Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน "สมถะ วิปัสสะนา"

Description: พุทธวจน "สมถะ วิปัสสะนา"

Search

Read the Text Version

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ดข้ องโสดาบนั 209 (นยั ท่ี 3) -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๘๘/๓๖๕. แมเ้ พยี งทำาโลหิตใหห้ ้อ ไมอ่ าจปลงชวี ติ มารดา ไม่อาจปลงชีวิตบดิ า ไม่อาจปลงชีวติ พระอรหนั ต์ ไมอ่ าจคดิ ประทษุ รา้ ยตถาคต ไมอ่ าจทำาให้สงฆแ์ ตกกัน ไมอ่ าจถอื ศาสดาอน่ื . 579

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา ฐานะทเ่ี ป็นไปไม่ไดข้ องโสดาบนั 210 (นัยที่ ๔) -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๘๙ /๓๖๖. ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิว่า สุขและ ทุกข์ ตนทาำ เอง ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิว่า สุขและ ทุกข์ ผ้อู ่ืนทาำ ให้ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิว่า สุขและ ทุกข์ ตนทาำ เองก็มี ผอู้ ่ืนทำาให้กม็ ี ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิว่า สุขและ ทุกข์ ไม่ต้องทำาเอง เกิดขึน้ ไดต้ ามลำาพงั ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิว่า สุขและ ทกุ ข์ ไม่ต้องใครอ่ืนทำาให้ เกิดข้ึนไดต้ ามลำาพัง ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ ว่า สุขและ ทุกข์ ไม่ต้องทำาเองและไม่ต้องใครอ่ืนทำาให้ เกิดขึ้นได้ ตามลาำ พัง. 580

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา เพราะ เหตวุ า่ เหตุ อนั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐิ เหน็ แลว้ โดยแทจ้ รงิ และธรรมทง้ั หลาย กเ็ ปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ มาแตเ่ หตดุ ว้ ย. 581

ความหมายของคำาว่า เสขะ ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา 211 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๕. ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ พระองค์ตรัสว่า เสขะๆ ดังน้ี ด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไรหนอ บคุ คลจงึ ชอื่ ว่าเป็นเสขะ. ท่ีเรยี กชอื่ วา่ เสขะ ด้วยเหตวุ า่ ยังตอ้ งศกึ ษา ศกึ ษาอธศิ ลี สกิ ขา ศึกษาอธิจิตตสิกขา และ ศึกษาอธปิ ัญญาสิกขา 582

ผ้เู ป็นเสขะ-อเสขะ ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปสั สนา 212 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๐๓/๑๐๓๒. 583

5 5 5 5 584

585

เหตใุ ห้เปน็ คนดรุ ้าย ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา หรอื คนสงบเสงยี่ ม 213 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๗๖/๕๘๖. 586

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 587

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา ธรรมเป็นเครอ่ื งอยู่ของพระอริยะ 21๔ -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๑/๒๐. การอยู่แบบพระอริยเจ้า ซึ่งพระ อรยิ เจา้ ทง้ั หลาย ไดอ้ ยมู่ าแลว้ กด็ ี กาำ ลงั อยใู่ นบดั นกี้ ด็ ี จกั อยตู่ อ่ ไปกด็ ี 10 ประการนี้ 10 ประการเปน็ อยา่ งไร คอื เปน็ ผลู้ ะองค์ 5 ไดข้ าด เปน็ ผู้ประกอบพร้อมดว้ ยองค์ 6 เป็นผ้มู ีอารกั ขาอยา่ งเดยี ว เปน็ ผมู้ พี นกั พงิ ๔ ดา้ น เปน็ ผถู้ อนความเหน็ วา่ จรงิ ดงิ่ ไป คนละทางขึ้นเสียแล้ว เป็นผู้ละการแสวงหาส้ินเชิงแล้ว เปน็ ผมู้ คี วามดาำ รอิ นั ไมข่ นุ่ มวั เปน็ ผมู้ กี ายสงั ขารอนั สงบ รำางับแล้ว เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี เป็นผู้มีปัญญาใน ความหลดุ พน้ ด้วยดี. เป็นผู้ละองค์ 5 ได้ขาด เป็นผู้ละกามฉันทะ ละพยาบาท ละ ถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ และละวิจิกิจฉาได้แล้ว. 5 588

