอื ตามเดมิ . ภิกษุ ! เช่นเดียวกบั เธอนัน้ แหละ ได้เที่ยวหาคำ�ตอบของ ปญั หาน้ี มาจนจบท่ัวกระทัง่ ถึงพรหมโลกแลว้ ในทส่ี ุด ก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก. ภิกษุ ! ในปญั หาของเธอนน้ั เธอไมค่ วรตง้ั ค�ำ ถามขน้ึ ว่า “มหาภูตส่ี คือ ดิน นำ้� ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดบั สนทิ ไมม่ เี ศษเหลือในทไี่ หน ?” ดังนี้เลย,
3023 พุทธวจน อันทีจ่ ริง เธอควรจะตั้งคำ�ถามข้ึนอยา่ งนวี้ ่า : “ดิน นำ�้ ไฟ ลม ไม่หย่ังลงไดใ้ นที่ไหน ? ความยาว ความสน้ั ความเลก็ ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยัง่ ลงไดใ้ นท่ีไหน ? นามรปู ยอ่ มดับสนทิ ไม่มีเศษเหลอื ในท่ีไหน ?” ดังนี้ ตา่ งหาก. ภิกษุ ! ในปญั หานั้น ค�ำ ตอบมดี งั นี้ : “สง่ิ ” สิง่ หนงึ่ ซึ่งบคุ คลพึงรู้แจ้ง เป็นสง่ิ ทีไ่ มม่ ี ปรากฏการณ์ ไมม่ ที สี่ ุด แต่มีทางปฏิบัติเขา้ มาถงึ ได้ โดยรอบนน้ั มีอย.ู่ ใน “สง่ิ ” นน้ั แหละ ดนิ น�ำ้ ไฟ ลม ไมห่ ยง่ั ลงได.้ ใน “สง่ิ ” นน้ั แหละ ความยาว ความสน้ั ความเลก็ ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยงั่ ลงได.้ ใน “สิ่ง” นัน้ แหละ นามรูป ย่อมดบั สนทิ ไมม่ ี เศษเหลอื นามรปู ดบั สนทิ ใน “สง่ิ ” น้ี เพราะการดบั สนทิ ของวญิ ญาณ; ดังน้”ี . สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 303 ๑๑๓ สง่ิ ๆ หนึ่งซ่ึงบคุ คลพึงรูแ้ จง้ “ส่งิ ” สง่ิ หนึ่งซึง่ บคุ คลพึงรูแ้ จ้ง เป็นส่งิ ที่ไม่มปี รากฏการณ์ ไม่มที ่ีสดุ มที างปฏบิ ตั เิ ขา้ มาถึงไดโ้ ดยรอบนัน้ มีอย;ู่ ใน “สง่ิ ” นัน้ แหละ ดนิ น�ำ้ ไฟ ลม ไม่หยงั่ ลงได;้ ใน “ส่ิง” นั้นแหละ ความยาว ความสน้ั ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไมง่ าม ไมห่ ยั่งลงได้; ใน “สงิ่ ” นนั้ แหละ นามรปู ยอ่ มดับสนทิ ไม่มเี ศษเหลอื ; นามรูป ดับสนทิ ใน “ส่งิ ” น้ี เพราะการดบั สนทิ ของวิญญาณ; ดงั นี้แล. ส.ี ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.
3054 พุทธวจน ๑๑๔ สงั ขตลักษณะ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สงั ขตลักษณะแหง่ สังขตธรรม ๓ อย่าง เหลา่ น้ี มีอย.ู่ ๓ อยา่ งอย่างไรเล่า ? ๓ อย่างคอื :- ๑. มกี ารเกิดปรากฏ (อปุ ฺปาโท ปญฺ ายติ); ๒. มีการเส่อื มปรากฏ (วโย ปญฺายต)ิ ; ๓. เม่อื ตัง้ อยู่ก็มภี าวะอย่างอื่นปรากฏ (ติ สฺส อญฺ ถตตฺ ํ ปญฺ ายติ). ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คือ สังขตลักษณะแห่งสงั ขตธรรม.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 305 ๑๑๕ อสงั ขตลกั ษณะ ภกิ ษุทัง้ หลาย ! อสังขตลักษณะของอสงั ขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ๓ อยา่ งอย่างไรเลา่ ? ๓ อยา่ งคอื :- ๑. ไมป่ รากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺายติ); ๒. ไม่ปรากฏมีการเสอื่ ม (น วโย ปญฺ ายต)ิ ; ๓. เมื่อต้งั อยู่ ก็ไม่มภี าวะอยา่ งอ่นื ปรากฏ (น ติ สสฺ อญฺถตตฺ ํ ปญฺ ายต)ิ . ภิกษุท้งั หลาย ! สามอย่างเหล่านแ้ี ล คอื อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. ติก. อ.ํ ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.
