Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາການຈັດການ ການດຳເນີນງານoperation management

ວິຊາການຈັດການ ການດຳເນີນງານoperation management

Published by lavanh5579, 2021-08-25 01:41:51

Description: ວິຊາການຈັດການ ການດຳເນີນງານoperation management

Search

Read the Text Version

ดำเนินปรับแก้ชอ่ ง (A,1) เนอื่ งจำกมีคำ่ E11 = -1 ซ่ึงมีค่ำเป็นลบที่มำกที่สุด เมื่อพิจำรณำ ช่องท่ีมีกำรจัดสรรที่สัมพันธ์กับช่อง (A,1) พบว่ำ ช่อง (A,3) มีต้นทุนสูงที่สุด ดังนั้นจะต้องพยำยำม จัดสรรจำกชอ่ ง (A,3) มำยงั (A,1) ซ่งึ ทำให้ไปกระทบกบั ช่อง (B,1) และ (B,3) ดังภำพที่ 8.20 ภำพท่ี 8.20 แสดงวงจรกำรปรับปรุงกำรกระจำย (MODI) เม่อื ขยำยโรงงำน C ครัง้ ที่ 1 โรงงาน ลูกค้า 1 2 3 ai A +5 6 -7 200 B -4 6 200 250 +5 300 50 C 5 46 300 250 50 bj 250 250 300 800 ปรับปรุงผลลัพธ์โดย จัดสรรจำกช่อง (A,3) จำนวน 200 หน่วยมำยังช่อง (A,1) และลดช่อง (B,1) เหลือ 50 หน่วย ไปเพม่ิ ช่อง (B,3) เปน็ 250 หนว่ ย ดังภำพท่ี 8.21 ภำพท่ี 8.21 แสดงผลลัพธ์กำรปรับปรุงกำรกระจำย (MODI) เมื่อขยำยโรงงำน C คร้งั ท่ี 1 โรงงาน ลูกคา้ 1 2 3 ai R1=0 A 6 7 R2 =-1 5 200 200 4 65 B 300 50 250 C 5 4 6 300 R3=0 250 50 bj 250 250 300 800 K1=5 K2=4 K3=6 การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 227

4) หำค่ำ R และ K กำรปรับปรงุ ผลลัพธ์ ช่อง (A,1) C11 = R1 + K1 5 = 0 + K1 ---> K1 = 5 ช่อง (B,1) C21 = R2 + K1 4 = R2 + 5 ---> R2 = -1 ช่อง (B,3) C23 = R2 + K3 5 = -1 + K3 ---> K3 = 6 ชอ่ ง (C,3) C33 = R3 + K3 6 = R3 + 6 ---> R3 = 0 ช่อง (C,2) C32 = R3 + K2 4 = 0 + K2 ---> K2 = 4 5) หำคำ่ ดชั นกี ำรปรบั ปรงุ (Improvement Index: Eij) ช่อง (A,2) E12 = C12 - R1 - K2 = 6 - 0 - 4 = 2 ชอ่ ง (A,3) E13 = C13 - R1 - K3 = 7 - 0 - 6 = 1 ช่อง (B,2) E22 = C22 - R2 - K2 = 6 -(-1) - 4 = 3 ชอ่ ง (C,1) E31 = C31 - R3 - K1 = 5 - 0 - 5 = 0 ค่ำ Eij มำกกว่ำ 0 ทุกค่ำ จึงไม่ต้องทำกำรปรับปรุง ดังน้ันเมื่อพิจำรณำขยำยโรงงำน C จะมี ตน้ ทนุ กำรขนสง่ รวมท้งั สนิ้ = (200x5) + (50x4) + (250x5) + (250x4) + (50x6) = 3,750 บำท พิจำรณำกำรขยำยโรงงำนไปที่แหล่งท่ีตั้ง D ดำเนินกำรเช่นเดียวกับกำรขยำยโรงงำนไปท่ี แหลง่ ที่ตัง้ C สำมำรถสร้ำงตัวแบบขนส่งไดด้ ังตำรำงท่ี 8.22 228 การเลือกทาเลทตี่ ง้ั | Location Decisions

ตำรำงท่ี 8.22 แสดงกำรวิเครำะหต์ วั แบบกำรขนสง่ วิธีชอ่ งทำงค่ำใช้จำ่ ยท่ตี ำ่ ที่สุดเม่อื ขยำยโรงงำน D โรงงาน ลกู คา้ 1 2 3 ai A 5 6 57 200 R1=0 200 14 6 45 300 R2=-2 B 50 250 D 6 24 35 300 R3=-2 250 50 bj 250 250 300 800 K1=6 K2=6 K3=7 1) จำนวนครั้งท่จี ัดสรร = 5 = 3+3-1 สำมำรถใช้วธิ ี MODI ปรบั ปรงุ ผลลพั ธไ์ ด้ 2) หำค่ำ R และ K กำรปรบั ปรงุ ผลลัพธ์ ช่อง (A,3) C13 = R1 + K3 ช่อง (B,3) 7 = 0 + K3 ---> K3 = 7 C23 = R2 + K3 5 = R2 + 7 ---> R2 = -2 ช่อง (B,1) C21 = R2 + K1 4 = -2 + K1 ---> K1 = 6 ช่อง (D,3) C33 = R3 + K3 5 = R3 + 7 ---> R3 = -2 ช่อง (D,2) C32 = R3 + K2 4 = -2 + K2 ---> K2 = 6 3) หำคำ่ ดชั นีกำรปรับปรุง (Improvement Index: Eij) ช่อง (A,1) E11 = C11 - R1 - K1 = 5 - 0 - 6 = -1 ช่อง (A,2) E12 = C12 - R1 - K2 = 6 - 0 - 6 = 0 ช่อง (B,2) E22 = C22 - R2 - K2 = 6 -(-2)-6 = 2 การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 229

ชอ่ ง (D,1) E31 = C31 - R3 - K1 = 6 -(-2)-6 = 2 ดำเนนิ กำรปรบั แก้ชอ่ ง (A,1) ดังตำรำงที่ 8.23 ตำรำงท่ี 8.23 แสดงผลลัพธก์ ำรปรับปรงุ กำรกระจำย (MODI) เม่ือขยำยโรงงำน D คร้งั ท่ี 1 โรงงาน ลกู คา้ 1 2 3 ai A 6 5 7 200 R1=0 200 4 6 5 300 R2=-1 B 250 50 D 6 4 5 300 R3=-1 250 50 bj 250 250 300 800 K1=5 K2=5 K3=6 4) หำค่ำ R และ K ในกำรปรับปรุงผลลัพธ์ ช่อง (A,1) (B,1) และ (B,3) จะมีค่ำเช่นเดียวกับกำร ปรับปรงุ ผลลัพธ์ในกำรขยำยโรงงำน C เนือ่ งจำกมีตน้ ทนุ และปรมิ ำณท่ปี รบั แก้เท่ำกัน ไดค้ ่ำ K1 = 5 , R2 = -1 , K3 = 6 ชอ่ ง (D,3) C33 = R3 + K3 5 = R3 + 6 ---> R3 = -1 ช่อง (D,2) C32 = R3 + K2 4 = -1 + K2 ---> K2 = 5 5) หำคำ่ ดัชนีกำรปรบั ปรงุ (Improvement Index: Eij) ชอ่ ง (A,2) E12 = C12 - R1 - K2 = 6 - 0 - 5 = 1 ช่อง (A,3) ช่อง (B,2) E13 = C13 - R1 - K3 = 7 - 0 - 6 = 1 ช่อง (D,1) E22 = C22 - R2 - K2 = 6 -(-1) - 5 = 2 E31 = C31 - R3 - K1 = 6 -(-1) - 5 = 2 ค่ำ Eij มำกกว่ำ 0 ทุกค่ำ จึงไม่ต้องทำกำรปรับปรุง ดังนั้นเมื่อพิจำรณำขยำยโรงงำน D จะมี ต้นทนุ กำรขนส่งรวมทั้งสนิ้ = (200x5) + (50x4) + (250x5) + (250x4) + (50x5) = 3,700 บำท ตอบ เลอื กขยำยโรงงำน D เนอื่ งจำกมตี น้ ทนุ รวมต่ำท่สี ุด 3,700 บำท 230 การเลอื กทาเลทต่ี ้งั | Location Decisions

การตดั สนิ ใจเลอื กทาเลที่ตงั้ ดว้ ยวธิ ีการเชงิ คณุ ภาพ เป็นเทคนิคกำรตัดสินใจ จำกปัจจัยในกำรเลือกทำเลท่ีต้ังต่ำง ๆ ที่ไม่สำมำรถนำมำ เปรยี บเทียบดว้ ยวธิ กี ำรเชิงปริมำณได้อย่ำงชัดเจน โดยมีเทคนิคในกำรเลอื กทำเลทตี่ ั้งดงั ตอ่ ไปนี้ 1.การจัดลาดับความสาคัญของปัจจัย (Ranking Technique) เป็นกำรใช้วิจำรณญำณ ของผู้ประเมนิ ในกำรจดั ลำดับควำมสำคัญของปัจจยั ในกำรเลือกทำเลทีต่ ้งั ข้อมลู ประกอบกำรตดั สินใจ อำจจะดำเนินกำรลงพื้นที่สำรวจเบ้ืองต้น ทำกำรเปรียบเทียบคุณสมบัติของปัจจัยในแต่ละพ้ืนท่ี เรียง ตำมลำดบั ควำมสำคัญแลว้ หำข้อสรปุ ร่วมกันวำ่ สถำนทใี่ ดเหมำะสมทีส่ ุด ดังตวั อยำ่ งตอ่ ไปน้ี ตำรำงท่ี 8.24 แสดงกำรเรยี งลำดบั ควำมสำคัญของปัจจัย ปัจจยั ทาเล ก. ทาเล ข. ทาเล ค. 1.ปริมำณลกู คำ้ น้อย ปำนกลำง สงู ปำนกลำง ใกล้ 2.กำรใกลแ้ หลง่ วัตถดุ ิบ ไกล ปำนกลำง ดีมำก ไมด่ ี 3.ฝมี ือแรงงำน ดี ดี นอ้ ย มำก ปำนกลำง 4.กำรขนส่งสะดวก ดีมำก มำก ปำนกลำง 5.ควำมพร้อมสำธำรณูปโภค ปำนกลำง ปำนกลำง 6.กำรระบำยนำ้ เสยี ไมด่ ี 7.คู่แข่ง มำก จำกตำรำงที่ 8.24 ทำกำรเลือกทำเลท่ีตั้ง ทำเล ข. เน่ืองจำกภำพรวมของปัจจัยมีควำม สม่ำเสมอ ส่วนทำเล ก. และ ค. มีบำงปจั จัยทโ่ี นม้ เอยี งไปในทำงไม่ดจี ึงไมต่ ัดสนิ ใจเลือก 2.วิธีการให้คะแนนถว่ งน้าหนัก (Factor Rating System) เป็นวิธีกำรทีใ่ ห้ควำมสำคัญกับ ปัจจัยต่ำง ๆ ที่เก่ียวข้อง โดยพิจำรณำจำกน้ำหนักในแต่ละปัจจัย ซึ่งได้จำกกำรศึกษำข้อมูล ทำกำร ตัดสินใจให้คะแนนในแต่ละพ้ืนท่ี จำกนั้นจึงนำมำคิดคะแนนเฉล่ียถ่วงน้ำหนัก พ้ืนที่ใดมีคะแนนมำก ที่สุดจึงตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งไปยังพื้นที่นั้น (Heizer and Render, 2011: 352) ตัวอย่ำงกำร ตดั สนิ ใจดงั ตำรำงที่ 8.25 การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 231

ตำรำงท่ี 8.25 แสดงวธิ กี ำรเลือกทำเลทตี่ ัง้ โดยวิธกี ำรใหค้ ะแนนถว่ งนำ้ หนัก ปัจจยั น้าหนกั คะแนน คะแนนถ่วงน้าหนกั อดุ รธานี ขอนแกน่ อดุ รธานี ขอนแกน่ แหล่งวตั ถดุ ิบ 0.20 90 80 (90x0.20) = 18.00 (80x0.2) = 16.00 ฝมี ือแรงงำน 0.30 80 90 (80x0.30) = 24.00 (90x0.3) = 27.00 กำรคมนำคม 0.10 70 85 (70x0.10) = 7.00 (85x0.1) = 8.50 ตลำด 0.15 85 80 (85x0.15) = 12.75 (80x0.15) = 12.00 สำธำรณปู โภค 0.25 80 70 (80x0.25) = 20.00 (70x0.25) = 17.50 รวม 1.00 81.75 81.00 ตอบ เลือกขยำยโรงงำนท่ี อุดรธำนีเพรำะมีคะแนนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเท่ำกับ 81.75 คะแนน มำกกวำ่ คะแนนเฉลยี่ ถว่ งนำ้ หนักท่ขี อนแก่น บทสรปุ กำรเลือกทำเลที่ต้ังเป็นกำรตัดสินใจที่สำคัญของผู้บริหำรเน่ืองจำกส่งผลต่อควำมสำมำรถใน กำรแข่งขันของธุรกิจ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อกำรตัดสินใจในกำรเลือกทำเลที่ต้ังสำมำรถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ปัจจยั เชิงปรมิ ำณ สำมำรถวดั ค่ำออกมำเป็นตวั เลขได้ เช่น คำ่ ขนส่ง คำ่ ก่อสร้ำง ค่ำจ้ำงแรงงำน ค่ำพลังงำนและสำธำรณูปโภค เป็นต้น 2) ปัจจัยเชิงคุณภำพ เป็นปัจจัยที่ไม่สำมำรถ ประเมนิ คำ่ เป็นตัวเงนิ ไดอ้ ยำ่ งชดั เจน อำทิเชน่ ส่ิงแวดล้อม ทศั นคตขิ องชมุ ชนที่มตี อ่ ธุรกจิ เป็นต้น เทคนิควิธีในกำรตัดสินใจเลือกทำเลที่ต้ังมีอยู่หลำยวิธี เทคนิคกำรเลือกทำเลท่ีต้ังด้วยวิธีเชิง ปรมิ ำณ ตวั อย่ำงเช่น 1) เมตรกิ ซ์กำรตัดสนิ ใจ 2) กำรวเิ ครำะห์ระยะทำงกำรขนส่งด้วยวิธจี ุดศูนย์ดุล และ 3) ตัวแบบกำรขนส่ง เป็นต้น เทคนิคกำรเลือกทำเลที่ตั้งดว้ ยวิธีเชิงคุณภำพ ตัวอย่ำงเช่น 1) กำร จัดลำดับควำมสำคัญของปัจจัย และ 2) วิธีกำรให้คะแนนถ่วงน้ำหนัก เป็นต้น อย่ำงไรก็ตำมในกำร ตัดสินใจเลือกทำเลท่ีตั้งนั้น ผู้บริหำรควรไตร่ตรองด้วยควำมรอบคอบ และกำรพิจำรณำเลือกทำเล ที่ต้ังจะต้องพิจำรณำปัจจัยต่ำง ๆ ทั้งที่เป็นปัจจัยเชิงคุณภำพและปัจจัยเชิงปริมำณท้ังน้ีเพ่ือให้เกิด ประโยชน์สงู สุดต่อธุรกจิ 232 การเลอื กทาเลทต่ี ัง้ | Location Decisions

