เอกสารประกอบการสอน History of Buddhism คณะศาสนาและปรชั ญา หลกั สตู รศลิ ปศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าพทุ ธศาสตร์เพอื่ การพัฒนา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตสริ นิ ธรราชวิทยาลัย สดุ ใจ ภกู งลี : ศน.บ. (ภาษาอังกฤษ), M.A. (Buddhist Studies)
เอกสารประกอบการสอน History of Buddhism รวบรวมและเรียบเรียง: สุดใจ ภูกงลี ปรบั ปรงุ ครง้ั ท่ี 1: 1 มนี าคม 2558 ปรับปรุงครง้ั ที่ 2: 1 กรกฎาคม 2564 หลกั สตู รศลิ ปศาสตรบณั ฑิต (ศศ.บ.) สาขาวิชาพทุ ธศาสตร์เพื่อการพฒั นา คณะศาสนาและปรัชญา มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตสิรนิ ธรราชวทิ ยาลยั ใชส้ ำหรบั สอนต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2558 เป็นตน้ มา
คำนำ วิชา BU5001 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (History of Buddhism) อยู่ในหมวดวิชาเฉพาะ กลุ่มวิชาพระพุทธศาสนา 30 หน่วยกิต รายวิชาบังคับเรียน นับเป็นวิชาท่ีมีความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับนักศึกษา พุทธศาสนิกชน และผู้สนใจศึกษาทั่วไป เนื่องจากประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องยืนยันให้ มวลมนุษย์ได้ทราบว่าได้ดำเนินมาถูกทิศถูกทาง โดยอาศัยแนวประสบการณ์ของมนุษย์ในอดีตเข้ามาช่วย ในการตัดสินใจเพอื่ แกป้ ัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในชีวิต เนือ่ งจากมคี วามแม่นยำมากกวา่ วชิ าโหราศาสตร์ โดย อาศยั ความรู้ท่ีได้จากการสอบสวน ตรวจตรา คน้ คว้า วเิ คราะห์ ซักถาม หาหลักฐานจากประวัตศิ าสตร์มา เป็นแนวทางในการปฏิบัติด้วยสติปัญญาหรือด้วยการวิจยั ที่ค้นพบเป็นองคค์ วามร้ใู หม่ในปัจจุบันประกอบ กันเข้า จะช่วยให้ผ่านอุปสรรคนานาประการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสียเวลาลองผิ ดลองถูกอีก สามารถบรรลวุ ตั ถุประสงคท์ ต่ี ้ังไว้ไดร้ วดเร็วและแม่นยำมากยง่ิ ขน้ึ หลกั สูตรศลิ ปศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาพุทธศาสตรเ์ พื่อการพัฒนา (หลกั สตู รปรับปรุง พ.ศ. 2563) และหลักสูตรอ่ืน ๆ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้กำหนดให้วิชาประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา (History of Buddhism) เป็นวิชาพ้ืนฐานให้นักศึกษาได้ศกึ ษา ค้นคว้า วเิ คราะห์ เพ่ือให้ รู้เข้าใจและประยุกต์ใช้ในประเด็นท่ีเกี่ยวกับโลกทัศน์ศาสนาก่อนพุทธกาล พุทธประวัติและพุทธประวัติ เชิงวเิ คราะห์ การสังคายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ัย นิกายในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาใน ประเทศไทยและต่างประเทศ ประวัติและบทบาทของพระสาวก พระสาวิกาและนักคิดทาง พระพุทธศาสนาที่สำคัญ อิทธิพลของพุทธศิลป์ทม่ี ีต่อศิลปะไทย และศึกษาสถานการณพ์ ระพุทธศาสนาใน ปัจจุบัน ผู้จัดทำได้รวบรวมและเรียบเรียงจากตำราและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของนักปราชญ์ทาง พระพุทธศาสนาท้ังหลาย โดยพยายามปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยทุกปีต้ังแต่เริ่มใช้เป็นเอกสาร ประกอบการสอนต้ังแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน และพยายามคัดสรรเฉพาะเน้ือหาทเ่ี ห็นวา่ ครอบคลุม รายละเอียดตามสโคปรายวิชาท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร แต่บางเนื้อหาอาจขาดรายละเอียดเชิงลึก ซ่ึงนักศึกษาสามารถศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมไดด้ ้วยตนเอง ตามกรอบรายวิชาที่กำหนดให้นักศึกษาตอ้ งศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองสัปดาห์ละ 6 ช่ัวโมง เพื่อเสริมสร้างทักษะหลาย ๆ ด้าน เช่น ทักษะทางปัญญา ทักษะ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและการ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ เป็นตน้ หากมีเนื้อหาท่ีบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ผู้รวบรวมและ เรียบเรียงเอกสารประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาน้ี ขออภัยมา ณ ที่นี้ และหากพึงมี ความดีหรืออานิสงค์ใด ๆ อันเกิดจากความวิริยะอุตสาหะน้ี ข้าพเจ้าขอมอบแด่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย มีมารดา บิดา ครู อาจารย์ ญาติ มิตรผู้เป็นท่ีรักท้ังหลาย ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้
ข ทา่ นเหล่านั้น ประสบจตรุ พธิ พรชัยโดยทวั่ กนั และขอให้ผสู้ นใจศึกษาวิชาประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนาน้ี จงเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาด สามารถนำบทเรียน ข้อคิด และคติเตือนใจ ตลอดถึงหลักธรรมคำสอนที่ สำคัญไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและนำความรู้ที่ได้ไปเผยแผ่ เพ่ือสร้างความรัก ความเมตตา ความ สามัคคี และความสงบสุขแก่มวลมนษุ ยชาติตอ่ ไปเทอญ สดุ ใจ ภกู งลี 1 กรกฎาคม 2564
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี ค การใช้อกั ษรยอ่ คัมภรี พ์ ระไตรปิฎก การรวบรวมเรียบเรียงเน้ือหาในเอกสารประกอบการสอนวิชา BU 5001 ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา (History of Buddhism) เล่มนี้ ได้ใช้อักษรย่อบอกช่ือคัมภีร์และอรรถกถา จาก พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย (พิมพ์คร้ังที่ 8) พิมพ์เผยแพร่เม่ือปี พ.ศ. 2557 และ จากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย พิมพ์เผยแพรเ่ ม่ือปี พ.ศ. 2539 มีตัวอย่าง ในการใช้อ้างอิง เชน่ (ท.ี สี. 11/149/504-505) มีความหมายวา่ ที. หมายถงึ ทฆี นกิ าย สี. หมายถงึ สลี ขนั ธวรรค 11 หมายถงึ พระไตรปิฎกเลม่ ที่ 11 149 หมายถึง พระไตรปิฎกข้อที่ 149 504-505 หมายถงึ พระไตรปิฎกหน้าที่ 504-505 การอ้างอิงอรรถกถาในพระไตรปิฎก มีตัวอย่างในการใช้อ้างอิง เช่น (ที.สี.อ. (ไทย) 11/555-559) มีความหมายวา่ ที. หมายถงึ ทีฆนิกาย ส.ี หมายถงึ สลี ขันธวรรค อ. หมายถงึ อรรถกถา 11 หมายถึง พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี 11 555-559 หมายถึง พระไตรปิฎกหนา้ ที่ 555-559 เอกสารประกอบการสอนวชิ า BU5001 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (History of Buddhism) เล่มน้ี มีการอ้างอิงโดยใช้อักษรย่อบอกชื่อคัมภีร์และอรรถกถา จากพระไตรปิฎกท้ังสองฉบับ ในการ รวบรวมเรียบเรยี งเน้ือหา โดยเรียงตามลำดับดงั น้ี บทที่ 1 อักษรย่อ ความหมายถึง เล่ม/ขอ้ /หน้า ท.ี สี. ทฆี นิกาย สีลขนั ธวรรค 11/97/299-300 ท.ี ส.ี ทีฆนิกาย สลี ขันธวรรค 11/96/297-298 บทท่ี 2 อกั ษรย่อ ความหมายถึง เลม่ /ข้อ/หนา้ ท.ี สี. ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค 11/149/504-505 ท.ี สี.อ. ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค อรรถกถา 11/555-559 ท.ี ส.ี อ. ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค อรรถกถา 11/559-562 ขุ.มหา.อ. ขุททกนิกาย มหานิทเทส อรรถกถา 65/69/390-391 ขุ.เถร.อ. ขทุ ทกนิกาย ทสกนบิ าต อรรถกถา 52/322
ง ขทุ ทกนิกาย อปทาน อรรถกถา 72/546/373 มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ 18/317/415 ขุ.อป.อ. มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปณั ณาสก์ 19/411/113 ม.ม. ทฆี นกิ ายสลี ขนั วรรค 12/203/44-46 ม.ม. มัชฌมิ นกิ าย มชั ฌิมปัณณาสก์ 21/650/343-344 ที.สี. ขุททกนิกาย วิมานวตั ถุ 48/81/608-609 ม.ม. มชั ฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ อรรถกถา 18/455-456 ข.ุ วิ. มชั ฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ 18/319-320/418-419 ม.มู.อ. มัชฌมิ นกิ าย มูลปัณณาสก์ 18/322/420-421 ม.มู. มัชฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ 18/322/421-422 ม.มู. มชั ฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ 18/322/423-424 ม.ม.ู วินัยปฎิ ก มหาวรรค 6/13/44-45 ม.ม.ู วนิ ัยปิฎก มหาวรรค 6/16/48 ว.ิ ม. วินัยปิฎก มหาวรรค 6/18/50 วิ.ม. ทีฆนิกาย มหาวรรค 13/107/290 วิ.ม. ทฆี นิกาย มหาวรรค 13/113-116/293-295 ท.ี ม. วินยั ปฎิ ก มหาวรรค 7/92/161 ที.ม. ทฆี นิกาย มหาวรรค 13/131/308-309 ว.ิ ม. ทฆี นิกาย มหาวรรค 13/141/320-321 ที.ม. ทีฆนกิ าย มหาวรรค 13/143/322 ท.ี ม. ความหมายถึง เล่ม/ขอ้ /หน้า ที.ม. อังคุตตรนิกาย เอกนบิ าต 20/146-149/28-30 บทที่ 6 อักษรย่อ วินยั ปิฎก มหาวรรค 4/60-62/72-77 อง.เอก. ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา 26/397/405-408 ว.ิ ม. ขุททกนิกาย เถรคาถา 26/1027/508 ขุ.เถร. อังคตุ ตรนิกาย ทสกนิบาต 24/31/73-74 ขุ.เถร. องั คตุ ตรนิกาย ทสกนิบาต 24/99/232-240 องฺ ทสก. วินัยปฎิ ก ปรวิ าร 8/1016-1023/336-340 องฺ ทสก. อังคตุ ตรนิกาย เอกนบิ าต 20/150/30-31 ว.ิ ป. องั คตุ ตรนิกาย เอกนิบาต 20/151/31-32 อง.เอก. องั คุตตรนิกาย เอกนบิ าต 20/152/32-33 อง.เอก. อง.เอก.
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี จ บทท่ี 8 อักษรย่อ ความหมายถึง เล่ม/ขอ้ /หนา้ อง.ทสก. องั คุตตรนิกาย ทสกนิบาต 24/176/324 ว.ิ มหา. วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค 4/13-15/15-17 ขุ.อติ ิ. ขทุ ทกนิกาย อิติวุตตกะ 25/44/392-393 ขุ.ธ. ขุททกนิกาย อุทาน 25/158/206-207 ขุ.ธ. ขุททกนกิ าย อทุ าน 25/160/207-208 ขุ.ธ. ขทุ ทกนกิ าย อุทาน 25/50/81-85 สํ.นิ. สังยุตตนกิ าย นิทานวรรค 16/61/25 สํ.ส. สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค 15/29/9 ขุ.สุ. ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต 25/311/329-331 ข.ุ ธ. ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท 25/20/32-34 ม.อุป. มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ัณณาสก์ 14/581/376-386 อภิ.กถา. อภิธรรม กถาวตั ถุ 37/1700/578-579 สํ.ส. สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค 15/903/332-334 อง.ปญจฺ ก. องั คตุ ตรนิกาย ปญั จกนบิ าต 22/43/47-48 สํ.ข. สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค 17/261/143-145 ขุ.สุ. ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต 25/311/359-361 ขุ.ธ. ขุททกนิกาย ธรรมบท 25/22/36-37 ข.ุ ธ. ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท 25/22/36-37 ข.ุ ธ. ขุททกนิกาย ธรรมบท 25/35/66-67 ข.ุ ธ. ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท 25/13/19-20 ขุ.ธ. ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท 25/30/51-53 ขุ.ชา. ขทุ ทกนิกาย ชาดก 28/382/147-152 ข.ุ ธ. ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท 25/11/15-17 ข.ุ ธ. ขุททกนกิ าย ธรรมบท 25/11/15-17 ม.มู. มัชฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ 12/92/64-71 สํ.ส. สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค 15/181/54-55 ขุ.มหา. ขุททกนิกาย มหานิทเทส 29/49/49-71 ขุ.ธ. ขุททกนกิ าย ธรรมบท 25/13/19-20 อภ.ิ ธ.อ. อภธิ รรมปิฎก ธมั มสงั คณี อรรถถา 34/63/38 ส.ํ นิ. สังยตุ ตนกิ าย นบิ าต 16/422/199
ฉ ขุ.ธ. ขุททกนิกาย ธรรมบท 25/153-154/79-80 ขุ.เถร. ขุททกนิกาย เถรคาถา 26/289/297 ท.ี ม. ทฆี นิกาย มหาวรรค 10/52/53-55 การรวบรวมเรียบเรียงเอกสารประกอบการสอนวิชา BU5001 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (History of Buddhism) เล่มนี้ ได้ใส่อกั ษรย่อคมั ภรี ์พระไตรปิฎกในการอา้ งองิ เน้ือหาในบทนั้น ๆ แล้ว
สารบัญ บทที่ 1 โลกทัศนศ์ าสนากอ่ นพทุ ธกาล…..…………………………………………………………………………………1 1. บทนำ ................................................................................................................................................... 3 2. ความหมายของศาสนา ......................................................................................................................... 4 3. องคป์ ระกอบของศาสนา....................................................................................................................... 6 4. ศาสนากบั ลทั ธิ ..................................................................................................................................... 7 5. ศาสนากบั ปรชั ญา.................................................................................................................................. 8 6. ววิ ัฒนาการของศาสนา ......................................................................................................................... 9 7. มูลเหตุของการเกิดศาสนา ................................................................................................................. 11 8. ศาสนาประเภทตา่ ง ๆ ........................................................................................................................ 13 9. ศาสนาในอินเดียก่อนสมัยพทุ ธกาล ................................................................................................... 14 10. ความเชื่อในคำสอนแบบปรชั ญาของนักบวชสมัยพุทธกาล............................................................... 21 12. สรุปท้ายบท ..................................................................................................................................... 33 คำถามท้ายบท ........................................................................................................................................ 34 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทที่ 1................................................................................................................... 35 บทท่ี 2 พทุ ธประวัติและพทุ ธประวัตเิ ชิงวเิ คราะห์ ………………………………………………………………….36 1. บทนำ ................................................................................................................................................. 39 2. ชมพทู วีป ............................................................................................................................................ 39 2.1 ฮนิ ดสู ถาน (HINDUSTAN) …........................................................................................................... 39 2.2 เดคคาน (DECCAN) ........................................................................................................................ 40 3. สภาพสังคมในชมพทู วปี ก่อนสมยั พุทธกาล…...................................................................................... 41 3.1 ดา้ นการปกครอง ............................................................................................................................. 42 3.2 ด้านอาชีพ ........................................................................................................................................ 42 3.3 ดา้ นเศรษฐกจิ .................................................................................................................................. 42 3.4 ด้านสังคม ........................................................................................................................................ 42 3.5 ดา้ นศาสนา ...................................................................................................................................... 42 3.6 ด้านการศึกษา ................................................................................................................................. 43 4. ลำดับพุทธวงศ์ ................................................................................................................................... 44 4.1 อาทิตยวงศ์และศากยวงศ์ ................................................................................................................ 44 4.2 โกลิยวงศ์ ......................................................................................................................................... 45
