ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 179 ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! สมยั ใด จติ หดหู่ สมยั นน้ั เปน็ กาล เพอ่ื เจรญิ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ เป็นกาล เพอื่ เจรญิ วิรยิ สมั โพชฌงค์ เป็นกาล เพอ่ื เจริญปตี ิสมั โพชฌงค.์ ข้อนนั้ เพราะเหตุไร ? เพราะจิตหดหู่ จิตท่ีหดหู่นั้นให้ตั้งข้ึนได้ง่าย ดว้ ยธรรมเหล่านน้ั . เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ ลกุ โพลง เขาจงึ ใสห่ ญา้ แหง้ โคมยั แหง้ ไมแ้ หง้ เอาปากเปา่ และไมโ่ รยฝนุ่ ในไฟนน้ั บรุ ษุ นน้ั สามารถจะกอ่ ไฟดวงนอ้ ย ให้ลุกโพลงขึ้นไดห้ รือหนอ ? “ได้ พระเจ้าขา้ !”. ฉนั น้นั เหมือนกนั ... มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๕๕/๕๖๘.
1810 พุทธวจน ๖๖ วิธีแก้ความฟงุ้ ซ่าน ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! สมัยใด จิตฟุง้ ซา่ น สมยั นน้ั มใิ ชก่ าล เพอ่ื เจรญิ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ มใิ ชก่ าล เพื่อเจรญิ วริ ยิ สัมโพชฌงค์ มิใช่กาล เพอ่ื เจริญปตี สิ ัมโพชฌงค.์ ข้อนนั้ เพราะเหตุไร ? เพราะจติ ฟ้งุ ซ่าน จติ ที่ฟงุ้ ซ่านน้นั ยากทจี่ ะให้ สงบไดด้ ว้ ยธรรมเหล่านนั้ . เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจงึ ใส่หญ้าแหง้ โคมัยแหง้ ไม้แห้ง เอาปากเปา่ และไม่ โรยฝุ่นลงไปในกองไฟใหญ่น้ัน บุรุษนน้ั สามารถจะดบั ไฟ กองใหญไ่ ดห้ รือหนอ ? “ไม่ไดเ้ ลย พระเจ้าขา้ !” ฉันนน้ั เหมือนกัน…
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 181 ภิกษุทง้ั หลาย ! สมัยใด จิตฟงุ้ ซา่ น สมยั นน้ั เปน็ กาล เพอ่ื เจรญิ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ เปน็ กาล เพอ่ื เจรญิ สมาธสิ ัมโพชฌงค์ เป็นกาล เพื่อเจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค.์ ข้อนั้นเพราะเหตไุ ร ? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตท่ีฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ ง่ายด้วยธรรมเหลา่ นั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญา้ สด โคมัยสด ไมส้ ด พน่ นำ้� และโรยฝุ่นลงใน กองไฟใหญน่ น้ั บรุ ษุ นน้ั จะสามารถดบั กองไฟกองใหญน่ น้ั ได้หรอื หนอ ? “ได้ พระเจา้ ข้า !”. ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ... ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เรากล่าว “สต”ิ แลวา่ มีประโยชน์ในท่ที ั้งปวง. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๕๕/๕๖๘.
การทําสมาธิ และ อานิสงสของการทําสมาธิ
1845 พุทธวจน ๖๗ สมาธภิ าวนา ๔ ประเภท ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา ๔ อยา่ ง เหล่านี้ มอี ยู่. ๔ อยา่ ง อย่างไรเล่า ? ๔ อยา่ ง คือ :- ภิกษุทง้ั หลาย ! มี สมาธภิ าวนา อันบุคคลเจรญิ กระทำ�ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ๑. ความอยเู่ ปน็ สขุ ในปจั จบุ นั (ทฏิ ธมมฺ สขุ วหิ าร) ๒. การไดเ้ ฉพาะซ่งึ ญาณทัสสนะ (าณทสฺสนปฏิลาภ) ๓. สตสิ มั ปชัญญะ (สติสมปฺ ชญฺ) ๔. ความส้นิ แหง่ อาสวะ (อาสวกฺขย) ภิกษทุ ั้งหลาย ! สมาธภิ าวนา อนั เจรญิ กระทำ� ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความอยเู่ ปน็ สขุ ในทฏิ ฐธรรม นัน้ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ภิกษใุ นกรณีน้ี สงัดแล้วจากกาม ท้ังหลาย สงดั แลว้ จากธรรมที่เป็นอกศุ ลทง้ั หลาย เข้าถงึ ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวจิ าร มีปตี แิ ละสุข อนั เกิด
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 185 จากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความท่ีวิตกวิจารทั้งสอง ระงบั ลง เขา้ ถงึ ทุตยิ ฌาน เปน็ เคร่อื งผ่องใสแห่งใจใน ภายใน ให้สมาธิเปน็ ธรรมอันเอกผดุ มขี นึ้ ไมม่ ีวติ ก ไม่มี วจิ าร มีแตป่ ตี ิและสขุ อนั เกดิ จากสมาธิ แลว้ แลอย;ู่ อนึง่ เพราะความจางคลายไปแหง่ ปตี ิ ยอ่ มเปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ติ และสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย ชนิดท่ี พระอริยเจา้ ทง้ั หลาย ย่อมกลา่ วสรรเสริญผู้น้ันวา่ “เป็นผู้ อยูอ่ ุเบกขา มสี ติ อยเู่ ป็นปกติสขุ ” ดังนี้ เข้าถงึ ตตยิ ฌาน แล้วแลอยู;่ เพราะละสุขเสยี ได้ และเพราะละทุกขเ์ สียได้ เพราะความดบั ไปแหง่ โสมนสั และโทมนสั ทง้ั สองในกาลกอ่ น เข้าถงึ จตตุ ถฌาน ไมม่ ีทุกข์ไม่มสี ขุ มแี ต่ความท่ีสตเิ ป็น ธรรมชาตบิ รสิ ทุ ธ์ิ เพราะอเุ บกขา แลว้ แลอย.ู่ ภกิ ษุท้งั หลาย ! น้ีคือสมาธิภาวนา อันเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขใน ทิฏฐธรรม. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สมาธภิ าวนา อนั เจรญิ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื การไดเ้ ฉพาะซง่ึ ญาณทสั สนะ นน้ั เป็นอยา่ งไรเลา่ ?
