ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 229 ๘๕ อานสิ งสแ์ หง่ การปฏบิ ตั สิ มาธแิ บบตา่ งๆ ราหุล ! เธอจง เจรญิ เมตตาภาวนา เถิด. เมอ่ื เธอเจริญเมตตาภาวนาอย่,ู พยาบาท จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญกรณุ าภาวนา เถิด. เมื่อ เธอเจรญิ กรุณาภาวนาอย,ู่ วิหงิ สา (ความคิดเบยี ดเบียน) จกั ละไป. ราหุล ! เธอจง เจรญิ มทุ ิตาภาวนา เถดิ . เม่อื เธอเจริญมุทติ าภาวนาอยู่, อรติ (ความไมย่ นิ ดดี ้วยใครๆ) จกั ละไป. ราหลุ ! เธอจง เจรญิ อุเบกขา เถิด. เมือ่ เธอ เจรญิ อเุ บกขาอย,ู่ ปฏฆิ ะ (ความหงดุ หงดิ แหง่ จติ ) จกั ละไป. ราหลุ ! เธอจง เจรญิ อสุภะภาวนา เถดิ . เม่ือ เธอเจริญอสุภะภาวนาอย่,ู ราคะ จกั ละไป. ราหุล ! เธอจง เจรญิ อนิจจสญั ญาภาวนา เถิด. เมอ่ื เธอเจรญิ อนิจจสญั ญาภาวนาอยู,่ อัส๎มมิ านะ (ความ สำ�คญั วา่ ตวั ตนและของตน) จักละไป. ม. ม. ๑๓/๑๔๐/๑๔๕.
2301 พุทธวจน ๘๖ ลักษณะของผู้ที่ง่ายตอ่ การเข้าสมาธิ ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เป็นผู้ ไมค่ วร เพ่ือเข้าถึงสัมมาสมาธิ แลว้ แลอย่.ู ๕ ประการ อย่างไรเลา่ ? ภิกษทุ ั้งหลาย ! ๕ ประการ คือ :- ภิกษุในกรณีน้ี (๑) เปน็ ผู้ ไม่อดทนตอ่ รูปท้งั หลาย (๒) ไม่อดทนต่อเสียงทง้ั หลาย (๓) ไมอ่ ดทนตอ่ กลนิ่ ทงั้ หลาย (๔) ไม่อดทนตอ่ รสทงั้ หลาย (๕) ไมอ่ ดทนตอ่ โผฏฐัพพะทัง้ หลาย ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ภกิ ษุที่ประกอบดว้ ยธรรม ๕ ประการเหลา่ น้แี ล เป็นผู้ ไมค่ วร เพ่ือเข้าถึงสมั มาสมาธิ แล้วแลอย.ู่
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 231 ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วย ธรรม ๕ ประการ เป็นผู้ ควร เพื่อเข้าถึงสัมมาสมาธิ แล้วแลอยู่. ๕ ประการ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษุท้งั หลาย ! ๕ ประการ คอื :- ภิกษุในกรณีน้ี (๑) เป็นผู้ อดทนต่อรูปทัง้ หลาย (๒) อดทนตอ่ เสยี งท้งั หลาย (๓) อดทนตอ่ กลน่ิ ทง้ั หลาย (๔) อดทนตอ่ รสทัง้ หลาย (๕) อดทนตอ่ โผฏฐัพพะทั้งหลาย ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษทุ ป่ี ระกอบดว้ ยธรรม ๕ ประการเหล่าน้ีแล เป็นผู้ ควร เพ่อื เขา้ ถึงสมั มาสมาธิ แล้วแลอย.ู่ ปญฺจก. อ.ํ ๒๒/๑๕๕/๑๓๓.
2323 พุทธวจน ๘๗ เจรญิ สมาธใิ หไ้ ดอ้ ยา่ งนอ้ ยวนั ละ ๓ ครง้ั ภิกษทุ ้ังหลาย ! ชาวร้านตลาดที่ประกอบด้วย องค์ ๓ ประการ เป็นผคู้ วรเพ่ือจะได้ผลก�ำ ไรที่ยังไมไ่ ด้ หรอื เพ่ือท�ำ ผลก�ำ ไรที่ไดร้ ับอย่แู ลว้ ใหง้ อกงามออกไป. ๓ ประการ อยา่ งไรเล่า ? ภิกษทุ ้งั หลาย ! ๓ ประการ คือ :- ชาวรา้ นตลาด ในกรณนี ้ี ยอ่ มจดั ยอ่ มท�ำ กจิ การงานอยา่ งดที ส่ี ดุ ในเวลาเชา้ ; ยอ่ มจดั ยอ่ มท�ำ กจิ การงานอยา่ งดที ส่ี ดุ ในเวลากลางวนั ; ย่อมจดั ยอ่ มทำ�กิจการงานอยา่ งดีท่ีสุดในเวลาเยน็ . ภิกษุทัง้ หลาย ! ชาวร้านตลาดที่ประกอบดว้ ยองค์ ๓ ประการเหลา่ น้แี ล เปน็ ผู้ควรเพือ่ จะได้ผลก�ำ ไรทย่ี งั ไม่ได้ หรือเพอ่ื ท�ำ ผลก�ำ ไรทไ่ี ดร้ บั อยแู่ ลว้ ใหง้ อกงามออกไป นฉ้ี นั ใด.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 233 ภกิ ษุทั้งหลาย ! ข้อนี้กฉ็ นั นั้นเหมือนกนั ภิกษุ ทป่ี ระกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เปน็ ผู้ควรเพือ่ จะบรรลุ กศุ ลธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลุ หรอื เพอ่ื ท�ำ กศุ ลธรรมทบ่ี รรลแุ ลว้ ให้งอกงามยิง่ ขึน้ ไป. ๓ ประการ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุทั้งหลาย ! ๓ ประการ คือ :- ภกิ ษใุ นกรณนี ี้ ยอ่ มก�ำ หนดสมาธนิ มิ ติ โดยเออ้ื เฟอ้ื ในเวลาเชา้ ; ย่อมก�ำ หนดสมาธินิมิตโดยเออื้ เฟอ้ื ในเวลากลางวัน; ย่อมกำ�หนดสมาธนิ มิ ติ โดยเอ้ือเฟอ้ื ในเวลาเย็น. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ภกิ ษทุ ปี่ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ นี้แล ย่อมเป็นผูค้ วรเพ่ือจะบรรลุกุศลธรรมท่ียังไม่บรรลุ หรือเพ่อื ทำ�กศุ ลธรรมที่บรรลุแลว้ ให้งอกงามยิ่งข้นึ ไป. ติก. อ.ํ ๒๐/๑๔๕/๔๕๘.