คาถามทา้ ยบท 1.จงอธิบำยปัจจยั ทสี่ ำคัญทส่ี ่งผลต่อกำรตัดสนิ ใจเลือกทำเลทตี่ ั้งธุรกิจกำรผลิต 2.จงอธบิ ำยปัจจยั ท่ีสำคญั ที่ส่งผลต่อกำรตดั สินใจเลือกทำเลทต่ี ้ังธรุ กจิ กำรบริกำร 3.บริษัทผลิตแห่งหนึ่งวำงแผนจะขยำยกำลงั กำรผลติ โดยเปรียบเทียบกัน 3 สถำนท่ี กำหนดรำคำขำย หน่วยละ 100 บำท โดยมตี ้นทุนต่ำง ๆ ในแต่ละสถำนท่ดี งั นี้ สถานท่ตี ัง้ ต้นทุนคงท่ีตอ่ ปี (บาท) ตน้ ทุนผันแปรตอ่ หนว่ ย (บาท) 1,000,000 80 แหล่งท่ี 1 1,200,000 แหล่งท่ี 2 1,500,000 75 แหล่งที่ 3 70 ปริมำณควำมตอ้ งกำรจะขนึ้ กับสภำพเศรษฐกจิ และควำมน่ำจะเป็นท่เี กิดข้ึนดังนี้ บริษทั จะ เลือกทำเลทต่ี ้งั ไปทใ่ี ด สภาพเศรษฐกจิ ความตอ้ งการ (หนว่ ย) ความน่าจะเป็น ดี 60,000 0.25 ปำนกลำง 40,000 0.50 แย่ 20,000 0.25 4.บริษัทแห่งหน่ึงวำงแผนจัดตั้งศูนย์กระจำยสินค้ำโดยมีข้อมูลพิกัดและปริมำณท่ีจัดส่ง ดังตำรำง บรษิ ทั จะเลอื กทำเลท่ตี ้ังท่ีใด จุดรับซื้อ พิกัด ปรมิ าณทีจ่ ดั สง่ (หนว่ ย) A (2,5) 15,000 B (8,4) 20,000 C (5,8) 18,000 การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 233

5.บริษัทแห่งหน่ึงมีโรงงำนย่อย 2 โรงงำน ทำกำรจัดส่งสินค้ำให้กับลูกค้ำ 3 บริษัท ซึ่งมีรำยละเอียด ต้นทุน กำลงั กำรผลติ และควำมตอ้ งกำรของลูกค้ำดังตำรำง โรงงาน ต้นทนุ การขนส่งตอ่ หนว่ ย (บาท) กาลงั การผลติ 123 (หนว่ ย) A 350 B 456 ความต้องการ (หนว่ ย) 345 450 300 400 300 บริษทั จะเลือกขยำยโรงงำน C หรอื D เพ่ือผลิตให้เพยี งพอ เมื่อมตี ้นทนุ กำรขนสง่ ดงั ตำรำง โรงงาน ตน้ ทนุ การขนส่งต่อหน่วย (บาท) 123 C 543 D 534 เอกสารอา้ งองิ รำชกิจจำนเุ บกษำ. (2548). กำหนดหลักเกณฑ์ วธิ กี ำรและเงอ่ื นไขกำรจดั ตั้งนิคมอตุ สำหกรรม พ.ศ. 2548 สทุ ธมิ ำ ชำนำญเวช. (2555). การวิเคราะหเ์ ชิงปริมาณ. พิมพ์ครั้งท่ี 6, กรงุ เทพฯ: วทิ ยพัฒน์, 178. Heizer, J. and Render, B. (2011). Operations Management. 10th Global Edition, Pearson Prentice Hall, 352. Render, B., Stair, R.M. and Hanna, M.E. (2011). Quantitative Analysis for Management. 11th Edition, Pearson Prentice Hall, 71-72. Russell, R.S. and Taylor III, B.W. (2011). Operations Management. 7th Edition, John Wiley & Sons (Asia), 304. 234 การเลอื กทาเลทต่ี ง้ั | Location Decisions

การวางผงั สถานประกอบการ Layout Decisions เน้อื หาประจาบท - ความสาคัญในการวางผงั สถานประกอบการ - ประเภทการวางผงั สถานประกอบการ - การวางผงั ตามตาแหน่งงาน - การวางผังตามกระบวนการ - การวางผังตามผลติ ภณั ฑ์ - การวางผังกลุม่ เซลลป์ ฏบิ ัตกิ าร - การวางผังสานักงาน - การวางผงั สาหรบั ธรุ กจิ ค้าปลกี - การวางผังคลังสนิ คา้ - เทคนิคการออกแบบผงั ทมี่ ีประสิทธภิ าพ - บทสรุป วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพื่อให้ผ้ศู กึ ษาสามารถอธบิ าย - ความสาคญั ในการวางผังสถานประกอบการ - ประเภทการวางผังสถานประกอบการลักษณะต่าง ๆ เพ่อื ให้ผู้ศึกษาสามารถ ระบุ กาหนด และแสดงวิธกี ารวางผัง - เทคนิคการจดั ผังกลุ่มงาน เทคนิคการจดั ผังเชิงความสัมพันธ์ และเทคนิคการจัด สายการผลติ ให้สมดุล การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 235

บทที่ 9 การวางผงั สถานประกอบการ Layout Decisions สถานประกอบการธุรกิจแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้พื้นท่ีและการเคล่ือนย้ายภายในที่ แตกต่างกัน ธุรกิจการผลิตจะคานึงถึงกระบวนการผลิต ตาแหน่งการติดต้ังเคร่ืองจักรแต่ละประเภท ช่องทางสาหรับการเคลอื่ นย้ายวตั ถดุ ิบ สินค้าคงคลัง และช่องทางการส่อื สาร เพ่ือลดเวลาสญู เปลา่ ลง ใหไ้ ด้มากท่ีสดุ ทาใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพในการผลิต สาหรับธุรกิจการบริการ การวางผังสถานประกอบการจะคานึงถึงความสะดวกและความ สวยงาม จะต้องคานึงถึงพื้นท่ีในการให้บริการ การตกแต่งภายใน การควบคุมแสงสว่าง การควบคุม เสยี ง การเคลอื่ นย้ายลูกค้าและพนักงาน เพือ่ สร้างความพึงพอใจและความประทบั ใจให้กับลูกคา้ ธุรกิจค้าปลีกหรือ ธุรกิจการกระจายสินค้า จะมีการวางผังท่ีแตกต่างกันออกไปตามลักษณะ พฤติกรรมของลูกค้า อัตราการหมุนเวียนสินค้าแต่ละประเภท ขนาดและน้าหนัก รวมท้ังอายุการเก็บ รักษาของสนิ ค้า ทาใหก้ ารวางผงั สถานประกอบการจะแตกตา่ งกันออกไป นอกจากน้ี การวางผังสานักงาน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร การสั่งการภายในองค์กร รวมท้ังงานเอกสารต่าง ๆ จะมีลักษณะการวางผังที่เน้นประสิทธิภาพในการ จัดการข้อมูลที่เกิดข้ึน เนื้อหาในบทน้ีจะกล่าวถึง ความสาคัญของการวางผังสถานประกอบการ การ วางผังสถานประกอบการแต่ละประเภท และเทคนิคการวางผังประกอบการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ล สรา้ งความได้เปรยี บในการแข่งขนั อยา่ งย่ังยนื 236 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

ความสาคญั ในการวางผงั สถานประกอบการ การวางผังสถานประกอบการเปน็ กลยทุ ธ์ท่ีสาคญั ในการสร้างความไดเ้ ปรยี บในการแข่งขันกับ คู่แข่ง ช่วยลดต้นทุนในการดาเนินงาน การวางผังที่ดีสามารถลดระยะเวลาสูญเปล่าที่ไม่จาเป็น ปฏิบัติงานได้อย่างยืดหยุ่น เกิดความคล่องตัวในการเคล่ือนย้ายต่าง ๆ ภายในสถานประกอบการ ทั้ง วัตถุดิบ สินค้าคงคลัง ข้อมูลข่าวสาร แรงงาน และเคร่ืองจักรท่ีใช้ในการขนถ่ายและเคลื่อนย้ายทาให้ เกิดประสิทธิภาพในการดาเนินงาน รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับลูกค้าเกิดความพึงพอใจและ สร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรอีกด้วย ในการวางผังสถานประกอบการปัจจัยที่สาคัญในการตัดสินใจที่ จะต้องพจิ ารณามีดังนี้ 1. การใช้พ้ืนที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการจัดวางเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการทางาน การเว้นระยะช่องทางในการเคล่ือนย้ายหรือขนถ่าย วัสดุ วัตถุดิบ สินค้าคงคลัง แรงงาน และเคร่ืองจกั รท่มี ีการเคลอื่ นทใ่ี ห้มีประสทิ ธิภาพ 2. การเชื่อมโยงการทางาน การสื่อสารในการทางาน ทาให้การไหลของข้อมูลข่าวสาร การ สั่งการที่มปี ระสิทธภิ าพ ลดความผดิ พลาดในการส่อื สาร 3. การสร้างสภาพแวดล้อมในการทางาน เช่น แสงสว่าง เสียง อุณหภูมิ ฝุ่น พ้ืนท่ีต่าง ๆ ท่ี อันตราย หรือพื้นท่ีจาเป็นจะต้องดูแลและควบคุมเป็นพิเศษ ให้เกิดบรรยากาศในการ ทางานที่ดแี ละปลอดภัย 4. การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยเฉพาะธุรกิจการบริการหรือธุรกิจค้าปลีกที่ลูกค้ามีส่วนรว่ ม ในกระบวนการ การวางผังสถานประกอบการจะต้องคานึงถึงพฤติกรรมและความ ต้องการขอลูกค้า เช่นการอานวยความสะดวกในการเลือกซ้ือ การจัดสินค้าที่มีอัตราการ หมุนเวียนเร็วไว้ด้านหน้า การวางสินค้าที่มีน้าหนักมากหรือช้ินใหญ่ให้ใกล้กับจุดที่มีการ ขนถ่ายหรือเคล่ือนย้าย การเว้นช่องทางเดินให้กับลูกค้า รวมไปถึงการตกแต่งสถานที่ การควบคุมแสง อุณหภูมิ เสียงท่ีส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้า เพ่ือสร้างบรรยากาศท่ีดี ให้กบั ลกู ค้า 5. ความยืดหยุ่นในการเปล่ียนแปลง จะต้องวางผังให้มีความยืดหยุ่นเม่ือมีการเปลี่ยนแปลง ขั้นตอนหรือกระบวนการดาเนินงาน การเปลี่ยนอุปกรณ์ เคร่ืองจักร หรือเทคโนโลยีท่ี นามาใชห้ รือมีการขยายกาลงั การผลิตในอนาคต การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 237