ซ 4.3 ศากยวงศแ์ ละโกลิยวงศ์ ................................................................................................................... 46 5. พทุ ธประวตั .ิ ........................................................................................................................................ 47 5.1 ตระกูลและปฐมวัย .......................................................................................................................... 47 5.2 อภเิ ษกสมรส .................................................................................................................................... 51 5.3 เสดจ็ ออกผนวช (มหาภิเนษกรมณ)์ ................................................................................................. 52 5.4 ทรงศกึ ษาในสำนักดาบส .................................................................................................................. 55 5.5 ทรงบำเพ็ญทกุ รกริ ยิ า ...................................................................................................................... 55 5.6 ตรัสรเู้ ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ....................................................................................................... 57 5.7 ทรงดำรทิ ี่จะโปรดสัตว์ ..................................................................................................................... 58 5.8 ทรงแสดงปฐมเทศนา ....................................................................................................................... 59 5.9. ทรงประกาศพระศาสนา ................................................................................................................. 61 5.10 เสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ................................................................................................................ 63 6. สรปุ ทา้ ยบท ....................................................................................................................................... 67 คำถามท้ายบท ........................................................................................................................................ 68 เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ 2................................................................................................................... 69 บทที่ 3 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัย...………………………………………………………….70 1. บทนำ ................................................................................................................................................. 73 2. การสงั คายนาในประเทศอินเดยี .......................................................................................................... 74 2.1 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ยั ครง้ั ที่ 1 ................................................................... 74 2.2 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวนิ ยั ครงั้ ที่ 2 (การแตกนิกาย) …...................................... 77 2.3 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยครง้ั ที่ 3 ................................................................... 82 2.4 การสงั คายนาและการร้อยกรองพระธรรมวินัยครง้ั ที่ 4 ................................................................... 83 3. การสังคายนาในลงั กาทวปี .................................................................................................................. 84 3.1 การสังคายนาครง้ั ที่ 1 ในลังกาทวปี ................................................................................................. 84 3.2 การสังคายนาครง้ั ที่ 2 ในลงั กาทวปี ................................................................................................. 85 3.3 การสงั คายนาครั้งท่ี 3 ในลงั กาทวีป ................................................................................................. 85 3.4 การสงั คายนาคร้งั ท่ี 4 ในลงั กาทวปี ................................................................................................. 86 4. การสังคายนาชำระ การจารกึ และการพิมพ์พระไตรปฎิ กในประเทศไทย ......................................... 86 4.1 สมยั ท่ี 1 ในสมยั พระเจา้ ติโลกราช ................................................................................................... 86 4.2 สมยั ท่ี 2 ในรัชสมยั ของรชั กาลท่ี 1 .................................................................................................. 87 4.3 สมัยท่ี 3 ในรัชสมัยของรัชกาลท่ี 5 .................................................................................................. 87
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี ฌ 4.4 สมัยท่ี 4 ในรชั สมยั ของรัชกาลท่ี 7 .................................................................................................. 87 4.5 สมยั ที่ 5 ในรัชสมัยของรัชกาลท่ี 8-9 ............................................................................................... 88 4.6 สมัยท่ี 6 ในรัชสมัยของรชั กาลท่ี 9 .................................................................................................. 88 5. การนบั ครง้ั สังคายนา ......................................................................................................................... 89 5.1 การนบั ครงั้ สงั คายนาท่รี ู้กันทั่วไป……................................................................................................ 89 5.2 การนับสังคายนาของลงั กา .............................................................................................................. 89 5.3 การนับสงั คายนาของพม่า ................................................................................................................ 90 5.4 การนับสังคายนาของไทย ................................................................................................................ 91 5.5 การนบั สงั คายนาของฝา่ ยมหายาน .................................................................................................. 91 6. สรปุ ท้ายบท ....................................................................................................................................... 92 คำถามทา้ ยบท ........................................................................................................................................ 97 เอกสารอ้างอิงประจำบทท่ี 3 .................................................................................................................. 98 บทที่ 4 นิกายในพระพุทธศาสนา……………………………………………….................................................99 1. บทนำ .............................................................................................................................................. 103 2. นกิ ายเถรวาท ................................................................................................................................... 104 2.1 นกิ ายมหสิ าสกวาท ........................................................................................................................ 105 2.2 นกิ ายวชั ชีปุตตกวาท ..................................................................................................................... 110 3. นิกายมหายาน ................................................................................................................................. 113 3.1 นิกายเอกวยหารกิ วาท ................................................................................................................... 115 3.2 นิกายโลโกตรวาทิน ....................................................................................................................... 116 3.3 นกิ ายโคกลุ ิกะ ................................................................................................................................ 116 3.4 นิกายพหุศรุติยะ ............................................................................................................................ 116 3.5 นกิ ายปรัชญาปติวาทนิ .................................................................................................................. 116 3.6 นิกายไจติยคีรี นิกายอปรเสลยิ ะ นิกายอตุ ตรเสลยิ ะ ...................................................................... 117 3.7 นิกายอตุ ตระปถะ .......................................................................................................................... 117 3.8 นิกายเวตุลลกะ .............................................................................................................................. 117 4. หลักการสำคัญของนิกายมหายาน ................................................................................................... 118 4.1 อดุ มคตขิ องมหายาน ..................................................................................................................... 118 4.2 ความเช่ือเรื่องตรีกาย ..................................................................................................................... 119 4.3 ความเชอ่ื เรอ่ื งตรยี าน .................................................................................................................... 120 5. นกิ ายสำคัญของมหายานในประเทศอนิ เดีย .................................................................................... 120
ญ 5.1 นกิ ายศนู ยวาทิน หรือ นิกายมาธยมิกะ ......................................................................................... 120 5.2 นกิ ายโยคาจาร .............................................................................................................................. 122 5.3 นิกายจติ ตอมตวาท ........................................................................................................................ 125 5.4 นกิ ายพุทธตนั ตรยาน ..................................................................................................................... 126 6. สรปุ ท้ายบท ..................................................................................................................................... 128 คำถามท้ายบท ..................................................................................................................................... 131 เอกสารอา้ งอิงประจำบทท่ี 4 ................................................................................................................ 132 บทที่ 5 พทุ ธศาสนาในประเทศไทยและตา่ งประเทศ………………....................................................133 1. บทนำ .............................................................................................................................................. 137 2. พระพุทธศาสนาสมัยทวารวดี .......................................................................................................... 138 3. พระพุทธศาสนาสมัยอาณาจักรอา้ ยลาว .......................................................................................... 139 4. พระพุทธศาสนาสมัยลพบรุ ี ............................................................................................................. 141 5. พระพุทธศาสนาสมัยพกุ าม ............................................................................................................. 142 6. พระพุทธศาสนาสมัยลา้ นนา ............................................................................................................ 143 7. พระพุทธศาสนาสมยั สุโขทัย ............................................................................................................ 146 8. พระพุทธศาสนาสมัยอยุธยา ............................................................................................................ 147 9. พระพุทธศาสนาสมัยธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) ................................................................................ 149 10. พระพุทธศาสนาสมยั รัตนโกสินทร์ ................................................................................................. 150 11. พระพุทธศาสนาในพม่า ................................................................................................................. 158 12. พระพทุ ธศาสนาในลาว ................................................................................................................. 159 13. พระพุทธศาสนาในเวยี ดนาม ......................................................................................................... 161 14. พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า ............................................................................................................ 162 15. พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี เอเชยี กลาง ............................................................................................. 163 16. พระพุทธศาสนาในประเทศจีน ...................................................................................................... 165 17. พระพุทธศาสนาในเกาหลี ............................................................................................................. 169 18. พุทธศาสนาในญป่ี ุ่น ...................................................................................................................... 170 20. พระพทุ ธศาสนาในโลกตะวนั ตก .................................................................................................... 171 21. สรปุ ท้ายบท .................................................................................................................................. 174 เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ 5 ............................................................................................................... 176
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี ฎ บทท่ี 6 ประวตั ิและบทบาทพระสาวก สาวิกาและนักคิดทีส่ ำคญั ในพระพทุ ธศาสนา......................177 1. บทนำ .............................................................................................................................................. 179 2. ประวัตแิ ละบทบาทพระสาวกฝ่ายภิกษุในสมยั พุทธกาล................................................................... 180 3. ประวตั ิและบทบาทของภิกษุณสี ำคัญในสมยั พุทธกาล ..................................................................... 191 4. ประวัตแิ ละบทบาทของอุบาสกสำคญั ในสมัยพุทธกาล .................................................................... 198 5. ประวตั ิและบทบาทอุบาสกิ าสำคญั ในสมยั พุทธกาล ......................................................................... 203 6. ประวัติและบทบาทนกั คิดทางพระพุทธศาสนาทีส่ ำคัญหลงั ยคุ พทุ ธกาล ......................................... 206 7. บคุ คลสำคญั ในการฟ้ืนฟูพระพทุ ธศาสนาให้กลบั รุ่งเรืองอกี ครั้งหลังเสอื่ มจากอนิ เดยี ราว 800 ปี .... 216 8. สรุปท้ายบท ..................................................................................................................................... 218 คำถามท้ายบท ..................................................................................................................................... 220 เอกสารอา้ งองิ ประจำบทที่ 6 ................................................................................................................ 221 บทท่ี 7 อิทธิพลของพุทธศลิ ปท์ ่มี ีต่อศิลปะไทย………………………………………………………………………222 1. บทนำ ............................................................................................................................. ................. 225 2. พุทธศิลป์ ......................................................................................................................................... 225 3. อทิ ธิพลของพุทธศลิ ปท์ ี่มีต่อศิลปะไทย ............................................................................................. 228 3.1 งานพทุ ธศลิ ป์กบั การสบื สานพระพทุ ธศาสนา ................................................................................ 228 3.2 พทุ ธศลิ ปเ์ ปน็ รากฐานของพุทธรรม ............................................................................................... 229 3.3 พทุ ธศลิ ป์เป็นพ้นื ฐานของวัฒนธรรมไทย ....................................................................................... 229 3.4 พทุ ธศลิ ปเ์ ป็นบ่อเกดิ ศลิ ปวฒั นธรรมไทย ....................................................................................... 230 สมยั สโุ ขทยั .................................................................................................................................... 230 สมัยกรงุ ศรีอยุธยา ......................................................................................................................... 230 สมัยกรงุ รตั นโกสินทร์ .................................................................................................................... 231 3.5 พทุ ธศลิ ปส์ ะทอ้ นบุคลิกภาพและลักษณะนสิ ยั ของคนไทย.............................................................. 234 3.6 พทุ ธศิลปเ์ ป็นส่อื น้อมนำศรัทธา เป็นแหลง่ ความรู้ และเป็นศนู ยก์ ลางรวมใจที่ทรงคุณคา่ ............. 235 4. พุทธศลิ ปใ์ นอินเดยี และในประเทศไทย ............................................................................................ 235 4.1 พุทธศิลปใ์ นอินเดยี ........................................................................................................................ 235 พุทธศลิ ป์แบบคันธาระ .................................................................................................................. 236 พทุ ธศิลปแ์ บบมถุรา ....................................................................................................................... 237 พทุ ธศลิ ป์แบบอมราวดี .................................................................................................................. 238 พทุ ธศลิ ปแ์ บบคปุ ตะ....................................................................................................................... 238 พทุ ธศิลปแ์ บบปาละ-เสนะ.............................................................................................................. 239