2354 พุทธวจน ๘๘ การอยูป่ ่ากบั การเจรญิ สมาธิ ส�ำ หรบั ภิกษบุ างรูป “ขา้ แต่พระองค์ผ้เู จริญ ! ข้าพระองค์ มีความประสงค์ จะเสพเสนาสนะอันสงดั คอื ป่าหรอื ป่าเปลี่ยว”. อุบาลี ! เสนาสนะอนั สงดั คอื ปา่ หรอื ปา่ เปลย่ี วอยไู่ ดย้ าก ปวเิ วกท�ำ ไดย้ าก ความอยูค่ นเดียวเปน็ ส่งิ ที่ยนิ ดไี ด้ยาก ปา่ มกั จะนำ�ไปเสยี ซึง่ ใจของภกิ ษผุ ู้ไมไ่ ด้สมาธอิ ย.ู่ อบุ าลี ! ผ้ใู ดพูดว่า “เราไมไ่ ดส้ มาธิ เราจกั ไปอยู่ ในเสนาสนะอนั สงดั คอื ปา่ หรอื ปา่ เปลย่ี ว” ดงั น.้ี เขานนั้ พงึ หวงั ผลขอ้ น้ี คือ จติ จะจมลงหรือจิต จักปลวิ ไป. อุบาลี ! เปรียบเหมือนห้วงนำ้�ใหญ่ มีอยู่. ชา้ งพลายสงู เจด็ รตั น์ หรอื เจด็ รตั นค์ รง่ึ มาสทู่ น่ี น้ั แลว้ คดิ วา่ “เราจะลงสหู่ ว้ งน�ำ้ น้ี แล้วเล่นน�ำ้ ล้างหูบ้าง เล่นน้�ำ ลา้ ง หลงั บา้ ง ตามปรารถนา” ดงั น้;ี ช้างน้นั กระท�ำ ได้ดังนั้น,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 235 เพราะเหตไุ ร ? อุบาลี ! เพราะเหตุวา่ ชา้ งน้นั ตวั ใหญ่ จงึ อาจหยง่ั ลงในหว้ งน�ำ้ ลกึ ได.้ ครง้ั นน้ั กระตา่ ยหรอื แมวปา่ มาเหน็ ช้างนัน้ แล้ว คดิ วา่ “ชา้ งจะเปน็ อะไรทไ่ี หนมา เรากจ็ ะเปน็ อะไรทไ่ี หนไป ดังนัน้ เราจะลงสหู่ ้วงน�้ำ นี้ แลว้ เลน่ น�ำ้ ล้างหูบ้าง เล่นน้ำ� ลา้ งหลงั บ้าง แลว้ พึงอาบ พงึ ดม่ื พงึ ขน้ึ จากหว้ งน�ำ้ แลว้ หลีกไปตามปรารถนา” ดังน้ี; กระต่ายหรือแมวป่านั้น กระโจนลงสหู่ ว้ งน้�ำ นัน้ โดยไมพ่ จิ ารณา ผลท่ีมันหวงั ไดก้ ็ คอื จมดิง่ ลงไป หรอื ลอยไปตามกระแสนำ�้ . ข้อนัน้ เพราะ เหตุไรเล่า ? เพราะว่ากระต่ายหรือแมวป่านั้นตัวมันเล็ก จึงไมอ่ าจหยั่งลงในหว้ งน�้ำ ลึก, น้ีฉันใด; อบุ าลี ! ขอ้ นกี้ ็ฉนั นัน้ กลา่ วคอื ผู้ใดพูดว่า “เราไมไ่ ด้สมาธิ เราจักไปอยูใ่ นเสนาสนะอนั สงดั คือ ปา่ หรือปา่ เปลี่ยว” ดงั น้ี. เขาน้นั พงึ หวังผลข้อนี้ คือ จิตจะจมลง หรอื จติ จกั ปลิวไป.
2376 พพุทุทธธววจจนน (เนื้อความข้อนี้แสดงว่า การออกไปอยู่ป่ามิได้เหมาะ ส�ำ หรับทกุ คน. ผ้ใู ดคิดวา่ จกั บรรลปุ ฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน กระทง่ั ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอันไม่มีอาสวะ ด้วยเหตุเพียงสักว่าอยู่ป่า อยา่ งเดียวนั้น ไม่อาจจะส�ำ เร็จได้ เพราะไม่ช่ือว่า เปน็ ผู้ตามถึง ประโยชน์ตน (อนุปฺปตฺตสทตฺถ) ได้ด้วยเหตุสักว่าการอยู่ป่า; ดงั นน้ั พระองค์จึงตรสั กะภกิ ษอุ บุ าลีว่า :-) อบุ าลี ! เธอ จงอยใู่ นหมู่สงฆเ์ ถิด ความผาสุกจกั มีแกเ่ ธอผู้อย่ใู นหมู่สงฆ์ ดังนี้. ทสก. อํ. ๒๔/๒๑๖/๙๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 237 ๘๙ ผลของการกระท�ำ ทท่ี �ำ ไดเ้ หมาะสมกบั เวลา ภิกษทุ ง้ั หลาย ! กาล ๔ ประการน้ี อนั บคุ คล บ�ำ เพญ็ โดยชอบ ใหเ้ ปน็ ไปโดยชอบ ยอ่ มใหถ้ งึ ความสน้ิ อาสวะ โดยลำ�ดบั . กาล ๔ ประการ เปน็ อยา่ งไรเล่า คือ :- ๑. การฟงั ธรรมตามกาล (กาเลน ธมมฺ สสฺ วน) ๒. การสนทนาธรรมตามกาล (กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า) ๓. การทำ�สมถะตามกาล (กาเลน สมโถ) ๔. การทำ�วปิ ัสสนาตามกาล (กาเลน วิปสฺสนา) ภกิ ษุทัง้ หลาย ! กาล ๔ ประการน้แี ล อนั บุคคล บ�ำ เพญ็ โดยชอบ ใหเ้ ปน็ ไปโดยชอบ ยอ่ มใหถ้ งึ ความสน้ิ อาสวะ โดยล�ำ ดบั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ฝนเม็ดใหญต่ กบนภูเขา น�ำ้ ไหลไปตามทล่ี มุ่ ยอ่ มยงั ซอกเขา ล�ำ ธารและหว้ ยใหเ้ ตม็ ซอกเขา ล�ำ ธารและห้วยเต็มแลว้ ย่อมยงั บงึ น้อยให้เตม็ บึงน้อยเตม็ แล้ว ย่อมยังบงึ ใหญ่ให้เตม็ บงึ ใหญเ่ ต็มแล้ว ยอ่ มยงั แมน่ �ำ้ นอ้ ยใหเ้ ตม็ แมน่ �ำ้ นอ้ ยเตม็ แลว้ ยอ่ มยงั แมน่ �ำ้ ใหญ่ ใหเ้ ตม็ แมน่ �ำ้ ใหญเ่ ตม็ แลว้ ยอ่ มยงั สมทุ รสาครใหเ้ ตม็ แมฉ้ นั ใด กาล ๔ ประการน้ี อนั บคุ คลบ�ำ เพญ็ โดยชอบ ใหเ้ ปน็ ไปโดยชอบ ยอ่ มใหถ้ งึ ความสน้ิ อาสวะโดยล�ำ ดบั ฉนั นน้ั เหมอื นกนั แล. จตกุ กฺ . อํ. ๒๑/๑๘๘/๑๔๗.
