Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 61 รายงานผลการวิจัย

61 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:13:33

Description: 61 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

รายงานผลการวิจัย เร่ือง รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ The Wisdom Approach Model of Mahasatipatthana IV โดย สรัญญา โชติรัตน์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ๒๕๖๒ รหัสโครงการวจิ ัย มจ.๑-๖๑-๑๓๕

รายงานผลการวจิ ยั เร่ือง รูปแบบการเข้าถงึ ปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้รับการจดั สรรงบประมาณ ประจาปี ๒๕๖๑ จานวน ๒๗๑,๔๐๐ บาท หวั หน้าโครงการ สรัญญา โชตริ ัตน์ งานวจิ ยั เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒

กิตตกิ รรมประกาศ ขอบคุณคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (วช.) ให้งบประมาณสนบั สนุนทุนวิจยั ปี ๒๕๖๑ เรื่อง “รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔” และขอบคุณสานกั วจิ ยั และส่งเสริมวิชาการ การเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จงั หวดั เชียงใหม่ ประสานงานโครงการวิจยั ด้านงบประมาณ และ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ-้ แพร่ เฉลิมพระเกียรติ ใหโ้ อกาส ใหเ้ วลา และใหส้ ถานที่ กราบขอบพระคุณที่ปรึกษาโครงการวิจยั ไดแ้ ก่ พระราชเขมากร (ประยุทธ ภูริทตฺโต) รศ. ดร., และ พระอาจารยพ์ ระครูสังฆรักษ์บุญเสริม กิตติวณโณ,ดร. มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตแพร่ และ ขอบคุณท่านผใู้ หข้ อ้ มูลงานวจิ ยั ทุกทา่ น ทุกรูป ทุกนาม ขอบคุณ นางสาราญ โชติรัตน์ มารดาที่มีส่วนร่วมลงพ้ืนที่เก็บข้อมูลวิจยั และขอบคุณ เพ่ือนกลั ยาณมิตร ผูท้ ่ีมีส่วนช่วยเหลือ ให้กาลงั ใจ ทุกคนทุกรูปทุกนาม จนทาใหง้ านวิจยั สาเร็จลุล่วง ตามวตั ถุประสงคโ์ ครงการวจิ ยั เป็ นอยา่ งดี ขออนุโมนทนาบุญกุศลความดีงาม จากงานวจิ ยั เร่ืองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ใหผ้ สู้ ่วนเก่ียวขอ้ งทุกท่านทุกรูปทุกนาม สาธุ สรัญญา โชติรัตน์ วนั ท่ี ๑๐ กนั ยายน ๒๕๖๒

รปู แบบการเข้าถงึ ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ Approach Wisdom Knowledge Model of Mahāsatipatthāna IV สรญั ญา โชตริ ัตน์ Saranyar Chotirat มหาวทิ ยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลมิ พระเกยี รติ ๑๗ หมู่ ๓ อาคารแม่โจส้ ามคั คี อาเภอร้องกวาง จังหวดั แพร่ ๕๔๑๔๐ E-mail : [email protected] โทรศพั ท์มือถอื ๐๙๙-๖๓๖-๖๒๖๓ บทคดั ย่อ งานวจิ ยั น้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือวเิ คราะห์และสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ระเบียบ วธิ ีการวจิ ยั เชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ผเู้ ขียนผลงานวรรณกรรมและผลงานวทิ ยานิพนธ์ พระวปิ ัสสนาจารย์ ทว่ั ไป เจา้ สานักศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมทวั่ ไป วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มูล จากแบบสอบถาม จานวน ๔๐ รูป/คน จากการ สัมภาษณ์ จานวน ๒๗ รูป/คน จากการศึกษาเฉพาะกรณีศึกษา ประกอบดว้ ย ๑) แบบสมาธิบาบดั รักษาโรคไดด้ ว้ ย ตนเอง (SKT) ศึกษา ๒) แบบ NLP (Neuro Linguistic Programming) ๓) แบบแนวทางปฏิบตั ิท่านโกเอ็นกา้ ๔) การศึกษาจากปฏิบตั ิธรรมดว้ ยตวั เอง ผลการศึกษา พบวา่ ๑) ลกั ษณะรูปแบบเป็ นปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิ ฝึ กฝน สะสม ประสบการณ์ ท้งั สมถและวิปัสสนา กรรมฐาน เพ่ือนาไปสู่การพน้ ทุกข์ นาสติท่ีต้งั มนั่ ในปัญญาเขา้ ใจธรรมชาติเป็ นจริง ทุกขณะจิตเกิดดบั เห็นไตร ลกั ษณ์ตลอดเวลา สอดคลอ้ งกบั “ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา” การไดป้ ระจกั ษด์ ว้ ยตนเอง เห็นตามลกั ษณะ ความไม่เท่ียง อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา พบความจริงสูงสุด เป็ นความจริงเหนือประสาทสัมผสั เหนือขอบเขต จกั รวาล เรียกวา่ “ปัญญาจริงแท”้ ๒) ลกั ษณะรูปแบบเป็ นการฝึ กฝนปฏิบตั ิ ควบคูไ่ ปกบั การเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี ไปดว้ ยกนั โดยสาธยาย ธรรมท่ีมีความรู้ความเขา้ ใจ สู่บุคคลอ่ืนไดบ้ างส่วนความเป็ นจริงไม่เป็ นปัญญาแทจ้ ริง แหล่งที่มาของรูปแบบ ปัญญาจากตกผลึกความคิดท่ีไดค้ น้ คิดดว้ ยตนเอง ท้งั การบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ นาไปประยกุ ตใ์ ช้ หรือแนว คาสอนครูบาอาจารย์ หรือแนวทางการปฏิบตั ิและเช่ือมโยงแนวคิดหลกั การและวิธีการคาสอนครูบาอาจารย์ สอดคลอ้ งกบั “ระดบั ปัญญาสุตมยปัญญา” ท่ีเกิดจากศึกษาเล่าเรียน ผสานกบั “ระดบั ปัญญาจิตตามยปัญญา” ที่ เกิดจากการคิดคน้ การตรึกตรอง เรียกวา่ “ปัญญาเกือบเป็นจริง” ๓) ลกั ษณะรูปแบบเป็ นเพียงความคิดเห็น การพิจารณาจากการฟัง การอ่าน การเล่าเรียน เป็ นไปตาม แนวทางท่ีคิดว่าควรจะเป็ น แหล่งที่มาจากพระไตรปิ ฎก คมั ภีร์ ตารา เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร อา้ งอิงคาบาลีเพื่อ อธิบายความเน้ือหาสาระ ความรู้ความเขา้ ใจระดับเชาวน์ปัญญาเก่ียวกับคาสอนเท่าน้ัน แต่ยงั ไม่ลงปฏิบตั ิ สอดคลอ้ งกบั “ระดบั ปัญญาสุตมยปัญญา” ที่เกิดจากศึกษาเล่าเรียน เท่าน้นั การอนุมาน ตรรกะ เป็ นความจริงที่ เกิดจากการคาดคะเนเอาเอง ไม่ใช่ความจริงแท้ จึงเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา เรียกวา่ “ปัญญาที่คาดวา่ จะเป็น จริง”

Abstract This objectives research was to analyze and create the model for the access to the wisdom on the Mahāsatipatthāna IV. The sample groups were the author of literature and thesis works, general Vipassana Meditation Master, head of the institute of general Vipassanā Meditation center. The data were collected from questionnaires 40 person and used interview 27 persons from specific case studies, consisting of 1) Self-Healing Meditation (SKT) Study 2) NLP (Neuro Linguistic Programming) 3) Goenka Than Guidelines 4) Self-study of Dharma. The research showed as following; 1) The form of wisdom was the result of practice, accumulation of experience in both Samatha and Vipassanā meditation for leading to free from suffering, to brig mindfulness in wisdom, to understand the real nature of every moment of the mind, to see the Trinity all the time with matching the “wisdom of prayer level of wisdom”, to manifest yourself seen by impermanence, Aniccam, Dukkham, Anattā and to see the ultimate truth. It was above the senses beyond the boundary of the universe was called “true wisdom.”. 2) The form was the practice along with learning, the concepts and theories together by elucidation with knowledge and understanding to the other some person. The fact was not real wisdom. Original sources of wisdom forms crystallized thoughts that have been discovered by oneself. Including integrated modern science, applying or teaching of teachers or practices and linking the concepts, principles and methods of teachings in accordance with the “wisdom level Sutāsamayapañña” by studying together with the “level of mind, mind, wisdom” arising from the invention of thought called “Almost true wisdom”. 3) The form was a comment. Consideration from listening, reading, studying that was possible in line with the thought that should be. Sources from the Tripitaka, written, texts, reference Pali to explain the content knowledge and understanding at the level of intelligence about teachings only but it had not yet been implemented in accordance with the “Suttāyamayapañña intelligence level” which was the result of study only. The logical inference was a fact that was predicted by one's self. It was not true therefore change over time. called “Wisdom that is expected to be true”. Keywords: Pañña, Mahāsatipatthāna IV

สารบญั ก เรื่อง หนา้ บทคดั ยอ่ ภาษาไทย บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ ๑ สารบญั ๑ สารบญั ตาราง ๗ สารบญั ภาพ ๗ บทท่ี ๑ บทนา ๘ ๘ ความสาคญั ปัญหา ๙ วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ๑๐ ขอบเขตการวจิ ยั ๑๐ ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ ๓๐ นิยามศพั ท์ ๙๒ ขอ้ จากดั งานวจิ ยั ๙๓ บทที่ ๒ การตรวจเอกสาร ๙๕ แนวคิดและทฤษฎี ๙๖ งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ๙๗ กรอบแนวคิดการวจิ ยั ๑๐๑ สมมุติฐานการวิจยั ๑๐๑ บทท่ี ๓ วธิ ีการวจิ ัย ๑๐๒ ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ๑๐๓ เคร่ืองมือในการวจิ ยั ๑๐๔ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๑๐๔ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล การนาเสนอขอ้ มูล การตีความขอ้ มูล บทที่ ๔ ผลการศึกษาวจิ ัย ตอนที่ ๑ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากแบบสอบถาม

สารบัญ ข เรื่อง หนา้ ตอนท่ี ๒ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๑๔๐ จากการสมั ภาษณ์ ตอนท่ี ๓ การวเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒๑๐ จากกรณีศึกษาเฉพาะ กรณีศึกษา ๑) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาสมาธิบาบดั ๒๑๐ แบบรักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง กรณีศึกษา ๒) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาดว้ ยเทคนิค NLP ๒๒๒ กรณีศึกษา ๓) รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาตาม ๒๒๘ แนวทางปฏิบตั ิสายทา่ นโกเอน็ กา้ ตอนท่ี ๔ การสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒๔๕ บทท่ี ๕ สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ๒๗๒ สรุปผลการวจิ ยั ๒๗๒ อภิปรายผล ๒๗๔ ขอ้ เสนอแนะ ๒๗๘ ขอ้ เสนอแนะการวิจยั คร้ังตอ่ ไป ๒๗๙ เอกสารอ้างองิ ภาคผนวก

สารบญั ตาราง ค ตารางที่ เรื่อง หนา้ ๙๒ ๒.๑ การวเิ คราะห์ปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ที่มาจากแหล่งขอ้ มูล ๙๕ ๙๖ จาแนกตามลกั ษณะ ๑๐๐ ๑๐๔ ๓.๑ วธิ ีการศึกษาตามวตั ถุประสงคง์ านวจิ ยั จาแนกตามการวเิ คราะห์ ๑๐๖ และการสร้างรูปแบบ ๑๐๘ ๓.๒ แหล่งขอ้ มูลเพ่ือกาหนดวธิ ีการสร้างเครื่องมือการวจิ ยั แต่ละประเภท ๑๑๐ ๑๑๓ ๓.๓ ขอ้ มูลจากเครื่องมือ ๓ ประเภทเพอื่ สร้างประเดน็ การต้งั คาถาม ๑๑๕ ๔.๑ รูปแบบพระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ สาคญั ตอ่ การฝึกปฏิบตั ิสมาธิภาวนา ๑๑๗ (คาถามขอ้ ๑) ๔.๒ รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นปัญญาระดบั ภาวนามย ปัญญา ตอ้ งฝึ กเขา้ ถึงดว้ ยวิธีการปฏิบตั ิมากกว่าแนวคิดทฤษฎี หรือปริยตั ิ ตารา คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก (คาถามขอ้ ๒) ๔.๓ รูปแบบนิยามความหมายปัญญาท่ีเกิดจากระดบั ปัญญาภาวนามยปัญญา มีวธิ ีการ เขา้ ถึงอยา่ งไร และมีลกั ษณะของปัญญา เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นอยา่ งไร (คาถามขอ้ ๓) ๔.๔ รูปแบบฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม วธิ ีการเขา้ ถึงปัญญาอยา่ งไร และ ฐานใดมีความสาคญั กวา่ กนั (คาถามขอ้ ๔) ๔.๕ รูปแบบกายเป็นท่ีต้งั ของความรู้สึกเป็นท่ีปฏิบตั ิธรรมที่ประชุมแห่งความจริง เพง่ กายวธิ ีการนาลมหายใจเอาสติมาต้งั ไว้ ทาความรู้ตวั ฝึกอิริยาบถใหญย่ อ่ ย และเคล่ือนไหว เป็ นอุปกรณ์กรรมฐานสร้างความรู้สึกตวั สรุปกายเป็นฐาน หยาบดีท่ีสุดสาหรับปฏิบตั ิการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน (คาถามขอ้ ๕) ๔.๖ รูปแบบหลกั การสาระสาคญั ปฏิบตั ิเนน้ ภาวนาบริกรรม“พุทโธ” ถา้ ไมม่ ีคา บริกรรมไมไ่ ด้ เม่ือปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มน่ั แลว้ ยกข้ึนพิจารณาองคธ์ รรม คาบริกรรม จะหายไปเอง ตอ้ งฝึกโดยอาศยั คาบริกรรม “พุทโธ” เป็นเบ้ืองตน้ (คาถามขอ้ ๖) ๔.๗ รูปแบบการเจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจทาให้เกิดสติเกิดปัญญา จิตปี ติ ปราโมทยท์ ุกลมหายใจเขา้ ออกเป็ นการฝึ กจิตตามกายให้สมาธิเป็ นฐานกาหนด จิต พิจารณากายอิริยาบถยนื เดินนง่ั นอนใหจ้ ิตใส่ใจในอิริยาบถ (คาถามขอ้ ๗)

สารบญั ตาราง ง ตารางที่ เรื่อง หนา้ ๑๑๘ ๔.๘ รูปแบบวธิ ีการปฏิบตั ิลกั ษณะ ๑)วธิ ีการเจริญสมาธิแบบธรรมชาติ หรือ ๒)ตาม ๑๒๐ แบบแผนเทคนิควธิ ีเพ่ือเป็นอุบายใหเ้ กิดสมาธิ เดินจงกรม กาหนดลมหายใจใช้ ๑๒๒ คาภาวนาพร้อม“พุทโธ” ใชป้ ัญญาปฏิบตั ิธรรม จิตมีสมาธิคือ เป็นผดู้ ู ผรู้ ู้ ผู้ ๑๒๓ รู้สึกตวั จิตเป็นกาลงั พฒั นาอริยสจั หยง่ั รู้ในฌาน เห็นไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๘) ๑๒๕ ๔.๙ รูปแบบการเน้นอารมณ์ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั ผสั สะกระทบอายตนะภายใน ๑๒๖ ภายนอก มีสติตามรู้เวทนา เวทนาอาศยั รูปเกิด ปรุงแต่งเวทนาที่ไหนกาหนดที่ น้นั ใหร้ ู้ทุกขท์ ่ีต้งั ไว้ กาหนดอาการนามลกั ษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา ตอ้ งวาง เป็นกลางใหม้ ีสัมปชญั ญะควบคุม สติกาหนดชดั จะเห็นอารมณ์ชดั (คาถามขอ้ ๙) ๔.๑๐ รูปแบบการฝึ กภาวะจิตให้สงบ เพ่งจิตให้น่ิงดูจิตต้งั จิตพฒั นาจิตยกจิตข้ึนสู่ วปิ ัสสนาให้จิตเห็นไตรลกั ษณ์นาธรรมมาพิจารณาสร้างปัญญาญาณยกระดบั จิต ไปสู่ภาวะจิตด้งั เดิมท่ีไมป่ รุงแต่ง (คาถามขอ้ ๑๐) ๔.๑๑ รูปแบบวิธีการดูลมหายใจให้ถูกวิธีโดยฝึ กจิต มีสติอยู่กับกาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใชจ้ ิตตามดู สู่จิตวา่ ง อาศยั ฐานกาย เวทนา จิต ธรรม และสร้างการรู้ตัว พิจารณารูปนาม วางจิตเป็ นอุเบกขาต่อทุกสภาวธรรม ปรากฏการณ์ที่เขา้ มากระทบ เขา้ ใจรู้จกั สิ่งท่ีเกิดข้ึนตามความเป็นจริงกฎของไตร ลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๑) ๔.๑๒ รูปแบบความบริสุทธ์ิแห่งจิต จิตเดิมแทไ้ ม่ปรุงแต่งสติกาหนดจิตตามรู้จิต ที่ต้งั แห่งการทางานจิตคือกรรมฐาน จิตตภาวนาเครื่องมือพฒั นาจิตใหส้ ูงฝึกฝนจิตให้ จิตต้งั มน่ั จิตมองเห็นดว้ ยตาใจ ตื่นตระหนกั รู้ สร้างดวงจิตดว้ ยปัญญา สรุปวา่ จิต เป็นการเขา้ ถึงปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา (คาถามขอ้ ๑๒) ๔.๑๓ รูปแบบการพฒั นาจิตบริสุทธ์ิสะอาด ใชเ้ ครื่องมือ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔ พจิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม นาไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางจิต เป้าหมายการฝึกจิตบริสุทธ์ิ คือ เจริญสมาธิวปิ ัสสนาโดยสร้างพ้ืนฐานสติ คือ ใช้ กาหนดลมหายใจต้งั จิตพิจารณาทุกส่ิงตามความเป็นจริงใหร้ ู้ถึงความไมเ่ ท่ียง ตามกฎไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๓)

สารบญั ตาราง จ ตารางท่ี เร่ือง หนา้ ๑๒๘ ๔.๑๔ รูปแบบการผกู สติอยบู่ นฐานจิต สร้างสติบนกายดว้ ยความรู้สึกตวั ชดั เจนสติตาม ๑๒๙ รู้ทนั จิตฝึ กจิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ีความสงบใหจ้ ิตเท่าทนั ความคิดอารมณ์โดยสติและ ๑๓๑ ความรู้สึกตวั ดึงจิตอยูก่ บั ปัจจุบนั จิตปรุงแต่งอารมณ์จากอายตนะ ฝึ กฝนจนเกิด ๑๓๓ ความน่ิงของจิต หลกั การฝึ กจิต คือ การปฏิบตั ิธรรม ดูการเปลี่ยนแปลงจิต การ ๑๓๔ สร้างสติและความรู้สึกตวั ให้รู้ทนั ความคิด และการเคล่ือนไหวของจิตรู้เห็น ๑๓๖ ๑๔๐ อาการของจิต(คาถามขอ้ ๑๔) ๒๑๕ ๔.๑๕ รูปแบบการฝึกรู้ทนั ความคิด วธิ ีการฝึกเจริญสติสัมปชญั ญะ ๑)วธิ ีการแบบสมถะ กรรมฐาน คือ การเพง่ จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ใหฝ้ ึกจิตใหพ้ จิ ารณาขอ้ ธรรม ๒) วธิ ีการแบบวปิ ัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญา ฝึกต้งั สติดูจิต จิตต้งั มนั่ เกิดปัญญา ฝึกฝนสร้างปัญญา สติทาใหค้ ุณภาพจิตตระหนกั รู้ความจริง เพยี รสอนจิตดว้ ยปัญญา (คาถามขอ้ ๑๕) ๔.๑๖ รูปแบบความเห็นแจง้ ทางปัญญา มรรค ๘ อริยสจั ๔ คือทางดบั ทุกข์ สมั มาทิฐิ เป็นประธานไดป้ ัญญารู้ตามความเป็นจริง วปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็นแจง้ ใน รูปนาม เคร่ืองพจิ ารณาแจม่ แจง้ รู้เขา้ ใจในเหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขา้ ใจสภาวะธรรม ตามความเป็นจริง พิจารณาไตรลกั ษณ์ สรุปวา่ ฐานธรรมควรใหส้ ัมมาทิฐิเป็ น ตวั นาทาง (คาถามขอ้ ๑๖) ๔.๑๗ รูปแบบสมาธิสร้างเกิดพลงั อานาจเหนือ ความรู้สึกตวั กขู องกู วา่ งจากตวั ตนใช้ การเรียนรู้โดยวธิ ีการปฏิบตั ิเขา้ ถึงความเป็นจริง จุดเริ่มตน้ การภาวนาอยทู่ ี่ใจนา จิตไปสู่การปฏิบตั ิ สร้างความสงบภายในเห็นอยา่ งลึกซ้ึง สรุปวา่ ปัญญาของฐาน ธรรมของเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ คือ ปัญญาการเขา้ ถึงความจริงไตรลกั ษณ์ (คาถามขอ้ ๑๗) ๔.๑๘ รูปแบบตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา มีสติตามทนั ทุกความคิดของจิตที่ รู้เท่าทนั ความเป็นจริงอยกู่ บั ปัจจุบนั ปัญญาเกิดเหนือจิต เหนือกาย เหนือ ประสาทการรับรู้ เห็นดว้ ยตนเอง(คาถามขอ้ ๑๘) ๔.๑๙ สรุปผลการศึกษาจากการสารวจความคิดเห็นท่ีมีต่อเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๔.๒๐ จาแนกลกั ษณะผใู้ หข้ อ้ มูลตามพ้ืนท่ี ๔.๒๑ ผลการสังเคราะห์เร่ือง “สมาธิบาบดั แบบ SKT รักษา สารพดั โรคไดด้ ว้ ยตวั เอง”

สารบญั ตาราง ฉ ตารางท่ี เรื่อง หนา้ ๒๑๖ ๔.๒๒ รูปภาพการอบรมเชิงปฏิบตั ิการโครงการเรื่อง รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาของ ๒๔๕ สมาธิบาบดั แบบ SKT รักษาโรคไดด้ ว้ ยตนเอง วทิ ยากรโดย : รองศาสตราจารย์ ๒๕๙ ดร. สมพร กนั ทรดุษฎี เตรียมชยั ศรี วนั ที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ อาคาร หอประชุมสิริราชานุสรณ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต แพร่ ๔.๒๓ การสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ๔.๒๔ รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม สารบัญภาพ ๑.๑ แสดงการจาลองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในแต่ละฐาน ๓

๑ บทท่ี ๑ บทนำ ควำมสำคัญของปัญหำ มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นพระสูตรในพระไตรปิ ฎก พระผูม้ ีพระภาคเจ้าจึงตรัส๑ ว่า ดูก่อนภิกษุ ท้งั หลาย ทางน้ีเป็ นทางสายเดียวเพ่ือความหมดจดวิเศษของสัตวท์ ้งั หลาย เพ่ือความกา้ วล่วงซ่ึงความโศก และความร่าไร เพื่ออสั ดงค์ดบั ไปแห่งทุกข์และโทมนสั เพื่อบรรลุญายธรรม เพ่ือกระทาพระนิพพานให้ แจง้ ทางน้ีคือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง สติปัฏฐาน ๔ อยา่ งเป็ นไฉน ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ยอ่ มพจิ ารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ นาอภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสีย ใหพ้ นิ าศ เธอยอ่ มพจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ มีความเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติ นาอภิชฌาและ โทมนสั ในโลกเสียให้พินาศ เธอยอ่ มพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ นา อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสียให้พินาศ เธอยอ่ มพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มี สัมปชญั ญะ มีสติ นาอภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสียให้พินาศ ทางน้ี คือ สติปัฏฐาน แปลวา่ ธรรมเป็ นที่ต้งั แห่งสติ หรือการปฏิบตั ิมีสติเป็ นประธาน ๔ ประการ อะไรบา้ ง คือ ๑)พิจารณาเห็น กายในกายอยู่ มีความ เพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ ๒)พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ท้งั หลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๓)พิจารณาเห็น จิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติกาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๔)พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ท้งั หลายอยู่ มีความเพยี ร มีสมั ปชญั ญะมีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ในสาระของพระสูตรมหาสติปัฏฐานสูตร วา่ ดว้ ยการต้งั สติอยา่ งใหญ่ ๔ ประการ อนั เป็ นเอกายมรรค ทางสายเอกและทางเดียว เพ่ือให้แจง้ นิพพาน คือ กายานุปัสสนา เวทนา นุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธมั มานุปัสสนา ดงั น้นั จากผวู้ จิ ยั เห็นวา่ พระสูตรเร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ ตามกรอบเน้ือหาสาระเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ที.ม.เล่มที่ ๑๐ ขอ้ ๓๗๒ ถึง ขอ้ ๔๐๕ หนา้ ๓๐๑-๓๔๐ เป็ นแกนหลกั กลางเพ่ือนาประเด็นมาศึกษาเป็ นกรอบเป็ นทางสายเอกท่ีจะนาไปสู่หนทางพน้ ทุกข์ จึงมีสนใจทาความเขา้ ใจใหเ้ ขา้ ถึงองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐานสูตรอยา่ งละเอียด ซ่ึงหากได้ เขา้ ใจเขา้ ถึงปัญญาทุกระดบั เกี่ยวกับปัญญำโดยเฉพำะระดบั ภำวนำมยปัญญำเร่ืองมหาสติปัฏฐาน นำไปสู่ หนทำงพ้นทุกข์ หนทำงดับทุกข์ หรือมีความรู้ความเขา้ ใจถึงหนทางแห่งความดบั ทุกข์จากที่มาจึงศึกษา งานวิทยานิพนธ์เก่ียวกบั เรื่องมหำสติปัฏฐำน ๔ ถา้ นามาประมวลสาระ เพ่ีอศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ ตามกรอบรู ปแบบงานวิทยานิพนธ์ในเชิงงานวิชาการในรู ปแบบงานวิทยานิพนธ์ ของหลักสู ตร มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เป็ นที่มาของการศึกษาวิจยั รูปแบบงานวิชาการโดยอาศยั พระ สูตร เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นแกนหลกั ในการศึกษาวจิ ยั ปี ๒๕๕๘ จากการศึกษาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๑ พระไตรปิ ฏกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ที.ม.เล่มที่ ๑๐ ขอ้ ๓๗๒ ถึง ขอ้ ๔๐๕ หนา้ ๓๐๑-๓๔๐