ฏ พทุ ธศลิ ป์แบบปาลวะ .................................................................................................................... 239 พทุ ธศลิ ป์แบบโจฬะ ....................................................................................................................... 240 4.2 พุทธศิลปใ์ นยุคตา่ ง ๆ ของไทย ...................................................................................................... 240 ยคุ เถรวาทแบบสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช .................................................................................... 240 ยุคมหายาน ................................................................................................................................... 242 ยคุ เถรวาทแบบพุกาม .................................................................................................................... 243 ยคุ เถรวาทแบบลงั กาวงศ์ .............................................................................................................. 246 5. ประวตั บิ คุ คลท่เี กีย่ วข้องกับตน้ กำเนิดพระพทุ ธรูปโดยสงั เขป .......................................................... 253 5.1 พญามลิ ินทร์ .................................................................................................................................. 253 5.2 พระนาคเสน (NAGASENA) .......................................................................................................... 255 5.3 พระเจ้ากนษิ กะมหาราช (KANISHKA) .......................................................................................... 255 6. การสร้างพระพุทธรปู ตามมหาบรุ ุษลกั ษณะ 32 ประการ ................................................................ 257 6.1 มหาบรุ ษุ ลักษณะ 32 ประการ ...................................................................................................... 257 6.2 อนพุ ยัญชนะ 80 ประการ ............................................................................................................. 258 6.3 พระฉัพพรรณรังสี .......................................................................................................................... 261 7. สรปุ ทา้ ยบท ..................................................................................................................................... 263 คำถามทา้ ยบท ..................................................................................................................................... 266 เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ 7 ................................................................................................................ 267 บทท่ี 8 สถานการณ์ของพระพทุ ธศาสนาในปัจจุบนั …………………..…………………………………….……268 1. บทนำ .............................................................................................................................................. 271 2. ความรู้พืน้ ฐานของพระพทุ ธศาสนาที่ชาวพุทธควรศกึ ษา ................................................................. 271 2.1 คัมภรี ์ในศาสนา ............................................................................................................................. 271 2.2 หลกั คำสอนท่ีสำคัญ ...................................................................................................................... 274 2.3 พิธีกรรมที่สำคัญ ............................................................................................................................ 286 2.4 สัญลักษณข์ องพระพุทธศาสนา ..................................................................................................... 288 2.5 ลักษณะเดน่ ของพระพทุ ธศาสนา ................................................................................................... 289 3. สถานการณข์ องพระพุทธศาสนาท่ีสำคัญในปจั จบุ นั ........................................................................ 298 3.1 ดา้ นการศึกษา ............................................................................................................................... 298 3.2 ด้านการปกครอง ........................................................................................................................... 302 3.3 ดา้ นการเผยแผ่ .............................................................................................................................. 304
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี ฐ 4. สรปุ ทา้ ยบท ..................................................................................................................................... 306 คำถามทา้ ยบท ............................................................................................................................. ........ 309 เอกสารอ้างองิ ประจำบทท่ี 8 ............................................................................................................... 310 บรรณานุกรม .............................................................................................................................. 312
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 1 บทท่ี 1 โลกทศั น์ศาสนาก่อนพุทธกาล เนอ้ื หาประจำบท 1. บทนำ 2. ความหมายของศาสนา 3. องค์ประกอบของศาสนา 4. ศาสนากบั ลัทธิ 5. ศาสนากบั ปรัชญา 6. ววิ ฒั นาการของศาสนา 7. มูลเหตขุ องการเกิดศาสนา 8. ศาสนาประเภทต่างๆ 9. ศาสนาในอินเดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล 10. ความเช่อื ในคำสอนแบบปรชั ญาของนักบวชสมัยพุทธกาล 11. ความสำคัญและคุณค่าของศาสนา 12. สรปุ ทา้ ยบท คำถามท้ายบท เอกสารอา้ งองิ ประจำบทที่ 1 จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยการรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหาสำคัญใน บทเรียนด้วยกราฟิกตา่ ง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนที่ความคิด เปน็ ตน้ และถ่ายทอดเนอื้ หาด้วยภาษาของตนใน การนำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี นได้ 2. นักศึกษาสามารถอภิปราย ถาม-ตอบ ตีความเน้ือหาน้ัน ๆ ได้ และประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่าง ถูกตอ้ งเหมาะสม 3. นักศึกษาสามารถแสวงหาความรู้ด้วยการค้นคว้าข้อมูลสารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อ การศกึ ษา นำมาเขยี นรายงาน บรรยาย และนำเสนอเนือ้ หาดว้ ยตนเองได้
2 กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. บรรยาย/อภิปราย/มอบหมาย/แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ด้วยการ รวบรวม และเรียบเรียงเนอื้ หาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟกิ ต่าง ๆ เช่น แผนภูม,ิ แผนท่ีความคิด เป็นต้น นำข้อมูล ทไี่ ดม้ าถ่ายทอดเน้อื หาด้วยภาษาของตนในการเขียนรายงานและนำเสนอหนา้ ช้นั เรียน 2. นกั ศึกษาฟงั การบรรยาย/จดบนั ทกึ สรปุ เนือ้ หา/ฝึกตงั้ คำถาม/ฝึกตอบ/ฝึกอภิปรายในชน้ั เรยี น 3. ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน/ค้นคว้าเน้ือหาที่เก่ียวข้องเพ่ิมเติมจากหนังสือ/ห้องสมุด และเวบ็ ไซต/์ ตอบคำถามทา้ ยบท/ทดสอบ Pretest และ Posttest ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน/PowerPoint/Ebook 2. แบบเรยี นออนไลน์/โปรแกรมการสอนออนไลน์ เชน่ Google Classroom, Google Sites, Google forms, Google Meet, Zoom Cloud Meeting, Microsoft Teams, XMind2020, Canva, TeamLink เป็นต้น การวัดผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรมโดยใช้แบบ Checklist การตรงเวลาในการเขา้ ช้ันเรยี น การส่งงาน ท่ีมอบหมาย และการอ้างอิงผลงานคนอื่น และใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการมีจิตสาธารณะในการทำ กจิ กรรมทง้ั ในและนอกหอ้ งเรยี น 2. ประเมินความรู้และทักษะทางปัญญา โดยการทดสอบ Pretest และ Posttest/ตอบคำถาม ท้ายบท/การวิเคราะห์ด้วยการรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาสำคัญ ๆ ด้วยกราฟิกต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ, แผนท่ีความคิด เป็นต้น ด้วยการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Excel 1 (กระดาษแผ่นเดียว), Google Sites, XMind2020, Canva เป็นต้น นำข้อมูลที่ได้มาถ่ายทอดเน้ือหาด้วย ภาษาของตนในการเขยี นรายงานและนำเสนอหนา้ ชั้นเรยี น 3. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และทักษะการวิเคราะห์เชิง ตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้แบบ Checklist จากการอภิปราย/การแสดง ความคิดเห็น/การถาม-ตอบ/การวิเคราะห์เนื้อหาท่ีเรียน/การสรุปเนื้อหา/การส่งงานใน Google Classroom/การนำเสนอหน้าชนั้ เรียน
บทที่ 1 โลกทัศน์ศาสนาก่อนพทุ ธกาล 1. บทนำ โลกทัศน์ศาสนาก่อนพุทธกาลประกอบด้วยทัศนะด้านศาสนา ลัทธิ ปรัชญา ความเช่ือ ความ เปน็ มาของศาสนา รวมท้ังทิฏฐิต่าง ๆ เป็นมมุ มองของศาสนาพราหมณ์ (ต่อมาเรียกว่าศาสนาฮินดู) ซึ่งเป็น ศาสนาด้ังเดิมของชาวอินเดีย เกิดก่อนสมัยพุทธกาลราว 1,000 ถึง 1,500 ปี แต่ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ยืนยัน จุดกำเนิดของศาสนาพราหมณ์ได้ชดั เจนนัก เช่อื กนั ว่า เดมิ ทีชาวอินเดียเรยี กประเทศตนเองวา่ ภารตวรรษ (ที่อยู่ของชาวภารตะ เป็นพระนามของพระเจ้าภรต ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์ปาณฑวะ หรือปาณฑป ในสงครามมหาภารตยุทธ) และเรียกตนเองว่า ชาวภารตะ เพราะสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าภรต นั่นเอง ในสมัยต่อมาจึงถูกเรียกว่า อินเดีย โดยเพ้ียนมาจากการเปล่ียนเสียงและเรียกเพ้ียนกันมาโดยลำดับของ ชาวเปอร์เซียในการเรียกชื่อแม่น้ำสินธู จากคำว่า สินธู ฮนิ ดู ไฮดู อนิ ดัส และอินเดียตามลำดับ ชนเผ่าด้ังเดิมของอินเดียคอื ชนเผ่าดราวเิ ดยี นหรอื มิลักขะ มีผวิ ดำ รูปร่างเต้ยี จมูกกวา้ ง อาศัยอยู่ แถบลุ่มแม่น้ำสินธู หรือ สินธุ ประมาณ 4,000 ปีก่อนสมัยพุทธกาล มีอาชีพกสิกรรมเคารพนับถือ ธรรมชาติเบ้ืองต่ำคือ แผ่นดิน ภูเขา พฤกษาชาติ สัตว์ น้ำ และไฟ มีพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ ต่อมา ประมาณ 2,000 ปีก่อนสมัยพุทธกาล ชนเผ่าอนิ โดอารยนั มีผิวขาว รปู ร่างสงู ใหญ่ มีความชำนาญในการสู้ รบ อพยพมาจากทะเลสาปแคสเปียน มารุกรานชนพื้นเมืองคือ เผ่าดราวิเดียนหรือมิลักขะ และขยาย อิทธิพลความเชื่อของตน กล่าวคือการนับถือธรรมชาติเบ้ืองสูงคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ฝน ฟ้า ลม รวมท้ังวิญญาณของบรรพบุรุษจนพัฒนามาเป็นเทพเจ้าในท่ีสุด โดยแบ่งเทพเจ้าออกเป็น 3 ประเภท คือ เป็นเทพท่ีสถิตอยู่ภาคพ้ืนดิน บนอากาศ และสรางสวรรค์ ซ่ึงเป็นการผสมผสานกันระหว่าง ความเชอื่ ของชาวอารยันและชาวมิลักขะ จนกระทงั่ พฒั นามาเปน็ ศาสนาพราหมณ์ในท่สี ดุ นอกจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ยังมีศาสนาท่ีเกิดก่อนสมัยพุทธกาลอยู่หลายศาสนาคือ ศาสนายิว หรือยูดาย เกิดก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 1,700-2,000 ปี เกิดที่ประเทศปาเลสไตน์ เป็นศาสนาเทว นิยม ศาสนาชินโต เกิดก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 117 ปี เกิดที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นศาสนาเทวนิยม ศาสนาเต๋า เกิดก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 61 ปี เกิดท่ีประเทศจีน เป็นศาสนาอเทวนิยม ศาสนาเชน เกิดก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 57 ปี เกิดท่ีประเทศอินเดีย เป็นศาสนาอเทวนิยม ศาสนาขงจื้อ เกิด ก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 7 ปี เกิดที่ประเทศจีน (เสถียร พันธรังษี, 2549, หน้า 40) และศาสนา โซโรอัสเตอร์ เกิดก่อนพระพุทธศาสนาประมาณ 85 ปี เกิดท่ีประเทศอิหร่าน (ประทีป สาวาโย, 2545, หนา้ 30) ซง่ึ ศาสนาเหลา่ น้ตี า่ งมจี ุดมงุ่ หมายสงู สดุ แตกตา่ งกนั ไปตามทัศนะของตน
4 ดังน้ัน ในการศึกษาบทท่ี 1 นี้ จึงมุ่งให้นักศึกษาได้ศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับโลกทัศน์ศาสนาก่อน พทุ ธกาลเพอ่ื นำมาวเิ คราะห์ใหท้ ราบวา่ ศาสนามคี วามหมายอย่างไร ศาสนามีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง อะไร คือความแตกต่างระหว่างศาสนากับลัทธิ ความแตกต่างระหว่างศาสนากับปรัชญามีอะไรบ้าง ศาสนามี วิวัฒนาการมาอย่างไร อะไรคือมูลเหตุของการเกิดศาสนา มีศาสนาอะไรบ้างที่เกิดข้ึนแล้ว มีศาสนา อะไรบ้างที่ไม่มีผู้นับถือแล้ว (Dead Religions) มีศาสนาอะไรบ้างท่ียังคงมีผู้นับถืออยู่ (Living Religions) ศาสนาในอินเดียก่อนสมัยพุทธกาลเป็นเช่นไร ความเช่ือในคำสอนแบบปรัชญาของนักบวชสมัยพุทธกาล เป็นอย่างไร และความสำคัญและคุณค่าของศาสนาเป็นอย่างไร เพ่ือเป็นแนวทางในการศึกษาโลกทัศน์ ศาสนาก่อนพทุ ธกาลให้รแู้ ละเขา้ ใจยิ่งขน้ึ ต่อไป 2. ความหมายของศาสนา คำว่า \" ศาสนา\" ตามรูปศัพท์เดิมมาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า \"ศาสนํ\" ตรงกับคำในภาษา บาลีวา่ \"สาสนํ\" หมายถึง \"คำสัง่ สอน\" ซ่ึงสามารถอธิบายความได้ดังตอ่ ไปน้ี สุชีพ ปุญญานุภาพ (2541, หน้า 1) กล่าวว่า ที่ช่ือว่า “คำสั่ง” เพราะเป็นข้อห้ามในการทำ ความช่ัว หมายถงึ ศลี (สันสกฤต) หรือ สลี ํ (บาลี) หรือเรียกอกี อยา่ งวา่ “วินยั ” ท่ีชื่อว่า “คำสอน” เพราะเป็นการสอน แนะแนวทางในการทำคุณงามความดี หมายถึง พระ ธรรม เมื่อนำคำส่ังและคำสอนมารวมกัน จึงเรียกได้อีกอย่างว่า ศีลธรรม ประกอบด้วยข้อห้ามใน การทำความชว่ั ท้ังปวง และหลกั ในการทำความดี และคำว่า ศาสนา ยังหมายถึง “การปกครอง” ได้อีกนัยหนึ่ง เพราะเป็นการหมายเอา การปกครองจิตใจของตน ควบคุมดูแลความประพฤติของตน การกล่าวตักเตือนตนเอง และรับผิดชอบ การกระทำทุกอย่างของตนเอง เม่ือบุคคลสามารถปกครองและดูแลตนเองได้ ย่อมไม่ทำความช่ัวท้ังในที่ ลับและทแี่ จ้ง (กัลยาณมติ รเพื่อนแทส้ ำหรับคุณ, 2559) ความหมายของคำว่า \"ศาสนา\" ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า \"Religion\" มาจากภาษาลาตินว่า \"Religare\" ตรงกับคำว่า \"Together\" แปลว่า การรวมเข้าด้วยกัน หรือการรวมตนเองให้เป็นหน่ึงเดียวกับ พระเจ้า ดงั น้นั คำว่า \"Religion\" ที่เรานำมาแปลเปน็ ไทยวา่ “ศาสนา” น้นั จึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ โดยศรทั ธาระหวา่ งมนษุ ยก์ บั พระเจ้า (เดือน คำด,ี 2541, หน้า 4) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ม.ป.ป.) ได้ให้นิยามไว้ดังนี้ “ลัทธิความเช่ือถือของ มนุษย์อันมีหลัก คือแสดงกำเนิดและความสิ้นสุดของโลกเป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหน่ึง พร้อมทั้งลัทธิพิธีท่ีกระทำตาม ความเหน็ หรือตามคำสั่งสอนในความเชอ่ื ถอื นน้ั ๆ” สรุปได้ว่า “ศาสนา” หมายถึง หลักคำสอน หลักความเชื่อ หลักปฏิบัติ หลักยึดของจิตใจ หรือที่พ่ึงทางใจของมนุษย์ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับพระเจ้า หรือไม่เกี่ยวข้องก็ตาม เพื่อให้มนุษย์ต้ังอยู่ใน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 5 กรอบแห่งศีลธรรม จรรยาท่ีดี สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน รู้จักควบคุม กาย วาจา ใจของตน ไม่ให้เป็นไปในอำนาจใฝ่ต่ำ ซ่ึงศาสนาสามารถแยกออกตามความเชื่อของ ชาวตะวนั ตก และชาวตะวันออกดังน้ี ชาวตะวันตกและชาวตะวันออกกลาง เชื่อว่ามนุษย์น้ันถูกสร้างมาจากพระเจ้า พระเจ้า สามารถดลบันดาลส่ิงท่ีมนุษย์ปราถนาได้ทุกอย่างตามท่ีปราถนา หากทำให้พระเจ้าน้ันพึงพอใจ ไม่ว่าจะ เป็นการให้พร หรือกระทั่งการทำลาย หากทำให้พระเจ้านั้นไม่พอใจ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องรับใช้พระเจ้า บูชาเทพเจ้า เพื่อให้พระเจ้านั้นโปรดปราน ห้ามสงสัยในพระเจ้าไม่ว่ากรณีใดๆ มีการสวดอ้อนวอน สรรเสริญพระเจ้า เช่น ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เป็นต้น เพราะพระเจ้า หรือเทพเจ้า เป็นส่ิง ศักดิส์ ิทธิ์ มอี ำนาจมาก จะเห็นได้ว่า ชาวตะวันตกและชาวตะวันออกกลาง มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเหนียว แน่น การปฏิบัติของศาสนิกนั้นๆ ต้องเป็นการเอาอกเอาใจรบั ใช้พระเจ้าโดยวิธีการต่างๆ เป็นระบบความ เชื่อและการปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างจงรักภักดี หรือความมีความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างมนุษย์กับพระ เจ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้มีอำนวจเหนือธรรมชาติ โดยศาสนาในทัศนะของชาวตะวันตกน้ัน ต้องประกอบด้วย ลกั ษณะความเชื่อ 4 ประการ คอื 1) พระเจ้าเป็นผสู้ ร้างโลกและสรรพสิ่ง 2) คำสอนทั้งหมดมาจากโองการ ของพระเจ้า 3) หลักความเช่ือบางอย่างท่ีอยู่เหนือการพิสูจน์นั้น ศาสนิกจะต้องเช่ือโดยปราศจากขอ้ สงสัย เพราะเป็นคำสอนท่ีบริสุทธิ์ของพระเจ้า 4) การยอมมอบตน และการกระทำของตนและสิ่งอ่ืน ๆ ท่ี เกีย่ วขอ้ งกับตนใหพ้ ระเจา้ ดว้ ยความจงรกั ภกั ดโี ดยปราศจากข้อโต้แย้ง (เสถยี ร พันธรงั ษี, 2549, หน้า 9) ส่วนชาวตะวันออกน้ัน โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนามากมาย เช่น ศาสนา พราหมณ์ หรือฮินดู ศาสนาพุทธ เชน ซิกซ์ เป็นต้น มีความเช่ือว่า ศาสนาน้ันต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มี เป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือการเข้าถึงโมกษะ หรือการหลุดพ้น อาจมีความเก่ียวข้องกับพระเจ้า หรอื เทพ เจ้าในบางศาสนา เช่น ฮินดู เป็นตน้ แตบ่ างศาสนาไม่มีความเช่ือในเร่ืองพระเจ้า หรือเทพเจ้า มีความเช่ือ ในเรื่องของกรรมเป็นหลัก เช่น ศาสนาพุทธ เป็นต้น เช่ือว่าทำดี ต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว มนุษย์จะ บริสุทธ์ิก็ได้การกระทำของตนเท่าน้ัน มีตนเป็นท่ีพ่ึงแห่งตน ไม่ได้อยู่ในอำนาจของส่ิงศักดิ์สิทธ์ิใดๆ พระ เจ้า หรือเทพเจ้าไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้ และต้องมีหลักศีลธรรม จรรยาให้ปฏิบัติเพ่ือให้เข้าถึง ความหลุดพ้นนั้นๆ ได้ เช่น ศาสนาฮินดู มุ่งเข้าถึงอาตมันหรือความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกับพระพรหม ศาสนาพุทธ มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน คือการไม่กลับมาเกิดอีก ศาสนาเต๋าและขงจื้อ มุ่งเข้าถึงเต๋า อันเป็น สภาพท่ีเป็นสุข นิรันดร์ เป็นต้น ทั้งน้ี ล้วนต้องอาศัยความเพียรพยายามในการแสวงหาความจริงด้วย ตนเองควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามหลกั คำสอนในศาสนาโดยไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้ คำว่า “ศาสนา” ในความหมายของพระพุทธศาสนาน้ัน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับ ประมวลธรรมพิมพ์คร้ังที่ 12 พ.ศ. 2546 ระบุไว้ว่า สาสน์ หรือ ศาสนา (คำสอน : teaching; dispensation) ประกอบดว้ ย