3067 พพุทุทธธววจจนน ๑๑๖ ลำ�ดับการหลุดพ้นโดยละเอยี ด เมื่อเห็นอนัตตา ภกิ ษุทงั้ หลาย ! รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งใด ไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ นน้ั เปน็ ทกุ ข์ สง่ิ ใดเปน็ ทกุ ข์ สง่ิ นน้ั เปน็ อนตั ตา สง่ิ ใดเปน็ อนัตตา สงิ่ น้ันน้ัน ไม่ใช่ของเรา ไมใ่ ช่เปน็ เรา ไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา : เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญาโดยชอบตรงตามท่ีเป็นจริง อย่างน้ี ด้วย ประการดังน.้ี (ในกรณแี หง่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ กต็ รัส อย่างเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ รูปทุกประการ) ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เม่ือบุคคลเห็นข้อน้ัน ด้วย ปญั ญาโดยชอบตรงตามทเ่ี ปน็ จรงิ อยอู่ ยา่ งน,้ี ปพุ พนั ตา- นทุ ฏิ ฐิ (ความตามเหน็ ขนั ธส์ ว่ นอดตี ) ทง้ั หลาย ยอ่ มไมม่ ;ี เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิท้ังหลายไม่มี, อปรันตา- นทุ ิฏฐทิ ้ังหลาย (ความตามเหน็ ขนั ธส์ ่วนอนาคต) ย่อมไม่ม;ี เม่อื อปรันตานุทิฏฐิทัง้ หลายไม่ม,ี ความยึดม่ัน ลูบคล�ำ อยา่ งแรงกล้า ยอ่ มไมม่ ;ี
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 307 เม่ือความยึดม่ันลูบคลำ�อย่างแรงกล้าไม่มี, จติ ย่อมจางคลายกำ�หนดั ในรปู ในเวทนา ในสญั ญา ในสังขารท้ังหลาย ในวิญญาณ ย่อมหลุดพ้นจาก อาสวะทง้ั หลาย เพราะไม่มีความยดึ มัน่ ถือมั่น; เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจงึ ดำ�รงอยู่ (ตามสภาพของจติ ); เพราะเป็นจติ ทดี่ ำ�รงอยู่ จิตจงึ ยินดรี ่าเรงิ ดว้ ยดี; เพราะเป็นจติ ท่ียินดรี า่ เรงิ ด้วยดี จติ จึงไม่หวาดสะดุง้ ; เม่ือไม่หวาดสะดงุ้ ยอ่ มปรนิ พิ พาน (ดับรอบ) เฉพาะตนน่นั เทียว เธอนัน้ ย่อมรชู้ ดั วา่ “ชาติส้ินแล้ว, พรหมจรรยไ์ ดอ้ ยู่จบแล้ว, กิจทค่ี วรทำ� ไดท้ ำ�ส�ำ เร็จแล้ว, กจิ อน่ื ทจ่ี ะตอ้ งท�ำ เพอ่ื ความเปน็ อยา่ งน้ี มไิ ดม้ อี กี ” ดงั น้ี. ขนฺธ. ส.ํ ๑๗/๕๗/๙๓.
