ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 29 ๙ หลักการด�ำ รงชีพ เพ่ือประโยชนส์ ขุ ในวนั น้ี พ๎ยัคฆปชั ชะ ! ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้ เป็นไปเพ่อื ประโยชนเ์ ก้ือกลู เพ่ือความสุข แกก่ ุลบตุ ร ในปัจจบุ นั (ทฏิ ฐธรรม). ๔ ประการ อย่างไรเลา่ ? ๔ ประการ คอื :- (๑) ความขยันในอาชพี (อฏุ ฐานสมั ปทา) (๒) การรักษาทรัพย์ (อารักขสัมปทา) (๓) ความมมี ิตรดี (กัลยาณมติ ตตา) (๔) การดำ�รงชวี ติ สม�่ำ เสมอ (สมชวี ิตา) ความขยันในอาชีพ พย๎ คั ฆปชั ชะ ! ความขยนั ในอาชพี (อฏุ ฐานสมั ปทา) เปน็ อย่างไรเล่า ? พย๎ คั ฆปชั ชะ ! กลุ บตุ รในกรณนี ้ี ส�ำ เรจ็ การเปน็ อยู่ ดว้ ยการลกุ ขน้ึ กระท�ำ การงานคอื ดว้ ยกสกิ รรมหรอื วานชิ กรรม
301 พุทธวจน โครกั ขกรรม อาชพี ผถู้ อื อาวธุ อาชพี ราชบรุ ษุ หรอื ดว้ ย ศลิ ปะอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในอาชพี นน้ั ๆ เขาเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญ ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยการสอดส่องในอุบายน้ันๆ สามารถกระทำ� สามารถจัดให้กระท�ำ . พ๎ยัคฆปชั ชะ ! นี้เรียกวา่ ความขยันในอาชีพ. การรักษาทรพั ย์ พ๎ยัคฆปัชชะ ! การรกั ษาทรพั ย์ (อารกั ขสมั ปทา) เป็นอยา่ งไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้, โภคทรัพย์ อันกุลบุตรหาได้มาด้วยความเพียร เป็นเคร่ืองลุกข้ึน รวบรวมมาด้วยกำ�ลังแขน มีตัวชุ่มด้วยเหงื่อ เป็น โภคทรัพย์ประกอบดว้ ยธรรม ได้มาโดยธรรม, เขารกั ษา คุ้มครองอยา่ งเตม็ ท่ี ด้วยหวังว่า “อย่างไรเสยี พระราชา จะไมร่ บิ ทรพั ยข์ องเราไป โจรจะไมป่ ลน้ เอาไป ไฟจะไมไ่ หม้ น�ำ้ จะไมพ่ ดั พาไป ทายาทอนั ไมร่ กั ใครเ่ รา จะไมย่ อ้ื แยง่ เอาไป” ดังนี้. พ๎ยคั ฆปัชชะ ! นีเ้ รียกว่า การรกั ษาทรัพย.์
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 31 ความมมี ิตรดี พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความมีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา) เปน็ อย่างไรเลา่ ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีน้ี อยู่อาศัย ในบา้ นหรอื นคิ มใด, ถา้ มบี คุ คลใดๆ ในบา้ นหรอื นคิ มนน้ั เปน็ คหบดหี รอื บตุ รคหบดกี ด็ ี เปน็ คนหนมุ่ ทเ่ี จรญิ ดว้ ยศลี หรือเป็นคนแก่ที่เจริญด้วยศีลก็ดี ล้วนแต่ถึงพร้อมด้วย ศรัทธา ถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี ถึงพร้อมด้วยจาคะ ถงึ พรอ้ ม ด้วยปัญญา อยู่แล้วไซร้, กุลบุตรน้ันก็ดำ�รงตนร่วม พดู จารว่ ม สากจั ฉาร่วม กับชนเหลา่ นัน้ . เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยศรัทธาโดย อนรุ ปู แกบ่ คุ คลผูถ้ ึงพร้อมดว้ ยศรัทธา. เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยศีลโดย อนรุ ปู แก่บุคคลผู้ถงึ พร้อมดว้ ยศลี . เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยจาคะโดย อนุรปู แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ. เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยปัญญาโดย อนรุ ูป แกบ่ ุคคลผ้ถู งึ พรอ้ มด้วยปญั ญา อยใู่ นทนี่ ัน้ ๆ. พ๎ยคั ฆปชั ชะ ! นี้เรียกวา่ ความมมี ิตรด.ี
323 พุทธวจน การด�ำ รงชีวติ สม�่ำ เสมอ พ๎ยัคฆปชั ชะ ! การด�ำ รงชวี ติ สม�ำ่ เสมอ (สมชวี ติ า) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้ รู้จักความ ไดม้ าแหง่ โภคทรพั ย์ รจู้ กั ความสน้ิ ไปแหง่ โภคทรพั ย์ แลว้ ด�ำ รงชวี ติ อยอู่ ยา่ งสม�ำ่ เสมอ ไมฟ่ มุ่ เฟอื ยนกั ไมฝ่ ดื เคอื งนกั โดยมหี ลกั วา่ “รายไดข้ องเราจกั ทว่ มรายจา่ ย และรายจา่ ย ของเราจกั ไมท่ ว่ มรายรบั ด้วยอาการอย่างน้ี” ดงั น้ี. พย๎ คั ฆปชั ชะ ! เปรยี บเหมอื นคนถือตาชง่ั หรอื ลกู มอื ของเขา ยกตาชง่ั ขึน้ แลว้ ก็รู้วา่ “ยังขาดอยเู่ ทา่ นี้ หรือเกินไปแล้วเท่านี้” ดังนี้ฉันใด; กุลบุตรนี้ ก็ฉันนั้น : เขารู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์ รู้จักความสิ้นไปแห่ง โภคทรพั ย์ แลว้ ด�ำ รงชวี ติ อยอู่ ยา่ งสม�ำ่ เสมอ ไมฟ่ มุ่ เฟอื ยนกั ไมฝ่ ดื เคอื งนกั โดยมหี ลกั วา่ “รายไดข้ องเราจกั ทว่ มรายจา่ ย และรายจา่ ยของเราจกั ไมท่ ว่ มรายรบั ดว้ ยอาการอยา่ งน”้ี ดังน้ี.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 33 พ๎ยัคฆปัชชะ ! ถา้ กลุ บตุ รน ้ี เปน็ ผมู้ รี ายไดน้ อ้ ย แตส่ �ำ เรจ็ การเปน็ อยอู่ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ยแลว้ ไซร้ กจ็ ะมผี กู้ ลา่ ววา่ กุลบุตรน้ีใชจ้ ่ายโภคทรัพย์ (อยา่ งสรุ ุ่ยสุร่าย) เหมือนคนกนิ ผลมะเดือ่ ฉันใดกฉ็ ันนนั้ . พ๎ยัคฆปัชชะ ! แต่ถ้ากุลบุตร เป็นผู้มีรายได้ มหาศาล แตส่ �ำ เร็จการเปน็ อยู่อยา่ งแร้นแค้นแลว้ ไซร้ ก็ จะมผี กู้ ลา่ ววา่ กลุ บตุ รนจ้ี กั ตายอดตายอยากอยา่ งคนอนาถา. พ๎ยัคฆปัชชะ ! เมอ่ื ใด กลุ บตุ รน้ี รจู้ กั ความไดม้ า แหง่ โภคทรพั ย์ รจู้ กั ความสน้ิ ไปแหง่ โภคทรพั ย์ แลว้ ด�ำ รง ชวี ติ อยอู่ ยา่ งสม�ำ่ เสมอ ไมฟ่ มุ่ เฟอื ยนกั ไมฝ่ ดื เคอื งนกั โดย มหี ลกั วา่ “รายไดข้ องเราจกั ทว่ มรายจา่ ย และรายจา่ ยของเรา จกั ไม่ท่วมรายรบั ดว้ ยอาการอย่างนี้” ดงั น;ี้ พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เราเรียกว่า การดำ�รงชีวิต สม่�ำ เสมอ. พย๎ คั ฆปชั ชะ ! ธรรม ๔ ประการเหล่าน้ีแล เป็นธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เก้ือกูล เพื่อความสุข ของกลุ บุตร ในทิฏฐธรรม. อฏฺ ก. อ.ํ ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