1876 พพุทุทธธววจจนน ภิกษทุ งั้ หลาย ! ภิกษใุ นกรณนี ี้ กระทำ�ไว้ในใจ ซ่งึ อาโลกสัญญา อธิษฐานทิวาสญั ญา ว่ากลางวนั ฉันใด กลางคนื ฉนั นนั้ , กลางคนื ฉนั ใด กลางวนั ฉันนั้น, เธอมจี ติ อันเปดิ แลว้ ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ ไม่มีอะไรห่อหุ้ม ยงั จติ ที่มี แสงสวา่ งท่วั พรอ้ ม ใหเ้ จริญอยู.่ ภกิ ษุทงั้ หลาย ! นี้คือ สมาธิภาวนา อันเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการได้เฉพาะซึ่ง ญาณทสั สนะ. ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! สมาธภิ าวนา อนั เจรญิ กระท�ำ ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะนั้น เป็น อย่างไรเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี เวทนา เกิดข้นึ (หรือ) ตง้ั อยู่ (หรือ) ดบั ไป กเ็ ป็นที่แจม่ แจง้ แกภ่ กิ ษ;ุ สญั ญา เกิดขึ้น (หรือ) ตัง้ อยู่ (หรือ) ดับไป ก็เป็นท่ีแจ่มแจ้ง แก่ภกิ ษ;ุ วติ กเกดิ ข้นึ (หรือ) ตง้ั อยู่ (หรือ) ดับไป ก็เปน็ ท่ี แจม่ แจง้ แกภ่ ิกษุ. ภิกษุทง้ั หลาย ! นี้คือสมาธิภาวนา อันเจริญ กระทำ�ให้มากแลว้ ย่อมเป็นไปเพื่อสติสมั ปชญั ญะ.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 187 ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! สมาธิภาวนา อนั เจริญกระท�ำ ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นแห่งอาสวะนั้น เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ภิกษทุ ั้งหลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี มปี กตติ ามเหน็ ความต้งั ขึ้นและเส่อื มไปในอุปาทานขันธท์ ง้ั ห้า วา่ รูป เป็นอย่างนี้ ความเกดิ ขนึ้ แหง่ รูปเปน็ อย่างนี้ ความดับไป แห่งรูปเป็นอย่างน้ี; เวทนาเป็นอย่างนี้ ความเกิดข้ึน แหง่ เวทนาเปน็ อยา่ งน้ี ความดบั ไปแหง่ เวทนาเปน็ อยา่ งน;้ี สัญญาเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นอย่างน้ี ความดับไปแห่งสัญญาเป็นอย่างน้ี; สังขารเป็นอย่างนี้ ความเกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขารเปน็ อยา่ งน ้ี ความดบั ไปแหง่ สงั ขาร เปน็ อยา่ งน;้ี วญิ ญาณเปน็ อยา่ งน้ี ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งน้ี ความดับไปแหง่ วิญญาณเป็นอยา่ งน้ี; ดังนี.้ ภิกษทุ ้งั หลาย ! นี้คือ สมาธิภาวนา อันเจริญ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความส้ินแหง่ อาสวะ. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! เหล่านี้แล คือ สมาธิภาวนา ๔ อย่าง. จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๕๗/๔๑.
1889 พุทธวจน ๖๘ อานภุ าพของสมาธิ (นัยท่ี ๑) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเจริญสมาธเิ ถดิ . ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษผุ มู้ จี ติ ตง้ั มน่ั เปน็ สมาธแิ ลว้ ยอ่ มรไู้ ดต้ ามทเ่ี ปน็ จริง ซึ่งอะไรเล่า ? รู้ได้ตามเป็นจริงซึ่งความจริงอันประเสริฐว่า “นเ้ี ปน็ ทกุ ข,์ นเ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข,์ นเ้ี ปน็ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งทุกข์, และนี้เป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แหง่ ทกุ ข”์ ดังน้.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! พวกเธอจงเจริญสมาธิเถดิ . ภิกษุทงั้ หลาย ! ภกิ ษผุ มู้ จี ติ ตง้ั มน่ั เปน็ สมาธแิ ลว้ ยอ่ มรไู้ ดต้ ามทีเ่ ป็นจรงิ . ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในกรณนี ้ี พวกเธอ พึงกระทำ�ความเพียรเพ่ือให้รู้ว่า “น้ีเป็นทุกข์, น้ีเป็น เหตุให้เกิดทุกข์, น้ีเป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, และนี้เป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดงั นี้เถิด. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 189 ๖๙ อานภุ าพของสมาธิ (นยั ท่ี ๒) ภกิ ษุทงั้ หลาย ! พวกเธอท้ังหลาย จงเจริญ สมาธิเถดิ . ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษผุ มู้ จี ติ เปน็ สมาธติ ง้ั มน่ั แลว้ ยอ่ มรชู้ ดั ตามทเ่ี ปน็ จรงิ กภ็ กิ ษนุ น้ั ยอ่ มรชู้ ดั ตามทเ่ี ปน็ จรงิ ซึ่งอะไรเล่า ? ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มรชู้ ดั ตามทเ่ี ปน็ จรงิ ซง่ึ ความเกดิ ขน้ึ และความดับไปแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารท้งั หลาย ...แหง่ วิญญาณ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ก็การเกิดข้ึนแห่งรูป ...แห่ง เวทนา ...แหง่ สญั ญา ...แหง่ สงั ขารทง้ั หลาย ...แหง่ วญิ ญาณ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุทง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี ยอ่ มเพลดิ เพลนิ ย่อมพรำ่�สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ภิกษุน้นั ย่อม เพลดิ เพลนิ ยอ่ มพร�ำ่ สรรเสรญิ ยอ่ มเมาหมกอยู่ ซง่ึ อะไรเลา่ ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพรำ�่ สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอย่ซู ่ึงรูป เม่ือภิกษุน้ัน
1910 พุทธวจน เพลดิ เพลนิ พร�ำ่ สรรเสรญิ เมาหมกอยซู่ ง่ึ รปู , ความเพลนิ (นนั ท)ิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ ความเพลนิ ใด ในรปู , ความเพลนิ นน้ั คือ อุปาทาน เพราะอุปาทานของภิกษุนั้น เป็นปัจจัย จงึ มภี พ; เพราะมภี พ เปน็ ปจั จยั จงึ มชี าต;ิ เพราะมชี าติ เปน็ ปจั จยั , ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น : ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แห่งกองทุกข์ทั้งสนิ้ นี ้ ย่อมมี ด้วยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุท้งั หลาย ! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่�ำ สรรเสริญ ยอ่ มเมาหมกอย่ซู ง่ึ เวทนา ... ความ เกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร�ำ่ สรรเสรญิ ยอ่ มเมาหมกอยู่ซึ่งสญั ญา ... ความ เกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างน.ี้ ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมเพลิดเพลิน ยอ่ มพร�ำ่ สรรเสรญิ ยอ่ มเมาหมกอยซู่ ง่ึ สงั ขารทง้ั หลาย ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งส้ินน้ี ย่อมมี ด้วย อาการอย่างนี.้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 191 ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ยอ่ มพร�ำ่ สรรเสรญิ ยอ่ มเมาหมกอยซู่ ง่ึ วญิ ญาณ เมอ่ื ภกิ ษุ นน้ั เพลิดเพลิน พรำ่�สรรเสรญิ เมาหมกอยซู่ ึง่ วิญญาณ, ความเพลิน (นันทิ) ยอ่ มเกิดขึ้น ความเพลนิ ใด ใน วญิ ญาณ, ความเพลินนน้ั คือ อปุ าทาน เพราะอปุ าทาน ของภกิ ษุน้นั เปน็ ปัจจัย จงึ มภี พ; เพราะมภี พเปน็ ปัจจยั จงึ มีชาต;ิ เพราะมชี าติเปน็ ปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสท้ังหลาย จึงเกดิ ขน้ึ ครบถ้วน : ความเกดิ ข้นึ พรอ้ มแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ยอ่ มม ี ดว้ ยอาการอย่างนี้. ภิกษทุ ั้งหลาย ! น้ีคือ ความเกิดขึ้นแห่งรูป ...แหง่ เวทนา ...แหง่ สญั ญา ...แหง่ สังขารทัง้ หลาย ...แห่ง วิญญาณ. ภกิ ษุท้ังหลาย ! กค็ วามดบั แหง่ รปู ...แหง่ เวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารท้ังหลาย ...แห่งวิญญาณ เปน็ อย่างไรเลา่ ? ภกิ ษุท้ังหลาย ! ภิ ก ษุ ใ น ก ร ณี น้ี ย่ อ ม ไ ม่ เพลิดเพลิน ย่อมไมพ่ ร�่ำ สรรเสรญิ ย่อมไมเ่ มาหมกอยู่
1932 พุทธวจน ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พรำ่�สรรเสริญ ยอ่ มไม่เมาหมกอยู ่ ซึ่งอะไรเล่า ? ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ยอ่ มไมพ่ ร�ำ่ สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซง่ึ รูป เมื่อภกิ ษุ นน้ั ไมเ่ พลดิ เพลนิ ไม่พร�่ำ สรรเสริญ ไมเ่ มาหมกอยูซ่ ึง่ รูป, ความเพลนิ (นนั ท)ิ ใด ในรปู , ความเพลนิ นน้ั ยอ่ มดบั ไป เพราะความดับแห่งความเพลินของภิกษุน้ัน จึงมี ความดับแหง่ อุปาทาน, เพราะมคี วามดับแหง่ อปุ าทาน จึงมีความดบั แห่งภพ; เพราะมีความดบั แห่งภพ จงึ มี ความดบั แหง่ ชาต;ิ เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาต,ิ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสทง้ั หลาย จงึ ดบั สน้ิ : ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุท้งั หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พรำ่�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอย่ซู ่ึงเวทนา ... ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุทงั้ หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พรำ�่ สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอย่ซู ่งึ สัญญา ... ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 193 ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซ่ึงสังขาร ทัง้ หลาย ... ความดับลงแหง่ กองทกุ ข์ท้งั สิ้นน้ี ย่อมมี ด้วยอาการอยา่ งน้ี. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ยอ่ มไม่พรำ่�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยซู่ ่งึ วิญญาณ เม่อื ภกิ ษนุ น้ั ไมเ่ พลดิ เพลนิ ไมพ่ ร�ำ่ สรรเสรญิ ไมเ่ มาหมกอยซู่ ง่ึ วญิ ญาณ, ความเพลนิ (นนั ท)ิ ใด ในวญิ ญาณ, ความเพลนิ นน้ั ยอ่ มดบั ไป เพราะความดบั แหง่ ความเพลนิ ของภกิ ษุ นน้ั จงึ มคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน, เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ; เพราะมคี วามดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาต;ิ เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาต,ิ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสทง้ั หลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งส้ินน้ี ย่อมมี ด้วยอาการอยา่ งน้ี. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! นีค้ ือ ความดบั แหง่ รปู ...แหง่ เวทนา ...แหง่ สญั ญา ...แห่งสังขารท้ังหลาย ...แห่ง วิญญาณ, ดังน้ี แล. ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๘/๒๗.