3089 พุทธวจน ๑๑๗ ทำ�ความเข้าใจเก่ียวกบั อาหาร ภกิ ษุท้งั หลาย ! ถ้าไม่มีราคะ (ความกำ�หนัด) ไมม่ นี ันทิ (ความเพลิน) ไมม่ ีตัณหา (ความอยาก) ในกพฬ-ี การาหาร (อาหารคือค�ำ ขา้ ว) แล้วไซร,้ วญิ ญาณ กเ็ ป็นส่ิง ทต่ี ง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ มไ่ ด้ ในกพฬกี าราหารนน้ั . วญิ ญาณ ตงั้ อยู่ไมไ่ ด้ เจริญงอกงามอยูไ่ มไ่ ด้ ในทีใ่ ด, การ หยง่ั ลงแหง่ นามรปู ยอ่ มไมม่ ใี นทน่ี น้ั . การหยง่ั ลงแหง่ นามรปู ไมม่ ใี นทใ่ี ด, ความเจรญิ แหง่ สงั ขารทง้ั หลาย ยอ่ มไมม่ ี ในทน่ี น้ั . ความเจรญิ แหง่ สงั ขารทั้งหลาย ไมม่ ีในท่ีใด, การบังเกิด ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มไมม่ ใี นทน่ี น้ั . การบงั เกดิ ในภพใหม่ ตอ่ ไป ไมม่ ใี นทใ่ี ด, ชาตชิ รามรณะตอ่ ไป ยอ่ มไมม่ ใี นทน่ี น้ั . ชาตชิ รามรณะ ตอ่ ไป ไมม่ ใี นทใ่ี ด, ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เราเรยี ก “ท”่ี นน้ั วา่ เปน็ “ทไ่ี มม่ โี ศก ไมม่ ธี ลุ ี ไมม่ คี วามคบั แคน้ ” ดังน.้ี .. ภิกษุทง้ั หลาย ! เปรยี บเหมือนเรือนยอด หรอื ศาลาเรอื นยอดทต่ี ง้ั อยทู่ างทศิ เหนอื หรอื ใตก้ ต็ าม เปน็ เรอื น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 309 มีหน้าต่างทางทิศตะวันออก. ครั้นพระอาทิตย์ขึ้นมา แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ส่องเข้าไปทางหน้าต่างแล้ว จักตั้งอยทู่ ี่สว่ นไหนแหง่ เรือนนน้ั เล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จักปรากฏท่ีฝาเรือนขา้ งในทางทิศตะวันตก พระเจา้ ข้า !”. ภิกษุทง้ั หลาย ! ถ้าฝาเรือนทางทิศตะวันตก ไมม่ ีเลา่ แสงสวา่ งแหง่ พระอาทิตย์นน้ั จักปรากฏอยู่ ณ ทีไ่ หน ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จกั ปรากฏทพ่ี ้นื ดนิ พระเจา้ ข้า !”. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ถ้าพื้นดินไม่มีเล่า แสงสว่าง แหง่ พระอาทิตยน์ น้ั จักปรากฏทีไ่ หน ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จักปรากฏในนำ�้ พระเจ้าขา้ !”. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ถ้าน้ำ�ไม่มีเล่า แสงสว่างแห่ง พระอาทิตยน์ ้นั จักปรากฏท่ีไหนอีก ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสวา่ งแหง่ พระอาทติ ยน์ น้ั ย่อมเปน็ ส่ิงทไ่ี มป่ รากฏแลว้ พระเจ้าข้า !”.
3101 พุทธวจน ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ฉันใดกฉ็ ันน้นั แล : ถา้ ไมม่ รี าคะ (ความก�ำ หนดั ) ไมม่ นี นั ทิ (ความเพลนิ ) ไมม่ ตี ัณหา (ความอยาก) ในกพฬกี าราหารแลว้ ไซร้, วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงาม อย่ไู ม่ได้ในกพฬกี าราหารนั้น. วญิ ญาณตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจรญิ งอกงามอยไู่ มไ่ ดใ้ นทใ่ี ด, การหย่งั ลงแห่งนามรูป ยอ่ มไม่มี ในทีน่ ัน้ . การหยงั่ ลงแหง่ นามรูป ไม่มใี นทใี่ ด, ความเจริญ แห่งสังขารทง้ั หลาย ยอ่ มไม่มี ในที่นน้ั . ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในท่ีใด, การบังเกดิ ในภพใหม่ต่อไปยอ่ มไมม่ ี ในท่นี ้ัน. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติ ชรามรณะต่อไป ยอ่ มไมม่ ี ในทน่ี นั้ . ชาตชิ รามรณะตอ่ ไป ไม่มใี นท่ีใด, ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เราเรียก “ท่ี” น้ันว่าเป็น “ที่ไม่มโี ศก ไม่มีธลุ ี ไม่มีความคับแค้น” ดังน้ี... นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๔-๑๒๕/๒๔๘-๒๔๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 311 ๑๑๘ หลักการพจิ ารณาอาหาร ภกิ ษุท้ังหลาย ! ก็ กพฬีการาหาร (อาหารคือ คำ�ขา้ ว) จะพงึ เหน็ ได้อยา่ งไร ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เปรยี บเหมอื นภรรยาสามสี องคน ถือเอาเสบียงส�ำ หรบั เดนิ ทางเลก็ น้อย เดินไปสหู่ นทางอนั กนั ดาร สองสามีภรรยาน้ัน มีบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารัก น่าเอ็นดูอยู่คนหนึ่ง เม่ือขณะเขาทั้งสองกำ�ลังเดินไป ตามทางอนั กนั ดารอยนู่ น้ั เสบยี งส�ำ หรบั เดนิ ทางทเ่ี ขามอี ยู่ เพียงเล็กน้อยนั้น ได้หมดสิ้นไป หนทางอันกันดารน้ัน ยงั เหลอื อยู่ เขาทง้ั สองนน้ั ยงั ไมเ่ ดนิ ขา้ มหนทางอนั กนั ดาร น้นั ไปได้ คร้งั น้นั แล สองภรรยาสามีน้นั ได้มาคิดกันว่า “เสบยี งส�ำ หรบั เดนิ ทางของเราทง้ั สองทม่ี อี ยเู่ พยี งเลก็ นอ้ ยน้ี ได้หมดสิน้ ลงแล้ว หนทางอนั กันดารนีย้ งั เหลอื อยู่ ทง้ั เรา ก็ยงั ไม่เดินข้ามหนทางอนั กนั ดารนไ้ี ปได้ อยา่ กระนั้นเลย เราทง้ั สองคน พงึ ฆา่ บตุ รนอ้ ยคนเดยี วผนู้ า่ รกั นา่ เอน็ ดนู เ้ี สยี แลว้ ท�ำ ใหเ้ ปน็ เนอ้ื เคม็ และเนอ้ื ยา่ ง บรโิ ภคเนอ้ื บตุ รนแ้ี หละ
3132 พุทธวจน เดินข้ามหนทางอันกันดารท่ียังเหลืออยู่น้ีกันเถิด เพราะ ถา้ ไมท่ �ำ เชน่ น้ี พวกเราทง้ั สามคนจะตอ้ งพากนั พนิ าศหมดแน”่ ดงั น.้ี ครั้งนนั้ แล ภรรยาสามที ง้ั สองนั้น จงึ ฆา่ บุตรนอ้ ย คนเดยี วผนู้ ่ารกั น่าเอ็นดูนั้น แล้วทำ�ให้เปน็ เน้ือเค็ม และ เนอ้ื ยา่ ง บรโิ ภคเนอ้ื บตุ รนน้ั เทยี ว เดนิ ขา้ มหนทางอนั กนั ดาร ทย่ี งั เหลอื อยนู่ น้ั สองภรรยาสามนี น้ั บรโิ ภคเนอ้ื บตุ รไปพลาง พรอ้ มกบั คอ่ นอกไปพลาง ร�ำ พันว่า “บุตรน้อยคนเดียว ของเราไปไหนเสีย บุตรน้อยคนเดยี วของเราไปไหนเสีย” ดงั นี้. ภิกษทุ ้งั หลาย ! เธอทง้ั หลายจะส�ำ คญั ความขอ้ น้ี ว่าอยา่ งไร ? สองภรรยาสามีนั้นจะพึงบริโภคเน้ือบุตรเป็น อาหาร เพอ่ื ความเพลิดเพลินสนกุ สนานบ้าง เพื่อความ มวั เมาบา้ ง เพอ่ื ความประดบั ประดาบา้ ง หรอื เพ่อื ตกแตง่ (ร่างกาย) บา้ ง หรือหนอ ? ภิกษุท้ังหลายเหล่านนั้ กราบทูลว่า “ขอ้ นั้นหาเปน็ เช่นนัน้ ไม่ พระเจา้ ข้า !”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 313 แลว้ ตรสั ตอ่ ไปวา่ “ถา้ อยา่ งนน้ั สองภรรยาสามนี น้ั จะพงึ บรโิ ภคเนอ้ื บตุ รเปน็ อาหารเพยี งเพอ่ื (อาศยั ) เดนิ ขา้ ม หนทางอันกันดารเท่านนั้ ใช่ไหม ?”. “ใช่ พระเจา้ ข้า !”. ภิกษุท้งั หลาย ! ขอ้ นม้ี อี ปุ มาฉนั ใด, เรายอ่ มกลา่ ววา่ กพฬกี าราหาร อนั อรยิ สาวกพึงเห็น (วา่ มอี ุปมาเหมือนเน้อื บุตร) ฉันน้นั . ภิกษุทัง้ หลาย ! เมื่อกพฬกี าราหาร อนั อรยิ สาวกกำ�หนดรไู้ ดแ้ ล้ว, ราคะ (ความก�ำ หนัด) ทม่ี ีกามคุณท้งั ๕ เปน็ แดนเกิด ยอ่ มเปน็ ส่งิ ท่อี รยิ สาวกนัน้ ก�ำ หนดรู้ไดแ้ ลว้ ด้วย; เมือ่ ราคะทีม่ กี ามคณุ ทง้ั ๕ เปน็ แดนเกิด เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวกนัน้ กำ�หนดรไู้ ด้แลว้ , สงั โยชนช์ นดิ ทอ่ี รยิ สาวกประกอบเข้าแล้ว จะพงึ เป็นเหตใุ หม้ าสโู่ ลกนีไ้ ด้อีก ยอ่ มไม่ม.ี นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๘/๒๔๐.