6 1. ปริยัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปริยัติ, คำสอนอันจะต้องเล่าเรียนหรือจะต้องช่ำชอง ได้แก่ สตุ ตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทานะ อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรมะ เวทัลละ — teaching to be studied or mastered; textual or scriptural teaching; dispensation as text) = นวงั คสตั ถุสาสน์ 2. ปฏิบัติศาสนา (คำสอนฝ่ายปฏิบัติ, คำสอนท่ีจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ สัมมาปฏิปทา อนุโลม ปฏิปทา อปัจจนีกปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีไม่ขัดขวาง) อันวัตถปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีเป็นไปตามความมุ่งหมาย) ธมั มานุธัมมปฏิปทา (ปฏิบัติธรรมอันถูกหลัก) กล่าวคือ การบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์, ความคุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลาย โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค สติสัมปชัญญะ, สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิ บาท 4,อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมีองค์ 8, — teaching to be practised; practical teaching; dispensation as practice) ที่เป็นสำคัญในหมวดน้ี ก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 (พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), 2558, หน้า 76) สรุปได้ว่า ชาวตะวันตกและชาวตะวันออกกลาง มุ่งแสวงหาความจริงหรือข้อเท็จจริงเพียง ด้านเดียว ไม่ได้พยายามท่ีจะปฏิบัติตนให้เข้าถึงความจริงท่ีค้นพบน้ัน กล่าวคือแยกการแสวงหาความจริง ออกจากศาสนาน่ันเอง ส่วนชาวตะวันออกมีความเชื่อว่า ศาสนาเป็นหลักความเช่ือของมนุษย์เพ่ือมุ่ง แสวงหาความจริงและเข้าถึงความจริงน้ันตามหลักแห่งศาสนาท่ีค้นพบ และต้องปฏิบัติตามตามหลัก ศาสนาท่ีตนได้ค้นพบแล้วนั้น โดยไม่แยกออกจากศาสนาโดยเด็จขาด โดยเฉพาะอย่างย่ิงพระพุทธศาสนา นน้ั มีคำสอนจำนวนมากท่ีเปน็ หลกั ที่ต้องศึกษาให้เข้าใจอยา่ งแจม่ แจง้ และน้อมนำมาปฏิบตั ิ สามารถพิสจู น์ ความจริงได้ด้วยตนเอง ผู้มีปัญญา หรือผู้รู้พึงเห็นได้ด้วยปัญญาของตน ไม่จำกัดกาลเวลา ไม่พ่ึงพิงอำนาจ ภายนอกใดๆ ท่เี ป็นสิง่ ศักด์ิสิทธ์ิ ไมว่ า่ จะเปน็ เวทมนต์ ไสยศาสตร์ หรือ พระเจ้า เปน็ ต้น 3. องคป์ ระกอบของศาสนา นักวิชาการส่วนใหญ่ได้แบ่งองค์ประกอบของศาสนาไว้ตรงกัน โดยองค์ประกอบของศาสนา นัน้ มี 6 องคป์ ระกอบดว้ ยกันดงั นี้ 1. ศาสดาหรอื ผูก้ ่อตง้ั (Founder or Prophet) คือผู้ต้งั ศาสนาหรือผ้สู อนด้งั เดิม 2. ศาสนธรรมหรือหลักคำสอน (Teachings) คือหลักธรรมที่ศาสดานำมาเผยแผ่จนเป็นที่ ยอมรบั ของผปู้ ฏิบัติตาม 3. ศาสนบุคคลหรือสาวก (Disciples or Priests) คือผู้ศึกษา ปฏิบัติ และสืบทอดคำสอน ของศาสดา 4. ศาสนิกชน (Followers) คือผู้เล่ือมใสศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของศาสดา ปฏิบัติตาม คำสอนของศาสดา และให้การอุปถัมภ์ 5. ศาสนสถาน (Sacred Places) คือสถานท่ีสำหรับประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา และเปน็ ที่ เคารพสกั การบชู า
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 7 6. ศาสนพธิ ี (Ritual Performance) คือพิธกี รรมทางศาสนา หรอื สญั ลกั ษณท์ างศาสน ดังน้ัน หลักคำสอนหรือหลักความเชื่อใดก็ตาม หากครบองค์ประกอบทั้ง 6 น้ีหรือครบเกือบ ทุกข้อ จัดได้ว่าเป็นศาสนา แต่หากองค์ประกอบน้อยไป จัดว่าเป็นเพียงลัทธิเท่านั้น เช่น ลัทธิมายา ลัทธิ วิญญาณนิยม เปน็ ต้น (ดอกบัว, 2549, หน้า 3) 4. ศาสนากบั ลทั ธิ ความแตกต่างระหว่างศาสนากับลัทธิสามารถสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดงั ตอ่ ไปนี้ ศาสนา ลัทธิ มีความหมายแคบกว่าลัทธิ เน้นเร่ืองศีลธรรม มีความหมายกว้างกว่า อาจรวมไปถึงเศรษฐกิจ จริยธรรม บุญ บาป ความดีความชั่ว และ การเมือง การศึกษา ปรัชญา วัฒนธรรม ส่วนแง่ จดุ มุง่ หมายสงู สุดของชีวิต ของศีลธรรม จริยธรรมอาจมี หรอื ไมม่ ีก็ได้ เน้นระดับศีลธรรม จริยธรรมและระดับปรมัตถ เน้นเฉพาะระดับศีลธรรมจรรยาเพ่ือให้เกิดความ สัจจะ อันเป็นจดุ มุ่งหมายสูงสุดของชีวิตท้ังในโลกน้ี ผาสุก ความสงบและความไพบูลย์ในโลกนี้ ชาติน้ี และโลกหน้า เทา่ น้นั มีพิธีกรรมที่เก่ียวเน่ืองกับคำสอนในรูปของศาสน อาจมีพิธีกรรม หรือไม่มีก็ได้ สุดแท้แต่จะกำหนด พธิ ี บางลัทธมิ ี บางลัทธิไมม่ ี มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์ เป็นส่ิงเคารพสูงสุด เป็นที่พึ่ง ไม่มีลักษณะศกั ด์สิ ทิ ธิ์ ทางใจ เป็นหลกั การแทจ้ รงิ แน่นอน ไม่มีการเปลยี่ นแปลง อาจเปล่ยี นแปลงไปตามกาลเวลาและสถานท่ไี ด้ มีศาสดาเป็นผู้ก่อต้ัง ศาสดาอาจค้นพบเองหรือ มีเจ้าลัทธิเป็นผู้ค้นพบหรือก่อตั้งเอง ความคิดหรือ ได้รับเทวโองการจากพระเจ้า แต่สัจธรรมท่ีค้นพบ มีอยู่ดั้งเดิม แม้ศาสดาจะไม่ค้นพบก็ยังเป็นอยู่ คำสอนนั้นเป็นข้อเสนอและทัศนะส่วนตัวของเจ้า เช่นน้ัน ลทั ธเิ ท่าน้ัน เป็นของใหม่ ค้นพบภายหลงั เป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับมนุษ ย์ท้ังโลก เพ่ื อ เปน็ เรื่องเกี่ยวข้องกบั คนบางกล่มุ เท่าน้นั ประโยชนส์ ูงสุดของมวลมนุษยชาติ มนุษย์สามารถนับถอื ศาสนาได้หลายศาสนาในเวลา ลัทธไิ ม่เป็นเช่นนั้น เดยี วกนั พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (ม.ป.ป.) ได้ให้ความหมายของคำว่า “ลัทธิ” คือ คติความเชอื่ ถือ ความคดิ เห็น และหลกั การ ทีม่ ีผ้นู ิยมนับถอื และปฏิบัตติ ามสืบเนอ่ื งกันมา เช่น ลทั ธิสังคม
8 นิยม ลัทธิชาตินิยม ลัทธิทุนนิยม ซึ่ง Cambridge dictionary (ม.ป.ป.) ได้ให้ความหมายของคำว่า Doctrin ไว้เป็นภาษาอังกฤษ ว่า doctrine (a belief or set of beliefs, especially political or religious ones, that are taught and accepted by a particular group) แปลว่า ความเช่ือ หรือ หลักความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างย่ิงทางการเมือง หรือทางศาสนา ที่ได้รับการสอน หรือยอมรับกันเฉพาะ กลุ่ม เช่น ลัทธิการเมือง ลัทธิเหมาเจ๋อตุง เป็นต้น และลัทธิในโลกของศิลปะ เช่น ลัทธินีโอคลาสสิค (Neoclassic) เกิดเมื่อ ค.ศ. 1800 ลัทธิโรแมนติค (Romantic) เกิดเม่ือ ค.ศ. 1820 ลัทธิเรียลลิสม์ (Realism) เกดิ เมอื่ ค.ศ. 1850 เป็นตน้ 5. ศาสนากับปรชั ญา ความแตกต่างระหว่างศาสนากับปรัชญา สามารถสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี ศาสดาของศาสนาต้องบำเพ็ญคุณงามความดี นักปรัชญายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังหลงติด และเปน็ นกั เสยี สละอยา่ งสงู อยู่กับโลก มีเพียงส่วนน้อยท่ีเป็นนักเสียสละ และ มีคุณธรรมเตม็ เปยี มเยี่ยงศาสดา ก่อต้งั ศาสนาเป็นเร่ืองที่ลำบากอย่างยิ่ง ส่วนการคดิ การคดิ ปรชั ญาไม่ยากเท่าไหร่นกั ปรัชญาไมย่ ากเท่าไหร่นกั เปน็ ความเช่อื ที่มศี าสดาเป็นผรู้ ิเร่ิม เป็นการแสวงหาความรู้ของผู้รักในความรู้ อาศัย หลักตรรกศาสตร์คน้ คดิ เท่าที่จะค้นคดิ ได้ มงุ่ บรสิ ุทธแิ์ ละหลุดพ้น มุ่งตรงตอ่ ความจริงเทา่ น้นั สอนให้คนทำดี ละเว้นความช่ัว มีเมตตาต่อกัน มุ่งแสดงให้เห็นความจริงของโลกโดยมิให้งมงาย บำเพญ็ ความเพียรเพื่อให้บรรลุถงึ ที่สุดแหง่ ทกุ ข์ ไร้เหตผุ ล วิธีการของศาสนาใช้ศรทั ธาเปน็ ทต่ี ้งั ใช้การคาดคะเนและหลักตรรกศาสตร์ปะปนกันไป มีคัมภีร์เป็นท่ีรวบรวมคำสอน และเป็น สิ่ง อาจมีหนังสือแต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็น ศักดิ์สทิ ธิ์ เหมือนหนังสือทวั่ ๆไป มศี าสนพิธีหรอื พธิ ีกรรม เป็นระเบยี บปฏิบัติ ปรัชญาไมม่ ี มศี าสนบุคคล เช่น สาวก ศาสนิกชน เปน็ ต้น ไมม่ คี ณะบคุ คลดังกลา่ ว กวดขันเรื่องความภักดี เช่น นับถือศาสนาใดแล้ว ปรัชญาไมม่ ี ไม่ควรนับถือศาสนาอื่น หรือเช่นท่ีกล่าวไว้ว่า ชาย สามโบสถ์คบไม่ได้ เป็นต้น มีศาสนสมบตั ิ ส่วนปรัชญาไมม่ ี ปรชั ญาไม่มี คำสอนของศาสนามีลักษณะเปน็ ปรัชญาได้ ส่วนปรัชญาไม่ได้เปน็ ศาสนา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 9 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (ม.ป.ป.) ได้ให้ความหมายของคำว่า “ปรัชญา” คือ วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Philosophy (the use of reason in understanding such things as the nature of the real world and existence, the use and limits of knowledge, and the principles of moral judgment) (Cambrigde dictionay, ม.ป.ป.) แปลว่า การใช้เหตุผลต่อความเข้าใจ เช่น สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นธรรมชาติ ของโลกและสิ่งท่ีมีอยู่ตามความเป็นจริง การใช้หรือข้อจำกัดของความรู้ และกฎการตัดสินทางด้าน ศีลธรรม โดยคำว่า Philosophy มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ Philos (ความรัก) กับคำว่า Sophia (ความรู้) ซ่ึงคำว่า ปรัชญา น้ันเป็นภาษาสันสกฤตตรงกับคำภาษาบาลีว่า “ปัญญา” ดังนั้น ปรัชญาจึง แปลวา่ ความรักในความรู้ หรือ ความรกั ในปญั ญา นน่ั เอง 6. วิวัฒนาการของศาสนา 1. วญิ ญาณนิยม (Animism) 2. ธรรมชาติเทวนยิ ม (Naturalism) 3. เทวนยิ ม (Theism) 4. อเทวนิยม (Atheism) วญิ ญาณนิยม (Animism) วิญญาณนิยมเป็นจุดเร่ิมต้นของการกำเนิดศาสนา เน่ืองจากว่ามนุษย์ไม่สามารถหาคำตอบ จากสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากธรรมชาติได้ แต่จำเป็นต้องยอมรับว่าสิ่งน้ันมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของตน ก่อนจะพัฒนาการมาเป็นความเช่ืออย่างมีเหตุมีผล (วิจิตรา ขอนยาง, 2532 , หน้า 521) และเป็นลัทธิใน เวลาต่อมา เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกว่าปลอดภัย สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ จึงต้องมีการนับถือผีประกอบ พิธีเซ่นสรวงและสร้างสัมพันธภาพอันดีต่อธรรมชาติ (เสถียร พันธรังสี, 2521, หน้า 20) มีพื้นฐานอยู่ที่ ความต้องการบรรเทาความกลัวต่อภัยธรรมชาติ ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยแสดงออกในรูปของ พิธีกรรมทางมายา (Magic) และมีข้อห้าม (Taboo) หรือในทางภาคอีสานเรียกว่า “คะลำ” เป็นกฎของ สงั คม เป็นขอ้ ห้ามทีร่ บั รรู้ ่วมกัน พลงั อำนาจเหนอื ธรรมชาตมิ ีอยู่ 3 ลกั ษณะ คือ 1) พลงั อำนาจทีแ่ ฝงอยู่ในภเู ขา แมน่ ้ำ ต้นไม้ สัตว์ 2) พลังอำนาจที่มีลักษณะเป็นบุคคล เช่น ผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา วิญญาณบรรพบุรุษ 3) พลังอำนาจทมี่ คี วามหมายต่อบุคคลในเผา่ เป็นสญั ลกั ษณ์ทที่ กุ คนยอมรับ อาจให้คณุ ให้โทษได้ ดังนั้น วิญญาณนิยม จึงนับได้ว่าเป็นศาสนาปฐมภูมิ (Primative Religion) เป็นจุดเริ่มต้น ของการกำเนดิ ศาสนาดังกลา่ วแลว้
10 ธรรมชาติเทวนยิ ม (Naturalism) ธรรมชาติเทวนิยม หรือธรรมชาตินิยมเป็นวิวัฒนาการทางศาสนาต่อเนื่องจากวิญญาณนิยม เน่ืองจากมนุษย์ได้พยายามหาทางพิสูจน์และทำความเข้าใจในเรื่องวิญญาณให้แจ่มชัดย่ิงข้ึน มีเหตุมีผล น่าเช่ือถือมากขึ้นกว่าเดิม จนกระท่ังพบว่าวิญญาณน้ันมีความศักด์ิสิทธ์ิเกินกว่าวิสัยมนุษย์จะพิสูจน์ได้ ไม่ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาเปล่า หรือประสาทสัมผัสท้ัง 5 ได้ แต่อาจสัมผัสได้ด้วยสัมผัสที่ 6 ได้ นั่นคือ ใจ ต่อมาจึงได้เรียกวิญญาณว่า เทพเจ้า หรือเทวดา ซ่ึงสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทั่วไป และตั้งช่ือวิญญาณนั้น ต่าง ๆ กันไปตามธรรมชาตินั้น ๆ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระวรุณ พระอัคนี พระแม่คงคา เป็นต้น ดังในศาสนาพราหมณ์ และในศาสนากรีกโบราณ นอกจากน้ียังต้ังชื่อบรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว ซ่ึงเป็นที่ เคารพรักและนับถือ เช่น บิดา มารดา วีรบุรุษ และพระมหากษัตร์ เป็นต้น โดยถือว่าเป็นเทพเจ้าส่ิงสถิต อยู่ในสถานที่ตา่ ง ๆ เช่น บ้านเรือน ศาลหลักเมือง ป่าประจำหมู่บ้าน เป็นต้น ดังท่ีเราได้รู้จกั กันในนามว่า เจา้ ที่ เจ้าทาง ผีบา้ น ผเี รอื น เจา้ ปู่ เจ้าเขา เป็นตน้ (สุขพัฒน์ อนนท์จารย์, 2550, หน้า 18-19) เทวนยิ ม (Theism) ภายหลังต่อจากยุคธรรมชาติเทวนิยม มนุษย์บางพวกคิดว่า เทพเจ้า น่ามีฐานะสูงต่ำลดหลั่น กันไป เฉกเช่นมนุษย์ มีเทพเจ้าสูงสุดเป็นใหญ่ท่ีสุดในบรรดาเทพเจ้าท้ังหลาย เช่นเดียวกับพระราชาท่ีเป็น ใหญ่กว่าประชาชนท่ัวไป มีอำนาจสูงสุด เช่น ทรงสร้างโลกและสรรพส่ิง กุมอำนาจทุกอย่าง สามารถ กำหนดชะตาและความเป็นไปของสรรพส่ิงของโลก เป็นต้น และยังความคิดเห็นแตกต่างกันออกไปอีก เช่น บางพวกนับถือเทพเจ้าหลายองค์ว่ามีอำนาจสูงสุด เช่น ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู มีพระพรหมณ์ ผู้สร้าง พระนารายณ์หรือพระวิษณุ ผู้รักษา พระศิวะหรือพระอิศวร ผู้ทำลาย เป็นต้น เรียกศาสนานี้ว่า พหุเทวนิยม บางพวกเช่ือว่ามีเทพเจ้าสูงสุดเพียง 2 องค์ คอยทัดทานอำนาจซ่ึงกันและกัน อีกหนึ่งเป็น ฝา่ ยธรรม สร้างแต่ความดี ส่วนอีกฝ่ายเป็นฝ่ายอธรรม สรา้ งแต่ความไม่ดี เช่น เทพเจ้าของศาสนาโซโรอัส เตอร์ เป็นตน้ เรยี กวา่ ทวเิ ทวนิยม และยังมีบางพวกเชอ่ื ว่า เทพเจ้าสูงสุด ควรต้องมีเพียงองคเ์ ดียวเทา่ น้ัน เช่น พระยะโฮวา ในศาสนาคริสต์ พระอัลเลาะห์ ในศาสนาอิสลาม เป็นต้น เรียกว่า เอกเทวนิยม (สขุ พัฒน์ อนนทจ์ ารย์, 2550, หน้า 19) อเทวนยิ ม (Athism) จะเห็นได้วา่ ยังมีศาสดาอีกหลายศาสนาที่ไมเ่ ช่ือว่า พระเจ้าคือผู้สรา้ งโลกหรือสรรพส่ิงในโลก ทุกส่ิงล้วนเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุปัจจัย มีความเชื่อว่าจักวาล โลกเกิดขึ้นเอง โดย อาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆ และเม่ือเกิดข้ึนมาแล้วก็เป็นไปเองตามกำลังแห่งเหตุปัจจัย หาใช่การบันดาลของ พระเจ้าไม่ ศาสนาประเภทน้ีเกิดมาภายหลังประมาณ 2,000 กว่ามานี้เอง ได้แก่ ศาสนาพุทธ และศาสนา เชน (สเุ มธ เมธาวิทยกลู , 2532, หน้า 25) ศาสนาเหล่านม้ี คี วามเชือ่ ว่ามนษุ ยเ์ ปน็ ผกู้ ำหนด เสกสรรปน้ั แต่ง กันข้ึนมาเอง แล้วหลงเคารพนับถือในส่ิงท่ีพวกตนได้สร้างขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอำนาจอื่นใด สามารถกำหนดชะตาชีวติ ของใครหรอื ของสิ่งใดได้ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและมีผลด้วยตัวของมันเอง เชน่ ถาม
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 11 ว่า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ไม่สามารถให้คำตัดสินได้ว่าคำตอบใดถูกคำตอบใดผิด หากตอบว่า ไก่เกิด ก่อนไข่ ก็จะมีคนถามต่อว่า แล้วไก่เกิดจากอะไร ก็จะได้คำตอบว่า เกิดจากไข่ คำตอบก็จะวนเวียนอยู่ เชน่ น้ี หาคำตอบตัดสนิ ไม่ได้ เพราะทุกส่ิงล้วนเป็นปจั จัยเน่ืองกันไป ไข่คอื ท่ีมาของไก่ และไก่กค็ ือที่มาของ ไข่ ดังน้ัน มนุษย์บางพวกจึงเชื่อในเรื่องของกรรม หรือการกระทำ ว่าสามารถกำหนดให้เป็นไปตามท่ีตน ปรารถนาได้ เช่น หากต้องการอ่ิม ต้องรับประทานอาหารเอง อยากทราบว่าอาหารอร่อยอย่างไร ต้อง รับประทานเอง จะให้คนอื่นรับประทานแทน แล้วเราจะทราบรสชาติของอาหารนั้นเป็นไปไม่ได้ เม่ือ ต้องการพักผ่อน ตัวเองไม่ได้พักผ่อน ให้คนอื่นพักผ่อนแทน ก็ไม่สามารถหายเหนื่อยได้ ทุกสิ่งล้วนมี เหตุและปัจจัยซึ่งกันและกัน และการกระทำสามารถบันดาลชีวิตให้เป็นไปตามที่ตนปราถนาได้ เทพเจ้า หรือพระเจ้าไม่สามารถดลบันดาลให้ได้ ต้องลงมือทำเองด้วยสมอง ด้วยวิธีการ หลักการ ความรู้ที่ เหมาะสม ถกู ตอ้ ง จงึ จะสำเร็จได้ดังปราถนา ดังเช่น ศาสนาพทุ ธ เปน็ ตน้ ดังนั้นจงึ เรียกว่า อเทวนยิ ม 7. มลู เหตุของการเกิดศาสนา จากการศึกษามูลเหตุของการเกดิ ศาสนาของนักวิชาการทง้ั หลาย จงึ สามารถสรุปได้ดงั น้ี 1. อวชิ ชา หรือการขาดความรู้ (Lack of Knowledge) 2. ความกลัวภัยนานาชนดิ (Fear) 3. ความเคารพศรัทธา (Faith) 4. ความตอ้ งการเหตผุ ล (Want of Sources) 5. ความต้องการที่พึ่งทางใจ (Needs of Spiritual Refuge) 6. ความต้องการความสงบสุขของสงั คม (Social Needs of Happiness) อวิชชา หรอื การขาดความรู้ (Lack of Knowledge) อวิชชา ไดแ้ ก่ ความไมร่ ู้เหตุรู้ผล เรมิ่ แต่ความไมร่ ู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ ไมร่ ู้ ชีววิทยา และไม่รู้จักธรรมชาติอ่ืนๆ ท่ีอยู่รอบตัวเรา เม่ือมีความไม่รู้เหตุผลก็เกิดความกลัวในพลังทาง ธรรมชาติ ตอ้ งการความชว่ ยเหลือจากธรรมชาติ ซง่ึ เปน็ สง่ิ มีอำนาจเหนือตน จึงมกี ารสร้างขนบธรรมเนยี ม ประเพณี เพือ่ บชู าเอาใจส่งิ ศกั ด์สิ ิทธิ์เหล่าน้นั เพ่ือทีจ่ ะสามารถช่วยใหม้ นุษยม์ คี วามอย่รู อดไม่มีภัยต่อๆไป ความกลวั ภัยนานาชนิด (Fear) มนุษย์จะอยู่ในโลกได้ต้องมีหน้าท่ี คือ การต่อสู้กับธรรมชาติ และสู้สัตว์ร้ายนานาชนิด และ โดยเฉพาะกบั มนุษยด์ ้วยกันเอง ยามใดท่ีเราสามารถเอาชนะธรรมชาตหิ รือคนได้ ความเกรงกลัวธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรอื มนุษย์ย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ มนุษย์จะเกิดความก ลั วต่อส่ิงเหล่าน้ัน และในยาม นั้นเอง ท่ีมนุษย์ต้องพากันกราบไหว้บูชา และแสดงความจงรักภักดี ทำพิธีสังเวยเซ่นไหว้ต่อธรรมชาติ ดังกล่าว ด้วยความหวังหรืออ้อนวอนขอให้สำเร็จตามความปรารถนาอันเป็นผลตอบแทนข้ึนมาเป็น ความสขุ ความปลอดภัย และอยไู่ ดใ้ นโลก