ประเภทการวางผงั สถานประกอบการ การวางผังสถานประกอบการ สามารถแบง่ ตามลักษณะการทางานได้ 7 ประเภทดงั นี้ 1. การวางผงั ตามตาแหน่งงาน (Fixed – Position Layout) 2. การวางผังตามกระบวนการ (Process Layout) 3. การวางผงั ตามผลิตภณั ฑ์ (Product Layout) 4. การวางผงั กลุม่ เซลล์ปฏิบัตกิ าร (Work-cell Layout) 5. การวางผังสานักงาน (Office Layout) 6. การวางผงั สาหรบั ธุรกิจคา้ ปลีก (Retail Layout) 7. การวางผงั คลังสนิ คา้ (Warehouse Layout) การวางผังสถานประกอบการ ในการดาเนินงาน สิง่ ทีผ่ ูบ้ รหิ ารจะต้องตัดสินใจในการออกแบบ และวางแผนเพอื่ จดั ผังสถานประกอบการได้แก่ 1. อุปกรณ์การขนถ่ายและเคล่ือนย้ายภายใน จะพิจารณาประกอบลักษณะสิ่งที่จะต้อง เคลื่อนย้ายว่าเหมาะสมที่จะใช้อุปกรณ์ใด เช่น สายพานอัตโนมัติ ลิฟต์ขนสินค้า เครน ป้ันจ่ัน รถยก หรือเทคโนโลยีในการขนถ่าย ได้แก่ ระบบลาเลียงอัตโนมัติ เอจีวี หรือ ระบบจัดเกบ็ สนิ คา้ อตั โนมตั ิ 2. กาลังการผลติ และข้อกาหนดการใชพ้ ้ืนท่ี จะต้องทาการพิจารณาถึงกาลงั การผลิตที่ใชใ้ น ปัจจุบันรวมถึงแนวโน้มในอนาคต เพ่ือจัดสรรพื้นท่ีในการดาเนินการผลิต พื้นท่ีในการ ทางานของพนกั งาน พื้นที่ในการจดั เก็บอุปกรณ์และสนิ ค้าคงคลัง พนื้ ทีว่ ่างท่ใี ชใ้ นการขน ถ่ายหรือเคลื่อนย้ายภายในให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ในการเคล่ือนย้าย พ้ืนท่ีอันตรายหรือ พน้ื ทค่ี วบคมุ พิเศษ 3. สภาพแวดล้อมและความสวยงาม จะต้องเออ้ื ต่อการทางานเช่น การออกแบบการถ่ายเท ของอากาศ แสงสวา่ ง การป้องกันเสียง ฝุ่น ลม การออกแบบสภาพแวดล้อมใหส้ วยงาม เช่น มีพื้นที่สเี ขยี วสาหรบั ปลูกต้นไม้ หรอื สวนหยอ่ ม เปน็ ตน้ 238 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

4. การติดต่อสื่อสาร จะต้องพิจารณาถึงการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร ช่องทางในการ สื่อสารต่าง ๆ เช่น ป้าย ประกาศ ระบบเสียงตามสาย จุดลงเวลา ระบบการแจ้งเตือน หรอื การออกแบบระบบแลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ เป็นตน้ 5. ต้นทุนในการจัดผังสถานประกอบการ การเลือกเทคโนโลยีในการเคลื่อนย้าย ระบบ ข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการผลิตหรือการให้บริการลูกค้า รวมทั้งการ ออกแบบสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นการลงทุนสูง ผู้บริหารจะต้องพิจารณาและตัดสินใจ อยา่ งรอบคอบ การวางผงั ตามตาแหน่งงาน การวางผังตามตาแหนง่ งาน (Fixed – Position Layout) เปน็ การวางผงั โดยให้ชน้ิ งานอยู่กับ ท่ี ใช้กับการผลติ สินค้าที่มีขนาดใหญ่ไมส่ ามารถเคลอ่ื นย้ายได้ หรือทาการเคลอื่ นย้ายได้ยาก เช่น การ ต่อรถบรรทุกขนาดใหญ่ การประกอบเคร่ืองบิน การก่อสร้างอาคารบ้านเรือน การต่อเรือเดินสมุทร เป็นต้น จึงต้องมีการเคล่ือนย้ายปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เข้าไปยังตาแหน่งในการผลิตของสินค้า ได้แก่ แรงงาน เคร่อื งจกั ร อุปกรณ์ วัสดหุ รอื วตั ถดุ ิบตา่ ง ๆ ตามลาดับการดาเนนิ งาน ดงั ภาพท่ี 9.1 ภาพท่ี 9.1 แสดงการประกอบเคร่อื งบนิ ขนาดใหญ่ (ทีม่ า: Marian Wang, 2011) การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 239

การวางผังตามตาแหน่งงานมีข้อดีคือ ไม่จาเป็นจะต้องเคล่ือนย้ายชิ้นงานขนาดใหญ่ การวาง ผงั ทาได้ง่ายมีความยดื หยุ่น งา่ ยตอ่ การวางแผนและควบคุมการดาเนินงาน แตม่ ีขอ้ เสียได้แก่ เวลาสูญ เปล่าท่ีเกิดจากการลาเลียงอุปกรณ์เคร่ืองจักรต่าง ๆ เพื่อดาเนินงานในขั้นตอนถัดไป มีอัตราการผลิต ตา่ และไมส่ ามารถผลิตครงั้ ละมาก ๆ ได้ การวางผงั ตามกระบวนการ การวางผังตามกระบวนการ (Process Layout) เป็นการรวมกลุ่มงานหรือเครื่องจักรไว้เป็น หมวดหมู่ตามกระบวนการหรือตามลักษณะงานท่ีคลา้ ยกนั ในแต่ละแผนก บางคร้งั อาจเรยี กว่าการวาง ผังแบบตามกลุ่มหน้าท่ี (Functional Layout) เช่น ในการผลิตแบ่งพ้ืนท่ีออกเป็นแผนกเชื่อม กลึง เจาะ ตัด โดยรวมเครื่องจักรที่ทาหน้าท่ีเหมือนกันอยู่แผนกเดียวกัน การแบ่งกลุ่มงานในสานักงาน ออกเป็นแผนกบัญชี การเงิน บริการลูกค้า เป็นต้น หรือ ธุรกิจค้าปลีกที่แบ่งประเภทสินค้ากลุ่ม เดียวกันไว้ดว้ ยกัน เพือ่ สะดวกในการจัด การเลือกซ้ือและการเคลอื่ นยา้ ย ดงั ภาพท่ี 9.2 แผนกตัด เจาะ แผนกประกอบ แผนกตรวจสอบ 5 6 11 2 5 6 แผนกเชือ่ ม แผนกกลึง 2 3 แผนกสี AB 4 3 สินคา้ 4 ภาพท่ี 9.2 แสดงการการวางผังตามกระบวนการผลิต การวางผังตามกระบวนการมีข้อดีคือ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้เคร่ืองจักรหรืออุปกรณ์ ร่วมกัน และขยายกาลังการผลิตได้ง่าย แต่มีข้อเสียได้แก่ การวางแผนและควบคุมการผลิตมีความ ซับซ้อนและยุ่งยาก ประสิทธิภาพจากการใช้เครื่องจกั รมีต่า มีสินค้าคงคลังประเภทงานระหวา่ งทาสูง การลาเลยี งหรอื เคล่อื นย้ายทาได้ยากจึงไมส่ ามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้ 240 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

การวางผงั ตามผลติ ภณั ฑ์ การวางผังตามผลิตภัณฑ์ (Product Layout) เป็นการวางผังท่ีมีการจัดวางตาแหน่งของ เคร่ืองจักรตามลาดับข้ันตอนของการผลิตผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ซ่ึงบางคร้ังจะเรียกว่าเป็นการวางผัง โรงงานแบบลาดับข้ันตอน (Sequential Layout) การวางผังตามชนิดของผลิตภัณฑ์นี้ควรใช้กับ อตุ สาหกรรมการผลติ ทีม่ ีการผลติ ในปริมาณมากแตน่ ้อยชนิดและผลติ ภณั ฑม์ ีมาตรฐานท่แี น่นอน นยิ ม ใช้สายพานลาเลียงแบบอัตโนมัติหรือระบบผลิตแบบอัตโนมัติในการผลิต อุตสาหกรรมที่มีการวางผัง ตามชนิดของผลิตภัณฑ์ อาทิเช่น อาหารกระป๋อง โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โรงงานผลิต รถยนต์ ปนู ซีเมนต์ เป็นต้น ตวั อย่างดงั ภาพท่ี 9.3 เคร่ืองตดั เครือ่ งสับ เครอื่ งขน้ึ รปู เครอ่ื งบรรจุ สินคา้ A เครือ่ งลา้ ง เครอ่ื งตดั เคร่ืองอบ เครื่องบรรจุ สินคา้ B ภาพท่ี 9.3 แสดงการวางผังตามผลติ ภณั ฑ์ การวางผังตามชนิดของผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะเป็นแบบสายการผลิต (Production Line) หรืออาจเรียกว่าสายการประกอบ (Assembly Line) มขี อ้ ดีคือ สามารถวางแผนและควบคุมการผลิต ทาได้ง่าย มีอัตราผลผลิตสูงและมีต้นทุนต่า เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) เม่ือ ผลิตจานวนมาก การใช้งานเครื่องจกั รคุ้มคา่ และลดเวลาจากการปรับต้งั เครอื่ งจักร แต่มีข้อเสียไดแ้ ก่ เงินลงทุนในเคร่ืองจักรสูง กระบวนการผลิตหยุดชะงักเม่ือเคร่ืองจักรมีปัญหา ต้นทุนการผลิตสูงใน กรณีปริมาณการผลติ ตา่ และขาดความยดื หยนุ่ ในการเปล่ียนแปลงรปู แบบของผลิตภัณฑ์ การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 241

การวางผงั กล่มุ เซลลป์ ฏบิ ตั กิ าร การวางผังกลุ่มเซลล์ปฏิบัติการ (Work-cell Layout) เป็นการวางผังโดยรวมกลุ่มของ เครื่องจักรอุปกรณ์หรือพนักงานท่ีกระจัดกระจาย หรือวางผังในลักษณะอ่ืนขึ้นเป็นกลุ่มย่อยเล็ก ๆ เพื่อมุ่งเน้นในการผลิตสินคา้ เฉพาะ หรือกลุ่มของผลิตภัณฑ์ทีค่ ลา้ ยคลึงกนั ในการวางผังกลุ่มเซลล์ปฏิบัติการ จะดาเนินการร่วมกับเทคโนโลยีแบบกลุ่ม (Group Technology) เป็นการจัดกลุ่มของช้ินส่วนหรือสินค้าออกเป็นกลุ่ม ซ่ึงช้ินส่วนหรือสินค้าท่ีจัดอยู่ใน กลุ่มเดียวกันจะมีลาดับขั้นการผลิตที่เหมือนกันและใช้เคร่ืองจักร เคร่ืองมือท่ีเหมือนกัน การจัดกลุ่ม ของช้ินส่วนหรือสินค้านั้น อาจจาแนกจากขนาด รูปร่างหรือคุณลักษณะอ่ืนๆ ทั้งนี้การจัดกลุ่มเพื่อลด เวลาในการผลติ ลง ลดเวลาในการเคล่ือนย้าย และลดเวลาวา่ งงานของเครอื่ งจกั ร ดังภาพท่ี 9.4 แผนกกลงึ แผนกสี แผนกประกอบ แผนกตรวจสอบ LL PP AA สินคา้ แผนกเชอื่ ม แผนกเจาะ แผนกตดั จุดนาเข้าและ WW DD CC สง่ ออก ก.แสดงการวางผงั ตามกระบวนการแบบเดมิ กลมุ่ เซลล์ 1 C DP จุด กล่มุ เซลล์ 2 A จุด จุด นาเข้า C W L P ตรวจ ส่งออก A สอบ D WL กล่มุ เซลล์ 3 ข.แสดงการวางผังใหมแ่ บบกลุ่มเซลลป์ ฏิบัติการ ภาพท่ี 9.4 แสดงการวางผังใหมจ่ ากแบบกระบวนการมาเป็นแบบกล่มุ เซลล์ปฏิบัติการ 242 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

จากภาพท่ี 9.4 การวางผังตามกระบวนการแบบเดิมถึงแม้จะมีความยืดหยุ่นสูง แต่ กระบวนการมีความซับซ้อน ยากต่อการควบคุมกระบวนการ มีต้นทุนการปรับต้ังเครื่องจักรสูง การ เคลอ่ื นย้ายไม่สามารถใช้ระบบลาเลียงอัตโนมัติ ต้องใช้แรงงานหรอื เครอ่ื งจักรรูปแบบอ่นื จะตอ้ งมกี าร เผ่ือพ้ืนท่ีเคลอ่ื นย้าย รวมทั้งพ้นื ทเ่ี กบ็ สนิ ค้าคงคลังระหว่างผลิต เม่ือดาเนินการเปล่ียนผังมาเป็นแบบกลุ่มเซลล์ปฏิบัติการ การดาเนินงานจะใช้พื้นที่ลดลง มี สินค้าคงคลังระหว่างผลิตลดลง เพราะกลุ่มเซลล์ปฏิบัติการจะมีความต่อเนื่องของกระบวนการ มากกว่า การควบคุมการผลิตทาได้ง่าย อาจจะพิจารณาระบบอัตโนมัติมาใช้ได้ในกลุ่มเซลล์ที่มุ่งเน้น ผลิตสินค้าเฉพาะ ในกรณีที่กลุ่มเซลล์ปฏิบัติการเป็นการใช้พนักงาน 1 คนต่อเครื่องจักรหลายเครื่อง สามารถที่จะออกแบบผังแบบตัวยู (U Shape) เพื่อให้การเคล่ือนที่ของพนักงานมีประสิทธิภาพ ลด การเคล่อื นไหวโดยไมจ่ าเป็น ดังภาพที่ 9.5 กลมุ่ เซลล์ 2 L กลมุ่ เซลล์ 3 W LW C PD จุด จุด จุด นาเขา้ C D P A A ตรวจ สง่ ออก สอบ กลมุ่ เซลล์ 1 ภาพที่ 9.5 แสดงการวางผงั กล่มุ เซลลป์ ฏิบัติการแบบตัวยู การวางผงั สานกั งาน การวางผังสานักงานเปน็ การจัดกลุ่มวสั ดุ อุปกรณ์ รวมท้ังบุคลากรเพ่ือให้ระบบการทางานให้ เหมาะสมกับพ้ืนท่ีที่มีอยู่ เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน การไหลเวียนของข้อมูล สารสนเทศ และการประสานงานทมี่ ปี ระสิทธิภาพ การวางผังสานักงานจะแตกต่างจากการวางผงั โรงงานท่ีมุ่งเน้นกระบวนการไหลของวสั ดหุ รอื วัตถุดิบเพื่อแปลงสภาพเป็นสินค้า แต่การวางผังสานักงานเน้นการไหลของข้อมูลข่าวสารในการ ประสานงานกบั หนว่ ยงานต่าง ๆ การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 243