3145 พุทธวจน ๑๑๙ หมดความพอใจ ก็ส้ินทกุ ข์ นะตยิ า อะสะติ อาคะติคะติ นะ โหติ เมอื่ ความน้อมไป ไมม่ ี, การมาและการไป ย่อมไมม่ ี อาคะตคิ ะตยิ า อะสะติ จุตปู ะปาโต นะ โหติ เมอ่ื การมาและการไป ไมม่ ี, การเคลอ่ื นและการเกิดข้นึ ย่อมไม่มี จุตูปะปาเต อะสะติ เนวธิ ะ นะ หรุ ัง นะ อภุ ะยะมันตะเร เมือ่ การเคลอื่ นและการเกิดขึ้น ไม่มี, อะไรๆ กไ็ ม่มีในโลกน้ี ไม่มใี นโลกอ่ืน ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง เอเสวนั โต ทุกขัสสะ นน่ั แหละ คือทส่ี ุดแหง่ ทุกขล์ ะ. อ.ุ ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 315 ๑๒๐ ความรสู้ กึ ภายในใจ เมือ่ ละตัณหา (ความอยาก) ได้ เราเมื่อยังคน้ ไม่พบแสงสว่าง, มวั เสาะหานายชา่ ง ปลกู เรอื น (คือตัณหา ผกู้ อ่ สร้างเรอื นคอื อตั ตภาพ) อย,ู่ ได้ ท่องเที่ยวไปในสงั สารวัฏ กลา่ วคอื ความเกิดแล้ว เกดิ อกี เปน็ อเนกชาติ ความเกิดเป็นทุกขร์ ำ�่ ไปทกุ ชาต.ิ แนะ่ นายช่างผปู้ ลกู สร้างเรือน ! เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว, เจ้าจักสร้างเรือนให้เรา ตอ่ ไปอีกไมไ่ ด,้ โครงเรอื น (คอื กเิ ลสทเ่ี หลอื เปน็ เชอ้ื เกดิ ใหม)่ ของเจา้ เราหกั เสยี ยบั เยินหมดแลว้ ยอดเรือน (คืออวชิ ชา) เราขยีเ้ สยี แล้ว, จติ ของเรา ถึงความเป็นธรรมชาติ ทอ่ี ารมณ์จะยแุ หย่ ย่วั เย้าไม่ไดเ้ สียแล้ว มันได้ลถุ ึงความหมดอยากทกุ อย่าง. ธ. ขุ. ๒๕/๓๕/๒๑.
ลักษณะภิกษุผูมีศีล
3198 พุทธวจน ๑๒๑ ผู้ช้ีชวนวิงวอน ยํ ภิกฺขเว สตถฺ ารา กรณยี ํ สาวกานํ หเิ ตสนิ า อนุกมปฺ เกน อนกุ มปฺ ํ อุปาทาย กตํ โว ตํ มยา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! กจิ อนั ใด ทศ่ี าสดาผเู้ อน็ ดแู สวงหาประโยชน์ เกอ้ื กลู อาศยั ความเอน็ ดแู ลว้ จะพงึ ท�ำ แกส่ าวกทง้ั หลาย, กจิ อนั นน้ั เราไดท้ �ำ แลว้ แกพ่ วกเธอทง้ั หลาย. เอตานิ ภกิ ขฺ เว รกุ ขฺ มลู านิ เอตานิ สญุ ฺญาคารานิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นน่ั โคนไมท้ ง้ั หลาย, นน่ั เรอื นวา่ งทง้ั หลาย. ฌายถ ภกิ ฺขเว มา ปมาทตถฺ ภกิ ษุท้งั หลาย ! พวกเธอทั้งหลายจงเพยี รเผากิเลส, อย่าไดป้ ระมาท. มา ปจฉฺ า วิปฺปฏิสารโิ น อหุวตถฺ พวกเธอทง้ั หลาย อยา่ ไดเ้ ปน็ ผทู้ ต่ี อ้ งรอ้ นใจ ในภายหลงั เลย. อยํ โว อมฺหากํ อนสุ าสนี นแ่ี ล เปน็ วาจาเครอ่ื งพร�ำ่ สอนพวกเธอทง้ั หลายของเรา. สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑/๖๗๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 319 ๑๒๒ ลักษณะของภิกษุผ้มู ศี ีล (นัยท่ี ๑) มหาราชะ ! ภิกษเุ ป็นผู้มีศีลสมบูรณแ์ ลว้ เป็นอย่างไรเล่า ? มหาราชะ ! ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ละปาณาตบิ าต เว้นขาดจากปาณาตบิ าต วางท่อนไม้และศสั ตราเสยี แล้ว มีความละอาย ถึงความเอน็ ดูกรุณาหวงั ประโยชน์เก้ือกูล ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหน่ึง, เปน็ ผูล้ ะอทนิ นาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน ถอื เอาแตข่ องท่ีเขาใหแ้ ล้ว หวังอยแู่ ตข่ องทีเ่ ขาให้ เปน็ คน สะอาด ไมเ่ ปน็ ขโมยอย;ู่ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ , เป็นผู้ละกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ ประพฤติ พรหมจรรย์โดยปกติ ประพฤติห่างไกล เวน้ ขาดจากการ เสพเมถนุ อันเป็นของชาวบ้าน; แม้น้ี กเ็ ป็นศีลของเธอ ประการหนง่ึ ,
3210 พุทธวจน เป็นผลู้ ะมุสาวาท เวน้ ขาดจากมสุ าวาท พดู แต่ ความจรงิ รกั ษาความสตั ย์ มน่ั คงในค�ำ พดู ควรเชอ่ื ถอื ได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก; แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอ ประการหน่ึง, เป็นผู้ละคำ�ส่อเสียด เว้นขาดจากคำ�ส่อเสียด ไดฟ้ งั จากฝา่ ยนแ้ี ลว้ ไมเ่ กบ็ ไปบอกฝา่ ยโนน้ เพอ่ื ใหฝ้ า่ ยน้ี แตกรา้ วกนั หรอื ไดฟ้ งั จากฝา่ ยโนน้ แลว้ ไมน่ �ำ มาบอกแกฝ่ า่ ยน้ี เพอ่ื ให้ฝา่ ยโน้นแตกร้าวกัน แตจ่ ะสมานคนท่ีแตกกันแลว้ ให้กลับพร้อมเพรยี งกนั อดุ หนนุ คนท่ีพรอ้ มเพรียงกันอยู่ ให้พร้อมเพรยี งกนั ย่ิงขึ้น เปน็ คนชอบในการพรอ้ มเพรยี ง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการ พร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำ�ให้พร้อมเพรียงกัน; แมน้ ้ี กเ็ ป็นศลี ของเธอประการหนง่ึ , เป็นผู้ละการกล่าวคำ�หยาบเสีย เว้นขาดจาก การกล่าวคำ�หยาบ กล่าวแต่วาจาท่ีไม่มโี ทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำ�ฟูใจ เป็นคำ�สุภาพที่ชาวเมือง เขาพูดกัน เป็นทใี่ คร่ที่พอใจของมหาชน; แม้น้ี กเ็ ป็นศลี ของเธอประการหน่งึ ,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 321 เปน็ ผลู้ ะค�ำ พดู ทโ่ี ปรยประโยชนท์ ง้ิ เสยี เวน้ ขาด จากการพดู เพอ้ เจอ้ กลา่ วแตใ่ นเวลาอนั สมควร กลา่ วแต่ คำ�จริงเปน็ ประโยชน์ เปน็ ธรรม เปน็ วินยั กล่าวแตว่ าจา มที ต่ี ง้ั มหี ลกั ฐานทอ่ี า้ งองิ มเี วลาจบ ประกอบดว้ ยประโยชน์ สมควรแกเ่ วลา; แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนง่ึ .