๒ ๔ งานวทิ ยานิพนธ์๒ เร่ือง กำรสังเครำะห์วิทยำนิพนธ์เร่ืองมหำสติปัฏฐำน ๔ ของมหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลง กรณรำชวิทยำลัยระหว่ำงปี พุทธศักรำช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ วตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อรวบรวมและประมวลสาระ ความรู้แนวทางปฏิบตั ิเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒)เพ่ือวิเคราะห์แนวทางปฏิบตั ิเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๓) เพื่อสังเคราะห์แนวทางปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสารงาน วทิ ยานิพนธ์เก่ียวกบั มหาสติปัฏฐาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ลกั ษณะขอ้ มูลทว่ั ไปของงานวทิ ยานิพนธ์ เป็ น งานวิทยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มากที่สุด จานวน ๒๔ เรื่อง ร้อยละ ๔๓.๖๓ สถานภาพผูศ้ ึกษาโดย ส่วนมากเป็ นพระภิกษุ จานวน ๓๔ รูป ร้อยละ ๖๑.๘๑ ระดบั ปริญญางานวิทยานิพนธ์เป็ นระดบั ปริญญา โท มากท่ีสุด จานวน ๔๘ เรื่อง ร้อยละ ๘๗.๒๗ และด้านสาขาวิชาที่จบการศึกษาเป็ นสาขาวิชา พระพุทธศาสนา มากท่ีสุด จานวน ๒๙ เรื่อง ร้อยละ ๕๒.๗๒ ลกั ษณะขอ้ มูลดา้ นระเบียบวิธีของงาน วิทยานิพนธ์ พบวา่ ลกั ษณะวตั ถุประสงคเ์ ป็ นการต้งั วตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาทวั่ ไป มากท่ีสุด จานวน ๗๘ ขอ้ วตั ถุประสงค์ ร้อยละ ๕๑.๖๕ ดา้ นคาจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม มีคาวา่ “ธรรม” มากที่สุด จานวน ๒๓๖ คา ร้อยละ ๕๙.๐๙ ดา้ นคาจากสารบญั เน้ือหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม จาแนก ๑) ด้านหลกั การ คาว่า“ความหมาย”เป็ นคาที่มีจานวนมากท่ีสุด จานวน ๑๖๕ คา ร้อยละ ๑๙.๘๓ ๒)ดา้ น วธิ ีการ คาวา่ “การปฏิบตั ิ”เป็ นคาที่มีจานวนมากท่ีสุด จานวน ๒๔๘ คา ร้อยละ ๒๙.๘๑ ๓)ผล คาวา่ “ผล” จานวน ๖๙ คา ร้อยละ ๘.๖๙ ดา้ นคาจากเน้ือหาคานิยามศพั ทเ์ ฉพาะ คาวา่ “ธรรม” มีจานวนคามากท่ีสุด จานวน ๒๓๕ คา ร้อยละ ๕๐.๒๑ ดา้ นลกั ษณะระเบียบวิธีวิจยั ของงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั มากที่สุด เป็ นลกั ษณะระเบียบวธิ ีวจิ ยั เชิงคุณภาพ จานวน ๔๗ เรื่อง ร้อยละ ๘๕.๔๕ และเป็ นลกั ษณะการวิจัยเชิงเอกสาร จานวน ๒๘ เร่ือง ร้อยละ ๕๐.๙๑ การ วเิ คราะห์สาระความสอดคลอ้ งงานวิทยานิพนธ์กบั หลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ พบวา่ ดา้ นธรรมานุปัสสนา สติปัฏฐาน มากท่ีสุด จานวน ๔๘ เรื่อง ร้อยละ ๕๒.๗๕ และเป็นการศึกษาดา้ นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพียงอยา่ งเดียวจานวน ๒๐ เร่ือง ร้อยละ ๓๖.๓๖ รองลงมาไดแ้ ก่ ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จานวน ๒๘ เร่ือง ร้อยละ ๓๑.๗๗ ดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จานวน ๑๑ เร่ือง ร้อยละ ๑๒.๐๘ ดา้ นเวทนา นุปัสสนาสติปัฏฐาน จานวน ๔ เร่ือง ร้อยละ ๔.๓๙ ๑) การสังเคราะห์ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบวา่ วิธีการเจริญอานาปานสติฝึ กกาหนดลมหายใจเป็ นคาสอนและวธิ ีการปฏิบตั ิสมบูรณ์ เป็ นท้งั ปริยตั ิ และปฏิบตั ิ เป็นท้งั สมถะกรรมฐานและวปิ ัสสนากรรมฐาน อานาปานสติเป็ นพ้ืนฐานการเขา้ ฌานออกฌาน รวดเร็วจึงเป็ นบาทฐานการเจริญวิปัสสนา ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ระบบ “ยุบหนอ พองหนอ” เน้นธาตุลมเป็ น หลกั ในการกาหนดคาวา่ “หนอ” แยกรูปนามทาใหส้ มาธิชดั เจน สติกาหนดรู้รูปนาม ความรู้สึกตวั ชดั ตรง กบั สภาวธรรมเป็ นจริง ไดป้ ัญญาญาณ หลกั การกาหนดสติอยกู่ บั ลมหายใจ อาการพองยบุ เคลื่อนไหวกาย คาบริกรรม กาหนดต่อเน่ือง ๒) การสังเคราะห์ดา้ นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบวา่ การมีสติรู้เท่าทนั ๒ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๕๘). การสงั เคราะห์วทิ ยานิพนธเ์ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕. วทิ ยานิพนธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต (พระพทุ ธศาสนา). มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .พระนครศรีอยธุ ยา.

๓ เวทนาขณะเกิดข้ึน กาลงั แปรปรวน ดบั ไป ต้งั สติจาแนกเวทนาขณะเสวยอารมณ์ ทางกายและทางใจ ไดแ้ ก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สอดคลอ้ งความเป็ นจริง ปัจจุบนั อารมณ์ เห็นความเกิดดบั เวทนา ฝึกสติกากบั ควบคุมความรู้สึกและความคิด เกิดวปิ ัสสนาปัญญา ๓) การสงั เคราะห์ดา้ นจิตตานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน พบวา่ การปฏิบตั ิให้จิตอยใู่ นฌาน สร้างฌานใหเ้ กิด โดยการเจริญสมถกรรมฐานเพง่ อารมณ์บรรลุ ฌาน จิตแนบไปกบั อารมณ์เดียวทาให้วิปัสสนาภาวนาเกิดข้ึน แทเ้ ดิมธรรมชาติจิตมีความบริสุทธ์ิ จิตถูก ปรุงแต่งดว้ ยกิเลสความคิด จึงตอ้ งกาหนดรู้สภาวธรรมตามความเป็ นจริง กาหนดจิตเขา้ ไปรับรู้ จิตต้งั มน่ั รู้เทา่ ทนั ๔) การสงั เคราะห์ดา้ นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบวา่ มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นวชิ าแห่งความพน้ ทุกขท์ ี่พระพุทธเจา้ คน้ พบแลว้ นามาสอนเพ่ือการปฏิบตั ิภาวนาให้เกิดสติปัญญาความรู้แจง้ ไตรลกั ษณ์ สติ ปัฏฐานที่ต้งั สติกาหนดรู้รูปนามจุดมุ่งหมายเพื่อดบั ทุกข์ กาหนดอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนตามการต้งั สติรู้ตรงตาม สภาวะปัจจุบนั อารมณ์ตรงตามสมมติบญั ญตั ิตามลาดบั ญาณ ๑๖ การสร้างความรู้ความเขา้ ใจปริยตั ิธรรมทา ให้การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน นาเขา้ สู่ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต เช่ือมโยงครบท้งั ๔ ฐาน องคธ์ รรม เคร่ืองเก้ือหนุน คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน มี ๒ หลกั คือ ๑)แบบสมถยา นิกะ (สมถะ) เป็ นอุบายสงบใจ ๒)แบบวปิ ัสสนายานิกะ(วปิ ัสสนา) เป็นอุบายเรืองปัญญา ไดป้ ัญญาเรียกวา่ “วิปัสสนาปัญญา” จึงนาเสนอผลงานวิจยั งานวิทยานิพนธ์พบวา่ ในลกั ษณะ(จาลอง) รูปแบบการเขา้ ถึง ปัญญาเนน้ เร่ืองธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานในการสร้างรูปแบบการถอดรูปนามเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ใน แตล่ ะฐานเป็นไปในภาพรวม และจาลองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา ดงั แสดงรายละเอียดตามแผนภาพ๓ ภาพท่ี ๑.๑ แสดงการจาลองรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ในแตล่ ะฐาน จากรูปภาพ ๑.๑ จึงเป็ นเสมือนข้อสมมติฐานของผูว้ ิจยั ได้พบเพียงแต่ว่าได้แขวนคาถามและ คาตอบไวก้ ่อน แลว้ รอการพิสูจน์ให้ตกผลึกทางความคิดไดจ้ ะเป็ นขอ้ สรุปเรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญา ๓ สรัญญา โชติรัตน์ และพระราชเขมากร (ประยทุ ธ ภูริทตั โต). กำรสังเครำะห์องค์ควำมรู้เรื่องมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ ว่ำด้วยด้ำนธรรมำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน ในวิทยำนิพนธ์ของมหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย . การประชุม วชิ าการระดบั ชาติ “มศว วจิ ยั ” คร้ังที่ ๙ วนั ที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ . บทความวจิ ยั . ๒๕๕๙.

๔ เร่ืองมหาสติปัฏฐาน โดยอาศยั งานวิชาการหรือระเบียบวธิ ีการวิจยั แสวงหาคาตอบ นาไปสู่การยอ่ ยเป็ นแต่ ละฐานให้มีความละเอียดในลกั ษณะการแยกส่วน รวมส่วน โดยผูศ้ ึกษาวิจยั มองวิธีการเขา้ ถึงความรู้ใน ภาพใหญ่ และมองประเด็นส่วนยอ่ ย เป็ นประเด็นศึกษาเพื่อตอ้ งการความเขา้ ใจโดยละเอียด แยกรวม และ รวมแยก เป็ นการวิเคราะห์และสังเคราะห์ สังเคราะห์และวิเคราะห์ เพื่อคน้ หารูปแบบ ดังน้ันการนา งานวจิ ยั ดาเนินงานโดยการทบทวนผลงานต่อยอดงานเรื่องมหาสติปัฏฐานจากเดิมจึงมีความสาคญั ต่อไป งานแลว้ งานอีก เรื่องแลว้ เรื่องอีก เม่ือเหตุปัจจยั ถึงกาหนด ผลยอ่ มตามมากเอง ผลการศึกษาวิจยั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เร่ืองต่อมาปี ๒๕๕๙ ไดร้ ับการสนบั สนุนงบประมาณ จากคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ(วช.)๔ เร่ือง กำรสังเครำะห์วรรณกรรมเร่ืองมหำสตปิ ัฏฐำน ๔ วตั ถุประสงค์ ๑)เพื่อรวบรวมและประมวลสาระความรู้จากวรรณกรรมปัจจุบนั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๕เป็ นการวจิ ยั เชิง คุณภาพเน้นการสารวจเพื่อนาไปสู่การวิเคราะห์เน้ือหาสาระจากวรรณกรรมโดยประชากรและกลุ่ม ตวั อยา่ งคือ วรรณกรรมยุคปัจจุบนั เร่ืองสติปัฏฐาน ๔ ที่ไดร้ ับการตีพิมพใ์ นปี พุทธศกั ราช ๒๕๔๙-๒๕๕๙ (๑๐ ปี ) จานวน ๑๐๐ เล่ม ผลการศึกษาพบวา่ จากการรวบรวมหนงั สือวรรณกรรมปัจจุบนั ท่ีเก่ียวขอ้ งเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกประเภทตามลกั ษณะวรรณกรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ แบ่งเป็ น ๔ ประเภท วรรณกรรม ดงั ต่อไปน้ี ประเภท ๑)วรรณกรรมแนววิชาการ หมายถึง หนงั สือวชิ าการ แนวเขียนแบบตารา ต่าง ๆ และเกี่ยวกบั พระไตรปิ ฎก มกั อา้ งอิงคาบาลีเพื่ออธิบายความเน้ือหาสาระ จานวน ๑๕ เล่ม ร้อยละ ๑๕ ประเภท ๒)วรรณกรรมแนวคาสอนครูบาอาจารย์ หมายถึง คาสอนครูบาอาจารยท์ ่ีอธิบายวิธีการ ภาคทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จานวน ๔๕ เล่ม ร้อยละ ๔๕ ประเภท ๓)วรรณกรรม แนวนกั เขียนคน้ คิด หมายถึง งานเขียนท่ีผเู้ ขียนไดค้ น้ คิดศึกษาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากการศึกษาของ ผูเ้ ขียน จานวน ๒๕ เล่ม ร้อยละ ๒๕ ประเภท ๔)วรรณกรรมแนวบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ หมายถึง หนงั สือที่ผูเ้ ขียนไดน้ าหลกั การเร่ืองมหาสติปัฏฐานไปบูรณาการเขียนกบั ศาสตร์สมยั ใหม่หรือการนา หลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ ไปประยุกตใ์ ชก้ บั ศาสตร์สมยั ใหม่ จานวน ๑๕ เล่ม ร้อยละ ๑๕ วตั ถุประสงค์ ๒)เพื่อวิเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมประเภทนักเขียนคิดค้น๖ โดยลักษณะจาก วรรณกรรมแนวนกั เขียนคิดคน้ หมายถึง งานเขียนที่ผเู้ ขียนไดค้ น้ คิดศึกษาเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ โดยผา่ นการ ประมวลองคค์ วามรู้ความเขา้ ใจของตวั ผู้เขียนเอง ผลการศึกษาพบว่า (๑) ดา้ นแนวคิด พบวา่ สมาธิสร้าง เกิดพลงั อานาจเหนือความรู้สึกตวั กูของกูว่างจากตวั ตน ใชก้ ารเรียนรู้โดยการปฏิบตั ิเขา้ ถึงความเป็ นจริง แห่งวิถีการบรรลุธรรม โดยจุดเริ่มตน้ การภาวนาอยทู่ ่ีใจนาจิตไปสู่การปฏิบตั ิ สร้างความสงบภายในโดย ๔ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๖๐).การสังเคราะห์วรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔. รายงานผลการวิจัยฉบบั สมบูรณ์. มหาวทิ ยาลยั แม่โจ.้ เชียงใหม่. ๕ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๖๐).การสารวจวรรณกรรมปัจจุบันเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔. การประชุมวิชาการ ระดบั ชาติ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบูรณ์ คร้ังที่ ๔ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบูรณ์ วนั ท่ี ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐. ๖ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๖๐).การวเิ คราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมประเภทนกั เขียนคิดคน้ . การ ประชุมวิชาการระดบั ชาติทางศิลปศาสตร์ คร้ังท่ี ๖ คณะศิลปศาสตร์ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหาร ลาดกระบงั วนั ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐.

๕ การเห็นอยา่ งลึกซ้ึงสู่ความเป็ นอริยบุคคล (๒) ดา้ นหลกั การ พบวา่ การฝึ กภาวะจิตให้สงบ เพง่ จิตใหน้ ิ่ง ดู จิต ต้งั จิต และพฒั นาจิต ยกจิตข้ึนสู่วิปัสสนาให้จิตเห็นไตรลกั ษณ์ นาธรรมมาพิจารณาสร้างปัญญาญาณ ยกระดบั จิตไปสู่ภาวะจิตด้งั เดิมท่ีไม่ปรุงแต่ง (๓) ดา้ นวธิ ีการ พบวา่ ดูลมหายใจใหถ้ ูกวธิ ีโดยฝึกจิต มีสติอยู่ กบั กาย ความรู้สึก จิต ปรากฎการณ์ นาฌานสู่ญาณใชจ้ ิตตามดู สู่จิตวา่ ง อาศยั ฐานกาย เวทนา จิต และธรรม และสร้างความรู้ตวั พิจารณารูปนาม วางใจเป็ นอุเบกขา ต่อทุกสภาวะธรรม เขา้ ใจรู้จกั สิ่งท่ีเกิดข้ึนตาม ความเป็ นจริงกฎของไตรลกั ษณ์ ๔) ด้านผล พบว่า ตวั วดั ผล คือ ตวั รู้ ตวั ละ ตวั ปัญญา มีสติตามทนั ทุก ความคิดของจิตที่รู้เท่าทนั ความเป็ นจริงอยู่กบั ปัจจุบนั ปัญญาเกิดเหนือจิต เหนือกาย เหนือประสาทการ รับรู้ เห็นดว้ ยตนเอง วตั ถุประสงค์ ๓)เพ่ือวเิ คราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกวา่ ดว้ ยดา้ นกายานุปัสส นาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประเภท แนวคาสอนครูบาอาจารย์๗ ผลการศึกษาพบว่า ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบว่า กายเป็ นท่ีต้งั ของ ความรู้สึก กายเป็นที่ปฏิบตั ิธรรม เป็นท่ีประชุมแห่งความจริง เพง่ กายตามรู้กาย นาลมหายใจเอาสติมาต้งั ไว้ และทาความรู้ตวั ฝึ กอิริยาบถใหญ่ยอ่ ย การเคล่ือนไหวเป็ นอุปกรณ์กรรมฐานสร้างความรู้สึกตวั และความ ตระหนกั รู้อย่างมีสติด้ำนเวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบว่า เน้นอารมณ์ปัจจุบนั ทาความรู้สึกตวั ผสั สะ กระทบอายตนะภายในภายนอก มีสติตามรู้เวทนา เวทนาอาศยั รูปเกิด ปรุงแต่งเวทนาที่ไหนกาหนดที่น้นั ให้รู้ทุกขท์ ่ีต้งั ไว้ กาหนดอาการนามลกั ษณะต่าง ๆ สุข ทุกข์ อุเบกขา ตอ้ งวางเป็ นกลางให้มีสัมปชญั ญะ ควบคุม สติกาหนดชดั จะเห็นอารมณ์ชดั ด้ำนจิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน พบว่า ความบริสุทธ์ิแห่งจิต จิต เดิมแทไ้ ม่ปรุงแต่ง สติกาหนดจิตตามรู้จิต ท่ีต้งั แห่งการทางานจิตคือกรรมฐาน จิตตภาวนาเครื่องมือพฒั นา จิตให้สูงฝึ กฝนจิตให้จิตต้งั มนั่ จิตมองเห็นดว้ ยตาใจ ต่ืนตระหนกั รู้ สร้างดวงจิตดว้ ยปัญญา ด้ำนธรรมำ นุปัสสนำสติปัฏฐำน พบว่า ความเห็นแจง้ ทางปัญญา มรรค ๘ อริยสัจ ๔ คือทางดบั ทุกข์ สัมมาทิฐิเป็ น ประธานไดป้ ัญญารู้ตามความเป็ นจริง วปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็นแจง้ ในรูปนาม เครื่องกาหนดพิจารณา แจ่มแจง้ รู้เขา้ ใจในเหตุปัจจยั ท้งั ปวง เขา้ ใจสภาวะธรรมตามความเป็ นจริง พิจารณาไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทุก ขงั อนตั ตา วตั ถุประสงค์ ๔) เพอ่ื วเิ คราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ วา่ ดว้ ยดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานจาก วรรณกรรมประเภทนกั เขียนคิดคน้ ๘ ผลการศึกษาพบว่า ๑) ดา้ นแนวคิด พบว่า การพฒั นาจิตบริสุทธ์ิ จิต สะอาด โดยใช้เครื่องมือ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม นาไปสู่กระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางจิต การฝึ กจิตบริสุทธ์ิคือการเจริญสมาธิวปิ ัสสนา โดยสร้างพ้ืนฐานสติ คือ ใชก้ าหนดลม หายใจต้งั จิตพิจารณา พิจารณาทุกสิ่งตามความเป็ นจริงให้รู้ถึงความไม่เท่ียงตามกฎไตรลกั ษณ์ ๒) ดา้ น ๗ สรัญญา โชติรัตน.์ (๒๕๖๐).มหาสติปัฏฐาน ๔ : กรณีศึกษาจากวรรณกรรมปัจจุบนั ประเภทแนวคาสอนครูบา อาจารย.์ การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ ๑ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตแพร่ วนั เสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐. ๘ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๖๐).มหาสติปัฏฐาน ๔ ว่าดว้ ยดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน : กรณีศึกษาจากงาน วรรณกรรมปัจจุบนั ประเภทนกั เขียนคิดคน้ . การประชุมวิชาการและนาเสนอผลงานวจิ ยั ระดบั ชาติทางจิตวิทยา ประจาปี ๒๕๖๐ : ชีวติ ดี เปลี่ยนได้ ดว้ ยศาสตร์แห่งใจ. จดั โดย ภาควิชาจิตวทิ ยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. วนั ที่ ๖- ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐.

๖ หลกั การ พบวา่ การผกู สติอยูบ่ นฐานจิต และการสร้างสติบนกายดว้ ยความรู้สึกตวั ชดั เจน สติตามรู้ทนั จิต ฝึกจิตปฏิบตั ิจิตใหม้ ีความสงบ ฝึกฝนการรวมจิตให้เกิดความสงบใหจ้ ิตเท่าทนั ความคิดและอารมณ์โดยสติ และความรู้สึกตวั ดึงจิตอยู่กับปัจจุบนั จิตปรุงแต่งอารมณ์จากอายตนะ ฝึ กฝนจนเกิดความนิ่งของจิต หลกั การฝึ กจิตคือการปฏิบตั ิธรรม ดูการเปลี่ยนแปลงจิต การสร้างสติและความรู้สึกตวั ให้รู้ทนั ความคิด และการเคลื่อนไหวของจิต รู้เห็นอาการของจิต ๓) ดา้ นวิธีการ พบวา่ การฝึ กรู้ทนั ความคิด วธิ ีการฝึ กเจริญ สติ การใชส้ ติ และสมั ปชญั ญะ วธิ ีการแบบสมถกรรมฐาน คือ การเพง่ จิต อบรมจิต จิตแน่วแน่ ใหฝ้ ึกจิตให้ พจิ ารณาขอ้ ธรรม วธิ ีการแบบวปิ ัสสนากรรมฐาน คือ การอบรมจิตข้ึนสู่อบรมปัญญา ตอ้ งฝึกต้งั สติดูจิต จิต ต้งั มนั่ เกิดปัญญาจากสติและสมาธิ ฝึ กฝนการสร้างปัญญา สติทาให้คุณภาพจิตตระหนกั รู้ความจริง เพียร สอนจิตดว้ ยปัญญา วตั ถุประสงค์ ๕) เพื่อวเิ คราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมปัจจุบนั ประเภท แนวคาสอนครูบาอาจารย๙์ ผลการศึกษาพบวา่ ๑) แนวคิดเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นการปฏิบตั ิธรรม คือ ความดบั ทุกขเ์ ป็นทางสายเอกทางเดียวไปสู่การพน้ ทุกข์ โดยเห็นส่ิงท้งั หลายถูกตอ้ งตามความเป็ นจริง ตาม แนวทางไตรลกั ษณ์ แนวทางสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ทางแห่งปัญญาเจริญวปิ ัสสนา รู้แจง้ ชดั เพื่อความหลุด พน้ ๒) หลกั การเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ สาระสาคญั ปฏิบตั ิ แนวทางปฏิบตั ิเนน้ การเจริญภาวนาบริกรรม พุทโธ เม่ือปฏิบตั ิจิตสงบต้งั มน่ั แล้วยกข้ึนพิจารณาองค์ธรรม การเจริญอานาปานสติกาหนดลมหายใจ สร้างหลกั การตอ้ งชานาญท้งั ปริยตั ิและปฏิบตั ิ ดว้ ยแนวทางศีล สมาธิ ปัญญา เจริญปัญญาเน้นอริยสัจ ๔ เป็ นหลกั การและมรรค ๘ เป็ นทางแห่งความพน้ ทุกข์ ดงั น้นั หลกั การสติปัฏฐาน ๔ ทาให้เกิดสติและเกิด ปัญญา จิต ปี ติปราโมทยท์ ุกลมหายใจเขา้ ออก เป็ นการฝึ กจิตตามหลกั การกายคตาสติ ให้สมาธิเป็ นฐาน กาหนดจิต พิจารณากายอิริยาบถยนื เดินนง่ั นอน ให้จิตใส่ใจในอิริยาบถ ๓) วิธีการเป็ นการปฏิบตั ิใหบ้ รรลุ ตามหลกั การ มีลกั ษณะวธิ ีการเจริญสมาธิแบบธรรมชาติ หรือตามแบบแผนเทคนิควธิ ีเพื่อเป็นอุบายให้เกิด สมาธิ เช่น การเดินจงกรม กาหนดลมหายใจ ใช้คาบริกรรม ใช้คาภาวนา กาหนดลมหายใจพร้อมคา บริกรรมวา่ “พทุ โธ”ใชป้ ัญญาในการปฏิบตั ิธรรม สร้างความรู้สึกรู้ตวั สติและสมาธิความต้งั มน่ั จิตมีสมาธิ คือ เป็ นผดู้ ู ผรู้ ู้ ทาดว้ ยความรู้สึกตวั จิตเป็ นกาลงั พฒั นาอริยสัจ ๔ ใชส้ มาธิกาหนดจิตต้งั มนั่ หยง่ั รู้ในฌาน เห็นไตรลกั ษณ์ ความไมเ่ ที่ยง ดงั น้นั เพื่อความต่อเนื่องผูศ้ ึกษาวิจยั ตอ้ งการศึกษาเช่ือมโยงต่อเนื่องลกั ษณะการวิเคราะห์สร้าง รูปแบบ และตรวจสอบรูปแบบโดยนาสาระองค์ความรู้ผสมผสานผลการศึกษาวิจยั ท่ีเกิดจากผลงาน วทิ ยานิพนธ์ของของผศู้ ึกษาวิจยั ปี ๒๕๕๙ เรื่อง “การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ระหว่างปี ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ” และผลงานวิจยั ปี ๒๕๖๑ เร่ือง “การสงั เคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔” ผศู้ ึกษาวจิ ยั ต่อยอดองคค์ วามรู้งานผลงานวทิ ยานิพนธ์/ วิจยั ท้งั สองจากผลงานวิจยั ที่ไดเ้ คยศึกษามาแลว้ ผสมผสานความเหมือนและความต่างประเด็นต่าง ๆ ท้งั จากแผนภาพ (Mind Mapping) เพื่อนาไปสร้างรูปแบบ (Model) ท้งั จากกรอบแนวคิด ประเด็นการศึกษา ๙ สรัญญา โชติรัตน์.(๒๕๖๐).การวเิ คราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมปัจจุบนั ประเภทแนวคาสอน ครูบาอาจารย.์ การประชุมวิชาการระดับชาติ “มศว วิจยั ” คร้ังท่ี ๑๐ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ วนั ท่ี ๒๐-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐.