12 ความเคารพศรัทธา (Faith) ศรัทธาครั้งแรกที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยยอมเชื่อว่า เป็นกำลัง ก่อให้เกิดความสำเร็จได้ทุกเมื่อ ในกลุ่มศาสนาท่ีนับถือพระเจ้า (ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม) มุ่งเอาความภักดีต่อพระเจ้าเป็น หลักใหญ่ในศาสนา ในกลุ่มชาวอารยันมี ศ าสนาพราหมณ์ (ฮินดู) มีคำสอนถึงภักติมรรค คือ ทางแห่ง ความภักดี อันจะยังบุคคลให้ถึงโมกษะ คือหลุดพ้นได้ แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าศรัทธา หรือ ความเช่ือ ความเล่ือมใสเท่าน้ันท่ีจะพาข้ามโอฆสงสารได้ เม่ือเป็นดังน้ีแสดงว่ามนุษย์ยอมตนให้อยู่ใต้ อำนาจของธรรมชาติเหนอื ตน อนั เป็นสง่ิ ทีม่ นุษย์สร้างขึน้ เองซงึ่ เรียกวา่ เทพเจา้ หรือพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ผลท่ีเกิดตามมาคือมนุษย์ยอมให้เคร่ืองเ ซ่น สังเวยแก่ธรรมชาติน้ันๆ ด้วย ลักษณะนี้จึงเท่ากับมนุษย์เสีย ความเปน็ ใหญ่ในตน ยอมอยใู่ ตอ้ ำนาจของสง่ิ ท่ีตนคิดวา่ มีอำนาจเหนือตน ความต้องการเหตุผล (Want of Sources) ความต้องการในที่น้ีคือต้องการหาเหตุผลโดยการใช้ปัญญา ศรัทธาอันเกิดจากปัญญาคือ มูลเหตุให้เกิดศาสนาอีกทางหนึ่ง แต่ศาสนาประเภทนี้มักเป็นฝ่ายอเทวนิยม คือไม่สอนเรื่องเทพเจ้าสร้าง โลก ไม่ถือเทพเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา หากแต่ถือความรู้ประจักษ์จริงเป็ น สำคัญ เช่น พระพุทธศาสนา ความเน้นหนักของพระพุทธศาสนา คือ ญาณ หรือปัญ ญ าช้ันสูงสุดที่ทำให้รู้แจ้ง ประจกั ษค์ วามจรงิ และหลุดพน้ จากความทุกขท์ งั้ ปวง (พระมหาสมศกั ดิ์ ญาณโพโธ, 2517) ความตอ้ งการท่พี ง่ึ ทางใจ (Needs of Spiritual Refuge) ความต้องการท่ีพึ่งทางใจเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการมาก เพราะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของตน รสู้ ึกว่าจะไม่เป็นท่ีปลอดภัย ไมว่ ่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติ จากอมนุษย์หรอื จากมนุษย์ดว้ ยกัน หรือจาก ธรรมดาของชีวิต เช่น ความผิดหวัง ความกังวลใจ ทรมานใจ ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ความ พลัดพรากจากของรกั ของชอบใจ เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีทำใหม้ นุษย์ขาดความอบอ่นุ ทางจิตใจ จึงจำเป็นต้อง มีที่ยึดเหน่ียวเพื่อให้ชีวิตยังคงมีความหวังมีความหมาย ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจได้ก็ต้องมีอำนาจ เหนือมนุษย์ธรรมดา อันได้แก่ พระเจ้า หรือเทพเจ้า มนุษย์จึงพากันบูชาเทพเจ้าเพ่ือให้เกิดความรู้สึก ว่าจิตใจปลอดโปร่ง ความตอ้ งการความสงบสขุ ของสงั คม (Social Needs of Happiness) การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นกลุ่มเป็นสังคมน้ัน ส่ิงที่พึงปรารถนาสำหรับสมาชิกของสังคม คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อย่างสงบเรียบร้อย ทุกคนสามารถหาความสุข ความสำเร็จ ความ ปลอดภัยได้ตามสมควรแก่อัตภาพ การท่ีจะบรรลุเป้าหมายเช่นน้ันได้ สมาชิกของสังคมจะต้องอยู่ใน กฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผน ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคม นอกจากสิ่ง เหล่าน้ีจะเป็นกลไกควบคุมระเบียบสังคมให้เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องมีศาสนาเข้าไปมีบทบาทด้วยจึงจะ ได้ผลสมบูณ์มากขึ้น เพราะการที่มนุษย์จะเชื่อหรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคมมากน้อยเพียงใด น้ัน ศาสนามีความสำคัญมากในการช่วยกล่อมเกลาโน้มน้าวจิตใจ และสร้างสำนึกทางศีลธรรมต่อ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 13 สังคม อันจะยังผลให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นแก่สังคมท่ีทุกคนต้องการ (ณัฐพงษ์ สังข์กล่ินหอม, ม.ป.ป.) ดังนั้น มูลเหตุของการเกิดศาสนาในแต่ละศาสนาอาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ปลีกย่อย แต่ทุกศาสนาน้ันล้วนเกิดข้ึนเพ่ือเป็นท่ียึดเหน่ียวจิตใจของศาสนิกให้มีความสงบสุขทั้งแกต่ นเอง และสังคมโดยสว่ นรวมท้ังสิ้น 8. ศาสนาประเภทต่าง ๆ การจัดประเภทศาสนานั้น สามารถจัดได้หลากหลาย มีหลายเกณฑ์ด้วยกัน ซ่ึงนักวิชาการ ส่วนใหญน่ ิยมจดั ประเภทไว้ให้เขา้ ใจงา่ ยดังตอ่ ไปน้ี 1. จัดตามชอ่ื ของศาสนา 1.1 มีช่ือตามผู้ต้ังศาสนา เช่น ศาสนาขงจื้อ มีชื่อตามศาสดาคือขงจื้อ โซโรอัสเตอร์ มี ชอ่ื ตามศาสดาคอื โซโรอัสเตอร์ เปน็ ต้น 1.2 มีชือ่ ตามเนมิตตกนาม หรอื เกยี รติยศของผ้กู ่อตง้ั เชน่ พุทธศาสนา ซงึ่ คำว่า พทุ ธะ แปลวา่ ผรู้ ู้ ผู้ตื่น ผเู้ บิกบาน เปน็ ตน้ 1.3 มีช่ือตามหลักคำสอนในศาสนา เช่น ศาสนาเต๋า ซ่ึงคำว่า เต๋า แปลว่า ทางหรือ ทพิ ยมรรค ศาสนาชินโต แปลว่า ทางแห่งเทพท้ังหลาย ศาสนาอิสลาม แปลว่า ยอมจำนน หรอื ยอมอ่อน น้อม (ตอ่ พระเจา้ ) ศาสนาสกิ ซ์ แปลว่า ศาสนาของสาวก เปน็ ตน้ 2. จัดตามผู้นับถอื 2.1 ศาสนาทต่ี ายไปแล้ว (Dead Religions) ไม่มีใครนับถือหรือดำรงไว้ คงมีชือ่ อยู่แต่ ในประวัติศาสตร์เท่านน้ั เช่น อยี ิปโบราณ กรีกโบราณ เปน็ ต้น 2.2 ศาสนาทยี่ งั มชี วี ิตอยู่ (Living Religions) มี 11 ศาสนา คือ 2.2.1 ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันออก คือ จีน และญี่ปุ่น ได้แก่ ศาสนา ขงจอื้ ศาสนาเตา๋ และชินโต 2.2.2 ศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต้ คือ อินเดีย ปากีสถาน ได้แก่ พระพุทธศาสนา พราหมณห์ รือฮินดู เชน และ สิกซ์ 2.2.3 ศาสนาท่ีมแี หล่งกำเนิดในเอเชียตะวนั ตก คือ ปาเลสไตล์ เปอร์เซีย และซาอุดิ อารเบยี ไดแ้ ก่ ศาสนายูดาหห์ รอื ยวิ ครสิ ต์ โซโรอสั เตอร์ อิสลามหรือมหะหมัด 3. จัดตามชาติพันธข์ องผ้กู ่อตง้ั ศาสนา 3.1 ศาสนาอารยัน ได้แก่ พราหมณ์ หรอื ฮินดู เชน พุทธ สกิ ซ์ 3.2 ศาสนาเสมิตคิ ไดแ้ ก่ ศาสนายดู าห์ หรอื ยิว ครสิ ต์ อสิ ลาม 3.3 ศาสนาตูเรเนี่ยน ได้แก่ เต๋า และขงจอื้ 4. จัดตามทีม่ ีความเชอื่ เก่ียวกบั พระเจา้ 4.1 ท่ีนบั ถือพระเจ้า เรยี ก เทวนิยม (Theism) มี 9 ศาสนา คือ
14 4.1.1 เอกเทวนิยม (Monotheism) ไดแ้ ก่ ยิว คริสต์ อิสลาม สิข และเต๋า 4.1.2 ทวเิ ทวนยิ ม (Duotheism) ได้แก่ โซโรอสั เตอร์ 4.1.2 พหุเทวนยิ ม (Polytheism) ได้แก่ พราหมณ์หรอื ฮนิ ดู ชินโต และขงจอ้ื 4.2 ที่ไม่นับถือพระเจ้า เรียก อเทวนิยม (Atheism) ไดแ้ ก่ พระพุทธศาสนา และเชน 5. จัดตามทม่ี ผี ูน้ บั ถอื หลายชาติหรอื เฉพาะ 5.1 ศาสนาชาติ (National Religion) ได้แก่ศาสนาที่มีผู้นับถือเฉพาะในประเทศที่ แหล่งกำเนิดของศาสนา มี 8 ศาสนา ได้แก่ ชินโต ขงจื้อ เต๋า เชน สิข พราหมณ์หรือฮินดู ยิวหรือยูดาห์ และโซโรอัสเตอร์ 5.2 ศาสนาโลกหรือสากล (World Religions or Universal Religions) ได้แก่ ศาสนาทม่ี ผี ้นู ับถอื ไม่เฉพาะในประเทศนน้ั ๆ มี 3 ศาสนา ได้แก่ 5.2.1 ศาสนาคริสต์ (Cristianity) มีผู้นับถือท่ัวโลก ส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปและ อเมรกิ าเหนอื อเมริกาใต้ 5.2.2 ศาสนาอิสลาม (Islam) มีผู้นับถือท่ัวโลก ส่วนใหญ่ในประเทศอาหรับ ปากสี ถาน ทวปี แอฟริกา บางส่วนของจีน อนิ เดยี รสั เซยี และไทย 5.2.3 ศาสนาพุทธ (Buddhism) มีผู้นับถือท่ัวโลกเช่นกัน ส่วนใหญ่ในทิเบต ไทย พม่า ลาว กมั บูชา เกาหลี ญีป่ ุ่น เวียดนาม อนิ เดยี และบางส่วนของประเทศตา่ ง ๆ ในทวีปยโุ รป แอฟริกา ออสเตรเลยี และอเมรกิ า (สุชีพ ปุญญานภุ าพ, 2540, หนา้ 9) 9. ศาสนาในอินเดียก่อนสมัยพุทธกาล อินเดียเป็นบ่อเกิดอารยธรรมหลากหลายประการ ฉะน้ัน ศาสนาต่างๆ จึงบังเกิดท่ีอินเดีย หลากหลาย เป็นสิ่งท่ีน่าศึกษาและทำความเข้าใจ ซึ่ง พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวว่า ศาสนาของอินเดียก่อนพทุ ธกาลสามารถแบง่ ออกได้ เปน็ 3 ยคุ ด้วยกนั คอื 1. ยคุ พระเวท 2. ยคุ พราหมณะ 3. ยุคอุปนษิ ทั ยุคพระเวท ยคุ พระเวทเป็นยุคทีพ่ วกอารยันอพยพมาจากใจกลางดนิ แดนของทวีปเอเชีย อพยพเข้ามาตั้ง ภูมิลำเนาในลุ่มแม่น้ำสินธุ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียปัจจุบันน้ี ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ต้ังของ ประเทศปากีสถาน พวกอารยันน้ัน ตามนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นพวกผิวขาวท่ีเดิมมี ภูมิลำเนา อยู่ทางแถบทะเลสาบแคสเปี้ยน ระหว่างยุโรปกับเอเซีย เมื่อมีความขัดสนมีการเปล่ียนแปลงทางดินฟ้า อากาศเกิดข้ึน พวกอารยันจึงได้แบ่งแยกสาขาอพยพไปหาแหล่งทำมาหากินใหม่ อันเป็นต้นตอของบรรพ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 15 บุรุษชนชาติโรมัน ชนชาติกรีกในยุโรป และเป็นต้นตอของพวกอียิปต์ในอาฟริกาเหนือ ภายหลังเม่ือพวก อารยันต้งั มั่นในอินเดียแลว้ ก็ไดร้ วบรวมคมั ภรี ์ข้ึนตงั้ ชื่อว่า \"คมั ภีร์พระเวท\" อันเป็นปฐมยคุ ของพราหมณ์ที่ เรม่ิ ต้นด้วยคัมภีร์พระเวท คัมภีร์พระเวทหรอื ไตรเพทถือกนั ว่าเป็นศรุติ คือคัมภีรท์ ่ีได้รับฟงั มาจากเทพเจ้า ผสู้ งู ศกั ด์โิ ดยตรง คมั ภรี พ์ ระเวทดังกล่าวนั้นประกอบดว้ ย 1. ฤคเวท ไดแ้ ก่คำฉันท์ร้อยกรอง เป็นคำอ้อนวอนขอพรจากเทพเจ้า และประจบเอาใจเทพ เจา้ เหล่านน้ั ตลอดถงึ บทสวดสรรเสรญิ เทพเจ้าใหค้ มุ้ ครองตน สตั วเ์ ลี้ยง ครอบครวั เปน็ ต้น 2. ยชรุ เวท ได้แกค่ ำร้อยแก้ววา่ ดว้ ยหลกั การในการทำพธิ ีกรรมและบวงสรวงเทพเจา้ ต่าง ๆ 3. สามเวท ได้แก่คำฉันท์ร้อยกรอง ใช้สวดในพิธีบูชาถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์ และขับ กลอ่ มเทพเจ้า 4. อาถรรพเวท เป็นคาถาอาคม มนต์ขลัง หรืออาถรรพณ์แก้เสนียดจัญไร ป้องกันสรรพภัย พิบัติต่าง ๆ นำส่ิงอันเป็นมงคลมาแก่ผู้สวด และนำผลร้ายไปให้ศัตรู (คัมภีร์นี้เกิดขึ้นภายหลังในยุค พราหมณะ) เทพเจ้าทีส่ ำคญั ในยคุ พระเวท มี 4 องค์ คอื 1. พระสาวติ รี เทพเจา้ แหง่ อาทิตย์ เนอื่ งจากพวกอารยันนับถือพระอาทิตย์มาก่อน 2. พระวรณุ เทพเจ้าแหง่ ฝน 3. พระอินทร์ เทพเจ้าผู้สร้างโลก เพราะพวกอารยันมองเห็นความจำเป็นท่ีโลกจะต้องมี ผสู้ ร้าง พระอินทร์จึงเกิดขึ้นมาเพ่อื สร้างสรรพสง่ิ 4. พระยม เทพเจ้าแห่งความตาย เป็นผู้ปกครองชีวิตในปรโลกหลังจากมนุษย์ตายไป แลว้ เปน็ เทพเจา้ ทำหนา้ ทล่ี งโทษคนที่กระทำผิด นอกจากเทพเจ้าท้ัง 4 องค์ดังกล่าวแล้ว เม่ือเวลาผา่ นไปก็มีเทพเจา้ เกิดข้ึนมาตามลำดับ เช่น พระรุทระ เทพเจา้ แหง่ ป่า ผเู้ ป็นใหญ่ในเขตป่าท้ังหมด เป็นเทพเจา้ ท่ีมีความดุร้ายมากในเวลาโกรธ จึงเป็น ทเี่ กรงกลวั ของชาวอินเดยี โบราณอย่างมาก พอ ๆ กับพระวรุณ และพระอัคนี เทพเจ้าแหง่ ไฟ สิง่ สำคัญที่เกิดข้ึนในสมัยพระเวทคอื ระบบวรรณะ (Caste system) พวกอารยันหรืออริยกะ นั้นเปน็ พวกผวิ ขาว เจา้ ของถ่ินเดมิ คือพวกดราวิเดียน หรอื พวกมลิ กั ขะนนั้ เป็นพวกผวิ ดำนีเ้ ป็นต้นเหตขุ อง การแบง่ ชนชน้ั วรรณะของคนอินเดยี ซ่ึงได้ขยายออกมาเป็นวรรณะ 4 คอื 1. วรรณะกษัตริย์ เปน็ นกั ปกครอง มีหน้าท่รี กั ษาเขตแดนและขยายเขตแดนหรือป้องกันเขต แดนเวลาถูกขา้ ศกึ ภายนอกรุกราน 2. วรรณะพราหมณ์ เป็นผู้นำทางการศึกษา และประกอบพิธีทางศาสนา มีหน้าท่ีศึกษาใน เร่ืองไตรเพท 3. วรรณะแพศย์ เปน็ คนสามัญ ไดแ้ ก่ ชาวนา ชาวสวน มีหน้าทีท่ างการ ค้าขาย 4. วรรณะศทู ร เป็นพวกกรรมกร คนงาน ทำหน้าทรี่ ับจา้ งท่วั ๆ ไป
16 ยุคพราหมณะ ในสมัยพราหมณะน้ีพราหมณ์ได้คิดสร้างเทพเจ้าที่พิเศษขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง คือ พระพรหม เน่ืองจากพระอินทร์แม้จะเป็นเทพเจ้าชั้นสูงเป็นผู้สร้างโลกสร้างสรรพสิ่งก็จริง แต่มีผู้นับถือเคารพบูชา น้อยลง และไม่สามารถจะอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง ส่วนเทพเจ้าผู้สร้างโลก และ สรรพสงิ่ ในโลกนั้นคอื พระพรหม โดยถือกันวา่ พระพรหมเปน็ เทพเจ้าผบู้ ริสุทธิ์ เพราะไมม่ ีตัวตน ไมม่ ลี ูก ไม่ มีเมีย ไม่เก่ียวข้องทางกามารมณ์เหมือนพระอินทร์ แล้วประกาศแก่ประชาชนทั้งหลายพูดว่า พระพรหม น้ันไมท่ ำความเสยี หายเหมือนพระอนิ ทรแ์ น่นอน เมอื่ พระพรหมมีตัวตน และยังมถี ึง 4 หน้าอีก ซ้ำยังไม่มภี รรยา ไม่ยุง่ เกย่ี วข้องด้านกามารมณ์ เหมือนพระอินทร์ ประชาชนต่างก็นิยมชมชอบพอใจ แนวความคิดของพราหมณ์ท่ีสร้างพระพรหมเป็นที่ พอใจของประชาชนนี้ ทำให้ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยิ่งใหญแ่ ละมีอิทธิพลเหนือจติ ใจของชาวอินเดียอย่างไม่ เสื่อมคลาย พราหมณไ์ ด้กำหนดหน้าทค่ี อื สร้างเทพเจา้ ผู้ยงิ่ ใหญข่ นึ้ มา 3 องค์ คือ 1. พระพรหม เป็นผ้สู รา้ ง (Creator) 2. พระวษิ ณุ หรือ นารายณ์ เป็นผู้รกั ษา (Preserver) 3. พระศิวะ หรือ อิศวร เป็นผูท้ ำลาย (Destroyer) พระพรหม เป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของพราหมณ์พวกพราหมณ์ถือว่าตนมาจากปากของพระ พรหม กษัตรยิ ์จากแขน แพศย์หรือไวศยะจากขาหรือตะโพกสว่ นศทู รจากเทา้ ของพระพรหมตามความเชื่อ ของชาวอินเดียสมัยน้ันพระพรหมเป็นผู้สร้างสากลจักรวาล รวมท้ังมนุษย์ สัตว์และพืชพันธ์ุธัญญาหาร ตา่ งๆทำนองเดยี วกับที่ชาวคริสต์เชอ่ื เรอื่ งพระเจา้ (God) ของเขา พระพรหมไม่เพียงแต่สร้างมนุษย์เท่าน้ัน แต่ยังกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วยใครจะได้สุข ได้ทุกข์ ได้ดีได้ช่ัวอย่างไร วาสนาชะตาชีวิตจะสูงต่ำอย่างไรก็สุดแล้วแต่พระพรหมจะบันดาล เรียกว่า พรหมลิขิตพวกพราหมณ์ได้เขียนเรื่องทำนองสนับสนุนพรหมลิขิตการตัดสินของพระพรหมว่าถูกต้อง ยุติธรรมไว้หลายเรื่องเช่น เร่ืองสองตายายเป็นคนจน อยู่กระต๊อบหลังเล็กๆ มีควายพิการอยู่ตัวหน่ึงยาย แก่ด่าพระพรหมอยู่ตลอดเวลา ด่าเชา้ ด่าเยน็ ส่วนตายอมรับสภาพชีวิตของตนโดยไม่ปริปากบ่นและเช่ือว่า พระพรหมท่านทำถูกยตุ ิธรรมแลว้ วันหนึ่ง พระพรหมท่านเดือดร้อนด้วยคำด่าของยาย จงึ ลงมาหายายแลว้ พายายไปยังภพของ ทา่ นท่ีท่านอยู่นัน้ มีสายใยชีวิตมนุษยแ์ ละสัตว์ทั้งหลายมากมาย บอกยายวา่ คราวน้ีขอให้ยายเลือกเส้นชีวิต เอาเอง จับต้นเส้นแล้วให้ลงไปสู่โลกมนุษย์ปลายเส้นไปจดที่ใดจะเป็นคฤหาสน์ หรือปราสาทราชวังก็ให้ ยายอยู่ที่น่ันได้เลยยายดีใจเลือกจับเส้นท่ีเห็นว่าดีท่ีสุด สวยงามท่ีสุดแล้วหลับตาลงมาตามเส้นนั้นพอรู้สึก ว่าถึงโลกมนุษย์ก็ลืมตาข้ึน ปรากฏว่าลงมาอยู่ท่ีกระต๊อบหลังเดิมเหลียวไปดูข้างๆเห็นตาคนเดิมนอนอยู่ มองไปนอกหน้าต่างเหน็ ควายพิการตวั เดิมนนั่ เองยายจงึ ปลงได้ และยายเชือ่ วา่ พระพรหมมคี วามยุตธิ รรม
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 17 พระศิวะ พวกอินเดียเหนือได้มีความเช่ือเรื่องเทพเจ้าอีกองค์หน่ึง คือ พระศิวะ หรือบางทีก็ เรียกว่า พระอิศวร สีพระกายขาว (เพราะชาวอินเดียเหนือแถบภูเขาหิมาลัยส่วนมากผิวขาว)แต่ดุดันใช้ อำนาจแบบเดียวกับพวกอริยกะหรืออารยัน มีมเหสี คือพระอุมาซึ่งมีความงามมาก ทั้งสองพระองค์ ประทับ ณ ยอดเขา้ หมิ าลัยเจ้าแม่กาลีทด่ี รุ า้ ยกเ็ ป็นปางหนงึ่ ของพระอุมา พระวิษณุ ชาวอินเดียใต้มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือ พระวิษณุ หรือ พระ นารายณ์ สีพระกายนิลหรือดำ (เพราะชาวอินเดียใต้ส่วนมากผิวดำ) ประทับ ณ เกษียรสมุทร (ทะเลนม) บนหลังอนนั ตนาคราช (ชาวอินเดยี ใต้อยูต่ ิดทะเล หากนิ และคนุ้ เคยทางทะเล) พระนารายณห์ รอื พระวษิ ณุ มีลักษณะสุภาพอ่อนโยน เมตตาปรานี (ทำนองเดยี วกับชาวอินเดยี ใต้ ชอบเปน็ นกั รู้มากกว่าเป็นนักรบและ เปน็ เจา้ ของถน่ิ เดมิ ชาวอินเดีย) เทพเจ้าทั้ง 3 น้ี เรียกว่า \"ตรีมูรติ\" แปลว่า สามรูป ในคัมภีร์พระเวท พระพรหมได้สร้าง มนษุ ย์ในระบบวรรณะ 4 ไว้ เพอื่ สนั ติจากอวยั วะตา่ ง ๆ ของพระองค์เองดังน้ี 1. ทรงสร้างพราหมณ์ จากพระโอษฐข์ องพระองค์ 2. ทรงสร้างกษตั ริย์ จากพระพาหา (แขน) ของพระองค์ 3. ทรงสร้างแพศย์ (พวกพ่อค้า) จากพระโสณี (ตะโพก) 4. ทรงสรา้ งศูทร (กรรมกร) จากพระบาท ด้วยเหตุน้ีเอง ระบบชนช้ัน หรือระบบวรรณะ 4 ในสังคมอินเดียจึงมีมาตั้งแต่ยุคพราหมณะ ในอดีตเรื่อยมาจนมาถึงปัจจุบันน้ี ไม่มีใครจะสามารถทำลายล้างได้ คงจะมีอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน ในยุคพราหมณะนี้ เมื่อแนวความคดิ ของพราหมณ์ที่สร้างพระพรหมจนเปน็ ที่พอใจของประชาชนทั่วไป พวกพราหมณ์ได้กำหนดปรัชญาในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเอง ซึ่งมีระดับข้ันตอนอยู่ 4 ระดับ หรอื เรียกวา่ อาศรม 4 ดงั น้ี 1. พรหมจารี เป็นวัยท่ีต้องศึกษาเล่าเรียน จะเรม่ิ ทำพิธีเล่าเรียนเรียกว่า \"อุปานยัน\" แปลว่า นำชีวิตเข้าสู่ความรู้ ต้ังแต่อายุ 8 ขวบ เบ้ืองแรกจะต้องให้พราหมณ์ผู้เป็นครูอาจารย์เป็นผู้สวมคล้องด้าย สายศักด์ิสิทธิ์เรียกว่ายัชโญปวีต เท่ากับเป็นการประกาศและปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารที ี่จะต้องเป็น นักเรียนนักศึกษาเชื่อฟังครูอาจารย์ ในระหว่างเป็นพรหมจารีน้ีต้องมีความประพฤติเรยี บร้อย ต้องเคารพ ต่ออาจารย์ทุกโอกาส และตอ้ งเรียนอย่ใู นสำนกั ของอาจารยอ์ ย่างน้อย 12 ปี จึงสำเร็จการศกึ ษา 2. คฤหัสถ์ เป็นการแสวงหาความสุขทางโลกตามฆราวาสวิสัย เม่ือกลับมาสู่บา้ นแล้ว จะต้อง ทำพิธีแต่งงานและมบี ุตรอย่างน้อย 1 คน เพอ่ื ใช้หนี้บรรพบุรษุ และเป็นการปอ้ งกันมิให้บดิ ามารดาตกนรก ขุม \"ปุตตะ\" จะต้องประกอบอาชีพให้มีฐานะม่ันคงในทางฆราวาส ปฏิบัติตามกฎของผู้ครอง เรือน ตลอดจนเอาใจใส่ในการประกอบยญั พิธี 3. วนปรัสถ์ ผู้ที่สร้างฐานะในทางคฤหัสถ์ได้แล้ว มีบุตรธิดาสืบสกุลแล้วก็ยกทรัพย์สมบัติให้ บุตรธิดาแล้วออกไปอยู่ในป่า เพ่ือบำเพ็ญเพียรทางใจทำคุณงามความดีต้องออกไปหาความสุขสงบจาก