3223 พุทธวจน ๑๒๓ ลกั ษณะของภกิ ษุผมู้ ศี ลี (นยั ท่ี ๒) มหาราชะ ! ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ เป็นผู้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว, เว้นจาก การฉนั ในราตรแี ละวกิ าล, เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนร�ำ การขับร้อง การ ประโคมและการดกู ารเล่นชนดิ เปน็ ขา้ ศกึ แกก่ ศุ ล, เปน็ ผู้เวน้ ขาดจากการประดบั ประดา คือทดั ทรง ตกแต่งด้วยมาลาและของหอมและเครอื่ งลบู ทา, เป็นผเู้ ว้นขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่, เปน็ ผ้เู วน้ ขาดจากการรบั เงนิ และทอง, เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรับขา้ วเปลือก, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับเน้อื ดิบ, เป็นผเู้ ว้นขาดจากการรบั หญงิ และเด็กหญงิ , เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย, เปน็ ผเู้ ว้นขาดจากการรบั แพะ แกะ ไก่ สกุ ร ชา้ ง โค ม้า ท้ังผู้และเมีย,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 323 เป็นผู้เว้นขาดจากการรบั ท่นี าและท่ีสวน, เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรบั ใชเ้ ปน็ ทตู ไปในทต่ี า่ งๆ, เป็นผเู้ วน้ ขาดจากการซื้อและการขาย, เปน็ ผูเ้ วน้ ขาดจากการโกงดว้ ยตาชงั่ การลวงดว้ ย ของปลอมและการฉ้อด้วยเครือ่ งนับ, เป็นผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยการนับสินบนและ ลอ่ ลวง, เปน็ ผู้เว้นขาดจากการตัด การฆา่ การจ�ำ จอง การ ซุ่มทำ�ร้าย การปล้นและการกรรโชก, แมน้ ้ี กเ็ ป็นศีลของเธอประการหน่ึง,
3245 พุทธวจน ๑๒๔ ลักษณะของภิกษผุ มู้ ีศีล (นัยที่ ๓) อีกอยา่ งหน่ึง เมือ่ สมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉันโภชนะทท่ี ายกถวายด้วยศรทั ธาแลว้ ท่านเหลา่ นน้ั ยงั ท�ำ พีชคามและภตู คามให้กำ�เริบ, คืออะไรบา้ ง ? คือพืชท่ี เกดิ แตร่ าก พชื ทเ่ี กดิ แตต่ น้ พชื ทเ่ี กดิ แตผ่ ล พชื ทเ่ี กดิ แตย่ อด และพชื ที่เกิดแตเ่ มล็ดเปน็ ทหี่ า้ . ส่วนภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการทำ�พีชคามและภูตคาม เหน็ ปานน้นั ให้กำ�เริบแล้ว แมน้ ี้ ก็เปน็ ศีลของเธอประการหน่งึ . อีกอยา่ งหน่ึง เมอื่ สมณะหรอื พราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผทู้ �ำ การบรโิ ภคสะสมอยเู่ นอื งๆ, คอื อะไรบา้ ง ? คอื สะสมขา้ ว บา้ ง สะสมน้�ำ ดม่ื บ้าง สะสมผา้ บา้ ง สะสมยานพาหนะบา้ ง สะสมเครอ่ื งนอนบา้ ง สะสมของหอมบา้ ง สะสมอามสิ บา้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการบรโิ ภคสะสม เห็นปานนัน้ เสียแลว้ แม้น้ี ก็เปน็ ศีลของเธอประการหนง่ึ .
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 325 อกี อยา่ งหน่งึ เมอ่ื สมณะหรอื พราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผดู้ กู ารละเลน่ กนั อยเู่ นอื งๆ, คอื อะไรบา้ ง ? คอื ดฟู อ้ น ฟงั ขับ ฟงั ประโคม ดไู ม้ลอย ฟงั นยิ าย ฟงั เพลงปรบมอื ฟงั ตฆี ้อง ฟังตีระนาด ดหู นุ่ ยนต์ ฟังเพลงขอทาน ฟังแคน ดเู ลน่ หนา้ ศพ ดูชนชา้ ง แข่งมา้ ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ ชนนกกระทา ดรู �ำ ไม้ ร�ำ มอื ชกมวย ดเู ขารบ กนั ดเู ขาตรวจพล ดเู ขาตั้งกระบวนทพั ดกู องทพั ท่จี ดั ไว้. สว่ นภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ เธอเว้นขาดจากการดกู ารเลน่ เห็นปานนนั้ เสียแลว้ แมน้ ้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง, อกี อยา่ งหน่ึง เมือ่ สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ส�ำ เรจ็ การเป็นอยู่ด้วยการเล้ียงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เหน็ ปานนอ้ี ย,ู่ คอื อะไรบา้ ง ? คอื ทายลกั ษณะในรา่ งกายบา้ ง ทายนิมติ ลางดลี างร้ายบา้ ง ทายอุปปาตะ คือของตกบ้าง ท�ำ นายฝนั ทายชะตา ทายผา้ หนกู ดั ท�ำ พธิ โี หมเพลงิ ท�ำ พธิ ี เบกิ แวน่ เวยี นเทยี น ท�ำ พธิ ซี ดั โปรยแกลบ ท�ำ พธิ ซี ดั โปรยร�ำ