๗ แนวทาง หลักการ วิธีการ ในเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ แต่ละฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม หลากหลาย นาไปสู่การสร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ และการทดสอบความคิดจาก ในการคน้ พบโดยวเิ คราะห์ การสร้างรูปแบบ (Model) หรือ การตรวจสอบ ความเขา้ ใจ เขา้ ถึง ลึกซ้ึง ปัญญา เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ อย่างแทจ้ ริง จากเจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์/วรรณกรรม ที่ไดศ้ ึกษาอ่านงาน วิทยานิพนธ์และวรรณกรรม จึงนาไปสู่เขียนขอ้ เสนอโครงการวิจยั ปี ๒๕๖๑ เร่ือง “ รูปแบบการเขา้ ถึง ปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ” เป็นการตอ่ ยอดองคค์ วามรู้เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ วตั ถุประสงค์กำรวจิ ัย ๑. เพอ่ื วเิ คราะห์รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒. เพอ่ื สร้างรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ขอบเขตของกำรวจิ ัย ด้ำนสำระ กาหนดเน้ือหาสาระเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ในพระสูตรเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาก พระไตรปิ ฎกเป็นกรอบ ประเด็นศึกษาสาระกรอบขอบเขต ๑) กรอบเน้ือหาสาระเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิ ฏกภาษาไทย พระไตรปิ ฏกภำษำไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ที.ม.เล่มที่ ๑๐ ขอ้ ๓๗๒ ถึง ขอ้ ๔๐๕ หนา้ ๓๐๑-๓๔๐ เป็ นแกนหลกั กลางเพ่ือนาประเดน็ มาศึกษาเป็นกรอบ ๒) ผลงานวิทยานิพนธ์ ปี ๒๕๕๙ เร่ือง “การสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ฯ” ๓) ผลงานวจิ ยั ปี ๒๕๖๑ เรื่อง “การสงั เคราะห์วรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔” ๔) นาสาระท้งั หมดมาสร้างกาหนดขอ้ สรุปประเด็นเพ่ือศึกษางานวิจยั ตามวตั ถุประสงคว์ จิ ยั และ ปรับปรุงการออกแบบระเบียบวธิ ีการวจิ ยั เพ่อื ใหข้ อ้ มู ด้ำนประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง ไดแ้ ก่ ๑) ผเู้ ขียนผลงานหนงั สือวรรณกรรมปัจจุบนั เร่ืองมหาสติ ปัฏฐาน ๔ งานวจิ ยั ปี ๒๕๖๑ เร่ือง “การสังเคราะห์วรรณกรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔” ๒) เจา้ ของผลงาน วทิ ยานิพนธ์จากงานวิทยานิพนธ์ของผูว้ ิจยั ปี ๒๕๕๙ เร่ือง “การสังเคราะห์งานวทิ ยานิพนธ์เรื่องมหาสติ ปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ฯ” ๓) นากลุ่มตวั อยา่ งเรียบเรียงรายชื่อการสารวจ เบ้ืองตน้ ตามรายชื่อเพื่อการติดต่อดาเนินการสร้างเคร่ืองมือเป็ นแบบสอบถาม เพือ่ ทาการสารวจขอ้ มูลกลุ่ม ตวั อยา่ ง และออกแบบวิธีการเก็บขอ้ มูล ๔) การลงพ้ืนที่จริงเพื่อสัมภาษณ์โดยเพิ่มเติมผูใ้ ห้ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ พระวปิ ัสสนาจารยท์ วั่ ไป และศูนยป์ ฏิบตั ิธรรมซ่ึงเป็นที่มีช่ือเสียงและเป็นที่ยอมรับโดยทวั่ ไป ด้ำนระยะเวลำ ๑ ปี งบประมาณระหวา่ ง ปี ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒

๘ ประโยชน์ทค่ี ำดว่ำจะได้รับ ๑) เม่ือจบงานวิจยั เรื่องรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ แลว้ ผูว้ ิจยั จะไดม้ ีความกา้ วหนา้ ทางธรรมในระดบั สูงยงิ่ ข้ึนไป มีความสามารถในการอธิบายความไดเ้ ป็ นอยา่ งดีเร่ืองเกี่ยวกบั มหาสติ ปัฏฐาน ๔ เป็นการเผยแพร่ความรู้ความเขา้ ใจทางพระพทุ ธศาสนาให้ยงั มีการกล่าวถึงในลกั ษณะงาน ดา้ นวชิ าการที่เป็ นงานวิจยั นาไปบูรณาการกบั ศาสตร์งานวิจยั อื่นๆ โดยอาศยั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นแกนหลกั ศึกษาวจิ ยั คน้ ควา้ ตอ่ ไป ๒) องคค์ วามรู้ที่ไดจ้ ากงานวิจยั สามารถต่อเป็ นองคค์ วามรู้ท่ีตกผลึกนาไปสู่การสร้างงานเขียนท่ีสามารถ เผยแพร่ไดต้ ่อไป ตอ้ งเป็ นองคค์ วามรู้ท่ีตกผลึกมาแลว้ เป็ นรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏ ฐาน ๔ เป็นเฉพาะตนเอง เปรียบดงั ใบไมใ้ นกามือ ๓) การสร้างแนวทางรูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นของตนเองต่อไปท้งั ชีวิต รวมท้งั การฝึ กปฏิบตั ิ และการเรียนรู้จากพระไตรปิ ฎกเป็ นฐานแนวคิด ต่อเนื่อง ยาวนาน ท้งั ชีวติ เป็น ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหิ พระธรรมท่ีผบู้ รรลุจะพงึ รู้ไดเ้ ฉพาะตน มีความเชี่ยวชาญเฉพาะพระสูตร เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๔) หนงั สือองค์ความรู้จาตอ้ งเป็ นการตกผลึกความรู้เฉพาะของตวั เอง โดยไม่ไดล้ อกเลียนความรู้ของ ผอู้ ่ืนใด จึงเป็นการยากในการอธิบายธรรมโดยใชภ้ าษาทวั่ ไปธรรมดา ใหเ้ ขา้ ใจกบั บุคคลอื่น ๆ ทวั่ ไป การเขา้ ใจรูปแบบผอู้ ่ืนเพ่ือทาความเขา้ ใจรูปแบบภายในของตวั เองนาไปสู่การสร้างรูปแบบเรื่องมหา สติปัฏฐาน ๔ ๕) การนาไปเขียนบทความวิจยั หลากหลายเร่ืองตามประเด็นมุมมองเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ นาไปสู่การ งานบทความวิจยั จานวนหลายเรื่องหลายมุมมองดา้ นพระพุทธศาสนา คิดวา่ ไดบ้ ทความวิจยั ๑๐๐ บทความวิจยั (หากไดร้ ับการสนบั สนุนทุนวิจยั ต่อไป) โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบตั ิซ่ึงอธิบายไดย้ าก มากท่ีจะลดทอนนามธรรมไปสู่ลายลกั ษณ์อกั ษร เป็นเน้ือหาสาระท่ีมีการปฏิบตั ิตามรูปแบบสาระงาน วชิ าการวจิ ยั และยงั คงเป็นองคค์ วามรู้ท่ีเป็นกระแสปัจจุบนั นิยมศัพท์ มหำสติปัฏฐำน ๔ หมายถึง กาหนดจากกรอบพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากพระไตรปิ ฎก ในการอา้ งอิง วา่ ทางน้ีเป็นทางเดียว เพ่ือความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตวเ์ พ่ือล่วงโสกะและปริเทวะเพอื่ ดบั ทุกข์ และโทมนสั เพ่ือบรรลุญายธรรม เพื่อทาให้แจง้ นิพพาน ทางน้ีคือสติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ คือ ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ใน โลกได้ ๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกได้ ๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติกาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะมีสติ กาจดั อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกได้

๙ โดยสรุปวา่ เป็นทางสายเอกและทางเดียว เพ่อื ใหแ้ จง้ นิพพาน คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนา นุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฐานที่ต้งั สติกาหนด ไดแ้ ก่ ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต และฐานธรรม สติปัฏฐาน ๔ ธรรมเป็นท่ีต้งั แห่งสติ หรือการปฏิบตั ิมีสติเป็ น ประธาน ๔ ฐาน พจิ ารณาเห็น มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ คือ ๑) ฐำนกำย พิจารณาเห็นกาย ๒) ฐำนเวทนำ พิจารณาเห็นเวทนา ๓) ฐำนจิต พิจารณาเห็นจิต ๔) ฐำนธรรม พิจารณาเห็นธรรม ท้งั หมดอยใู่ นกรอบพระสูตรพระไตรปิ ฎก ดงั น้นั ความหมายของผูว้ ิจยั ศึกษา คือ การ นาสติไปวางฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม รูปแบบกำรเข้ำถึง หมายถึง ประสบการณ์ปฏิบตั ิของการเขา้ ถึง ระดบั ปัญญาดา้ นภาวนามยปัญญา โดยเป็นปัญญาทางพระพทุ ธศาสนา เกิดจาก ปัญญาในระดบั สุตมยปัญญา ปัญญาระดบั จิตตมยปัญญา เป็น การสร้างเป็ นลักษณะนาไปสู่ปัญญาระดับภาวนามยปัญญา ถือเป็ นลักษณะรู ปแบบ หรื อ Model กระบวนการเกิด กระบวนการสร้างเหตุปัจจยั การเกิด และข้นั ตอนแต่ละรูปแบบเป็ นของเฉพาะตวั บุคคลผู้ น้นั โดยผา่ นประสบการณ์ชีวิต หรือประสบการฝึ กปฏิบตั ิทางบาเพญ็ เพียรภาวนา ท้งั ดา้ นสมถกรรมฐาน และวปิ ัสสนากรรมฐาน และเหตุปัจจยั ท้งั หลายนาไปสู่ของสรุปรูปแบบ (Model) รูปแบบ หมายถึง กระบวนการเดินทาง ตน้ ทาง กลางทาง ปลายทาง ของแต่ละเร่ือง แตล่ ะประเด็น แลว้ ตอ้ งยอ้ นกลบั มาตน้ ทาง กลางทาง ปลายทาง อีกแต่ละคร้ัง ไม่วา่ กระบวนการจะยาว หรือจะส้ัน เช่น คล้ายเป็ นตน้ จิต การเดินทางของจิต จุดทา้ ยปลายทางจิต เป็ นสภาวธรรมการเกิดข้ึน ลมหายใจเกิดข้ึน หายใจเขา้ หายใจออก ความรู้สึกทางอารมณ์ ตา่ ง ๆ การคิดพจิ ารณาธรรม การต้งั อยู่ และการดบั ไป มีเหตุ เกิด มีเหตุดบั รวมแลว้ เรียกวา่ รูปแบบ ปัญญำ หมายถึง ปัญญาที่เป็ นภาวนามยปัญญา เป็ นปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิธรรม บาเพญ็ (ญาณ อนั เกิดข้ึนแก่ผูอ้ าศยั จินตมยปัญญา หรือ ท้งั สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา ขะมกั เขมน้ มนสิการใน สภาวธรรมท้งั หลาย) จึงเป็ นปัญญาสืบแต่ปัญญาสองอยา่ ง คือ ๑) ปัญญาระดบั จินตามยปัญญา หมายถึง ปัญญาท่ีเกิดจากการคิดพิจารณา ปัญญาสืบแต่โยนิโสมนสิการที่ต้งั ข้ึนในตนเอง ปัญญาเกิดจากการคิด พิจารณา (ปัญญาจากโยนิโสมนสิการที่ต้งั ข้ึนในตนเอง) ๒) ปัญญาระดบั สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิด จากการสดบั เล่าเรียน ปัญญาสืบแตป่ รโตโฆษะ ปัญญาเกิดจากการสดบั เล่าเรียน (ปัญญาจากปรโตโฆสะ) ข้อจำกดั งำนวจิ ัย เน่ืองจากโครงการวิจัยได้เขียนข้อเสนอโครงการ ตามความคิดเห็นแต่เม่ือต้องลงพ้ืนที่จริง ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ข้ึนอยกู่ บั ผใู้ ห้ขอ้ มูลจากเจา้ ของผลงานวิทยานิพนธ์ หรือเจา้ ของผลงานเขียน วรรณกรรม แตเ่ นื่องจากเป็นผมู้ ีชื่อเสียงและเป็ นผเู้ ขียนเพ่ือการติดต่อประสานเขา้ สัมภาษณ์เป็ นไปไดย้ าก จึงตอ้ งปรับตามสภาพความเป็ นจริงไม่สามารถเขา้ ถึงเพื่อเก็บขอ้ มูลวจิ ยั ไดท้ ้งั หมด โดยวางแผนออกแบบ การศึกษาวจิ ยั เพื่อให้งานวิจยั บรรลุสาเร็จตามวตั ถุประสงค์งานวจิ ยั อีกคร้ัง เป็ นการสารวจ การสัมภาษณ์ และเฉพาะกรณีศึกษา ตลอดจนนาไปสู่การฝึกปฏิบตั ิดว้ ยตวั ผศู้ ึกษาวจิ ยั เอง

๑๐ บทที่ ๒ การตรวจเอกสาร การสร้างกรอบงานวจิ ยั ตอ้ งอาศยั มาจากแนวคิด ทฤษฎี และการทบทวนวรรณกรรม เพ่ือนาไปสู่ กรอบความคิดงานวิจยั และแปรความหมายไปเป็ นนิยามศพั ท์วิชาการเป็ นเชิงปฏิบตั ิการในเฉพาะเรื่อง งานวิจยั ที่เกิดจากในกรอบความคิดงานวิจยั น้นั จาเป็ นตอ้ งมีการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวขอ้ งท้งั เร่ือง แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ดงั น้นั งานวิจยั มีความสาคญั จากการทบทวนวรรณกรรมหรือ การตรวจเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง เพื่อคน้ หาความเชื่อมโยง หาความสัมพนั ธ์ ตวั แปร หรือ ขอ้ ความคิดไปสู่การ ต้งั สมมติฐานงานวจิ ยั และนาไปสู่การระเบียบวธิ ีการดาเนินงานวจิ ยั แนวคิดและทฤษฎี ทเี่ กย่ี วข้อง แนวคิด ทฤษฎี เกยี่ วกบั “ปัญญา” ค ว า ม ห ม า ย ปั ญ ญ า ๑ ( ๒ ๕ ๕ ๓ : ๙ ๖ ) ห ม า ย ถึ ง ค ว า ม ร อ บ รู้ รู้ ทั่ ว เ ข้ า ใ จ รู้ ซ้ึ ง (pañña:wisdom,knowledge,understanding) ๑)จินตามยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา ปัญญาสืบแต่โยนิโสมนสิการที่ต้งั ข้ึน (Cintāmaya-pañña: wisdom resulting from reflection; knowledge that is thought out) ๒)สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการสดบั เล่าเรียน ปัญญาสืบแต่ปรโตโฆสะ (Sutamaya-pañña: wisdom resulting from study; knowledge that is learned from others) ๓) ภาวนามย ปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิบาเพญ็ ปัญญาสืบแต่ปัญญาสองอยา่ งแรกน้นั แลว้ หมนั่ มนสิการ ในประดาสภาวธรรม(Bhavanamaya-pañña : Wisdom Tesulting from mental development; knowledge that is gained by development or practice) ความหมาย โยนิโสมนสิการ (๒๕๕๓:๕๗) โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใชค้ วามคิดถูกวิธี คือ การทาในใจโดยแยบคาย มองสิ่งท้งั หลายดว้ ยความคิดพิจารณาสืบคน้ ถึงตน้ เคา้ สาวหาเหตุผลจนตลอด สาย แยกแยะออกพิเคราะห์ ดูดว้ ยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอุบายวธิ ี ใหเ้ ห็นส่ิงน้นั ๆ หรือปัญหาน้นั ๆ ตามสภาวะและตามความสัมพนั ธ์แห่งเหตุปัจจยั (Yonisomanasikara: reasoned attention Systematic attention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specific conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem-solving)ข้อน้ีเป็ น องค์ประกอบภายใน (internal factor, personal factor) และเป็น ฝ่ ายปัญญา (a factor belonging to the category of insight or wisdom) ปัจจยั ใหเ้ กิดสัมมาทิฏฐิ (๒๕๕๓:๖๙) ทางเกิดแห่งแนวความคิดที่ถูกตอ้ ง ตน้ ทางของปัญญาและ ความดีงามท้งั ปวง ( Sammaditthi-paccaya: sources Or Conditions for the arising of right view) ๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). ๒๕๕๓. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๘ . มูลนิธิการศึกษาเพือ่ สนั ติภาพ. โรงพิมพเ์ พม่ิ ทรัพยก์ ารพิมพ.์ นนทบุรี.

๑๑ ๑. ปรโตโฆสะ หมายถึง เสียงจากผอู้ ื่น การกระตุน้ หรือชกั จูงจากภายนอก คือ การรับฟังคาแนะนา สงั่ สอน เล่าเรียน หาความรู้ สนทนาซกั ถาม ฟังคาบอกเล่าชกั จูงของผอู้ ่ืน โดยเฉพาะการสดบั สทั ธรรมจาก ทา่ นผเู้ ป็นกลั ยาณมิตร(Paratoghosa. another's utterance, inducement by others; hearing or learning from others) ๒. โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใชค้ วามคิดถูกวธิ ี ความรู้จกั คิด คิดเป็ น คือ ทาในใจโดยแยบคาย มองส่ิงท้งั หลายดว้ ยความคิดพิจารณา รู้จกั สืบสาวหาเหตุผล แยกแยะส่ิงน้นั ๆ หรือปัญหาน้นั ๆ ออก ให้ เห็นตามสภาวะและตามความสัมพนั ธ์แห่งเหตุปัจจยั (Yonisomanasikara: Teasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection) ความหมาย คาวา่ “ภาวนา ๒” (๒๕๕๓:๗๐) การเจริญ การทาใหเ้ กิดใหม้ ีข้ึน การฝึ กอบรมจิตใจ (Bhavana:mental development) ประกอบดว้ ย ๑. สมถภาวนา หมายถึง การฝึ กอบรมจิตให้เกิดความสงบ การฝึ กสมาธิ (Samatha-bhavana: tranquillity development) ๒.วิปัสสนาภาวนา หมายถึง การฝึ กอบรม ปัญญาให้เกิดความรู้แจง้ ตามเป็ นจริง การเจริญปัญญา (Vipassana-bhavana: insight development) สอง อยา่ งน้ี ในบาลีท่ีมาทา่ นเรียกวา่ ภาเวตพั พธรรม และ วชิ ชาภาคิยธรรม ในคมั ภีร์สมยั หลงั เรียกวา่ กรรมฐาน (อารมณ์เป็ นที่ต้ังแห่งงานเจริ ญภาวนาที่ต้ังแห่งงานทาความเพียร ฝึ กอบรมจิตวิธีฝึ กอบรมจิต (Kammatthana: stations of mental exercises; mental exercise,) ความหมาย คาวา่ “ภาวนา ๔” (๒๕๕๓:๗๐) การเจริญ การทาใหเ้ ป็ นให้มีข้ึน การฝึ กอบรม การ พฒั นา (Bhavana:growth; cultivation; training, development) ประกอบดว้ ย ๑. กายภาวนา หมายถึง การ เจริญกาย พฒั นากาย การฝึ กอบรมกาย ให้รู้จกั ติดต่อเก่ียวขอ้ งกบั สิ่งท้งั หลายภายนอกทางอินทรียท์ ้งั ห้า ดว้ ยดี และปฏิบตั ิต่อสิ่งเหล่าน้นั ในทางท่ีเป็ นคุณ มิให้เกิดโทษ ใหก้ ุศลธรรมงอกงาม ใหอ้ กุศลธรรมเสื่อม สูญ, การพฒั นาความสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ (Kaya-bhavana: physical development) ๒.สีล ภาวนา หมายถึง การเจริญศีล พฒั นาความประพฤติ การฝึ กอบรมศีล ให้ต้งั อยู่ในระเบียบวินัย ไม่ เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกบั ผูอ้ ่ืนได้ดว้ ยดี เก้ือกูลแก่กนั (Silabhāvanā: moral development) ๓.จิตตภาวนา หมายถึง การเจริญจิต พฒั นาจิต การฝึกอบรมจิตใจ ใหเ้ ขม้ แขง็ มน่ั คง เจริญ งอกงาม ดว้ ยคุณธรรมท้งั หลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีฉนั ทะ ขยนั หมน่ั เพียร อดทน มีสมาธิ และสดชื่น เบิก บาน เป็ นสุขผ่องใส เป็ นตน้ (Cita-bhavana: cultivation of the heart, emotional development) ๔. ปัญญา ภาวนา หมายถึง การเจริญปัญญา พฒั นาปัญญา การฝึ กอบรมปัญญา ใหร้ ู้เขา้ ใจสิ่งท้งั หลายตามเป็ นจริง รู้เท่าทนั เห็นแจง้ โลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทาจิตใจให้เป็ นอิสระ ทาตนให้บริสุทธ์ิจากกิเลสและ ปลอดพน้ จากความทุกข์ แกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดข้ึนไดด้ ้วยปัญญา (Paññā-bhāvanā: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom development)

๑๒ แนวคดิ ทฤษฎี เกยี่ วกบั “มหาสตปิ ัฏฐาน ๔” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต)๒ (๒๕๕๓:๑๔๑) ใหค้ วามหมาย สติปัฏฐาน ๔ (ที่ต้งั ของสติ การต้งั สติกาหนดพิจารณาสิ่งท้งั หลายให้รู้เห็นตามความเป็ นจริง คือ ตามที่ส่ิงน้นั ๆ มนั เป็ นของมนั เอง (Foundations of mindfulness) ประกอบดว้ ย ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การต้งั สติกาหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็นตามเป็ นจริ ง ว่า เป็ นเพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (Contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ท่านจาแนกปฏิบตั ิไวห้ ลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กาหนดลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กาหนดรู้ทนั อิริยาบถ ๑ สัมปชญั ญะ สร้างสัมปชญั ญะในการกระทาความเคล่ือนไหวทุกอยา่ ง ๑ ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอนั ไม่สะอาดท้งั หลายท่ีประชุมเขา้ เป็ นร่างกายน้ี ๑ ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักวา่ เป็ นธาตุแต่ละอยา่ งๆ ๑ นวสีวถิกา พิจารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ อนั แปลกกนั ไปใน ๙ ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผูอ้ ่ืนเช่นใด ของตนก็จกั เป็ นเช่นน้นั ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การต้งั สติกาหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็ นจริงว่า เป็ นแต่เพียง เวทนา ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มี สติรู้ชัดเวทนาอนั เป็ นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ท้งั ท่ีเป็ นสามิส และเป็ นนิรามิสตามที่เป็ นไปอยู่ใน ขณะน้นั ๆ ๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การต้งั สติกาหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็ นจริงวา่ เป็ นแต่ เพียงจิต ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of mind; mindfulness as regards thoughts) คือ มี สติรู้ชดั จิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผว้ ฟุ้งซ่านหรือเป็ นสมาธิ ฯลฯ อยา่ งไรๆ ตามท่ีเป็ นไปอยใู่ นขณะน้นั ๆ ๔.ธัมมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (การต้งั สติกาหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็ นจริงว่า เป็ นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตวั ตนเราเขา (Contemplation of mind-objects; mindfulness as regards ideas) คือ มีสติรู้ชดั ธรรมท้งั หลาย ไดแ้ ก่ นิวรณ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไร เป็ นอยา่ งไร มีในตนหรือไม่ เกิดข้ึน เจริญ บริบูรณ์ และดบั ไปไดอ้ ยา่ งไร เป็นตน้ ตามท่ีเป็นจริงของมนั อยา่ งน้นั ๆ. สุชีพ ปญุ ญานุภาพ๓ (๒๕๕๐:๓๓๖)กล่าวถึง มหาสติปัฏฐานสูตร สูตรวา่ ดว้ ยการต้งั สติอยา่ งใหญ่ พระผูม้ ีพระภาคประทบั ณ นิคม ช่ือกมั มาธมั มะ แควน้ กุรุ ตรัสสอนพระภิกษุท้งั หลายวา่ หนทางเป็ นที่ไป อนั เอกเพ่ือความบริสุทธ์ิของสัตว์ เพ่ือก้าวล่วงความโศก ความคร่าครวญ เพ่ือให้ความทุกข์กายทุกขใ์ จ ต้งั อยูไ่ ม่ได้ เพื่อบรรลุธรรมท่ีถูกตอ้ ง เพื่อทาให้แจง้ พระนิพพาน คือ การต้งั สติ ๔ อย่างไดแ้ ก่ ๑)ต้งั สติ พิจารณากายในกาย (กายส่วนยอ่ ยในกายส่วนใหญ่) ๒)ต้งั สติพิจารณาเวทนาในเวทนา(ความรู้สึกอารมณ์ ส่วนยอ่ ยในความรู้สึกอารมณ์ส่วนใหญ่) ๓)ต้งั สติกาหนดพิจารณาจิตในจิต (จิตส่วนยอ่ ยในจิตส่วนใหญ่ ๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). ๒๕๕๓. พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม.พิมพค์ ร้ังท่ี ๑๘ . โรงพิมพเ์ พ่มิ ทรัพยก์ ารพิมพ.์ นนทบุรี. ๓ สุชีพ ปุญญานุภาพ. ๒๕๕๐.พระไตรปิ ฏกสาหรับประชาชน .โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๗ . กรุงเทพ .