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์ 6 ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียง ดว้ ยหู ไดด้ มกลนิ่ ดว้ ยจมกู ไดล้ ม้ิ รสดว้ ยลนิ้ ไดส้ มั ผสั โผฏฐัพพะด้วยกาย และได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ก็ เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ อยู่ได้. เป็นผู้มีอารักขาอย่างเดียว ประกอบการรกั ษาจติ ดว้ ยสต.ิ เปน็ ผมู้ พี นกั พงิ ๔ ดา้ น พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหน่ึง พิจารณาแล้ว อดกล้ันของส่ิงหนึ่ง พิจารณาแล้วเว้นขาดของสิ่งหนึ่ง พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่งหนึ่ง. 589

5 ุเป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละ ทางขน้ึ เสยี แลว้ เปน็ ผถู้ อน สละ คาย ปลอ่ ย ละทงิ้ เสยี แลว้ ซง่ึ ความเหน็ วา่ จรงิ ดงิ่ ไปคนละ ทางมากอย่าง ของเหล่าสมณพราหมณ์มากผู้ด้วยกัน ทม่ี คี วามเหน็ วา่ โลกเทย่ี ง บา้ ง โลกไมเ่ ทย่ี ง บา้ ง โลกมี ทส่ี ดุ บา้ ง โลกไมม่ ที ส่ี ดุ บา้ ง ชวี ะกอ็ นั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นน้ั บ้าง ชีวะก็อันอ่ืน สรีระก็อันอ่ืน บ้าง ตถาคตภายหลัง แตก่ ารตาย ยอ่ มมอี กี บา้ ง ตถาคตภายหลงั แตก่ ารตาย ยอ่ มไมม่ อี กี บา้ ง ตถาคตภายหลงั แตก่ ารตาย ยอ่ มมอี กี กม็ ี ไมม่ อี กี กม็ ี บา้ ง ตถาคตภายหลงั แตก่ ารตาย ยอ่ มมี อีกก็หามิได้ ไม่มีอีกก็หามิได้ บ้าง. เป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว เป็นผู้ละการแสวงหากามแล้ว เป็นผู้ละการแสวงหาภพแล้ว และการแสวงหา พรหมจรรย์ของเธอน้ันก็ระงับไปแล้ว. 590

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปสั สนา เป็นผู้มีความดาำ ริไม่ขุ่นมัว เป็นผู้ละความดำาริในทางกามเสียแล้ว เป็นผู้ละความดำาริในทางพยาบาทเสียแล้ว และเป็นผู้ ละความดำาริในทางเบียดเบียนเสียแล้ว. เป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำางับแล้ว เพราะละสุขเสยี ได้ เพราะละ ทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและ โทมนัสในกาลก่อนจึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และ สขุ มแี ตค่ วามทส่ี ตเิ ปน็ ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ พราะอเุ บกขา แล้วแลอยู่. 9 เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยด เปน็ ผมู้ จี ติ หลดุ พน้ แลว้ จากราคะ จากโทสะ จากโมหะ. 591

เป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี ย่อมรู้ชัดว่า เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสยี แลว้ ถอนขน้ึ ไดก้ ระทงั่ ราก ทาำ ใหเ้ หมอื น ตาลยอดเน่า ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป 592

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 593



ปัจจยั ท่ีส่งผลต่อ ในกคารวบารมรเลรวธ็ุ รรม

ปฏบิ ัติ สมถะ วปิ สั สนา ปฏปิ ทาการบรรลุมรรคผล ๔ แบบ 215 -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๒๐๒/๑๖๓. แบบปฏิบตั ิลาำ บาก ร้ไู ด้ช้า 5 5 596

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา 5 นีเ้ รียกวา่ ทกุ ขาปฏปิ ทาทันธาภญิ ญา แบบปฏบิ ตั ลิ าำ บาก รูไ็ ดเ้ รว็ 5 5 5 นี้เรยี กวา่ ทกุ ขาปฏิปทาขปิ ปาภญิ ญา 597

แบบปฏิบตั ิสบาย รไู้ ด้ช้า 5 น้ีเรียกว่า 5 5 สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา 598

ปฏิบตั ิ สมถะ วปิ ัสสนา แบบปฏิบตั ิสบาย รู้ได้เรว็ 5 5 5 น้ีเรยี กว่า สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา 599

อนิ ทรยี ์ 6 ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา 216 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๗๑-๒๗๒/๙๐๒,๙๐๓,๙๐๕. 66 ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ อรยิ สาวก ความเกิดขึ้น ความต้ังอยู่ไม่ได้ รสอร่อย โทษอันต่ำาทราม อุบาย เครอ่ื งออก แหง่ อนิ ทรยี ์ 6 ประการนเ้ี มื่อนั้น เรา เรยี กอรยิ สาวกนวี้ า่ เปน็ โสดาบนั ภกิ ษุ ความเกิดขนึ้ ความต้งั อยไู่ มไ่ ด้ รสอร่อย โทษอันต่าำ ทราม และอุบายเครื่องออก แห่งอินทรีย์ 6 ประการน ตามความ เปน็ จรงิ แลว้ เปน็ ผหู้ ลดุ พน้ เพราะไมถ่ อื มนั่ เมอื่ นนั้ เราเรยี ก ภิกษุน้ีว่า เป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว 600

อนิ ทรยี ์ 5 (นยั ท่ี 1) ปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา 21๗ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๕๙-๒๖๑/๘๕๒-๘๖๓. ในโสตาปัตตยิ งั คะ ๔ พงึ เหน็ สัทธินทรยี ์ในธรรมน ในสัมมัปปธาน ๔ พึงเหน็ วริ ิยนิ ทรียใ์ นธรรมน้ี ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ พงึ เห็นสตนิ ทรยี ใ์ นธรรมน้ี ในฌานทั้ง ๔ พงึ เห็นสมาธนิ ทรียใ์ นธรรมนี้ ในอริยสัจ ๔ พงึ เห็นปญั ญนิ ทรีย์ในธรรมน้ี 601

นี้เรียกว่า สทั ธินทรีย น้เี รยี กวา่ วิรยิ นิ ทรยี นเี้ รยี กวา่ สตนิ ทรยี นเ้ี รยี กวา่ สมาธนิ ทรีย น้เี รียกว่า ปัญญนิ ทรีย 602

อนิ ทรยี ์ 5 (นยั ท่ี 2) ปฏบิ ัติ สมถะ วิปัสสนา 218 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๖๒-๒๖๓/๘๖๔-๘๖๙. เป็นผู้มีศรัทธา เช่ือพระปัญญา ตรสั รขู้ องพระตถาคต นเ้ี รียกวา่ สทั ธินทรีย ปรารภความเพยี ร เพอ่ื ละอกศุ ลธรรม เพอื่ ความถงึ พรอ้ มแหง่ กศุ ลธรรม 603

น้ีเรยี กว่า วริ ยิ ินทรีย เป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเคร่ืองรักษาตัว อยา่ งยง่ิ ระลกึ ได้ ตามระลกึ ได้ ซงึ่ กจิ ทกี่ ระทาำ และคาำ พดู แมน้ านได ยอ่ มพจิ ารณาเห็นกายในกาย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ย่ อ ม พิ จ า ร ณ า เ ห็ น ธ ร ร ม ใ น ธ ร ร ม นเี้ รยี กว่า สตินทรีย 604

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา บรรลุปฐมฌาน บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน บรรลตุ ตยิ ฌาน บรรลจุ ตตุ ถฌาน สมาธนิ ทรีย นี้เรียกว่า เปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ประกอบดว้ ยปญั ญาเครอ่ื ง กาำ หนดความเกดิ ความดบั อนั ประเสรฐิ ชาำ แรกกเิ ลสใหถ้ งึ ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบ นีเ้ รียกวา่ ปญั ญนิ ทรยี 5 605

อนิ ทรยี ์ 5 (นยั ท่ี 3) ปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา 219 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๙๙–๓๐๐/๑๐๑๗–๑๐๒๒. เป็นวิรยิ ินทรยี วิริยะของอริยสาวกน้ัน สตินทรยี ์ สติของอริยสาวกนั้น เป็น สมาธขิ องอรยิ สาวกนัน้ เปน็ สมาธินทรีย 606

ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา อรยิ สาวกนน้ั เปน็ ปญั ญนิ ทรยี ์ ปญั ญาของ สง่ิ ใดเปน็ ศรทั ธาของอรยิ สาวกนนั้ สง่ิ นน้ั เป็นสัทธินทรีย (สามารถดูความหมายของอินทรีย์ ๕ อีกนัยหนึ่งได้ในหน้า ๑๖๗ ของหนังสือเลม่ น้ี) 607

อินทรยี ์ 5 กับ พละ 5 ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 220 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๙๐/๙๗๖. 608

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 609

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปสั สนา ปัจจยั ต่อความลดหลนั่ 221 ของความเป็นอริยบุคคล (นัยที่ 1) -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๖๕/๘๗๘-๘๗๙. 610

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 611

ตั้งอยูใ่ นฝา่ ยปถุ ชุ น เป็นคนภายนอก 612

ปฏิบัติ สมถะ วิปสั สนา 613

ปฏิบัติ สมถะ วปิ ัสสนา ปัจจัยต่อความลดหล่นั 222 ของความเปน็ อรยิ บุคคล (นัยท่ี 2) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๙/๕๒๗. 1 1 สกิ ขา 3 คอื อธศิ ลี สกิ ขา อธิจิตตสิกขา อธปิ ญั ญาสิกขา 1 เปน็ ผทู้ าำ ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศลี เปน็ ผทู้ าำ พอประมาณในสมาธิ เปน็ ผ้ทู าำ พอประมาณในปัญญา เพราะสังโยชน์ 3 หมดสิ้นไป สัตตัก- ขตั ตปุ รมะ ยอ่ มทอ่ งเทยี่ วไปในเทวดาและมนษุ ยอ์ ยา่ งมาก เจ็ดครั้ง แล้วจักทำาที่สุดแห่งทุกข์ได เพราะสังโยชน์ 3 614

ปฏิบตั ิ สมถะ วปิ สั สนา หมดสนิ้ ไป โกลงั โกละ ยอ่ มทอ่ งเทย่ี วไปสู่ 2 หรอื 3 ตระกลู แลว้ จกั ทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด เพราะสงั โยชน์ 3 หมดสิ้นไป เอกพีชี ย่อมมาเกิดยังภพมนุษย์น้ี คราวเดียวเท่าน้ัน แล้วจักทำาท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ เพราะ สังโยชน์ 3 หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง สกทาคามี ย่อมมาสู่โลกน้ีอีกคร้ังเดียว แล้วจักทำาท่ีสดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำาพอ ประมาณในปญั ญา เพราะ โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 หมดสิ้นไป เธอเป็นอุทธังโสโต- อกนิฏฐคามี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 หมดส้ินไป เป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 หมดส้ินไป เป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิย- 615

สังโยชน์ 5 หมดส้ินไป เป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ 5 หมดสน้ิ ไป เปน็ ผอู้ นั ตราปรนิ พิ พาย เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำาให้ บรบิ ูรณใ์ นปญั ญา เธอทำาให้ แจง้ ซงึ่ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ตอิ นั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะ อาสวะท้ังหลายส้ินไป ด้วยปัญญาอันย่ิงเองในปัจจุบัน เขา้ ถงึ อยู่ 616

สิกขา 3 ปฏิบตั ิ สมถะ วิปัสสนา 223 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๐๓/๕๒๙. อธิศีลสิกขา 617

นเ้ี รยี กวา่ อธจิ ติ ตสกิ ขา นี้เรียกว่า อธิปัญญาสิกขา 618

ปฏิบตั ิ สมถะ วิปสั สนา ลักษณะของผู้เปน็ ธรรมกถกึ 22๔ -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๒๑-๒๒/๔๕-๔๖. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ทเ่ี รยี กวา่ ธรรมกถกึ ธรรมกถกึ ดงั น้ี ดว้ ยเหตุ เพยี งเทา่ ไรหนอ จงึ จะชอ่ื วา่ ธรรมกถกึ . ชราและมรณะ ชาติ ภพ อุปาทาน ตณั หา เวทนา 619

ผสั สะ สฬายตนะ นามรปู วิญญาณ สงั ขาร อวชิ ชา 620

ปฏบิ ตั ิ สมถะ วิปัสสนา การวางจติ เมอื่ ถกู เบยี ดเบยี นทางวาจา 225 -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๒๕๔-๒๖๐/๒๖๗-๒๗๓. 621



ปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา ขอ้ น้ันหามิได้ พระเจา้ ขา้ . ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ เพราะเหตวุ า่ อากาศน้ี เปน็ สง่ิ ทม่ี รี ปู ไมไ่ ด้ แสดงออกซึ่งรูปไม่ได้ ในอากาศน้ันไม่เป็นการง่ายที่ใครๆ จะเขียนรูป ทำาให้มีรูปปรากฏอยู่ได้ รังแต่บุรุษน้ันจะเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำาบาก คบั แคน้ เสียเปลา่ พระเจ้าขา้ . 623

(นอกจากนยี้ งั ทรงอปุ มาเปรยี บกบั บรุ ษุ ถอื เอาจอบและกระทอ มาขุดแผ่นดิน หวังจะไม่ให้เป็นแผ่นดินอีก, เปรียบกับบุรุษถือเอาคบ เพลงิ หญา้ มาเผาแมน่ าำ้ คงคา หวงั จะใหเ้ ดอื ดพลา่ น ซง่ึ เปน็ ฐานะทไ่ี มอ่ าจ เป็นได)้ . 624

ปฏบิ ัติ สมถะ วิปัสสนา ข้อน้นั หามิได้ พระเจา้ ขา้ !”. 625



ขอนอบนอ้ มแด่ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระองค์นน้ั ด้วยเศยี รเกลา้ (สาวกตถาคต) คณะงานธัมมะ วดั นาปาพง (กลมุ่ อาสาสมคั รพุทธวจน-หมวดธรรม)

มลู นิธิพทุ ธโฆษณ์ มูลนิธิแหง่ มหาชนชาวพุทธ ผูซ้ ง่ึ ชดั เจน และมั่นคงในพทุ ธวจน เรม่ิ จากชาวพทุ ธกลมุ่ เลก็ ๆ กลมุ่ หนง่ึ ไดม้ โี อกาสมาฟงั ธรรมบรรยายจาก ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทเ่ี นน้ การนา� พทุ ธวจน (ธรรมวนิ ยั จากพทุ ธโอษฐ์ ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงยนื ยนั วา่ ทรงตรสั ไวด้ แี ลว้ บรสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณส์ น้ิ เชงิ ทง้ั เนอื้ ความและ พยญั ชนะ) มาใชใ้ นการถา่ ยทอดบอกสอน ซงึ่ เปน็ รปู แบบการแสดงธรรมทต่ี รงตาม พทุ ธบัญญัติตามที่ ทรงรบั สัง่ แก่พระอรหนั ต์ ๖๐ รูปแรกที่ปาอสิ ิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสัทธรรม และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะทภี่ กิ ษใุ นครง้ั พทุ ธกาลใชเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี ว หลกั พทุ ธวจนนี้ ไดเ้ ขา้ มาตอบคา� ถาม ตอ่ ความลงั เลสงสยั ไดเ้ ขา้ มาสรา้ ง ความชดั เจน ตอ่ ความพร่าเลือนสับสน ในข้อธรรมต่างๆ ทมี่ ีอยู่ในสังคมชาวพุทธ ซงึ่ ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากสาเหตุเดยี วคอื การไมใ่ ชค้ �าของพระพทุ ธเจ้าเปน็ ตวั ตง้ั ตน้ ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น ดว้ ยศรทั ธาอยา่ งไมห่ วนั่ ไหวตอ่ องคส์ มั มาสมั พทุ ธะ ในฐานะพระศาสดา ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ ไดป้ ระกาศอยา่ งเปน็ ทางการวา่ “อาตมาไมม่ คี า� สอนของตวั เอง” และใช้เวลาท่ีมีอยู่ ไปกับการรับสนองพุทธประสงค์ ด้วยการโฆษณาพุทธวจน เพ่อื ความต้ังมน่ั แห่งพระสัทธรรม และความประสานเปน็ หนง่ึ เดียวของชาวพทุ ธ เมอื่ กลบั มาใชห้ ลกั พทุ ธวจน เหมอื นทเี่ คยเปน็ ในครงั้ พทุ ธกาล สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ คือ ความชัดเจนสอดคล้องลงตัว ในความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าในแง่ของหลักธรรม ตลอดจนมรรควธิ ที ตี่ รง และสามารถนา� ไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผล รเู้ หน็ ประจกั ษไ์ ดจ้ รงิ ดว้ ยตนเองทนั ที ดว้ ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธทเ่ี หน็ คณุ คา่ ในคา� ของพระพทุ ธเจา้ จงึ ขยายตวั มากขึ้นเรื่อยๆ เกดิ เป็น “กระแสพทุ ธวจน” ซงึ่ เปน็ พลงั เงียบที่ก�าลงั จะกลายเป็น คลน่ื ลกู ใหม่ ในการกลบั ไปใชร้ ะบบการเรยี นรพู้ ระสทั ธรรม เหมอื นดงั ครงั้ พทุ ธกาล