1945 พุทธวจน ๗๐ แม้เพียงปฐมฌาน กช็ อ่ื วา่ เป็นที่หลบพน้ ภยั จากมาร (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสข้อความปรารภ การสงครามระหว่างเทวดากบั อสรู ... ถ้าฝ่ายใดแพถ้ กู ไล่ ตดิ ตามไปจนถงึ ภพเป็นทีอ่ ยแู่ ห่งตน กจ็ ะพ้นจากการถกู ไล่ตดิ ตาม แล้วตรสั ตอ่ ไปอีกว่า :) ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ฉันใดก็ฉันน้ัน : ในสมัยใด ภกิ ษุสงดั จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถงึ ปฐมฌาน อนั มวี ติ กมวี จิ าร มปี ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอย;ู่ ภิกษุทั้งหลาย ! ในสมัยนั้น ภิกษุย่อมคิดอย่างน้ีว่า “ในการน้ี เรามีตนอันถึงแล้ว ซ่ึงท่ีต้านทานสำ�หรับ สตั ว์ผู้กลัวอยู่ มารจะไม่ท�ำ อะไรได”้ . ภิกษุทงั้ หลาย ! แม้มารผู้มีบาป ก็คิดอย่างน้ีว่า “ในการนี้ ภิกษุมีตน อันถึงแล้ว ซ่ึงที่ต้านทานสำ�หรับสัตว์ผู้กลัวอย ู่ เราจะทำ� อะไรไมไ่ ด”้ .... (ในกรณีแห่งทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน กไ็ ดต้ รัสขอ้ ความท�ำ นองเดยี วกนั ). นวก. อ.ํ ๒๓/๔๕๐-๔๕๓/๒๔๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 195 ๗๑ สมาธิระงบั ความรัก-เกลยี ด ทีม่ ีอยูต่ ามธรรมชาติ ภิกษทุ ั้งหลาย ! ธรรมารมณ์ทั้งหลายเหล่าน้ี ยอ่ มเกดิ อยู่เปน็ ๔ ประการ. ๔ ประการอย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คอื :- ความรักเกิดจากความรัก, ความเกลยี ดเกดิ จากความรัก, ความรกั เกิดจากความเกลียด, ความเกลียดเกดิ จากความเกลียด. (ดูรายละเอยี ดไดใ้ นเรอ่ื ง “ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ” หน้า ๒๓) ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรม เขา้ ถงึ ปฐมฌาน อนั มวี ติ กวจิ าร มปี ตี ิ และสขุ อันเกิดแตว่ ิเวก แล้วแลอยู;่ สมยั นั้น ความรักใด ที่เกิดจากความรัก ความรักน้ันก็ไม่มี, ความเกลียดใด ที่เกิดจากความรัก ความเกลียดน้ันก็ไม่มี, ความรักใด ทเ่ี กดิ จากความเกลยี ด ความรกั นน้ั กไ็ มม่ ,ี ความเกลยี ดใด ทเี่ กิดจากความเกลียด ความเกลียดน้นั กไ็ ม่มี.
1967 พพุทุทธธววจจนน ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษุ เขา้ ถงึ ทตุ ยิ ฌาน ... ตตยิ ฌาน ... จตุตถฌาน ... แล้วแลอยู;่ สมยั น้ัน ความรักใดท่ีเกิดจากความรัก ความรักน้ันก็ไม่มี, ความเกลยี ดใดทเ่ี กดิ จากความรกั ความเกลยี ดนน้ั กไ็ มม่ ,ี ความรักใดท่ีเกิดจากความเกลียด ความรักน้ันก็ไม่มี, ความเกลียดใดท่ีเกิดจากความเกลียด ความเกลียดนั้น ก็ไมม่ ี. จตุกกฺ . อํ. ๒๑/๒๙๐-๒๙๒/๒๐๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 197 ๗๒ ความส�ำ คญั ของสมถะและวปิ ัสสนา ภิกษุทงั้ หลาย ! ธรรม ๒ อยา่ งเหลา่ น้ี เป็นส่วน แห่งวิชชา (ความรแู้ จ้ง). ๒ อยา่ ง อะไรเลา่ ? ๒ อยา่ ง คือ สมถะ และ วิปัสสนา ภิกษทุ ้งั หลาย ! สมถะ เมอ่ื อบรมแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? อบรมแลว้ จิตจะเจรญิ จติ เจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้ว จะละราคะได้. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! วปิ สั สนาเลา่ เมอ่ื เจรญิ แลว้ จะไดป้ ระโยชนอ์ ะไร ? เจริญแลว้ ปญั ญาจะเจรญิ ปญั ญาเจริญแลว้ จะไดป้ ระโยชนอ์ ะไร ? เจรญิ แล้ว จะละอวชิ ชาได้ แล. ทกุ . อ.ํ ๒๐/๗๗/๒๕๗.