ปัจจยั ที่สาคญั ในการพจิ ารณาการวางผงั สานักงานมดี ังนี้ 1) การไหลเวียนของงาน การวางผังจะต้องพิจารณาการออกแบบพ้ืนที่ เสน้ ทางเดนิ เพ่อื ให้ การไหลของข้อมูลการติดต่อส่ือสารเป็นไปตามลาดับ ข้ันตอน ไม่เดินวกกลับไปกลับมา อาจจะพิจารณาการวางตาแหน่งของโต๊ะ อุปกรณ์ เครื่องใช้สานักงาน ในรูปของตัวแอล (L Shape) หรือ แบบตัวยู (U Shape) เพื่อลดการเคลื่อนไหวโดยไม่จาเปน็ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างแผนกหรือหน่วยงาน ในการวางผังแผนกท่ีมีความจาเป็นจะต้อง ดาเนนิ งานร่วมกนั หรือประสานงานกันบ่อยครัง้ ควรพจิ ารณาวางผังให้อย่ตู ิดกันหรือใกล้ กัน เช่น แผนกการเงินควรอยู่ใกล้กับแผนกบัญชี ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ควรอยู่ในจุดท่ี บคุ คลภายนอกสามารถตดิ ต่อได้โดยงา่ ย 3) ลักษณะงานของบุคลากร ตาแหน่ง หน้าที่ของบุคลากรมีความแตกต่างกัน บุคลากรที่มี ลักษณะงานท่ีจาเป็นจะต้องใชส้ มาธใิ นการทางาน อาจจะพิจารณาออกแบบพ้ืนที่เฉพาะ ส่วนตัวหรือก่ึงส่วนตัว หรือใช้ฉากหรือม่านก้ัน บุคลากรท่ีมีลักษณะงานท่ีจาเป็นจะต้อง ติดต่อประสานงานกับบุคคลอื่นจานวนมาก ควรจัดวางพื้นท่ีไว้ด้านหน้าเพ่ือให้ติดต่อ ประสานงานได้ง่าย หัวหน้างานควรวางตาแหน่งพ้ืนท่ีไว้ด้านหลัง ขนาดเน้ือที่ควร เหมาะสมกบั ปรมิ าณงาน และเคลือ่ นไหวได้สะดวกไม่อึดอัดจนเกนิ ไป 4) ช่องทางเดิน ควรเว้นช่องทางในการเดินให้มีพ้ืนที่เดินสวนกัน หรือเคล่ือนย้ายวัสดุ อปุ กรณไ์ ดส้ ะดวก ไม่วางวัสดสุ ่ิงของกีดขวางทางเดนิ 5) พื้นท่ีส่วนกลางหรือพ้ืนที่สาหรับพักผ่อน ควรมีพ้ืนท่ีส่วนกลางสาหรับบุคลากรใน ช่วงเวลาพัก ควรออกแบบให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจจะประดับประดาด้วยต้นไม้ เพ่ือเป็น การผอ่ นคลายจากการทางานและแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารระหวา่ งบุคลากร นอกจากนี้การพิจารณาการเลือกอุปกรณ์และเทคโนโลยีในการส่ือสาร ได้แก่ โทรศัพท์ โทรสาร อินเทอรเ์ น็ต คอมพิวเตอร์พกพา จะช่วยให้การวางผังสานักงานไดย้ ืดหยุ่นมากยงิ่ ขน้ึ (Heizer and Render, 2011: 378) การวางผังสานักงานไม่ได้ใช้เฉพาะหลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น การวางผัง ควรคานงึ ถงึ ความสวยงาม และการสรา้ งบรรยากาศ สิง่ แวดล้อมให้เออื้ ตอ่ การทางาน 244 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

ในการวางผังสานักงาน รายละเอียดในการดาเนินงานจะคานึงถึงความคล่องตัวของการสั่ง การ การประสานงาน การไหลของข้อมูล ขา่ วสารและสารสนเทศ ซ่ึงมรี ูปแบบในการวางผังสานักงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังตอ่ ไปน้ี 1. การจัดสานักงานแบบแยกห้องเฉพาะ (Individual Room System) เป็นการวางผัง โดยจดั แยกห้องเฉพาะ ซง่ึ Iris de Been (2011) ได้ศกึ ษางานวจิ ัยเรื่อง “อทิ ธิพลของสถานที่ทางานท่ี ส่งผลต่อผลิตภาพ” พบว่า การจัดพื้นที่ให้พนักงานเกิดสมาธิในการทางานส่งผลต่อความพึงพอใจใน งานและผลิตภาพในการทางานเพิ่มสูงขึ้น ในการวางผังสานักงานแบบแยกห้องเฉพาะจึงเหมาะกับ ลกั ษณะงานที่จาเปน็ จะตอ้ งใช้สมาธิในการทางาน สามารถแบ่งแยกย่อยได้ 2 ประเภทคอื 1.1 จดั แยกห้องเฉพาะบุคคล โดยใหค้ วามสาคัญกบั ลักษณะงานที่ต้องการความเป็น ส่วนตัวสูง หรืองานที่จาเป็นจะต้องตัดสินใจในเร่ืองท่ีสาคัญ หรือเป็นความลับ การแยกห้อง เฉพาะบุคคล มักใช้กับบุคลากรที่มีตาแหน่งระดับสูง ได้แก่ ผู้จัดการแผนกต่าง ๆ หรือ ผ้บู ริหาร พืน้ ทีอ่ าจมีสว่ นสาหรบั รองรับผมู้ าติดตอ่ และเฟอร์นิเจอรเ์ ท่าทีจ่ าเปน็ ดงั ภาพที่ 9.6 ส่วนทางาน ส่วนรบั รอง ภาพท่ี 9.6 แสดงการวางผังแบบแยกห้องเฉพาะ 1.2 จัดแยกห้องเฉพาะแบบกลุ่ม เป็นการวางผังโดยแยกห้องเฉพาะกลุ่มงาน ตาม ลักษณะงานท่ีต้องการสมาธิในการทางานตามภาระหน้าท่ี งานที่เป็นความลับ งานที่ จะต้องตัดสินใจ งานท่ีเก่ียวกับเอกสารสาคัญหรือความปลอดภัย เช่น กลุ่มงานออกแบบ กลุ่มงานวางแผนยุทธศาสตร์ กลุ่มงานพัสดุ กลุ่มงานจัดซื้อ กลุ่มงานบัญชีหรือกลุ่มงาน การจัดการการดาเนินงาน | Operations Management 245

การเงิน เป็นต้น กลุ่มงานท่ีจาเป็นจะต้องติดต่อสื่อสารหรือประสานงานกันเป็นประจาจะจัด พื้นท่ีให้อย่ตู ิดกันเพื่อให้การไหลของข้อมลู ข่าวสารมปี ระสิทธภิ าพดังภาพท่ี 9.7 กลุ่มงานจัดซือ้ กลุ่มงานการเงิน ภาพที่ 9.7 แสดงการวางผงั แบบแยกห้องเฉพาะแบบกลุ่ม 2. การจัดสานักงานแบบเปิด (Open Layout System) เป็นการวางผังที่มีพ้ืนที่ในการ ทางานต่อเนื่องกันตลอด สามารถเดินถึงกันและมองเห็นกันได้ นิยมจัดสานักงานท่ีมีการตดิ ต่อสื่อสาร การรับส่งเอกสาร การทาธุรกรรมระหว่างแผนก งานบริการหรือลักษณะงานท่ีมีการติดต่อกับบุคล ภายนอกที่มีข้ันตอนการทางานที่ต้องการความต่อเนื่องรวดเร็ว มีผู้รับผิดชอบงานเป็นลาดับ ตอ่ เนอ่ื งกันหลายๆ คนหรอื หลายๆ หนว่ ยงาน เกดิ ความร่วมมือในการทางานและประสิทธิภาพในการ ทางานเพ่ิมมากขึ้น (Vietch, Charles, Kelly and Newsham, 2007: 184) ผู้บังคับบัญชาสามารถ มองเห็นการทางานได้โดยรอบ ในการวางผงั แบบเปิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดงั น้ี 2.1 แบบรูปทรงเรขาคณิต (Geometric Form) เป็นการวางผังโดยจัดพ้ืนที่รูปทรง เรขาคณิต นิยมจัดพื้นท่ีรูปส่ีเหลี่ยม มีการแยกส่วนการทางานกับทางเดินออกจากกัน โดย แบ่งเป็นทางเดินหลักและแยกส่วนทางานด้วยทางเดินย่อย การวางผังแบบรูปทรงเรขาคณิต จะมคี วามเป็นระเบียบเป็นแนว หรือเป็นกลุ่มเหน็ ได้เดน่ ชัด ดงั ภาพที่ 9.8 246 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

ภาพท่ี 9.8 แสดงการวางผงั แบบเปดิ รปู ทรงเรขาคณิต 2.2 แบบรูปทรงอิสระ (Landscape Form) เป็นการวางผังโดยแยกกลุ่มงาน ออกเป็นส่วน ๆ ต่อเนื่องกันตามการติดต่อส่ือสารหรือการประสานงาน เน้นความสะดวก มีการกาหนดพืน้ ที่และเสน้ ทางการเดนิ เปน็ ไปอย่างอิสระ ดังภาพที่ 9.9 ภาพท่ี 9.9 การวางผงั แบบเปิดรูปทรงอิสระ การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 247

การวางผงั สาหรบั ธรุ กจิ คา้ ปลกี การวางผังสาหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail Layout) เป็นการวางผังการจัดวางสินค้า และ เส้นทางการสัญจรของลูกค้า เพ่ือให้เกิดความดึงดูดใจในการซื้อสินค้า ในการออกแบบผังเส้นทางการ สญั จรสาหรบั ธุรกิจคา้ ปลกี สามารถแบ่งออกเปน็ 4 ประเภทดงั น้ี 1.การวางผังแบบตาราง (Grid Layout) เป็นการวางผังที่มีลักษณะเป็นแถวยาวเว้น ช่องทางเดินหลักและช่องทางเดินรองตัดกันในลักษณะของตาราง ช่วยให้การจัดวางสินค้าได้ง่ายและ เป็นระเบยี บ ง่ายต่อการทาความสะอาดพน้ื ท่ี ซ่ึงนิยมใชก้ ับการวางผงั ร้านสะดวกซ้ือดังภาพที่ 9.10 ทางเข้า-ออก ภาพท่ี 9.10 การวางผงั สาหรับธุรกิจค้าปลีกแบบตาราง 2. การวางผังแบบอิสระ (Free Flow Layout) เป็นการวางผังตามลักษณะของกลุ่มของ สินค้าอย่างอิสระ การจัดวางสินค้าไม่กาหนดรปู แบบไว้แนน่ อน ทาให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการเลอื กชมสินค้า ตวั อยา่ งเช่น การวางผงั แบบอสิ ระรา้ นของเล่น กระตุ้นใหเ้ กดิ ความต้องการซื้อ แต่มีข้อเสียคือการใช้พื้นที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยากแก่การทาความสะอาดและอาจทาให้ลูกค้าสับสนใน การหาสนิ ค้า ดังภาพที่ 9.11 248 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

ทางเข้า-ออก ภาพที่ 9.11 การวางผงั สาหรับธรุ กิจค้าปลีกแบบอสิ ระ 3. การวางผังแบบวน (Loop Layout) เป็นการวางผังในลักษณะให้ลูกค้าเดินวนกลับมาท่ี หน้าร้าน ควรจัดให้วนตามเข็มนาฬิกาจะกระตุ้นให้ลูกค้าซ้ือสินค้าได้มากกว่าวนทวนเข็มนาฬิกา (Groeppel-Klein and Bartmann, 2008: 415) ส่วนใหญ่การวางผังแบบวนจะวางผังเป็นรูป สี่เหล่ียม วงกลม หรือสามเหล่ียม มีข้อได้เปรียบท่ีลูกค้าสามารถเห็นสินค้าได้มากท่ีสุด เส้นทางการ เดินเปน็ ไปในทิศทางเดียวทาใหล้ ูกคา้ ไมส่ ับสน เมอื่ ต้องย้อนกลับมาซื้อ การจัดสินค้าเปน็ ระเบียบ ง่าย ต่อการทาความสะอาดดังภาพท่ี 9.12 ทางเขา้ -ออก ภาพที่ 9.12 การวางผงั สาหรับธรุ กจิ คา้ ปลีกแบบวน การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 249

4. การวางผังแบบกระดูก (Spine Layout) เป็นการวางผังโดยมีเส้นทางหลักเป็นเส้นตรง สัญจรไปจนถึงทางออกในสุดเส้นทาง ไม่ได้ใช้ทางเข้า-ออก ร่วมกัน ทาให้ลูกค้ามองเห็นกลุ่มสินค้าได้ ทุกกลุม่ พืน้ ทร่ี ะหวา่ งเสน้ ทางหลัก สามารถวางผังแบบอืน่ ๆ ในการจดั กลุม่ สนิ คา้ เพ่อื ดงึ ดูดลูกค้า การ วางผังแบบนี้มีข้อดีได้แก่ ลูกค้าไม่สับสนในการเลือกซื้อสินค้า และสามารถแวะชมเฉพาะกลุ่มสินค้าท่ี ตวั เองสนใจ ทางออก ทางเขา้ ภาพที่ 9.13 การวางผงั สาหรับธุรกจิ ค้าปลีกแบบกระดูก ในการจดั วางสินค้าแตล่ ะประเภทจะมีความแตกต่างกัน ดงั นี้ 1) สินค้าประเภทกระตุ้นซ้ือ (Impulse Goods) เป็นสินค้าท่ีลูกค้าไม่ได้มีแผนซื้อล่วงหน้า แต่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการซ้ือ สินค้าประเภทนี้จะวางไว้ส่วนหน้า หรือจุดที่ลูกค้า สามารถมองเหน็ ได้เด่นชัด เชน่ ลกู อม หมากฝรงั่ ท่วี างไว้หนา้ จดุ คดิ เงิน 2) สินค้าสะดวกซ้ือ (Convenience Goods) เป็นสินค้าท่ีลูกค้าใช้เป็นประจา จะจัดวางไว้ ในบริเวณทลี่ กู ค้าผา่ นไปมามาก เชน่ สบู่ ยาสระผม ยาสีฟันหรอื ผงซักฟอก 3) สินค้าเปรียบเทียบซื้อ (Shopping Goods) เป็นสินค้าที่ลูกค้าทาการเปรียบเทียบก่อน ตัดสินใจซื้อ เชน่ อปุ กรณ์เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ควรวางไว้ดา้ นในสดุ ของร้าน 4) สินค้าเจาะจงพิเศษ (Specialty Goods) เป็นสินค้าท่ีลูกค้ามีความภักดีต่อตราสินค้า มรี าคาสงู สามารถวางทจี่ ุดใดก็ได้แต่ตอ้ งดูแลพิเศษ เชน่ น้าหอม หรอื แวน่ ตายี่ห้อชน้ั นา 250 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