2398 พุทธวจน ๙๐ จงเป็นผมู้ ีสติคกู่ นั ไปกับสมั ปชญั ญะ ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภกิ ษุ พงึ เปน็ ผมู้ สี ติอยู่ อย่างมีสมั ปชัญญะ : นเ้ี ปน็ อนสุ าสนีของเราแก่พวกเธอท้ังหลาย. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษุเปน็ ผมู้ สี ติ เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณีนี้ เปน็ ผเู้ หน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มีสติ นำ�ออกเสยี ไดซ้ งึ่ อภิชฌา และโทมนสั ในโลก; เปน็ ผเู้ หน็ เวทนาในเวทนาอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วาม เพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ซ่ึง อภิชฌาและโทมนสั ในโลก; เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยูเ่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มีสมั ปชญั ญะ มีสติ น�ำ ออกเสียได้ซึ่งอภิชฌา และโทมนัสในโลก;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 239 เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มคี วามเพียรเผากเิ ลส มสี ัมปชญั ญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ ซึ่งอภชิ ฌาและโทมนัสในโลก. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! อยา่ งนี้แล เรยี กวา่ ภิกษเุ ปน็ ผู้มีสติ. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษเุ ป็นผู้มสี มั ปชญั ญะ เป็นอย่างไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี เป็นผู้รู้ตัว รอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลบั ไปขา้ งหลงั การแลดู การเหลยี วดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จวี ร, การฉัน การดม่ื การเคี้ยว การลิม้ , การถ่าย อจุ จาระ ปัสสาวะ, การไป การหยดุ การนัง่ การนอน การหลับ การต่ืน การพูด การน่งิ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อย่างนแ้ี ล เรียกว่า ภิกษุเป็นผ้มู ีสมั ปชัญญะ. ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ภิกษุ พึงเป็นผ้มู ีสติอยู่ อย่างมสี มั ปชญั ญะ : นเี้ ปน็ อนสุ าสนีของเราแกพ่ วกเธอทง้ั หลาย. มหา. ท.ี ๑๐/๑๑๒/๙๐.
ความสําคัญ ของ คําพระผูมีพระภาคเจา
2423 พุทธวจน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 243 ๙๑ เหตุผลทตี่ อ้ งรับฟังเฉพาะค�ำ ตรสั ของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงกำ�ชับใหศ้ ึกษาปฏบิ ตั ิเฉพาะ จากค�ำ ของพระองคเ์ ทา่ น้นั อย่าฟงั คนอ่นื ภกิ ษุทง้ั หลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณนี ี,้ สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ ค�ำ รอ้ ยกรอง ประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอ่ื งนอกแนว เปน็ ค�ำ กลา่ วของสาวก เมอ่ื มผี นู้ �ำ สตุ ตนั ตะ เหลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งย่ี หฟู งั ไมต่ ง้ั จติ เพอ่ื จะร้ทู วั่ ถึง และจักไมส่ �ำ คัญว่าเป็นส่งิ ทีต่ นควรศึกษา เล่าเรยี น. ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ส่วนสตุ ตันตะเหลา่ ใด ท่เี ป็น คำ�ของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นช้ันโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเร่ืองสุญญตา, เม่ือมี ผู้นำ�สุตตันตะเหล่าน้ันมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเง่ียหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพ่ือจะรู้ท่ัวถึง และ
2454 พุทธวจน ย่อมสำ�คัญวา่ เปน็ สงิ่ ทีต่ นควรศึกษาเลา่ เรยี น จงึ พากัน เล่าเรียน ไตถ่ าม ทวนถามแก่กนั และกนั อย่วู ่า “ข้อนเี้ ปน็ อย่างไร ? มีความหมายกน่ี ัย ?” ดงั นี้. ดว้ ยการท�ำ ดงั น้ี เธอยอ่ มเปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ ไวไ้ ด.้ ธรรมทย่ี งั ไมป่ รากฏ เธอกท็ �ำ ใหป้ รากฏได,้ ความสงสยั ในธรรมหลายประการท่ีน่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได.้ ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภิกษบุ ริษัทเหลา่ น้ี เราเรยี กว่า บรษิ ทั ทม่ี กี ารลลุ ว่ งไปได้ ดว้ ยการสอบถามแกก่ นั และกนั เอาเอง, หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคล ภายนอกเหลา่ อน่ื ไม;่ (ปฏปิ จุ ฉาวนิ ตี าปรสิ าโนอกุ กาจติ วนิ ตี า) จดั เปน็ บรษิ ทั ทเ่ี ลศิ แล. ทุก. อ.ํ ๒๐/๙๒/๒๙๒.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 245 หากไม่สนใจค�ำ ตถาคต จะท�ำ ใหเ้ กดิ ความอันตรธานของคำ�ตถาคต เปรยี บด้วยกลองศึก ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องน้เี คยมมี าแลว้ : กลองศึก ของกษัตรยิ พ์ วกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่ เมอ่ื กลองอานกะนี้ มแี ผลแตก หรอื ลิ, พวกกษตั ริย์ทสารหะ ไดห้ าเนอ้ื ไมอ้ น่ื ท�ำ เปน็ ลม่ิ เสรมิ ลงในรอยแตกของกลองนน้ั (ทกุ คราวไป). ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เมอ่ื เชื่อมปะเข้าหลายครั้ง หลายคราวเช่นน้ัน นานเข้าก็ถงึ สมัยหน่งึ ซงึ่ เน้อื ไมเ้ ดิม ของตวั กลองหมดสน้ิ ไป เหลอื อยแู่ ตเ่ นอ้ื ไมท้ ท่ี �ำ เสรมิ เขา้ ใหมเ่ ท่านน้ั ; ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ฉนั ใดก็ฉนั นัน้ : ในกาลยดื ยาว ฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุท้งั หลาย, สุตตันตะเหล่าใด ท่ี เปน็ คำ�ของตถาคต เปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซง้ึ เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเร่ืองสุญญตา, เม่ือมี ผู้นำ�สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จกั ไมเ่ งย่ี หฟู งั จกั ไมต่ ง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และจกั ไมส่ �ำ คญั วา่ เปน็ ส่งิ ทตี่ นควรศกึ ษาเล่าเรียน.
2476 พพุทุทธธววจจนน ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งข้ึนใหม่ เปน็ ค�ำ รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอันวจิ ิตร เป็นเรอื่ งนอกแนว เป็นคำ�กล่าว ของสาวก, เม่ือมีผู้นำ�สูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้น มากล่าวอย;ู่ เธอจกั ฟงั ดว้ ยดี จักเง่ียหูฟัง จักต้งั จิตเพื่อ จะรทู้ ว่ั ถงึ และจกั ส�ำ คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ความอนั ตรธานของสตุ ตนั ตะ เหล่านั้นท่ีเป็นคำ�ของตถาคต เป็นข้อความลึก มี ความหมายซ้งึ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะด้วยเร่ือง สุญญตา จักมีไดด้ ้วยอาการอยา่ งนี้ แล. นิทาน. ส.ํ ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 247 พระองคท์ รงสามารถก�ำ หนดสมาธิ เมื่อจะพดู ทกุ ถอ้ ยค�ำ จึงไม่ผิดพลาด อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรอื จำ�เดิมแตเ่ รม่ิ แสดง กระทงั่ คำ�สุดทา้ ยแห่งการกลา่ วเร่อื งนั้นๆ ยอ่ มตง้ั ไวซ้ ง่ึ จติ ในสมาธนิ มิ ติ อนั เปน็ ภายในโดยแท้ ใหจ้ ติ ด�ำ รงอยู่ ใหจ้ ติ ตัง้ มั่นอยู่ กระทำ�ให้มจี ิตเป็นเอก ดังเช่นท่ีคนท้ังหลายเคยได้ยินว่าเรากระท�ำ อยู่เป็นประจำ� ดังน้.ี มู. ม. ๑๒/๔๖๐/๔๓๐.