354 พุทธวจน ๑๐ หลกั การด�ำ รงชีพ เพอ่ื ประโยชน์สขุ ในวันหนา้ พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี เปน็ ไป เพอ่ื ประโยชนเ์ กอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ ของกลุ บตุ ร ในเบอ้ื งหนา้ (สมั ปรายะ). ๔ ประการ อยา่ งไรเลา่ ? ๔ ประการ คือ :- (๑) ความถึงพร้อมดว้ ยศรัทธา (สทั ธาสมั ปทา) (๒) ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี (สีลสมั ปทา) (๓) ความถงึ พรอ้ มดว้ ยการบรจิ าค (จาคสมั ปทา) (๔) ความถงึ พรอ้ มดว้ ยปญั ญา (ปญั ญาสมั ปทา) พย๎ คั ฆปชั ชะ ! ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา (สทั ธาสมั ปทา) เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? พย๎ ัคฆปชั ชะ ! กุลบุตรในกรณีน้ี เป็นผู้มี ศรทั ธา เชอ่ื ในการตรสั รขู้ องตถาคตวา่ “เพราะเหตอุ ยา่ งนๆ้ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส เปน็ ผตู้ รสั รชู้ อบ ได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 35 เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลกอยา่ งแจม่ แจง้ เปน็ ผสู้ ามารถ ฝกึ บุรษุ ที่สมควรฝกึ ได้อย่างไมม่ ีใครยิง่ กว่า เป็นครผู ู้สอน ของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน ดว้ ยธรรม เปน็ ผมู้ คี วามจ�ำ เรญิ จ�ำ แนกธรรมสง่ั สอนสตั ว”์ ดงั น.้ี พย๎ คั ฆปชั ชะ ! นเ้ี รยี กวา่ ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศรทั ธา. พย๎ ัคฆปัชชะ ! ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี (สลี สมั ปทา) เปน็ อย่างไรเลา่ ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กลุ บตุ รในกรณนี ้ ี เปน็ ผเู้ วน้ ขาด จากปาณาตบิ าต เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากอทนิ นาทาน เปน็ ผเู้ วน้ ขาด จากกาเมสมุ จิ ฉาจาร เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากมสุ าวาท เปน็ ผเู้ วน้ ขาด จากสรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน. พย๎ คั ฆปชั ชะ ! นเ้ี รยี กวา่ ความถึงพรอ้ มดว้ ยศีล. พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค (จาคสัมปทา) เปน็ อย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กลุ บตุ รในกรณนี ้ี มใี จปราศจาก ความตระหนี่อันเป็นมลทิน อยู่ครองเรือน มีจาคะอัน ปล่อยอยู่เป็นประจำ� มีฝ่ามืออันชุ่มเป็นปกติ ยินดีแล้ว ในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีแล้วในการจำ�แนกทาน. พย๎ คั ฆปัชชะ ! นีเ้ รียกว่า ความถึงพรอ้ มดว้ ยการบริจาค.
367 พพุทุทธธววจจนน พ๎ยคั ฆปชั ชะ ! ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (ปญั ญาสัมปทา) เปน็ อย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กลุ บตุ รในกรณนี ้ี เปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ประกอบด้วยปัญญาเคร่ืองให้ถึงสัจจะแห่งการเกิดดับ เป็นเครื่องไปจากข้าศึก เปน็ เครือ่ งเจาะแทงกิเลส เปน็ เครอ่ื งถงึ ซง่ึ ความสน้ิ ไปแหง่ ทกุ ขโ์ ดยชอบ. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นีเ้ รยี กว่า ความถงึ พรอ้ มดว้ ยปญั ญา. พย๎ คั ฆปชั ชะ ! ธรรม ๔ ประการเหลา่ นีแ้ ล เป็นธรรม เป็นไปเพ่ือประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความสุข ของกุลบตุ ร ในเบื้องหนา้ . อฏฺ ก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 37 ๑๑ เหตุเสื่อมและเหตเุ จรญิ แห่งทรพั ย์ เหตุเสอื่ มแห่งทรพั ย์ ๔ ประการ พย๎ คั ฆปัชชะ ! โภคทรัพย์ท่เี กิดข้นึ โดยชอบ… ยอ่ มมีทางเสอื่ ม ๔ ประการ คือ :- (๑) ความเปน็ นกั เลงหญงิ (๒) ความเป็นนกั เลงสรุ า (๓) ความเปน็ นักเลงการพนนั (๔) ความมีมติ รสหายเพ่อื นฝูงเลวทราม พ๎ยัคฆปชั ชะ ! เปรยี บเหมอื นทางน�ำ้ เขา้ ๔ ทาง ทางน้ำ�ออก ๔ ทาง ของบงึ ใหญม่ ีอย,ู่ บุรษุ ปิดทางน้�ำ เข้า เหล่านั้นเสีย และเปิดทางน้ำ�ออกเหล่านั้นด้วย ทั้งฝนก็ ไม่ตกลงมาตามทคี่ วร. พย๎ ัคฆปัชชะ ! เมอ่ื เปน็ อยา่ งนน้ั ความเหอื ดแหง้ เทา่ นน้ั ทห่ี วงั ไดส้ �ำ หรบั บงึ ใหญน่ น้ั ความเตม็ เปย่ี ม ไม่มีทาง ท่ีจะหวังได้ นฉ้ี นั ใด;
398 พุทธวจน พ๎ยคั ฆปัชชะ ! ผลที่จะเกิดข้ึนก็ฉันนั้นสำ�หรับ โภคทรพั ย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบอยา่ งน้แี ล้ว ยอ่ มมที างเส่อื ม ๔ ประการ คอื :- (๑) ความเป็นนักเลงหญิง (๒) ความเป็นนกั เลงสุรา (๓) ความเปน็ นักเลงการพนนั (๔) ความมีมิตรสหายเพ่ือนฝงู เลวทราม. เหตุเจริญแห่งทรัพย์ ๔ ประการ พ๎ยัคฆปัชชะ ! โภคทรัพย์ท่ีเกิดขึ้นโดยชอบ… ย่อมมที างเจรญิ ๔ ประการ คือ :- (๑) ความไมเ่ ปน็ นกั เลงหญิง (๒) ไม่เป็นนกั เลงสรุ า (๓) ไม่เปน็ นกั เลงการพนัน (๔) มีมติ รสหายเพ่ือนฝูงท่ีดงี าม
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 39 พ๎ยคั ฆปัชชะ ! เปรยี บเหมอื นทางน�ำ้ เขา้ ๔ ทาง ทางน้ำ�ออก ๔ ทาง ของบึงใหญ่, บุรุษเปิดทางน้ําเข้า เหล่าน้นั ด้วย และปิดทางน้ำ�ออกเหล่านั้นเสีย ทั้งฝนก็ ตกลงมาตามทค่ี วรดว้ ย. พย๎ ัคฆปัชชะ ! เมอ่ื เปน็ อยา่ งนน้ั ความเตม็ เปย่ี ม เทา่ นน้ั ทห่ี วงั ไดส้ �ำ หรบั บงึ ใหญน่ น้ั ความเหอื ดแหง้ เปน็ อนั ไม่ต้องหวงั นฉ้ี ันใด; พ๎ยัคฆปชั ชะ ! ผลที่จะเกิดข้ึนก็ฉันนั้นสำ�หรับ โภคทรัพย์ท่ีเกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ :- (๑) ความไมเ่ ปน็ นักเลงหญิง (๒) ไม่เป็นนักเลงสุรา (๓) ไมเ่ ปน็ นักเลงการพนัน (๔) มีมิตรสหายเพื่อนฝงู ทด่ี งี าม. อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