การวางผงั คลงั สนิ คา้ การวางผงั คลงั สินคา้ (Warehouse Layout) จะต้องพจิ ารณาเนอ้ื ท่ใี นการจัดเก็บสนิ คา้ แต่ละ ชนิด และขนาดทางเดิน หรือพ้ืนท่ีในการขนสินค้า ซึ่งการออกแบบจะต้องกาหนดทิศทางการจัดเก็บ อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง เพื่อนามาพิจารณาประกอบการออกแบบเพ่ือให้ใช้พื้นที่ใช้สอย ให้เกิดประสิทธิภาพมากท่ีสุด ในการพิจารณาการวางผังคลังสินค้า สามารถจาแนกคลังสินค้าตาม ลกั ษณะงานได้ 2 ประเภทดังน้ี 1. คลังสินค้าที่มีหน้าท่ีเก็บรักษาสินค้า คลังสินค้าชนิดนี้มีหน้าที่หลกั ในการเก็บรักษาสินค้า ซึ่งอาจจะอยู่ในรูป วัตถุดิบหรือสินค้าสาเร็จรูป เพ่ือทาหน้าที่ตอบสนองความต้องการของฝ่ายผลิต หรือฝ่ายขายตามลาดบั ดงั นั้นการวางผังคลังสินคา้ จะเนน้ ท่ีการรกั ษาสภาพสนิ คา้ และการป้องกนั การ สูญหายของสนิ คา้ เปน็ สาคัญ ซ่ึงจะต้องคานึงถึงปจั จยั ตา่ ง ๆ ดงั น้ี - ความคล้ายคลึงกันของแนวสินค้า หมายถึงลักษณะ คุณสมบัติ ประเภทของสินค้า ท่ี มีวัตถุประสงค์การใช้งานคล้ายคลึงกันจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน หรือ ในบริเวณ เดยี วกนั - อัตราการหมุนเวียนสินค้า สินค้าที่มีอัตราการหมุนเวียนเร็ว จะถูกจัดใกล้ทางออก เพราะจะต้องมีการขนส่งเกิดขึ้นบ่อยคร้ัง ส่วนสินค้าที่หมุนเวียนช้ามักจะถูกจัดเก็บ ภายใน - ขนาด นาหนัก ปริมาณ สินค้า จะทาการพิจารณาร่วมกับอัตราการหมุนเวียนสินค้า และวัสดุในการจัดเก็บ ถ้าสินค้ามีขนาดเล็กอาจจะออกแบบช้ันวางสินค้าช่วยในการ จดั เก็บ ถ้าขนาดใหญอ่ าจใชพ้ าเลทในการวางสนิ ค้าเพ่ือสะดวกในการขนยา้ ย - ลักษณะพิเศษของสินค้า สินค้าบางชนิดอาจจะต้องพิจารณาออกแบบพ้ืนท่ีเฉพาะ สินค้าท่ีมีราคาแพงจะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย หรือสินค้าอันตรายจะต้อง ออกแบบหอ้ งเก็บพิเศษ - สิ่งอานวยความสะดวก จะต้องพิจารณาทางเดิน หรือ พ้ืนที่ในการขนย้ายขึ้นกับสิ่ง อานวยความสะดวก ซึ่งเคร่ืองจักรที่ใช้ในการขนย้ายจะมีขนาดไม่เท่ากัน จะต้องกาหนด พืน้ ท่ใี นการขนย้ายให้เหมาะสม การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 251

ตัวอย่างการวางผังคลังสนิ คา้ ทมี่ หี น้าทเี่ กบ็ รกั ษาสนิ คา้ ดงั ภาพที่ 9.14 อตั ราหมุนเวียนชา้ อตั ราหมุนเวยี นปานกลาง อัตราหมนุ เวียนเร็ว ทางเขา้ -ออก สานกั งาน ภาพท่ี 9.14 การวางผงั คลังสินค้าที่มีหนา้ ที่เกบ็ รักษาสนิ ค้า 2. คลังสินค้าท่ีมีหน้าท่ีกระจายสินค้า หมายถึงคลังสินค้าใช้สาหรับในการรับสินค้าและส่ง สินค้าในเวลาเดียวกัน หรือเป็นคลังสินค้าซ่ึงมีการออกแบบเป็นพิเศษ เพ่ือใช้ในการขนถ่ายจาก พาหนะหน่ึงไปสู่อีกพาหนะหนึ่ง โดยที่ไม่มีการเก็บเป็นสินค้าคงคลังหรือเก็บไว้ในระยะเวลาอันสั้น การวางผงั คลงั สินคา้ ท่ีมีหน้าที่กระจายสินคา้ จะแบ่งพื้นที่ออกเปน็ 3 สว่ น คอื ส่วนรับสนิ ค้าเข้า ส่วนใน การสลบั ประเภทสินค้า และส่วนสง่ สนิ คา้ ออก ดังภาพที่ 9.15 รับเขา้ สลับ-จดั เรยี งสินค้าใหม่ สง่ ออก ทางเขา้ ทางออก ภาพที่ 9.15 การวางผงั คลงั สินคา้ ที่มีหน้าที่มหี นา้ ท่ีกระจายสินคา้ 252 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

เทคนคิ การออกแบบผงั ที่มีประสทิ ธิภาพ ในการออกแบบผังที่มีประสิทธิภาพ สามารถนาเทคนิคต่าง ๆ มาช่วยในการออกแบบ ดงั ต่อไปน้ี 1. การออกแบบผังตามกระบวนการ เป็นการออกแบบผังเพ่ือให้กลุ่มงานต่าง ๆ ที่มีการ ดาเนินงานรว่ มกันมีการเคลื่อนไหวหรอื ประสานงานกนั ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ มีเทคนคิ ต่าง ๆ ดงั นี้ 1.1 เทคนิคการจัดผังกลุ่มงาน (Block Diagramming) เป็นวิธีการในการออกแบบ ผังโดยพิจารณาจากการเคล่ือนย้ายของงานด้วยวิธีเชิงปริมาณจากปริมาณงาน ต้นทุนการ เคลือ่ นย้าย จานวนครัง้ หรือระยะทางที่เคลอื่ นยา้ ย โดยมีวิธีดาเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี ตัวอย่างที่ 9.1 ในการดาเนินงานของบริษัทแห่งหนึ่งมีจานวนครั้งในการประสานงานระหว่างแผนก ตา่ ง ๆ ในรอบวนั โดยดงั ตารางที่ 9.1 ตารางที่ 9.1 แสดงจานวนคร้ังในการประสานงานระหว่างแผนกตา่ ง ๆ จาก /ไป แผนก แผนก A B C D E - A - 50 15 - - 25 B - - 100 25 30 - C 30 - - 20 D - 50 - - E - 25 - - จากตารางท่ี 9.1 สมมติว่าแต่ละคร้ังมีปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อครั้งเท่ากัน จะพิจารณา จากจานวนคร้ังที่ติดต่อประสานงานกันเท่านั้น ในการออกแบบเริ่มต้นนาจานวนคร้ังที่มีการติดต่อ ระหว่างแผนกรวมกัน เพอื่ พิจารณาการเชอื่ มโยงดงั ตารางท่ี 9.2 การจัดการการดาเนินงาน | Operations Management 253

ตารางท่ี 9.2 แสดงผลรวมจานวนครงั้ ในการประสานงานระหว่างแผนกต่าง ๆ จาก /ไป แผนก แผนก A B C D E A - 50 45 - - 25 B 50 - 100 75 25 30 C 45 100 - 20 - D - 75 20 - E - 25 25 30 จากตารางที่ 9.2 เม่ือพิจารณาผลรวมจานวนคร้ังการประสานงานพบว่า แผนก A ไม่มีการ ประสานงานกบั แผนก D และ E ส่วนแผนก B และ C ประสานงานกบั ทุกแผนก สามารถพจิ ารณาการ เชือ่ มโยงโดยใชแ้ ผนภาพแสดงการเชอื่ มโยงดว้ ย ดงั ภาพท่ี 9.16 45 A 50 B 100 C 75 25 25 D 30 E 20 ภาพท่ี 9.16 แสดงการเช่ือมโยงจานวนครั้งทปี่ ระสานงานระหวา่ งแผนก จากภาพท่ี 9.16 จะพบว่ามีเส้นทางเช่ือมโยงทีย่ าว 2 เส้นได้ แก่ A-C และ D-C เมอ่ื พิจารณา ทั้ง 2 เส้นพบว่า A-C ประสานงานกัน 45 ครั้งมากกว่า D-C 20 คร้ัง ดังน้ัน C ควรอยู่ใกล้ A ทดลอง สลบั C และ D เพื่อพิจารณาการเชื่อมโยงดังภาพที่ 9.17 254 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

A 50 B 75 D 100 25 30 45 C 25 E 20 ภาพที่ 9.17 แสดงการเชือ่ มโยงระหวา่ งแผนกเมื่อทาการสลบั ตาแหน่งแผนก C และ D จากภาพท่ี 9.17 ยังมเี ส้นเช่อื มโยง C-D ทีย่ าวอยู่ เม่อื พจิ ารณาแผนก C ทจ่ี ะตอ้ งเช่ือมโยงทุก แผนก ดังนั้นแผนก C ควรอยู่ก่ึงกลาง ส่วนแผนก E ไม่มีการประสานงานกับแผนก A จึงเลื่อน E ให้ ห่างจาก A ได้ดงั ภาพที่ 9.18 A 50 B 75 D 45 30 20 E 100 25 C 25 ภาพที่ 9.18 แสดงการเชือ่ มโยงระหวา่ งแผนกเมอื่ ทาการเลื่อนแผนก C และ E จากภาพท่ี 9.18 จะเห็นว่าเส้นเชือ่ มโยงแต่ละเสน้ เหมาะสมแลว้ นาแผนภาพมาพจิ ารณาออก แบบร่วมกบั พ้ืนทจ่ี รงิ พ้นื ท่ีใช้สอยแต่ละแผนก ตาแหน่งของเครอ่ื งจักรอปุ กรณ์ ดังภาพที่ 9.19 B D A E C ภาพที่ 9.19 แสดงการออกแบบผงั ดว้ ยเทคนิคการจัดผงั กลุ่มงาน การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 255

1.2 เทคนิคการจัดผังเชิงความสัมพันธ์ (Relationship Diagramming) เป็นการ ออกแบบผงั โดยใช้ความสมั พันธ์ระหวา่ งพืน้ ท่ตี า่ ง ๆ โดยที่ไม่ใช้ข้อมลู เชิงปรมิ าณ จะพิจารณา ตกลงร่วมกนั วา่ พื้นท่ใี ดมคี วามสัมพันธ์กนั ในระดับใด โดยกาหนดระดบั ความสมั พันธก์ นั ดงั น้ี A มคี วามจาเปน็ อยา่ งสมบูรณ์ (Absolutely necessary) E สาคญั เปน็ พิเศษ (Especially important) I สาคัญ (Important) O ยอมรบั (Okay) U ไม่สาคญั (Unimportant) X ไมต่ อ้ งการ (Undesirable) ตัวอย่างท่ี 9.2 บริษัทแห่งหน่ึงพิจารณาการออกแบบผังพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างพ้ืนท่ี ดังภาพที่ 9.20 1. ผู้จัดการแผนก O 2. กลุ่มงานบญั ชี 3. กลมุ่ งานการเงิน O 4. เลขานุการ AA 5. กลมุ่ งานบริการลกู ค้า 6. จุดรอสาหรบั ลกู ค้า OU U OX IU UI X A ภาพที่ 9.20 แสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งพนื้ ทต่ี า่ ง ๆ จากภาพท่ี 9.20 พิจารณาพ้ืนท่ีมีความจาเป็นอย่างสมบูรณ์ (A) จะได้ 1-4, 2-3 และ 5-6 ซ่ึง จะต้องอยู่ติดกันหรือใกล้กันมากที่สุด รองลงมาได้แก่ 3-5 และ 3-6 นาข้อมูลมาสร้างเป็นแผนภาพ ความเชอ่ื มโยงได้ดังภาพที่ 9.21 256 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