2489 พุทธวจน ค�ำ พดู ท่ีตรัสมาทัง้ หมดนับแตว่ นั ตรสั รูน้ น้ั สอดรบั ไมข่ ัดแย้งกัน ภิกษทุ ั้งหลาย ! นบั ต้ังแตร่ าตรี ที่ตถาคตได้ตรสั รู้ อนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ จนกระทงั่ ถงึ ราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ดว้ ยอนปุ าทิเสสนิพพานธาตุ, ตลอดเวลาระหว่างน้นั ตถาคตได้กล่าวสอน พร�ำ่ สอน แสดงออก ซง่ึ ถอ้ ยค�ำ ใด ถอ้ ยค�ำ เหลา่ นน้ั ทง้ั หมด ย่อมเข้ากนั ไดโ้ ดยประการเดยี วท้งั ส้นิ ไม่แยง้ กันเปน็ ประการอน่ื เลย. อิตวิ .ุ ข.ุ ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 249 แตล่ ะคำ�พูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกตอ้ งตรงจริง ไมจ่ �ำ กัดกาลเวลา ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! พวกเธอทง้ั หลายเปน็ ผทู้ เ่ี ราน�ำ ไปแลว้ ดว้ ยธรรมน้ี อนั เปน็ ธรรมทีบ่ คุ คลจะพงึ เห็นได้ด้วยตนเอง (สนฺทฏิ ิโก), เป็นธรรมใหผ้ ลไมจ่ ำ�กดั กาล (อกาลโิ ก), เปน็ ธรรมท่ีควรเรยี กกันมาดู (เอหิปสฺสิโก), ควรนอ้ มเข้ามาใส่ตวั (โอปนยิโก), อนั วญิ ญูชนจะพงึ รไู้ ด้เฉพาะตน (ปจฺจตตฺ ํ เวทตพฺโพ วญิ ฺญหู )ิ . ม. ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๐.
2501 พุทธวจน ทรงใหใ้ ช้ธรรมวนิ ยั ทตี่ รสั แลว้ เปน็ ศาสดาแทนต่อไป อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างน้ีว่า “ธรรมวนิ ยั ของพวกเรามพี ระศาสดาลว่ งลบั ไปแลว้ พวกเรา ไมม่ พี ระศาสดา” ดงั น.้ี อานนท์ ! พวกเธออยา่ คดิ อยา่ งนน้ั . อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินยั กด็ ี ทเ่ี ราแสดงแล้ว บัญญัติแลว้ แก่พวกเธอท้งั หลาย ธรรมวินยั นนั้ จักเปน็ ศาสดาของพวกเธอท้งั หลาย โดยกาลล่วงไปแหง่ เรา. อานนท์ ! ในกาลบัดนีก้ ็ดี ในกาลล่วงไปแหง่ เราก็ดี ใครกต็ ามจักตอ้ งมีตนเปน็ ประทีป มตี นเปน็ สรณะ ไมเ่ อาส่งิ อ่นื เป็นสรณะ; มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเป็นสรณะ ไมเ่ อาสิ่งอ่ืนเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภกิ ษพุ วกนนั้ จักเป็นผอู้ ยู่ในสถานะอนั เลศิ ท่สี ุด แล. มหา. ท.ี ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 251 ทรงห้ามบัญญตั เิ พม่ิ หรอื ตัดทอน สง่ิ ทีบ่ ญั ญตั ไิ ว้ ภิกษุทัง้ หลาย ! ภิกษุทงั้ หลาย จักไมบ่ ัญญตั สิ ่งิ ทไี่ มเ่ คยบัญญัติ จกั ไม่เพิกถอนส่งิ ทบ่ี ัญญัตไิ ว้แล้ว จกั สมาทานศึกษาในสกิ ขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่างเคร่งครัด อยเู่ พียงใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ ส่งิ ทีภ่ กิ ษุทั้งหลายหวังได้ ไมม่ คี วามเสื่อมเลย อยเู่ พยี งน้นั . สตฺตก. อ.ํ ๒๓/๒๑/๒๑.
2523 พุทธวจน ๙๒ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ คอื กลั ยาณวัตร ที่ตถาคตทรงฝากไว้ อานนท์ ! ก็กัลยาณวัตรอันเราตั้งไว้ในกาลนี้ ย่อมเป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพ่ือ คลายกำ�หนัด เพื่อดับ เพ่ือความสงบระงับ เพื่อรู้ย่ิง เพอ่ื ร้พู รอ้ ม เพื่อนิพพาน. อานนท์ ! กัลยาณวตั รน้ี เป็นอย่างไรเลา่ ? นีค้ ือ อริยมรรคมอี งค์ ๘ กล่าวคอื :- สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กัปปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธ.ิ อานนท์ ! เกี่ยวกับกลั ยาณวตั รนั้น เราขอกล่าวกะเธอ โดยประการที่เธอท้ังหลาย จะพากนั ประพฤติตามกัลยาณวตั รทีเ่ ราต้งั ไวแ้ ล้วนี้ : เธอทัง้ หลายอยา่ เปน็ บรุ ษุ พวกสุดทา้ ยของเราเลย.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 253 อานนท์ ! ความขาดสูญแหง่ กลั ยาณวตั รน้ีมใี นยคุ แหง่ บรุ ุษใด; บุรุษนัน้ ชื่อว่าบุรษุ คนสดุ ทา้ ยแหง่ บุรษุ ท้งั หลาย. อานนท์ ! เก่ียวกับกัลยาณวตั รน้ัน เราขอกลา่ ว (ย�ำ้ ) กับเธอ โดยประการท่ีเธอทงั้ หลาย จะพากันประพฤตติ ามกลั ยาณวัตรท่เี ราตั้งไวแ้ ล้วน้ี : เธอท้ังหลายอยา่ เปน็ บรุ ษุ พวกสดุ ทา้ ยของเราเลย. ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
การปรินิพพาน ของตถาคต
2567 พพุทุทธธววจจนน ๙๓ เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน สารีบุตร ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าว อย่างนี้ เหน็ อย่างนีว้ า่ ชวั่ เวลาทบ่ี ุรุษนย้ี งั เป็นหนุ่ม มผี ม ด�ำ สนทิ ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ตงั้ อยใู่ นปฐมวัย, ก็ ยงั คงประกอบดว้ ยปญั ญาอนั เฉยี บแหลมวอ่ งไวอยเู่ พยี งนน้ั , เมื่อใดบรุ ษุ น้แี ก่เฒ่า เป็นผใู้ หญ่ ล่วงกาลนาน ผา่ นวยั ไปแลว้ มอี ายุ ๘๐ ป,ี ๙๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี จากการเกดิ , เมอื่ น้ัน เขายอ่ มเปน็ ผเู้ สื่อมส้นิ จากปัญญาอนั เฉียบแหลม วอ่ งไว. สารีบตุ ร ! ขอ้ น้ี เธออยา่ พงึ เหน็ อยา่ งนน้ั , เรานแ้ี ล ในบัดนีเ้ ป็นคนแกเ่ ฒ่า เปน็ ผ้ใู หญ่ ล่วงกาลผา่ นวัยมาแล้ว วัยของเรานับได้ ๘๐ ปี, ...ฯลฯ... สารบี ุตร ! ธรรมเทศนาท่ีแสดงไปนนั้ กม็ ิได้แปรปรวน บทพยญั ชนะแห่งธรรมของตถาคต กม็ ไิ ด้แปรปรวน ปฏภิ าณในการตอบปญั หาของตถาคต ก็มิได้แปรปรวน ...ฯลฯ...