1989 พุทธวจน ๗๓ ผกู้ ำ�ลงั โนม้ เอียงไปสนู่ ิพพาน ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ค ง ค า น ที ลุ่ ม ไ ป ท า ง ทิ ศ ตะวันออก ลาดไปทางทิศตะวันออก เทไปทางทิศ ตะวนั ออก ขอ้ นี้ฉนั ใด; ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเจริญฌานทั้ง ๔ อยู่ กระท�ำ ฌานทง้ั ๔ ใหม้ ากอยู่ กย็ อ่ มเปน็ ผลู้ มุ่ ไปทางนพิ พาน ลาดไปทางนพิ พาน เทไปทางนพิ พาน ฉนั นน้ั กเ็ หมอื นกนั . ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภิกษุเจริญฌานท้ัง ๔ อยู่ กระท�ำ ฌานทง้ั ๔ ใหม้ ากอยู่ ยอ่ มเปน็ ผลู้ มุ่ ไปทางนพิ พาน ลาดไปทางนพิ พาน เทไปทางนพิ พาน เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ปฐมฌาน อันมวี ิตก วิจาร มีปีตแิ ละสุข อนั เกดิ จากวิเวก แล้วแลอย;ู่ เพราะความที่วิตก วิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง ทุติยฌาน เป็นเคร่ืองผ่องใสใจในภายใน ให้สมาธิ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 199 เป็นธรรมอันเอก ผุดมีขน้ึ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มแี ตป่ ตี ิ และสขุ อันเกิดจากสมาธิ แลว้ แลอยู;่ อนง่ึ เพราะความจางคลายไปแห่งปตี ิ ยอ่ มเป็น ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ตแิ ละสมั ปชญั ญะ และยอ่ มเสวยความสขุ ด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้าท้ังหลาย ย่อมกล่าว สรรเสรญิ ผนู้ น้ั วา่ “เปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ติ อยเู่ ปน็ ปกตสิ ขุ ” ดังน้ ี เข้าถงึ ตตยิ ฌาน แลว้ แลอยู;่ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดบั ไปแหง่ โสมนสั และโทมนสั ทง้ั สอง ในกาลกอ่ น เขา้ ถึง จตตุ ถฌาน อนั ไมม่ ีทกุ ขไ์ มม่ ีสุข มแี ต่ความท่สี ติ เป็นธรรมชาติบริสทุ ธ์ิ เพราะอเุ บกขา แล้วแลอย่.ู ภิกษุทงั้ หลาย ! อยา่ งนแ้ี ล ภกิ ษเุ จรญิ ฌานทง้ั ๔ อยู่ กระท�ำ ฌานทงั้ ๔ ให้มากอยู่ ยอ่ มเปน็ ผูล้ ุ่มไปทาง นพิ พาน ลาดไปทางนพิ พาน เทไปทางนิพพาน. มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๒/๑๓๐๑-๑๓๐๒.
2010 พุทธวจน ๗๔ อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ภิกษุทง้ั หลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็ อานาปานสติ อันบคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างไร กระทำ�ให้มาก แล้วอย่างไร จึงมผี ลใหญ่ มอี านิสงสใ์ หญ่ ? ภิกษทุ ั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม น่ังคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ดำ�รงสติเฉพาะหน้า เธอน้นั มสี ติหายใจเข้า มสี ตหิ ายใจออก : เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมือ่ หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมอ่ื หายใจออกสัน้ กร็ ู้ชัดวา่ เราหายใจออกสนั้ ; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงกายท้ังปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ กายทง้ั ปวง หายใจออก”;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 201 เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสังขารให้รำ�งับ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผูท้ ำ�กายสังขารให้ร�ำ งบั หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ ้พู ร้อม เฉพาะซง่ึ ปตี ิ (ปตี ปิ ฏสิ เํ วท)ี หายใจเข้า”, วา่ “เราเป็นผรู้ ู้ พร้อมเฉพาะซ่ึงปีต ิ หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงสุข (สขุ ปฏิสํเวท)ี หายใจเขา้ ”, ว่า “เราเป็นผู้รู้ พร้อมเฉพาะซ่งึ สุข หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผ้รู ้พู ร้อม เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร (จิตฺตสงฺขารปฏิสเํ วที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผู้รูพ้ รอ้ มเฉพาะซึ่งจติ ตสังขาร หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� จติ ตสงั ขารใหร้ �ำ งบั (ปสสฺ มภฺ ย ํ จติ ตฺ สงขฺ าร)ํ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเป็นผูท้ ำ�จติ ตสังขารให้ร�ำ งบั หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งจิต (จิตฺตปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผู้ร้พู รอ้ มเฉพาะซ่ึงจิต หายใจออก”;
2032 พุทธวจน เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ปราโมทย์ย่ิง (อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผูท้ �ำ จิตให้ปราโมทย์ย่ิง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ใหต้ งั้ ม่นั (สมาทหํ จิตฺต)ํ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเป็นผูท้ ำ�จิต ให้ตั้งมน่ั หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ใหป้ ลอ่ ยอยู่ (วโิ มจยํ จติ ตฺ )ํ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่ หายใจออก”; เธอย่อมท�ำ การฝกึ หัดศึกษาว่า “เราเปน็ ผเู้ ห็นซง่ึ ความไมเ่ ทย่ี งอยเู่ ปน็ ประจ�ำ (อนจิ จฺ านปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความไมเ่ ทย่ี งอยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หัดศึกษาวา่ “เราเป็นผเู้ ห็นซง่ึ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ (วริ าคานปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หดั ศึกษาว่า “เราเปน็ ผู้เหน็ ซ่งึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ (นโิ รธานปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ”,วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 203 เธอย่อมท�ำ การฝึกหัดศกึ ษาวา่ “เราเป็นผู้เหน็ ซ่ึง ความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ (ปฏนิ สิ สฺ คคฺ านปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติ อนั บุคคลเจรญิ แล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานสิ งสใ์ หญ่ ภกิ ษุท้งั หลาย ! เมอ่ื อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ ทำ�ให้มากแล้วอยู่อย่างน้ี ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหน่ึง ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิง่ ทีห่ วงั ได้; คือ อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื วา่ ถ้ายงั มีอุปาทิเหลอื อยู่ กจ็ กั เปน็ อนาคามี. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓.
2045 พุทธวจน ๗๕ อานาปานสติระงับได้ซึ่งอกุศลทงั้ หลาย (ทรงปรารภเหตุที่ภิกษุท้ังหลายได้ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่ากนั และกันบา้ ง เนือ่ งจากเกิดความอึดอดั ระอา เกลียด กายของตน เพราะการปฏิบัตอิ สภุ ภาวนา จึงไดท้ รงแสดง อานาปานสติสมาธแิ กภ่ กิ ษเุ หล่าน้นั ) ภิกษุท้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นของรำ�งับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป อันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นแล้ว ให้ อันตรธานไป ให้รำ�งับไป โดยควรแก่ฐานะ. ภิกษุท้ังหลาย ! เปรียบเหมือนฝุ่นธุลีฟุ้งขึ้นแห่งเดือนสุดท้าย ของฤดูร้อน ฝนหนักท่ีผิดฤดูตกลงมา ย่อมทำ�ฝุ่นธุลี เหลา่ นน้ั ใหอ้ นั ตรธานไป ใหร้ �ำ งบั ไปได้ โดยควรแกฐ่ านะ, ขอ้ นฉ้ี นั ใด;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 205 ภกิ ษุท้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้ มากแลว้ กเ็ ปน็ ของระงบั เปน็ ของประณตี เปน็ ของเยน็ เปน็ สขุ วหิ าร และยอ่ มยงั อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาป ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ และเกดิ ขน้ึ แลว้ ใหอ้ นั ตรธานไป โดยควรแกฐ่ านะได้ ฉนั นน้ั . มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๐๗/๑๓๕๒-๑๓๕๔.
2076 พพุทุทธธววจจนน ๗๖ เจริญอานาปานสติ ชอื่ ว่าไม่เหินหา่ งจากฌาน ภิกษุทง้ั หลาย ! ถ้าภกิ ษุ เจริญอานาปานสติ แม้ช่ัวกาลเพยี งลดั นว้ิ มอื ภกิ ษุนีเ้ รากลา่ วว่า อยูไ่ ม่เหินหา่ งจากฌาน ทำ�ตามค�ำ สอนของพระศาสดา ปฏิบตั ติ ามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแวน่ แคว้นเปล่า กจ็ ะปว่ ยกล่าวไปไยถึง ผ้กู ระทำ�ให้มากซ่งึ อานาปานสติ น้ันเลา่ . เอก. อํ. ๒๐/๕๔-๕๕/๒๒๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 207 ๗๗ ลมหายใจก็คือ “กาย” ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษุ เมอ่ื หายใจเขา้ ยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่ือหายใจออกยาว ก็ร้ชู ดั ว่าเราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเขา้ สัน้ ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมือ่ หายใจออกส้ัน กร็ ูช้ ดั ว่าเราหายใจออกสั้น; เธอย่อมท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผูร้ พู้ ร้อม เฉพาะซ่งึ กายท้ังปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผ้รู ูพ้ ร้อม เฉพาะซ่ึงกายทัง้ ปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสงั ขารให้ร�ำ งบั หายใจออก”; ภิกษทุ ง้ั หลาย ! สมยั นั้น ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื ว่า เป็นผู้ เหน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ เปน็ ผมู้ คี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้
2089 พุทธวจน ภิกษทุ ัง้ หลาย ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้า และลมหายใจออก วา่ เปน็ กายอนั หนง่ึ ๆ ในกายทง้ั หลาย. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในกรณนี ้ี ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสียได้. สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 209 ๗๘ ผเู้ จรญิ อานาปานสติ ย่อมชือ่ ว่าเจรญิ กายคตาสติ ภิกษุท้งั หลาย ! ในกรณีน้ี ภิกษไุ ปแล้วสปู่ า่ หรือ โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่อื หายใจออกยาว ก็ร้ชู ดั ว่าเราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมอื่ หายใจออกส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสัน้ ; เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หัดศกึ ษาวา่ “เราเป็นผรู้ ู้พร้อม เฉพาะซึ่งกายทงั้ ปวง หายใจเขา้ ”, ว่า “เราเปน็ ผู้รูพ้ ร้อม เฉพาะซ่ึงกายทงั้ ปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสงั ขารใหร้ �ำ งบั หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ใหร้ �ำ งับ หายใจออก”;
2110 พุทธวจน เม่ือภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วในการทำ�เช่นน้ันอยู่ ย่อมละความระลึก และความดำ�รอิ นั อาศยั เรอื นเสยี ได้. เพราะละความระลกึ และความด�ำ รนิ น้ั ได้ จติ ของเธอ กต็ ัง้ อยู่ดว้ ยดี สงบร�ำ งับอยดู่ ้วยดี เปน็ ธรรมเอกผดุ มขี ้ึน เป็นสมาธอิ ยใู่ นภายในนัน่ เทยี ว. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! แม้อย่างน้ี ภิกษุนั้นก็ช่ือว่า เจรญิ กายคตาสติ. อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๔/๒๙๔
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 211 ๗๙ ลักษณะของผ้เู จริญกายคตาสติ ภิกษุท้ังหลาย ! ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี : ภกิ ษุ เมอ่ื เดนิ อยู่ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ “เราเดนิ อย”ู่ , เมอ่ื ยนื ยอ่ มรชู้ ดั วา่ “เรายนื อย”ู่ , เมอ่ื นง่ั ยอ่ มรชู้ ดั วา่ “เรานง่ั อย”ู่ , เมอ่ื นอน ยอ่ มรชู้ ดั วา่ “เรานอนอยู่”; เธอ ตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ย่อมรู้ท่ัวถงึ กายนั้น ดว้ ยอาการอย่างนั้นๆ … ภิกษทุ ั้งหลาย ! ข้ออืน่ ยงั มีอีก : ภิกษยุ อ่ มเปน็ ผมู้ ปี กตทิ �ำ ความรสู้ กึ ตวั ทว่ั พรอ้ ม ในการกา้ วไปขา้ งหนา้ ในการถอยกลับข้างหลัง. เป็นผู้มีปกติทำ�ความรู้สึกตัว ท่ัวพร้อมในการแลดู ในการเหลียวดู. เป็นผู้มีปกติ ความรู้สกึ ตวั ทว่ั พร้อม ในการคู้ ในการเหยยี ด (อวัยวะ). เป็นผมู้ ปี กตทิ �ำ ความรู้สึกตวั ทว่ั พร้อม ในการทรงสงั ฆาฏิ บาตร จีวร. เป็นผู้มีปกติทำ�ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม ในการกิน การดม่ื การเคีย้ ว การล้มิ . เป็นผมู้ ีปกตทิ �ำ ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ. เป็นผ้มู ีปกตทิ �ำ ความรสู้ ึกตัวทั่วพร้อม ในการไป การหยุด การนัง่ การนอน การหลบั การตนื่ การพูด การน่งิ .
2123 พุทธวจน เมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร มตี น ส่งไปแล้วในการทำ�เช่นน้ันอยู่ ย่อมละความระลึกและ ความด�ำ ริอันอาศัยเรือนเสียได ้ เพราะละความระลึกและ ความดำ�ริน้นั ได้ จติ ของเธอกต็ ้งั อยดู่ ้วยดี สงบร�ำ งบั อยู่ ด้วยดี เปน็ ธรรมอันเอกผุดมขี ้ึน เป็นสมาธิอยู่ในภายใน น่นั เทยี ว. ภกิ ษุท้งั หลาย ! แม้อย่างน้ี ภิกษุน้ันก็ชื่อว่า เจรญิ กายคตาสติ … ภิกษทุ ง้ั หลาย ! กายคตาสติ อันภิกษุรูปใด รูปหนึ่ง เจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว กุศลธรรม อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ซง่ึ เปน็ ไปในสว่ นวชิ ชา ยอ่ มหยง่ั ลงใน ภายในของภิกษุนั้น เปรียบเหมือนมหาสมุทรอันผู้ใด ผู้หนึ่งถูกต้องด้วยใจแล้ว แม่นำ้�น้อยสายใดสายหนึ่ง ซึ่งไหลไปสู่สมทุ ร ยอ่ มหยัง่ ลงในภายในของผูน้ ัน้ ฉะนัน้ . (นอกจากนี้ยังได้ตรัสถงึ การเจริญอสุภะ ตามที่มปี รากฏ ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร (มหา. ท.ี ๑๐/๓๒๕-๓๒๘/๒๗๗-๒๘๘.) และการเจริญฌานท้งั ๔ โดยตรัสว่าการกระท�ำ เชน่ นี้ ก็เปน็ เจรญิ กายคตาสตเิ ชน่ กนั ). อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๔-๒๑๑/๒๙๕-๓๐๗
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 213 ๘๐ การต้งั จิตในกายคตาสติ เป็นเสาหลกั อยา่ งดขี องจิต ลกั ษณะของผไู้ ม่ต้ังจติ อยกู่ บั กาย ภิกษทุ ั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หก ชนดิ อนั มีท่อี ยูอ่ าศัยตา่ งกัน มีทีเ่ ทีย่ วหากนิ ตา่ งกนั มาผกู รวมกนั ดว้ ยเชอื กอนั มน่ั คง; คอื เขาจบั งมู าผกู ดว้ ยเชอื กเหนยี ว เส้นหน่ึง, จบั จระเข้, จบั นก, จบั สนุ ขั บ้าน, จบั สุนขั จิ้งจอก, จับลงิ มาผกู ดว้ ยเชอื กเหนียวเส้นหนงึ่ ๆ แล้วผูกรวมเข้า ด้วยกันเป็นปมเดียวในทา่ มกลาง ปล่อยแล้ว. ภกิ ษุท้งั หลาย ! ครง้ั นน้ั สตั วเ์ หลา่ นน้ั ทง้ั หกชนดิ มีทอ่ี าศัยและที่เท่ยี วต่างๆ กัน กย็ ้ือแย่งฉุดดงึ กนั เพอ่ื จะ ไปส่ทู อี่ าศัยที่เทยี่ วของตนๆ : งจู ะเข้าจอมปลวก, จระเข้ จะลงน�ำ้ , นกจะบนิ ขนึ้ ไปในอากาศ, สนุ ัขจะเขา้ บา้ น, สุนัขจงิ้ จอกจะไปปา่ ช้า, ลิงกจ็ ะไปป่า ครั้นเหนอ่ื ยลา้ กนั ทง้ั หกสตั วแ์ ลว้ สตั วใ์ ดมกี �ำ ลงั กวา่ สตั วน์ อกนน้ั กต็ อ้ งถกู ลาก ตดิ ตามไปตามอ�ำ นาจของสัตวน์ ้นั ขอ้ นีฉ้ นั ใด;
2145 พุทธวจน ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ภิกษุใด ไม่อบรมทำ�ให้มาก ในกายคตาสตแิ ล้ว ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุน้ันไปหารูปที่น่าพอใจ, รปู ทไ่ี ม่นา่ พอใจกก็ ลายเป็นส่ิงท่ีเธอรสู้ ึกอดึ อัดขยะแขยง; หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง, เสียงท่ีไมน่ า่ ฟังกก็ ลายเป็นสิง่ ท่เี ธอรู้สึกอดึ อัดขยะแขยง; จมูก กจ็ ะฉดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหากลน่ิ ทน่ี า่ สดู ดม, กลน่ิ ทไ่ี มน่ า่ สดู ดมกก็ ลายเปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อดึ อดั ขยะแขยง; ลิน้ ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจกก็ ลายเปน็ ส่งิ ทเ่ี ธอรสู้ ึกอึดอดั ขยะแขยง; กาย กจ็ ะฉดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหาสมั ผสั ทย่ี ว่ั ยวนใจ, สมั ผสั ทไ่ี มย่ ว่ั ยวนใจกก็ ลายเปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อดึ อดั ขยะแขยง; ใจ กจ็ ะฉดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหาธรรมารมณท์ ถ่ี กู ใจ, ธรรมารมณท์ ไ่ี มถ่ กู ใจกก็ ลายเปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อดึ อดั ขยะแขยง; ขอ้ นก้ี ็ฉนั น้นั เหมือนกนั .
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 215 ลักษณะของผตู้ ้ังจิตอยกู่ บั กาย ภิกษทุ ั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หก ชนิด อนั มีท่ีอย่อู าศัยตา่ งกัน มที ี่เท่ียวหากนิ ตา่ งกัน มาผกู รวมกนั ด้วยเชือกอันม่นั คง คือ เขาจับงมู าผกู ด้วยเชอื ก เหนยี วเสน้ หนง่ึ , จบั จระเข,้ จับนก, จับสุนขั บ้าน, จบั สนุ ขั จง้ิ จอกและจบั ลงิ มาผกู ดว้ ยเชอื กเหนยี วเสน้ หนง่ึ ๆ ครน้ั แลว้ นำ�ไปผกู ไว้กับเสาเข่ือนหรือเสาหลกั อีกตอ่ หน่งึ . ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ครง้ั นน้ั สตั วท์ ง้ั หกชนดิ เหลา่ นน้ั มที ่อี าศัยและท่เี ทยี่ วต่างๆ กนั กย็ ือ้ แย่งฉุดดึงกัน เพ่อื จะ ไปสทู่ ีอ่ าศยั ทีเ่ ท่ียวของตนๆ : งจู ะเขา้ จอมปลวก, จระเข้ จะลงน้ำ�, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้าบ้าน, สนุ ขั จงิ้ จอกจะไปปา่ ชา้ , ลิงก็จะไปป่า. ภิกษทุ งั้ หลาย ! ในกาลใดแล ความเป็นไป ภายในของสตั วท์ ง้ั หกชนดิ เหลา่ นน้ั มแี ตค่ วามเมอ่ื ยลา้ แลว้ ; ในกาลนน้ั มนั ทง้ั หลายกจ็ ะพงึ เขา้ ไปยนื เจา่ นง่ั เจา่ นอนเจา่ อยู่ขา้ งเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง ขอ้ น้ฉี นั ใด; ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภิกษุใด ได้อบรมทำ�ให้มาก ในกายคตาสตแิ ล้ว
2167 พพุทุทธธววจจนน ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุน้ันไปหารูปท่ีน่าพอใจ, รูปทไ่ี ม่น่าพอใจกไ็ ม่เป็นส่งิ ทเ่ี ธอรสู้ ึกอึดอัดขยะแขยง; หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง, เสยี งทีไ่ ม่น่าฟงั ก็ไม่เปน็ สิง่ ท่เี ธอรสู้ กึ อึดอดั ขยะแขยง; จมกู กจ็ ะไมฉ่ ดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหากลน่ิ ทน่ี า่ สดู ดม, กลน่ิ ทไ่ี มน่ า่ สดู ดมกไ็ มเ่ ปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อดึ อดั ขยะแขยง; ลน้ิ ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุน้ันไปหารสที่ชอบใจ, รสทไ่ี ม่ชอบใจก็ไมเ่ ปน็ ส่ิงทเ่ี ธอร้สู ึกอดึ อัดขยะแขยง; กาย ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาสัมผัสท่ี ย่ัวยวนใจ, สัมผัสท่ีไม่ยั่วยวนใจก็ไม่เป็นส่ิงที่เธอรู้สึก อึดอดั ขยะแขยง; ใจ ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ ถกู ใจ, ธรรมารมณท์ ไ่ี มถ่ ูกใจก็ไม่เปน็ ส่ิงทเ่ี ธอร้สู กึ อดึ อัด ขยะแขยง; ขอ้ นีก้ ฉ็ ันนน้ั เหมือนกนั ภิกษทุ งั้ หลาย ! คำ�วา่ “เสาเขอ่ื น หรือ เสาหลัก” น้ี เป็นค�ำ เรียกแทนชอ่ื แห่ง กายคตาสต.ิ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 217 ภิกษทุ ัง้ หลาย ! เพราะฉะนนั้ ในเรอ่ื งนี้ พวกเธอท้ังหลายพงึ ส�ำ เหนียกใจไว้ว่า “กายคตาสติ ของเราทัง้ หลาย จักเป็นสง่ิ ท่ีเราอบรม กระทำ�ใหม้ าก กระทำ�ให้เป็นยานเคร่ืองน�ำ ไป กระทำ�ใหเ้ ป็นของท่ีอาศัยได้ เพยี รตัง้ ไวเ้ นืองๆ เพยี รเสรมิ สร้างโดยรอบคอบ เพยี รปรารภสม่ำ�เสมอดว้ ยดี” ดังน้ี. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้ด้วยอาการ อย่างน้ี แล. สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๔๖,๒๔๘/๓๔๘,๓๕๐.