U U 1O2O 5 A OO UI AA 4 36 UI X X ภาพท่ี 9.21 แสดงแผนภาพการเชือ่ มโยงจากความสมั พันธ์ระหวา่ งพ้นื ที่ จากภาพที่ 9.21 พน้ื ท่ี 6 อย่หู า่ งจาก 1 และ 4 ได้ เนือ่ งจากความสัมพันธเ์ ป็น X และพ้นื ท่ี 5 สามารถวางอยู่ห่าง 1 และ 4 ได้ เน่ืองจากความสัมพันธ์เป็น U และไม่ควรย้าย 5-6 ออกจากกัน เพราะทัง้ ค่มู คี วามสมั พันธเ์ ปน็ A เมื่อพิจารณา วง 1-2-3-4 จะพบว่า 3-4 ไม่จาเป็นจะต้องอยู่ติดกันดังน้ันสามารถสลับ 2-3 หรอื 1-4 เพื่อให้ 3-4 อยใู่ นแนวทแยง มีระยะไกลขึ้น เมอื่ พิจารณาอีกวง 2-3-5-6 จะเหน็ วา่ เหมาะสม เพราะ 2-6 มีความสัมพันธ์แบบ U ในแนวทแยง ดังนั้นหากสลับ 2-3 ควรสลับ 5-6 ดังน้ันเลือกสลับ เฉพาะ 1-4 ดังภาพที่ 9.22 4O2O 5 A UO UI AA 1 3 6 O I ภาพท่ี 9.22 แสดงแผนภาพการเช่อื มโยงเมื่อสลับพ้นื ที่ 1 และ 4 การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 257

จากภาพท่ี 9.22 นามาพิจารณาออกแบบผงั โดยพิจารณาขนาดพ้ืนทีใ่ ห้เหมาะสมกบั ปริมาณ งาน และจานวนพนกั งาน ดังภาพที่ 9.23 4 2 5 เลขานุการ กลุม่ งานบญั ชี กลมุ่ งานบรกิ ารลูกคา้ ผูจ้ ดั การแผนก 3 6 1 กลุ่มงานการเงิน จุดรอสาหรับลูกคา้ ภาพท่ี 9.23 แสดงการออกแบบผงั ดว้ ยเทคนคิ การจัดผงั เชิงความสัมพันธ์ 2. การออกแบบผังตามผลิตภัณฑ์ จะใช้กับการวางผังโรงงาน เป็นการวางผังตามข้ันตอน การผลิตของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดซ่ึงมักจะมีปริมาณการผลิตจานวนมาก แต่มีน้อยชนิด โดยจะมีการ เคลอ่ื นย้ายช้ินงานไปตามลาดับการผลิตซง่ึ อาจเรียกวา่ เปน็ สถานีการผลิต (Work Station) การใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์ในการวางผังตามชนิดของผลิตภัณฑ์เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ ใน การผลิตเรยี กวา่ “การจัดสายการผลิตให้สมดลุ (Line Balancing)” มีขั้นตอน ดงั น้ี 1) วิเคราะหแ์ ละกาหนดงานที่จะต้องทา 2) วเิ คราะห์และกาหนดความสัมพนั ธข์ องงาน 3) คานวณหาอัตราเวลาการตอบสนองต่อลูกค้า (Takt Time: Tt) หมายถึง ระยะเวลาที่ดาเนินการผลติ เพอ่ื ส่งมอบใหก้ ับลูกค้าตอ่ 1 หนว่ ย สามารถคานวณ ได้จาก Wt D Tt = (9.1) โดยท่ี Wt = เวลาทางาน D = จานวนสินค้าทลี่ ูกค้าต้องการ (Demand) 4) พิจารณารอบการผลิต (Cycle Time: Ct) หมายถึงระยะเวลาท่ีสามารถ ดาเนินการผลิตได้ 1 หน่วย เนื่องจากกระบวนการผลิตแบบต่อเนื่อง ดังนั้น สามารถพิจารณารอบการผลิต (Ct) จากระยะเวลาดาเนินการจากสถานีท่ีใช้ ระยะเวลามากท่สี ุด 258 การวางผงั สถานประกอบการ | Layout Decisions

5) ดาเนินการเปรียบเทียบ อัตราเวลาการตอบสนองต่อลูกค้า (Tt) และ รอบการ ผลติ (Ct) กรณีท่ี Tt  Ct กระบวนการสามารถผลิตได้เพียงพอต่อความ ตอ้ งการของลูกค้า ใช้ Tt ในการจัดผัง กรณที ่ี Tt  Ct กระบวนการไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความ ต้องการของลูกค้าหากต้องการจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ครบตามจานวนจะต้อง ดาเนินการลดระยะเวลา Ct ลงโดยการปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือ ฝึกอบรมเทคนิคให้พนักงานทางานให้เร็วข้ึน หากจะใช้กระบวนการเดิมใช้ Ct ในการจัดผัง สามารถคานวณหาจานวนที่ส่งมอบให้กับลูกค้า (Supply: S) ได้ ดังนี้ S = Wt (9.2) Ct โดยที่ Wt = เวลาทางาน Ct = รอบการผลติ 6) ทาการคานวณหาจานวนสถานีการผลติ (n) ทเ่ี หมาะสม จากสมการ n = t (9.3) max (Ct ,Tt ) โดยที่ t = เวลายอ่ ยในการทางานแต่ละสถานี Tt = อัตราเวลาการตอบสนองตอ่ ลูกค้า Ct = รอบการผลติ 7) ดาเนินการจัดสถานีการผลิตใหม่ จากจานวนสถานีท่ีเหมาะสม โดยจัดกลุ่ม สถานีใหม่ ให้มีระยะเวลารวมไม่เกินรอบการผลิตท่ีจัดจริง (Ct หรือ Tt) ซึ่ง สามารถทาได้หลายวิธี ในเนื้อหาจะกล่าวถึงเฉพาะวิธีการทางานท่ีนานที่สุด (Longest Operation Time) โดยเลือกจัดกลุ่มสถานีท่ีใช้เวลามากที่สุดก่อน ตามลาดบั การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 259

8) ประเมนิ ประสทิ ธภิ าพรวม (Ec) จากการจดั ผงั ใหมจ่ ากสมการ t (9.4) Ec = max (Ct ,Tt ) x n x100 (9.5) (9.6) โดยท่ี t = เวลายอ่ ยในการทางานแตล่ ะสถานี Tt = อตั ราเวลาการตอบสนองตอ่ ลูกค้า Ct = รอบการผลิต n = จานวนสถานีท่ีจัดจรงิ หาระยะเวลาสญู เปล่า (Time Wasted: Tw) จากสมการ Tw = 100 - EC หาประสทิ ธิผล (En) จากสมการ En = S x100 D ตัวอย่างที่ 9.3 บริษัทแห่งหน่ึงผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้า ลูกค้ามีความต้องการ 300 หนว่ ยต่อวนั กาหนดให้ 1 วนั ทางาน 8 ชว่ั โมง โดยมรี ายละเอยี ดแต่ละงานดังภาพท่ี 9.24 วตั ถดุ บิ ขนึ้ รปู ทาสี บรรจุ 1 นาที 1 นาที 1 นาที ตกแต่ง เจาะ สนิ คา้ 2 นาที 1.5 นาที ภาพท่ี 9.24 แสดงกระบวนการผลิตแบบตอ่ เนื่องของบรษิ ัท 260 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

วธิ ีทา 1. คานวณหาอตั ราเวลาการตอบสนองตอ่ ลกู คา้ (Takt Time: Tt) จากสมการท่ี 9.1 Tt = 8x60 = 1.6 นาทตี อ่ หนว่ ย 300 2. พจิ ารณารอบการผลิต (Cycle Time: Ct) น่ันคอื สถานตี กแตง่ ใชเ้ วลามากท่สี ดุ ดังน้ัน Ct = 2.0 นาทตี ่อหนว่ ย 3. เปรยี บเทียบ อัตราเวลาการตอบสนองต่อลูกคา้ (Tt) และ รอบการผลติ (Ct) Tt (1.6)  Ct (2.0) ไมส่ ามารถผลิตได้เพยี งพอต่อความตอ้ งการของลูกค้า ใช้ Ct ใน การจัดผงั ใหม่ และคานวณหาจานวนท่สี ง่ มอบใหก้ ับลกู คา้ (S) จากสมการท่ี 9.2 ไดด้ งั นี้ S = 8x60 = 240 หนว่ ย 2 4. หาจานวนสถานีทเ่ี หมาะสมจากสมการที่ 9.3 n = (1  2  1.5  1  1) 2 n = 3.25  4 สถานี 5. ดาเนินการจดั ผังใหม่ได้ 4 สถานี ดังภาพท่ี 9.25 1 234 ขน้ึ รูป ตกแตง่ เจาะ ทาสแี ละ 1 นาที 2 นาที 1.5 นาที บรรจุ 2 นาที ภาพที่ 9.25 แสดงผังใหมท่ ี่จัดไดจ้ ริง 6. หาประสิทธภิ าพรวมของผงั ใหมจ่ ากสมการ 9.4 (1  2  1.5  1  1) x100 Ec = 2x4 Ec = 81.25 % การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 261

ระยะเวลาสญู เปล่า Tw = 100 - 81.25 = 18.75 % หาประสิทธิผลในการสง่ มอบ จากสมการ 9.6 240 x100 = 80 % En = 300 ตอบ สามารถจดั ผงั ใหม่ได้ 4 สถานี มีประสิทธิภาพรวมรอ้ ยละ 81.25 เกิดเวลาสูญเปล่ารอ้ ยละ 18.75 มปี ระสทิ ธผิ ลในการส่งมอบใหก้ ับลูกคา้ ร้อยละ 80 บทสรปุ การวางผังสถานประกอบการมีวัตถุประสงค์ในการใช้พ้ืนท่ีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยง การทางาน การส่ือสาร การสร้างสภาพแวดล้อมในการทางาน การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และความ ยดื หยุ่นในการเปล่ียนแปลงกระบวนการหรือการขยายกาลังการผลิต ในการวางผงั สถานประกอบการ แบ่งตามลักษณะงานได้ 7 ประเภท ได้แก่ วางผังตามตาแหน่งงาน การวางผังตามกระบวนการ การ วางผังตามผลิตภัณฑ์ การวางผังกลุ่มเซลลป์ ฏบิ ัติการ การวางผังสานกั งาน การวางผังสาหรับธุรกิจค้า ปลีก และการวางผงั คลงั สินค้า เทคนิคการออกแบบผังท่ีมีประสิทธิภาพ ในการออกแบบผังตามกระบวนการ ได้แก่ เทคนิค การจัดผังกลุ่มงาน จะใช้ข้อมูลเชิงปริมาณได้แก่ปริมาณงาน ต้นทุนการเคล่ือนย้าย จานวนครั้งหรือ ระยะทางที่เคล่ือนย้ายในการจัดผงั และ เทคนิคการจัดผังเชิงความสัมพันธ์ จะไม่ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ แต่จะพิจารณาตกลงร่วมกันว่าพ้ืนท่ีใดมีความสัมพันธ์กันในระดับใดเพื่อใช้ในการจัดผัง ส่วนการ ออกแบบผังตามผลิตภัณฑ์ ใช้เทคนิคการจัดสายการผลิตให้สมดุล เพ่ือจัดผังให้มีประสิทธิภาพและ ประสทิ ธผิ ลในการสง่ มอบ 262 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

คาถามทา้ ยบท 1.จงอธิบายความสาคัญของการวางผงั สถานประกอบการ 2.จงอธิบายพร้อมทัง้ ยกตวั อย่างผลิตภัณฑป์ ระเภทของการวางผังดังตอ่ ไปนี้ 2.1 การวางผังตามตาแหนง่ งาน (Fixed – Position Layout) 2.2 การวางผังตามกระบวนการ (Process Layout) 2.3 การวางผังตามผลติ ภัณฑ์ (Product Layout) 2.4 การวางผงั กล่มุ เซลลป์ ฏบิ ัตกิ าร (Work-cell Layout) 3.จงอธิบายความแตกตา่ งระหว่างการจดั สานกั งานแบบแยกห้องเฉพาะและแบบเปิด 4.จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งธุรกิจค้าปลีกทม่ี ลี กั ษณะการวางผงั สถานประกอบการดงั น้ี 4.1 การวางผงั แบบตาราง 4.2 การวางผงั แบบอิสระ 4.3 การวางผังแบบวน 4.4 การวางผงั แบบกระดูก 5.จงอธบิ ายความแตกตา่ งระหว่างการวางผังคลังสินค้าทม่ี ีหนา้ ทีเ่ กบ็ รกั ษาสนิ ค้า และคลงั สนิ คา้ ท่มี ี หนา้ ทก่ี ระจายสนิ ค้า 6.บรษิ ทั แห่งหนงึ่ มีจานวนครงั้ ในการประสานงานระหวา่ งแผนกต่าง ๆ ในรอบวันโดยดังตาราง จาก /ไป แผนก แผนก A B C D E A - 20 10 15 - B - - 15 25 - C 30 10 - - 15 D 15 10 - - 20 E - - 15 - - หากแผนกที่อยตู่ ดิ กันมีต้นทนุ เคลื่อนยา้ ย 10 บาทตอ่ ครัง้ แผนกท่ไี ม่ตดิ กันมีต้นทุนในการ เคลอื่ นย้าย 20 บาทตอ่ ครั้ง จงวางผังใหม้ ีตน้ ทุนรวมตา่ ทส่ี ดุ การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 263

7. จงวางผังสายงานผลิตใหเ้ หมาะสม พร้อมท้ังหาประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและระยะเวลาสญู เปล่า โดยลกู คา้ ตอ้ งการสินค้า 200 หนว่ ยต่อวนั และ 1 วันทางาน 8 ชม. งานยอ่ ย งานทท่ี ากอ่ น เวลา (นาที) A ไม่มี 1 B A 1 C B 1.5 D C 2 E D 2 F E 3 เอกสารอา้ งองิ Groeppel-Klein, A. and Bartmann, B. (2008). Anti-Clockwise or Clockwise? The Impact of Store Layout on the Process of Orientation in a Discount Store. European Advances in Consumer Research Volume 8, 415. Heizer, J. and Render, B. (2011). Operations Management. 10th Global Edition, Pearson Prentice Hall, 378. Iris de Been. (2011). The influence of the workplace on perceived productivity. European Facility Management Conference, 24 May 2011. Marian Wang. (2011). Business Ethics. [online]. Available: http://business-ethics.com, [2012, July 27] Veitch, J. Charles, K., Kelly, Farley K. and Newsham, G. (2007). A model of satisfaction with open-plan office conditions: COPE field findings Journal of Environmental Psychology, Vol. 27, No. 3, 184. 264 การวางผังสถานประกอบการ | Layout Decisions