3276 พพุทุทธธววจจนน ทำ�พธิ ซี ดั โปรยข้าวสาร ท�ำ พิธีจองเปรียง ทำ�พธิ ีจดุ ไฟบูชา ทำ�พิธีเสกเปา่ ทำ�พิธพี ลดี ้วยโลหิตบา้ ง เปน็ หมอดูอวยั วะ รา่ งกาย หมอดภู ูมทิ ่ีต้ังบา้ นเรือน ดลู กั ษณะไร่นา เป็น หมอปลุกเสก เป็นหมอผี เปน็ หมอทำ�ยันตก์ ันบา้ นเรอื น หมองู หมอดบั พิษ หมอแมลงปอ่ ง หมอหนูกัด หมอทาย เสยี งนก เสยี งกา หมอทายอายุ หมอกนั ลกู ศร หมอดรู อยสตั ว.์ สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เหน็ ปานนั้นเสียแล้ว. แม้นี้ กเ็ ป็น ศลี ของเธอประการหนงึ่ , อีกอย่างหน่งึ เมอื่ สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ส�ำ เรจ็ การเป็นอยู่ด้วยการเล้ียงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เหน็ ปานนอ้ี ย,ู่ คอื อะไรบา้ ง ? คอื ท�ำ นายจนั ทรคราส สรุ ยิ คราส นกั ษตั รคราส ท�ำ นายดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ ดาวพระเคราะห์ วา่ จกั เดนิ ในทางบา้ ง นอกทางบา้ ง, ท�ำ นายวา่ จกั มอี กุ กาบาต ฮมู เพลงิ แผน่ ดนิ ไหว ฟา้ รอ้ งบา้ ง ท�ำ นายการขน้ึ การตก การหมอง การแผ้วของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาว จะมีผลเป็นอย่างน้ันๆ ดังน้ีบ้าง. ส่วนภิกษุในศาสนาน้ี
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 327 เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะท�ำ เดรจั ฉานวชิ า เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ . แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ , อีกอยา่ งหนงึ่ เม่ือสมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ส�ำ เรจ็ การเป็นอยู่ด้วยการเล้ียงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนีอ้ ยู่, คืออะไรบา้ ง ? คอื ทำ�นายว่าจักมฝี นดบี ้าง จกั มีฝนแลง้ บา้ ง อาหารหางา่ ย อาหารหายาก จักมคี วาม สบาย จกั มีความทกุ ข์ จักมีโรค จกั ไม่มีโรคบา้ ง ท�ำ นาย การนับคะแนน คิดเลข ประมวล, แตง่ กาพยก์ ลอน สอน ตำ�ราว่าด้วยทางโลก ดงั น้บี า้ ง. ส่วนภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะท�ำ เดรจั ฉานวชิ า เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ . แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ , อกี อยา่ งหนึ่ง เมื่อสมณะหรอื พราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ส�ำ เรจ็ การเป็นอยู่ด้วยการเล้ียงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานน้ีอยู่, คืออะไรบ้าง ? คือ ดูฤกษ์อาวาหะ ดู ฤกษว์ ิวาหะ ดูฤกษ์ท�ำ การผูกมติ ร ดูฤกษท์ �ำ การแตกรา้ ว
3298 พุทธวจน ดฤู กษท์ �ำ การเกบ็ ทรพั ย์ ดฤู กษท์ �ำ การจา่ ยทรพั ย,์ ดโู ชคดี โชครา้ ยบา้ ง, ใหย้ าบ�ำ รงุ ครรภบ์ า้ ง รา่ ยมนตผ์ กู ยดึ ปดิ อดุ บา้ ง, ร่ายมนต์สลัด ร่ายมนต์กนั้ เสียง เปน็ หมอเชิญผีถามบา้ ง เชิญเจา้ เขา้ หญิงถามบ้าง ถามเทวดาบ้าง ทำ�พธิ ีบวงสรวง พระอาทิตย์ บวงสรวงมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ร่ายมนต์เรียกขวัญให้บ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะท�ำ เดรจั ฉานวชิ า เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ . แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ , อีกอย่างหน่ึง เมอื่ สมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ส�ำ เรจ็ การเป็นอยู่ด้วยการเล้ียงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เหน็ ปานนอ้ี ย,ู่ คอื อะไรบา้ ง ? คอื บนขอลาภผลตอ่ เทวดา ทำ�การบวงสรวงแก้บน สอนมนต์กันผีกันบ้านเรือน ท�ำ กะเทยใหเ้ ปน็ ชาย ท�ำ ชายใหเ้ ปน็ กะเทย ท�ำ พธิ ปี ลกู เรอื น ท�ำ การบวงสรวงในทป่ี ลกู เรอื น พน่ น�ำ้ มนต์ บชู าเพลงิ ใหบ้ า้ ง ประกอบยาสำ�รอกให้บ้าง ประกอบยาประจุ ประกอบ ยาถ่ายโทษข้างบน ประกอบยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำ�มัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360