2189 พุทธวจน ๘๑ ใหต้ ัง้ จิตในกายคตาสติ เสมือนเตา่ หดอวัยวะไวใ้ นกระดอง ภิกษุทงั้ หลาย ! เรอ่ื งเคยมมี าแตก่ อ่ น:เตา่ ตวั หนง่ึ เทย่ี วหากนิ ตามรมิ ล�ำ ธารในตอนเยน็ , สนุ ขั จง้ิ จอกตวั หนง่ึ กเ็ ทย่ี วหากนิ ตามรมิ ล�ำ ธารในตอนเยน็ เชน่ เดยี วกนั เตา่ ตวั น้ี ไดเ้ หน็ สนุ ขั จง้ิ จอกซง่ึ เทย่ี วหากนิ (เดนิ เขา้ มา) แตไ่ กล, ครน้ั แลว้ จงึ หดอวัยวะทง้ั หลาย มศี ีรษะเป็นท่ี ๕ เข้าในกระดอง ของตนเสยี เปน็ ผู้ขวนขวายน้อยน่ิงอยู่ แม้สุนขั จงิ้ จอก กไ็ ดเ้ หน็ เตา่ ตวั ทเ่ี ทย่ี วหากนิ นน้ั แตไ่ กลเหมอื นกนั , ครน้ั แลว้ จงึ เดนิ ตรงเขา้ ไปที่เต่า คอยชอ่ งอยูว่ า่ “เมอ่ื ไรหนอเต่าจัก โผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึงออกในบรรดาอวัยวะท้ังหลาย มศี ีรษะเป็นท่ี ๕ แล้ว จกั กัดอวยั วะสว่ นนัน้ คร่าเอาออก มากนิ เสีย” ดังน.ี้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ตลอดเวลาทเ่ี ตา่ ไมโ่ ผลอ่ วยั วะ ออกมา สุนขั จิง้ จอกก็ไม่ไดโ้ อกาสต้องหลีกไปเอง;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 219 ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ฉนั ใดก็ฉนั นน้ั : มารผู้ใจบาป ก็คอยช่องต่อพวกเธอท้ังหลายติดต่อไม่ขาดระยะอยู่ เหมอื นกนั วา่ “ถา้ อยา่ งไร เราคงไดช้ อ่ ง ไมท่ างตา กท็ างหู หรือทางจมกู หรอื ทางลนิ้ หรอื ทางกาย หรอื ทางใจ”, ดงั น้.ี ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เพราะฉะนน้ั ในเรอ่ื งน้ี พวกเธอ ทง้ั หลาย จงเปน็ ผคู้ มุ้ ครองทวารในอนิ ทรยี ท์ ง้ั หลายอยเู่ ถดิ ; ไดเ้ ห็นรปู ด้วยตา, ได้ฟังเสียงดว้ ยหู, ไดด้ มกลน่ิ ดว้ ยจมกู , ได้ล้มิ รสดว้ ยล้ิน, ไดส้ มั ผสั โผฏฐพั พะดว้ ยกาย, หรือไดร้ ธู้ รรมารมณด์ ว้ ยใจแล้ว จงอย่าไดถ้ ือเอาโดยลกั ษณะท่ีเปน็ การรวบถอื ทั้งหมด, อยา่ ไดถ้ อื เอาโดยลกั ษณะทเ่ี ปน็ การแยกถอื เปน็ สว่ นๆ เลย, สิง่ ที่เปน็ บาปอกศุ ล คือ อภชิ ฌา และโทมนสั จะพงึ ไหลไปตามบคุ คลผไู้ มส่ �ำ รวม ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ เพราะการไม่สำ�รวมอนิ ทรีย์เหล่าใด เปน็ เหตุ.
2201 พุทธวจน พวกเธอท้งั หลาย จงปฏิบัติเพ่อื การปดิ ก้ันอินทรยี ์นั้นไว้, พวกเธอทั้งหลาย จงรักษาและถึงความสำ�รวม ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ เถดิ . ภิกษุทง้ั หลาย ! ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จักเป็นผคู้ มุ้ ครองทวารในอินทรยี ์ทง้ั หลายอยู่; ในกาลนนั้ มารผู้ใจบาป จกั ไม่ได้ช่องแมจ้ ากพวกเธอท้ังหลาย และ จักตอ้ งหลกี ไปเอง, เหมอื นสนุ ัขจิ้งจอกไม่ไดช้ อ่ งจากเต่า กห็ ลีกไปเอง ฉะน้ัน. “เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด, ภกิ ษพุ งึ ตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ) ไว้ใน กระดอง ฉันนัน้ เป็นผ้ทู ีต่ ณั หาและทิฏฐิไมอ่ ิงอาศัยได,้ ไมเ่ บียดเบียนผ้อู ่ืน, ไม่กลา่ วร้ายต่อใครท้ังหมด, เป็นผู้ดบั สนิท แล้ว” ดังนแี้ ล. สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๒๒/๓๒๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 221 ๘๒ ใหต้ ้ังจิตในกายคตาสติ เสมอื นบรุ ุษผูถ้ อื หม้อน�้ำ มนั ภิกษทุ งั้ หลาย ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ ทราบข่าวว่า มนี างงามในชนบท พงึ ประชมุ กัน กน็ างงาม ในชนบทน้นั นา่ ดูอย่างยง่ิ ในการฟอ้ นร�ำ น่าดูอย่างยงิ่ ใน การขับร้อง หมมู่ หาชนได้ทราบข่าววา่ นางงามในชนบท จะฟ้อนรำ�ขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งข้ึนกว่าประมาณ ครง้ั นน้ั บรุ ษุ ผอู้ ยากเปน็ อยไู่ มอ่ ยากตาย ปรารถนาความสขุ เกลยี ดทกุ ข์ พึงมากล่าวกับหมมู่ หาชนนน้ั อย่างนี้วา่ บรุ ษุ ผู้เจริญ ! ท่านพึงนำ�ภาชนะน้ำ�มันอันเต็มเป่ียมน้ีไปใน ระหว่างท่ีประชุมใหญก่ ับนางงามในชนบท และจักมีบุรษุ เงอ้ื ดาบตามบรุ ษุ ผูน้ �ำ หมอ้ นำ้�มันนัน้ ไปข้างหลงั ๆ บอกว่า ทา่ นจกั ท�ำ น�ำ้ มนั นน้ั หกแมห้ นอ่ ยหนง่ึ ในทใ่ี ด ศรี ษะของทา่ น จักขาดตกลงไปในท่ีนัน้ ทเี ดียว ภิกษุทงั้ หลาย ! เธอท้ังหลาย จะสำ�คัญความ ขอ้ น้นั เปน็ ไฉน ? บรุ ษุ ผ้นู ัน้ จะไม่ใสใ่ จภาชนะนำ�้ มันโนน้ แลว้ พึงประมาทในภายนอกเทยี วหรือ ? “ไม่เป็นอยา่ งนน้ั พระเจ้าข้า !”.
2232 พุทธวจน ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เราทำ�อุปมาน้ี เพ่ือให้เข้าใจ เน้ือความนี้ชัดข้ึน เน้ือความในข้อน้ีมีอย่างน้ีแล คำ�ว่า ภาชนะน�้ำ มันอนั เตม็ เปยี่ ม เป็นชื่อของกายคตาสติ. ภิกษุทัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั แหละ เธอทง้ั หลาย พงึ ศกึ ษาอยา่ งนว้ี า่ กายคตาสติ จกั เปน็ ของอนั เราเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ กระท�ำ ใหเ้ ปน็ ดงั ยานกระท�ำ ใหเ้ ปน็ ทต่ี ง้ั กระทำ�ไม่หยุด ส่ังสมแลว้ ปรารภดแี ล้ว. ภกิ ษุทั้งหลาย ! เธอทง้ั หลายพงึ ศกึ ษาอยา่ งน้ี แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๖๖/๗๖๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 223 ๘๓ อานสิ งสข์ องการเจริญกายคตาสติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ชนเหลา่ ใด ไมบ่ รโิ ภคกายคตาสติ ชนเหล่าน้นั ช่อื วา่ ย่อมไมบ่ ริโภคอมตะ; ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ ชนเหลา่ น้นั ชอ่ื วา่ ยอ่ มบรโิ ภคอมตะ; ภิกษทุ ัง้ หลาย ! กายคตาสติอันชนเหลา่ ใดไมส่ อ้ งเสพแลว้ อมตะชอ่ื วา่ อนั ชนเหลา่ นน้ั ไมส่ อ้ งเสพแลว้ ; ภิกษทุ ัง้ หลาย ! กายคตาสติอนั ชนเหลา่ ใดส้องเสพแลว้ อมตะชอ่ื ว่าอนั ชนเหลา่ น้นั สอ้ งเสพแลว้ ; ภิกษุทง้ั หลาย ! กายคตาสติอนั ชนเหลา่ ใดเบ่ือแลว้ อมตะช่อื วา่ อันชนเหลา่ นัน้ เบื่อแลว้ ; ภิกษุทงั้ หลาย ! กายคตาสตอิ ันชนเหล่าใดชอบใจแล้ว อมตะชือ่ ว่าอนั ชนเหล่านัน้ ชอบใจแล้ว. เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙.