๑๓ คือ จิตดวงใดดวงหน่ึง ในจิตท่ีเกิดข้ึนดบั ไปมากดวง) ๔)ต้งั สติกาหนดพิจารณาธรรมในธรรม (ธรรม ส่วนยอ่ ยในธรรมส่วนใหญ่) ดงั ต่อไปน้ี ๑) การพจิ ารณากายในกาย แบ่งเป็น ๖ ส่วน ๑)พิจารณากาหนดลม หายใจเขา้ ออก(อานาปานบรรพ) ๒) พิจารณาอิริยาบถ เช่น ยนื เดิน นง่ั นอน (อิริยาปนบรรพ) ๓)พิจารณา รู้ตวั ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น ก้าวไป ก้าวมา คู้แขน เหยียดแขน กิน ดื่ม (สัมปชัญญบรรพ) ๔) พิจารณาในความน่าเกลียดของร่างกาย แบ่งออกเป็ นส่วนยอ่ ยต่างๆ มี ผม ขน (ปฏิกูลมนสิการบรรพ) ๕) พิจารณาร่างกายโดยความเป็ นธาตุ (ธาตุบรรพ) ๖) พิจารณาร่างกายท่ีเป็ นศพ ลักษณะต่างๆ ๙ อย่าง (นวสีวถิกาบรรพ) ๒) การพิจารณาเวทนา (ความรู้สึกอารมณ์) ๙ อยา่ ง แบ่งเป็ น ๑.สุข ๒.ทุกข์ ๓.ไม่ทุกข์ ไม่สุข ๔.สุขประกอบดว้ ยอามิส(เหยื่อล่อมีรูป เสียง ) ๕.สุขไม่ประกอบดว้ ยอามิส ๖.ทุกข์ประกอบดว้ ย อามิส ๗.ทุกขไ์ ม่ประกอบดว้ ยอามิส ๘.ไมท่ ุกขไ์ มส่ ุขประกอบดว้ ยอามิส ๙.ไมท่ ุกขไ์ ม่สุขไม่ประกอบดว้ ย อามิส ๓) การพิจารณาจิต ๑๖ อย่างแบ่งเป็ น ๑.จิตมีราคะ ๒.จิตปราศจากราคะ ๓.จิตมีโทสะ ๔.จิต ปราศจากโทสะ ๕.จิตมีโมหะ ๖.จิตปราศจากโมหะ ๗.จิตหดหู่ ๘.จิตฟุ้งซ่าน ๙.จิตใหญ่(จิตในฌาน) ๑๐. จิตไม่ใหญ่(จิตไม่ถึงฌาน) ๑๑.จิตมีจิตอื่นยิ่งกวา่ ๑๒.จิตไม่มีจิตอ่ืนยงิ่ กวา่ ๑๓.จิตต้งั มน่ั ๑๔.จิตไม่ต้งั มน่ั ๑๕.จิตหลุดพน้ ๑๖.จิตไม่หลุดพน้ ๔) การพิจารณาธรรมในธรรม ๕ ส่วน แบ่งเป็ น ๑)พิจารณาธรรมที่ กล้นั จิตไม่ให้บรรลุสมาธิ เรียกว่า นิวรณ์ ๕ (นีรวรรณบรรพ) ๒)พิจารณาขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ (ขนั ธบรรพ) ๓) พจิ ารณาอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะบรรพ) ๔) พิจารณาธรรมท่ีเป็ นองคแ์ ห่งการตรัสรู้ ๗ เรียกวา่ โพชฌงค์ (โพชฌงคบ์ รรพ) ๕) พิจารณาอริยสัจ ๔ (สัจ จบรรพ) อน่ึงการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ท้งั ส่ีขอ้ น้ี นอกจากมีรายการพิเศษดงั กล่าวมาแล้วยงั มี รายการพิจารณาที่ตรงกนั อีก ๖ ประการ คือ ๑)ทอี่ ย่ภู ายใน ๒)ทอ่ี ยู่ภายนอก ๓)ทอี่ ย่ทู ้งั ภายในภายนอก ๔)ที่ มีความเกิดขึน้ เป็ นธรรมดา ๕)ท่ีมีความเสื่อมไปเป็ นธรรมดา ๖)ทม่ี ีความเกดิ ขึน้ และเส่ือมไปเป็ นธรรมดา ๕)อานิสงส์สติปัฏฐาน คร้ันแล้วทรงสรุปผลการปฏิบตั ิ ในการต้งั สติ ๔ อย่างน้ีว่า จะเป็ นเหตุให้ได้ บรรลุผลอย่างใดอย่างหน่ึง คือ บรรลุอรหัตผลในปัจจุบนั ถา้ ยงั มีเช้ือเหลือ ก็จะไดบ้ รรลุความเป็ นพระ อนาคามี (ผไู้ ม่กลบั มาเกิดอีกในโลกน้ีอีก) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงโดยลาดบั ถึงภายใน ๗ วนั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๔ (๒๕๓๙ : ๓๐๑-๓๔๐) มหาสติปัฏฐาน ๔ เน้ือหาจาก พระไตรปิ ฏกภาษาไทยฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั พระสุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๙.มหา สติปัฏฐานสูตร] ที.ม. เล่มที่ ๑๐ ขอ้ ๓๗๒ ถึง ขอ้ ๔๐๕ จากพระสูตรไดบ้ ญั ญตั ิ วา่ [๓๗๒] ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาอยา่ งน้ี สมยั หน่ึง พระผมู้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ นิคมของชาวกรุ ุ ช่ือกมั มาสธมั มะ แควน้ กรุ ุ ณ ทน่ี ้นั แล พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั เรียกภกิ ษทุ ้งั หลายมาตรสั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย” ภกิ ษุ เหล่าน้นั ทูลรับสนองพระดารัสแลว้ พระผมู้ ีพระภาคจึงไดต้ รัสเร่ืองน้ีวา่ ๔ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๓๙.พระไตรปิ ฎกภาษาไทย. ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระ สุตตนั ตปิ ฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค [๙.มหาสตปิ ัฏฐานสูตร] ท.ี ม.เล่มที่ ๑๐ ข้อ ๓๗๒ ถงึ ๔๐๕ . เฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,

๑๔ [๓๗๓] “ภิกษุท้งั หลาย ทางนี้เป็ นทางเดียว เพื่อความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์เพื่อล่วงโสกะและ ปริเทวะเพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุญายธรรม๔ เพ่ือทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ อะไรบา้ ง คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑.พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ เพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๒.พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลาย อยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๓.พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มี ความเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มีสติกาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๔.พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย อยู่ มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะมีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ กายานุปัสสนา (การพจิ ารณากาย) หมวดลมหายใจเข้าออก [๓๗๔] ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ีไปสู่ป่ าก็ดี ไปสู่โคนไมก้ ็ ดี ไปสู่เรือนว่าง ก็ดี นง่ั คูบ้ ลั ลงั ก์ ต้งั กายตรง ดารงสติไวเ้ ฉพาะหน้า มีสติหายใจเขา้ มีสติหายใจออกเมื่อ หายใจเขา้ ยาว ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจเขา้ ยาว’ เม่ือหายใจออกยาว ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจออกยาว’ เม่ือหายใจเขา้ ส้ัน กร็ ู้ชดั วา่ ‘เราหายใจเขา้ ส้ัน’ เม่ือหายใจออกส้นั กร็ ู้ชดั วา่ ‘เราหายใจออกส้นั ’ สาเหนียกวา่ ‘เรากาหนด รู้กองลมท้งั ปวง หายใจเขา้ ’ สาเหนียกวา่ ‘เรากาหนดรู้กองลมท้งั ปวง หายใจออก’ สาเหนียกวา่ ‘เราระงบั กายสังขาร หายใจเขา้ ’ สาเหนียกวา่ ‘เราระงบั กายสังขาร หายใจออก’ ภิกษุท้งั หลาย ช่างกลึง หรือลูกมือ ช่างกลึงผมู้ ีความชานาญ เมื่อชกั เชือกยาว ก็รู้ชดั วา่ ‘เราชกั เชือกยาว’ เมื่อชกั เชือกส้ัน ก็รู้ชดั วา่ ‘เราชกั เชือก ส้ัน’ แมฉ้ นั ใด ภิกษุก็ฉนั น้นั เหมือนกนั เมื่อหายใจเขา้ ยาว ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจเขา้ ยาว’ เม่ือหายใจออก ยาว ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจออกยาว’ เมื่อหายใจเขา้ ส้ัน ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจเขา้ ส้ัน’ เม่ือหายใจออกส้นั ก็รู้ชดั วา่ ‘เราหายใจออกส้นั ’ สาเหนียกวา่ ‘เรากาหนดรู้กองลมท้งั ปวง หายใจเขา้ ’ สาเหนียกวา่ ‘เรากาหนดรู้กอง ลมท้งั ปวง หายใจออก’ สาเหนียกวา่ ‘เราระงบั กายสังขาร หายใจเขา้ ’ สาเหนียกวา่ ‘เราระงบั กายสังขาร หายใจออก‘ ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกอยู่ หรือ พิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิด (แห่งลมหายใจ) ในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั (แห่งลมหายใจ) ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรม เป็ นเหตุดบั (แห่งลมหายใจ) ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอยู’ ก็เพียงเพ่อื อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมน่ั อะไรๆในโลก ภิกษุ ท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยอู่ ยา่ งน้ีแล หมวดอริ ิยาบถ [๓๗๕] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชดั วา่ ‘เราเดิน’ เมื่อยนื กร็ ู้ชดั วา่ ‘เรายนื ’ เมื่อนงั่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘เรานง่ั ’ หรือเม่ือนอน กร็ ู้ชดั วา่ ‘เรานอน’ ภิกษุน้นั เมื่อดารงกายอยโู่ ดยอาการใด ๆ ก็รู้ชดั กายท่ีดารงอยโู่ ดยอาการน้นั ๆ ดว้ ยวธิ ีน้ี ภิกษุยอ่ มพจิ ารณาเห็นกายในกายภายใน อยู่ พิจารณาเห็นกายใน กายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกาย อยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ใน

๑๕ กายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู่ ก็เพยี งเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ มนั่ ถือมน่ั อะไรๆในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายใน กายอยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดสัมปชัญญะ [๓๗๖] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุทาความรู้สึกตวั ในการกา้ วไป การถอยกลบั ทาความ รู้สึกตวั ในการแลดู การเหลียวดู ทาความรู้สึกตวั ในการคูเ้ ขา้ การเหยยี ดออก ทาความรู้สึกตวั ในการครอง สงั ฆาฏิ บาตร และจีวร ทาความรู้สึกตวั ในการฉนั การดื่ม การเค้ียว การลิ้ม ทาความรู้สึกตวั ในการถ่าย อุจจาระและปัสสาวะ ทาความรู้สึกตวั ในการเดิน การยนื การนง่ั การนอน การต่ืน การพดู การน่ิง ดว้ ยวธิ ี น้ี ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอก อยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกาย ท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณา เห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะ หนา้ วา่ ‘การมีอย’ู่ ก็เพยี งเพ่อื อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเทา่ น้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มนั่ ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดมนสิการสิ่งปฏิกูล [๓๗๗] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุ พจิ ารณาเหน็ กายนี้ ต้งั แต่ฝ่ าเท้าขนึ้ ไปเบื้องบน ต้ังแต่ ปลายผมลงมาเบื้องล่าง มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยสิ่งทไี่ ม่สะอาดชนิดต่าง ๆ ว่า ‘ในกายน้ี มีผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เน้ือ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดูก ไต หวั ใจ ตบั พงั ผดื มา้ ม ปอด ลาไส้ใหญ่ ลาไส้เล็ก อาหาร ใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มนั ขน้ น้าตา เปลวมนั น้าลาย น้ามูก ไขขอ้ มูตร’ ภิกษุท้งั หลาย ถุงมีปาก ๒ ขา้ ง เต็มไปดว้ ยธญั พืชชนิดต่างๆ คือ ขา้ วสาลี ขา้ วเปลือก ถวั่ เขียว ถวั่ เหลือง เมล็ดงา ขา้ วสาร คนตาดีเปิ ดถุงยาวน้นั ออก พิจารณาเห็นวา่ ‘น้ีเป็ นขา้ วสาลี น้ีเป็ นขา้ วเปลือก น้ีเป็ นถว่ั เขียว น้ีเป็ นถว่ั เหลือง น้ีเป็นเมลด็ งา น้ีเป็นขา้ วสาร’ แมฉ้ นั ใด ภิกษุก็ฉนั น้นั เหมือนกนั พิจารณาเห็นกายน้ี ต้งั แตฝ่ ่ าเทา้ ข้ึนไปเบ้ือง บน ต้งั แต่ปลายผมลงมาเบ้ืองล่าง มีหนงั หุม้ อยโู่ ดยรอบ เต็มไปดว้ ยส่ิงที่ไม่สะอาดชนิด ต่าง ๆ วา่ ‘ในกาย น้ี มีผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เน้ือ เอน็ กระดูก เยอ่ื ในกระดูก ไต หวั ใจ ตบั พงั ผืด มา้ ม ปอด ลาไส้ใหญ่ ลาไส้ เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มนั ขน้ น้าตา เปลวมนั น้าลาย น้ามูก ไขขอ้ มูตร’ ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอก อยู่ หรือพิจารณาเห็น กายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือว่า ภิกษุน้ัน มีสติ ปรากฏอยูเ่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอยู’่ ก็เพียงเพื่ออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ มน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดมนสิการธาตุ [๓๗๘] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นกายน้ีตามที่ต้งั อยตู่ ามท่ีดารงอยโู่ ดยความ เป็นธาตุวา่ ‘ในกายนี้ มีธาตุดิน ธาตุนา้ ธาตุไฟ ธาตุลมอยู่’ ภิกษุท้งั หลาย คนฆา่ โคหรือลูกมือของคนฆ่าโค

๑๖ ผมู้ ีความชานาญ คร้ันฆ่าโคแลว้ แบ่งอวยั วะออกเป็ นส่วนๆ นงั่ อยูท่ ี่หนทางใหญ่ส่ีแพร่ง แมฉ้ นั ใด ภิกษุก็ ฉนั น้นั เหมือนกนั พิจารณาเห็นกายน้ีตามท่ีต้งั อยู่ ตามที่ดารงอยู่ โดยความเป็ นธาตุวา่ ‘ในกายน้ี มีธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลมอยู่’ ด้วยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกอยู่ หรือพจิ ารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรม เป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพจิ ารณาเห็น ท้งั ธรรมเป็นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกาย อยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู่ กเ็ พียงเพอื่ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเทา่ น้นั ไม่ อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ มน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย อยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดป่ าช้า ๙ หมวด [๓๗๙] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ๑.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ ซ่ึงตายแลว้ ๑ วนั ตายแลว้ ๒ วนั หรือตายแลว้ ๓ วนั เป็นศพข้ึนอืด ศพเขียวคล้า ศพมีน้าเหลืองเยมิ้ แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากาย น้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไมล่ ่วงพน้ ความเป็นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือ พิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็น ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า ‘กายมีอยู’ ก็เพียงเพื่ออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้ัน ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ)อยู่ และไม่ยึดมนั่ ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๒.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิง้ ไวใ้ นป่ าชา้ ซ่ึงถูกกาจิกกิน นกตะกรุมจิกกิน แร้งท้ึงกิน สุนขั กดั กิน สุนขั จิ้งจอกกดั กิน หรือสตั วเ์ ล็กๆหลายชนิดกดั กินอยู่ แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบให้เห็น วา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอย่างน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็ นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะ หนา้ วา่ ‘กายมีอยู’่ ก็เพียงเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ)อยู่ และไม่ยดึ มน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๓.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขา ทิ้งไวใ้ นป่ าช้า เป็ นโครงกระดูกยงั มีเน้ือและเลือด มีเอ็นรึงรัดอยู่ แม้ฉันใด ภิกษุน้ันนากายน้ีเข้าไป เปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็ นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณา เห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ น เหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มี สติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า‘กายมีอยู’ ก็เพียงเพ่ืออาศัยเจริญญาณ เจริญสติเท่าน้ัน ไม่อาศยั (ตัณหา และทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มนั่ ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๔.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ เป็ นโครงกระดูกไม่มีเน้ือแต่ยงั มีเลือดเป้ื อนเปรอะ มีเอน็ รึงรัดอยู่

๑๗ แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ ล่วงพน้ ความเป็ นอย่างน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็น กายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุ เกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็น เหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู กเ็ พียงเพอ่ื อาศยั เจริญญาณ เจริญ สติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมนั่ ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณา เห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๕.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ เป็นโครงกระดูกไม่มีเลือดและเน้ือ แต่ยงั มีเอ็นรึงรัดอยู่ แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มี ลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวธิ ีน้ี ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายภายใน อยู่ พจิ ารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเห็น ธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพจิ ารณาเห็นท้งั ธรรมเป็นเหตุเกิด ท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหนา้ ว่า ‘กายมีอยู่’ ก็เพียงเพื่ออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มนั่ ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๖.ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ เป็ นโครงกระดูกไมม่ ี เอ็นรึงรัดแลว้ กระจุยกระจายไปในทิศใหญ่ ทิศเฉียง คือ กระดูกมืออยูท่ างทิศหน่ึง กระดูกเทา้ อยูท่ างทิศ หน่ึง กระดูกแขง้ อยทู่ างทิศหน่ึง กระดูกขาอยทู่ างทิศหน่ึง กระดูกสะเอวอยูท่ างทิศหน่ึง กระดูกหลงั อยูท่ าง ทิศหน่ึง กระดูกซ่ีโครงอยูท่ างทิศหน่ึงกระดูกหน้าอกอยูท่ างทิศหน่ึง กระดูกแขนอยูท่ างทิศหน่ึงกระดูก ไหล่อยู่ทางทิศหน่ึง กระดูกคออยู่ทางทิศหน่ึง กระดูกคางอยู่ทางทิศหน่ึง กระดูกฟันอยู่ทางทิศหน่ึง กะโหลกศีรษะอยทู่ างทิศหน่ึง แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพ อยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวธิ ีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายใน กายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอยู’ ก็ เพียงเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ใน โลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๗. ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ ซ่ึงเป็ นท่อนกระดูกสีขาวเหมือนสีสังข์ แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบใหเ้ ห็นวา่ ‘ถึงกายน้ีก็ มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็ นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณา เห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณา เห็นท้งั ธรรมเป็นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กาย มีอย’ู่ ก็เพยี งเพอ่ื อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเทา่ น้นั ไมอ่ าศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ มน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๘. ภิกษุเห็นซากศพอนั เขาทิ้งไวใ้ นป่ า ชา้ ซ่ึงเป็ นท่อนกระดูกกองอยูด่ ว้ ยกนั เกินกวา่ ๑ ปี แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบให้เห็นวา่

๑๘ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอยา่ งน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็นอยา่ งน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวธิ ีน้ี ภิกษุ พิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะ หนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพอ่ื อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไมอ่ าศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มน่ั ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล ๙. ภิกษุเห็นซากศพอนั เขา ทิง้ ไวใ้ นป่ าชา้ ซ่ึงเป็นกระดูกผปุ ่ นเป็นชิ้นเลก็ ชิ้นนอ้ ย แมฉ้ นั ใด ภิกษุน้นั นากายน้ีเขา้ ไปเปรียบเทียบให้เห็น วา่ ‘ถึงกายน้ีก็มีสภาพอยา่ งน้นั มีลกั ษณะอย่างน้นั ไม่ล่วงพน้ ความเป็ นอย่างน้นั ไปได’้ ฉนั น้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือพจิ ารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะ หนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งน้ีแล เวทนานุปัสสนา (การพจิ ารณาเวทนา) [๓๘๐] ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี เมื่อเสวย สุขเวทนา กร็ ู้ชดั วา่ ‘เราเสวยสุขเวทนา’ เม่ือเสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชดั วา่ ‘เราเสวยทุกขเวทนา’ เมื่อเสวยอทุก ขมสุขเวทนา ก็รู้ชดั ว่า ‘เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา’ เม่ือเสวยสุขเวทนาท่ีมีอามิส ก็รู้ชัดว่า ‘เราเสวยสุข เวทนาที่มีอามิส’ เม่ือเสวยสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ก็รู้ชดั ว่า ‘เราเสวยสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส’ เม่ือเสวย ทุกขเวทนาท่ีมีอามิส ก็รู้ชดั ว่า ‘เราเสวยทุกขเวทนาท่ีมีอามิส’ เม่ือเสวยทุกขเวทนาท่ีไม่มีอามิส ก็รู้ชดั วา่ ‘เราเสวยทุกขเวทนาท่ีไม่มีอามิส’ เม่ือเสวยอทุกขมสุขเวทนาที่มีอามิส กร็ ู้ชดั วา่ ‘เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา ท่ีมีอามิส’ เม่ือเสวยอทุกขมสุขเวทนาที่ไม่มีอามิส ก็รู้ชดั วา่ ‘เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาท่ีไม่มีอามิส’ ดว้ ย วิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายภายนอก อยู่ หรือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดใน เวทนาท้งั หลายอยูพ่ ิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในเวทนาท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุ เกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในเวทนาท้งั หลายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘เวทนามีอย’ู่ ก็ เพียงเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมน่ั อะไรๆ ใน โลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ อยา่ งน้ีแล จิตตานุปัสสนา (การพจิ ารณาจิต) [๓๘๑] ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี จิตมีราคะ ก็รู้ชดั ว่า ‘จิตมี ราคะ’ จิตปราศจากราคะ กร็ ู้ชดั วา่ ‘จิตปราศจากราคะ’ จิตมีโทสะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตมีโทสะ’ จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตปราศจากโทสะ’ จิตมีโมหะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตมีโมหะ’ จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตปราศจาก

๑๙ โมหะ’ จิตหดหู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตหดหู่’ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตฟุ้งซ่าน’ จิตเป็ นมหคั คตะ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตเป็ น มหัคคตะ’ จิตไม่เป็ นมหคั คตะ ก็รู้ชดั ว่า ‘จิตไม่เป็ นมหคั คตะ’ จิตมีจิตอ่ืนย่ิงกว่า ก็รู้ชดั ว่า ‘จิตมีจิตอ่ืนย่ิง กวา่ ’ จิตไม่มีจิตอื่นยง่ิ กวา่ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกวา่ ’ จิตเป็ นสมาธิ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตเป็ นสมาธิ’ จิตไม่ เป็ นสมาธิ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตไม่เป็ นสมาธิ’ จิตหลุดพน้ แลว้ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตหลุดพน้ แลว้ ’ จิตไม่หลุดพน้ ก็รู้ชดั วา่ ‘จิตไม่หลุดพน้ ’ ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกอยู่ หรือ พิจารณาเห็นจิตในจิตท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรม เป็นเหตุดบั ในจิตอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในจิตอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มี สติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘จิตมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเทา่ น้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มนั่ ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ อยา่ งน้ีแล ธัมมานุปัสสนา (การพจิ ารณาธรรม) หมวดนิวรณ์ [๓๘๒] ภิกษุพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่ อยา่ งไรคือ ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี พจิ ารณาเห็น ธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ นิวรณ์ ๕ อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ นิวรณ์ ๕ อยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑.เมื่อกามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม) ภายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘กามฉนั ทะ ภายในของเรามีอยู’่ หรือเมื่อกามฉันทะภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั ว่า ‘กามฉนั ทะภายในของเราไม่มีอยู่’ การ เกิดข้ึนแห่งกามฉนั ทะท่ียงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละกามฉนั ทะท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ย เหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และกามฉันทะท่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีกดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๒.เม่ือ พยาบาท (ความคิดร้าย) ภายในมีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘พยาบาทภายในของเรามีอย’ู่ หรือเมื่อพยาบาทภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘พยาบาทภายในของเราไม่มีอยู’่ การเกิดข้ึนแห่งพยาบาทท่ียงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุ น้นั การละพยาบาทที่เกิดข้ึนแล้วมีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้ัน และพยาบาทที่ละไดแ้ ล้ว จะไม่เกิดข้ึน ต่อไปอีกดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๓.เม่ือถีนมิทธะ(ความหดหู่และเซื่องซึม) ภายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘ถีน มิทธะภายในของเรามีอยู’่ หรือเมื่อถีนมิทธะภายในไม่มีอยูก่ ร็ ู้ชดั วา่ ‘ถีนมิทธะภายในของเราไม่มีอยู’่ การ เกิดข้ึนแห่งถีนมิทธะท่ียงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละถีนมิทธะท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ย เหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และถีนมิทธะท่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีกดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๔.เมื่อ อุทธจั จกุกกุจจะ(ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)ภายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘อุทธจั จกุกกุจจะภายในของเรามีอยู’่ หรือ เม่ืออุทธจั จกกุ กุจจะภายในไม่มีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘อุทธจั จกกุ กจุ จะภายในของเราไมม่ ีอย’ู่ การเกิดข้ึนแห่งอุทธจั จ กกุ กจุ จะที่ยงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใดก็รู้ชดั เหตุน้นั การละอุทธจั จกกุ กจุ จะที่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็ รู้ชดั เหตุน้ัน และอุทธัจจกุกกุจจะที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีกด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้นั ๕.เมื่อ วจิ ิกิจฉา (ความลงั เลสงสัย) ภายในมีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘วจิ ิกิจฉาภายในของเรามีอย’ู่ หรือเมื่อวจิ ิกิจฉาภายในไม่มี อยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘วจิ ิกิจฉาภายในของเราไม่มีอยู่’ การเกิดข้ึนแห่งวจิ ิกิจฉาท่ียงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละวจิ ิกิจฉาที่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และวจิ ิกิจฉาท่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึน ต่อไปอีกดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายในอยู่ พิจารณา

๒๐ เห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมท้งั หลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือ พิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยู่ เฉพาะหนา้ วา่ ‘ธรรมมีอยู’่ ก็เพียงเพื่ออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และ ไม่ยึดมนั่ ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ นิวรณ์ ๕ อยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดขันธ์ [๓๘๓] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อุปาทานขนั ธ์ ๕ อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อุปาทานขนั ธ์ ๕ อยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อุปาทานขนั ธ์ ๕อยูว่ ่า ๑.‘รูปเป็ นอยา่ งน้ี ความเกิดแห่งรูปเป็ น อย่างน้ี ความดบั แห่งรูปเป็ นอยา่ งน้ี ๒. เวทนาเป็ นอยา่ งน้ี ความเกิดแห่งเวทนาเป็ นอยา่ งน้ี ความดบั แห่ง เวทนาเป็ นอยา่ งน้ี ๓. สัญญาเป็ นอยา่ งน้ี ความเกิดแห่งสัญญาเป็ นอยา่ งน้ี ความดบั แห่งสัญญาเป็ นอยา่ งน้ี ๔. สังขารเป็ นอยา่ งน้ี ความเกิดแห่งสังขารเป็ นอย่างน้ี ความดบั แห่งสังขารเป็ นอย่างน้ี ๕. วิญญาณเป็ น อยา่ งน้ี ความเกิดแห่งวิญญาณเป็ นอยา่ งน้ี ความดบั แห่งวิญญาณเป็ นอย่างน้ี’ ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็น ธรรมในธรรมท้งั หลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมท้งั หลายอยู่ พจิ ารณาเห็น ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรม ท้งั หลายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘ธรรมมีอยู’่ ก็เพียงเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติ เท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมนั่ ถือมนั่ อะไรๆในโลกภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็น ธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อุปาทานขนั ธ์ ๕อยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดอายตนะ [๓๘๔] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อายตนะ ภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภายนอก ๖ อยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี ๑.รู้ชดั ตา รู้ชดั รูป สังโยชน์ใดอาศยั ตาและรูปท้งั สองน้นั เกิดข้ึนก็รู้ชดั สังโยชน์น้นั การเกิดข้ึนแห่งสังโยชน์ที่ยงั ไม่เกิดข้ึนมีได้ ดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละสังโยชน์ท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และสังโยชนท์ ่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีก มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๒. รู้ชดั หู รู้ชดั เสียง สังโยชน์ใดอาศยั หูและเสียงท้งั สองน้นั เกิดข้ึนก็รู้ชดั สงั โยชนน์ ้นั การเกิดข้ึนแห่งสังโยชนท์ ี่ยงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด กร็ ู้ชดั เหตุน้นั การละสังโยชนท์ ่ีเกิดข้ึน แลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และสังโยชน์ท่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีก มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๓.รู้ชดั จมูก รู้ชดั กล่ิน สังโยชน์ใดอาศยั จมูกและกล่ินท้งั สองน้ันเกิดข้ึน ก็รู้ชดั สังโยชน์น้นั การ เกิดข้ึนแห่งสังโยชน์ท่ียงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละสังโยชน์ท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ย เหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และสงั โยชนท์ ี่ละไดแ้ ลว้ จะไมเ่ กิดข้ึนต่อไปอีก มีไดด้ ว้ ยเหตุใด กร็ ู้ชดั เหตุน้นั ๔.รู้ชดั

๒๑ ลิ้น รู้ชดั รส สังโยชน์ใดอาศยั ลิ้นและรสท้งั สองน้นั เกิดข้ึนก็รู้ชดั สังโยชน์น้นั การเกิดข้ึนแห่งสังโยชน์ท่ียงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั การละสังโยชน์ที่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และ สังโยชน์ท่ีละได้แลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีก มีได้ดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้ัน ๕.รู้ชดั กาย รู้ชัดโผฏฐัพพะ สังโยชน์ใดอาศยั กายและโผฏฐพั พะท้งั สองน้นั เกิดข้ึน ก็รู้ชดั สังโยชน์น้นั การเกิดข้ึนแห่งสังโยชน์ท่ียงั ไม่ เกิดข้ึนมีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้ัน การละสังโยชน์ที่เกิดข้ึนแล้วมีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และ สังโยชน์ท่ีละไดแ้ ลว้ จะไม่เกิดข้ึนต่อไปอีก มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๖. รู้ชัดใจ รู้ชัดธรรมารมณ์ สังโยชน์ใดอาศยั ใจและธรรมารมณ์ท้งั สองน้นั เกิดข้ึน ก็รู้ชดั สังโยชน์น้นั การเกิดข้ึนแห่งสังโยชน์ท่ียงั ไม่ เกิดข้ึนมีไดด้ ้วยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้ัน การละสังโยชน์ท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้นั และ สังโยชน์ท่ีละไดแ้ ลว้ จะไมเ่ กิดข้ึนต่อไปอีก มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ดว้ ยวธิ ีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมท้งั หลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในธรรมท้งั หลายอยู่พิจารณาเห็น ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรม ท้งั หลายอยู่ หรือวา่ ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘ธรรมมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติ เท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมนั่ ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณา เห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อายตนะภายใน ๖และอายตนะภายนอก ๖ อยู่ อยา่ งน้ีแล หมวดโพชฌงค์ [๓๘๕] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่ ภิกษุพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี ๑.เมื่อสติ สัมโพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘สติสมั โพชฌงคภ์ ายในของเรามีอย’ู่ หรือเม่ือสติสัมโพชฌงคภ์ ายในไม่มี อยู่ ก็รู้ชดั ว่า ‘สติสัมโพชฌงคภ์ ายในของเราไม่มีอยู่’ การเกิดข้ึนแห่งสติสัมโพชฌงคท์ ี่ยงั ไม่เกิดข้ึน มีได้ ดว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งสติสัมโพชฌงคท์ ี่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๒. เมื่อธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘ธมั มวจิ ยสัมโพชฌงคภ์ ายในของเรามีอยู’่ หรือ เมื่อธมั มวิจยสมั โพชฌงคภ์ ายในไมม่ ีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘ธมั มวิจยสัมโพชฌงคภ์ ายในของเราไม่มีอย’ู่ การเกิดข้ึน แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยงั ไม่เกิดข้ึนมีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งธัมม วิจยสัมโพชฌงคท์ ี่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๓.เมื่อวิริยสัมโพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘วริ ิยสัมโพชฌงคภ์ ายในของเรามีอยู’่ หรือเม่ือวริ ิยสัมโพชฌงคภ์ ายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘วิริยสัมโพชฌงค์ ภายในของเราไม่มีอย’ู่ การเกิดข้ึนแห่งวิริยสัมโพชฌงคท์ ี่ยงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และ ความเจริญบริบูรณ์แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดข้ึนแล้ว มีได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดเหตุน้ัน ๔. เม่ือปี ติสัม โพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ ‘ปี ติสมั โพชฌงคภ์ ายในของเรามีอยู’่ หรือเม่ือปี ติสัมโพชฌงคภ์ ายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘ปี ติสัมโพชฌงคภ์ ายในของเราไม่มีอยู่’ การเกิดข้ึนแห่งปี ติสัมโพชฌงค์ท่ียงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ย เหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งปี ติสัมโพชฌงคท์ ่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุ น้นั ๕. เม่ือปัสสัทธิสัมโพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘ปัสสัทธิสัมโพชฌงคภ์ ายในของเรามีอยู’่ หรือเมื่อ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั ว่า ‘ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ภายในของเราไม่มีอยู่’ การเกิดข้ึน

๒๒ แห่งปัสสทั ธิสมั โพชฌงคท์ ่ียงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ท่ีเกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๖.เมื่อสมาธิสัมโพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘สมาธิสัมโพชฌงค์ภายในของเรามีอยู่’ หรือเม่ือสมาธิสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ก็รู้ชัดว่า ‘สมาธิสัม โพชฌงค์ภายในของเราไม่มีอยู่’ การเกิดข้ึนแห่งสมาธิสัมโพชฌงคท์ ี่ยงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งสมาธิสมั โพชฌงคท์ ี่เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ๗. เมื่อ อุเบกขาสัมโพชฌงคภ์ ายในมีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘อุเบกขาสัมโพชฌงคภ์ ายในของเรามีอยู’่ หรือเม่ืออุเบกขาสัม โพชฌงคภ์ ายในไม่มีอยู่ ก็รู้ชดั วา่ ‘อุเบกขาสัมโพชฌงคภ์ ายในของเราไม่มีอยู’่ การเกิดข้ึนแห่งอุเบกขาสัม โพชฌงคท์ ่ียงั ไม่เกิดข้ึน มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั และความเจริญบริบูรณ์แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ เกิดข้ึนแลว้ มีไดด้ ว้ ยเหตุใด ก็รู้ชดั เหตุน้นั ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุเกิดในธรรมท้งั หลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรม ท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือว่า ภิกษุ น้นั มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘ธรรมมีอยู’่ ก็เพียงเพ่ืออาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไม่อาศยั (ตณั หา และทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมน่ั ถือมนั่ อะไรๆในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ โพชฌงค์ ๗ อยอู่ ยา่ งน้ี หมวดสัจจะ [๓๘๖] ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อริยสจั ๔ อยู่ อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี รู้ชดั ตามความ เป็นจริงวา่ ‘น้ีทุกข’์ รู้ชดั ตามความเป็นจริงวา่ ‘น้ีทุกขสมุทยั ’ รู้ชดั ตามความเป็ นจริงวา่ ‘น้ีทุกขนิโรธ’ รู้ชดั ตามความเป็นจริงวา่ ‘น้ีทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ ทุกขสัจจนิทเทส [๓๘๗] ทุกขอริยสัจ เป็ นอยา่ งไร คือ ชาติ (ความเกิด) เป็ นทุกข์ ชรา (ความแก่) เป็ นทุกข์ มรณะ (ความตาย)เป็ นทุกข์ โสกะ (ความโศก) ปริเทวะ (ความคร่าครวญ) ทุกข์ (ความทุกขก์ าย)โทมนสั (ความ ทุกขใ์ จ) อุปายาส (ความคบั แคน้ ใจ) เป็นทุกข์ การประสบกบั อารมณ์อนั ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลดั พรากจากอารมณ์อนั เป็นท่ีรักเป็นทุกขก์ ารไม่ไดส้ ่ิงท่ีตอ้ งการเป็นทุกข์ โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์ [๓๘๘] ชาติ เป็นอยา่ งไร คือ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยง่ั ลง ความบงั เกิด ความบงั เกิด เฉพาะ ความปรากฏแห่งขนั ธ์ ความไดอ้ ายตนะ ในหมู่สัตวน์ ้นั ๆ ของเหล่าสตั วน์ ้นั ๆ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ชาติ [๓๘๙] ชรา เป็ นอยา่ งไร คือ ความแก่ ความคร่าคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนงั เห่ียวยน่ ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตวน์ ้นั ๆ ของเหล่าสตั วน์ ้นั ๆ ภิกษุท้งั หลาย น้ี เรียกวา่ ชรา [๓๙๐] มรณะ เป็ นอยา่ งไร คือ ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทาลายไป ความหายไป ความตาย กล่าวคือมฤตยู การทากาละ ความแตกแห่งขนั ธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่งชีวติ ินทรีย์ ในหมู่ สตั วน์ ้นั ๆ ของเหล่าสัตวน์ ้นั ๆ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ มรณะ

๒๓ [๓๙๑] โสกะ เป็นอยา่ งไร คือ ความเศร้าโศก กิริยาท่ีเศร้าโศก ภาวะที่เศร้าโศก ความแหง้ ผาก ภายในความแหง้ กรอบภายใน ของผปู้ ระกอบดว้ ยความเส่ือมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง (หรือ) ผทู้ ่ีถูกเหตุแห่งทุกข์ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกระทบภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ โสกะ [๓๙๒] ปริเทวะ เป็นอยา่ งไร คือ ความร้องไห้ ความคร่าครวญ กิริยาท่ีร้องไห้ กิริยาท่ีคร่าครวญ ภาวะท่ีร้องไห้ ภาวะที่คร่าครวญ ของผปู้ ระกอบดว้ ยความเส่ือมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง (หรือ)ผทู้ ่ีถูกเหตุแห่ง ทุกขอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกระทบ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ปริเทวะ [๓๙๓] ทุกข์ เป็นอยา่ งไร คือ ความทุกขท์ างกาย ความไมส่ าราญทางกาย ความเสวยอารมณ์ท่ีไม่ สาราญ เป็ นทุกข์ อนั เกิดจากกายสัมผสั ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ทุกข์ [๓๙๔] โทมนสั เป็นอยา่ งไร คือ ความทุกขท์ างใจ ความไมส่ าราญทางใจ ความเสวยอารมณ์ท่ีไม่ สาราญเป็ นทุกขอ์ นั เกิดจากมโนสมั ผสั ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ โทมนสั [๓๙๕] อุปายาส เป็นอยา่ งไร คือ ความแคน้ ความคบั แคน้ ภาวะท่ีแคน้ ภาวะที่คบั แคน้ ของผู้ ประกอบดว้ ยความเส่ือมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง (หรือ) ผทู้ ่ีถูกเหตุแห่งทุกขอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงกระทบ ภิกษุ ท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ อุปายาส [๓๙๖] การประสบกบั อารมณ์อนั ไม่เป็ นท่ีรักเป็ นทุกข์ เป็ นอยา่ งไร คือ การไปร่วม การมาร่วม การประชุมร่วม การอยูร่ ่วมกบั อารมณ์อนั ไม่เป็ นท่ีปรารถนา ไม่เป็ นที่รักใคร่ ไม่เป็ นท่ีชอบใจของเขาใน โลกน้ี เช่น รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรือจากบุคคลผูป้ รารถนาแต่สิ่งท่ีไม่ใช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งท่ีไม่เก้ือกูล ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ผาสุก ปรารถนาแต่ส่ิงที่ไม่มีความเกษมจากโยคะของเขา ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ การประสบกบั อารมณ์อนั ไม่เป็นท่ีรักเป็นทุกข์ [๓๙๗] การพลดั พรากจากอารมณ์อนั เป็ นท่ีรักเป็ นทุกข์ เป็ นอย่างไร คือ การไม่ไปร่วม การไม่ มาร่วม การไม่ประชุมร่วม การไม่อยรู่ ่วมกบั อารมณ์อนั เป็ นท่ีปรารถนา เป็ นท่ีรักใคร่ เป็ นท่ีชอบใจของเขา ในโลกน้ี เช่น รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ หรือกบั บุคคลผูป้ รารถนาประโยชน์ ปรารถนา ความเก้ือกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษมจากโยคะของเขา เช่น มารดา บิดา พี่ชาย นอ้ งชาย พ่ีสาว นอ้ งสาว มิตร อามาตยห์ รือญาติสาโลหิต ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ การพลดั พรากจากอารมณ์อนั เป็น ที่รักเป็ นทุกข์ [๓๙๘] การไม่ไดส้ ิ่งที่ตอ้ งการเป็ นทุกข์ เป็ นอยา่ งไร คือ เหล่าสัตวผ์ มู้ ีความเกิดเป็ นธรรมดา เกิด ความปรารถนาข้ึนอยา่ งน้ีวา่ ‘ไฉนหนอ ขอเราอยา่ ไดม้ ีความเกิดเป็นธรรมดา หรือขอความเกิดอยา่ ไดม้ าถึง เราเลย’ ขอ้ น้ีไม่พึงสาเร็จไดต้ ามความปรารถนา ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ การไม่ไดส้ ่ิงท่ีตอ้ งการเป็ นทุกข์ เหล่าสัตวผ์ มู้ ีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสตั วผ์ มู้ ีความเจบ็ เป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตวผ์ มู้ ีความตายเป็ น ธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตวผ์ ูม้ ีความโศก ความคร่าครวญ ความทุกขก์ าย ความทุกขใ์ จและความคบั แคน้ ใจ เป็ นธรรมดา ต่างก็เกิดความปรารถนาข้ึนอย่างน้ีวา่ ‘ไฉนหนอขอเราอยา่ ได้เป็ นผูม้ ีความโศก ความคร่า ครวญ ความทุกขก์ าย ความทุกขใ์ จและความคบั แคน้ ใจเป็ นธรรมดาเลย และขอความโศก ความคร่าครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคบั แค้นใจ อย่าได้มาถึงเราเลย’ ขอ้ น้ีไม่พึงสาเร็จได้ตามความ ปรารถนา ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ การไมไ่ ดส้ ่ิงท่ีตอ้ งการเป็นทุกข์

๒๔ [๓๙๙] โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็ นทุกข์ เป็ นอยา่ งไร คือ รูปูปาทานขนั ธ์ (อุปาทานขนั ธ์คือรูป) เวทนูปาทานขนั ธ์ (อุปาทานขนั ธ์คือเวทนา) สัญญูปาทานขนั ธ์ (อุปาทานขนั ธ์คือสัญญา) สังขารูปาทาน ขนั ธ์ (อุปาทานขนั ธ์คือสังขาร) วิญญาณูปาทานขนั ธ์ (อุปาทานขนั ธ์คือวิญญาณ) ภิกษุท้งั หลาย เหล่าน้ี เรียกวา่ โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ทุกขอริยสจั สมุทยสัจจนิทเทส [๔๐๐] ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็ นอยา่ งไร คือ ตณั หาน้ีเป็ นเหตุเกิดข้ึนในภพใหม่ สหรคตดว้ ยความ กาหนดั ยินดี เป็ นเหตุเพลิดเพลินในอารมณ์น้นั ๆ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา ก็ตณั หาน้ีแหละ เมื่อเกิดข้ึน เกิดท่ีไหน เมื่อต้งั อยู่ ต้งั อยทู่ ี่ไหน คือ ปิ ยรูปสาตรูปใดมีอยูใ่ นโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด ก็เกิดที่ปิ ย รูปสาตรูปน้ีเมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีปิ ยรูปสาตรูปน้ี อะไรเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก คือ จกั ขเุ ป็นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิดที่จกั ขุน้ี เมื่อต้งั อยู่ก็ต้งั อยู่ที่จกั ขุน้ี โสตะเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานะ เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลกฯลฯ ชิวหาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ มโน เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด กเ็ กิดท่ีมโนน้ี เม่ือต้งั อยู่ กต็ ้งั อยทู่ ่ีมโนน้ี รูปเป็นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด กเ็ กิดท่ีรูปน้ี เมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีรูปน้ี เสียงเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กลิ่นเป็ นปิ ย รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พะเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธรรมารมณ์เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด กเ็ กิดท่ีธรรมารมณ์น้ี เมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ี่ธรรมารมณ์ น้ี จกั ขุวิญญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิดที่จกั ขุวิญญาณน้ี เม่ือต้งั อยูก่ ็ต้งั อยู่ท่ีจกั ขุ วิญญาณน้ี โสตวิญญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานวิญญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ชิวหา วญิ ญาณเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายวญิ ญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ มโนวญิ ญาณเป็นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิดที่มโนวิญญาณน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยูท่ ี่มโนวิญญาณน้ี จกั ขุสัมผสั เป็ น ปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด ก็เกิดท่ีจกั ขสุ ัมผสั น้ี เมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยูท่ ี่จกั ขสุ ัมผสั น้ี โสตสัมผสั เป็น ปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานสัมผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ชิวหาสมั ผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายสมั ผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ มโนสมั ผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิดที่ มโนสัมผสั น้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีมโนสัมผสั น้ี เวทนาท่ีเกิดจากจกั ขสุ ัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หา น้ีเมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาซ่ึงเกิดจากจกั ขุสัมผสั น้ี เมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยูท่ ี่เวทนาซ่ึงเกิดจากจกั ขสุ ัมผสั น้ีเวทนาท่ี เกิดจากโสตสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกิดจากฆานสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกิดจากชิวหาสมั ผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาที่เกิดจากกายสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาต รูปในโลก ฯลฯ เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาซ่ึงเกิด จากมโนสัมผสั น้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยู่ที่เวทนาซ่ึงเกิดจากมโนสัมผสั น้ี รูปสัญญา (ความกาหนดหมายรู้รูป) เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิดก็เกิดท่ีรูปสัญญาน้ี เม่ือต้งั อยู่ก็ต้งั อยูท่ ่ีรูปสัญญาน้ี สัททสัญญา เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธสัญญาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสสัญญาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ฯลฯ โผฏฐพั พสญั ญาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มสัญญาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือ เกิด กเ็ กิดที่ธมั มสญั ญาน้ี เม่ือต้งั อยู่ กต็ ้งั อยทู่ ่ีธมั มสัญญาน้ี รูปสญั เจตนา (ความจานงในรูป) เป็นปิ ยรูปสาต รูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิดก็เกิดที่รูปสัญเจตนาน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ี่รูปสัญเจตนาน้ี สัททสญั เจตนาเป็ นปิ ย