401 พุทธวจน ๑๒ อบายมขุ ๖ (ทางเสอ่ื มแหง่ ทรพั ย์ ๖ ทาง) คหบดีบตุ ร ! อริยสาวก ไม่เสพทางเส่ือม แหง่ โภคทรัพย์ ๖ ทาง (อบายมุข ๖) คือ :- (๑) การประกอบเนืองๆ ซ่ึงการด่ืมนำ้�เมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ต้ังแห่งความประมาท เป็นทางเสอ่ื มแห่งโภคทรัพย์, (๒) การประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไป ในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่ง โภคทรัพย์, (๓) การเที่ยวไปในท่ีชุมนุมแห่งความเมา (สมชชฺ าภิจรณ) เป็นทางเสอ่ื มแหง่ โภคทรัพย์, (๔) การประกอบเนอื งๆ ซึ่งการพนัน อนั เปน็ ทต่ี ้ังแห่งความประมาท เปน็ ทางเส่ือมแหง่ โภคทรพั ย์, (๕) การประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนช่ัว เป็นมิตร เป็นทางเส่ือมแหง่ โภคทรพั ย์, (๖) การประกอบเนืองๆ ซ่งึ ความเกียจคร้าน เปน็ ทางเส่อื มแหง่ โภคทรัพย.์
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 41 โทษของอบายมขุ แตล่ ะข้อ คหบดบี ตุ ร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซ่ึง การดม่ื น�ำ้ เมา คอื สรุ าและเมรยั อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาท มี ๖ ประการ คอื :- (๑) ความเส่อื มทรัพย์อนั ผดู้ ื่มพึงเหน็ เอง (๒) กอ่ การทะเลาะวิวาท (๓) เป็นบ่อเกิดแห่งโรค (๔) เป็นเหตุเสียชอ่ื เสยี ง (๕) เปน็ เหตุไมร่ ูจ้ ักละอาย (๖) เป็นเหตุทอนก�ำ ลงั ปญั ญา คหบดบี ตุ ร ! เหลา่ นีแ้ ล คอื โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนอื งๆ ซง่ึ การดม่ื น�ำ้ เมา คอื สรุ าและเมรยั อันเปน็ ทต่ี ัง้ แห่งความประมาท. คหบดีบตุ ร ! โทษในการประกอบเนอื งๆ ซ่งึ การเทีย่ วไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน มี ๖ ประการ คือ :- (๑) ผนู้ ัน้ ชอื่ ว่าไม่คมุ้ ครอง ไม่รักษาตัว (๒) ผนู้ น้ั ชอ่ื วา่ ไมค่ มุ้ ครอง ไมร่ กั ษาบตุ รภรรยา
432 พุทธวจน (๓) ผนู้ น้ั ชอ่ื วา่ ไมค่ มุ้ ครอง ไมร่ กั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ (๔) ผู้นั้นชื่อว่า เป็นที่ระแวงของคนอื่น (๕) ค�ำ พดู อนั ไมเ่ ปน็ จรงิ ในทน่ี น้ั ๆ ยอ่ มปรากฏในผนู้ น้ั (๖) เหตแุ หง่ ทกุ ขเ์ ปน็ อนั มาก ยอ่ มแวดลอ้ มผนู้ น้ั คหบดบี ตุ ร ! เหล่านีแ้ ล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซ่ึงการเท่ยี วไปในตรอกตา่ งๆ ในเวลากลางคืน. คหบดีบุตร ! โทษในการเท่ียวไปในท่ีชุมนุม แห่งความเมา มี ๖ ประการ คอื :- (๑) ร�ำ ทีไ่ หน ไปท่ีนั่น (๒) ขบั รอ้ งทีไ่ หน ไปทีน่ ั่น (๓) ประโคมท่ีไหน ไปที่นน่ั (๔) เสภาทไ่ี หน ไปทน่ี ่นั (๕) เพลงที่ไหน ไปท่ีนนั่ (๖) เถิดเทงิ ทไ่ี หน ไปทนี่ ่ัน คหบดีบุตร ! เหล่าน้แี ล คอื โทษ ๖ ประการ ในการเทย่ี วไปในทีช่ ุมนมุ แห่งความเมา.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 43 คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนอื งๆ ซง่ึ การพนนั อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาท มี ๖ ประการ คอื :- (๑) ผ้ชู นะยอ่ มกอ่ เวร (๒) ผู้แพ้ยอ่ มเสยี ดายทรัพยท์ เ่ี สยี ไป (๓) ย่อมเสื่อมทรัพยใ์ นปจั จุบัน (๔) ถ้อยคำ�ของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดในท่ี ประชุมฟงั ไม่ขน้ึ (๕) ถูกมติ ร อมาตย์หม่นิ ประมาท (๖) ไมม่ ใี ครประสงคจ์ ะแตง่ งานดว้ ย เพราะเหน็ วา่ ชายนักเลงเลน่ การพนัน ไม่สามารถจะเลยี้ งภรรยาได้ คหบดบี ุตร ! เหล่าน้ีแล คอื โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซ่ึงการพนันอันเป็นท่ีตั้งแห่ง ความประมาท. คหบดบี ุตร ! โทษในการประกอบเนอื งๆ ซง่ึ การคบคนชั่วเป็นมิตร มี ๖ ประการ คือ :- (๑) นำ�ใหเ้ ป็นนกั เลงการพนัน (๒) นำ�ใหเ้ ปน็ นกั เลงเจ้าชู้ (๓) นำ�ใหเ้ ปน็ นกั เลงเหล้า (๔) น�ำ ใหเ้ ป็นคนลวงผอู้ ่นื ดว้ ยของปลอม
454 พุทธวจน (๕) นำ�ใหเ้ ปน็ คนโกงเขาซง่ึ หน้า (๖) น�ำ ให้เปน็ คนหวั ไม้ คหบดีบตุ ร ! เหลา่ นแ้ี ล คอื โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนอื งๆ ซ่งึ การคบคนชว่ั เปน็ มิตร. คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนอื งๆ ซึ่ง ความเกยี จครา้ น มี ๖ ประการ คือ :- (๑) ชอบอ้างว่า หนาวนัก แลว้ ไม่ทำ�การงาน (๒) ชอบอา้ งวา่ ร้อนนัก แล้วไม่ท�ำ การงาน (๓) ชอบอา้ งวา่ เวลาเยน็ แลว้ แลว้ ไมท่ �ำ การงาน (๔) ชอบอ้างวา่ ยังเชา้ อยู่ แล้วไม่ทำ�การงาน (๕) ชอบอ้างวา่ หวิ นัก แล้วไมท่ �ำ การงาน (๖) ชอบอ้างวา่ กระหายนกั แลว้ ไม่ท�ำ การงาน เมอ่ื เขามากไปดว้ ยการอ้างเลศ ผลดั ผ่อนการงาน อย่อู ย่างน้ ี โภคทรัพย์ท่ยี ังไม่เกิดก็ไม่เกิดข้นึ ท่เี กิดข้นึ แล้ว ก็ถงึ ความสิ้นไป. คหบดีบตุ ร ! เหล่าน้แี ล คอื โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนอื งๆ ซง่ึ ความเกียจคร้าน. ปา. ท.ี ๑๑/๑๙๖-๑๙๘/๑๗๘-๑๘๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 45 ๑๓ การบรโิ ภคกามคณุ ทง้ั ๕ อยา่ งไมม่ โี ทษ ภิกษทุ ง้ั หลาย ! กามคุณเหลา่ น้ีมี ๕ อยา่ ง. ๕ อยา่ ง อย่างไรเลา่ ? ๕ อย่าง คอื :- รปู ทเ่ี หน็ ดว้ ยตา, เสยี งทฟ่ี งั ดว้ ยห,ู กลน่ิ ทด่ี มดว้ ย จมกู , รสทล่ี ม้ิ ดว้ ยลน้ิ และโผฏฐพั พะทส่ี มั ผสั ดว้ ยผวิ กาย อันเปน็ สิง่ ทนี่ ่าปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะ น่ารัก เป็นที่เข้าไปต้ังอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้ง แห่งความกำ�หนัด. ภิกษุท้ังหลาย ! กามคุณมี ๕ อย่าง เหลา่ นี้แล. ภกิ ษุท้งั หลาย ! ชนเหลา่ ใด จะเป็นสมณะหรือ พราหมณ์กต็ าม ตดิ อกตดิ ใจ สยบอยู่ เมาหมกอยู่ ใน กามคุณ ๕ อย่างเหล่านีแ้ ลว้ ไม่มองเหน็ ส่วนทเี่ ปน็ โทษ ไม่เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเคร่ืองออกไปจากทุกข์ ทำ�การบริโภคกามคุณทั้ง ๕ นั้นอยู่; ชนเหล่านั้น อัน คนทง้ั หลายพงึ เขา้ ใจเถดิ วา่ เปน็ ผถู้ งึ ความพนิ าศยอ่ ยยบั แลว้ แตม่ ารผมู้ บี าปตอ้ งการจะท�ำ ตามอ�ำ เภอใจอยา่ งใด ดังน้ี.