18 ความวิเวกในป่า เรียกว่า วนปรัสถ์ ยังมีภรรยาเหมือนกับบุคคลทั่วไป แต่มุ่งบำเพ็ญความดีเพื่อ สัมปรายภพให้มากยิง่ ขึ้น 4. สันยาสี พิธีบวชเป็นสันยาสี คุรุจะทำพิธีสวดมนต์บูชาพระเจ้า แล้วสอนให้ผู้บวชว่าตาม เสร็จแล้วคุรจุ ะอบรมให้ผู้ถือบวชทราบทางปฏิบัติ การถอื บวชเปน็ สนั ยาสี เป็นช่วงสดุ ท้ายของชวี ิตของผู้ท่ี หวังประโยชน์สงู สดุ จะต้องสละโลกและบตุ รภรรยา ความวุ่นวายออกบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าตลอดชีวิต เพื่อ จุดหมายปลายทางของชีวติ คือโมกษะ ยุคอุปนษิ ัท ศาสนาพราหมณ์ได้วิวฒั นาการมาจากยุคพราหมณะก็มาเข้าสยู่ ุคท่ี 3 ซึ่งเป็นยคุ สมัยอุปนิษัท ใกลพ้ ทุ ธกาล ประมาณ 100-150 ปี เม่ือชาวอนิ เดียมคี วามเป็นอยแู่ น่นอนลงไปแล้ว ทุกคนกเ็ ร่ิม ฉุกคิดค้น หาความจริงในชีวิต คือเห็นว่าลำพังการบูชาบวงสรวงดว้ ยวธิ ียัญญกรรมตา่ ง ๆ อย่างท่ีเคยประพฤติมาน้ัน ไม่สู้จะได้ผลอะไรแต่อย่างใด ไม่สามารถทำบุคคลให้พ้นทุกข์ได้ ทำจิตใจให้สบายได้ นอกจากว่าเป็นการ ปลอบใจ หรือว่าเป็นการบำรุงขวัญช่ัวคร้ังช่ัวคราวเท่าน้ันเอง ไม่สามารถจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด เพราะฉะน้ัน จึงมีพวกที่ต้องการแสวงหาความจริงพวกหนึ่ง หลีกเร้นปลีกวิเวกออกไปตาม ป่าเขาลำเนา ไพร แล้วก็พยายามใชป้ ัญญาของตนขบคดิ หาความจริงวา่ ชวี ิตคืออะไร เราเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน ซึ่งนักคิดท่ีจะตอบปัญหาเหล่านี้ เมื่อขบคิดไปก็พบข้อคิดจริงบางอย่างบางประการที่พวกเขาพบเข้าจึงได้ รวบรวมข้ึนอกี คมั ภีร์หนึ่งใหช้ ือ่ ว่า \"อุปนษิ ทั \" คำว่า \"อุปนิษัท\" น้ันหมายความว่า นั่งเข้ามาตีวงใกล้ๆ หรือนัง่ เข้ามาฟงั ใกล้ๆ เพราะวา่ พวก ฤาษชี ีไพรทไ่ี ปขบคิดปัญหาทางปรัชญาทางชวี ิตพวกน้ี สมัยโบราณไม่มีเคร่อื งขยายเสียงไมค์โครโฟน ถ้าไม่ เข้ามาตีวงใกล้ๆ กับอาจารย์ ก็ไม่รู้เร่ือง ไม่เขา้ ใจว่าอาจารย์พูดอะไร สมัยท่ีปรัชญาอุปนิษัทเกิดข้ึนเป็นยุค ท่ีใกล้กับพุทธกาลแล้ว เป็นยุคที่นักคิดชาวอินเดียเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากข้ึน ไม่ผูกพัน กับระบบ ประเพณีด้ังเดิม ซ่ึงสมัยพระเวทถ่ายทอดกันมา เพราะฉะนั้น จึงมีนักคิดอิสระท่ีมีความคิดแหวกแนว ออกไปจากระบบประเพณดี ้ังเดิมของพระเวทออกไป 1. พวกไวทิกวาทะ วาทะท่ียังนับถือพระเวทเป็นปทัฏฐาน ลัทธิศาสนาในพวกนี้ ยอมรับ ประเพณีของพราหมณ์ ไม่ปฏิเสธพระเวท ซ่ึงภายหลังได้เกิดเป็น 6 ลัทธิใหญ่ เรียกว่า \"ษัททรรศนะ” ประกอบด้วยลทั ธิสางขยะ มมี างสา เวทานตะ ไวเศษิกะ นยายะ และโยคะ 6 ลทั ธนิ สี้ อนว่ามีอตั ตาทัง้ นนั้ 2. พวกอไวทิกวาทะ คือพวกที่ปฏิเสธความศักด์ิสิทธ์ิของพระเวท ไม่ยอมรับประเพณีของ พราหมณ์ ซึ่งมีลทั ธิของครูทั้ง 6 ศาสนาเชนและพระพุทธศาสนา แต่ศาสนาเชนสอนว่ามีอัตตา เรียกว่า ชี วาตมัน พวกอุจเฉททิฏฐิ อกิรยิ ทิฏฐิ นัตถกิ ทิฏฐิ และลัทธิโลกายัต (จารวาก)ก็รวมอยู่ในพวกอไวทิกวาทะนี้ด้วย เพราะปฏิเสธพระเวทเหมือนกนั ในท่นี ี้จะขอกล่าวถึงลทั ธโิ ลกายัต หรือจารวากอีกเล็กนอ้ ย เพือ่ ให้เขา้ ใจพวกอไวทกิ วาทะมาก ยงิ่ ขึน้ ดงั นี้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 19 ลัทธิโลกายัตหรือจารวาก จารวากเป็นพวกวัตถุนิยมจัดหรือสสารนิยม (Materialism) ผู้ก่อต้ังลัทธินี้คือ ฤาษีพฤหัสบดี หรือทา้ วสหัมบดีพรหม ท่านผู้นนี้ ับเป็นคนแรกท่ีมีทรรศนะว่าสสารเป็นอันติมะสัจจะ เป็นสภาพความจริง สูงสุด แนวความคิดของลัทธิโลกายัตในสมัยน้ัน บางคร้ังเป็นท่ีตลกขบขัน บางครั้งก็เป็นที่เกลียดชังของ พวกนักคิดในสมัยเดียวกัน เพราะในสมัยนั้นนักคิดต่างๆ ทุกสำนักจะเป็นพวกจิตนิยม (Idealism) ทั้งสิ้น ลทั ธิโลกายัตหรอื จารวาก ถอื ว่าประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (Perception) เท่านั้น เป็นแหล่งความรู้ ท่ีแน่นอนและถูกต้องแท้จริง ความรู้ทางอ้อม เช่น ความรู้ท่ีเกิดจากการอนุมาน (Inference) ความรู้ท่ี ได้มาจากการเรยี น หรือบอกเล่าจากคนอ่ืนเป็นความรู้ที่เชื่อถือไม่ได้ ความรู้เหล่าน้ันนำไปสู่ความผิดเสมอ เราไม่ควรเช่ือถือความรู้ในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงโดยไม่ผ่านประสาทสัมผัสของเราเสียก่อน คำสอนของลัทธิ โลกายัตหรือจารวาก ได้กล่าวถึงสาระสำคัญของลัทธโิ ลกายัตหรอื จารวาก ซึง่ พอจะนำมากล่าวโดยย่อเป็น ข้อ ๆ ไดด้ ังต่อไปน้ี 1. ธาตุท้งั หลายมเี พียง 4 คือ ธาตุดนิ น้ำ ลม ไฟ 2. ร่างกาย ประสาทสัมผัส และส่ิงท่ีรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นผลที่เกิดข้ึนจากการ รวมตวั ของธาตตุ ่าง ๆ 3. วิญญาณ (Consciousness) เกิดมีขึ้นจากการรวมตัวอย่างถูกส่วนของวัตถุ เช่นเดียวกับ คุณสมบัติทีท่ ำให้เกดิ ความมึนเมาของสรุ าเมรัยซง่ึ เกิดขึ้นจาการหมกั ดองของวตั ถทุ ่ใี ช้ผลิตฉะนน้ั 4. สิ่งท่ีเรียกวิญญาณหรืออาตมันน้ัน มิใช่อะไรอื่น ท่ีแท้ก็คือร่างกายท่ีมีสัมปชัญญะ หรือ ความรสู้ ำนึกนัน่ เอง 5. ความบันเทงิ เริงรมย์เปน็ จุดหมายเพยี งอยา่ งเดียวของชวี ิต 6. ความตายคือโมกษะหรือความหลุดพ้น คำสอนของลัทธิจารวากถือว่า ไม่มีสวรรค์ ไม่มี ความหลุดพ้น (โมกษะ) ไม่มีวิญญาณใด ๆ อยู่ในโลกอ่ืน ไม่มีการกระทำหรือกรรมของใครในวรรณะท้ัง 4 ท่ีจะก่อให้เกิดผล (ไม่มีผลของกรรม) การบูชาไฟ พระเวททั้งสาม การร่ายมนต์ของพวกนักบวช และการ ทาตัวด้วยขเ้ี ถา้ เป็นอุบายวิธีหาเล้ียงชีพของคนโง่ ไร้ยางอาย การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวง เป็นคนลวงโลก ถ้าหากสัตวท์ ่ีถูกฆา่ ในพิธบี ูชายัญจะได้ไปเกิดในสวรรค์จรงิ แล้ว ไฉนเลยผู้ประกอบพิธบี ูชา ยัญ ไมเ่ อาบดิ ามารดาของตนมาฆ่าบชู ายัญเช่นนนั้ บา้ งเลา่ จารวากสอนให้แสวงหาความสุขตั้งแต่ในเวลาท่ยี ังมีชีวติ อยู่ กินดืม่ ให้สุขสำราญ แม้ว่าจะต้อง เปน็ หน้ีเปน็ สินเขาก็ตาม เพราะว่าเมอ่ื รา่ งกายถงึ ความตายถูกเขาเผาเป็นเถ้าถา่ นไปแล้ว มันจะกลับฟื้นคืน ชีพขึ้นมาได้อีกไฉน พิธีกรรมตา่ ง ๆ นั้น เปน็ อุบายวธิ ีหาเล้ียงชีพของพวกพราหมณ์น่นั เอง ผแู้ ตง่ คัมภีร์พระ เวทคือคนโง่งัง่ คนลวงโลก เจา้ พวกอสูรกาย จารวากถือว่าคัมภีร์ดังกล่าวเขียนขึ้นโดยพวกพระที่มีเล่ห์คดโกง และเล้ียงชีพด้วยการ หลอกลวงประชาชนผู้โง่เขลา พวกพระเหล่านีส้ อนประชาชนให้หลงใหลกบั การประกอบพธิ ีกรรมบูชายัญ
20 ทั้งน้ีเพื่อพวกตนจะได้มีปัจจัยไทยธรรมเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หาได้มีประโยชน์อันใดที่พึงเกิดข้ึนจากการ ประกอบพิธีกรรมบูชายัญเหล่านนั้ แตป่ ระการใดไม่ ปรัชญาการดำเนินชวี ติ ของจารวาก คติการดำเนินชีวิตของพวกจารวากมีปรัชญาชีวิตว่า กิน ด่ืม และร่ืนเริงสำราญ มีความสุข ทางเน้ือหนังเป็นจุดหมายปลายทาง มนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว ไม่มีโลกหน้า ไม่มีการเกิดใหม่ หลังจากตายแล้ว คนดีคนชั่วมีจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างเดียวกันคือความตาย ดังนั้น มนุษย์จึงควรรีบตัก ตวงแสวงหาความสุขเสียให้เต็มที่ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ กินให้เป็นสุข ด่ืมให้เป็นสุข และสนุกเสียให้เต็มอ่ิม ตายแล้วกส็ ้ินสุดกนั จะด่ืมสนุกสนานอะไรไม่ได้อกี แลว้ ลัทธนิ ี้สอนตรงกับความตอ้ งการกิเลสของปุถุชนทั่ว ๆ ไป พวกนี้ยอมรับเอาหลักปรัชญาชีวิตของจารวากมาปฏิบัติได้โดยไม่รู้สึกตัวและง่ายดาย จารวากยัง สอนให้คนเราแสวงหาทรัพย์ เพราะว่าทรัพย์สมบัติทำให้เราสามารถแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน ในชีวิตได้อย่างเต็มท่ี ความสุขทางเน้ือหนัง หรือความสุขทางกามารมณ์เป็นความสุขสูงสุด คุณธรรมไม่ เป็นสง่ิ จำเปน็ สำหรับชีวิต เพราะคนดคี นชวั่ ก็จบลงดว้ ยความตายเท่ากัน อภิปรัชญาของจารวาก อภิปรัชญาของลัทธิโลกายัตหรือจารวากนั้นถือว่าสสารหรือวัตถุเท่านั้นเป็นความจริงท่ีเป็น อันติมะ เป็นความรู้ท่ีแท้จริง ต้องเป็นความรู้ท่ีได้รับมาทางประสาทสัมผัสหรือความรู้ประจักษ์เท่าน้ัน (Empiricism) เป็นความรู้ที่ถูกต้องส่ิงใดท่ีประจักษ์โดยประสาทสัมผัสไม่ได้ ก็ถือว่าส่ิงนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้น นรก สวรรค์ บาป บุญ เทวดา ภูตผีปิศาจ ชีวิตในโลกหน้า วิญญาณหรืออาตมัน พระพรหม พระ เป็นเจ้าจึงเป็นส่ิงที่ไม่มีอยู่จรงิ เพราะว่าส่ิงเหล่าน้ีรับรู้ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัส ส่ิงท่ีมีอยู่จริงตามทรรศนะ ของพวกจารวากจึงมีเพียงวตั ถุเท่าที่เรารับร้ไู ดเ้ ทา่ น้ัน อภปิ รชั ญาของจารวาก อาจแบง่ ได้ 3 ข้อ ได้แก่ 1. ยนื ยนั วา่ สรรพสิ่งเกิดมาจากการรวมตวั ของธาตุทัง้ 4 2. ปฏเิ สธการมีอยู่ของโลกหน้าและตัวตนหรืออาตมนั 3. ปฏิเสธการมีอยู่ของพระผู้เปน็ เจา้ โดยสน้ิ เชงิ ทศั นะเกี่ยวกับโมกษะของจารวาก ลัทธิโลกายัตหรือจารวากมีความเห็นเก่ียวกับ “โมกษะ”ว่าเป็นความหลุดพ้นจากความทุกข์ ซ่ึงไม่จำเป็นต้องรีบแสวงหาในขณะนี้ และไม่มีประโยชน์อันใดด้วย ผู้ที่ยอมทนทุกข์ทรมานหรือยอมสละ ความสุขทางโลกียวิสัย เพ่ือแสวงหาความหลุดพ้นเพื่อบรรลุโมกษะ ได้ชื่อว่าเป็นคนโง่เหง้าเต่าตุ่นตาม ทรรศนะของพวกจารวาก การแสดงความเคารพภักดีและอ้อนวอนบูชาพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะมีนาม อย่างไร ล้วนเป็นความโง่เหง้าท้ังส้ิน เพราะความตายเท่าน้ันคือโมกษะอันแท้จริงของคนทุกคน ดังนั้น บุคคลจึงควรแสวงหาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน กินให้เป็นสุข สนุกให้เต็มอิ่ม ต้ังแต่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อ ความตายมาปลดิ ฉากชวี ติ ก็เปน็ อนั หมดกนั ไป ร่างกายก็สูญสลายไปตามอากาศธาตุ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 21 10. ความเช่อื ในคำสอนแบบปรชั ญาของนักบวชสมัยพทุ ธกาล พระมหาสมศักดิ์ ญาณโพโธ (ม.ป.ป.) กล่าวว่า นักบวชท่ีมีชื่อเสียงในสมัยนั้นได้แก่ ครูทั้ง 6 หรอื ท่ีทราบกันดวี า่ ลัทธิครูท้ัง 6 (ครู ในท่นี ม้ี าจากคำวา่ ครุ มคี วามหมายวา่ ศาสดา น่นั เอง) ได้แก่ 1. ปูรณกสั สป 2. มกั ขลิโคสาล 3. ปกทุ ธกจั จายนะ 4. อชิตเกสกัมพล 5. นคิ รนถ์นาฏบุตรหรอื มหาวีระ 6. สญั ชยั เวลัฏฐบุตร ปูรณกัสสป เป็นนักบวชพวกเปลือยกาย ถือลัทธิอกิริยวาท คือถือว่าบุญไม่มี บาปไม่มี ผล บุญผลบาปไม่มี ส่ิงทั้งหลายเกิดขึน้ เองตามประวตั กิ ล่าวไวว้ ่า มีตระกูลหน่งึ มที าส 99 คน ทาสคนหน่ึงเกิด มาครบ 100 คนพอดี ดังนั้นนายจึงตั้งชื่อทาสคนที่หนึ่งร้อยว่า \"ปูรณะ\" และนายจะกำชับคนท้ังหลายว่า ปรู ณะเป็นทาสที่เป็นม่งิ มงคล อะไรก็ตามทีป่ ูรณะทำ ไม่วา่ จะทำดี หรอื ทำช่ัว การงานท่ีทำแล้ว หรอื ยังไม่ ทำ ห้ามกลา่ วโทษปรู ณะ อยู่มาวันหน่ึง ปูรณะคิดว่า ไม่มีประโยชน์อะไรท่ีจะอยู่เป็นทาสจึงได้หลบหนีออกไป ขณะท่ี หนีออกไปได้ถูกโจรชิงผ้า เขาจึงไม่รู้แม้กระท่ังจะหาอะไรมาปกปิดร่างกายตัวเอง ก็เลยเป็นผู้เปลือยกาย เดินไปตามที่ต่าง ๆ บังเอิญมีมนุษย์กลุ่มหน่ึงสำคัญว่า บุรุษคนน้ีต้องเป็นสมณะ เป็นพระอรหันต์ มีความ มกั น้อย สนั โดษ จึงให้ข้าวนำ้ เน้อื ขนม นม เนย เปน็ ตน้ ปูรณะคิดว่า ข้าวปลาอาหาร เนื้อนม ขนม นม เนย ที่คนทั้งหลายนำมาให้ คงเป็นเพราะ สาเหตุที่เราไม่นุ่งผ้า และตั้งแต่บัดน้ันเป็นต้นมา เขาก็ไม่นุ่งผ้าอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีผ้านุ่งก็ตาม ถือว่า ตวั เองเปน็ นักบวชผู้หน่งึ และยงั มีผูค้ นอกี ประมาณ 500 คน พากันบวชในสำนกั ของเขา ปรู ณกสั สปะเป็นพวก อกิรยิ วาที คือสอนว่า \"บญุ บาป\" ไม่มี การกระทำทุกอย่างที่ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว ก็ถือว่าไม่เป็นการกระทำ แม้การทรมานอินทรีย์ การสำรวมศีล การกล่าวคำสัตย์ ก็ไม่ก่อให้เกิดบุญอะไร และผลบุญก็ไม่ถึงแก่ผู้กระทำเช่นนั้น การฆ่าสัตว์ ลักทัพย์ เป็นต้น ไม่เป็นบาป อะไร เมอื่ จบสน้ิ แลว้ ก็แล้วกนั ไป ไม่มผี ลยอ้ นกลบั ตอบสนองในภายหลังอยา่ งไรทงั้ สิ้น มกั ขลโิ คสาลเป็นนักบวชเปลือยกาย เคยไปศึกษาลัทธินคิ รนถ์แล้วแยกตัวต้งั ลัทธิใหม่ถือลัทธิ อเหตุกวาท ถอื วา่ ส่ิงทัง้ หลายไม่มีเหตุใหเ้ กดิ ข้ึน ทกุ สิ่งล้วนเกิดขึ้นเอง ตามประวตั ิแลว้ มชี ีวประวัติคล้ายกับ ปรู ณกัสสปะ มักขลิโคสาลเป็นทาสของนายผู้หน่ึง คราวหน่ึงนายใช้ให้แบกหม้อน้ำมันเดินไปบนแผ่นดินท่ี มเี ปือกตมลื่นมาก นายกำชับว่า แบกหม้อน้ำมันให้ดี อย่าล่ืนนะพ่อคณุ ผลที่สุดก็ล่นื เพราะความพล้ังเผลอ และมคี วามกลัวนายเปน็ อย่างมากจงึ คิดจะวิ่งหนี นายวงิ่ ไปฉดุ ผ้าไว้ เขาก็เลยทง้ิ ผ้า วงิ่ หนีไปเป็นคนเปลือย
22 อกี นัยหน่งึ บางคร้งั ก็เรียกวา่ โคสาล หมายถงึ เกิดในโรงโค มกั ขลโิ คศาลเป็นพวกอเหตกุ วาที สอนว่า \"ความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ สุข ทุกข์ หรือ ความดี ความช่ัว เป็นสิ่งเกิดเองโดยธรรมชาติ ไม่มีอะไรเป็นเหตุหรือปจั จัยสนับสนุนให้เกิดข้ึน ไมว่ ่าจะเป็นการกระทำของตนเองหรอื คนอื่นก็ตาม ท้ังคน พาลและบัณฑิตเม่อื ท่องเทยี่ วไป จะสามารถทำที่สดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้เอง\" ปกุทธกัจจายนะ ถือลัทธิสัสสตวาท คือเกิดเป็นอะไรก็เป็นอย่างน้ัน ไม่มีเปล่ียนแปลง ตาม ประวตั ิกลา่ วว่าทเี่ รยี กช่อื ว่า ปกทุ ธกัจจายนะ เรยี กกันตามชือ่ ตระกูลเขา ปกุทธกจั จาห้ามนำ้ เย็น เวลาถา่ ย อุจจาระก็ดี กินข้าวก็ดี ของไม่สะอาดอะไร ๆ เปื้อนก็ดี ก็ไม่ทำกิจคือชำระด้วยน้ำเย็น ได้น้ำร้อนหรือ นำ้ ข้าวแล้วจึงทำ ข้ามแมน่ ้ำหรือน้ำในระหว่างทางเดิน ก็เข้าใจว่า ศีลของเราขาดแล้ว จึงทำการก่อตะล่อม กองทรายอธิษฐานศีลแล้วจงึ ไป ปกุธกัจจายนะเป็นพวก นัตถิกวาที สอนว่า “สิง่ ท่ีเปน็ จรงิ แทใ้ นโลกนี้มีเพียง 7 อย่างเท่าน้ัน คอื ดนิ น้ำ ลม ไฟ สขุ ทกุ ข์ และ ชีวะ” ส่วนกรรมดี กรรมชั่ว บญุ บาป นรก สวรรค์ เป็นส่งิ ทตี่ ั้งกันขึ้นเอง ทั้งสน้ิ ไมม่ ีอยูจ่ ริง ลัทธิน้ีถือว่า การฆา่ ผู้ถกู ฆ่า ไม่เป็นบาปกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น เมื่อเราใช้ดาบ ฟนั ลงไป บนร่างกาย คมดาบจะผ่านแทรกลงไปในระหว่างอนุภาคของส่ิงท่ีเป็นนิรันดร (ใน 7 สิ่งน้ัน) ซึ่งไม่มีส่ิงใด สามารถทำลายหรอื แบง่ แยกได้ จงึ เทา่ กบั ไมม่ ีผลดีผลรา้ ยอยา่ งไรเกิดขึน้ ความเห็นของปกุทธะกัจจายนะ ที่นับได้ว่าสำคัญตอนหนึ่งในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีล ขันธวรรค พระเจ้าอชาตศัตรูได้ถามปัญหาเร่ืองสามัญญผลแห่งการดำเนินชีวิตของสมณะหรือนักบวชว่า จะได้รับผลในชีวิตนี้อย่างไรบ้าง ปกุทธะกัจจายนะไม่ทูลตอบปัญหานี้โดยตรง แต่ตรงกันข้ามกับแสดง ทัศนะของตนว่า \"ดูก่อนมหาบพิตร สภาวะ 7 กองเหล่านี้ ไม่มีใครทำ ไม่ใช่ส่ิงท่ีใครได้ทำไว้ ไม่มีใคร เนรมิต ไม่มีใครบัญชาให้เนรมิตไว้ เป็นสภาพย่ังยืน ตั้งอยู่มั่นคงดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่ม่ันคงดุจเสาระเนียด สภาวะ 7 กองเหล่านั้น ไม่หวน่ั ไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือทุกข์หรือ ทั้งสุขท้ังทุกข์แก่กันและกัน สภาวะ 7 กองนั้นเป็นไฉน คือ กองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ สุข ทุกข์ และ ชีวะ สภาวะ 7 กองเหล่าน้ี ไม่มีใครทำ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครได้ทำไว้ ไม่มีใครเนรมิต ไม่มีใครบัญชาให้ใครมา เนรมิต เป็นสภาพย่ังยืน ต้ังอยู่ม่ันคงดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นคง ดุจเสาระเนียด สภาวะ 7 กองเหล่าน้ัน ไม่ หวนั่ ไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรอื ทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์แก่กันและ กัน ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้คนอื่นฆ่าก็ดี ผู้ได้ยินเองก็ดี ผู้กล่าวให้บุคคลอ่ืนได้ยินก็ดี ผู้เข้าใจความหมายเองก็ดี ผู้ทำใหค้ นอ่ืนเข้าใจความหมายก็ดี ไม่มีอยู่ในสภาวะ 7 กองนน้ั เพราะบคุ คลที่เอาศาสตราท่ีคมกล้ามาตัด ศีรษะกันก็ไม่ช่ือว่าใครปลงชีวิตใคร เป็นแต่ศาสตราสอดเข้าไปตามช่องแห่งสภาวะ 7 กองเท่านั้น\" (ที.สี. (ไทย) 11/97/299-300) จากข้อความข้างบนน้ีเราพอจะสามารถสรุปแนวความคิดของปกทุ ธะกัจจายนะได้ว่า สภาวะ 7 กองท่ีเจ้าลัทธินี้กล่าวถึง เป็นเหมือนสสารหรือวัตถุท่ีไร้ความรู้สึกนึกคิด เมื่อสภาวะทั้ง 7 อย่าง มา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 23 รวมตัวกันอย่างได้สัดส่วน จึงเกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นต้น ถึงแม้จะมีชีวิตก็ตาม ส่วนประกอบต่าง ๆ ของสิง่ มชี ีวิตก็ยงั คงเปน็ วตั ถุหรือสสารนนั่ เอง ดว้ ยเหตนุ ้ี เจ้าลทั ธิปกุทธะกัจจายนะจงึ เห็นวา่ ถ้ามใี ครเอาดาบคมกรบิ ไปตัดศีรษะของคนอ่ืน หรือแทงคนอื่นให้ตาย ก็ถือว่าไม่มีผู้ฆ่าหรือผู้ถูกฆ่า เพราะผู้ท่ีตัดศีรษะผู้ท่ีแทงก็เป็นวัตถุ และสิ่งที่ถูกตัด หรือถูกแทงก็เป็นวัตถุ จึงไม่มีผู้ฆ่าและผู้ท่ีถูกฆ่า ดังนั้น ปกุทธะกัจจายนะจึงเป็นพวก นัตถิกวาที กล่าวว่า กรรมและผลของกรรมไม่มี และกล่าวปฏิเสธ ความดี ความชวั่ ถูก ผิด บญุ บาป นรก สวรรค์ โมกษะ ไมม่ ี โดยส้ินเชิง เม่ือสภาวะ 7 กองรวมตัวกันจึงเกิดมีส่ิงมีชีวิต เมื่อสภาวะ 7 กองแยกออกจากกัน จิตหรือ ความรูส้ ึกกห็ มดไป ไมม่ ีความร้สู กึ นกึ คิดทีจ่ ะเหลอื อยอู่ ีกต่อไป อชิตเกสกัมพล นุ่งห่มผ้าทำด้วยผมคน ถือลัทธินัตถกิ วาทและอุจเฉทวาท คือถือว่า บุญบาป ไม่มี ร่างกายเปน็ เพียงธาตุ ตายแลว้ ขาดสูญ ตามประวตั เิ ล่ากนั วา่ อชิตเกสกัมพล เพราะว่าใช้ผ้ากัมพลท่ีทำ ด้วยผมของมนุษย์ อชิตเกสกัมพลถือว่า ธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นที่เป็นของจริง ส่ิงอ่ืนนอกนั้น ลว้ น เป็นมายา (Illusion) เกิดจากการรวมตัวของธาตุ 4 เมือ่ ธาตุ 4 สลายตวั แลว้ ส่ิงนั้นกเ็ ป็นอันสูญ อชิต เกสกัมพล ปฏิเสธเร่ืองความดี ความชั่ว บุญ บาป โดยส้ินเชิง การให้ทานก็ดี การเซ่นสรวงหรือการบูชา ยญั ก็ดี จะไมก่ ่อให้เกดิ ผลแกผ่ ู้กระทำในทุกกรณี การให้ทานเป็นการบัญญัติของคนโง่เขลา การสอนว่าการ ให้ทานจะกอ่ ให้เกิดผลดแี ก่ผู้กระทำ การสอนแบบนี้เป็นการสอนที่เหลวไหลไร้สาระ เป็นการหลอกลวงให้ ผอู้ ืน่ หลงผิด เปน็ การสอนเพื่อประโยชน์ในการเล้ียงชีพของคนสอนเอง เป็นเร่อื งของคนฉลาดสอนให้คนโง่ ใหท้ าน แตค่ นฉลาดรบั ทาน การกระทำใด ๆ ก็ตามไม่มีผล ไม่ว่าจะทำดีหรือทำช่ัว การคาดหวังว่า การกระทำความดี ย่อมจะได้รับผลดี และการคาดหวังว่า การกระทำช่ัว ย่อมจะได้รับผลชั่ว เป็นความคาดหวังที่ว่างเปล่า เป็นการต้ังความหวังอย่าง ลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งไม่มีทางจะสมหวังได้เลย บิดามารดา ไม่มี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบไม่มี วิบากกรรม จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดท้ังส้ิน ลัทธิน้ีถือว่า สุข ทุกข์ เป็นเร่ืองของความ บงั เอญิ ไม่เกย่ี วกับกรรมดี กรรมช่ัว ไมม่ ีนรก สวรรค์ ไม่มีการหลดุ พ้น และไม่มกี ารเกดิ ใหม่ ตายแล้วสญู มี คำอธิบายบางตอนของอชิตเกสกัมพลต่อคำตรัสถามของพระเจ้าอชาตศัตรู ปรากฏอยู่ในสามัญญผลสูตร ทฆี นิกาย สีลขันธวรรค มีเน้ือความว่า \"ดูก่อนมหาบพิตร ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่ มีผล ผลวิบากแหง่ กรรมดีกรรมช่ัวไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาบิดาไมม่ ีคุณ สัตว์ท่ีเกิดผุดข้ึนไม่ มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินชอบปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกน้ีและโลกอ่ืนให้แจ้งด้วยปัญญาอันย่ิงเอง แลว้ สอนใหผ้ ู้อ่นื รแู้ จ้งไมม่ ีในโลก คนเรานี้เป็นแต่ประชุมมหาภูติทั้ง 4 เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดนิ ไปตาม ธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ท้ังหลายย่อมเลื่อน ลอยไปในอากาศ คนท้ังหลายมีเตียงเป็นที่ 5 จะหามเขาไป ร่างกายปรากฏอยู่แต่ป่าช้า กลายเป็น กระดูก มีสีดุจสีนกพิราบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานน้ีคนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกที่