๒๕ รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ฯลฯ โผฏฐพั พสัญเจตนาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯธมั มสัญเจตนาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หา น้ีเมื่อเกิด ก็เกิดท่ีธมั มสัญเจตนาน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีธมั มสัญเจตนาน้ี รูปตณั หา (ความอยากไดร้ ูป) เป็ น ปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อเกิด ก็เกิดท่ีรูปตณั หาน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีรูปตณั หาน้ี สทั ทตณั หาเป็ นปิ ย รูปสาตรูปในโลกฯลฯ คนั ธตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลกฯลฯ โผฏฐพั พตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิด ท่ีธมั มตณั หาน้ี เม่ือต้งั อยู่ กต็ ้งั อยทู่ ่ีธมั มตณั หาน้ี รูปวติ ก (ความตรึกถึงรูป) เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หา น้ีเม่ือเกิดก็เกิดที่รูปวิตกน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยทู่ ่ีรูปวิตกน้ี สัททวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯคนั ธวิตก เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯโผฏฐพั พวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ฯลฯ ธมั มวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลกตัณหาน้ีเม่ือเกิด ก็เกิดท่ีธมั มวิตกน้ี เมื่อต้งั อยู่ ก็ต้งั อยูท่ ่ีธัมม วติ กน้ี รูปวจิ าร (ความตรองถึงรูป) เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือเกิดก็เกิดที่รูปวจิ ารน้ี เม่ือต้งั อยูก่ ็ ต้งั อยู่ท่ีรูปวิจารน้ี สัททวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯคนั ธวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รส วิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯโผฏฐพั พวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มวจิ ารเป็ นปิ ยรูปสาต รูปในโลกตณั หาน้ี เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิจารน้ี เม่ือต้งั อยู่ ก็ต้งั อยู่ท่ีธัมมวิจารน้ี ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ นิโรธสัจจนิทเทส [๔๐๑] ทุกขนิโรธอริยสจั เป็นอยา่ งไร คือ ความดบั กิเลสไม่เหลือดว้ ยวริ าคะ ความปล่อยวาง ความ สละคืน ความพน้ ความไม่ติด ก็ตณั หาน้ีเม่ือละ ละท่ีไหน เมื่อดบั ดบั ท่ีไหน คือ ปิ ยรูปสาตรูปใดมีอยูใ่ น โลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละที่ปิ ยรูปสาตรูปน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่ปิ ยรูปสาตรูปน้ี อะไรเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก คือ จกั ขุเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละที่จกั ขนุ ้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่จกั ขุน้ี โสตะเป็ นปิ ยรูปสาตรูปใน โลก ฯลฯ ฆานะเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯชิวหาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายเป็ นปิ ยรูปสาตรูป ในโลก ฯลฯ มโนเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ กล็ ะที่มโนน้ี เมื่อดบั กด็ บั ท่ีมโนน้ี รูปเป็นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ กล็ ะท่ีรูปน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ท่ีรูปน้ีเสียงเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กลิ่นเป็ น ปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พะเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธรรมารมณ์เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เมื่อละ ก็ละท่ีธรรมารมณ์น้ี เม่ือดบั กด็ บั ที่ธรรมารมณ์น้ี จกั ขุ วิญญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละท่ีจกั ขวุ ญิ ญาณน้ีเมื่อดบั ก็ดบั ที่จกั ขุวญิ ญาณน้ี โสต วญิ ญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานวญิ ญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ชิวหาวิญญาณเป็ นปิ ย รูปสาตรูปในโลกฯลฯ กายวญิ ญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ มโนวิญญาณเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เมื่อละ ก็ละท่ีมโนวิญญาณน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่มโนวิญญาณน้ี จกั ขุสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละที่จกั ขุสัมผสั น้ี เมื่อดบั ก็ดบั ท่ีจกั ขุสัมผสั น้ี โสตสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ฆานสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ชิวหาสมั ผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ กายสมั ผสั เป็นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ฯลฯ มโนสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เม่ือละก็ละที่มโนสัมผสั น้ี เม่ือดบั ก็ดบั ท่ีมโนสัมผสั น้ี เวทนาท่ีเกิดจากจกั ขุสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละท่ี เวทนาอนั เกิด

๒๖ จากจกั ขสุ ัมผสั น้ี เม่ือดบั กด็ บั ที่เวทนาอนั เกิดจากจกั ขสุ มั ผสั น้ีเวทนาท่ีเกิดจากโสตสมั ผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูป ในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกิดจากฆานสมั ผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาที่เกิดจากชิวหาสมั ผสั เป็นปิ ย รูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกิดจากกายสัมผสั เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ เวทนาท่ีเกิดจากมโน สมั ผสั เป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ กล็ ะท่ีเวทนาอนั เกิดจากมโนสมั ผสั น้ี เม่ือดบั กด็ บั ที่เวทนา อนั เกิดจากมโนสัมผสั น้ี รูปสญั ญาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อละ กล็ ะที่รูปสัญญาน้ี เมื่อดบั ก็ดบั ท่ีรูปสัญญาน้ี สัททสัญญาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธสัญญาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รส สัญญาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พสญั ญาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มสญั ญาเป็นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อละก็ละท่ีธมั มสัญญาน้ี เม่ือดบั กด็ บั ที่ธมั มสญั ญาน้ี รูปสัญเจตนาเป็นปิ ยรูปสาต รูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละที่รูปสัญเจตนาน้ีเม่ือดบั ก็ดบั ท่ีรูปสัญเจตนาน้ี สัททสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ฯลฯคนั ธสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มสัญเจตนาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เมื่อละ ก็ละท่ีธมั มสญั เจตนาน้ี เมื่อดบั กด็ บั ที่ธมั มสัญเจตนาน้ี รูปตณั หาเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ี เม่ือละ ก็ละที่รูปตณั หาน้ี เมื่อดบั ก็ดบั ที่รูปตณั หาน้ี สัททตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธตณั หา เป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูป ในโลก ฯลฯ ธมั มตณั หาเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละก็ละที่ธมั มตณั หาน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่ธัมม ตณั หาน้ี รูปวติ กเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อละ ก็ละที่รูปวติ กน้ี เมื่อดบั ก็ดบั ท่ีรูปวิตกน้ี สัททวิ ตกเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธวติ กเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสวติ กเป็นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มวิตกเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละ ก็ละ ท่ีธมั มวิตกน้ีเม่ือดบั ก็ดบั ที่ธมั มวิตกน้ี รูปวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเมื่อละ ก็ละที่รูปวจิ ารน้ี เมื่อดบั ก็ดบั ที่รูปวิจารน้ี สัททวจิ ารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ คนั ธวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ รสวจิ ารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ โผฏฐพั พวิจารเป็ นปิ ยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ ธมั มวจิ ารเป็ นปิ ยรูป สาตรูปในโลก ตณั หาน้ีเม่ือละก็ละที่ธมั มวิจารน้ี เม่ือดบั ก็ดบั ที่ธมั มวจิ ารน้ี ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ทุกขนิ โรธอริยสัจ มัคคสัจจนิทเทส [๔๐๒] ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็ นอย่างไร คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ น้ีนนั่ แล ไดแ้ ก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ๒.สัมมาสังกัปปะ (ดาริชอบ) ๓.สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔.สัมมากัมมนั ตะ (กระทาชอบ) ๕.สัมมาอาชีวะ (เล้ียงชีพชอบ) ๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) ๗.สัมมาสติ (ระลึกชอบ) ๘.สัมมาสมาธิ (ต้งั จิตมน่ั ชอบ) สัมมาทิฏฐิ เป็ นอยา่ งไร คือ ความรู้ในทุกข์ (ความทุกข์) ความรู้ในทุกข สมุทยั (เหตุเกิดแห่งทุกข)์ ความรู้ในทุกขนิโรธ (ความดบั แห่งทุกข)์ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั แห่งทุกข)์ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกปั ปะ เป็ นอยา่ งไร คือ ความ ดาริในการออกจากกาม ความดาริในการไมพ่ ยาบาท ความดาริในการไมเ่ บียดเบียน ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา เป็นอยา่ งไร คือ เจตนาเป็นเหตุงดเวน้ จากการพดู เทจ็ เจตนาเป็นเหตุงดเวน้ จาก การพูดส่อเสียด เจตนาเป็ นเหตุงดเวน้ จากการพูดคาหยาบ เจตนาเป็ นเหตุงดเวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ ภิกษุ

๒๗ ท้งั หลาย น้ีเรียกว่า สัมมาวาจา สัมมากมั มนั ตะ เป็ นอย่างไร คือ เจตนาเป็ นเหตุงดเวน้ จากการฆ่าสัตว์ เจตนาเป็ นเหตุงดเวน้ จากการถือเอาส่ิงของท่ีเจา้ ของเขาไม่ไดใ้ ห้ เจตนาเป็ นเหตุงดเวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ สัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ เป็ นอยา่ งไร คือ อริยสาวกในธรรมวนิ ยั น้ีละ มิจฉาอาชีวะแลว้ สาเร็จการเล้ียงชีพดว้ ยสัมมาอาชีวะ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ สมั มาอาชีวะ สมั มาวายามะ เป็ นอยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑.สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมนั่ เพื่อ ป้องกนั บาปอกุศลธรรมที่ยงั ไม่เกิดมิให้เกิดข้ึน ๒.สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมนั่ เพ่ือละบาปอกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลว้ ๓.สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมนั่ เพ่ือทากุศลธรรมท่ียงั ไม่เกิดข้ึนให้เกิดข้ึน ๔. สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมน่ั เพ่ือความดารงอยู่ ไม่เลือนหาย ภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่แห่งกุศลธรรมที่เกิดข้ึนแลว้ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็ นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑.พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกาจดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒.พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ท้งั หลายอยู่ ฯลฯ ๓.พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ ๔.พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่ มีความเพยี ร มีสัมปชญั ญะมีสติ กาจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็ นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั น้ี ๑.สงดั จากกามและอกุศลธรรมท้งั หลาย บรรลุปฐมฌานที่มีวิตกมี วิจาร มีปี ติ และสุขอนั เกิดจากวิเวกอยู่ ๒.เพราะวิตกวิจารสงบระงบั ไป บรรลุทุติยฌานท่ีมีความผอ่ งใส ภายใน มีภาวะท่ีจิตเป็ นหน่ึงผุดข้ึน ไม่มีวติ ก ไม่มีวจิ าร มีแต่ปี ติและสุขอนั เกิดจากสมาธิอยู่ ๓.เพราะปี ติ จางคลายไป มีจิตเป็ นอุเบกขา มีสติ มีสัมปชญั ญะอยแู่ ละเสวยสุขดว้ ยกาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานท่ีพระ อริยะท้งั หลายกล่าวสรรเสริญวา่ ‘ผมู้ ีอุเบกขา มีสติ อยูเ่ ป็ นสุข’ ๔.เพราะละสุขและทุกขไ์ ด้ เพราะโสมนสั และโทมนัสดบั ไปก่อนแล้วบรรลุจตุตถฌานท่ีไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธ์ิเพราะอุเบกขาอยู่ภิกษุ ท้งั หลายน้ีเรียกวา่ สัมมาสมาธิ ภิกษุท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ [๔๐๓] ดว้ ยวิธีน้ี ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายภายในอยู่พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ท้งั หลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายท้งั ภายในท้งั ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรม เป็ นเหตุเกิดในธรรมท้งั หลายอยูพ่ ิจารณาเห็นธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นท้งั ธรรมเป็ นเหตุเกิดท้งั ธรรมเป็ นเหตุดบั ในธรรมท้งั หลายอยู่ หรือว่า ภิกษุน้นั มีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘ธรรมมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพือ่ อาศยั เจริญญาณ เจริญสติเท่าน้นั ไมอ่ าศยั (ตณั หาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยดึ มน่ั ถือมน่ั อะไรๆ ในโลก ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อริยสัจ ๔ อยอู่ ยา่ งน้ีแล อานิสงส์แห่งการเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ประการ [๔๐๔] ภิกษุท้งั หลาย บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ ปี พงึ หวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จกั เป็ นอนาคามี ๗ ปี จงยกไวบ้ ุคคลผูเ้ จริญสติปัฏ ฐาน ๔ ตลอด ๖ ปี พึงหวงั ได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทาน เหลืออยกู่ ็จกั เป็นอนาคามี ๖ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๕ ปี พงึ หวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มีอุปาทานเหลืออยกู่ ็จกั เป็นอนาคามี ๕ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญ สติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๔ ปี พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มีอุปาทาน

๒๘ เหลืออยกู่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๔ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๓ ปี พงึ หวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มีอุปาทานเหลืออยกู่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๓ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญ สติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๒ ปี พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทาน เหลืออยกู่ จ็ กั เป็นอนาคามี ๒ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๑ ปี พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มีอุปาทานเหลืออยกู่ จ็ กั เป็นอนาคามี ๑ ปี จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญ สติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มี อุปาทานเหลืออยูก่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๗ เดือนจงยกไว้ บุคคลผูเ้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยูก่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๖ เดือนจงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๕ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผล ในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยูก่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๔ เดือนจงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๓ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มีอุปาทานเหลืออยกู่ ็ จกั เป็ นอนาคามี ๓ เดือนจงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๒ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยกู่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๒ เดือนจงยกไว้ บุคคลผู้ เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๑ เดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเมื่อยงั มี อุปาทานเหลืออยกู่ ็จกั เป็ นอนาคามี ๑ เดือนจงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดคร่ึงเดือน พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยูก่ ็จกั เป็ นอนาคามี ภิกษุ ท้งั หลาย คร่ึงเดือน จงยกไว้ บุคคลผเู้ จริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ วนั พึงหวงั ไดผ้ ลอยา่ ง ๑ ใน ๒ อยา่ ง คือ อรหตั ตผลในปัจจุบนั หรือเม่ือยงั มีอุปาทานเหลืออยู่ กจ็ กั เป็นอนาคามี [๔๐๕] ภิกษุท้งั หลาย ทางน้ีเป็ นทางเดียว เพ่ือความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตวเ์ พื่อล่วงโสกะและ ปริเทวะ เพื่อดบั ทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุญายธรรม เพื่อทาให้แจง้ นิพพาน ทางน้ี คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ เราอาศยั ทางเดียวน้ีแลว้ จึงกล่าวคาดงั พรรณนา มาฉะน้ี” เม่ือพระผูม้ ีพระภาคตรัสอย่างน้ี ภิกษุ เหล่าน้นั มีใจยนิ ดีต่างช่ืนชมพระภาษิตของพระผมู้ ีพระภาคแลว้ แล สรุปมหาสติปัฏฐาน ๔ สูตรวา่ ดว้ ยการต้งั สติอยา่ งใหญ่ หนทางเป็ นที่ไปอนั เอกเพื่อความบริสุทธ์ิ ของสัตว์ เพือ่ กา้ วล่วงความโศก ความคร่าครวญ เพ่อื ใหค้ วามทุกขก์ ายทุกขใ์ จต้งั อยไู่ ม่ได้ เพอ่ื บรรลุธรรมที่ ถูกต้อง เพื่อทาให้แจ้งพระนิพพาน คือ สติปัฏฐาน ๔ เป็ นที่ต้งั ของสติ การต้งั สติกาหนดพิจารณาส่ิง ท้งั หลายใหร้ ู้เห็นตามความเป็ นจริง คือ ตามท่ีส่ิงน้นั ๆ มนั เป็ นของมนั เอง การต้งั สติ ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑)ต้งั สติพิจารณากายในกาย ๒)ต้งั สติพิจารณาเวทนาในเวทนา ๓)ต้งั สติกาหนดพิจารณาจิตในจิต ๔)ต้งั สติ กาหนดพจิ ารณาธรรมในธรรม อธิบายจากความหมาย มหาสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ท่ีต้งั ของสติ การต้งั สติกาหนดพิจารณาสิ่ง ท้งั หลายใหร้ ู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่ส่ิงน้นั ๆ เป็นเอง ประกอบดว้ ย ๑. กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็ นจริง วา่ เป็ น เพียงกาย ไม่ใช่สตั วบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา จาแนกปฏิบตั ิ คือ อานาปานสติ กาหนดลมหายใจ อิริยาบถ กาหนด

๒๙ รู้ทนั อิริยาบถ สัมปชัญญะสร้างสัมปชัญญะในการกระทาความเคลื่อนไหวทุกอย่าง ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอนั ไม่สะอาดท้งั หลายที่ประชุมเขา้ เป็ นร่างกาย ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกาย ของตนโดยสักวา่ เป็ นธาตุแต่ละอยา่ งๆ นวสีวถิกา พิจารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ อนั แปลกกนั ไปใน ๙ ระยะเวลา ใหเ้ ห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผอู้ ื่นเช่นใด ของตนกจ็ กั เป็นเช่นน้นั ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาเวทนา ใหร้ ู้เห็นตามเป็ นจริงวา่ เป็นแตเ่ พียงเวทนา ไม่ใช่สตั วบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา คือ มีสติรู้ชดั เวทนาอนั เป็ นสุขก็ดี ทุกขก์ ด็ ี เฉยๆ กด็ ี ท้งั ท่ี เป็นสามิส และเป็นนิรามิสตามท่ีเป็นไปอยใู่ นขณะน้นั ๆ ๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาจิต ใหร้ ู้เห็นตามเป็ นจริงวา่ เป็ น แต่เพียงจิต ไมใ่ ช่สตั วบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา คือ มีสติรู้ชดั จิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไมม่ ีโทสะ มี โมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผว้ ฟุ้งซ่านหรือเป็ นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามที่เป็ นไปอยู่ใน ขณะน้นั ๆ ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้งั สติกาหนดพิจารณาธรรม ใหร้ ู้เห็นตามเป็ นจริงว่า เป็ นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา คือ มีสติรู้ชดั ธรรมท้งั หลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ วา่ คืออะไร เป็นอยา่ งไร มีในตนหรือไม่ เกิดข้ึน เจริญบริบูรณ์ และดบั ไปไดอ้ ยา่ งไร เป็นตน้ ตามท่ีเป็นจริงของมนั อยา่ งน้นั ๆ. รวมกบั วิธีการ “อาตาปี สัมปชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนสั สัง” หมายถึง บาเพ็ญ เพยี รเผากิเลส ดว้ ยสติดว้ ยความรู้ชดั เขา้ ใจชดั ในความไม่เที่ยงอยตู่ ลอดเวลา โดยขจดั ความยินดียนิ ร้ายใน โลก (แห่งนามรูป) ดงั น้นั เห็นไดว้ า่ พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นท้งั หลกั การ แนวทาง และผลการ เป็ นแนวคิด ทฤษฎี และแนวทางการปฏิบตั ิ เป็ นหนทางสายเอก และเป็ นทางสายเดียวต่อการพน้ ทุกขน์ าไปสู่หนทาง นิพพาน จากการนาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบั เรื่องปัญญามาอธิบายความบนแนวคิด ทฤษฎี มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นการความรอบรู้ รู้ทวั่ เขา้ ใจ รู้ซ้ึง ประเภทปัญญา ๑) ปัญญาระดบั จินตามยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณาปัญญาสืบแต่โยนิโส มนสิการที่ต้งั ข้ึน ๒) ปัญญาระดบั สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการสดบั เล่าเรียน ปัญญาสืบแต่ปรโตโฆสะ ๓) ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา หมายถึง ปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิบาเพญ็ ปัญญาสืบแต่ปัญญา สองอยา่ งแรกน้นั แลว้ หมนั่ มนสิการในประดาสภาวธรรม สรุปหมายความวา่ ปัญญาตอ้ งอาศยั การเกิดข้ึนแต่ละลกั ษณะรวมกนั ฝึ กฝนปัญญาแต่ละลกั ษณะ จึงเป็นปัญญามหาสติปัฏฐาน ๔

๓๐ งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง การทบทวนวรรณกรรมท่ีปรากฏในงานวชิ าการเกี่ยวกบั มหาสติปัฏฐาน ๔ ผศู้ ึกษาไดร้ วบรวมและ เรียบเรียง จาแนกไดเ้ ป็ นลกั ษณะการนาเสนองานวิจยั ของผูศ้ ึกษาวิจยั เป็ นจุดเช่ือมต่อและเป็ นท่ีมาของ งานวิจยั รูปแบบการเขา้ ถึงปัญญาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เพ่ือมานาเสนอรอยต่อทางความคิดทางวิชาการ เรื่องสติปัฏฐาน ๔ เป็ นการขยายองคค์ วามรู้ต่อไป จาแนกเป็ น ๑)ฐานกาย ๒)ฐานเวทนา ๓)ฐานจิต ๔) ฐานธรรม และเพื่อการบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ เน่ืองจากงานวิจยั บางเรื่องเป็ นการศึกษาลกั ษณะ ผสมผสานศาสตร์ อาจใชฐ้ านเป็ นแกนหลกั หรือใชร้ ่วมกนั ทุกฐานในการศึกษาวจิ ยั ดงั น้นั ผศู้ ึกษาจาแนก ตามการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งต่อไป เป็นการคน้ หาใน ๒ ลกั ษณะ คือ ๑) การคน้ หาใชค้ าสาคญั ของประเด็นหัวข้องานวิจยั ตามฐาน ๔ และนาไปใช้บูรณาการศาสตร์ การค้นหาข้อมูลลักษณะเป็ น บทความจากฐานข้อมูลบทความวิจยั https://www.tci-thaijo.org/index.php หรือ Thai Journals Online (ThaiJO) ซ่ึงเป็ นระบบฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย เป็ นแหล่งรวม วารสารวชิ าการที่ผลิตในประเทศไทยทุกสาขาวชิ า ท้งั สาขาวทิ ยาศาสตร์/เทคโนโลยี และมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ ๒) การคน้ หาจากบทความทวั่ ไป ท่ีไม่ใช่ฐานขา้ งตน้ และรายงานผลการวิจยั ทว่ั ไปจาก รายงานผลการวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ แล้วนาเสนอเป็ นการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวขอ้ ง ๓) การคน้ จาก รายงานผลการวจิ ยั ทว่ั ไป ประโยชน์การทบทวนวรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ นาไปสู่การสงั เคราะห์ เพอ่ื เขียนบทความวจิ ยั โดยเฉพาะเป็นฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ตอ่ ไป ผูว้ ิจยั จาแนกตามแกนหลกั ของเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ท่ีนามาศึกษาก่อนแลว้ จึงไปใช้บูรณาการ เป็ นเร่ืองอ่ืนต่อไป ทาใหเ้ ห็นภาพงานวจิ ยั ที่เก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย และเป็ นที่ น่าสนใจอยา่ งย่งิ วา่ เรื่องของสติปัฏฐาน ๔ มีความสัมพนั ธ์และเกี่ยวขอ้ งประเด็นสัมพนั ธ์กบั ศาสตร์ต่าง ๆ ในเชิงวิชาการงานวิจัยได้เป็ นอย่างมากและนาผลงานวิจัยของผู้วิจัยเองมาเทียบเคียงเพื่อค้นหา ความสัมพนั ธ์ ความแตกต่าง หากศึกษาต่อไปยงั สามารถนาไปวิเคราะห์เป็ นลักษณะการนาเสนอใน รูปแบบบทความวจิ ยั เรื่องเก่ียวกบั การทบทวนวรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ในแตล่ ะฐานตอ่ ไป ๑) ด้านกายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน : ฐานกาย ๑.๑) แนวทางปฏิบัติฐานกายสู่การพฒั นาคุณภาพชีวติ ๑) สุมนา เลยี บทวี และ นพพร จนั ทรนาชู (๒๕๕๕) ไดศ้ ึกษาเร่ือง การเจริญวปิ ัสสนาตามแนวทาง สติปัฏฐาน ๔ ที่ส่ งผลต่อการพัฒนาทางด้านพฤติกรรม และอารมณ์ของมนุษย์:กรณีศึกษาหลักสูตร วปิ ัสสนาเบื้องต้น ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ๑ใชร้ ะเบียบวิธีวจิ ยั แบบผสาน ๑ สุมนา เลียบทวี และ นพพร จนั ทรนาชู. ๒๕๕๕. การเจริญวปิ ัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ท่ีส่งผลตอ่ การ พฒั นาทางดา้ นพฤติกรรม และอารมณ์ของมนุษย:์ กรณีศึกษาหลกั สูตรวปิ ัสสนาเบ้ืองตน้ ยวุ พุทธิกสมาคมแห่งประเทศ ไทยในพระบรมราชูปถมั ภ.์ ว.ศิลปากรศึกษาและวจิ ยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.๔ (๒): ๒๓๗-๒๕๐.