476 พพุทุทธธววจจนน ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เปรียบได้ดังเนื้อป่าท่ีติดบ่วง นอนจมอยใู่ นกองบว่ ง ในลกั ษณะทใ่ี ครๆ พงึ เขา้ ใจไดว้ า่ มนั จะถงึ ซง่ึ ความพนิ าศยอ่ ยยบั เปน็ ไปตามความประสงค์ ของพรานทกุ ประการ, เมอ่ื พรานมาถงึ เขา้ มนั จะหนไี ปไหน ไม่พน้ เลย ดังนี,้ ฉันใดกฉ็ นั น้นั . ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ส่วนชนเหลา่ ใด จะเป็นสมณะ หรือพราหมณก์ ต็ าม ไมต่ ิดใจ ไม่สยบอยู่ ไม่เมาหมกอยู่ ในกามคณุ ๕ เหลา่ น้ีแลว้ มองเหน็ สว่ นทีเ่ ปน็ โทษอยู่ เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเคร่ืองออกไปจากทุกข์ บรโิ ภคกามคณุ ทง้ั ๕ นน้ั อย;ู่ ชนเหลา่ นน้ั อนั คนทง้ั หลาย พึงเข้าใจได้อย่างนี้ว่า เป็นผู้ไม่ถึงความพินาศย่อยยับ ไปตามความประสงคข์ องมารผมู้ บี าปแตอ่ ยา่ งใด ดงั น.้ี ภิกษุท้ังหลาย ! เปรียบเหมือนเนื้อป่าตัวท่ี ไมต่ ดิ บว่ ง แมน้ อนจมอยบู่ นกองบว่ ง มนั กเ็ ปน็ สตั วท์ ใ่ี ครๆ พงึ เขา้ ใจไดว้ า่ เปน็ สตั วท์ ไ่ี มถ่ งึ ความพนิ าศยอ่ ยยบั ไปตาม ความประสงค์ของพรานแตอ่ ย่างใด, เมือ่ พรานมาถงึ เข้า มนั จะหลกี หนีไปได้ตามที่ต้องการ ดงั นี้, ฉนั ใดก็ฉนั น้ัน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 47 ภิกษุทงั้ หลาย ! (อกี อย่างหนึง่ ) เปรียบเหมือน เนอ้ื ปา่ เทย่ี วไปในปา่ กวา้ ง เดนิ อยกู่ ส็ งา่ งาม ยนื อยกู่ ส็ งา่ งาม หมอบอยกู่ ส็ งา่ งาม นอนอยกู่ ส็ งา่ งาม. เพราะเหตไุ รเลา่ ? ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุวา่ เนือ้ ป่านั้นยงั ไมม่ า สู่คลองแหง่ จักษุของพราน, ข้อน้ฉี ันใด; ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน : สงัดแล้วจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงซ่ึง ปฐมฌาณ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แลว้ แลอย.ู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษนุ ้ี เรากลา่ ววา่ ไดท้ �ำ มาร ใหเ้ ปน็ ผตู้ าบอดไมม่ รี อ่ งรอย ก�ำ จดั เสยี แลว้ ซง่ึ จกั ษแุ หง่ มาร ไปแล้วสู่ทซี่ ง่ึ มารผมู้ ีบาปมองไมเ่ ห็น. (ต่อไปน้ี ไดต้ รัสถงึ การบรรลุ ทตุ ยิ ฌาน-ตตยิ ฌาน- จตุตถฌาน-อากาสานัญจายตนะ-วิญญาณัญจายตนะ- อากิญจัญญายตนะ-เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยนัย เดียวกันกับการบรรลุปฐมฌาน เป็นลำ�ดับไป, จนกระท่ังถึง สัญญาเวทยติ นโิ รธ โดยข้อความสบื ต่อไปวา่ :-)
489 พุทธวจน ภกิ ษุท้งั หลาย ! ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั อกี : ภกิ ษกุ า้ วลว่ ง เนวสญั ญานาสญั ญายตนะโดยประการทง้ั ปวง เขา้ ถงึ ซง่ึ สญั ญาเวทยติ นโิ รธ แลว้ แลอย.ู่ อนง่ึ เพราะเหน็ แลว้ ดว้ ย ปญั ญา อาสวะทัง้ หลายของเธอกส็ น้ิ ไปรอบ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้ทำ�มาร ใหเ้ ปน็ ผตู้ าบอด ไมม่ รี อ่ งรอย ก�ำ จดั เสยี แลว้ ซง่ึ จกั ษแุ หง่ มาร ไปแลว้ สทู่ ซ่ี ง่ึ มารผมู้ บี าปมองไมเ่ หน็ , ไดข้ า้ มแลว้ ซง่ึ ตณั หา ในโลก. ภิกษุน้ันยืนอยู่ก็สง่างาม เดินอยู่ก็สง่างาม นง่ั อยกู่ ็สงา่ งาม นอนอยู่กส็ ง่างาม. เพราะเหตไุ รเลา่ ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เพราะเหตุว่า ภิกษุน้ันไม่ได้ มาส่คู ลองแห่งอ�ำ นาจของมารผมู้ ีบาป, ดังนแ้ี ล. มู. ม. ๑๒/๓๓๑-๓๓๓/๓๒๗-๓๒๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 49 ๑๔ หลักการพูด ภิกษุท้งั หลาย ! วาจาอนั ประกอบดว้ ยองค์ ๕ ประการ เปน็ วาจาสภุ าษติ ไมเ่ ปน็ วาจาทพุ ภาษติ เปน็ วาจา ไม่มีโทษและวิญญชู นไมต่ เิ ตียน. องค์ ๕ ประการ อยา่ งไรเลา่ ? ๕ ประการ คอื :- (๑) กลา่ วแลว้ ควรแกเ่ วลา (กาเลน ภาสติ า โหต)ิ , (๒) กล่าวแล้วตามสจั จจ์ ริง (สจจฺ ภาสติ า โหติ), (๓) กลา่ วแลว้ อยา่ งออ่ นหวาน (สณหฺ า ภาสติ า โหต)ิ , (๔) กล่าวแล้วอย่างประกอบด้วยประโยชน์ (อตถฺ สญหฺ ิตา ภาสติ า โหติ), (๕) กล่าวแล้วดว้ ยเมตตาจิต (เมตตฺตจตเฺ ตน ภาสติ า โหติ). ภกิ ษุทั้งหลาย ! วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เหลา่ นแ้ี ล เปน็ วาจาสภุ าษติ ไมเ่ ปน็ วาจาทพุ ภาษติ เปน็ วาจาไม่มีโทษและวญิ ญชู นไม่ติเตียน. ปญจฺ ก. อํ. ๒๒/๒๗๑/๑๙๘.