2245 พุทธวจน ๘๔ การดำ�รงสมาธิจติ เมอื่ ถกู เบียดเบียนทางวาจา ภกิ ษุทั้งหลาย ! ทางแห่งถ้อยคำ�ที่บุคคลอ่ืน จะพงึ กลา่ วหาเธอ ๕ อย่างเหลา่ น้ี มีอยู่ คอื :- ๑. กล่าวโดยกาลหรอื โดยมิใช่กาล ๒. กล่าวโดยเรอ่ื งจริงหรอื โดยเรือ่ งไม่จรงิ ๓. กล่าวโดยออ่ นหวานหรอื โดยหยาบคาย ๔. กลา่ วดว้ ยเรอ่ื งมปี ระโยชนห์ รอื ไมม่ ปี ระโยชน์ ๕. กล่าวด้วยมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายใน ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเขากล่าวอยู่อย่างน้ัน ในกรณีนนั้ ๆ เธอพึงท�ำ การส�ำ เหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจกั ไม่แปรปรวน, เราจกั ไม่กลา่ ววาจาอันเป็นบาป เราจกั เป็นผูม้ ีจติ เอ็นดูเกอ้ื กูล มจี ติ ประกอบดว้ ยเมตตา ไมม่ โี ทสะในภายในอย,ู่ จกั มจี ติ สหรคตดว้ ยเมตตาแผไ่ ปยงั บคุ คลนน้ั อยู่
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 225 และจกั มจี ติ สหรคตดว้ ยเมตตาอนั เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ เี วร ไมม่ พี ยาบาท แผ่ไปสโู่ ลกถงึ ท่สี ดุ ทกุ ทศิ ทาง มบี ุคคลนั้นเปน็ อารมณ์ แลว้ แลอย”ู่ ดงั น้ี. ภกิ ษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำ�การสำ�เนียกอย่างน.ี้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาสีมา เปน็ สคี รง่ั บา้ ง สเี หลอื งบา้ ง สเี ขยี วบา้ ง สแี สดบา้ ง กลา่ วอยวู่ า่ “เราจกั เขยี นรูปต่างๆ ในอากาศนี้ ท�ำ ให้มีรูปปรากฏอย”ู่ ดงั น.ี้ ภิกษทุ ้งั หลาย ! เธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่า อย่างไร บุรษุ นัน้ จะเขียนรูปตา่ งๆ ในอากาศน้ี ทำ�ให้มรี ปู ปรากฏอย่ไู ด้แลหรือ ? “ข้อนน้ั หามิได้ พระเจ้าขา้ !”. เพราะเหตไุ รเลา่ ? “ขา้ แต่พระองคผ์ ้เู จริญ ! เพราะเหตุวา่ อากาศนี้ เปน็ สิง่ ทีม่ ีรูปไมไ่ ด้ แสดงออกซง่ึ รูปไม่ได้ ในอากาศนน้ั ไม่เป็นการง่ายท่ี ใครๆ จะเขยี นรปู ท�ำ ใหม้ ีรปู ปรากฏอยไู่ ด้ รังแต่บรุ ษุ น้ันจะเป็นผู้ มสี ว่ นแห่งความลำ�บากคบั แค้นเสียเปลา่ พระเจา้ ข้า !”.
2276 พพุทุทธธววจจนน ภกิ ษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันน้ันเหมือนกัน ใน บรรดาทางแห่งถอ้ ยค�ำ สำ�หรับการกลา่ วหา ๕ ประการนนั้ เม่ือเขากล่าวหาเธอ ด้วยทางแห่งถ้อยคำ� ประการใดประการหนง่ึ อยู่ เธอพึงทำ�การสำ�เหนียกในกรณีน้ัน อย่างนี้ว่า “จติ ของเราจกั ไมแ่ ปรปรวน เราจกั ไมก่ ลา่ ววาจาอนั เปน็ บาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเก้ือกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายในอยู่, จักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไปยังบุคคลนั้นอยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไมม่ พี ยาบาท แผไ่ ปสโู่ ลกถงึ ทส่ี ดุ ทกุ ทศิ ทาง มบี คุ คลนน้ั เปน็ อารมณ์ แล้วแลอย่”ู ดังน.ี้ (คือมีจิตเหมือนอากาศ อันใครๆ จะเขียนให้เป็นรูป ปรากฏไม่ได้ ฉนั ใดก็ฉันน้นั ). ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! เธอพึงท�ำ การสำ�เหนยี ก อย่าง น้ีแล... ม.ู ม. ๑๒/๒๕๔, ๒๕๖/๒๖๗, ๒๖๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม 227 (นอกจากนี้ยังทรงอุปมาเปรียบกับบุรุษถือเอาจอบและ กระทอมาขุดแผน่ ดนิ หวงั จะไมใ่ ห้เป็นแผ่นดินอกี , เปรยี บกับ บุรุษถือเอาคบเพลงิ หญ้ามาเผาแม่น�้ำ คงคา หวังจะให้เดือดพลา่ น ซึ่งเป็นฐานะท่ไี ม่อาจเปน็ ได)้ . ภิกษุทั้งหลาย ! ถา้ โจรผคู้ อยหาชอ่ ง พึงเล่ือย อวยั วะนอ้ ยใหญข่ องใครดว้ ยเลอ่ื ยมดี า้ มสองขา้ ง; ผใู้ ดมใี จ ประทษุ รา้ ยในโจรนน้ั ผนู้ น้ั ชอ่ื วา่ ไมท่ �ำ ตามค�ำ สอนของเรา เพราะเหตุทม่ี ใี จประทุษร้ายต่อโจรน้ัน. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ในกรณนี ้ัน เธอพึงทำ�การส�ำ เหนียกอยา่ งนว้ี า่ “จติ ของเรา จกั ไมแ่ ปรปรวน, เราจกั ไมก่ ลา่ ววาจาอนั เปน็ บาป, เราจกั เปน็ ผมู้ จี ติ เอน็ ดเู กอ้ื กลู มจี ติ ประกอบดว้ ยเมตตาไมม่ โี ทสะใน ภายใน อย,ู่ จกั มจี ติ สหรคตดว้ ยเมตตาแผไ่ ปยงั บคุ คลนน้ั อยู่ และจกั มจี ติ สหรคตดว้ ยเมตตา อนั เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ ีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสูโ่ ลกถึงท่ีสุด ทกุ ทิศทาง มีบุคคลน้นั เป็นอารมณ์ แลว้ แลอยู”่ ดงั นี.้ ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เธอพึงทำ�การส�ำ เหนียก อยา่ งนแ้ี ล.
2289 พุทธวจน ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เธอพึงกระทำ�ในใจถึงโอวาท อนั เปรียบด้วยเลอื่ ยนี้ อยู่เนืองๆ เถดิ . ภิกษทุ ั้งหลาย ! เม่ือเธอทำ�ในใจถึงโอวาทน้ันอยู่ เธอจะได้เห็นทางแห่ง การกลา่ วหาเลก็ หรอื ใหญท่ เ่ี ธออดกลน้ั ไมไ่ ดอ้ ยอู่ กี หรอื ? “ข้อน้ันหามิได้ พระเจ้าข้า !”. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี พวกเธอ ทง้ั หลาย จงกระท�ำ ในใจถงึ โอวาทอนั เปรยี บดว้ ยเลอ่ื ยน้ี อยเู่ ปน็ ประจำ�เถดิ : นัน่ จักเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนเ์ ก้ือกูล และความสขุ แกเ่ ธอท้ังหลาย ตลอดกาลนาน. มู. ม. ๑๒/๒๕๘/๒๗๒-๓.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360