๓๑ วิธี วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษากระบวนการเจริญวิปัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ และศึกษาผลของการ เจริญวปิ ัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ที่ส่งผลต่อการพฒั นาทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์ของมนุษย์ ผลจากการวิจยั เชิงคุณภาพสรุปได้วา่ กระบวนการเจริญวิปัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในหลกั สูตร วิปัสสนาเบ้ืองตน้ ใช้วิธีการกําหนดรู้ในอิริยาบถยืน เดิน น่ังและอิริยาบถย่อย เป็ นการปฏิบัติเพื่อให้เกิด ปัญญาในการมองเห็นสรรพสิ่งตาม ความเป็ นจริงของโลกซ่ึงจะเป็ นประโยชน์ในการดาเนินชีวิตของผู้ ปฏิบตั ิต่อไป ผลทางดา้ นพฤติกรรม พบวา่ หลงั จากการฝึ กอบรมผูป้ ฏิบตั ิมีพฤติกรรมท่ีประกอบด้วยสติ มากข้ึน ผลทางดา้ นอารมณ์ พบวา่ ผูป้ ฏิบตั ิมีความมน่ั คงทางอารมณ์มากข้ึน ผลจากการวิจยั เชิงปริมาณ สรุปไดว้ า่ ๑)ค่าเฉล่ียของความ เปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมของผูป้ ฏิบตั ิธรรมหลงั เข้าร่วมฝึ กปฏิบตั ิ ธรรมสูงกว่าก่อนเขา้ ร่วมฝึ ก ปฏิบตั ิธรรมอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๕ ๒)ค่าเฉลี่ยของความ เปล่ียนแปลงทางด้านความฉลาด ทางอารมณ์ของผูป้ ฏิบตั ิธรรมก่อนและหลงั เขา้ ร่วมฝึ กปฏิบตั ิธรรมไม่ แตกตา่ งกนั ทางสถิติ ๒) พระสุนันท์ สุมงคฺโล (วลิ ามาศ)(๒๕๕๙) ศึกษาวจิ ยั เรื่อง ศึกษาการพฒั นารูปแบบการฝึ กอบรม เพื่อพัฒนาคณุภาพชีวิต ผู้เข้าปฏิบัติธรรมในสํานักปฏิบัติธรรมประจําจังหวัดพิษณุโลกแห่งที่ ๔ ๒ วตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์และรูปแบบการฝึ กอบรม การพฒั นารูปแบบการฝึ กอบรมของสานกั ปฏิบตั ิธรรมประจาจงั หวดั พิษณุโลก แห่งท่ี ๔ กลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ นการวิจยั ในการศึกษาสภาพการณ์ตาม หลกั สัปปายะ ๗ และรูปแบบการฝึ กอบรม ได้แก่ ผูเ้ ขา้ ปฏิบตั ิธรรมในสานกั ปฏิบตั ิธรรมประจาจงั หวดั พิษณุโลก แห่งที่ ๔ โดยวธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งแบบง่าย จานวน ๓๒๒ คน ส่วนการพฒั นารูปแบบการฝึ กอบรม ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ งจาก บุคลากรในสานกั ฯ และผูเ้ ขา้ ปฏิบตั ิธรรม จากการเลือกแบบเจาะจง จานวน ๑๗ รูป/ คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลเป็ นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ขอ้ มูล ดว้ ยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์โดยใชเ้ ทคนิคการวิเคราะห์ เน้ือหาประกอบบริบท ผลการวจิ ยั พบวา่ ผเู้ ขา้ ฝึกอบรมมีความพงึ พอใจต่อสภาพการณ์ตามหลกั สปั ปายะ ๗ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก (x= ๔.๔๕, S.D.= ๐.๔๑) ท้งั ดา้ นบรรยากาศและสถานที่ในการฝึ กปฏิบตั ิ การ ใชภ้ าษาที่ เหมาะสม การมีเจา้ หนา้ ที่ ๆ ท่ีเป็ นกลั ยาณมิตร สถานท่ีต้งั เดินทางสะดวก การบริการดา้ นอาหาร เครื่องด่ืม และการจดั กิจกรรมที่เหมาะสมในการปฏิบตั ิ ส่วนรูปแบบการฝึ กอบรม โดยภาพรวมอยู่ใน ระดบั มาก (x=๔.๓๗, S.D.= ๐.๔๔) ท้งั ดา้ นวิธีการฝึ กอบรม การบริหารจดั การ วิทยากร และเน้ือหา สาระ ธรรม แนวทางในการพฒั นารูปแบบการฝึ กอบรมพบวา่ ควรรักษาสภาพการณ์ตามหลกั สปั ปายะ ๗ ให้คง เดิม วธิ ีการฝึ กอบรมยึดหลกั สติปัฏฏฐาน ๔ ตามแบบของพระพุทธเจา้ การฝึ กอบรม ไม่มีรูปแบบท่ีตายตวั สอนตามสภาวะผูเ้ ขา้ ปฏิบตั ิธรรม การบริหารจดั การ ควรมีการมอบหมายงาน และมีการปรับหลกั สูตรให้ เขม้ ขน้ ข้ึนเพ่ือเหมาะสาหรับผทู้ ่ีผา่ นการปฏิบตั ิมาแลว้ วิทยากรควรมีการฝึ กอบรมเพ่ิมเติม เพ่ือให้มีความรู้ ๒ พระสุนนั ท์ สุมงคฺโล (วลิ ามาศ). ๒๕๕๙. ศึกษาการพฒั นารูปแบบการฝึ กอบรมเพ่อื พฒั นาคุณภาพชีวติ ผเู้ ขา้ ปฏิบตั ิธรรมในสานกั ปฏิบตั ธิ รรมประจาจงั หวดั พษิ ณุโลก แห่งที่ ๔. ว.ราชภฏั พบิ ูลสงคราม. ๑๗(๒) : ๓๕๓-๓๖๑.

๓๒ ความเขา้ ใจท้งั ทางดา้ นปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ในการเป็ นผนู้ าทางดา้ นจิตวญิ ญาณท่ีจะพาผเู้ ขา้ ปฏิบตั ิธรรมให้ มีคุณภาพชีวติ ท่ีดียงิ่ ข้ึน ๓) อนุรุทธ เปรมนิรันดร และ อภิชาติ พลประเสริฐ (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง รูปแบบการสอน การวาดภาพลายไทย โดยใช้กิจกรรมการฝึ กสมาธิด้วยหลกั กายานุปัสสนาสําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ตอนต้น ๓ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ๑)พฒั นารูปแบบการสอนวาดลายไทย โดยใชก้ ิจกรรมการฝึ กสมาธิตามแนว กายานุปัสสนาเพ่ือพฒั นาทกั ษะลายไทยของเด็กนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาตอนต้น ๒)ศึกษาผลการจดั กิจกรรมการฝึกสมาธิตามแนวกายานุปัสสนาเพื่อพฒั นาทกั ษะลายไทย และนาผลการจดั กิจกรรมมาพฒั นา รูปแบบการสอน การวิจยั น้ีศึกษากระบวนการจดั การสอนลายไทย โดยใชส้ มาธิตามหลกั กายานุปัสสนา จากกลุ่มตวั อยา่ ง ๒ กลุ่ม คือ ๒.๑)กลุ่มผูเ้ ช่ียวชาญ จานวน ๑๘ คน ประกอบดว้ ย อาจารยม์ หาวิทยาลยั อาจารยร์ ะดบั มธั ยม ศิลปิ นดา้ นศิลปะไทย และพระภิกษุผูส้ อนกรรมฐาน เพ่ือศึกษากระบวนการจดั การ สอนลายไทยโดยใช้กิจกรรมการฝึ กสมาธิตามแนวกายานุปัสสนาผ่านองค์ประกอบ ๕ ประการคือ จุดประสงค์การสอน การกาหนดเน้ือหาการสอน กิจกรรมการสอน ส่ือการสอน การวดั ประเมินผลการ สอน ๒.๒) นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จานวน ๑๕ คน เพอ่ื ศึกษา การใชร้ ูปแบบกิจกรรมการฝึกสมาธิ ตามแนวกายานุปัสสนาเพื่อพฒั นาทกั ษะลายไทยผา่ นการทดลองสอน แลว้ นามาปรับปรุงรูปแบบการสอน ใหส้ มบูรณ์ข้ึน ผลการศึกษาผวู้ จิ ยั ไดน้ าผลสัมภาษณ์และขอ้ สงั เกตของผเู้ ชี่ยวชาญมาวเิ คราะห์และนาเสนอ เป็นรูปแบบการสอนวาดลายไทยท่ีใชไ้ ดจ้ ริงตามองคป์ ระกอบการสอน ๕ ประการดงั น้ี ๑)ดา้ นจุดประสงค์ การสอน ต้งั จุดประสงคใ์ หผ้ เู้ รียนสามารถวาดลายไทยเบ้ืองตน้ ไดแ้ ละเรียนรู้ประวตั ิศาสตร์ศิลปะไทยกบั ศิลปวิจารณ์ ๒) ดา้ นการกาหนดเน้ือหาการสอน กาหนดให้ผูเ้ รียนเรียนรู้เน้ือหาดา้ นประวตั ิศาสตร์และ ทกั ษะปฏิบตั ิโดยนาสมาธิมาบูรณาการกบั ลายไทยดว้ ยการฝึ กสติในการฝึ กเขียนเส้น ๓) ดา้ นกิจกรรมการ สอน กาหนดให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิกิจกรรมการฝึ กวาดลายไทยจากง่ายไปหายากอยา่ งเป็ นข้นั ตอน โดยสร้าง แรงจูงใจให้ผูเ้ รียนด้วยสื่อที่หลากหลาย ๔) ดา้ นสื่อการสอนวาดลายไทย เน้นให้ผูเ้ รียนดูสื่อภาพงาน จิตรกรรมไทยและสื่อภาพเคล่ือนไหวที่หลากหลาย ๕) ดา้ นการประเมินผลการสอน ประเมินทกั ษะปฏิบตั ิ โดยดูจากผลคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรียนและประเมินจิตพิสัยโดยดูจากพฤติกรรมในช้นั เรียน หลงั จาก น้ันผูว้ ิจยั ไดน้ ารูปแบบการสอนท่ีสมบูรณ์ไปทดลองสอนกบั นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๒ โดย ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑) ผเู้ รียนมีทกั ษะการวาดลายไทยหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ี ระดบั .๐๕ ๒) ผเู้ รียนโดยรวมมีความพึงพอใจในระดบั มากที่สุดต่อการเรียนลายไทยจากรูปแบบการสอน วาดลายไทยตามหลกั กายานุปัสสนา ๓ อนุรุทธ เปรมนิรันดร และ อภิชาติ พลประเสริฐ. ๒๕๕๙. รูปแบบการสอนการวาดภาพลายไทย โดยใช้ กิจกรรมการฝึ กสมาธิดว้ ยหลกั กายานุปัสสนา สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน้ . ว.อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๑๑ (๓) : ๒๓๖-๒๘๐.

๓๓ ๔) ฐิติมา ต้งั จิตเมธี (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาคุณภาพชีวติ ตามองค์ธรรม พละ ๕ ด้วย การเจริญสติแบบเคล่ือนไหว ๔ โดยเป็นงานวิจยั ก่ึงทดลองมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาหลกั การพฒั นาคุณภาพ ชีวติ ตามองคธ์ รรม พละ ๕ ดว้ ยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวกลุ่มประชากรประกอบดว้ ยผปู้ ่ วยทว่ั ไปและ สมาชิกของชมรมการแพทยแ์ ผนไทยวดั บางกร่าง อาเภอเมือง จงั หวดั นนทบุรี จานวน ๔๐ คน กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน ๑๕ คน คดั เลือกจากความสมคั รใจ เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการทาวิจยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม และแบบ สัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลใช้สถิติพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ขอ้ มูลทวั่ ไป และใชส้ ถิติอา้ งอิงแบบ t- test ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ผลการทดลองใชช้ ุดกิจกรรมท้งั ก่อนและหลงั เขา้ ร่วมกิจกรรม ผลการวจิ ยั พบวา่ เม่ือเปรียบเทียบคะแนน เฉล่ียก่อนเขา้ ร่วมกิจกรรมและหลงั จากเขา้ ร่วมกิจกรรมแล้ว พบว่า การพฒั นาคุณภาพชีวิตด้านความ ศรัทธา อยใู่ นระดบั มาก อนั ดบั ๑ การทาส่ิงใด ยอ่ มไดผ้ ลตามสิ่งน้นั อนั ดบั ๒ การหาความสุขทางใจดว้ ย การนง่ั สมาธิ อนั ดบั ๓ การเจริญสติแบบเคล่ือนไหวช่วยทาให้อยูก่ บั ปัจจุบนั ดา้ นความวริ ิยะ อยูใ่ นระดบั ปานกลางอนั ดบั ๑ สามารถเจริญสติไดใ้ นทุกอิริยาบถ อนั ดบั ๒ มีสติพร้อมในการปฏิบตั ิแบบเคลื่อนไหว ทุกคร้ัง อนั ดบั ๓ มีการปฏิบตั ิเจริญสติแบบเคล่ือนไหวมือเสมอ ดา้ นสติ อนั ดบั ๑ การเจริญสติทาให้อยูก่ บั ปัจจุบนั ได้ อนั ดบั ๒ การเจริญสติช่วยให้ความจาดีข้ึน อนั ดบั ๓ มีความตื่นตวั มากข้ึนเมื่อฝึ กเจริญสติ การ พฒั นาคุณภาพชีวิตดา้ นสมาธิ อนั ดบั ๑ สามารถทางานไดด้ ีข้ึนและถูกตอ้ งเม่ือฝึ กการเจริญสติ อนั ดบั ๒ การทาสมาธิเป็นเร่ืองง่ายข้ึน อนั ดบั ๓ มีสติรู้สึกตวั มากข้ึนเมื่อฝึกการเจริญสติ การพฒั นาคุณภาพชีวิตดา้ น ปัญญา อนั ดบั ๑ ใส่ใจกบั สุขภาพตวั เองมากข้ึน อนั ดบั ๒ การฝึกเจริญสติช่วยทาใหม้ ีความสุข อนั ดบั ๓ มี ชีวิตอยู่กบั ความเป็ นจริงมากข้ึนเม่ือฝึ กเจริญสติ โดยภาพรวมของการพฒั นาคุณภาพชีวิตตามองค์ธรรม พละ ๕ พบวา่ การเจริญสติช่วยทาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนอยา่ งชดั เจน โดยระดบั การพฒั นาคุณภาพชีวิต ดา้ นศรัทธา ดา้ นวริ ิยะ ดา้ นสติ ดา้ นสมาธิ และดา้ นปัญญา หลงั การเขา้ กิจกรรมเพม่ิ ข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง สถิติท่ีระดบั ๐.๐๑ ๕) ศุภณฐั รัตนปกรณ์ และ วายุ กาญจนศร (๒๕๖๐)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง ผลของโปรแกรมการฝึ กยงิ ประตูและสมาธิอานาปานสติ ท่ีมีต่อความสามารถในการเลี้ยงและความ แม่นยําในการยิงประตูของ นักกีฬาฟุตบอล โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ๕ วตั ถุประสงค์ ๑) เพ่ือศึกษาผลของโปรแกรมการฝึ กยิงประตู และสมาธิอานาปานสติ ท่ีมีต่อความ สามารถในการเล้ียงและความแม่นยาในการยิงประตู ๒) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจต่อโปรแกรมการฝึ กยิงประตูและสมาธิ อานาปานสติ ท่ีมีต่อความสามารถในการเล้ียงและ ความแม่นยาในการยิงประตูกลุ่มเป้าหมาย นกั กีฬาฟุตบอลชายโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อายุระหวา่ ง ๑๔- ๔ ฐิติมา ต้งั จิตเมธี. ๒๕๖๐.การพฒั นาคุณภาพชีวติ ตามองคธ์ รรม พละ ๕ ดว้ ยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว. ว. มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๓ (๒) : ๗๐-๗๗. ๕ ศุภณฐั รัตนปกรณ์ และ วายุ กาญจนศร . ๒๕๖๐. ผลของโปรแกรมการฝึ กยงิ ประตแู ละสมาธิอานาปานสติ ท่ี มีต่อความสามารถในการเล้ียงและความ แม่นยาในการยงิ ประตขู องนกั กีฬาฟตุ บอล โรงเรียนอดุ รพทิ ยานุกลู . ว.ศึกษาศาสตร์ ฉบับบัณฑติ ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ๑๑ (๑) : ๑๘๙-๑๙๖.

๓๔ ๑๖ ปี จานวน ๒๕คน รูปแบบการวิจยั ก่ึงทดลอง (Pre-Experimental Research) เครื่องมือในการวิจยั ประกอบดว้ ย ๑) โปรแกรมการฝึ กยงิ ประตูฟุตบอลและสมาธิอานาปานสติ ๒) แบบทดสอบ การเล้ียงฟตุ บอลและความแม่นยาในการยิงประตฟูตบอล ๓) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ ขอ้ มูล คือ ค่าเฉล่ีย คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบความแตกตา่ ง ค่าเฉล่ียของความสามารถในการ เล้ียงและความแม่นยา ในการยิงประตูก่อนการฝึ กและหลังการฝึ ก สัปดาห์ที่ ๘ โดยสถิติท่ีใช้คือ Wilcoxon Signed Rank Test กาหนดค่าความแตกต่าง อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๕ ผลการวิจยั พบวา่ ๑) ความสามารถในการเล้ียงและความแม่นยา ในการยิงประตู ของกลุ่มเป้าหมายก่อนการฝึ ก ใช้ เวลาในการทดสอบ มีค่าเฉล่ีย ๕๙.๘๐ วนิ าที และความแม่นยาในการยงิ ประตู มีค่าเฉล่ีย ๗.๒๘ คะแนน ภายหลงั การทดลองสัปดาห์ท่ี ๘ใชเ้ วลาในการทดสอบดีข้ึน มีค่าเฉลี่ย ๕๓.๘๘ วนิ าที และ มีความแม่นยา ในการยิงประตูสูงข้ึน มีค่าเฉล่ีย ๑๓.๓๒ คะแนน ซ่ึงมีความแตกต่างอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .๐๕ ๒) ความพึงพอใจที่มีต่อโปรแกรมการฝึกยงิ ประตูและสมาธิอานาปานสติ ที่มีตอ่ ความสามารถในการเล้ียง และ ความแม่นยาในการยงิ ประตู อยใู่ นระดบั มากที่สุด คิดเป็นคะแนนเฉล่ีย ๔.๗๘ ๖) ชัญญาภคั พงศ์ชยกร (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาเรื่อง เกณฑ์ตดั สินการปฏิบัตอิ านาปานสตใิ นสังคมไทย ตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๖ ผลการศึกษาแบง่ เป็น ๒ ระยะ พบวา่ ระยะแรก เกณฑต์ ดั สินบุพพกิจมี ๔ เกณฑ์ คือ (๑) บุคคล: สาธุชน ทุกเพศ ทุกวยั ทุกระดบั มีศีล ๕ เป็ นพ้ืนฐาน (๒) สถานท่ี: ทาไดท้ ุกท่ีทุก เวลา (๓) อิริยาบถ: นง่ั ขดั สมาธิ และ เดิน ยนื นอน ไดท้ ้งั น้นั (๔) การดารงสติ: การต้งั สติกาหนดลมหายใจ เขา้ ออกตรงปลายจมูกหรือเหนือริมฝี ปาก ระยะสอง เกณฑต์ ดั สินการปฏิบตั ิมี ๔ เกณฑ์ คือ (๑) มีสติรู้ชดั ลมหายใจเขา้ ออกยาว (๒) มีสมั ปชญั ญะเห็นขนั ธ์ ๕ ที่เป็นปัจจุบนั ธรรมในใจ (๓) มีสมาธิระดบั ขณิกสมาธิ ข้ึนไป (๔) มีญาณ คือ อนุปัสสนาญาณ วปิ ัสสนาญาณ และมรรคญาณ ทาใหร้ ู้แจง้ ธรรม พน้ ไปจากทุกขท์ ้งั ปวง เขา้ ถึงชีวิตที่ดีมีความสุขดว้ ยลมหายใจ สิ่งสาคญั ที่สุดของการวจิ ยั คร้ังน้ี คือการคน้ พบวา่ “การปฏิบตั ิ อานาปานสติข้นั ท่ี ๑ เพียงข้นั เดียวกอปรดว้ ย สติ สัมปชญั ญะ สมาธิ และญาณ สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ จาเป็ นตอ้ งปฏิบตั ิจนครบ ๑๖ ข้นั ”ดงั มีหลกั ฐานจากคาอธิบายของพระสารีบุตรเถระ และคาสอนของพระ อาจารยล์ ี ธมฺมธโร พุทธทาสภิกขุ และพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) นบั เป็ นคุณอเนกอนนั ตต์ ่อการ ปฏิบตั ิ ๗) พระภาวนาพศิ าลเมธี ว.ิ (ประเสริฐ มนฺตเสวี) และคณะ (๒๕๖๑) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง การเจริญ สติปัฏฐานในอิริยาบถเดินจงกรมตามหลักอนุปัสสนา ๗ ๗ ผลการวิจยั พบว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือ ความระลึกรู้อยูใ่ นอารมณ์ท่ี เป็ นไปในสติปัฏฐาน ๔ ที่จะทาให้เห็นสภาวะตามความเป็ นจริงโดยอาศยั อิริยาบถ ๔ คือ การยนื การเดิน การนงั่ และการนอน จดั อยใู่ นอิริยาบถปัพพะ หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏ ๖ ชญั ญาภคั พงศ์ชยกร.๒๕๖๑. เกณฑต์ ดั สินการปฏิบตั ิอานาปานสติในสังคมไทยตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเถร วาท. ว.ศึกษาปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๑๔(๒) : ๑๓๘-๑๔๘. ๗ พระภาวนาพศิ าลเมธี วิ. (ประเสริฐ มนฺตเสว)ี และคณะ. ๒๕๖๑. การเจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถเดินจงกรม ตามหลกั อนุปัสสนา ๗. ว.บณั ฑติ ศึกษาปริทศั น์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๑๔( ๑) : ๗๓-๘๒.

๓๕ ฐาน ซ่ึง สงเคราะห์เป็ นรูปขันธ์ได้โดยตรง จดั เป็ นอารมณ์ของวิปัสสนาอนุปัสสนา ๗ ในการเจริญ วิปัสสนา ภาวนา คือการอบรมปัญญาให้เกิดความหยง่ั รู้ หยง่ั เห็น เห็นแจง้ โดยประการต่าง ๆ ในสภาวะ ลกั ษณะของสภาวธรรมรูป สภาวธรรมนาม ตามความเป็ นจริงวา่ สภาวธรรมท้งั หลายไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนตั ตา ไม่ใช่บุคคลตวั ตนเราเขา เป็ นการตามรู้รูปเป็ นหลกั รู้อาการของธาตุ ๔ ธาตุใดธาตุหน่ึงท่ี ปรากฏชดั เจนในขณะจิตปัจจุบนั ตามรู้นามเป็ นหลกั ตามรู้เวทนา จิต หรือ สภาวธรรมท่ีปรากฏขณะจิต ปัจจุบนั ไดแ้ ก่บุคคลผูบ้ รรลุฌานแลว้ ปฏิบตั ิจนช านาญจนถึงยกจิต เขา้ สู่พระไตรลกั ษณ์เจริญวิปัสสนา พจิ ารณาเห็นสภาพธรรมตามลาดบั สมาบตั ิและองคฌ์ าน โดย ลกั ษณะอนุปัสสนา ๗ ประการ ๘) ศุภกาญจน์ วชิ านาติ และวชั ระ งามวติ รเจริญ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบ รูปขันธ์กับความจริงทางวิทยาศาสตร์ ๘ ผลการศึกษาพบว่า วตั ถุประสงค์ ๑)เพ่ือวิเคราะห์รูปขนั ธ์ใน พระพุทธศาสนาเถรวาท ๒)เพ่ือวิเคราะห์เปรียบเทียบรูปขนั ธ์กบั ความจริงทางวิทยาศาสตร์ การวิจยั ชิง คุณภาพ โดยเนน้ เร่ืองรูปขนั ธ์ในส่วนของมหาภูตรูป จากการวิจยั พบวา่ รูปขนั ธ์ในพระพุทธศาสนาเถร วาท คือ ที่รวมแห่งรูปธรรมท้งั หลาย อนั เป็ นองคป์ ระกอบ รวมท้งั คุณสมบตั ิ พฤติการณ์ และสถานะตา่ งๆ ของร่างกายมนุษย์ รูปขนั ธ์ประกอบดว้ ย มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ การวิเคราะห์เปรียบเทียบรูป ขนั ธ์กบั ความจริงทางวิทยาศาสตร์พบวา่ มีความสอดคลอ้ งกนั และความแตกต่างกนั โดยส่วนที่มีความ สอดคล้องกนั ได้แก่ ประเภทและองค์ประกอบแห่งรูปขนั ธ์ พฒั นาการของรูปขนั ธ์ ลกั ษณะรูปขนั ธ์ องคป์ ระกอบของอุปทายรูป และอิทธิพลหรือบทบาทของรูปขนั ธ์ และส่วนท่ีมีความแตกต่างกนั ไดแ้ ก่ ความสัมพนั ธ์กับนามปรมัตถ์ (ส่ิงท่ีเป็ นจริงโดยความหมายสูงสุดฝ่ ายนาม ได้แก่ จิตและเจตสิก) ที่ เกี่ยวเนื่องกบั การเกิดข้ึนของรูปและกระบวนการแห่งชีวติ ๑.๒ ) ฐานกายกบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของผ้สู ูงอายุ ๙) สมบูรณ์ วฒั นะ (๒๕๕๙) ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เรื่อง แนวคิดการดูแลผ้สู ูงอายุ ตามแนวพระพุทธศาสนา เถรวาท๙ วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกบั ผูส้ ูงอายแุ ละการดูแล บิดาและมารดาในพระบาลีและ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ๒) เพ่ือวิเคราะห์และสังเคราะห์ แนวคิดเกี่ยวกบั ผสู้ ูงอายุและการดูแลบิดาและมารดา และแนวคิดการพฒั นามนุษย์ เพื่อเสนอเป็ นแนวคิดในการดูแลผูส้ ูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนาเถรวาท ใชว้ ธิ ีวจิ ยั เอกสารแบบเชิงวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ ผลการศึกษาดงั น้ี การศึกษาแนวคิดเก่ียวกบั ผสู้ ูงอายแุ ละ การดูแลบิดาและมารดาในพระบาลี และเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง พบว่า ผูส้ ูงอายุ คือคนชราภาพ ผูส้ ูงอายุมี ความสาคญั เป็ นอย่างสูงต่อการทานุบารุงพระพุทธศาสนา บิดาและมารดาได้รับการยกย่องไว้ ผูส้ ูงส่ง ๘ ศุภกาญจน์ วชิ านาติ และวชั ระ งามวติ รเจริญ. ๒๕๖๑. การศึกษาเปรียบเทียบรูปขนั ธ์กบั ความจริงทาง วทิ ยาศาสตร์ . ว.พทุ ธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั . ๒๕(๒) : ๗-๒๘. ๙ สมบูรณ์ วฒั นะ . ๒๕๕๙. แนวคิดการดูแลผสู้ ูงอายุ ตามแนวพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. วารสารวชิ าการคณะ มนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ . ว.วชิ าการและมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ๒๔ (๔๔) : ๑๗๓- ๑๙๓.