24 พูดว่า มีผล ๆล้วนเป็นคำเปล่าคำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย ทั้งพาลท้ังบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศ สนิ้ เบือ้ งหนา้ แตต่ าย ยอ่ มไมเ่ กดิ \" (ที.สี. (ไทย) 11/96/297-298) อชิตเกสกัมพลเป็นพวก นัตถิกวาที และ อุจเฉทวาที กล่าวว่า ความรู้เกิดมาจากประสาท สัมผัส (Perception) คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ตามทัศนะของอชิตเกสกัมพล จิต ไม่เป็นสิ่งแท้จริง มนั ไม่ไดแ้ ยกตา่ งหากจากกาย แตว่ า่ มนั เกดิ ขนึ้ อันเป็นผลพลอยได้จากการรวมตัวกันของธาตุ 4 คอื ดิน น้ำ ลม ไฟ ซ่งึ ไดส้ ดั สว่ นเท่าน้ัน เมอ่ื วัตถธุ าตทุ งั้ 4 นี้รวมกันเขา้ ก็เกิดขึ้นเปน็ ร่างกาย ความรสู้ กึ นกึ คิดก็เกดิ มีขน้ึ จากเนื้อความข้างบนนี้เราจะเห็นได้ว่า แนวความคิดปรัชญาของอชิตเกสกัมพลนั้นเป็น แนวความคิดแบบสุดข้ัวเป็นพวกวัตถุนิยมหรือสสารนิยมแบบสุด ๆ คล้ายกับลัทธิปรัชญาโลกายัตหรือ จารวาก นิครนถ์นาฏบุตรหรือท่านมหาวีระ นิครนถนาฏบุตร เป็นวรรณะกษัตริย์ เดิมช่ือมหาวีระ วรธมานะบวชในศาสนาเชน ซ่ึงมีมานานแล้ว แยกตวั ไปต้งั ลัทธใิ หม่ เปลอื ยกาย ถอนผมด้วยแปรงตาล ยก ยอ่ งอตั ต กลิ มถานโุ ยค คือการทรมานตนใหล้ ำบากด้วยประการต่าง ๆ ตามประวัติท่ีได้ช่ือว่านิครนถนาฏบุตร ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าท่านเป็นบุตร ของนักฟ้อน แต่ตามความเป็นจริงแล้วท่านเป็นกษัตริย์ในลิจฉวีวงศ์ แคว้นวัชชี มีชีวประวัติคล้าย กับ พระพุทธเจ้ามาก นิครนถนาฏบตุ รหรือเจ้ามหาวีระต่อมาได้กลายมาเป็นผูก้ ่อต้ังศาสนาไชนะหรอื เชน เป็น ศาสนาที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ศาสนาเชนมีศาสดานับเนื่องกันได้ 23 พระองค์ในอดีต ศาสดาทาง ศาสนาเชนเรียกกันว่า ติรถังกร 2 (Tirthankara) หมายถึงวิญญาณท่ีสมบูรณ์ หรือชินะ องค์แรกมีนามว่า \"ฤษภะ\" และองค์ท่ี 24 นับเป็นองค์สุดท้ายชื่อว่า วรธมานะ หรือมหาวีระ ก็เป็นคนเดียวกับนิครนถ์นาฏ บตุ ร และถอื วา่ เปน็ ผกู้ ่อตง้ั ศาสนาเชนและพัฒนาใหเ้ จริญร่งุ เรือง วรธมานะมีช่ืออีกอย่างหนึ่งว่า มหาวีระ ซ่ึงมีเรอื่ งเล่าว่าขณะเยาว์วัย เจ้าชายวรธมานะเสด็จ ประพาสเล่นในอุทยานหลวงกับพวกเพ่ือน ๆ ขณะท่ีกำลังเล่นกีฬากันเพลิน ๆ ช้างพลายตกมันเชือกหน่ึง หลุดออกจากโรงช้างบุกเข้าเขตอุทยานและตรงเข้าทำร้าย เด็กพวกอ่ืนพากันว่ิงหนีเอาตัวรอด แต่เจ้าชาย วรธมานะไม่มชี าติของผู้ขลาด เมื่อเหน็ ช้างเข้ามาใกล้กต็ ้ังสติมั่นยืนตรงอยู่กับท่ีคอยทีอยู่ เม่ือช้างวิ่งเข้ามา ใกล้ตวั เพ่ือจะทำร้าย วรธมานะกระโดดเข้าจับงวงตามวิธีท่ีได้รับฝกึ ฝนมาจากควาญหลวง ข้ึนหลังบังคับขี่ กลับไปถึงโรงช้างมอบใหน้ ายควาญช้างได้ เจ้าชายวรธมานะเสด็จเข้าวงั โดยไมไ่ ด้ตรัสเร่ืองนนั้ แก่ใคร ๆ เลย แต่ควาญช้างผู้เป็นอาจารย์ มองเห็นความกล้าหาญท่ีเด็กคนอื่นไม่สามารถกระทำได้ จึงนำความไปกราบทูลกษัตริย์สิทธารถให้ทรง ทราบ กิตติศัพท์ได้แพร่ กระจายออกไปทั่วคามนิคมถึงความกล้าหาญ ครั้งน้ี เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญของ คนท่ัวไป จึงพร้อมเพรียงกันถวายพระนามใหม่ให้เจ้าชายว่า \"มหาวีระ\" แปลว่า ผู้กล้าหาญที่ย่ิงใหญ่ ก็ เหมือนกับพระมหากษัตริย์ไทยเราเช่น ในหลวงรัชกาลท่ี 5 พระองค์ทรงเป็นท่ีรักย่ิงของปวงชนชาวไทย จงึ ได้รบั ขนานพระนามใหมจ่ ากประชาชนอีกพระนามหนึ่งว่า \"พระปยิ มหาราช\" เปน็ ตน้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 25 เจ้ามหาวีระมีเช้ือชาติความเป็นกษัตริย์เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบเช้ือสายมาจาก กษัตริย์ ศากยวงศ์ ส่วนเจ้ามหาวีระหรือนิครนถ์นาฏบุตรเป็นกษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากลิจฉวีวงศ์ เมือง ไพศาลีในลุ่มแม่น้ำคงคาตอนบน โดยได้รับคำทำนายจากโหราจารย์โดยมีคติเป็น 2 เช่นเดียวกับเจ้าชาย สิทธัตถะในเวลาออกบวช ศาสดาทั้งสองก็เสด็จออกบวชเมื่อพระชนมายุใกล้เคียงกัน พระพุทธเจ้าเสด็จ ออกบวชเมอื่ พระชนมายุ 29 เจา้ มหาวีระออกบวชเม่ืออายุ 30 ปี ชวี ประวตั ิของท่านนคิ รนถน์ าฏบตุ รนน้ั มีความละม้ายคลา้ ยคลึงกับพระพทุ ธเจา้ คือไดม้ ีมเหสี แล้วและทรงเบื่อโลกออกบวช สละโลกาวิสัยแล้วเสด็จออกไปแสวงหาความจริงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ 12 ปี ในท่ีสุดก็ถือว่าได้เป็นผู้หลุดพ้นเป็นอรหันต์ตรัสรูเ้ ป็นสัพพัญญูข้ึนมา แล้วก็ได้บัญญัติศาสนาใช้เวลา 30 ปีเศษสอนสาวกของตนแพร่หลายศาสนาไปในลุ่มแม่น้ำคงคา ยมุนา ในพื้นที่ต่างๆ เช่นเดียวกับ พระพทุ ธเจา้ ท่ที รงบำเพญ็ พทุ ธกิจมา น่าแปลกใจที่ว่าศาสดาท้ัง 2 องค์น้ี ไม่เคยมีโอกาสพบปะสนทนากันเลยในประวัติวรรณคดี บาลีก็กล่าวถึงเสมอว่า ทั้งสองท่านได้ไปอยู่ในท่ีแห่งเดียว จำพรรษาอยู่ใกล้เคียงกัน แต่ว่าก็ไม่เคย พบปะ กนั จัง ๆ สักคราวหน่ึงเลย ที่พบกันส่วนมากก็เป็นว่านิครนถ์นาฏบุตรหรือเจ้ามหาวีระสง่ ลูกศิษย์คนสำคัญ มาโต้วาทกี บั พระพุทธเจ้า มีเร่ืองใหญ่ ๆ ที่มีความสำคัญอยู่2 เรื่อง ในอุปาลิวาทสูตรได้พูดถึงข้อโต้แย้งระหว่าง 2 ศาสนาน้ถี ึงนิครนถ์คนหนง่ึ นิครนถ์คนน้ีมีช่ือว่าทีฆตปัสสีนิครนถ์เปน็ สาวกกำลังสำคัญของศาสดามหาวรี ะ ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะน้ันเจ้ามหาวีระก็จำพรรษาอยู่ในเมืองเดียวกับที่ พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่คือเมืองเวสาลีนั่นเอง ทีฆตปัสสีนิครนถ์ได้เสนอแนวความคิดหลักธรรมอ้างถึง ศาสดาของตนว่า ศาสดาของตนนั้นเม่ือจะบัญญัติโทษ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม บัญญัติว่า โทษทางกายกรรม หนักกว่าโทษทางวจีกรรมและมโนกรรม แต่คำสอนในศาสนาชินะเรียกว่าทัณฑะ คือ กายทัณฑะ วจีทัณฑะ และมโนทณั ฑะ ในบรรดาทัณฑะท้ัง 3 น้ัน กายทณั ฑะ หนักกว่าวจีทัณฑะและมโน ทัณฑะ ทีฆตปัสสีทูลถามพระพุทธองค์ว่าทรงมีความคิดเห็นอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าความเห็น ของเราน้ันมีความเห็นว่า มโนทัณฑะ มโี ทษมากกว่ากาย ทัณฑะและวจีทัณฑะ ทีฆตปัสสีให้พระพุทธองค์ ยืนยนั 3 ครงั้ พระพุทธเจา้ ก็ให้ทีฆตปสั สนี คิ รนถย์ นื ยัน 3 คร้งั วา่ วาทะของทา่ นเปน็ อย่างนัน้ นเี้ ป็นธรรมเนียมของคนในสมัยน้ัน เพราะวา่ กลัวจะมีการกลับคำพูดอีกในภายหลัง หลงั จาก นั้นทฆี ตปสั สีก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรแล้วทูลลากลับ เมอ่ื กลับมาแล้วกไ็ ปเฝ้าศาสดาของตัวคือเจ้ามหาวีระ ก็เล่า ความจริงให้ฟังว่าได้ไปเฝ้าพระสมณโคดมมาได้โต้แย้งความคิดเห็นอย่างน้ี นิครนถ์นาฏบุตรก็ชมเชยว่า ตอบได้ถูกต้อง และย้ำว่ากายทัณฑะมีโทษมากกว่า ขณะน้ันอุบาลีคฤหบดีเป็นอุบาสกของเจ้ามหาวีระน่ัน แหละเปน็ คฤหบดคี นสำคญั มีชอื่ เสียงและร่ำรวยมากเป็นทรี่ จู้ ักของคนท่ัวไปในเมืองเวสาลีได้นั่งฟังอยดู่ ้วย และนิครนถ์นาฏบุตรก็มีประสงค์ท่ีจะส่งอุบาลีคฤหบดีไปโต้แย้งหักล้างวาทะด้วยวาทะกับพระสมณโคดม เพื่อจะทำใหพ้ ระพุทธเจ้ากลบั มาเป็นศิษยข์ องนิครนถ์นาฏบุตรให้ได้
26 ทฆี ตปัสสไี ด้ยินดังนั้นก็ห้ามวา่ อย่าส่งไปเลยท่านอาจารย์ เพราะว่าใครๆ ก็รู้ว่าพระสมณโคดม นั้น ใครที่ไปท้าโต้วาทีก็แพ้กลับมาทุกรายก็ดูอย่างกระผมซิยังไม่กล้าเลย เพราะกลัวว่าแพ้แล้วจะต้อง กลายเป็นลูกศิษย์ไป นิครนถน์ าฏบุตรก็ออกปากห้ามทีฆตปัสสีว่าอย่าพูดมากไปเลย ตรงกันข้ามเรากลับมี ความเห็นว่า ถ้าอุบาลีคฤหบดีศิษย์ของเราไปโต้วาทะกับพระสมณโคดมแล้วจะสามารถทำให้พระสมณโค ดมกลับมาเป็นศิษย์ของเรามากกว่า เพราะเราเชื่อม่ันว่าอุบาลีคฤหบดีมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีปัญญา มาก รู้เรื่องลัทธิตนและลัทธิของผู้อ่ืนเป็นอย่างดี และรู้เรื่องศาสนาต่าง ๆ เป็นอย่างมาก จะสามารถ เอาชนะพระสมณโคดมได้ การโต้วาทะในคร้ังน้ันก็เน้นหนักเร่ืองกรรมคือ กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม ผลของการโต้แย้งกันปรากฏว่า อุบาลีคฤหบดีกลับใจเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทูลขอ ปฏิญญาเปน็ ชาวพุทธ พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามว่าอย่าเลยคฤหบดี อย่ารีบด่วนมานับถอื เราเลย เพราะว่าตัว ท่านนั้นใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของพวกนิครนถ์ท้ังหลายอยู่ การที่คนมีช่ือเสียงอย่างท่านมี ศรัทธาหนักแน่นในลัทธินิครนถ์อย่างท่านมากลับใจเปลี่ยนศาสนาเสียง่าย ๆ ไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้า ทรงยบั ยัง้ ไว้ อุบาลีคฤหบดีพอได้ยินดังนั้นก็ทูลตอบว่า ช่ืนใจเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่เคยฟังเจ้าลัทธิใดท่ี จะมายับย้ังความเลื่อมใสของข้าพระองค์เช่นพระองค์อย่างนี้เลย ถ้าเป็นเจ้าลัทธิอื่นพอรู้ว่าข้าพระองค์จะ เลื่อมใสเท่านั้น เขาจะเที่ยวประกาศตีฆ้องร้องเป่าไปท่ัวเมืองแล้วว่า ท่านผู้น้ัน ๆ กลับใจมานับถือเราแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอาเถอะ อุบาลีท่านไตร่ตรองแล้วจึงทำนะ การที่ท่านมาเปล่ียนใจเปลี่ยนศาสนามา นับถือเราสมควรอยู่หรือ อุบาลีทูลตอบกับพระพุทธเจ้าว่า สมควรอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า เพราะบัดนี้ข้า พระองค์เห็นจริงแล้วว่าคำโฆษณาชวนเชื่อคำเล่าลือเสียๆ หายๆ ท่ีเจ้าลัทธิอื่นโจมตี พระพุทธองค์ว่า พระองค์มีมายาในการกลับใจคน วันนี้ การท่ีข้าพระองค์มาเลื่อมใส ไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ใช้มายาใน การกลับใจคนแต่อย่างใด แต่เกิดความเลื่อมใสในข้อธรรมะท่ีพระองค์ได้ช้ีแจงคำส่ังสอนอันมีเหตุมีผล สามารถใช้ปัญญาไตรต่ รองให้เห็นจริงได้จนข้าพระองค์อับจนเกดิ ปัญญาเลือ่ มใสข้ึนมาเอง เพราะฉะนั้น จึง ขอให้พระองคท์ รงจำขา้ พระองค์ว่าถึง พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เปน็ สรณะตลอดชวี ติ พระพุทธเจ้าตรัสวา่ คฤหบดีเม่ือท่านมีศรทั ธามีความเลือ่ มใสอย่างนี้ก็ตามที แตว่ า่ ตวั ท่านเคย ให้ทานแก่พวกนิครนถ์อย่างไร ก็จงให้อย่างน้ันนะ อุบาลีคฤหบดีทูลตอบวา่ พระองค์ตรัสอย่างน้ี ทำให้ข้า พระองค์เล่ือมใสมากยิ่งข้ึน เมื่อก่อนมีแต่คำโฆษณาทับถมพระพุทธองค์ว่า พระสมณโคดมสอนให้คนทำ ทานแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์เท่านั้นถึงจะได้บุญ ทำบุญทำทานแก่นกั บวชนอกศาสนาแล้วไมไ่ ด้ บุญเลย วันน้ีมาได้ยินได้ฟังกับหูตนเองแล้วย่ิงทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์มากย่ิงขึ้นเป็น ทวีคูณ ตกลงว่าคำโฆษณากล่าวร้ายทับถมท่ีข้าพระองค์ได้ยินมาแต่ก่อนหน้าน้ีล้วนแต่เป็นคำใส่ร้าย ปา้ ยสที ั้งน้ันไมเ่ ป็นเรือ่ งจริงเลย เป็นการพูดของศาสดาเหล่านั้นเกรงวา่ สาวกของตนจะมาเลอื่ มใสพระองค์
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 27 ลาภสักการะก็จะสูญเสียไป มาบัดน้ีมารู้ด้วยตวั เอง ฟังกับหูตัวเองแล้วข้าพระองค์จะทำตามพระพุทธองค์ ทุกอย่างพระพทุ ธเจา้ ข้า จากน้ันอุบาลคี ฤหบดกี จ็ ากไป หลังจากน้ัน ข่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วว่า อุบาลีคฤหบดีลูกศิษย์ของท่านนิครนถ์ นาฏบุตรท่ีมีความมุ่งหวังจะไปหักล้างวาทะด้วยวาทะเพื่อเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ให้ได้ บัดนี้ถูก พระพุทธเจ้ากลบั เอามาเป็นลูกศษิ ยแ์ ลว้ นิครนถ์นาฏบตุ รได้ฟังแลว้ กย็ ังไม่เชื่อ คดิ วา่ เป็นไปไมไ่ ด้ที่ลกู ศษิ ย์ ช้ันเอกของเราท่ีมีความเช่ียวชาญทั้งลัทธิตนและลัทธิของคนอื่นจะไปเป็นลูกศิษย์ของพระสมณโคดม จึง พร้อมด้วยบริวารยกขบวนไปบ้านของอุบาลีคฤหบดี พอถึงบ้านผู้ที่เฝ้าหน้าประตูบ้านคฤหบดีบอกว่า นมิ นต์หยดุ อยทู่ ี่ประตเู รอื นก่อน ถา้ ท่านตอ้ งการข้าว ต้องการน้ำ ต้องการอาหารชนิดใด เราจะไปนำมาให้ ที่หนา้ ประตูเรือน นิครนถ์นาฏบุตรบอกว่าเจ้าไม่รู้หรือว่าเราเป็นใคร เราเป็นศาสดาของนายเจ้ารีบไปตามนาย ของเจ้าออกมาเร็ว ๆ คนเฝ้าประตูก็ไปบอกอุบาลีคฤหบดีออกมา อุบาลีก็เชิญให้เข้ามาในบ้าน ถ้าเป็นวัน อื่น ๆ อุบาลีจะต้องตักน้ำมาล้างเท้าให้นิครนถ์นาฏบุตร ปูลาดอาสนะให้น่ังในที่สูงกว่าตนเอง และ กระทำสามีจิกรรมอัญชลกี รรมต่อนคิ รนถน์ าฏบุตร แต่มาวันนี้ อุบาลีคฤหบดีน่ังอยู่ในทเี่ สมอกันกับนคิ รนถ์ ไม่กระทำส่ิงใด ๆ ทั้งส้ิน และพูดว่า ดูก่อนนคิ รนถ์ นำ้ ก็มีอยู่ อาหารก็มีอยู่ ถ้าท่านปรารถนาจะฉันน้ำก็ฉัน นำ้ ถ้าทา่ นปรารถนาจะฉันขา้ วกจ็ งฉนั ขา้ ว ท่นี ่ังกม็ ีอยเู่ ชญิ น่ัง นิครนถ์นาฏบุตรเห็นการกระทำอย่างนั้นก็โกรธเป็นกำลัง กล่าวว่าอุบาลีท่านลืมคำปฏิญญา ของท่านแล้วหรือ ก่อนท่ีท่านจะจากเราไปท่านสัญญากับเราว่าจะไปหักล้างวาทะด้วยวาทะกับพระสมณ โคดม แต่ทำไมบัดน้ีท่านถึงได้ทำกิริยาหยาบคายกับเราแบบนี้เล่า อุบาลีบอกวา่ ไม่ได้หยาบคายเลยท่านผู้ เจริญ เราได้ทำการปฏิสันถารสมบูรณ์แล้ว นิครนถ์นาฏบุตรถามอีกว่าแล้วเราไม่ได้เป็นศาสดาของท่าน หรือ อุบาลีตอบว่าไม่ใช่ จากนั้นก็ห่มผ้าเฉวียงบ่าแล้วหันหน้าไปทางทิศท่ีพระพุทธเจ้าประทับ เปล่งสดุดี พระพุทธคุณออกมา นิครนถ์นาฏบุตรทนฟังไมไ่ ด้เพราะมีความเสียใจและโกรธแค้นอย่างยิ่งถึงกับอาเจียน เปน็ โลหิตในท่ีนนั้ เดินกลับออกจากเรอื นของคฤหบดีไปในทันที น้ีเป็นเรอ่ื งของสองศาสนาท่ีเป็นอเทวนิยมด้วยกนั ทง้ั คูใ่ นสมัยพุทธกาล บางเรื่องกต็ รงกนั บาง เร่อื งก็ขดั แยง้ กัน ท่ีแยง้ กนั เหมอื นขาวกบั ดำก็คือศาสนาเชน ถึงแม้วา่ จะปฏิเสธพระเวท แตก่ ย็ ังรับรองเรื่อง อตั ตาท่ีเรียกวา่ ชีวาตมัน ส่วนพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอนัตตา ไม่รับรองเร่ืองชีวาตมันน้ีเป็นข้อแตกต่าง ระหวา่ งพระพทุ ธศาสนากับศาสนาเชน ส่วนข้อท่ีตรงกันของศาสนาเชนกับพระพุทธศาสนาก็คือปฏิเสธพระเจ้า (God) ผู้สร้างโลก พระพุทธศาสนาก็ปฏิเสธพระเจา้ ผู้สร้างโลก ศาสนาในโลกมีเพียง 2 ศาสนาเท่าน้ันท่ีปฏิเสธฐานะของพระ เจ้าเป็นผู้สร้างโลก คือพระพุทธศาสนาและศาสนาเชน ศาสนานอกน้ันสอนมีพระเจ้าเปน็ ผู้สร้างโลกทั้งนั้น นคิ รนถน์ าฏบตุ รหรอื เจ้ามหาวีระเผยแพร่ศาสนามอี ายยุ ืนไปถึง 70 ปี และพักเทศนาส่ังสอน คนทั้งหลายอยู่ท่ีเมืองปาวา อยู่ตราบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของตนก่อนเข้าสู่ถึงนิพพาน มหาวีระเรียก
28 สาวกท้ังหลายเข้ามาส่ังสอนเป็นครั้งสุดท้าย อนุญาตให้ศิษย์ทุกคนต้ังปัญหาถาม เพ่ือมิให้มีความเคลือบ แคลงสงสัยใด ๆ ในข้อธรรมของตนให้เหลืออยู่ไดใ้ นภายหลังสาวกคนหน่ึงไดถ้ ามว่า ในบรรดาคำสอนของ พระชินะทั้งปวง คำสอนอะไรถือว่าเป็นคำสอนสำคัญที่สุด มหาวีระตอบว่า อหิงสา เป็นธรรมสำคัญท่ีสุด ในบรรดาคำสอนของเราท้ังหมด และกล่าวต่อไปว่า ต้องไม่ทำร้ายสิ่งท่ีมีชีวิต ทางร่างกาย ทางวาจา และ ทางน้ำใจ อยา่ ฆ่าสตั ว์ท้ังหลายเพอ่ื อาหารของตน อย่าลา่ สตั ว์ อย่ายิงนกตกปลา อย่าฆา่ ร้ินยงุ แม้ว่ามันจะ กัดกินเลือดเนื้อ อย่าทำสงคราม อย่าต่อสู้ ศัตรู อย่าย่ำเหยียบพืชผักใด ๆ เพราะว่า ส่ิงท้ังหลายเหล่านี้มี วิญญาณท้งั สิน้ จุดหมายสูงสุดคือสอนคนให้เข้าถึงนิรวาณหรือเข้าถึงไกวัลยะด้วยเกวลัชญาณ จะเข้าสู่อโลก เปน็ อมตะชัว่ นจิ นิรนั ดร พ้นจากการเวยี นว่ายตายเกิดไปได้ และหลักการปฏบิ ัติที่จะทำตนให้เข้าถงึ นริ วาณ ได้นน้ั มเี พียง 3 ประการ คอื 1. สัมมาญาณ คือความรชู้ อบอนั บุคคลจะไดจ้ ากตรี ถังกร คือศาสดาแหง่ ตนทีไ่ ดส้ ัง่ สอนไว้ 2. สัมมาทสั สนะ คอื ความเหน็ ชอบการเคารพต่อความจริงอาศยั ศรทั ธาต่อพระชนิ เจ้า 3. สัมมาจริต คือความประพฤติชอบ การประพฤติควบคุมตัณหา อารมณ์ ความคิด การพูด เป็นต้น สรุปแล้วเจ้ามหาวีระสอนให้แสวงหาความหลุดพ้น จากสภาวะการเวียนว่ายตายเกิด ด้วย การเว้นจากการประพฤติเบียดเบียนชีวิตทุกชนิด ไม่พูดเท็จ ไม่ถือครองทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวง แม้แต่ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การลักทรัพย์ ให้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครดั นิยมการทรมานตนเองให้ ได้รับ ความลำบากทเี่ รียกกนั ว่าอตั ตกลิ มถานุโยค ดังน้ันคำสอนในขั้นสูงสุดก็ยังถือว่ามีอัตตาอยู่ เรียกว่า ชีวาตมัน แต่ท่ีเหมือนกับ พระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิเสธการสร้างโลกโดยพระเจ้า และถือหลักอหิงสา คือความไม่เบียดเบียนซ่ึงกัน และกนั อยา่ งเข้มงวดอุกฤษฏม์ ากทส่ี ุด สัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นนักบวชประเภทปริพาชก เคยเป็นอาจารย์เก่าของพระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะชอบโตเ้ ถยี ง มวี าทะดิ้นได้ไมต่ ายตัว ตามประวัติแล้วเรยี กว่า สัญชัยเวลัฏฐบุตร เพราะว่า เป็นบุตรของช่างสาน สัญชัยเวลัฏฐบุตรเป็นพวก อมราวิกเขปิกวาที (มีวาทะกล่าวถึงส่ิงต่าง ๆ ซัดส่ายไม่ ตายตัวลื่นแบบปลาไหล) มีลัทธิคัดค้าน ปฏิเสธทุกทฤษฎี บางครั้งสอนจนฟังไม่รู้เรื่อง คือสอนว่า โลกนี้ก็ ไมใ่ ช่ อย่างน้ันก็ไมใ่ ช่ อยา่ งอ่นื กไ็ มใ่ ช่ มิใชม่ ิใช่กม็ ใิ ช่ มีความเหน็ วา่ ไมค่ วรเชอื่ ความคิดเห็นของบุคคลใด ๆ ทงั้ สิน้ เพราะความคิดเห็นเปน็ ส่ิงที่อาจ ผิดพลาดได้ ผู้อยู่ในลัทธิน้ีมักจะใช้คำปฏิเสธเหตุผลของผู้อื่นว่า อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างโน้นก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่อย่างโน้นก็ไม่ใช่ สรุปความว่าสอนลื่นเหมือนปลาไหลไม่ให้ยอมรับ ทรรศนะของผใู้ ดว่าผดิ หรอื ถูก นอกจากครทู ั้ง 6 แลว้ ยังมีนักบวชประเภทต่าง ๆ อีก เฉพาะทส่ี ำคญั ๆ มดี ังน้ี
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 29 1. ฤษี อยู่ป่า บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญทุกรกิริยา ทำยัญพิธี น่ังสาธยายมนต์ตามความถนัดดำรง ชพี โดยอาศยั ผลไม้ เหง้ามัน บางพวกภกิ ขาจารมคี วามเหน็ และขอ้ ปฏิบัตแิ ตกตา่ งกันเปน็ หลายพวก 2. ปริพาชก เป็นครูพเนจร สอนปรัชญาชอบโต้เถียงเหมือนนักปรัชญากรีก ชอบสนทนา 3. อาชวี ก แปลว่า ผเู้ ลย้ี งชพี ชอบ เป็นนกั บญุ เปลือยกาย 4. นิครนถ์ แปลว่า ผู้ปราศจากเครื่องร้อยรัด เป็นนักบวชเปลือยกาย นักโต้ตอบปรัชญา 5. อเจลกะ เป็นนักบวชเปลือยกาย ศิษย์ของปูรณกัสสป มักขลิโคสาล นิครนถนาฏบุตร 6. ชฎิล เป็นดาบสเกล้าผมเป็นมวย เป็นพวกวรรณะพราหมณ์ เช่น อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสส ปะ คยากสั สปะ เป็นต้น สรุปได้ว่า คนในสังคมอินเดียสมัยพุทธกาล นอกจากเช่ือว่าโลกเกิดขึ้นโดยการสร้างของ พระพรหมแล้วยังมีทิฏฐิหรือทฤษฎีปลีกย่อยออกไปอีกมากมาย บางพวกว่าโลกเท่ียง บางพวกว่าไม่เท่ียง บางพวกว่าโลกมีที่ส้ินสุด คือมีขอบเขตจำกัด บางพวกว่าไม่มีที่สิ้นสุดบางพวกว่าโลกหน้ามี คือ หลังจาก ตายไปแล้ว สัตว์ท้ังหลายต้องเกิดอีก บางพวกว่าไม่มีคือตายแล้วสูญ บางพวกว่ามีด้วย ไม่มีด้วย บางพวก ว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ในพวกที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดก็ยังแบ่งไปอีกเป็น 2 พวก คือพวกหนึ่งถือว่าเกิดเป็น อะไรแล้วก็เป็นอย่างน้ันตอ่ ไปทุกชาติไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่น อีกพวกหนึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนแปลง คือ เกิดเป็นอยา่ งนั้นบ้าง อย่างน้ีบ้างไม่แน่นอน ในพวกท่ีเห็นตายแลว้ สูญก็เหมือนกันบางพวกเห็นว่าสูญหมด บางพวกเห็นว่าสูญเฉพาะบางอยา่ ง เชน่ รา่ งกายสูญไป แต่จิตไมส่ ูญเป็นต้น บางพวกเห็นว่าจิตกับร่างกาย เป็นอยา่ งเดียวกนั ไม่แยกจากกันบางพวกเห็นว่าจิตกับร่างกายเป็นคนละอย่าง แยกกนั ได้เพียงแต่อาศยั กัน เหมือนรถกบั คนขับรถ ซง่ึ ทรรศนะเกีย่ วกบั โลกและชีวติ นั้นได้เปน็ ไปอย่างกวา้ งขวางมากได้มีการถกปญั หา เหล่าน้ีกันอย่างจริงจัง เอาแพ้เอาชนะกันจริง ๆ ใครถือทิฎฐิอย่างใดก็สั่งสอนชักชวนผู้อ่ืนให้มีความเห็น และปฏิบตั เิ ช่นน้ันดว้ ยตั้งเปน็ สำนกั หรอื คณะขึ้น ปรากฎในพรหมชาลสูตร ทฆี นิกาย สีลขันธวรรคแห่งพระ สุตตันตปิฎกว่า มีทิฎฐิถึง 62 ประการแต่เม่ือจะกล่าวโดยย่อก็มีท่ีสำคัญอยู่ 6 ลัทธิ คือ 1) อกิริยทิฎฐิ เจ้าลัทธิคือบูรณ กัสสปะ 2) อเหตุกทิฎฐิ เจ้าลัทธคิ ือ มักขลิโคสาล 3) นัตถิกทิฎฐิ และอจุ เฉททิฐิ เจ้าลัทธิ คือ อชิตเกสกัมพล 4) สัสสตทิฎฐิ เจ้าลัทธิ คือ ปกุทธกัจจายนะ 5) อมราวิกเขปิกทิฎฐิ เจ้าลัทธิคือ สัญชัยเวลัฎฐบุตร 6) อัตตกิลมถานุโยคและอเนกานตวาท เจ้าลัทธิคือ นิครนถ์นาฏบุตร หรือท่านศาสดา มหาวรี ะ ศาสดาองคท์ ่ี 24 ของศาสนาเชน นนั่ เอง ลทั ธิท้งั 6 น้ี เป็นศาสนาย่ังยืนมาจนบัดน้ีมีเพียงลัทธิเดียว คือลัทธิของนิครนถนาฎบุตร ท่ีเรา รู้จักกันปัจจุบันว่า ศาสนาเชน ยังมีผู้นับถืออยู่ในอินเดียหลายล้านคน อยู่ในฐานะเป็นศาสนาหน่ึงของ อนิ เดียแต่แพร่ออกจากอนิ เดียไม่ได้ กลา่ วกันว่า เพราะเคร่งครัดเกินไป นักบวชจะขึ้นรถลงเรอื ก็ไม่ได้ตาม ความเป็นจริง ลัทธอิ ีก 5 ลัทธิมีลัทธิของบูรณกัสสปะเป็นต้น แม้จะไม่อยู่ในฐานะเป็นศาสนาอย่างศาสนา เชนก็จริงแต่คนท่ีมีความเชื่อถืออย่างลัทธิท้ัง 5 น้ัน ก็มีประปรายอยู่ทั่วโลกและมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว รวมความในเร่ืองทรรศนะเก่ียวกับโลกและชีวิตของคนสมัยน้ันว่าใครมีความเห็นหรือมีความเล่ือมใสใน
30 ลทั ธิใดก็ดำเนนิ ชวี ิตไปตามลทั ธิความเชื่อถือนนั้ เช่นเดียวกบั คนสมัยน้ี การได้เป็นเจ้าลัทธิ ในสมัยนั้นถือว่า เป็นศักด์ิสงู เทียบด้วยพระเจา้ ทีเดยี ว พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเกิดข้ึนในยุคที่คำสอนของครูทั้ง 6 ได้เแพร่หลายและหยั่งรากลึก ในอนิ เดียสมยั น้ัน หลังจากตรสั รู้แล้วพระพทุ ธองคไ์ ด้ทรงเสดจ็ ออกเผยแผ่หลักธรรมคำสอนเพ่ืออนุเคราะห์ เพ่ือประโยชน์และเพ่ือความสุขแก่พหูชนในยุคน้ัน ซ่ึงคำสอนในพระพุทธศาสนาน้ันสวนทางกับคำสอน ของเจา้ ลัทธทิ ั้ง 6 โดยสิน้ เชิง (ฟ้ืน ดอกบวั , 2554, หนา้ 12-29) สรปุ ใหเ้ ห็นขอ้ แตกต่างดงั นี้ ปูรณกัสสปะ มีความเห็นเป็นอกิริยทิฏฐิ กล่าวคือปฏิเสธกรรมหรือการกระทำ แต่ พระพทุ ธศาสนาสอนให้เช่ือในเรอ่ื งของกรรม ทำสิ่งใดย่อมได้สิง่ นัน้ ทำดไี ดด้ ี ทำช่ัว ได้ชัว่ มักขลิโคสาล มีความเห็นเป็นอเหตุกทิฏฐิ กล่าวคือปฏิเสธกรรมหรือการกระทำ แต่ พระพุทธศาสนาสอนว่าทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตุ จึงจะมีปัจจัยได้ เช่น เม่ือต้องการต้นมะม่วง ย่อมต้อง เพาะหรอื ทาบกงิ่ จากตน้ มะมว่ งก่อน เป็นตน้ อชิตเกสกัมพล มีความเห็นเป็นนัฏฐิกทิฏฐิและอุฏเฉททิฏฐิ กล่าวคือปฏิเสธวิบากกรรมหรือ ผลของกรรม แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อในเร่ืองของวิบากกรรมหรือผลกรรม เช่น เม่ือต้องการผล มะนาว ต้องปลกู มะนาวใหโ้ ตกอ่ น เป็นต้น ปกุทธกัจจายนะ มีความเห็นเป็นสัสสตทิฏฐิ กล่าวคือปฏิเสธความเปล่ียนแปลงทุกสิ่งทุก อย่าง เพราะเช่ือวา่ สภาวะ 7 อยา่ งคือ ดนิ น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ และชีวะ เปน็ ของเทยี่ งแท้ แน่นอนไมแ่ ปร ผัน ยืนยงคงที่ ไม่แตกสลาย ไม่มอี ะไรทำลายได้ แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เช่อื ในหลักอนิจจัง ทกุ ขัง และ อนัตตา สัญชัยเวลัฏฐบุตร มีความเห็นเป็นอมราวิกเขปิกทิฎฐิ กล่าวคือความเห็นที่ไม่แน่นอน ซัด ส่าย ไหลลื่นเหมือนปลาไหล มักปฎิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เห็น ตามความเป็นจริง พูดตามความเป็นจริง ทำตามความเป็นจริง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง สจั ธรรม ดังนั้น ในมุมมองของพระพุทธศาสนามองว่า ความเชอ่ื แบบครทู ้ัง 6 เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็น ผิดเป็นทิฏฐิท่ีมีอันตรายมาก เป็นบาปหนักท่ีสุดเนื่องจากว่า เม่ือมีความเห็นผิดจะนำไปสู่การดำเนินชีวิต หรอื การกระทำทีผ่ ิดพลาดอนื่ ๆ อีกมากมาย นั่นเอง 11. ความสำคญั และคณุ ค่าของศาสนา ศาสนาเป็นศาสตร์วางแบบฉบับชีวิตให้มนุษย์ เป็นหลักพำนักยึดของมนุษย์และเป็นประทีบ ส่องสว่างให้มนุษย์ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง โดยในสังคมโบราณ ศาสนาเป็นโอสถคอยเยียวยา รกั ษาจิตใจของมนุษย์ให้มคี วามแตกต่างจากความเป็นสัตว์ป่า กล่าวคือให้เป็นผู้มีจิตใจสงู เหมาะสมกบั คำ ว่า มนุษย์ ซึ่งแปลวา่ ผมู้ ีใจสูง ในสมัยต่อมา ศาสนาเป็นโซย่ ึดใจของมนุษย์ที่มีกระแสแตกออกไปเป็นกลุ่ม ก้อน เป็นเผ่าพันธุ์ ศานาในสมัยปัจจุบันเป็นสายสัมพันธ์ผูกกลุ่มมนุษย์ให้รวมตัวกันอยู่เป็นประเทศชาติ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 31 และถ้าการศึกษาศาสนาได้ผล จะรวมเป็นพลังอำนาจ เป็นแรงขับเคลื่อนผูกพันประเทศกับประเทศ ชาติ กับชาติ ให้สมัครสมานสามัคคีกันเป็นหนึ่งได้ ในอนาคตหากทุกศาสนารวมกันเป็นหนึ่งได้ โลกมีศาสนา เดียวกัน ความแตกแยกท่ีว่าเป็นคนชาติน้ัน นับถือศาสนาน้ัน จะไม่มี และโลกจะพบความสงบสุขอย่าง แน่นอน (เสถียร พันธรังสี, 2549, หน้า 548-549) ความสำคัญของการนับถือศาสนา ทำให้เกิด ความสัมพันธร์ ะหว่างศาสนากับสังคม และการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เป็นสถาบันท่ีสำคัญของสังคม ช่วย กล่อมเกลาพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม เพราะศาสนามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อสังคมดัง (ประทีป สาวาโย, 2545, หนา้ 4-5) ได้กลา่ วไว้ดังนี้ 1.เป็นศูนย์รวมใจของคนในสังคม ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีกิจกรรมร่วมกัน มีเปา้ หมายเดียวกัน น่ันคือ การพ้นทุกข์ หรือเขา้ ถึงความสุขนิรันดร์ 2. เป็นหลักยึดของจิตใจ ทำให้คนปกครองตนเองได้ในทุกสถาน เพราะมีหลักธรรมช่วย พัฒนาจติ ใจใหร้ ู้จักควบคุมกาย วาจา ใจ ไมใ่ หป้ ระทุษร้ายเบียดเบยี นกัน ไม่ใหห้ ลงไปในอำนาจฝ่ายต่ำ 3. เป็นภูมิปัญญาระดับสูงทางความคิดและมโนธรรมอันลึกซึ้งท่ีนำชีวิตไปสู่จุดหมาย ปลายทางคือ สันติสขุ 4. เป็นสงิ่ ยึดเหน่ยี วจิตใจของมนุษย์ในการดำเนินชวี ิต เมื่อมีปัญหาใด ๆ มากระทบจิตใจ หลกั ธรรมทางศาสนาจะเป็นที่พ่ึงพาใจให้มนุษย์ได้ ทำใหแ้ ก้ปญั หาดว้ ยปัญญาได้ 5. ศาสนาเป็นบ่อเกิดของศิลปวัฒนธรรมของสังคม เป็นมรดกล้ำค่า เป็นความหวัง และ วถิ ที างสดุ ท้ายแห่งความอยรู่ อดของมวลมนษุ ยชาติ 6. เป็นบอ่ เกดิ แหง่ วิทยาการตา่ ง ๆ ทำให้ทรพั ยากรมนุษย์มคี ณุ คา่ ย่ิงขึน้ ดังน้ัน ศาสนาจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมที่มีวิวัฒนาการ ไม่ให้เป็นสังคมป่าเถ่ือน เพราะหลัก สำคัญท่ีสุดของศาสนา คือช่วยทำให้สังคมสงบร่มเย็น ศาสนาทุกศาสนามุ่งเน้นการทำความดี ถ้าทุกคน เป็นคนดี สังคมโดยรวมก็จะสงบเรียบร้อย ประชาชนมีสันติสุข ในที่น้ีจะขอกล่าวถึงเฉพาะศาสนาที่ยังมีผู้ นับถอื อยใู่ นปัจจบุ นั นนั้ วา่ มหี ลกั การทำความดที ่ีสำคัญดงั ต่อไปนี้ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มีหลกั การว่า การทำความดเี พ่ือความดแี ละหนา้ ท่ี ศาสนาพทุ ธ มหี ลักการว่า ควรทำความดเี พ่อื ความดี ศาสนาครสิ ต์ มหี ลักการว่า ทำความดีเพอื่ พระเจา้ ศาสนาอิสลาม มหี ลกั การวา่ ทำความดเี พอ่ื พระเจ้า ศาสนาสกิ ข์ มหี ลักการว่า ทำความดีเพ่อื พระเจ้า ศาสนาเชน มีหลักการวา่ ทำความดีเพื่อสนั ติ ศาสนาเต๋า มีหลกั การวา่ ทำความดเี พื่อการไปรวมอยู่กบั เต๋า ศาสนาขงจ้ือ มหี ลกั การวา่ ทำความดีเพ่ือการไปรวมอยู่กับเต๋า
32 โดยแต่ละศาสนามีจุดหมายปลายทางแตกตา่ งกนั ซ่งึ พอสรุปไดต้ ามท่ี (สุชพี ปุญญานภุ าพ, 2540, หน้า 239-244) ได้กล่าวไว้ดงั น้ี ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู มีจุดหมายคือ ความกลมกลืนเป็นอันหนง่ึ อันเดยี วกนั กับพระพรหม โดยมีวธิ ีปฏิบัติ คือ บำเพ็ญโยคะ ปลูกฝังให้เกิดความรู้เกี่ยวกับพระพรหม และในขณะท่ีมีชีวิตอยู่ในโลกน้ี มีความเช่อื วา่ มีการเวยี นวา่ ยตายเกิด ศาสนาพุทธ มีจุดหมายคือ การเข้าถึงพระนิพพาน คือการดับทุกข์โดยการดับกิเลสอันเป็น ต้นเหตุแห่งความทุกข์ท้ังปวง ไม่กลับมาเกิดอีก โดยมีวิธีปฏิบัติ คือ ปฏิบัติตามอริยมรรค 8 คือทางสาย กลาง ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป โดยให้ละทางอันสดุ โตง่ 2 ทาง ได้แก่ ไมห่ มกมนุ่ ในกาม เรียกวา่ กามสุขลั ลิ กานุโยค และไม่หมกมุ่นในการทรมานกาย เรียกว่า อตฺตกิลมถานุโยค ซึ่งอริยมรรค 8 ประกอบด้วย 1) ความเห็นชอบ 2) ความดำริชอบ 3) การเจรจาชอบ 4) การกระทำชอบ 5) การเล้ียงชีพชอบ 6) ความ เพียรชอบ 7) การตั้งสติชอบ 8) การต้ังมั่นชอบ โดยข้อ1-2 จัดเป็นหลักการทางปัญญา ข้อ 3-5 จัดเป็น หลักการทางศีล และขอ้ 6-8 จัดเป็นหลักการทางสมาธิ และในขณะมีชีวิตอยู่ในโลกน้ีมีความเชอื่ การเวียน ว่ายตายเกดิ เรื่อยไปจนกวา่ จะเข้าถงึ พระนิพพาน คือ เช่อื ในกฎของวัฏฏสงสาร ศาสนาคริสต์ มีจุดหมายคือ การเข้าถึงสวรรค์อยู่กับพระเจ้า โดยมีวิธีปฏิบัติ คือ ทำตาม บัญญัติของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นบัญญัติ 10 ประการ หรือย่อแล้วเหลือ 6 ข้อบ้าง 5 ข้อบ้าง หรือ 2 ข้อ บ้าง ตามที่พระเยซูได้ย่อลงจากบัญญัติ 10 ประการนั้น และเพิ่มเติมอีกข้อหน่ึงคือให้ทานแก่คนอนาถา และศาสนาคริสตม์ ีความเช่ือวา่ การเกิดมีเพียงครั้งเดยี ว หลังจากตายแล้วจะต้องรอการพิพากษาจากพระ เจา้ ในวนั พิพากษา ศาสนาอสิ ลาม มีจุดหมายคือ การเข้าถงึ สวรรค์อยู่กับพระเจา้ โดยมีวธิ ีปฏิบัติ คือ 1) มีความ เช่ือศรัทธาในพระอัลละห์ และทตู ของพระองค์ คอื พระบมี หมดั 2) ทำละหมาดคือสวดอ้อนวอนหันหนา้ ไป ทางเมืองเมกกะ 3) ให้ทาน 4) อดอาหารเวลากลางวันในเดือนระมะดานหรือรอมฎอม 5) จาริกไปยงั นคร เมกกะ และมคี วามเชอ่ื ว่า การเกดิ มีเพยี งคร้งั เดยี ว เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ ศาสนาสิกข์ มีจุดหมายคือ การกลมกลืนเข้ากับชีวิตของพระเจ้า หรือได้รับพระมหากรุณา จากพระเจ้า โดยมีวิธีปฏิบัติ คือ บูชาพระเจ้า ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และเพ่งพระนามของพระเจ้า และมีความเชอ่ื ว่า มกี ารเกิดหลายคร้ัง มกี ารเวยี นว่ายตายเกิด ศาสนาเชน มีจุดหมายคือ โมกษะ กล่าวคือความหลุดพ้นจากเคร่ืองผูก คือกรรม ได้ช่ือว่า สิทธะ หรือ ผู้สำเร็จ เป็นผู่ไม่มีชั้นวรรณะ ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนต่อกล่ิน ปราศจากความรู้สึกเรื่องรส และเวทนา ไม่มีรูป ไม่มีร่ายกาย ไม่มีกรรม ไม่มีความหิว ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจและความดี ใจ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เสวยความสงบสุขอันหาท่ีสุดมิได้ โดยมีวิธีปฏิบัติ คือ การบำเพ็ญพรตหรือตบะ ต้งั แต่อนพุ รต 5 ขอ้ จนถงึ มหาพรต 27 ขอ้
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 33 ศาสนาเต๋า มีจุดหมายคือ เต๋า คือเข้าถึงความเป็นเต๋าหรือมรรคา หรือทางไปสู่ความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันกับความลับของธรรมชาติ โดยมีวิธีปฏิบัติคือ บำเพ็ญตนเป็นคนสงบระงับ ครองชีวิต ในทางทีก่ ลมกลืนกบั ธรรมชาติ และมคี วามเชอื่ วา่ การเกดิ มเี พียงครั้งเดยี ว ศาสนาขงจื้อ มีจุดหมายคือ เทียน หรือสวรรค์ โดยมีวิธีปฏิบัติคือ ต้ังม่ันในคุณธรรมของ ศาสนา โดยมีจริยธรรมทางกาย วาใจ ใจครบถ้วน ตายไปจะเป็นวิญญาณฝ่ายชอบท่ีเข้าถึงสวรรค์ได้ใน ท่ีสุด และผู้เป็นประมุขควรทำตัวให้ดีเป็นตัวอย่าง และมีความเช่ือว่า การเกิดมีเพียงคร้ังเดียว แต่ที่มีการ สอนให้บูชาบรรพบุรษุ เพราะเช่ือว่าผตู้ ายไปแล้วยังมชี ีวติ อยใู่ นฐานะของวญิ ญาณ นั่นเอง 12. สรุปท้ายบท โลกทัศน์ของศาสนาก่อนพุทธกาลเป็นมุมมองหรือทัศนะท่ีมีต่อความเชื่อในขณะท่ีมีชีวิตอยู่ คือโลกน้ีและชีวิตหลังความตาย นั่นก็คือ โลกหน้า ซ่ึงแต่ละศาสนาล้วนมีมุมมองที่คล้ายและแตกต่างกัน ออกไปตามคำสอนของศาสดานั้น ๆ ซ่ึงมีจุดหมายปลายทางแตกต่างกันออกไปที่พอสรุปได้คือ หากเป็น ศาสนาเทวนิยม คือศาสนาที่เช่ือว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ดลบันดาลสรรพส่ิงในโลกนี้ให้เป็นดังท่ี พระองค์ประสงค์ ไม่มีใครตา้ นทานได้ ไม่ว่าจะนับถือเทพเจา้ องค์เดียวหรือหลายองค์ก็ตาม ศาสนาเหล่าน้ี จะมงุ่ ปฏิบัตเิ พ่ือแสดงความภักดีต่อพระเจ้า ศรัทธาในพระเจ้า ทำให้พระเจา้ พึงพอใจ หา้ มสงสัยในพระเจ้า สวดอ้อนวอน สรรเสริญพระเจ้า เพราะมีจุดมุ่งหมายคือได้อยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ หรือเป็นอันหน่ึงอัน เดียวกันกับพระเจ้า ส่วนศาสนาอเทวนิยม คือศาสนาที่ไม่เช่ือว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เป็นต้น มีความ เชื่อในการกระทำของตนเป็นสำคัญ จะทำส่ิงใดให้สำเร็จได้ ต้องมีความรักหรือพอใจในสิ่งท่ีทำ มีความ เพยี รพยายามลงมอื ทำด้วยสตแิ ละปญั ญาท่มี ี ศกึ ษาค้นคว้าหาวธิ ีการ ทฤษฎี องค์ความรทู้ ถ่ี ูกตอ้ ง เอาใจใส่ หมั่นพจิ ารณาใตร่ตรองด้วยปัญญา พระเจา้ ไม่อาจช่วยดลบันดาลให้ประสบผลสำเร็จได้ ถ้าเจ้าตัวไม่ลงมือ ทำ เปรียบเสมือนบุคคลรับประทานอาหาร บุคคลนนั้ จะอิ่มเอง จะไปอิ่มท้องคนอ่นื ไม่ได้ ดงั นั้น เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแต่ละศาสนาแล้วทำให้ทราบว่า โลกทัศน์ ของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาเทวนิยม หรอื อเทวนิยม ล้วนมุ่งเข้าถึงความสขุ นริ ันดร์ แต่อาจแตกต่างกัน ออกไปตามคำสอนของแต่ละศาสนา บางศาสนาอาจมงุ่ ให้เข้าถึงความสขุ นัน้ ด้วยการได้อยู่กบั พระเจ้าหรือ เป็นอนั หนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าในสวรรค์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมบ้างในพรหมโลก เป็นเทพ เจ้าบ้าง บางศาสนาอาจมุ่งให้เข้าถึงความสุขน้ันด้วยการเข้าถึงโมกษะ เต๋า นิพพาน หรือเรียกโดยรวมว่า ความหลุดพ้นจากทุกข์ ด้วยวิธีการปฏิบัติตามหลักคำสอนในศาสนาน้ัน ๆ ท้ังนี้ทั้งนั้น หากทุกศาสนามุ่ง ปฏบิ ัตติ ามหลักคำสอนศาสนาของตน ไมเ่ บียดเบียน ไม่มุง่ ร้าย ไม่โจมตี ไม่ประทุษร้าย ไม่กระทำการใด ๆ ท่เี ป็นการละเมิดศาสนา อ่นื ๆ มีความเคารพในความเชื่อ สิทธิและความศรทั ธาของแต่ละศาสนา โลกจะ พบสนั ติสุขไดอ้ ย่างงา่ ยดาย
34 คำถามท้ายบท 1. บอกความแตกต่างระหวา่ งคำวา่ “ศาสนา” กบั “Religion” อภปิ รายพอสงั เขป 2. ศาสนากับลัทธิมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร อธิบายประเด็นท่ีนักศึกษามองว่า สำคัญทีส่ ุด 3 ประเดน็ ? 3. ศาสนากับปรัชญามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร สรุปประเด็นตามทัศนะของ นกั ศึกษา? 4. บอกวิวัฒนาการของศาสนามาโดยลำดับ สรุปประเภทของศาสนา และบอกจุดมุ่งหมาย ของศาสนาท่ยี ังมีผ้นู บั ถืออยใู่ นปัจจุบนั วา่ มคี วามเหมือนหรือแตกตา่ งกนั อย่างไร? 5. ตามทัศนะของนกั ศึกษาศาสนามีความสำคัญและคุณค่าต่อสงั คมอย่างไร อภิปราย? 6. ตามมุมมองของนักศึกษา หากนำหลักความเชื่อของลัทธิจารวาก อภิปรัชญา ปรัชญาการ ดำเนนิ ชีวิต และโมกษะ มาปฏบิ ัติ จะเกดิ ผลดหี รอื ผลเสียตอ่ ชวี ติ และสงั คมอยา่ งไร จงวจิ ารณพ์ อสังเขป? 7. จงวิจารณ์เปรียบเทียบลัทธิของครูท้ัง 6 กับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาว่ามีความ เหมือนหรอื แตกต่างกันอย่างไร? 8. ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเร่ืองวรรณะ 4 ว่ามีลักษณะอย่างไร และคำว่า “จัณฑาล” ต่าง จากวรรณะทั้ง 4 อย่างไร สรุปประเดน็ ตามความเข้าใจของนกั ศึกษา
เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) โดยสดุ ใจ ภกู งลี 35 เอกสารอา้ งอิงประจำบทที่ 1 กัลยาณมิตรเพื่อนแท้สำหรับคุณ. (2559, 23 มิถุนายน). ศาสนา. สืบค้น 21 ตุลาคม 2559, จาก http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12496. ณัฐพงษ์ สังข์กล่ินหอม. (ม.ป.ป.). มูลเหตุการณ์ เกิดศาสนา. สืบค้น 2 เมษายน 2559, จาก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati เดอื น คำด.ี (2541). ศาสนศาสตร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ประทปี สาวาโย. (2545). สบิ เอด็ ศาสนาของโลก. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (ม.ป.ป.). ปรัชญา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://www.royin.go.th/dictionary/ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2558). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พิมพ์คร้ังที่ 30). กรุงเทพฯ: มลู นิธิธรรมทานกศุ ลจิต. พระมหาสมศักดิ์ ญาณโพโธ. (2514, 27 กุมภาพันธ์). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://palungjit.org/threads/ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา-เถร วาท-มหายาน-พระมหาสมศกั ด-์ิ ญาณโพโธ.75562/ พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ. (ม.ป.ป.). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. สืบค้น 22 พฤศจิกายน 2560, จาก http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud1-2.html ฟนื้ ดอกบัว. (2549). ศาสนาเปรียบเทยี บ. (พิมพ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพฯ : บรู พาสาส์น. ฟน้ื ดอกบัว. (2554). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเทพฯ : ศลิ ปาบรรณาคาร. มหามกุฏราชวิทยาลัย. (2557). พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล. (พิมพ์ครั้งที่ 8). นครปฐม: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. วิจิตรา ขอนยาง. (2532 ). การศึกษาประเพณีจากวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน. (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒมหาสารคาม). สขุ พฒั น์ อนนทจ์ ารย์. (2550). ศาสนาเปรียบเทียบ. ขอนแกน่ : คลงั นานาวทิ ยา. สชุ ีพ ปุญญานภุ าพ. (2540). ศาสนาเปรยี บเทยี บ. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 4). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ. (2541). ประวตั ิศาสตรศ์ าสนา. กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พ์รวมสาส์น. สุเมธ เมธาวิทยกูล. (2532). ศาสนาเปรียบเทียบ . (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พโ์ อ.เอส. พริ้นต้ิง เฮา้ ส์ . เสถียร พนั ธรงั ษี. (2549). ศาสนาเปรียบเทยี บ. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 10). กรงุ เทพฯ: สุขภาพใจ. เสถยี ร พนั ธรังสี. (2521). ศาสนาโบราณ. กรุงเทพฯ : รงุ่ เรอ่ื งธรรม. Cambrigde dictionay. (ม .ป .ป .). Philosophy. สื บ ค้ น 2 2 พ ฤ ศ จิ ก า ย น 2 5 6 0 , จ า ก https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/doctrine.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331