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 257 สารีบตุ ร ! แม้วา่ เธอทง้ั หลาย จักนำ�เราไปด้วย เตยี งน้อย (ส�ำ หรับหามคนทพุ พลภาพ), ความแปรปรวน เป็นอย่างอ่นื แห่งปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวของตถาคต กม็ ิได้มี. สารีบตุ ร ! ถ้าผู้ใดจะพงึ กลา่ วให้ถูกใหช้ อบวา่ “สัตวม์ คี วามไม่หลงเปน็ ธรรมดา บังเกดิ ขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกอื้ กลู เพ่ือความสุขแก่มหาชน เพอ่ื อนเุ คราะห์โลก, เพอื่ ประโยชน์ เพื่อความเก้อื กูล เพ่อื ความสุขแกเ่ ทวดาและมนุษย์ทงั้ หลาย” ดงั นแ้ี ลว้ ผ้นู ้นั พงึ กลา่ วซงึ่ เราผเู้ ดียวเทา่ นัน้ . ลำ�ดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงท่ปี ระทับ ถวายอภวิ าทแลว้ ลบู คลำ�ทวั่ พระกายของ พระผูม้ ีพระภาคอยู่ พลางกลา่ วถ้อยคำ�น้ี ว่า :- “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ขอ้ นน้ี า่ อศั จรรย;์ ขอ้ นไ้ี มเ่ คยมี มากอ่ น. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! บดั น้ี ฉววี รรณของพระผมู้ พี ระภาค ไมบ่ รสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ งเหมอื นแตก่ อ่ น และพระกายกเ็ หย่ี วยน่ หยอ่ นยาน มพี ระองคค์ อ้ มไปขา้ งหนา้ อนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย กเ็ ปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื ไปหมด ท้งั พระจักษุ โสตะ ฆานะ ชวิ หา กายะ”.
2598 พุทธวจน อานนท์ ! นัน่ ตอ้ งเป็นอยา่ งนนั้ ; คอื ความชรามี (ซอ่ น) อยใู่ นความหนุ่ม, ความเจบ็ ไขม้ ี (ซ่อน) อยูใ่ นความไมม่ โี รค, ความตายมี (ซอ่ น) อยใู่ นชีวิต; ฉววี รรณจงึ ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิผดุ ผ่องเสยี แลว้ และกายก็ เหี่ยวย่นหยอ่ นยาน มตี ัวค้อมไปขา้ งหนา้ อินทรียท์ ัง้ หลาย กเ็ ปลี่ยนเปน็ อยา่ งอืน่ ไปหมด ท้งั ตา หู จมกู ลิ้น กาย ดงั น.้ี พระผู้มีพระภาค ครั้นตรัสคำ�นี้แล้ว ได้ตรัส ข้อความน้ี (เป็นค�ำ กาพยก์ ลอน) อีกว่า :- โธเ่ อย๋ ! ความแกอ่ ันช่วั ชา้ เอ๋ย ! อันทำ�ความนา่ เกลยี ดเอ๋ย ! กายทน่ี า่ พอใจ บดั นก้ี ถ็ กู ความแกย่ �ำ่ ยหี มดแลว้ . แม้ใครจะมีชีวติ อยู่ตง้ั รอ้ ยปี ทกุ คนกย็ งั มคี วามตายเปน็ ท่ไี ปในเบ้ืองหน้า. ความตายไม่ยกเวน้ ให้แกใ่ ครๆ มนั ย่ำ�ยีหมดทกุ คน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 259 อานนท์ ! บดั นี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ สังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดียน์ ้.ี (พระอานนทไ์ ด้สตจิ งึ ทลู ขอให้ ดำ�รงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือย่ิงกว่า กปั ป์; ทรงปฏเิ สธ) อานนท์ ! อย่าเลย, อย่าวิงวอนตถาคตเลย มใิ ช่เวลาจะวิงวอนตถาคตเสยี แล้ว. (พระอานนทท์ ลู วิงวอน อีกจนครบสามครั้ง ได้รับพระดำ�รัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่า เปน็ ความผดิ ของพระอานนทผ์ เู้ ดยี ว, แลว้ ทรงจาระไนสถานท่ี ๑๖ แหง่ ที่เคยให้โอกาสแก่พระอานนท์ในเร่ืองน้ี แต่พระอานนท์รู้ไม่ทัน สกั ครัง้ เดยี ว) อานนท์ ! ในที่นั้นๆ ถ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจักห้ามเสยี สองคร้ัง แลว้ จักรบั ค�ำ ในคร้งั ที่สาม, อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแลว้ มิใชห่ รอื ว่าสัตว์ จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะ ได้ตามปรารถนา ในสังขารน้ีแต่ท่ีไหนเล่า, ข้อท่ีสัตว์ จะหวังเอาส่ิงท่ีเกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับเป็นธรรมดา ว่าส่ิงนี้อย่าฉิบหายเลย ดังนี้ ย่อมไมเ่ ป็นฐานะทม่ี ีได้ เป็นได้. ม.ู ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒., มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.
2610 พุทธวจน สัตว์ท้ังปวง ทง้ั ทเี่ ป็นคนหนุ่ม คนแก่ ทั้งท่เี ป็นคนพาลและบัณฑิต ท้งั ทีม่ ่งั มี และ ยากจน ลว้ นแต่มคี วามตายเปน็ ท่ีไปถึง ในเบือ้ งหนา้ . เปรียบเหมือนภาชนะดนิ ทช่ี ่างหม้อป้ันแลว้ ทงั้ เลก็ และใหญ่ ทั้งทส่ี ุกแล้ว และยงั ดิบ ลว้ นแต่มกี ารแตกท�ำ ลายเป็นทสี่ ุด ฉนั ใด ชวี ติ แหง่ สตั วท์ ง้ั หลายกม็ คี วามตายเปน็ เบอ้ื งหนา้ ฉนั นน้ั วยั ของเรา แกห่ งอ่ มแล้ว ชีวิตของเรารบิ หรี่แล้ว เราจักละพวกเธอไป สรณะของตัวเองเราได้ทำ�ไว้แล้ว ภิกษุทงั้ หลาย ! พวกเธอจงเป็นผู้ไมป่ ระมาท มสี ติ มศี ลี เปน็ อย่างดี มีความด�ำ รอิ ันตง้ั ไว้แล้วดว้ ยดี ตามรกั ษาซง่ึ จิตของตนเถิด ในธรรมวินยั น้ี ภิกษใุ ดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จกั ละชาติสงสาร ท�ำ ทส่ี ุดแหง่ ทุกขไ์ ด้. มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 261 ๙๔ ผ้มู ีธรรมเปน็ ทพี่ ึ่ง อานนท์ ! เราไดก้ ลา่ วเตอื นไวก้ อ่ นแลว้ มใิ ชห่ รอื วา่ “ความเปน็ ตา่ งๆ ความพลดั พราก ความเปน็ อยา่ งอน่ื จากของรกั ของชอบใจท้งั สนิ้ ย่อมม”ี . อานนท์ ! ข้อนัน้ จักไดม้ าแต่ไหนเล่า ? สงิ่ ใด เกดิ ขึ้นแล้ว เปน็ แล้ว อนั ปัจจัยปรงุ แล้ว มคี วามช�ำ รดุ ไป เป็นธรรมดา, ส่ิงนั้นอย่าชำ�รุดไปเลย ดังน้ี, ข้อน้ัน ย่อมเป็นฐานะที่มไี มไ่ ด้. อานนท์ ! เพราะฉะน้ัน ในเรื่องน้ี พวกเธอ ทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอา สง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ; จงมธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเปน็ สรณะ ไม่มสี ิ่งอื่นเป็นสรณะ. อานนท์ ! ภกิ ษ ุ มตี นเปน็ ประทปี มีตนเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ, มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรม เปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะนน้ั เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้
2632 พุทธวจน พิจารณาเห็นกายในกายเนอื งๆ อยู่ พิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทั้งหลายเนอื งๆ อยู่ พจิ ารณาเหน็ จติ ในจิตเนืองๆ อยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมทัง้ หลายเนอื งๆ อยู่ มคี วามเพียรเผากิเลส มคี วามรสู้ ึกตวั ทั่วพร้อม มีสติ ก�ำ จดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสียได้. อานนท์ ! ภกิ ษุ อย่างนี้แล ชอื่ วา่ มตี นเปน็ ประทีป มีตนเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสิ่งอน่ื เปน็ สรณะ; มีธรรมเปน็ ประทีป มีธรรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสิง่ อ่นื เป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ในกาลบดั นก้ี ด็ ี ในกาลลว่ งไปแหง่ เรา กด็ ี ใครกต็ าม จักต้องมีตนเปน็ ประทปี มีตนเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ; มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภกิ ษพุ วกนัน้ จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลศิ ท่สี ดุ แล. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๑๖/๗๓๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 263 ๙๕ หลักตดั สินธรรมวนิ ยั ๔ ประการ ๑. (หากม)ี ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างน้ีว่า ผมู้ อี าย ุขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั รบั มาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผมู้ พี ระภาค วา่ “นเ้ี ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นเ้ี ป็นคำ�สอนของพระศาสดา”... ๒. (หากม)ี ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างน้ีว่า ในอาวาสช่ือโน้น มีสงฆ์อยู่พร้อมด้วยพระเถระหัวหน้า ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม น้เี ป็นวนิ ยั น้เี ปน็ คำ�สอนของพระศาสดา”... ๓. (หากม)ี ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่จำ�นวนมากเป็น พหสู ูตร เรียนคมั ภีร์ ทรงธรรม ทรงวนิ ัย ทรงมาตกิ า ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปน้ันว่า “นี้เป็น ธรรม น้เี ปน็ วนิ ยั นี้เปน็ ค�ำ สอนของพระศาสดา”...
2654 พุทธวจน ๔. (หากม)ี ภิกษุในธรรมวินัยน้ีกล่าวอย่างน้ีว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่รูปหน่ึงเป็น พหสู ูตร เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ัย ทรงมาตกิ า ขา้ พเจ้าได้สดบั เฉพาะหน้าพระเถระรูปน้นั ว่า “น้เี ป็นธรรม นี้เปน็ วินยั นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”... เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้าน คำ�กลา่ วของผูน้ นั้ พงึ เรียนบทและพยัญชนะเหล่านนั้ ให้ดี แล้วพงึ สอบสวนลงในพระสูตร เทยี บเคยี งดใู นวนิ ัย ถา้ บทและพยญั ชนะเหลา่ นน้ั สอบลงในสตู รกไ็ มไ่ ด้ เทียบเขา้ ในวินัยก็ไม่ได้ พงึ ลงสนั นษิ ฐานว่า “นม้ี ใิ ชพ่ ระด�ำ รสั ของพระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั แนน่ อน และภกิ ษนุ ร้ี บั มาผดิ ” เธอทง้ั หลายพงึ ทง้ิ ค�ำ นน้ั เสยี . ถา้ บทและพยญั ชนะเหลา่ นน้ั สอบลงในสตู รกไ็ ด้ เทียบเขา้ ในวนิ ัยก็ได้ พงึ ลงสันนษิ ฐานวา่ “นเ้ี ปน็ พระด�ำ รสั ของพระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั แน่นอน และภกิ ษนุ น้ั รบั มาด้วยดี”. เธอทัง้ หลาย พึงจำ�มหาปเทส… นีไ้ ว้. มหา. ที. ๑๐/๑๔๔-๖/๑๑๓-๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 265 ๙๖ การบูชาตถาคตอยา่ งสูงสุด อานนท์ ! เธอจงจดั ตง้ั ทน่ี อน ระหวา่ งตน้ สาละคู่ มีศีรษะทางทศิ เหนอื เราลำ�บากกายนัก, จกั นอน (ประทบั สีหไสยยาแลว้ มอี ศั จรรย์ ดอกสาละผลิผดิ ฤดูกาลโปรยลงบน พระสรรี ะ, ดอกมณั ฑารพ จรุ ณไ์ มจ้ นั ทน,์ ดนตรี ลว้ นแตข่ องทพิ ย์ ได้ตกลงและบรรเลงข้นึ ; เพ่อื บูชาตถาคตเจา้ ). อานนท์ ! การบูชาเหล่าน้ี หาช่ือว่า ตถาคต เปน็ ผทู้ ี่ได้รับสักการะ เคารพนบั ถือ บูชาแลว้ ไม่. อานนท์ ! ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤตธิ รรมสมควรแกธ่ รรม ปฏบิ ัติชอบย่ิง, ปฏบิ ตั ิ ตามธรรมอยู;่ ผู้นนั้ ช่ือวา่ ย่อมสกั การะ เคารพนบั ถือ บูชาตถาคต ดว้ ยการบชู าอนั สงู สุด. อานนท์ ! เพราะฉะนั้นเธอพึงกำ�หนดใจว่า “เราจักประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบย่ิง ปฏบิ ตั ิตามธรรมอยู”่ ดงั น.ี้ มหา. ที. ๑๐/๑๕๙-๖๐/๑๒๘-๙.