การจดั การการดาเนนิ งาน Managing Operations การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 265

266 การจัดการโซอ่ ุปทานและโลจสิ ตกิ ส์ | Supply Chain & Logistics Management

การจดั การโซอ่ ปุ ทานและโลจสิ ตกิ ส์ Supply Chain & Logistics Management เน้อื หาประจาบท - แนวคิดการจัดการโซอ่ ุปทาน - การจัดการลูกค้าสัมพนั ธ์ - การจัดการความสมั พนั ธก์ ับผู้สง่ มอบ - ระบบสารสนเทศในการจัดการโซอ่ ุปทาน - การจดั การโลจิสตกิ ส์ - องคป์ ระกอบโลจสิ ตกิ ส์ - โครงสร้างตน้ ทุนโลจิสติกส์ - แนวทางการลดตน้ ทนุ โลจสิ ติกส์ - บทสรุป วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่ือให้ผู้ศึกษาสามารถอธิบาย - ความสมั พันธ์ระหว่างการจดั การโซอ่ ุปทานและการจัดการโลจสิ ติกส์ - การเกิดปรากฏการณแ์ ส้ม้าและผลกระทบที่มตี ่อองค์กรในโซอ่ ุปทาน - การจัดการลูกคา้ สมั พันธ์และการจดั การความสมั พันธก์ ับผูส้ ง่ มอบ - องคป์ ระกอบโลจิสตกิ ส์ - โครงสรา้ งตน้ ทุนโลจสิ ตกิ ส์ - แนวทางการลดตน้ ทุนโลจิสตกิ ส์ การจัดการการดาเนินงาน | Operations Management 267

บทที่ 10 การจดั การโซอ่ ุปทานและโลจสิ ติกส์ Supply Chain & Logistics Management ในอดีตองค์กรต่าง ๆ มุ่งเน้นในการบรหิ ารจัดการ ภายใต้กรอบความคิดในการจัดการภายใน องค์กรของตัวเองและให้ความสาคัญเฉพาะลูกค้าของตนเองเท่านั้น การพัฒนาองค์กรในแนวคิด ดังกล่าวเพียงมิติเดียวไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้ในปัจจุบัน ในโลก ธุรกิจองค์กรต่าง ๆ จะมีสายสัมพันธ์ต่อเน่ืองเปรียบด่ังโซ่คล้องตั้งแต่ธุรกิจตั้งตน้ ไปจนถึงธุรกิจส่งมอบ สินค้าให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย เกิดการเคล่ือนย้ายทรัพยากร สินค้า และข้อมูลข่าวสาร ระหว่าง องค์กร ซ่ึงเป็นต้นทุนท่ีสาคัญขององค์กรในปัจจุบัน โดยเฉพาะต้นทุนการขนส่งที่มีแนวโน้มการปรับ ราคาเพิม่ สงู ขน้ึ ของพลังงานเชอ้ื เพลงิ อยา่ งต่อเนื่อง ดังนั้นในการจัดการต้นทุนและความเส่ียงดังกล่าว องค์กรต่าง ๆ ได้หันมาร่วมมือ สร้าง ความสัมพันธ์ มีระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเช่ือมโยงกัน รวมท้ังมีการจัดการการขนส่งและสินค้า คงคลังร่วมกนั เพือ่ สรา้ งความไดเ้ ปรยี บในการจัดการตน้ ทนุ ดังกลา่ ว ในปัจจุบันการร่วมมือ ไม่ได้ดาเนินการเฉพาะระหว่างองค์กรเท่าน้ัน ประเทศต่าง ๆ ในโลก ได้เกิดการรวมกลมุ่ กนั เพ่อื สร้างความได้เปรยี บทางการค้าระหว่างกล่มุ ประเทศของตนกับคู่คา้ รวมท้งั ประเทศไทยท่ีเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มอาเซียน ได้ทาการตกลงร่วมกันในการรวมตัวเป็นประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือ เรียกย่อว่า “AEC” ซ่ึงจะเร่ิมในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ทาให้เกิดการเคล่ือนย้ายอย่างเสรีของปัจจัยการผลิตทั้งส่ี ได้แก่ แรงงาน เงินทุน สินค้า และบริการ จุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน รวมถึงการใช้ ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้ือหาในบทนี้จะกล่าวถึงบทบาทท่ีสาคัญในการจัดการโซ่อุปทาน และโลจสิ ติกสเ์ พ่ือสร้างความไดเ้ ปรยี บใหก้ บั องค์กรในการแขง่ ขนั อย่างย่งั ยนื 268 การจัดการโซอ่ ปุ ทานและโลจสิ ติกส์ | Supply Chain & Logistics Management

แนวคดิ การจดั การโซ่อปุ ทาน โซ่อุปทาน (Supply Chain) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่เก่ียวข้องกันตั้งแต่ธุรกิจ ตน้ นา้ (วตั ถดุ ิบ) จนถงึ ธุรกิจปลายนา้ (สินค้าสาเรจ็ รูปหรอื บริการ) ซ่ึงมลี ักษณะยาวต่อเน่ืองกันเหมือน โซ่ เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค โดยการให้ความสาคัญต่อการ สื่อสาร การวิเคราะห์ข้อมูล และนาไปใช้ร่วมกัน เป็นการสร้างมูลค่าเพ่ิมในการดาเนินงานและสร้าง ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยง่ั ยนื แบบจาลองโซอ่ ปุ ทานแสดงดังภาพที่ 10.1 การจัดการความสมั พันธ์ (Relationship Management) วตั ถดุ ิบ ฝ่ายจัดซื้อ การตลาด ลูกคา้ วัตถดุ บิ ฝา่ ยผลติ ลูกคา้ ลูกคา้ วตั ถดุ บิ เครอื ขา่ ยผสู้ ่งมอบ การเชื่อมโยงภายในองคก์ ร เครอื ข่ายการกระจายสนิ ค้า ทศิ ทางการไหลของขอ้ มูลและสารสนเทศ ทศิ ทางการไหลของสนิ คา้ และการบริการ ทิศทางการไหลของเงินทนุ ภาพท่ี 10.1 แบบจาลองโซอ่ ุปทานแสดงการไหลของสนิ ค้า ข้อมลู และสารสนเทศ (ทมี่ า: ปรับปรุงจาก Bowersox, Closs and Cooper, 2009: 6) จากภาพที่ 10.1 แสดงให้เห็นการไหลของวัตถุดิบ สินค้าและข้อมูลในขั้นตอนต่าง ๆ ของ กระบวนการ ทาให้คาส่ังซ้ือเสร็จสมบูรณ์ โดยเร่ิมจากการจัดหาวัตถุดิบ ไปจนกระทั่งวัตถุดิบถูกแปร สภาพไปเป็นสินค้าสาเร็จรูป และถูกส่งมอบให้กับลูกค้าปลายทาง การไหลของข้อมูลและสารสนเทศ ระหว่างองคก์ รเปน็ การสื่อสารสองทิศทางทาให้เกิดความสัมพันธ์ทางการค้า และเมื่อตกลงทาธุรกรรม ระหว่างกนั จะเกิดทศิ ทางการไหลของเงนิ ทนุ กลับมาสตู่ ้นทาง การจัดการการดาเนนิ งาน | Operations Management 269

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร เครือข่ายผู้ส่งมอบปัจจัยการผลิต และเครือข่ายการกระจายสินค้าไปสู่ ผู้บริโภคคนสุดท้าย ความสัมพันธ์และการส่ือสารที่มีประสิทธิภาพ ทาให้สามารถลดการเก็บรักษา สินค้าคงคลังลงได้ในภาพรวมและส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไดต้ ามต้องการทาให้สามารถสร้างผลกาไร สงู ขนึ้ ตลอดโซ่อุปทาน แบบจาลองโซ่อุปทานในการลดสินคา้ คงคลังดงั ภาพที่ 10.2 ผูผ้ ลิต การประกอบ การประกอบ ศนู ย์กระจาย ช่องทาง ลกู คา้ ชน้ิ ส่วน เบ้อื งตน้ สนิ ค้า จัดจาหนา่ ย ระดบั สินคำ้ คำสัง่ ซื้อ คงคลัง คำสั่งซ้ือ คำสั่งซอ้ื ตาราง คำส่ังซือ้ ผสู้ ่งมอบ จัดส่ง Commitments การจัดซื้อ แผนแสดง แผนความ แผนการ แผนการผลติ พยากรณค์ วาม ตาราง จัดส่ง จัดหา รายละเอยี ด ต้องการวัสดุ ผลิตหลกั ต้องการ จุดพกั สนิ คา้ การดาเนนิ งาน รางสินค้า รางข้อมลู ภาพท่ี 10.2 แสดงการไหลของวตั ถุดิบและสนิ คา้ ไปยงั จุดพัก (ท่มี า: ปรับปรุงจาก สาธิต พะเนยี งทอง, 2548: 25) จากภาพท่ี 10.2 ความต้องการและคาส่ังซื้อจากลูกค้าเป็นแรงดึงใหเ้ กิดการเคลื่อนย้ายสินค้า คาส่ังซื้อจะถ่ายทอดไปยังเครือข่ายผู้กระจายสินค้า ย้อนกลับไปยังเครือข่ายผู้ประกอบ เครือข่าย ผผู้ ลิต และเครอื ข่ายผู้ส่งมอบวัตถุดบิ ในตน้ ทาง เกดิ การทาธรุ กรรมกันเปน็ ทอด ๆ เพ่ือให้เกิดแรงผลัก ในการเคลอื่ นยา้ ยวตั ถุดิบ วสั ดุ จนกระท่งั ส่งมอบสนิ ค้าให้กับลกู คา้ 270 การจดั การโซอ่ ปุ ทานและโลจสิ ติกส์ | Supply Chain & Logistics Management

จะเห็นได้ว่าในทุกจุดท่ีมีการเคล่ือนย้ายคาส่ังซ้ือและสินค้า จะมีการพักสินค้าหรือการเก็บ รักษาสินค้าคงคลัง (Safety Stock) เพ่ือพยามลดความเส่ียงหากมีความต้องการของลูกค้า เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เป็นไปตามท่ีคาดการณ์ เมื่อไม่สามารถทาความเข้าใจในความต้องการของ ลูกค้าและขาดการติดต่อส่ือสารประสานงานท่ีดี องค์กรท่ีอยู่ในสายสัมพันธ์ท้ังโซ่อุปทานจะพยายาม เก็บรักษาสินค้าคงคลังไว้มากขึ้นทาให้สินค้าคงคลังเพิ่มสูงข้ึนตลอดสายโซ่อุปทาน ส่งผลต่อต้นทุนใน การเก็บรักษาเพ่ิมสูงข้ึน ปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนน้ีเรียกว่าปรากฏการณ์แส้ม้า (Bullwhip Effect) (Jacobs, Chase and Acquilano, 2009: 361) ในการลดผลกระทบจากปรากฏการณ์แส้ม้า (Bullwhip Effect) การจัดการโซ่อุปทานจะ เก่ียวข้องกับการจัดการความสัมพันธ์ภายในโซ่อุปทาน (Relationship Management) ซึ่งมี องค์ประกอบท่ีสาคัญได้แก่ การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) และการจัดการความสัมพนั ธ์กบั ผ้สู ่งมอบหรือคูค่ า้ (Supplier Relationship Management) การจดั การลกู คา้ สมั พนั ธ์ การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) คือการบูรณาการ กระบวนการภายในองค์กร กับเครือข่ายลูกค้าภายนอก ผ่านตัวกลางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Buttle, 2009: 15) เพื่อเรียนรู้ความต้องการของลกู ค้า และตอบสนองได้ตรงตามความตอ้ งการของ ลูกค้าท้ังในด้านผลิตภัณฑ์ และการบริการ เป็นการรักษาฐานลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ ลกู คา้ ในระยะยาว Adrian Payne (2009: 29) นาเสนอแบบจาลองในการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ท่ีประกอบไป ด้วยกระบวนการที่สาคัญ 5 กระบวนการได้แก่ กระบวนการพัฒนากลยุทธ์ กระบวนการสร้างคุณค่า กระบวนการบูรณาการช่องทางการเข้าถึงลูกค้า กระบวนการจัดการสารสนเทศ และกระบวนการ ประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน ดงั ภาพที่ 10.3 การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 271