501 พุทธวจน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 51 ๑๕ ลักษณะการพูดของตถาคต ราชกุมาร ! ตถาคตร้ชู ดั ซง่ึ วาจาใด อนั ไมจ่ ริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นท่ีรัก ที่พึงใจของผู้อืน่ ตถาคตยอ่ ม ไมก่ ล่าววาจานัน้ . ตถาคตรู้ชดั ซ่งึ วาจาใด อนั จรงิ อันแท้ แตไ่ ม่ ประกอบด้วยประโยชน์และไม่เป็นท่รี ักท่พี ึงใจของผ้อู ่นื ตถาคตยอ่ ม ไมก่ ล่าววาจานั้น. ตถาคตรูช้ ัดซงึ่ วาจาใด อนั จรงิ อันแท้ ประกอบ ดว้ ยประโยชน์ แตไ่ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตยอ่ ม เลือกให้เหมาะกาล เพ่ือกลา่ ววาจาน้ัน. ตถาคตรู้ชัดซ่ึงวาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่เปน็ ท่ีรักที่พงึ ใจของผูอ้ น่ื ตถาคตยอ่ ม ไม่กลา่ ววาจานั้น. ตถาคตรชู้ ดั ซึ่งวาจาใด อันจริง อนั แท้ แตไ่ ม่ ประกอบดว้ ยประโยชน์ แต่กเ็ ป็นทร่ี ักที่พงึ ใจของผอู้ นื่ ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจาน้ัน.
523 พุทธวจน ตถาคตร้ชู ัดซึง่ วาจาใด อนั จรงิ อันแท้ ประกอบ ด้วยประโยชน์และเป็นที่รักท่ีพึงใจของผู้อ่ืน ตถาคต ยอ่ มเป็นผู้ รู้จกั กาละท่ีเหมาะ เพ่อื กลา่ ววาจาน้นั . ม. ม. ๑๓/๙๑/๙๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 53 ๑๖ ลักษณะการพดู ของสตั บรุ ษุ ภกิ ษุท้งั หลาย ! บคุ คลประกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการ เป็นทรี่ ้กู ันวา่ เปน็ สัตบรุ ษุ . ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คอื :- (๑) ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! สัตบุรุษในกรณีน้ี แม้มี ใครถามถึง ความไมด่ ีของบุคคลอน่ื ก็ไม่เปดิ เผยให้ ปรากฏจะกล่าวทำ�ไมถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูก ใครถามถงึ ความไมด่ ีของบคุ คลอนื่ ก็น�ำ เอาปญั หาไป ท�ำ ให้หลกี เล้ียวลดหย่อนลง กล่าวความไม่ดีของผู้อนื่ อยา่ งไมพ่ สิ ดารเตม็ ท.่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นพ้ี งึ รกู้ นั เถดิ วา่ คนคนน้ี เปน็ สตั บุรุษ. (๒) ภิกษทุ งั้ หลาย ! สัตบุรุษอย่างอ่ืนยังมีอีก คอื แม้ไม่ถกู ใครถามถึง ความดีของบคุ คลอ่ืน ก็ยงั นำ�มาเปิดเผยให้ปรากฏ จะต้องกล่าวทำ�ไมถึงเมื่อถูก ใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอ่ืน ก็นำ�เอาปัญหาไปทำ�ให้ไม่หลีกเล้ียวลดหย่อน กล่าว ความดีของผู้อ่ืนโดยพิสดารบริบูรณ์. ภิกษุท้ังหลาย ! ขอ้ นีพ้ ึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เปน็ สตั บุรษุ .
545 พุทธวจน (๓) ภกิ ษุทง้ั หลาย ! สัตบุรุษอย่างอ่ืนยังมีอีก คือ แมไ้ ม่มีใครถามถงึ ความไมด่ ีของตน ก็ยงั นำ�มา เปดิ เผยใหป้ รากฏ ท�ำ ไมจะตอ้ งกลา่ วถงึ เมอ่ื ถกู ถามเลา่ ; กเ็ มอ่ื ถกู ใครถามถงึ ความไมด่ ขี องตน กไ็ มน่ �ำ เอาปญั หา ไปหาทางทำ�ให้ลดหย่อนบิดพล้ิว แต่กล่าวความไม่ดี ของตนโดยพสิ ดารเตม็ ท.่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นพ้ี งึ รกู้ นั เถิดวา่ คนคนน้ี เปน็ สตั บุรุษ. (๔) ภกิ ษุทั้งหลาย ! สัตบุรุษอย่างอ่ืนยังมีอีก คอื แมม้ ใี ครถามถงึ ความดขี องตน กไ็ มเ่ ปดิ เผยใหป้ รากฏ ท�ำ ไมจะตอ้ งกล่าวถึงเมอ่ื ไมถ่ ูกใครถามเล่า; กเ็ มอื่ ถูก ใครถามถึงความดีของตน ก็นำ�เอาปัญหาไปกระทำ� ให้ลดหย่อนหลีกเลี้ยวเสีย กล่าวความดีของตนโดย ไม่พิสดารเต็มที่. ภิกษุท้ังหลาย ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนน้ี เปน็ สัตบุรุษ. ภิกษุทงั้ หลาย ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เหลา่ น้แี ล เปน็ ทร่ี กู้ ันว่า เป็น สตั บุรุษ. จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๐๐/๗๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 55 ๑๗ ลักษณะการพูดของอสัตบรุ ษุ ภิกษุทงั้ หลาย ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นที่รู้กันวา่ เป็น อสตั บุรษุ . ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คอื :- (๑) ภกิ ษุท้งั หลาย ! อสัตบุรุษในกรณนี ี้ แม้ ไมม่ ใี ครถามถงึ ความไมด่ ขี องบคุ คลอน่ื กน็ �ำ มาเปดิ เผย ใหป้ รากฏ ไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ เมอ่ื ถกู ใครถาม; กเ็ มอ่ื ถกู ใคร ถามถึง ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหาไป ท�ำ ใหไ้ มม่ ที างหลกี เลย้ี วลดหยอ่ น แลว้ กลา่ วความไมด่ ี ของผ้อู ่ืนอย่างเตม็ ท่โี ดยพสิ ดาร. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ขอ้ นี้ พึงร้กู นั เถิดว่า คนคนน้ี เปน็ อสตั บุรษุ . (๒) ภิกษุทง้ั หลาย ! อสตั บรุ ษุ อยา่ งอน่ื ยงั มอี กี คอื แมถ้ กู ใครถามถงึ ความดขี องบคุ คลอน่ื กไ็ มเ่ ปดิ เผย ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเม่ือไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อ ถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหา ไปทำ�ให้ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความดีของผู้อ่ืน อยา่ งไมพ่ สิ ดารเตม็ ท.่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นพ้ี งึ รกู้ นั เถดิ วา่ คนคนน้ี เป็น อสัตบรุ ุษ.
567 พพุทุทธธววจจนน (๓) ภิกษุท้งั หลาย ! อสตั บรุ ษุ อยา่ งอน่ื ยงั มอี กี คือ แม้ถูกใครถามถึง ความไม่ดีของตน ก็ปกปิด ไมเ่ ปดิ เผยใหป้ รากฏ ไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ เมอ่ื ไมถ่ กู ใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความไม่ดขี องตน กน็ ำ�เอาปญั หา ไปทำ�ใหล้ ดหยอ่ นไขว้เขว แล้วกลา่ วความไมด่ ีของตน อยา่ งไมพ่ สิ ดารเตม็ ท.่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นพ้ี งึ รู้กนั เถดิ วา่ คนคนน้ ี เป็น อสัตบุรษุ . (๔) ภิกษทุ ัง้ หลาย ! อสตั บรุ ษุ อยา่ งอน่ื ยงั มอี กี คอื แมไ้ ม่มใี ครถามถงึ ความดขี องตน กน็ ำ�มาโออ้ วด เปดิ เผย จะต้องกลา่ วทำ�ไมถงึ เมอ่ื ถูกใครถาม; กเ็ ม่ือ ถูกใครถามถึงความดีของตน ก็นำ�เอาปัญหาไปทำ�ให้ ไมล่ ดหยอ่ นหลกี เลย้ี ว กลา่ วความดขี องตนอยา่ งเตม็ ท่ี โดยพสิ ดาร. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นพ้ี งึ รกู้ นั เถดิ วา่ คนคนน้ี เป็น อสัตบุรุษ. ภกิ ษุท้ังหลาย ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหลา่ น้แี ล เปน็ ท่ีรู้กนั วา่ เปน็ อสตั บุรุษ. จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๑๐๐/๗๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 57 ๑๘ อยา่ หเู บา (๑) อย่าถือเอาวา่ จรงิ เพราะเหตสุ กั วา่ ฟงั ตามๆ กนั มา (อนสุ ฺสว) (๒) อยา่ ถือเอาว่าจริง เพราะเหตสุ ักว่า กระท�ำ ตามๆ กันมา (ปรมปฺ ร) (๓) อยา่ ถอื เอาว่าจริง เพราะเหตสุ ักวา่ เล่าลือกันอยู่ (อิติกริ ) (๔) อยา่ ถือเอาว่าจริง เพราะเหตสุ กั ว่า มีทีอ่ ้างในปฎิ ก (ปิฎกสมปฺ ทาย) (๕) อย่าถอื เอาวา่ จริง เพราะเหตสุ ักวา่ การใชเ้ หตผุ ลทางตรรกคาดคะเน (ตกกฺ เหต)ุ (๖) อย่าถือเอาวา่ จรงิ เพราะเหตสุ ักวา่ การใช้เหตุผลทางนยั ะสนั นิฏฐาน (นยเหตุ)
589 พุทธวจน (๗) อย่าถอื เอาวา่ จริง เพราะเหตสุ ักวา่ การตรึกตามอาการ (อาการปรวิ ติ กกฺ ) (๘) อยา่ ถือเอาวา่ จริง เพราะเหตสุ กั ว่า ทนต่อการเพง่ แหง่ ทิฏฐิ (ทฏิ ฺ ินิชฺฌานกขฺ นฺต)ิ (๙) อย่าถือเอาวา่ จรงิ เพราะเหตสุ กั ว่า ฟังดูนา่ เช่ือ (ภพฺพรปู ตา) (๑๐) อย่าถือเอาว่าจรงิ เพราะเหตุสักวา่ สมณะผู้พดู เปน็ ครขู องตน (สมโณ โน ครุ). ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 59 ๑๙ เขา้ ใจธรรมเพยี งบทเดียว กเ็ พียงพอ คามณิ ! ... เพราะเหตุว่า ถึงแม้เขาจะเขา้ ใจธรรม ทเ่ี ราแสดงสักบทเดยี ว นั่นกย็ งั จะเปน็ ไปเพื่อประโยชนเ์ กือ้ กลู และความสุขแก่ชนท้งั หลายเหล่าน้ัน ตลอดกาลนาน. สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๘๙/๖๐๕.
601 พุทธวจน ๒๐ ให้เปน็ ผู้หนักแนน่ ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด เม่ือเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จกั ไมก่ ลมุ้ รมุ จติ ตง้ั อย.ู่ ราหลุ ! เปรยี บเหมอื นเมอ่ื คนเขา ทง้ิ ของสะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ ง ทง้ิ คถู บา้ ง ทง้ิ มตู รบา้ ง ทิ้งน้ำ�ลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยส่ิงเหล่านั้น, นฉ้ี นั ใด; ราหลุ ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยแผน่ ดนิ เถดิ เมอ่ื เธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผน่ ดนิ อย่,ู ผัสสะทงั้ หลาย ท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตั้งอย ู่ ฉันนั้นเหมือนกนั . ราหุล ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยน�ำ้ (อาโป) เถดิ เมอ่ื เธออบรมจิตให้เสมอด้วยน�ำ้ อยู่, ผสั สะทัง้ หลาย ท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดข้ึนแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนเม่ือคนเขาล้างของ สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ล้างคูถบ้าง ล้างมูตรบ้าง
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 61 น�ำ้ ลายบา้ ง หนองบา้ ง โลหติ บา้ ง ลงในน�ำ้ น�ำ้ กไ็ มร่ สู้ กึ อดึ อดั ระอารงั เกียจ ด้วยส่ิงเหลา่ น้ัน, นีฉ้ นั ใด; ราหลุ ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยน�ำ้ เถดิ เมอ่ื เธออบรมจติ ใหเ้ สมอ ด้วยนำ้�อยู่, ผัสสะท้ังหลายท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจ อนั เกดิ ขน้ึ แลว้ จกั ไมก่ ลมุ้ รมุ จติ ตง้ั อย ู่ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั . ราหุล ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยไฟ (เตโช) เถิด เม่ือเธออบรมจติ ให้เสมอด้วยไฟอยู,่ ผสั สะทัง้ หลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดข้ึนแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จติ ตง้ั อย.ู่ ราหลุ ! เปรยี บเหมอื นเมอ่ื คนทง้ิ ของสะอาดบา้ ง ไม่สะอาดบา้ ง ทิง้ คถู บ้าง ทงิ้ มตู รบ้าง น้ำ�ลายบ้าง หนอง บ้าง โลหติ บา้ ง ลงไปใหม้ ันไหม้ ไฟกไ็ มร่ สู้ ึกอดึ อดั ระอา รงั เกยี จ ดว้ ยสง่ิ เหลา่ นน้ั , นฉ้ี นั ใด; ราหลุ ! เธอจงอบรมจติ ให้เสมอด้วยไฟเถดิ เมอ่ื เธออบรมจติ ให้เสมอดว้ ยไฟอย,ู่ ผัสสะท้ังหลายท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไมก่ ลุ้มรมุ จิตต้ังอย ู่ ฉันน้นั เหมอื นกนั . ราหลุ ! เธอจงอบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยลม (วาโย) เถดิ เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอย,ู่ ผัสสะทัง้ หลาย ท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดข้ึนแล้ว จักไม่กลุ้มรุม
623 พุทธวจน จติ ตัง้ อย.ู่ ราหลุ ! เปรยี บเหมอื นลมพดั ผ่านไปในของ สะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบ้าง คถู บา้ ง มูตรบา้ ง น้ำ�ลายบา้ ง หนองบา้ ง โลหติ บา้ ง ลมก็ไม่รู้สกึ อดึ อัดระอารงั เกียจ ด้วยสิง่ เหล่าน้นั , นฉ้ี นั ใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจติ ให้ เสมอด้วยลมเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่, ผัสสะท้ังหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จกั ไมก่ ลุ้มรุมจิตต้ังอยู่ ฉันนัน้ เหมอื นกัน. ราหลุ ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาศ เถดิ เมอ่ื เธออบรมจติ ใหเ้ สมอดว้ ยอากาศอย,ู่ ผสั สะทง้ั หลาย ท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดข้ึนแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตต้ังอย.ู่ ราหุล ! เปรียบเหมือนอากาศ เป็นสง่ิ มไิ ด้ ตง้ั อยเู่ ฉพาะในที่ไรๆ นี้ฉนั ใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิต ให้เสมอด้วยอากาศเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วย อากาศอยู่, ผัสสะท้ังหลายท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขนึ้ แลว้ จกั ไม่กลุ้มรุมจิตต้งั อยู่ ฉนั นนั้ เหมอื นกัน. ม. ม. ๑๓/๑๓๘-๑๔๐/๑๔๐-๑๔๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 63 ๒๑ ลาภสักการะและเสียงเยนิ ยอ เปน็ อนั ตรายแม้แตพ่ ระอรหนั ต์ ภกิ ษุท้ังหลาย ! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอนั ตรายที่ทารณุ แสบเผด็ หยาบคาย ตอ่ การบรรลุ พระนพิ พานอนั เปน็ ธรรมเกษมจากโยคะ ไมม่ ธี รรมอน่ื ยง่ิ กวา่ . ภกิ ษุท้ังหลาย ! เรากล่าว “ลาภสักการะและ เสียงเยินยอ ว่าเป็นอันตราย แม้แก่ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ส้ินอาสวะแลว้ ” ดงั น.ี้ คร้ันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังน้ี, ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามข้ึนว่า “ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตราย แกภ่ ิกษุผูส้ ิ้นอาสวะแลว้ ชนดิ ไรเล่า พระเจ้าขา้ ?” ดงั น้.ี อานนท์ ! เราหาได้กล่าวลาภสักการะและ เสยี งเยนิ ยอ วา่ เปน็ อนั ตรายตอ่ เจโตวมิ ตุ ตอิ นั ไมก่ ลบั ก�ำ เรบิ แล้วไม่. อานนท์ ! แต่เรากล่าวลาภสักการะและเสยี ง เยนิ ยอ วา่ เปน็ อนั ตรายตอ่ การอยเู่ ปน็ สขุ ในทฏิ ฐธรรมน้ี ซงึ่ ภิกษผุ ูอ้ ยดู่ ว้ ยความไมป่ ระมาท มคี วามเพียรเผากิเลส มตี นส่งไปแลว้ ในธรรมเครื่องสงบ ไดล้ ถุ ึงแลว้ .
654 พุทธวจน อานนท์ ! ลาภสักการะและเสียงเยินยอเป็น อันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ด หยาบคายต่อการบรรลุ พระนพิ พานอนั เปน็ ธรรมเกษมจากโยคะ ไมม่ ธี รรมอน่ื ยง่ิ กวา่ ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี อานนท์ ! เพราะฉะนน้ั ในเรอ่ื งนพ้ี วกเธอทง้ั หลาย พงึ ส�ำ เหนยี กใจไว้อยา่ งนว้ี า่ “เราทั้งหลาย จักไมเ่ ย่ือใยในลาภสกั การะและ เสยี งเยนิ ยอที่เกิดข้ึน. อนง่ึ ลาภสกั การะและเสยี งเยนิ ยอทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ตอ้ งไม่มาหอ่ หมุ้ อยทู่ ี่จิตของเรา” ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธอทง้ั หลาย พึงส�ำ เหนียกใจไว้ อยา่ งนี้แล. นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๒๘๐/๕๘๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 65 ๒๒ ลกั ษณะของผูม้ สี ติและสัมปชัญญะ ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ภกิ ษุเปน็ ผูม้ ีสตเิ ป็นอยา่ งไรเลา่ ? ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ี้ เป็นผูเ้ ห็นกาย ในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กำ�จดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกออกเสียได้; เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายอยู่เป็น ประจ�ำ ...; เป็นผเู้ ห็นจิตในจิตอยเู่ ปน็ ประจำ� ...; เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพยี รเผากเิ ลส มสี ัมปชัญญะ มีสติ ก�ำ จดั อภิชฌา และโทมนัสในโลกออกเสยี ได้. ภิกษุทัง้ หลาย ! อย่างน้แี ล เรยี กวา่ ภิกษุเป็นผมู้ สี ต.ิ
676 พพุทุทธธววจจนน ภิกษุท้งั หลาย ! ภิกษุเป็นผมู้ ีสัมปชญั ญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี เป็นผู้รู้ตัว รอบคอบในการกา้ วไปข้างหนา้ การถอยกลับไปข้างหลงั , การแลดู การเหลยี วด,ู การคู้ การเหยยี ด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จวี ร, การฉนั การดื่ม การเคยี้ ว การลมิ้ , การถ่าย อจุ จาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนง่ั การนอน, การหลบั การต่ืน, การพูด การนงิ่ . ภิกษุท้งั หลาย ! อยา่ งนแี้ ล เรยี กวา่ ภิกษเุ ป็นผู้มสี มั ปชัญญะ. สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 67 ๒๓ สง่ิ ทพ่ี ระศาสดาถอื วา่ เปน็ ความอศั จรรย์ อานนท์ ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน ้ี เธอพงึ จ�ำ สง่ิ อนั นา่ อศั จรรย์ ไมเ่ คยมมี าแต่กอ่ นของตถาคตข้อนไ้ี ว้. อานนท์ ! ในกรณนี ้คี ือ :- เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแกต่ ถาคต แลว้ จงึ เกดิ ขน้ึ แลว้ จงึ ตง้ั อยู่ แลว้ จงึ ดบั ไป สัญญา เปน็ ของแจม่ แจง้ แก่ตถาคต แลว้ จงึ เกดิ ขน้ึ แลว้ จงึ ตง้ั อยู่ แลว้ จงึ ดบั ไป วิตก เป็นของแจ่มแจง้ แกต่ ถาคต แลว้ จงึ เกดิ ขน้ึ แลว้ จงึ ตง้ั อยู่ แลว้ จงึ ดบั ไป อานนท์ ! เธอจงทรงจ�ำ สง่ิ อนั นา่ อศั จรรยไ์ มเ่ คยมมี าแตก่ อ่ น ของตถาคตขอ้ นแ้ี ล. อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๒๕๔/๓๗๙.
698 พุทธวจน ๒๔ จติ อธิษฐานการงาน อานนท์ ! ฐานะท่ีตง้ั แห่งอนสุ สติ มเี ทา่ ไร ? “มี ๕ อยา่ ง พระเจ้าข้า !”. ดีละ ดลี ะ อานนท์ ! ถ้าอย่างนัน้ เธอจงทรงจำ� ฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติที่ ๖ นี้ไว้ คอื ภกิ ษใุ นกรณีน้ี มสี ต ิ ก้าวไป มสี ต ิ ถอยกลบั มสี ติ ยืนอยู่ มสี ต ิ นงั่ อยู่ มีสต ิ สำ�เรจ็ การนอนอยู่ มีสติ อธิษฐานการงาน อานนท์ ! น้ีเปน็ ฐานะที่ตัง้ แห่งอนุสสต ิ ซง่ึ เม่ือบุคคลเจริญกระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเป็นไปเพือ่ สตสิ มั ปชัญญะ. ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๓๖๓/๓๐๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 69 ๒๕ การตง้ั จติ ก่อนนอน อานนท์ ! ถ้าเม่ือภกิ ษุนัน้ ... จิตนอ้ มไปเพอ่ื การนอน, เธอก็ นอนด้วยการต้งั ใจว่า “บาปอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย กล่าวคือ อภิชฌา และโทมนัส จกั ไมไ่ หลไปตามเราผูน้ อนอยู่ ดว้ ยอาการ อยา่ งนี้” ดังนี้ : ในกรณอี ยา่ งน้ี ภกิ ษุน้นั ช่ือว่า เปน็ ผูม้ คี วามรู้สึกตวั ท่ัวพร้อม ในกรณีแห่งการนอนน้ัน. อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๒๓๘/๓๔๘.
710 พุทธวจน ๒๖ มดื มา...สวา่ งไป สวา่ งมา...ก็ยังคงสวา่ งไป มหาราช ! ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืด แลว้ กลับสวา่ งตอ่ ไป. มหาราช ! บคุ คลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิด มาภายหลงั ในตระกูลอนั ตำ�่ ทราม คอื ในตระกูลจณั ฑาล ตระกลู พราน ตระกลู จักสาน ตระกลู ทำ�รถ หรอื ตระกูล เทหยากเย่ือ ซ่ึงเปน็ คนยากจน มขี ้าวและน�้ำ น้อย เปน็ อยู่ ฝดื เคอื ง มีอาหารและเคร่ืองนุ่งห่มหาไดโ้ ดยยาก เขาเป็น ผู้มผี วิ พรรณทราม ไม่นา่ ดู เต้ยี ค่อม ขี้โรค ตาบอด งอ่ ย กระจอก มีตวั ตะแคงข้าง ไมค่ ่อยจะมีข้าว นำ�้ เคร่อื งนุ่งหม่ ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เคร่อื งลูบไล้ ท่นี อน ที่อยู่ และประทีปโคมไฟ แม้กระนั้น เขาก็ประพฤติ สจุ รติ ด้วยกาย วาจา ใจ ครนั้ เขาประพฤติสจุ รติ ดว้ ยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. มหาราช ! บุรุษพึงข้นึ จากแผ่นดินสบู่ ัลลังก์ หรอื พงึ ขึ้น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 71 จากบัลลังก์สู่หลังม้า หรือพึงข้ึนจากหลังม้าสู่คอช้าง หรือพึงข้ึนจากคอช้างสู่ปราสาท แม้ฉันใด มหาราช ! ตถาคตย่อมกลา่ วว่า บุคคลนีม้ อี ปุ ไมยฉันนนั้ . มหาราช ! อยา่ งนแ้ี ล บคุ คลชอ่ื วา่ เปน็ ผมู้ ดื แลว้ กลับสว่างตอ่ ไป. มหาราช ! ก็อย่างไร บคุ คลชอ่ื วา่ เป็นผู้สว่าง แลว้ คงสวา่ งตอ่ ไป มหาราช ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เปน็ คนเกดิ มาภายหลังในตระกูลสูง คือในสกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคหบดีมหาศาล อัน ม่ังคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินพอตัว มอี ปุ กรณแ์ ห่งทรพั ยพ์ อตวั มที รัพย์และขา้ วเปลือกพอตัว เขามรี ปู งาม นา่ ดู นา่ เลอ่ื มใส ประกอบดว้ ยความเกลย้ี งเกลา แหง่ ผวิ พรรณอยา่ งยง่ิ ร�ำ่ รวยดว้ ยขา้ ว ดว้ ยน�ำ้ เครอ่ื งนงุ่ หม่ ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครือ่ งลูบไล้ ทนี่ อน ทอี่ ยู่ และประทีปโคมไฟ เขายอ่ มประพฤติสจุ รติ ดว้ ย กาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติสจุ ริตด้วยกาย วาจา ใจ แลว้ คร้ันตายไป ย่อมเข้าถึงสคุ ติโลกสวรรค์. มหาราช !
732 พุทธวจน บุรุษพึงก้าวไปด้วยดีจากบัลลังก์ส่บู ัลลังก์ หรือพึงก้าวไป ด้วยดีจากหลังม้าสู่หลังม้า หรือพึงก้าวไปด้วยดีจาก คอช้างสู่คอช้าง หรือพึงก้าวไปด้วยดีจากปราสาทสู่ ปราสาท แม้ฉนั ใด มหาราช ! ตถาคตย่อมกลา่ ววา่ บุคคลนีม้ อี ุปไมยฉันนน้ั . มหาราช ! อยา่ งนี้แล บคุ คลชอื่ วา่ เปน็ ผู้สว่าง แล้วคงสวา่ งตอ่ ไป. สคา. สํ. ๑๕/๑๓๖-๑๓๘/๓๙๓-๓๙๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 73 ๒๗ เหตขุ องความสามคั คแี ละความแตกแยก ภิกษทุ งั้ หลาย ! ในทิศใดพวกภิกษุ มีความ พรอ้ มเพรยี งกนั มคี วามบนั เทงิ ตอ่ กนั และกนั ไมท่ ะเลาะ ววิ าทกนั เขา้ กนั ไดส้ นทิ เหมอื นน�ำ้ นมกบั น�ำ้ มองดกู นั ดว้ ย สายตาแหง่ ความรักอยู่; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ทศิ น้ัน เปน็ ท่ีผาสุกแก่เรา แม้ต้องเดินไป (อย่างเหน็ดเหนื่อย) จะ ปว่ ยกล่าวไปไย ถงึ การท่เี พียงแต่นึกถึง. ในกรณีนี้ เรา เช่อื แน่แกใ่ จวา่ เปน็ เพราะภกิ ษุเหลา่ น้นั ได้ละท้ิงธรรม ๓ อย่างเสียแล้ว และพากันมาถือกระทำ�ให้มากใน ธรรม ๓ อย่าง. ธรรม ๓ อยา่ ง อะไรบา้ งเลา่ ทเ่ี ธอละทง้ิ เสยี แลว้ ? ๓ อยา่ ง คือ :- ๑. กามวติ ก ความตรึกในกาม ๒. พ๎ยาปาทวติ ก ความตรึกในทางมุง่ ร้าย ๓. วิหิงสาวิตก ความตรึกท่ีก่อให้เกิดความ ล�ำ บากทัง้ แกต่ นและผูอ้ ื่น ธรรม ๓ อยา่ งเหล่านแ้ี ล ท่พี วกภกิ ษเุ หลา่ น้นั ละทง้ิ เสียแล้ว.
754 พุทธวจน กธ็ รรม ๓ อยา่ ง อยา่ งไรเลา่ ที่พวกภิกษเุ หลา่ นนั้ พากนั มาถือ กระทำ�เพม่ิ พูนใหม้ าก ? ๓ อยา่ ง คือ :- ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกในการหลีกออก จากความพัวพนั ในกาม ๒. อัพ๎ยาปาทวิตก ความตรึกในการไม่ทำ� ความมุ่งร้าย ๓. อวิหิงสาวิตก ความตรึกในการไม่ทำ�ตน และผู้อื่นใหล้ �ำ บาก ธรรม ๓ อย่าง เหล่าน้ีแล ทีพ่ วกภิกษเุ หลา่ น้นั พากันมาถือ กระทำ�เพ่ิมพูนใหม้ าก. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ในทิศใด พวกภกิ ษุ มคี วาม พร้อมเพรียงกัน มีความบันเทิงต่อกันและกัน ไม่ ทะเลาะวิวาทกัน เข้ากันและกันได้สนิทเหมือนน้ำ�นม กับนำ้� มองดูกันและกันด้วยสายตาแห่งความรักอยู่; ภิกษุทง้ั หลาย ! ทิศนน้ั เป็นทผี่ าสุกแกเ่ รา แมต้ ้องเดนิ ไป (อยา่ งเหนด็ เหนอ่ื ย) จะปว่ ยกลา่ วไปไยถงึ การทเ่ี พยี งแตน่ กึ ถงึ .
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 75 ในกรณนี ้ี เราเชอ่ื แนแ่ กใ่ จวา่ เปน็ เพราะพวกภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ได้ละทิง้ ธรรม ๓ อย่างเหล่าโน้นเสียแลว้ และพากันมาถอื กระท�ำ ใหม้ ากในธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ นีแ้ ทน. ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๕๕-๓๖๕/๕๖๔.
767 พพุทุทธธววจจนน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 77 ๒๘ ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท เพราะอาศัยตัณหา (ความอยาก) จึงมี การ แสวงหา (ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงม ี การได ้ (ลาโภ); เพราะอาศยั การได ้ จงึ ม ี ความปลงใจรกั (วนิ จิ ฉฺ โย); เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกำ�หนัด ดว้ ยความพอใจ (ฉนทฺ ราโค); เพราะอาศัยความกำ�หนัดด้วยความพอใจ จึงมี ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสาน)ํ ; เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมี ความจับอก จบั ใจ (ปรคิ ฺคโห); เพราะอาศยั ความจบั อกจบั ใจ จงึ มี ความตระหน่ี (มจจฺ รยิ )ํ ;
789 พุทธวจน เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมี การหวงก้ัน (อารกโฺ ข); เพราะอาศัยการหวงกั้น จึงมี เรื่องราวอันเกิด จากการหวงก้ัน (อารกขฺ าธกิ รณํ); กลา่ วคอื การใชอ้ าวธุ ไมม่ คี ม การใชอ้ าวธุ มคี ม การทะเลาะ การแกง่ แยง่ การววิ าท การกลา่ วค�ำ หยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำ�ส่อเสียด และการพูดเท็จท้งั หลาย : ธรรมอนั เป็นบาปอกุศลเป็น อเนก ยอ่ มเกิดขึ้นพรอ้ ม ดว้ ยอาการอย่างน.้ี มหา. ท.ี ๑๐/๖๗-๗๒/๕๘-๕๙.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360