2667 พพุทุทธธววจจนน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 267 ๙๗ พนิ ยั กรรม ของ “พระสงั ฆบดิ า” อานนท์ ! ความคดิ อาจมแี กพ่ วกเธออยา่ งนว้ี า่ “ธรรมวินัยของพวกเรา มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไมม่ ีพระศาสดา” ดงั น้ี. อานนท์ ! พวกเธออยา่ คิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมกด็ ี วินัยกด็ ี ทเ่ี ราแสดงแล้ว บัญญัตแิ ลว้ แกพ่ วกเธอท้ังหลาย ธรรมวนิ ัยนัน้ จักเปน็ ศาสดาของพวกเธอทงั้ หลาย โดยกาลลว่ งไปแห่งเรา. มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘. ภกิ ษุทั้งหลาย ! บัดน้ี เราจกั เตือนพวกเธอทัง้ หลายวา่ สงั ขารท้งั หลาย มคี วามเสือ่ มไปเป็นธรรมดา พวกเธอท้งั หลาย จงทำ�ความไม่ประมาทให้ถงึ พรอ้ ม เถิด ดงั น.ี้ นแ่ี ล เปน็ พระวาจาทต่ี รสั ครง้ั สดุ ทา้ ยของพระตถาคตเจา้ . มหา. ที. ๑๐/๑๘๐/๑๔๓.
2689 พุทธวจน ๙๘ สงั เวชนียสถานภายหลัง พทุ ธปรนิ ิพพาน “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! แตก่ อ่ นน้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายทจ่ี �ำ พรรษา ในทศิ ตา่ งๆแลว้ ยอ่ มมาเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ .พวกขา้ พระองคท์ ง้ั หลาย ไดม้ โี อกาสเหน็ ภกิ ษทุ ง้ั หลายผนู้ า่ เจรญิ ใจเหลา่ นน้ั ไดม้ โี อกาสเขา้ พบปะ ภกิ ษทุ ง้ั หลายผนู้ า่ เจรญิ ใจเหลา่ นน้ั . ครน้ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ลว่ งลบั ไปแลว้ พวกขา้ พระองคท์ ง้ั หลาย ยอ่ มหมดโอกาสทจ่ี ะไดเ้ หน็ หรอื ไดเ้ ขา้ พบปะภกิ ษทุ ง้ั หลายผนู้ า่ เจรญิ ใจเหลา่ นน้ั อกี ตอ่ ไป” อานนท์ ! สถานท่ีที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวชแก่ กลุ บตุ รผูม้ ีศรัทธา มอี ยู่ ๔ ต�ำ บล. ๔ ตำ�บล อะไรเล่า ? (๑) สถานท่ี ทค่ี วรเหน็ และควรเกดิ ความสงั เวช แก่กลุ บุตรผูม้ ีศรัทธา วา่ ตถาคตประสตู ิ แล้ว ณ ที่นี้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 269 (๒) สถานท่ี ทีค่ วรเหน็ และควรเกิดความสงั เวช แกก่ ุลบุตรผู้มีศรัทธา ว่าตถาคตได้ตรัสรูอ้ นุตตรสมั มา- สัมโพธิญาณแล้ว ณ ทีน่ ้ี (๓) สถานท่ี ท่ีควรเห็นและควรเกดิ ความสังเวช แกก่ ลุ บตุ รผมู้ ศี รทั ธาวา่ ตถาคตไดป้ ระกาศอนตุ ตรธรรมจกั ร ใหเ้ ป็นไปแลว้ ณ ทน่ี ้ี (๔) สถานท่ี ที่ควรเหน็ และควรเกิดความสังเวช แกก่ ลุ บตุ รผมู้ ศี รทั ธา วา่ ตถาคตปรนิ พิ พานดว้ ยอนปุ าทเิ สส- นิพพานธาตแุ ลว้ ณ ท่นี ี้ อานนท์ ! สถานที่ ท่ีควรเห็นและควรเกิดความสังเวชแก่ กลุ บุตรผู้มีศรทั ธา มี ๔ ตำ�บลเหล่าน้ี แล. อานนท์ ! ภิกษุท้ังหลาย หรือภิกษุณีท้ังหลาย หรืออุบาสกท้ังหลาย หรืออุบาสิกาทั้งหลาย ผู้มีศรัทธา
2701 พุทธวจน จักพากันมาสู่สถานที่ ๔ ตำ�บลเหล่านี้ โดยหมายใจว่า ตถาคตได้ประสูติแล้ว ณ ที่นี้บ้าง, ตถาคตได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ ท่ีนี้บ้าง, ตถาคตได้ ประกาศอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว ณ ที่นี้บ้าง, ตถาคตได้ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ทีน่ ีบ้ ้าง ดงั นี้. อานนท์ ! ชนเหล่าใด เทีย่ วไปตามเจดยี สถาน จกั มีจิตเล่อื มใส ทำ�กาละแลว้ ชนเหล่าน้นั จักเข้าถึงสคุ ติโลกสวรรค์ ภายหลงั แตก่ ารตายเพราะการทำ�ลายแห่งกาย ดงั น้.ี มหา. ท.ี ๑๐/๑๖๓/๑๓๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 271 ๙๙ สถานท่ที ่ีควรจะระลกึ ตลอดชวี ติ ภิกษุทัง้ หลาย ! สถานที่ ๓ แห่ง เป็นทร่ี ะลึก ตลอดชวี ติ ของพระราชา ผูเ้ ป็นกษัตรยิ ม์ ุรธาภิเษกแล้ว. ๓ แห่ง ทไ่ี หนบา้ งเล่า ? ๓ แห่ง คือ :- พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษก ประสูติ ณ ตำ�บลใด ต�ำ บลน้เี ป็นทร่ี ะลึกตลอดชวี ิตของพระราชา พระองคน์ น้ั เป็นแห่งที่หน่งึ , พระราชา ได้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษกแล้ว ณ ต�ำ บลใด ตำ�บลน้เี ปน็ ที่ระลกึ ตลอดชวี ติ ของพระราชา พระองค์นั้น เปน็ แห่งท่ีสอง, พระราชาผู้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษกทรงผจญ สงครามได้ชัยชนะแล้ว เข้ายึดครองสนามรบน้ันไว้ได้ ณ ตำ�บลใด ตำ�บลนี้เปน็ ที่ระลกึ ตลอดชีวิตของพระราชา พระองคน์ ัน้ เปน็ แห่งทส่ี าม. ติก. อํ. ๒๐/๑๓๔/๔๕๑.