การประเมนิ ความพร้อม การจัดการโครงการลูกค้าสัมพันธ์1.กระบวนการพัฒนากลยุทธ์ การจัดการการเป ี่ลยนแปลง ูลกค้า ัสมพันธ์ 2.การสรา้ งคุณคา่ การดาเนินการ 4.การจดั การ สารสนเทศ 3.การบรู ณาการ ช่องทาง ความผูกพนั ของพนักงาน 5.การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงาน ภาพท่ี 10.3 แบบจาลองการพฒั นากระบวนการจัดการลูกค้าสมั พันธ์ 1) กระบวนการพัฒนากลยุทธ์ (Strategy Development Process) เป็นกระบวนการใน การพิจารณากลยุทธ์ในการดาเนินธุรกิจขององค์กรที่ควรได้รับการพัฒนา โดยการ ตรวจสอบจากฐานลูกคา้ ท่มี อี ยู่ เพ่ือประเมินศักยภาพและแบง่ กลุม่ ลูกค้าอย่างเหมาะสม 2) กระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) เป็นกระบวนการสร้างคุณค่าโดย พิจารณาจากคุณค่าท่ีลูกค้าควรได้รับจากผลิตภัณฑ์และการบริการ ในการประเมิน คุณคา่ ลกู คา้ จะพิจารณาจากความค้มุ ค่าที่ได้ใชจ้ ่ายเงินไป ดังน้นั กระบวนการสรา้ งคุณค่า จะตอ้ งมองถึงคณุ ค่าทเ่ี กิดกบั องค์กรใหส้ มดลุ กบั คุณค่าที่ลกู คา้ ไดร้ บั นนั่ คอื คุณคา่ ท่ลี ูกค้า ได้รับจะต้องคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งกระบวนการน้ีจะต้องดาเนินการวิเคราะห์ความ ต้องการของลูกค้า การแบ่งกลุ่มลูกค้า รอบในการซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพ่ือเรียนรู้ ความตอ้ งการของลกู คา้ ได้อย่างถูกตอ้ ง 272 การจัดการโซอ่ ุปทานและโลจสิ ตกิ ส์ | Supply Chain & Logistics Management

3) กระบวนการบูรณาการช่องทางการเข้าถึงลูกค้า ( Multichannel Integration Process) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับลูกค้าคือส่ิงท่ีสาคัญมากในการจัดการลูกค้า สัมพันธ์ ลูกค้าจะมีความสัมพันธ์กับองค์กรได้หลากหลายช่องทาง เช่น การนาเสนอหน้า ร้าน โทรศัพท์ แฟกซ์ การใช้พนักงานขาย การทาธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ อินเทอร์เน็ต ซึ่งจะต้องบูรณาการช่องทางต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพ่ือสร้างปฏิสัมพันธ์อันดี ใหก้ บั ลูกคา้ 4) กระบวนการจัดการสารสนเทศ (Information Management Process) การจัดการ ข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการวิเคราะห์ มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีระบบ สารสนเทศในการจัดการฐานข้อมูลลกู ค้า ซ่ึงทาหน้าที่จัดเก็บ รวบรวม จัดกลุ่ม สามารถ นามาวิเคราะห์เรียนรู้ และพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าได้ถูกต้องมากย่ิงข้ึน องค์กร จะต้องออกแบบกระบวนการ การเลือกเทคโนโลยีประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบเครอื ขา่ ยและความปลอดภัยอย่างเหมาะสม 5) กระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Assessment Process) เป็น กระบวนการเพ่ือประเมินผลการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ท้ังในส่วนของภาพลักษณ์ การรักษาฐานลูกค้า การสร้างความพึงพอใจและความประทับใจให้กับลูกค้า เพื่อนามา ปรับปรุงกระบวนการให้บริการ รวมถึงการนาเสนอเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามท่ีลูกค้า ต้องการ นอกจากน้ีองค์กรท่ีมีการทาธุรกรรมร่วมกัน (Business to Business) ในการจัดการลูกค้า สัมพันธ์ จะมีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารร่วมกันท่ีเรียกว่า ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่าง องค์กร (Electronic Data Interchange) หรือระบบ EDI เพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลร่วมกัน เม่ือ องค์กรมีระดับความสัมพันธ์ท่ีสูงข้ึน จากผู้ซื้อ-ขาย ยกระดับเป็นคู่ค้า หรือ มีการแลกเปล่ียนการถือ ครองหุ้น ซ่ึงเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจท่ีมีความสัมพันธ์ท่ีแนบแน่น ระบบสารสนเทศที่ดาเนินการร่วมกัน อาจจะพัฒนาถึงข้ึนที่ดาเนินการวางแผนกลยุทธ์ระหว่างองค์กรร่วมกัน ทาให้องค์กรสามารถท่ีจะ วางแผนความต้องการได้ถูกต้องแม่นยามากขึ้น เม่ือเกิดความสัมพันธ์ท่ีแนบแน่นตลอดโซ่อุปทาน จึง สามารถกาจัดปรากฏการณ์แส้ม้า (Bullwhip Effect) นั่นคือองค์กรตลอดโซ่อุปทาน สามารถที่จะลด การสารองสินค้าคงคลงั ลงได้ การจดั การการดาเนินงาน | Operations Management 273

การจดั การความสมั พนั ธ์กบั ผูส้ ่งมอบ การจัดการความสัมพันธ์กับผู้ส่งมอบ (Supplier Relationship Management) เป็นอีกมุม หน่ึงที่มีความสาคัญมากในการจัดหา (Procurement) โดย Burnes (1998, อ้างถึงใน ธนิต โสรัตน์, 2550: 68) ได้ให้ความหมาย ความสัมพันธ์กับผู้ส่งมอบ คือ การท่ีลูกค้าและผู้ส่งมอบมีการพัฒนา ความสัมพันธก์ ันอย่างใกล้ชิดและในระยะยาวร่วมกนั แบบพนั ธมติ ร (Partnership) โดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อใหไ้ ดม้ าซึ่งผลประโยชน์ทางการค้ารว่ มกนั อยา่ งดีทสี่ ุด ในการจัดการความสัมพันธ์กับผู้ส่งมอบ สามารถจาแนกรูปแบบความสัมพันธ์ได้ 6 ประเภท ดังนี้ (Harrison and Hoek, 2002: 272) 1) ความสมั พันธ์แบบหลวม ๆ (Arm’ Length) รูปแบบความสมั พันธแ์ บบน้ีมักทาสัญญาซ้ือ ขายในระยะสน้ั มผี ู้สง่ มอบมากรายทาให้เกดิ การแข่งขนั ผสู้ ่งมอบมกั ใชก้ ลยุทธ์ด้านราคา เพ่อื จูงใจให้เกดิ การซื้อขาย ไมม่ ีปฏิสมั พันธร์ ะหว่างองค์กรมากนัก 2) ความสัมพันธ์แบบต่อเน่ือง (Cooperation) รูปแบบความสัมพันธ์ท่ีมีการติดต่อส่ือสาร อย่างต่อเน่ือง มีการนาเสนอราคาและแจ้งข้อมูลข่าวสาร รายละเอียดต่าง ๆ เสมอ ผู้ส่ง มอบมีจานวนน้อยราย จึงมักใช้วิธีการเล่นเกมการแข่งขันทาให้เกิดการทาสัญญาซ้ือขาย ในระยะยาว 3) ความสัมพันธ์แบบประสาน (Coordination) รูปแบบความสัมพันธ์ท่ีมีการประสานการ ดาเนินกิจกรรมรว่ มกัน เพอื่ เป้าหมายในการลดต้นทนุ การทาสญั ญาซ้ือขายในระยะยาว มีการประสานงานกันตลอด หรือนาระบบสารสนเทศมาใช้งานร่วมกันเช่นระบบ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างองค์กร (Electronic Data Interchange: EDI) ทาให้ การทาธรุ กรรมระหวา่ งองคก์ รสามารถดาเนนิ ไปได้อยา่ งรวดเรว็ 4) ความสัมพันธ์แบบร่วมมือ (Collaboration) เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ท่ีแนบแน่น ระหว่างองค์กร มีการแลกเปล่ียนหรือวางแผนร่วมกัน แบ่งรับความเส่ียงที่จะเกิดขึ้น รว่ มกัน มกี ารแลกเปล่ยี นเทคโนโลยี หรือใช้เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ร่วมกนั ทาให้การทาสัญญา เปน็ แบบระยะยาวไม่มกี าหนด 274 การจัดการโซ่อุปทานและโลจิสตกิ ส์ | Supply Chain & Logistics Management

5) ความสัมพนั ธ์แบบร่วมทุน (Joint Venture) เป็นความสัมพนั ธ์ที่เหนยี วแน่น มีการลงทุน หรือถือครองหุ้นร่วมกัน มีการตัดสินใจด้านกลยุทธ์และวางแผนร่วมกัน มีการใช้ เทคโนโลยีและระบบสารสนเทศต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ระบบคลังข้อมูล (Data Warehouse) ระบบสนับสนุนการตัดสนิ ใจ (Decision Support System: DSS) 6) ความสมั พนั ธแ์ บบบูรณาการในแนวดิ่ง (Full Vertical Integration) เปน็ ความสมั พันธ์ท่ี เกิดจากเจ้าของธุรกิจคนเดียวกัน ขยายกิจการไปยังธุรกิจท่ีเก่ียวข้องกัน ทาให้สามารถ เขา้ ควบคมุ การดาเนนิ งานต่าง ๆ ได้อยา่ งสมบูรณ์ แบบหลวม ๆ แบบประสาน แบบรว่ มทุน (Arm’ Length) (Coordination) (Joint Venture) แบบต่อเน่อื ง พันธมิตรทางธรุ กิจ แบบบูรณาการในแนวด่ิง (Cooperation) (Partnership) (Full Vertical Integration) แบบรว่ มมอื (Collaboration) ภาพท่ี 10.4 รูปแบบความสมั พันธ์กับผู้ส่งมอบ (ทม่ี า: ปรับปรงุ จาก Harrison and Hoek, 2002: 272) จากภาพที่ 10.4 ลักษณะความสัมพันธ์ที่มีรูปแบบพันธมิตรทางธุรกิจที่องค์กรควรให้ ความสาคัญได้แก่ ความสัมพันธ์แบบต่อเน่ือง (Cooperation) แบบประสาน (Coordination) แบบ ร่วมมือ (Collaboration) และแบบร่วมทุน (Joint Venture) ซ่ึงมีส่วนสาคัญในการส่งมอบ เกดิ ความ ไว้วางใจงานวิจัยของ Koufteros, Vonderembse and Jayaram (2005) และ Singh and Power (2009) พบว่าความร่วมมือกับผู้ส่งมอบจะส่งผลต่อการปรับปรุงการดาเนินงานขององค์กร ทาให้ องค์กรสามารถลดปริมาณสินค้าคงคลังจากผลของการรอคอยสินค้าหรือระยะเวลาส่งมอบ (Lead Time) ในการดาเนินการสร้างความสัมพันธก์ บั ผู้สง่ มอบประกอบไปดว้ ยขัน้ ตอนตา่ ง ๆ ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ระยะเร่ิมต้น ทาการกาหนดปริมาณความต้องการในการจัดซ้ือ กาหนดคณะทางาน ในการประสานงานกบั ผูส้ ง่ มอบ การจดั การการดาเนนิ งาน | Operations Management 275

ข้ันที่ 2 กาหนดผู้ส่งมอบ พิจารณาแนวทางและปัจจัยต่าง ๆ ในการคัดเลือกคุณสมบัติ ขอ้ กาหนดต่าง ๆ ของผ้สู ่งมอบท่เี ปน็ ไปได้ ขั้นที่ 3 กล่ันกรองและคัดเลือก ติดต่อผู้ส่งมอบท่ีกาหนดไว้ ทาการประเมินผู้ส่งมอบแต่ละ รายและทาการคัดเลือกผู้ส่งมอบ ขั้นท่ี 4 กาหนดระดับความสัมพันธ์ เอกสาร ระดับความสนใจ และข้อมูลที่สนใจ เพื่อ ประสานงานและร่วมมือในการทาธรุ กรรมรว่ มกนั ข้ันท่ี 5 ประเมินความสัมพันธ์ที่เกิดข้ึนระหว่างองค์กรกับผู้ส่งมอบ ความต่อเน่ืองของ ความสมั พนั ธใ์ นปัจจบุ ันเพื่อวางแผนในการพฒั นาความสมั พนั ธ์ โดย Hines (2000: 148-149) ไดแบ่ง รปู แบบการพฒั นาความสมั พนั ธก์ บั ผูส้ ่งมอบ 4 รูปแบบหลัก คอื 1) การใหก้ ารรบั รองภายนอก (External Accreditation) เป็นรูปแบบที่องค์กรเข้า ไปช่วยปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งมอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่ออานวยความสะดวกในการส่งมอบ เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ แบบต่อเนอื่ ง (Cooperation) 2) การช่วยแก้ปัญหา (Reactive Problem-Solving) เป็นรูปแบบท่ีองค์กรเข้าไป ช่วยแก้ปัญหาในประเด็นเฉพาะให้กับผู้ส่งมอบ เพ่ือเพิ่มศักยภาพในการส่งมอบ ลดตน้ ทุนรว่ มกันเปน็ การพฒั นาความสมั พนั ธแ์ บบประสาน (Coordination) 3) การพัฒนาอย่างเป็นระบบ (Systematic Development Program) เป็น รูปแบบท่ีองค์กรเข้าไปช่วยเหลือปรับปรุง เพื่อให้ผู้ส่งมอบเพ่ิมศักยภาพในการ แข่งขันอย่างเป็นระบบ รูปแบบน้ีจะพัฒนาความสัมพันธ์ แบบร่วมมือ (Collaboration) โดยองค์กรจะเขา้ ไปรบั ความเสี่ยงร่วมกบั ผูส้ ่งมอบ 4) การพฒั นาเครือข่ายผสู้ ่งมอบ (Network Development) เป็นรูปแบบทอ่ี งค์กร เข้าไปช่วยเหลือผู้ส่งมอบอย่างเต็มความสามารถ มีการตัดสินใจและวางแผน ร่วมกัน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ฐานข้อมูลรวมกัน เป็นการพัฒนาความ รว่ มมอื จนเกดิ ความสัมพันธ์แบบร่วมทุน (Joint Venture) เพือ่ ให้เกิดประโยชน์ ทง้ั โซอ่ ปุ ทาน 276 การจดั การโซอ่ ปุ ทานและโลจิสติกส์ | Supply Chain & Logistics Management


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook