Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน "สมถะ วิปัสสะนา"

Description: พุทธวจน "สมถะ วิปัสสะนา"

Search

Read the Text Version

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 379



ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 381

(ในกรณแี หง่ การสนิ้ อาสวะ เพราะอาศยั วญิ ญาณญั จายตนะบา้ ง เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง ก็มีคำาอธิบายท่ีตรัสไว้โดยทำานอง เดียวกันกับในกรณแี หง่ อากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทกุ ตัวคำาพดู ทัง้ ใน ส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ช่ือแห่งสมาธิเท่าน้ัน ผู้ศึกษาพึง เทียบเคียงได้เอง คร้ันตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบ แล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปวา่ ). 2 1 1. ฌายภี กิ ษ ุ คอื ภกิ ษผุ เู้ พง่ อย ู่ -ผรู้ วบรวม 382

อานาปานสติ ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา 151 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑–๑๓๑๓. อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำาให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ เม่ือหายใจเข้ายาว รู้พร้อม เม่ือหายใจเข้าส้ัน ทำา เฉพาะซงึ่ กายทงั้ ปวง 383 กายสงั ขารใหร้ าำ งบั อยู่

เฉพาะซึง่ ปีติ รู้พร้อม เฉพาะซ่ึงสุข รู้พร้อม เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร รู้พร้อม จิตตสังขารให้รำางับอยู่ เฉพาะซ่ึงจิต ทำา ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ อยู่ รู้พร้อม ตง้ั มน่ั อยู่ ทำาจิต ทำาจิตให้ 384

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปสั สนา ปลอ่ ยอยู่ ทำาจิตให้ ความไมเ่ ท่ียงอยเู่ ป็นประจาำ เห็นซึ่ง ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจาำ เห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจาำ เห็นซ่ึง ความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจาำ เห็นซ่ึง อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทาำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ่ อรหตั ตผลในปจั จุบัน อนาคามี. 385



ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา เจรญิ อานาปานสติ โพชฌงค์ ๗ เปน็ เหตใุ หส้ ตปิ ฏั ฐาน ๔ วชิ ชาและวมิ ตุ ตบิ รบิ รู ณ์ 152 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒-๑๔๐๓. 77 อานาปานสตสิ มาธิน้แี ล เปน็ ธรรม อันเอก ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำาให้มากแล้ว ย่อมทำา สติปฏั ฐานทงั้ ๔ ใหบ้ รบิ ูรณ์ สตปิ ัฏฐานท้ัง ๔ อันบคุ คล เจรญิ แลว้ ทาำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มทาำ โพชฌงคท์ งั้ ๗ ใหบ้ รบิ รู ณ์ โพชฌงคท์ ง้ั ๗ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ทาำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ ม ทำาวชิ ชาและวิมุตตใิ ห้บริบรู ณ์ได้. 387

เมื่อหายใจเข้ายาว เมอื่ หายใจเขา้ สน้ั รพู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ กายทง้ั ปวง ทาำ กายสงั ขารให้รำางับ ในกายอยู่เป็นประจาำ เปน็ ผเู้ หน็ กาย ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก วา่ เปน็ กาย อันหน่ึงๆ ในกายท้ังหลาย รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงปีติ 388

ปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา รพู้ รอ้ มเฉพาะซงึ่ สขุ รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร ทาำ จติ ตสงั ขารใหร้ าำ งบั เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจาำ เป็นผู้เห็น การทำาในใจเป็นอย่างดีต่อ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก วา่ เปน็ เวทนาอนั หนง่ึ ๆ ในเวทนาทง้ั หลาย รูพ้ ร้อมเฉพาะซงึ่ จิต 389

ทำาจิตให้ปราโมทยย์ ง่ิ ทาำ จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่ ทาำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั เราไมก่ ลา่ วอานาปานสติ วา่ เปน็ สง่ิ ทม่ี ไี ดแ้ กบ่ คุ คลผมู้ สี ตอิ นั ลมื หลงแลว้ ไมม่ สี มั ปชญั ญะ เหน็ ซง่ึ ความไมเ่ ทย่ี งอยเู่ ปน็ ประจาำ อยเู่ ปน็ ประจาำ เหน็ ซงึ่ ความจางคลาย 390

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปสั สนา เหน็ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจาำ สลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจาำ เห็นซึ่งความ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจาำ เป็นผู้เห็น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอยา่ ง ดแี ลว้ เพราะเธอเหน็ การละอภชิ ฌาและโทมนสั ทง้ั หลายของ เธอนั้นด้วยปัญญา อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำาให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมทำาสติปัฏฐานท้ัง ๔ ให้ บริบรู ณไ์ ด.้ 391

เหน็ กายในกาย สมยั นน้ั สตทิ ภ่ี กิ ษเุ ขา้ ไป ตง้ั ไวแ้ ลว้ กเ็ ป็นธรรมชาติไมล่ มื หลง. สติสัมโพชฌงค์ ภิกษุน้ัน เม่ือเป็นผู้มีสติ เชน่ นนั้ อยู่ ยอ่ มทาำ การเลอื ก ยอ่ มทาำ การเฟน้ ยอ่ มทาำ การ ใครค่ รวญซึง่ ธรรมนนั้ ด้วยปัญญา ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ ภิกษุน้ัน เม่ือเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซ่ึงธรรมน้ัน 392

ปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา ด้วยปัญญา ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ช่ือว่าเป็นธรรม อันภกิ ษนุ ้ันปรารภแล้ว วิริยสัมโพชฌงค์ ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มี ความเพยี รอนั ปรารภแลว้ ปตี อิ นั ไมอ่ งิ อามสิ กเ็ กดิ ขน้ึ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มใี จประกอบ ด้วยปตี ิ แมก้ ายก็รำางับ แมจ้ ติ ก็รำางับ สมั โพชฌงค์ ปัสสัทธิ- 393

ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มี กายอนั ราำ งบั แลว้ มคี วามสขุ อยู่ จติ ยอ่ มตง้ั มน่ั สมาธสิ มั โพชฌงค์ ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มเปน็ ผเู้ ขา้ ไป เพง่ เฉพาะซง่ึ จติ อนั ตง้ั มน่ั แลว้ อยา่ งนนั้ เป็นอยา่ งดี สมั โพชฌงค์ อเุ บกขา- ในเวทนาท้ังหลาย เห็นเวทนา สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปต้ังไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติ ไมล่ ืมหลง 394

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา สติสัมโพชฌงค์ (ตอ่ ไปน้ี มขี อ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณขี องผเู้ หน็ กายในกาย ผอู้ า่ นพงึ เทยี บเคยี งไดเ้ อง). ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจาำ สมยั นนั้ สตขิ องภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไป ตง้ั ไวแ้ ลว้ กเ็ ปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สติสัมโพชฌงค์ (ตอ่ ไปน้ี มขี อ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณขี องผเู้ หน็ กายในกาย ผอู้ า่ นพงึ เทยี บเคยี งไดเ้ อง). 395

ธรรมท้ังหลาย ผู้เห็นธรรมใน สมัยน้ัน สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติ ไม่ลืมหลง สตสิ มั โพชฌงค์ (ตอ่ ไปน้ี มขี อ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณขี องผเู้ หน็ กายในกาย ผอู้ า่ นพงึ เทยี บเคยี งไดเ้ อง). โพชฌงค์ สติสัม- 396

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปสั สนา ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ปสั สัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ 7 397

สญั ญา 10 ประการ ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา 153 -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๑๒/๕๖. อสภุ สญั ญา มรณสญั ญา อาหารเรปฏกิ ลู สญั ญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อนจิ จสญั ญา อนิจเจทุกขสัญญา ทกุ เขอนตั ตสญั ญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นโิ รธสญั ญา 398

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปัสสนา ลกั ษณะของสญั ญา 10 ประการ 15๔ -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๑๕-๑๒๐/๖๐. เป็นฐานะที่จะมีได ย่อมพิจารณา เห็นดังนี้ว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารท้ังหลายไม่เท่ียง วิญญาณไม่เท่ียง อนจิ จสญั ญา 399

ย่อมพิจารณา เหน็ โดยความเปน็ อนตั ตาในอายตนะทงั้ หลาย ทง้ั ภายใน และภายนอก อนัตตสญั ญา ในกายน้ี ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งาม อสภุ สญั ญา 400

ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา เป็นโทษในกายน ย่อมพิจารณาเห็นโดยความ อาทีนวสัญญา ย่อมทำาใหถ้ งึ ความไมม่ ีซ่ึงกามวิตกอนั เกิดข้นึ แล้ว ย่อมทำาให้ถึงความไม่มีซ่ึงพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว 401

ยอ่ มใหถ้ งึ ความไมม่ ซี ง่ึ วหิ งิ สาวติ กอนั เกดิ ขนึ้ แลว้ ยอ่ มใหถ้ งึ ความไมม่ ซี งึ่ อกศุ ลธรรมทงั้ หลายอนั ชว่ั ชา้ อนั เกดิ ขน้ึ แลว้ เกดิ ขึ้นแล้ว ปหานสญั ญา ธรรมเป็นท่ีสงบระงับ แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนซ่ึงอุปธิทั้งปวง เป็นท่ี ส้ินไปแห่งตัณหา เป็นความคลายกำาหนัด เป็นนิพพาน วิราคสญั ญา ธรรมเป็นที่สงบระงับ แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่ สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความดับ เป็นนิพพาน นโิ รธสญั ญา ละอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุ 402

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา ในการต้ังม่ัน ในการถือมั่น และเป็นอนุสัย แห่งจิต เธอย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ยอ่ มอดึ อดั ยอ่ มระอา ยอ่ มเกลยี ดชงั ต่อสังขารทั้งปวง สัพพสังขาเรสุ- อนิจจสัญญา เม่ือหายใจเข้ายาว เม่ือหายใจเข้าส้ัน รพู้ รอ้ มเฉพาะซงึ่ กายทงั้ ปวง รำางบั อยู่ ทำากายสังขารให้ รู้ 403

พรอ้ มเฉพาะซง่ึ ปตี ิ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร ทำาจิตตสังขารให้รำางับอยู่ รพู้ รอ้ มเฉพาะซงึ่ จติ ทาำ จติ ใหป้ ราโมทย์ ย่ิงอยู่ ทำาจิตใหต้ ง้ั มน่ั อยู่ ทาำ จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่ เห็น ซึ่งความไม่เท่ียงอยู่เป็นประจำา 404

ปฏบิ ัติ สมถะ วปิ สั สนา เป็นประจำา เหน็ ซงึ่ ความจางคลายอยู่ เห็นซึ่งความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจาำ สลัดคืนอยู่เป็นประจำา เห็นซ่ึงความ อานาปานสต ถ้าเธอพึงเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์แล้ว กล่าวสัญญา 10 ประการน้ีแก่เธอ ข้อท่ีอาพาธของ ภิกษุคิริมานนท์จะพึงสงบระงับไป เพราะได้ฟังสัญญา 10 ประการนี้ นน่ั เป็นฐานะท่ีจะมีได ลำาดับน้ันแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ ในสาำ นกั ของพระผมู้ พี ระภาคแลว้ ไดเ้ ขา้ ไปหาทา่ นพระคริ มิ านนทย์ งั ทอ่ี ยู่ ครั้นแลว้ ได้กลา่ วสญั ญา ๑๐ ประการแกท่ ่านพระคริ มิ านนท์ คร้ังนน้ั แล อาพาธนนั้ ของทา่ นพระคริ มิ านนทส์ งบระงบั โดยพลนั เพราะไดฟ้ งั สญั ญา ๑๐ ประการน้ี ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธน้ัน ก็แล อาพาธนั้น เปน็ โรคอันทา่ นพระคิริมานนทล์ ะได้แล้ว ดว้ ยประการนั้นแล. 405

ปฏบิ ัติ สมถะ วปิ ัสสนา อานสิ งสแ์ หง่ การภาวนาแบบต่างๆ 155 -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๔๐/๑๔๕. เจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได เจรญิ กรณุ าภาวนาอยู่ จกั ละวหิ งิ สา ได เจรญิ มทุ ติ าภาวนาอยู่ จกั ละอรต ได้ เจรญิ อเุ บกขาภาวนาอยู่ จกั ละปฏฆิ ะ ได เจรญิ อสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได เจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละอัสมิมานะ ได้ 406

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา ปฏิปทาทเ่ี ป็นสัปปายะ 156 แก่การบรรลุนิพพาน (นัยท่ี 1) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๖๗/๒๓๒. เห็นวา่ จกั ษไุ มเ่ ท่ยี ง รูปทง้ั หลายไม่เท่ียง จกั ษวุ ิญญาณไม่เทย่ี ง จกั ษสุ มั ผสั ไมเ่ ทย่ี ง แมส้ ขุ เวทนา ทกุ ขเ์ วทนา หรอื อทกุ ขม- สขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะจกั ษสุ มั ผสั เปน็ ปจั จยั กไ็ มเ่ ทย่ี ง (ในกรณีแห่งธรรมหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกันทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ช่ือ เทา่ นน้ั ). นิพพาน นี้เป็นปฏิปทาที่เป็นสัปปายะแก่ 407

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา ปฏิปทาทีเ่ ป็นสัปปายะ 15๗ แก่การบรรลนุ พิ พาน (นยั ที่ 2) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๖๘/๒๓๓. เห็นว่า จักษุเป็นทุกข์ รปู เปน็ ทกุ ข์ จกั ษวุ ญิ ญาณเปน็ ทกุ ข์ จกั ษสุ มั ผสั เปน็ ทกุ ข์ แมส้ ขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะจกั ษสุ มั ผัสเป็นปจั จยั กเ็ ปน็ ทกุ ข (ในกรณีแห่งธรรมหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกันทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อ เท่านน้ั ). นิพพาน นี้แล ปฏิปทาท่ีเป็นสัปปายะแก่ 408

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา ปฏปิ ทาทเ่ี ป็นสปั ปายะ 158 แกก่ ารบรรลนุ ิพพาน (นัยที่ 3) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๖๘/๒๓๔. เห็นวา่ จกั ษเุ ป็นอนัตตา รปู เปน็ อนตั ตา จกั ษวุ ญิ ญาณเปน็ อนตั ตา จกั ษสุ มั ผสั เปน็ อนตั ตา แมส้ ขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเี่ กดิ ข้ึนเพราะจักษุสมั ผสั เป็นปัจจัย กเ็ ปน็ อนตั ตา (ในกรณีแห่งธรรมหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกันทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อ เทา่ นน้ั ). นิพพาน นี้แล ปฏิปทาท่ีเป็นสัปปายะแก่ 409

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา ปฏปิ ทาที่เป็นสัปปายะ 159 แกก่ ารบรรลุนพิ พาน (นัยที่ ๔) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๖๙/๒๓๕. ไม่เท่ยี ง พระเจา้ ข้า. เป็นทกุ ข์ พระเจ้าขา้ . ไม่ควรเหน็ อย่างนัน้ พระเจ้าขา้ . (ตอ่ ไปไดต้ รสั ถามและภกิ ษตุ อบ เกย่ี วกบั รปู … จกั ษวุ ญิ ญาณ … จักษุสัมผัส … เวทนาอันเกิดจากจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ซ่ึงมีข้อความ อยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ จกั ษนุ น้ั ทกุ ประการตา่ งกนั แตช่ อ่ื เทา่ นน้ั . 410

ปฏบิ ัติ สมถะ วปิ ัสสนา เมื่อตรัสข้อความในกรณีแห่งธรรมหมวดจักษุ จบลงดังนี้แล้ว ได้ตรัสข้อความในกรณีแห่งธรรมหมวดโสตะ หมวดฆานะ หมวดชิวหา หมวดกายะ และหมวดมนะ ต่อไปอีก ซึ่งมีข้อความท่ีตรสั อยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ ธรรมหมวดจกั ษนุ น้ั ทกุ ประการ ตา่ งกนั แตเ่ พยี งชอ่ื เทา่ นน้ั ผศู้ กึ ษาพงึ เทยี บเคยี งไดเ้ อง). อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เหน็ อยอู่ ยา่ งน้ี ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในรูป ย่อม เบอื่ หนา่ ยแมใ้ นจกั ษวุ ญิ ญาณ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นจกั ษ-ุ สมั ผสั แมใ้ นสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ที่เกดิ ขน้ึ เพราะจกั ษสุ มั ผัสเปน็ ปัจจัย (ในกรณแี หง่ ธรรมหมวดโสตะ ฆานะ ชวิ หา กายะ มนะ กไ็ ดต้ รสั ตอ่ ไปอกี โดยนยั อยา่ งเดยี วกนั กบั กรณแี หง่ อายตนกิ ธรรมหมวดจกั ษนุ )้ี นพิ พาน น้ีแล ปฏิปทาท่ีเป็นสัปปายะแก่ 411

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา 160ธรรมโดยยอ่ เพอ่ื การหลดุ พน้ (นยั ท่ี 1) -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๒๘-๒๒๙/๓๖๔-๓๖๕. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองคข์ อโอกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ซึ่งเมื่อข้าพระองค์ได้ฟังแล้วจะ เปน็ ผหู้ ลกี ออกผเู้ ดยี ว เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร มใี จเดด็ เดย่ี วอยเู่ ถดิ . ไมเ่ ที่ยง พระเจ้าขา้ . เปน็ ทกุ ข์ พระเจ้าขา้ . ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจา้ ขา้ . รปู ทง้ั หมดนน้ั 412

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปสั สนา เธอพงึ เหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนวี้ า่ นัน่ ไมใ่ ชข่ องเรา ไม่ใช่เปน็ เรา ไม่ใชต่ วั ตนของเรา (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีการตรัสถาม และการทลู ตอบ ซง่ึ ไดต้ รสั อยา่ งเดยี วกนั ทกุ ตวั อกั ษร กบั ในกรณแี หง่ รปู ตา่ งกันแต่เพียงชื่อแหง่ ขันธ์แตล่ ะขนั ธ์เท่าน้ัน). อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างน้ี ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นรปู แมใ้ นเวทนา แมใ้ นสญั ญา แมใ้ น สงั ขาร แม้ในวญิ ญาณ เมอื่ เบ่อื หนา่ ย ยอ่ มคลายกำาหนดั เพราะคลายกำาหนัด จึงหลุดพ้น เมือ่ หลุดพ้นแล้ว ยอ่ มมี ญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติส้ินแล้ว พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ กจิ ทคี่ วรทาำ ไดท้ าำ เสรจ็ แลว้ กจิ อนื่ เพื่อความเป็นอยา่ งนีม้ ิไดม้ ี 413

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา 161ธรรมโดยยอ่ เพอ่ื การหลดุ พน้ (นยั ที่ 2) -บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๘๓-๘๔/๔๙. เม่ือเธอเห็นจักเป็นเพียง สักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นเพียงสักว่าฟัง เมื่อรู้สึกจัก เป็นเพียงสักว่ารู้สึก เม่ือรู้แจ้งจักเป็นเพียงสักว่ารู้แจ้ง ในกาลใด เธอไม่มี เธอก็ไม่ปรากฏในโลกน้ี ไมป่ รากฏในโลกอน่ื ไมป่ รากฏในระหวา่ งแหง่ โลกทง้ั สอง น่นั แหละ คือทสี่ ดุ แห่งทุกข์ 414

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปัสสนา ขอ้ ปฏิบัติสาำ หรับผูผ้ ่านราตรีนาน 162 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๙๐-๙๕/๑๓๒-๑๓๙. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคนชรา เป็นคนแก่คน เฒ่ามานาน ผ่านวัยมาตามลำาดับ ถึงกระน้ัน ขอพระผู้มีพระภาคผู้สุคต โปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์เถิด โดยประการที่ข้าพระองค์จะ พงึ รูท้ ว่ั ถึงพระภาษิตของพระผมู้ พี ระภาค พึงเปน็ ผู้ได้รับพระภาษิตของ พระผ้มู พี ระภาค. ไม่มเี ลย พระเจ้าขา้ . (ตอ่ ไปน้ี ไดม้ กี ารตรสั ถามและการทลู ตอบในทาำ นองเดยี วกนั น้ี ทกุ ตวั อกั ษร ผดิ กนั แตช่ อื่ ของสง่ิ ทนี่ าำ มากลา่ ว คอื ในกรณแี หง่ เสยี งทร่ี แู้ จง้ ได้ทางหู กล่ินท่รี ้แู จ้งไดท้ างจมกู รสทร่ี แู้ จ้งไดท้ างล้นิ โผฏฐพั พะทร่ี ้แู จง้ ได้ทางผิวกาย และธรรมท่ีรู้แจง้ ได้ทางใจ). 415



ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา เ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ย่อมรู้ท่ัวถึง เนอ้ื ความแหง่ ธรรม ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคตรสั แลว้ โดยยอ่ นไ้ี ดโ้ ดยพสิ ดารวา่ (ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ล้ิมรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้แจง้ ธรรม ก็มขี อ้ ความท่ีกลา่ วไว้อย่างเดียวกนั ). 417

(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกล่ิน ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้แจ้งธรรม ก็มขี อ้ ความทีก่ ล่าวไวอ้ ย่างเดยี วกนั ). ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองคร์ ทู้ ว่ั ถงึ เนอ้ื ความแหง่ ธรรมที่ พระผู้มพี ระภาคตรสั โดยย่อน้ไี ด้โดยพสิ ดาร ดว้ ยประการฉะนี.้ คร้ังน้ันแล ท่านพระมาลุงก๎ยบุตรชื่นชมยินดีพระภาษิตของ พระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาท กระทำาประทักษิณแล้ว หลกี ไป ครงั้ นนั้ แล ทา่ นพระมาลงุ กย๎ บตุ รเปน็ ผๆู้ เดยี ว หลกี ออกจากหมู่ ไมป่ ระมาท มคี วามเพยี ร มจี ติ เดด็ เดย่ี ว ไมช่ า้ กก็ ระทาำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ทส่ี ดุ แหง่ พรหมจรรยอ์ นั ยอดเยย่ี ม กแ็ ลทา่ นพระมาลงุ กย๎ บตุ รไดเ้ ปน็ อรหนั ตอ์ งค์ หนง่ึ ในจาำ นวนพระอรหนั ตท์ ้ังหลาย. 418

ข้อปฏิบัติเพ่อื บรรลมุ รรคผล ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา ของคนเจ็บไข้ 163 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๑๖๐-๑๖๑/๑๒๑. 1 4 419

ขอ้ ปฏิบตั ิเพอ่ื บรรลุมรรคผล ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปสั สนา ของบคุ คลทว่ั ไป (นัยที่ 1) 16๔ -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๑๖๑/๑๒๒. 2 2 4 2 420

ข้อปฏบิ ัติเพ่อื บรรลุมรรคผล ปฏบิ ัติ สมถะ วิปสั สนา ของบคุ คลท่วั ไป (นยั ท่ี 2) 165 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๙๕-๙๗/๗๑. 1 2 4 ธรรม 5 ประการนี้เหล่าน้ี อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ทาำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มมเี จโตวมิ ตุ ตเิ ปน็ ผล และมเี จโตวมิ ตุ ตเิ ปน็ อานสิ งส์ ยอ่ มมปี ญั ญาวมิ ตุ ตเิ ปน็ ผล และมีปญั ญาวมิ ุตตเิ ป็นอานิสงส ผู้มีเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เป็นผู้ถอนล่ิมสลักข้ึนได้ 421



ปฏิบัติ สมถะ วปิ ัสสนา เปน็ ผรู้ อื้ เครอ่ื งแวดลอ้ มได้ เปน็ ผถู้ อนเสาระเนยี ด ขนึ้ ได้ เปน็ ผถู้ อดกลอนออกได้ เปน็ ผไู้ กล จากข้าศึกปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบดว้ ย วัฏฏะ ผู้ละอวิชชาเสียได้ ถอนรากขน้ึ แลว้ ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น ทาำ ไมใ่ หม้ ี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ชอื่ วา่ เป็นผู้ถอนลิม่ สลักข้ึนได ผลู้ ะชาตสิ งสารทเี่ ปน็ เหตนุ าำ ใหเ้ กดิ ในภพใหมต่ อ่ ไปได้ ถอนรากขนึ้ แลว้ ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาล ยอดด้วน ทำาไม่ให้มี ไม่ให้เกิดข้ึนอีกต่อไปเป็นธรรมดา ชื่อว่าเป็นผู้ร้ือเครื่องแวดล้อมได้ ผู้ละตณั หาเสียได้ถอนรากข้ึนแล้ว ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น ทาำ ไมใ่ หม้ ี ไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ อกี ต่อไปเป็นธรรมดา ช่ือว่าเป็นผู้ถอน เสาระเนยี ดขน้ึ ได 423

ผลู้ ะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ 5 ประการเสยี ได้ ถอนรากขนึ้ แลว้ ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น ทาำ ไมใ่ หม้ ี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ชื่อวา่ เป็นผู้ถอดกลอนออกได ผู้ละอัสมิมานะเสียได้ ถอนรากข้ึนแล้ว ทำาให้เป็น เหมือนตาลยอดด้วน ทำาไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป เปน็ ธรรมดา ชอ่ื วา่ เปน็ ผไู้ กลจากขา้ ศกึ ปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไมป่ ระกอบดว้ ยวฏั ฏะใดๆ (ในสตู รอน่ื ตรสั วา่ ธรรม ๕ ประการน้ี ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเบอ่ื หนา่ ยโดยสว่ นเดยี ว เพอ่ื ความคลายกาำ หนดั เพอ่ื ความดบั เพอ่ื ความสงบ เพอ่ื ความรยู้ ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพอ่ื นพิ พาน -บาลี ปญจฺ ก. อ.ำ ๒๒/๙๔/๖๙. และอกี สตู รตรสั วา่ เปน็ ไป เพอ่ื ความสน้ิ อาสวะทง้ั หลาย -บาลี ปญจฺ ก. อ.ำ ๒๒/๙๕/๗๐.). 424

ปฏิบัติ สมถะ วปิ ัสสนา 166ธรรมอยา่ งหนง่ึ เพอ่ื ละอวชิ ชา (นยั ที่ 1) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๖๑-๖๒/๙๕. ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ไดท้ ลู ถามพระผมู้ พี ระภาคดงั นว้ี า่ ขา้ แตพ่ ระองค์ ผเู้ จรญิ ธรรมอยา่ งหนงึ่ ซงึ่ เมอื่ ภกิ ษลุ ะไดแ้ ลว้ ยอ่ มละอวชิ ชาได้ วชิ ชายอ่ ม เกดิ ขึ้น มอี ยหู่ รอื ไม่หนอ. เมือ่ ภกิ ษุรอู้ ยู่เหน็ อยู่ ซึ่งจกั ษุโดยความเป็น ของไม่เท่ยี ง ยอ่ มละอวชิ ชาได้ วิชชาย่อมเกดิ ข้นึ เหน็ อยูซ่ ่ึงรูปทั้งหลาย เหน็ อยู่ซ่ึงจกั ษวุ ิญญาณ เห็นอยซู่ ง่ึ จักษสุ มั ผัส หน็ อยซู่ ง่ึ สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทุกขมสุขเวทนา ท่ีเกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง (ในกรณีแห่งธรรมหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็มีขอ้ ความอย่างเดยี วกนั ). 425

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา 16๗ธรรมอยา่ งหนงึ่ เพอ่ื ละอวชิ ชา (นยั ที่ 2) -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๖๒-๖๓/๙๖. ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ไดท้ ลู ถามพระผมู้ พี ระภาคดงั นวี้ า่ ขา้ แตพ่ ระองค์ ผเู้ จรญิ ธรรมอยา่ งหนงึ่ ซงึ่ เมอ่ื ภกิ ษลุ ะไดแ้ ลว้ ยอ่ มละอวชิ ชาได้ วชิ ชายอ่ ม เกดิ ขึ้น มีอยหู่ รอื ไม่หนอ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่างหนึ่งซ่ึงเมื่อภิกษุละได้แล้ว ยอ่ มละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกดิ ขน้ึ เป็นอยา่ งไร พระเจา้ ขา้ . ธรรมขอ้ หนงึ่ คอื อวชิ ชาแล ซง่ึ เมอ่ื ภกิ ษลุ ะ ไดแ้ ลว้ ย่อมละอวิชชาได้ วิชชายอ่ มเกิดขึ้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เม่ือภิกษุรู้อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงละอวชิ ชาได้ วชิ ชาจงึ เกดิ ขึ้น พระเจ้าขา้ . สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อนั ใครๆ ไมค่ วรยดึ ม่นั ถอื มั่น 426

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา (ในกรณแี หง่ โสตะกด็ ี ฆานะกด็ ี ชวิ หากด็ ี กายะกด็ ี มนะกด็ ี และ ธรรมทง้ั หลายทเ่ี นอ่ื งดว้ ยดว้ ยโสตะ ฆานะ ชวิ หา กายะ และมนะ นน้ั ๆ กด็ ี กไ็ ดต้ รสั ไว้ มนี ยั อยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ การเหน็ ดว้ ยจกั ษแุ ละธรรม ทัง้ หลายทเี่ น่อื งด้วยจกั ษุ). 427

ย่อมยุบ ย่อมไม่กอ่ ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา ย่อมขว้างท้ิง ยอ่ มไม่ถอื เอา 168 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๐๕-๑๑๐/๑๕๘-๑๖๔. เพราะสง่ิ นน้ั แตกสลาย ดงั นน้ั จงึ เรยี กวา่ รปู สลายไปเพราะความหนาวบ้าง แตกสลายไปเพราะ ความรอ้ นบา้ ง แตกสลายไปเพราะความหวิ บา้ ง แตกสลาย 428