นิพพาน และ การพนทุกข
2754 พุทธวจน ๑๐๐ เพราะการเกดิ เปน็ เหตุให้พบกับ ความทกุ ข์ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ยอ่ มมไี ด้ เพราะการประชมุ พรอ้ มของสง่ิ ๓ อยา่ ง. ในสตั วโ์ ลกน้ี แมม้ ารดาและบดิ าเปน็ ผอู้ ยรู่ ว่ มกนั แต่มารดายังไม่ผ่านการมีระดู และคันธัพพะ (สัตว์ท่ีจะ เขา้ ไปปฏสิ นธใิ นครรภน์ น้ั ) กย็ งั ไมเ่ ขา้ ไปตง้ั อยโู่ ดยเฉพาะดว้ ย, การปฏสิ นธขิ องสตั วใ์ นครรภ์ กย็ ังมีขึน้ ไม่ไดก้ อ่ น. ในสัตวโ์ ลกน้ี แม้มารดาและบดิ าเปน็ ผู้อยู่รว่ มกัน และมารดากผ็ า่ นการมรี ะดู แตค่ นั ธพั พะยงั ไมเ่ ขา้ ไปตง้ั อยู่ โดยเฉพาะ, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ก็ยังมีขึ้นไม่ได้ น่ันเอง. ภกิ ษุทัง้ หลาย ! แต่เมื่อใด มารดาและบิดา เป็นผู้อยู่ร่วมกันด้วย มารดาก็ผ่านการมีระดูด้วย คันธัพพะก็เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะด้วย, การปฏิสนธิ ของสตั วใ์ นครรภ์ ยอ่ มส�ำ เรจ็ ได้ เพราะการประชมุ พรอ้ มกนั ของสงิ่ ๓ อย่าง ดว้ ยอาการอย่างน.้ี
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 275 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! มารดา ย่อมบรหิ ารสัตว์ทเ่ี กดิ ในครรภ์น้นั ด้วยความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวง เปน็ ภาระ หนกั ตลอดเวลาเกา้ เดอื นบา้ ง สบิ เดอื นบา้ ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ลว่ งไปเกา้ เดอื นหรอื สบิ เดอื น, มารดา ยอ่ มคลอดบตุ รนน้ั ด้วยความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวง เป็นภาระหนัก; ไดเ้ ลี้ยงซ่ึงบุตรอนั เกดิ แลว้ นัน้ ดว้ ยโลหิตของตนเอง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในวนิ ยั ของพระอรยิ เจา้ ค�ำ วา่ “โลหิต” น้ี หมายถึงนำ้�นมของมารดา. ภิกษุทั้งหลาย ! ทารกนน้ั เจรญิ วยั ขน้ึ มอี นิ ทรยี ์ อนั เจรญิ เตม็ ทแ่ี ลว้ เลน่ ของเลน่ ส�ำ หรบั เดก็ เชน่ เลน่ ไถนอ้ ยๆ เลน่ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง เลน่ ของเลน่ ชอ่ื โมกขจกิ ะ เลน่ กงั หนั ลม นอ้ ยๆ เล่นตวงของด้วยเคร่อื งตวงท่ีทำ�ดว้ ยใบไม้ เลน่ รถ นอ้ ยๆ เล่นธนูน้อยๆ. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ทารกน้นั ครน้ั เจรญิ วัยขึน้ แลว้ มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อม ดว้ ยกามคณุ ๕ ใหเ้ ขาบ�ำ เรออยู่ : ทางตาดว้ ยรปู , ทางหู ดว้ ยเสยี ง, ทางจมกู ดว้ ยกลน่ิ , ทางลน้ิ ดว้ ยรส, และทางกาย ดว้ ยโผฏฐพั พะ, ซ่งึ ล้วนแตเ่ ปน็ ส่ิงท่ีปรารถนา น่ารกั ใคร่
2776 พพุทุทธธววจจนน นา่ พอใจ เปน็ ทย่ี วนตา ยวนใจใหร้ กั เปน็ ทเ่ี ขา้ ไปตง้ั อาศยั อยู่ แห่งความใคร่ เป็นท่ีตั้งแห่งความกำ�หนัดย้อมใจ และ เปน็ ทต่ี ้ังแห่งความรกั . ทารกนั้น คร้ันเห็นรูปด้วยจักษุ เป็นต้นแล้ว ยอ่ มกำ�หนัดยนิ ดีในรูป เป็นตน้ ทยี่ วั่ ยวนให้เกิดความรัก, ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก; ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซ่ึงสติ อันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล ไม่รู้ตามท่ีเป็นจริง ซ่ึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อัน เปน็ ทีด่ ับไมเ่ หลือแหง่ ธรรมอันเปน็ บาปอกศุ ลทั้งหลาย. กมุ ารน้อยนั้น เมอื่ ประกอบดว้ ยความยนิ ดีและ ความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว, เสวยเฉพาะซ่ึงเวทนาใดๆ เปน็ สขุ กต็ าม ทกุ ขก์ ต็ าม ไมใ่ ช่ทุกขไ์ มใ่ ชส่ ขุ กต็ าม, เขา ยอ่ มเพลดิ เพลนิ พร�ำ่ สรรเสรญิ เมาหมกอยู่ ซง่ึ เวทนานน้ั ๆ. เม่ือเปน็ อยเู่ ช่นนน้ั , ความเพลิน (นนั ทิ) ยอ่ มบังเกิดขึน้ . ความเพลินใด ในเวทนาทัง้ หลายมอี ย,ู่ ความเพลนิ อันนั้นเปน็ อปุ าทาน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 277 เพราะอปุ าทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมภี พ; เพราะภพเปน็ ปจั จัย จงึ เกิดมชี าต;ิ เพราะชาตเิ ป็นปจั จัย, ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จึงเกดิ มพี ร้อม. ความกอ่ ข้ึนแห่งกองทกุ ข์ทั้งสน้ิ นี้ ยอ่ มมีได้ ดว้ ยอาการอย่างน้ี แล. ม.ู ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓.
2798 พุทธวจน ๑๐๑ เหตุแหง่ การเกดิ “ทกุ ข”์ ถูกแล้ว ถกู แลว้ อานนท์ ! ตามที่สารบี ุตรเมอ่ื ตอบปัญหาในลกั ษณะน้ันเชน่ น้นั , ชือ่ วา่ ไดต้ อบโดยชอบ : อานนท์ ! ความทกุ ขน์ น้ั เรากลา่ วว่า เปน็ สงิ่ ทอ่ี าศยั ปัจจัย อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ แลว้ เกดิ ขน้ึ (เรยี กวา่ ปฏจิ จสมปุ ปนั นธรรม). ความทกุ ขน์ น้ั อาศยั ปจั จยั อะไรเล่า ? ความทกุ ข์นนั้ อาศยั ปัจจัยคอื ผัสสะ, ผูก้ ลา่ ว อย่างน้ีแล ชื่อว่า กล่าวตรงตามท่ีเรากล่าว ไม่เป็นการ กล่าวตู่เราด้วยคำ�ไม่จริง; แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลาย เปน็ ผคู้ วรถูกตไิ ปด้วย. อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ ทก่ี ลา่ วสอน เรื่องกรรมทง้ั ๔ พวกน้นั : (๑) สมณพราหมณท์ ก่ี ลา่ วสอนเรอ่ื งกรรมพวกใด ยอ่ มบญั ญตั คิ วามทกุ ขว์ า่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นท�ำ เอาดว้ ยตนเอง, แม้ความทุกข์ท่ีพวกเขาบัญญัติน้ัน ก็ยังต้องอาศัยผัสสะ เปน็ ปจั จัย จึงเกดิ ได;้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360