๓๖ เทียบเท่าพระพรหม พระอรหนั ต์ ของบุตรและธิดา ควรอยา่ งยิง่ ที่บุตรธิดาจะดูแลท่าน ท้งั ทางดา้ นร่างกาย และจิตใจใหส้ ุขสบาย แต่หากบุตรและธิดาปรารถนาจะตอบแทนบุญคุณท่านให้ยง่ิ ข้ึน ควรดูแลท่านให้มี คุณภาพชีวิตท่ีสูงข้ึน โดยช่วยให้ท่านประกอบด้วยสัมปรายิกตั ถสังวตั ตนิกธรรม ๔ ได้แก่ ๑) ศรัทธา สัมปทา ๒) ศีลสัมปทา ๓) จาคสัมปทา และ ๔) ปัญญาสัมปทา การวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิด เก่ียวกบั ผูส้ ูงอายุและการดูแลบิดาและ มารดา และแนวคิดการพฒั นามนุษย์ เพ่ือเสนอเป็ นแนวคิดในการ ดูแลผสู้ ูงอายผตู้ ามแนวพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พบวา่ แนวคิดในการพฒั นามนุษยค์ ือหลกั ธรรมไตรสิกขา ผูส้ ูงอายุคือมนุษย์ท่ีมีอุปการคุณต่อสังคมและอนุชน ท่านควรได้รับการดูแลอย่างดีท่ีสุด ดังน้ัน จึง สงั เคราะห์การดูแลบิดาและมารดาใหเ้ ป็ นการดูแลผสู้ ูงอายุ โดยการดูแลท่านตามหลกั การพฒั นามนุษยต์ าม หลกั ธรรมเรื่องไตรสิกขาโดยอาศยั หลกั ภาวนา ๔ เป็ นเคร่ืองช้ีวดั และวิธีปฏิบตั ิ ผูส้ ูงอายุไดร้ ับการพฒั นา อยา่ งเหมาะสม สามารถใหท้ ่านถึงพร้อมดว้ ยสัมปรายิกตั ถสังวตั ตนิกธรรม ๔ ช่ือวา่ ดูแลท่านและไดต้ อบ แทนคุณท่าน เพราะช่วยใหท้ ่านไดบ้ รรลุจุดมุ่งหมาย (อรรถ)ของชีวิตท่ีเป็ นสัมปรายกิ ตั ถประโยชน์ หรือ ยงิ่ ข้ึนไป คือ ปรมตั ถประโยชน์ ๑๐) สุชาติ หล้าอภัย และคณะ (๒๕๕๙)ได้ศึกษาวิจยั เรื่อง การประยุกต์ใช้มหาสติปัฏฐานเพ่ือ พฒั นาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ๑ วตั ถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาหลกั มหาสติปัฏฐ๐านทางพระพุทธศาสนา และ กระบวนการฝึ กสติตามแนวทางของหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ ๒) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกบั ผสู้ ูงอายุ และสภาพปัญหาการพฒั นาคุณภาพชีวิตผูส้ ูงอายใุ นเขตพ้ืนท่ีตาบลหนองกุงธนสาร อาเภอภูเวยี ง จงั หวดั ขอนแก่น ๓) เพ่ือประยุกต์ใช้มหาสติปัฏฐานตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในการพฒั นา คุณภาพชีวติ ผูส้ ูงอายุในเขตพ้ืนท่ีตาบลหนองกุงธนสาร อาเภอภูเวียง จงั หวดั ขอนแก่น การวิจยั น้ีเป็ นการ วิจยั เชิงคุณภาพ โดยเก็บขอ้ มูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์แบบมีส่วนร่วมแล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิง พรรณนา ผลการวิจยั พบวา่ หลกั มหาสติปัฏฐานทางพระพุทธศาสนา เป็ นหนทางเอกเพ่ือความบริสุทธ์ิ ของเหล่าสัตว์ เพ่ือล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดบั ทุกขแ์ ละโทมนสั เพ่ือบรรลุญายธรรม เพ่ือทาใหแ้ จง้ ซ่ึง พระนิพพาน มี ๔ ประการ คือ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ พจิ ารณาเห็นจิตในจิตอยู่ และพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่ มีความเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติกาจดั อภิชฌาโทมนสั ได้ และกระบวนการฝึ กสติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เป็ นการฝึ กสติกาหนดรู้ความ เคล่ือนไหวของกายและจิตในอิริยาบถต่าง ๆ ในขณะที่กาลงั ทา พูด คิด ก็ใหร้ ู้สึกตวั เมื่อมีความโลภ โกรธ หลง พอใจ ไม่พอใจ สุข ทุกข์ เกิดข้ึนในใจก็ให้รู้สึกว่ากาลงั เกิดข้ึน รู้ว่าทุกอย่างเป็ นส่ิงสมมติ ไม่เที่ยง ต้งั อยู่ ดบั ไป ไม่ควรยึดมนั่ ถือมน่ั แลว้ ปล่อยวาง จะทาให้แจ่มแจง้ เกิดปัญญา จิตใจผอ่ งใส สะอาด สวา่ ง สงบ และมีความสุข แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกบั ผูส้ ูงอายุได้กล่าวถึงผูส้ ูงอายุท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางด้าน ร่างกายท่ีเส่ือมลงตลอดเวลา มีกระดูกเส่ือม มีสมองเส่ือม มีเซลในร่างกายเสื่อม มีผิวหนงั เห่ียวยน่ มีผมสี ขาว มีดวงตาพร่ามวั ฟันร่วง หูฟังเสียงไม่ค่อยไดย้ ิน ร่างกายเคลื่อนไหวไดช้ ้า มีโรคเร้ือรังเบียดเบียน มี ๑ สุชาติ หลา้ อภยั และคณะ. การประยกุ ตใ์ ชม้ หาสติปัฏ๐ฐานเพอื่ พฒั นาคุณภาพชีวติ ผสู้ ูงอายุ . ว.วชิ าการธรรม ทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น . ๑๖ ( ๒) : ๗๕-๙๒.

๓๗ บทบาททางสังคมลดลง ทางานไม่ได้ มีรายไดไ้ ม่เพียงพอ และพลดั พรากจากส่ิงอนั เป็ นท่ีรัก ส่งผลใหเ้ กิด ปัญหาทางดา้ นจิตใจทาใหเ้ ป็ นโรคเครียด วติ กกงั วล และซึมเศร้า ไมม่ ีความสุขในชีวติ ท่ีผา่ นมาทางภาครัฐ ไดแ้ กไ้ ขปัญหาโดยทางการแพทย์ แนะนาใหก้ ินอาหารใหค้ รบ ๕ หมู่ และใหอ้ อกกาลงั กายอยา่ งสม่าเสมอ แต่ก็ยงั ไม่สามารถแกป้ ัญหาความทุกข์ของผูส้ ูงอายุเหล่าน้ีได้ ทาให้ผูส้ ูงอายุมีความทุกขก์ าย ทุกข์ใจ อยู่ เสมอ การประยกุ ตใ์ ชม้ หาสติปัฏฐานตามแนวทางของหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ ในการพฒั นาคุณภาพชีวิต ผูส้ ูงอายุชาวบา้ นหนองกุงธนสาร อาเภอภูเวียง จงั หวดั ขอนแก่น การวิจยั พบว่า ผูส้ ูงอายุบา้ นหนองกุง ธนสารที่ไดม้ าฝึ กสติแบบเคลื่อนไหวสามารถแกป้ ัญหาความทุกขท์ ่ีเกิดจากร่างกายเสื่อมเพราะชรา และ ร่างกายมีโรคเร้ืองรังเบียดเบียนได้ โดยการประยุกตใ์ ชห้ ลกั มหาสติปัฏฐาน คือการฝึ กสติแบบเคล่ือนไหว ไดแ้ ก่ การฝึ กสติทางกาย (กายภาวนา) เขา้ อบรมฝึ กสติ กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ และออกกาลงั กาย มีเดิน จงกรมตามธรรมชาติและการนงั่ ฝึ กสติแบบเคลื่อนไหว ทาให้เป็ นการออกกาลงั กายของผูส้ ูงอายมุ ีร่างกาย แขง็ แรงและไดเ้ ห็นสจั ธรรมของกายท่ีไมเ่ ที่ยงเป็นทุกขเ์ ป็นอนตั ตา การฝึกสติดว้ ยการรักษาศีล (สีลภาวนา) มีการสารวมกาย วาจา ทาใหม้ ีสติในการบริโภคอาหาร ไดไ้ หวพ้ ระสวดมนตเ์ ชา้ เยน็ ไดส้ นทนาธรรม ได้ พบปะกบั ผสู้ ูงอายวุ ยั เดียวกนั ไดร้ ับคาแนะนาในการดารงชีวิตที่ดี ส่งผลให้จิตใจผอ่ นคลาย เบิกบานและ ไม่ประมาทในชีวิต การฝึ กสติดว้ ยการฝึ กจิต (จิตภาวนา) แบบเคลื่อนไหว ทาให้จิตรู้กาย เวทนา จิต ธรรม รู้สมมติ รู้อารมณ์ รู้ความรู้สึกนึกคิด ทาใหล้ ะความโลภ โกรธ หลงได้ ความทุกขจ์ ะค่อย ๆ จางหายไป และ การฝึ กสติข้นั ปัญญา (ปัญญาภาวนา) เป็ นการนาวิธีการฝึ กสติมาใชใ้ นชีวิตประจาวนั สามารถกาหนดรู้ อารมณ์ท่ีมากระทบ แยกแยะความดี ความชว่ั ความสุข ความทุกข์ ของกายและใจ รู้เท่า รู้ทนั รู้จกั กนั รู้จกั แก้ ได้ตลอดเวลา ทาให้ไม่เผลอตวั ไม่ประมาทในชีวิต จิตใจโล่ง โปร่ง เบา สบาย สามารถกาจัด ความเครียด ความวติ กกงั วล และความซึมเศร้า อนั เป็นสาเหตุแห่งทุกขท์ ้งั ปวงได้ ซ่ึงเป็นไปเพื่อการพฒั นา คุณภาพชีวติ ผสู้ ูงอายทุ ้งั ทางกาย สงั คม จิต และปัญญา ที่ยงั่ ยนื ตลอดไป ๑๑) วิลาวัณ ผลจันทร์ และ พระครูสังฆรักษ์เอกภทั ร อภิฉนฺโท (๒๕๕๙)ไดศ้ ึกษาวิจยั เร่ือง การ เสริมสร้างสุขภาวะแบบองค์รวมของผู้สูงอายุ ในสํานักปฏิบัติธรรมกรุงเทพมหานคร๑ ศึกษาการ เสริมสร้างสุขภาวะแบบองค์รวมและศึกษาปัจจยั เชิงพุทธกบั การเสริมสร้างสุขภาวะแบบองค์รวมของ ผูส้ ูงอายุในสานกั ปฏิบตั ิธรรม กรุงเทพมหานคร เป็ นการศึกษาวิจยั เชิงสัมพนั ธ์เปรียบเทียบโดยกาหนด ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ผูส้ ูงอายุซ่ึงเป็ นอาสาสมคั ร ในสานกั ปฏิบตั ิธรรมในกรุงเทพมหานคร จานวน ๔๐คน เคร่ืองมือวิจยั ไดแ้ ก่ เคร่ืองตรวจวดั สัญญาณชีพ และแบบสอบถาม โดยคุณภาพการวดั () = .๙๔๕ เก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยตรวจวดั สญั ญาณชีพ และแบบวดั สุขภาวะแบบองคร์ วม ก่อนและหลงั เจริญ จิตภาวนาตามหลกั อานาปานสติ วิเคราะห์ขอ้ มูลโดย ใชส้ ถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ จานวน ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติทดสอบ ไดแ้ ก่ t-test และ F-test ผลการศึกษาที่สาคญั พบดงั น้ี ประการ ๑ ๑ วลิ าวณั ผลจนั ทร์ และ พระครูสงั ฆรักษเ์ อกภทั ร อภิฉ๑นฺโท. ๒๕๕๙. การเสริมสร้างสุขภาวะแบบองคร์ วมของ ผสู้ ูงอายุ ในสานกั ปฏิบตั ิธรรมกรุงเทพมหานคร . ว.มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒(๑) : ๑๖-๒๓.

๓๘ ผลเปรียบเทียบ ก่อน-หลงั เจริญจิตภาวนา พบวา่ ผสู้ ูงอายใุ นสานกั ปฏิบตั ิธรรมหลงั จากท่ีไดเ้ จริญจิตภาวนา มีสุขภาวะแบบองค์รวมทุกดา้ นดีกว่า ก่อนเจริญจิตภาวนา โดยเฉพาะอย่างย่ิงสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ภายหลงั ที่ไดเ้ จริญจิตภาวนาแล้วส่งผลให้มีสุขภาวะแบบองค์รวมดีข้ึน ประการ ๒ ผูส้ ูงอายุในสานกั ปฏิบตั ิธรรม มีสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ดีกวา่ สุขภาวะดา้ นอื่น ๆ ไดแ้ ก่ ผูส้ ูงอายุท่ี (๑) มีอตั ราการหายใจ ต่างกนั (๒) มีอตั ราการเตน้ ของหวั ใจต่างกนั (๓) มีความดนั เลือดขณะท่ีหัวใจบีบตวั ต่างกนั (๔) มีความ ดันเลือดขณะท่ีหัวใจคลายตวั ต่างกนั (วดั ก่อนเจริญจิตภาวนา) มีสุขภาวะแบบองค์รวมโดยภาพรวม แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕ ประการ ๓ ผูส้ ูงอายุในสานกั ปฏิบตั ิธรรม (วดั หลงั เจริญจิตภาวนา) พบวา่ (๑) ผทู้ ่ีมีอตั ราการหายใจ ๑๙.๙๕ คร้ัง/นาที มีสุขภาวะแบบองคร์ วม ดีกวา่ ผูส้ ูงอายุ ที่มีอตั ราการหายใจ ๑๙.๙๖ คร้ัง/นาที (๒) ผทู้ ่ีมีอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ ๗๖.๙๓ คร้ัง/นาที มีสุขภาวะทาง จิตใจ ดีนอ้ ยกว่า ผูท้ ่ีมีอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ ๗๖.๙๔ คร้ัง/นาที ประการ ๔ ผูส้ ูงอายุในสานกั ปฏิบตั ิ ธรรม (วดั หลงั เจริญจิตภาวนา) พบวา่ (๑) ผทู้ ่ีมีความดนั เลือดขณะที่หวั ใจคลายตวั ๗๖.๑๘ มีสุขภาวะทาง สงั คม ดีกวา่ ผทู้ ี่มีความดนั เลือดขณะที่หวั ใจคลายตวั ๗๖.๑๙ (๒) ผทู้ ี่มีความดนั เลือดขณะท่ีหวั ใจคลายตวั ๗๖.๑๘ มีสุขภาวะทางจิตวญิ ญาณดีกวา่ ผทู้ ี่มีความดนั เลือดขณะท่ีหวั ใจคลายตวั ๗๖.๑๙ ๑๒) รพพี ร ฤาเดช และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวจิ ยั เร่ือง ผลของโปรแกรมสมาธิบาํ บัดตาํ มวถิ ีพุทธ ต่อความสุขในชีวติ ของผู้สูงอํายุ ทป่ี ่ วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ทช่ี ุมชนแห่งหน่ึงในจังหวดั เพชรบุรี๑ การศึกษาก่ึงทดลองแบบเปรียบเทียบสองกลุ่ม วดั ผลก่อนและหลงั การทดลองโดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษา ผลของโปรแกรม สมาธิบาบดั ตามวิถีพุทธต่อความสุขในชีวิตผูส้ ูงอายุท่ีป่ วยดว้ ยโรคความดนั โลหิตสูง กลุ่มตวั อยา่ งจานวน ๕๒ คน ไดร้ ับการสุ่มหลาย ข้นั โดยแบ่งเป็ นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ ๒๖ คน กลุ่มทดลองไดร้ ับโปรแกรมสมาธิบาบดั ตามวถิ ีพทุ ธ ๘ สัปดาห์ ที่ประยกุ ตแ์ นวคิดการดูแลมนุษย์ ของ วตั สนั และการดูแลโรคเร้ือรัง“เชิงพทุ ธบูรณาการ” ประกอบดว้ ย ๑)การช่วยเหลืออยา่ งไว้ วางใจ ๒) การส่งเสริมสัมพนั ธภาพระหว่างบุคคล ๓ )การสนบั สนุนสภาพแวดลอ้ มท่ีบา้ น และ ๔)การแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เก็บรวบรวม ขอ้ มูลดว้ ยแบบสอบถามขอ้ มูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองและ แบบสอบถามการรับรู้ความสุขในชีวิต โดยมี ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๗๕ และ ๐.๘๔ตามลาดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ ที ผลการวิจยั พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการดูแลตนเอง และการรับรู้ความสุขในชีวิตสูงกว่าก่อนการ ทดลองและสูงกว่ากลุ่ม เปรียบเทียบอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ในขณะท่ีกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดบั ความดนั โลหิตต่ากวา่ ก่อนการ ทดลองและต่ากวา่ กลุ่มเปรียบเทียบอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ผูว้ จิ ยั เสนอแนะวา่ โปรแกรมสมาธิบาบดั ตาม วถิ ีพุทธมีประสิทธิผล ทาใหผ้ สู้ ูงอายทุ ี่ป่ วยดว้ ยโรคความดนั โลหิตสูงมีความสุ ขในชีวิตมากข้ึน ดังน้ัน พยาบาลเวชปฏิบตั ิชุมชนและบุคลากรทางสุขภาพ ควรนาโปรแกรมฯ น้ีไปใช้ในการจดั บริการปฐมภูมิ ใหก้ บั ผสู้ ูงอายทุ ่ีป่ วยดว้ ยโรคความดนั โลหิตสูง เพ่ือส่งเสริมความสุขในชีวติ และภาวะสุขภาพที่ดี ๑ รพพี ร ฤาเดช และคณะ.๒๕๖๑. ผลของโปรแกรมส๒มาธิบาบดั ตามวถิ ีพทุ ธตอ่ ความสุขในชีวติ ของผสู้ ูงอายุ ที่ ป่ วยดว้ ยโรคความดนั โลหิตสูง ที่ชุมชนแห่งหน่ึงในจงั หวดั เพชรบรุ ี. ว.ทหารบก . ๑๙ (ฉบบั พิเศษ) : ๒๘๙-๒๙๘.

๓๙ ๑๓) ประยงค์ จันทร์แดง (๒๕๖๑)ได้ศึกษาเรื่อง การดูแลผู้สูงอายุตามแนวพุทธ: กรณีศึกษา โรงเรียนผู้สูงอายุในวัดเขตตําบลแม่กา อ.เมือง จ.พะเยา ๑ วตั ถุประสงค์ ๓ ประการคือ ๑) เพื่อศึกษากา๓ร ดูแลผสู้ ูงอายใุ นสงั คมไทยปัจจุบนั ๒) การดูแลผสู้ ูงอายตุ ามแนวพระพทุ ธศาสนา และ ๓) รูปแบบการดูแล ผูส้ ูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนาของโรงเรียนผูส้ ูงอายุในวดั เขตตาบลแม่กา อาเภอเมือง จงั หวดั พะเยา เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสารประกอบกับการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและการ สัมภาษณ์อยา่ งไม่เป็ นทางการ ผลการวจิ ยั พบวา่ การดูแลผสู้ ูงอายใุ นสังคมไทยเริ่มตน้ จากการดูแลสุขภาพ ตนเอง ส่วนครอบครัว ชุมชน และสังคมเป็ นฝ่ ายช่วยเหลือตามความเหมาะสมกบั สภาพร่างกายของ ผูส้ ูงอายุ เช่น การต้งั โรงเรียนผูส้ ูงอายุเพ่ือส่งเสริมผูส้ ูงอายกุ ลุ่มติดสังคมให้ทากิจกรรมเพ่ือสุขภาพ ส่วน การดูแลผูส้ ูงอายุตามแนวพุทธเป็ นการแสดงความกตญั ญูกตเวที โดยการดูแลท้งั ด้านร่างกายและจิตใจ เพือ่ ใหส้ ามารถพฒั นาตนตามแนวทางของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดงั ตวั อยา่ งท่ีพระครูสุจิณกลั ยาณ ธรรมไดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนผูส้ ูงอายทุ ่ีอาเภอพาน จงั หวดั เชียงราย โดยใชก้ ิจกรรมต่าง ๆ ในการพฒั นานกั เรียน ผูส้ ูงอายุ ซ่ึงรูปแบบน้ีเป็ นแนวทางใหก้ บั วดั แม่กาโทกหวาก และวดั แม่กาหว้ ยเคียน ต้งั โรงเรียนผูส้ ูงอายุ ข้ึนในเขตตาบลแม่กา โดยวดั ท้งั ๒ แห่งน้ี ไดพ้ ยายามประยกุ ตร์ ูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกบั บริบทของชุมชน ตาบลแม่กา โดยเน้นกิจกรรมตามหลกั ไตรสิกขา ซ่ึงวดั แม่กาโทกหวากดูจะสามารถ จดั การเรียนการสอนไดผ้ ลเป็นที่น่าพอใจกวา่ ๑๔) สมศรี สัจจะสกุลรัตน์ และคณะ (๒๕๖๑)ไดศ้ ึกษาวิจยั เรื่อง รูปแบบการจัดการสุขภาพของ ผู้สูงอายเุ ชิงพทุ ธบูรณาการ : กรณศี ึกษาเทศบาลตําบลบ้านต๋อม จังหวดั พะเยา๑ วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ๑) ศึกษา สภาพปัญหาและอุปสรรคในการจดั การสุขภาพของผสู้ ูงอายุในเทศบาลตาบลบา้ นต๋อม จงั หวดั พะเยา ๒) ศึกษาการจดั การสุขภาพของผสู้ ูงอายุ ตามหลกั วทิ ยาการสมยั ใหมแ่ ละพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๓) นาเสนอ รู ปแบบการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุเชิงพุทธบูรณาการ วิธีการวิจัยใช้แบบผสม เชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย ไดแ้ ก่ ผูส้ ูงอายุ (๖๐ ปี ข้ึนไป) และผูท้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั ผูส้ ูงอายุ จานวน ๔๐ รูป/คน สุ่ม แบบเจาะจง โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และวเิ คราะห์เน้ือหา และเชิงปริมาณ ประชากร ไดแ้ ก่ผสู้ ูงอายทุ ่ีอาศยั อยูใ่ นเทศบาลตาบลบา้ นต๋อม จานวน ๒,๑๑๖ คน คานวณกลุ่มตวั อย่างใช้สูตร ทาโร ยามาเน่ ได้ ๓๓๗ คน สุ่มแบบง่าย ใชแ้ บบสอบถามคุณภาพชีวติ ของผูส้ ูงอายุ ขององคก์ ารอนามยั โลกชุดยอ่ ฉบบั ภาษาไทย และกลุ่มผดู้ ูแล จานวน ๑๐ คน สุ่มแบบเจาะจง ใชแ้ บบวดั ความเครียดของสวนปรุง วเิ คราะห์ดว้ ยสถิติเชิง พรรณนา และตรวจสอบความถูกตอ้ งดว้ ยการประชุมเชิงปฏิบตั ิการ จานวน ๑๔ คน ผลการวิจยั พบวา่ ๑) สภาพปัญหา อุปสรรค ในการจดั การสุขภาพของผูส้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ ขอ้ จากดั เร่ืองเวลาไม่ตรงกนั แผนขาด ๑ ประยงค์ จนั ทร์แดง. ๒๕๖๑. การดูแลผสู้ ูงอายตุ ามแ๓นวพทุ ธ: กรณีศึกษาโรงเรียนผสู้ ูงอายใุ นวดั เขตตาบลแม่ กา อ.เมือง จ.พะเยา .ว.วชิ าการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ๒๖(๕๒): ๒๘-๔๘. ๑ สมศรี สจั จะสกลุ รัตน์ และคณะ . ๒๕๖๑. รูปแบบก๔ารจดั การสุขภาพของผสู้ ูงอายเุ ชิงพทุ ธบูรณาการ : กรณีศึกษาเทศบาลตาบลบา้ นต๋อม จงั หวดั พะเยา. ว.การพยาบาล การสาธารณสุขและการศึกษา วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราช ชนนี จงั หวดั พะเยา. ๑๙ (๒) : ๑๒๐-๑๓๒.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook