Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เนื้อในนักธรรมชั้นตรี_1-334 หน้า

เนื้อในนักธรรมชั้นตรี_1-334 หน้า

Published by อาจูหนานภิกขุ, 2019-12-25 16:20:50

Description: เนื้อในนักธรรมชั้นตรี_1-334 หน้า

Search

Read the Text Version

 วิชา ธรรมวิภาค 1๑ 1 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1

2๒ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ขอบขา ยเน้อื หา วชิ าธรรม : ธรรมวภิ าค 2

 ๓3 วชิ า ธรรมวิภาค ทุกะ : หมวด ๒ ๑. สติ : ความระลกึ ได ๒. สมั ปชญั ญะ : ความรตู ัว ๑. สติ ความระลึกได หมายถงึ ความระลึกได้ก่อนจะทํา จะพูด จะคดิ มใิ หก้ ิจนัน ๆ ดาํ เนนิ ไปสทู่ างทผี ดิ สติ มหี น้าทคี อยกาํ จดั ความประมาทเลนิ เล่อ มผี ลทาํ ใหก้ ารทาํ งานทุกประเภท ไมเ่ กดิ ความเสยี หาย ๒. สัมปชัญญะ ความรูตัว หมายถงึ ความรตู้ วั ในขณะทกี าํ ลงั ทํา กาํ ลงั พดู กาํ ลงั คดิ คอื มคี วามรู้ตวั ว่าสงิ ทกี ําลงั ทํา พูด คดิ นัน ดีหรอื ไม่ดี ถูกต้องหรอื ไม่ถูกต้อง สัมปชัญญะ มหี น้าที กาํ จดั ความโงเ่ ขลาในเวลาทาํ การงานทกุ ประเภท สติและสัมปชัญญะ ท่านกล่าวว่าเป็น พหุปการธรรม คอื ธรรมมีอุปการะมาก เพราะ เป็นเหตุให้บุคคลสามารถควบคุมการทํา พูด คดิ ใหอ้ ยู่ในกรอบของศลี ธรรม ช่วยให้มกี ารยบั ยงั ชงั ใจ ใหม้ กี ารพจิ ารณาไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบกอ่ นจะทาํ พดู คดิ และในขณะทกี าํ ลงั ทาํ พดู คดิ ๑. หิริ : ความละอายแกใ จ ๒. โอตตปั ปะ : ความเกรงกลัว เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 3

4๔ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. หิริ ความละอายแกใจ หมายถงึ ความละอายใจตวั เองในการทําความชวั ผดิ ต่อ ศลี ธรรม และกฎหมายบา้ นเมอื ง รวมถงึ ระเบยี บต่าง ๆ ของสงั คม ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว หมายถงึ ความเกรงกลวั ต่อผลของความชวั มลี กั ษณะ สะดุง้ กลวั ตอ่ ผลทจี ะเกดิ ขนึ จากการทาํ บาปทจุ รติ คอื ทกุ ขโ์ ทษทจี ะไดร้ บั จากการกระทาํ ความชวั หิริและโอตตัปปะ ท่านกล่าวว่าเป็น โลกปาลธรรม หรอื ธรรมเปนโลกบาล คือ ธรรมคุมครองโลก เพราะทําให้โลกเกดิ สนั ตสิ ุข กล่าวคอื หิริ ช่วยทําใหค้ นเกลียดความชวั ละอายใจทจี ะทําเลว ส่วนโอตตัปปะ ช่วยใหค้ นกลวั ทจี ะไดร้ บั ผลของความชวั ทําใหล้ ะเว้นการ ทําชวั ต่าง ๆ เมอื เป็นเช่นนีคนในสงั คมกอ็ ยู่ร่วมกนั ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความเมตตา เออื เฟือต่อไป หิริและโอตตัปปะ เรยี กว่า สุกกธรรม คอื ธรรมฝายขาวบ้าง เรยี กว่า เทวธรรม แปลว่า ธรรมของเทวดาบา้ ง โดยมคี วามหมายว่า เป็นคณุ ธรรมทที าํ ใหม้ นุษยเ์ ป็นเทวดา เพราะเป็น หลกั ธรรมทสี ง่ เสรมิ ใหเ้ ป็นผปู้ ระเสรฐิ ในหมมู่ นุษย์ ซงึ เป็นเหตใุ หไ้ ปเกดิ ในเทวโลก ๑. ขันติ : ความอดทน ๒. โสรัจจะ : ความสงบเสงีย่ ม ๑. ขันติ ความอดทน หมายถึง ความอดทนอดกลันไว้ได้ในเมือถูกกระทบด้วย อารมณ์ทไี มน่ ่าปรารถนา เรอื งทตี อ้ งใชค้ วามอดทนมี ๔ ชนิด คอื ก. อดทนตอความลําบากตรากตรํา หมายถงึ อดทนได้ต่อความหนาวความรอ้ น ลม แดด ไม่แสดงอาการย่อท้อ สนิ หวงั ต่ออุปสรรคของชวี ิตมุ่งประกอบการงานเป็นสําคญั โดย ไมห่ วาดหวนั ข. อดทนตอทุกขเวทนา หมายถึง อดทนได้ต่อทุกขเวทนาอนั เกดิ จากการเจ็บไข้ ไดป้ ว่ ย และการบาดเจบ็ เป็นตน้ โดยไมแ่ สดงอาการกระสบั กระสา่ ย หรอื ทรุ นทรุ ายจนเกนิ เหตุ ค. อดทนตอความเจ็บใจ หมายถึง อดทนได้ต่อการกระทําหรือคําพูดทีทําให้ เกดิ ความไมพ่ อใจหรอื ความโกรธ เช่น การด่าว่ากระทบเสยี ดสใี หเ้ จบ็ ใจ เป็นต้น โดยไม่ทํารา้ ยหรอื 4

 ๕5 วชิ า ธรรมวภิ าค บนั ดาลโทสะตอบโต้ ง. อดทนตออํานาจกิเลส หมายถงึ การไม่แสดงอาการอยากมอี ยากไดจ้ นออกนอก หน้า แมไ้ ดม้ ากไ็ มย่ นิ ดเี กนิ เหตุ ๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยม หมายถงึ การรจู้ กั ปรบั สภาพจติ ใจใหเ้ ยอื กเยน็ เหมอื นเป็น ปกตใิ นเมอื มีเรืองต้องอดทน แม้จะถูกผู้อนื ทําหรอื พูดกระทบกระทงั จนเกดิ เจ็บใจแต่ก็ทนได้ ไม่แสดงอาการใดๆ ใหป้ รากฏ โสรัจจะมหี น้าทขี ม่ ใจใหส้ งบนิง ไม่แสดงอาการผดิ ปกตอิ อกมา ภายนอก เหมอื นดงั สภุ าษติ ทวี า่ นา้ํ ขนุ อยใู น นํา้ ใสอยนู อก ขันติและโสรัจจะ เรยี กว่า โสภณธรรม ธรรมอนั ทาํ ใหง้ าม เพราะหา้ มใจและกายมใิ ห้ หุนหนั พลนั แล่น ป้องกนั ตนมิให้แสดงกริ ิยามารยาทไม่งามอนั ทําให้เสียบุคลิกภาพได้ เป็น เครอื งประดบั ภายในจติ ใจ ทาํ ใหเ้ ป็นคนมสี งา่ ราศี น่ายกยอ่ งนบั ถอื ๑. บพุ พการี : บุคคลผทู าํ อุปการะกอน ๒. กตญั กู ตเวที : บุคคลผูรูอปุ การะทีท่ า นทาํ แลวและตอบแทน ๑. บุพพการี บุคคลผูทําอุปการะกอน หมายถงึ ผทู้ มี บี ุญคณุ หรอื เคยทาํ อุปการะแก่ ผู้อนื เช่น ให้กําเนิด เคยเลยี งดู สงั สอน ให้ความช่วยเหลือเกอื กูล เป็นต้น ได้แก่ พ่อแม่ ครู อปุ ชั ฌาย์ อาจารย์ พระมหากษตั รยิ ์ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๒. กตัญกู ตเวที บคุ คลผูรูอุปการะที่ทานทําแลวและตอบแทน หมายถงึ ผทู้ รี ะลกึ ถงึ บุญคุณทผี อู้ นื เคยทาํ เคยช่วยเหลอื เกอื กูลตนมาไม่ว่าจะมากหรอื น้อย สาํ นึกในบุญคณุ ของท่าน อย่เู สมอ เมอื มโี อกาสไดต้ อบแทนบุญคุณไม่ว่าจะดว้ ยวธิ ใี ด ๆ กเ็ ตม็ ใจทจี ะทาํ ตอบแทน ไดแ้ ก่ บุตร ธดิ า ศษิ ย์ สทั ธวิ หิ ารกิ อนั เตวาสกิ ประชาชน และพทุ ธศาสนกิ ชน บุพพการแี ละกตญั ูกตเวที เรยี กว่า บุคคลหาไดยาก หรอื ทุลลภบุคคล เพราะเหตุ ว่า บุพพการบี ุคคลทจี ะทาํ อปุ การะต่อผอู้ นื โดยไม่หวงั สงิ ตอบแทนหาได้ยาก เพราะโดยนิสยั คน มกั คดิ ถงึ แตป่ ระโยชน์สว่ นตนหวงั จะเป็นแต่ผรู้ บั กตญั กู ตเวทบี ุคคลกห็ าไดย้ าก เพราะโดยนิสยั คนไมค่ อ่ ยนกึ ถงึ สงิ ทผี อู้ นื ทาํ ดตี ่อตน มกั ลมื บญุ คณุ คนไดง้ า่ ย เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 5

6๖ คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 บพุ พการแี ละกตัญูกตเวที แสดงเป็นคู่ ๆ ได้ ดงั นี 6

 7๗ วชิ า ธรรมวิภาค ตกิ ะ : หมวด ๓ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. พระพทุ ธ : ทานผูสอนใหประชาชนประพฤติชอบดวยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ๒. พระธรรม : พระธรรมวนิ ยั ทเี่ ปนคาํ สงั่ สอนของทา น ๓. พระสงฆ : ผูท่ีฟงคําส่ังสอนของทานแลวปฏิบัติชอบ ตามพระธรรม วินัย รัตนะ แปลว่า แกว หมายถึง สิ่งที่ประเสริฐและมีคาสูงสุดสําหรับผูนับถือ พระพุทธศาสนา มี ๓ อยา่ ง คอื พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เรยี กว่า พระรัตนตรัย หรอื พระไตรรตั น คอื ๑. พระพุทธ คอื ผตู้ รสั รดู้ โี ดยชอบดว้ ยพระองคเ์ องกอ่ นแลว้ ทรงมพี ระกรุณาธคิ ณุ สอนให้ ผอู้ นื รตู้ ามดว้ ย ๒. พระธรรม คอื คาํ สงั สอนของพระพทุ ธเจา้ เรยี กว่า พระธรรมวนิ ัย หรอื พระสทั ธรรม มี ๓ อยา่ ง คอื ปรยิ ตั ธิ รรม ปฏปิ ตั ตธิ รรม และปฏเิ วธธรรม ๓. พระสงฆ คอื หมชู่ นทฟี งั คาํ สงั สอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ เลอื มใสออกบวช ปฏบิ ตั ติ าม คาํ สอนนนั เมอื ปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ลว้ กส็ อนใหผ้ อู้ นื ปฏบิ ตั ติ ามดว้ ย พระสงฆ์มี ๒ ประเภท คือ ๑. อริยสงฆ หมายถงึ พระสงฆผ์ เู้ ป็นอรยิ บุคคล ตงั แตข่ นั โสดาบนั ขนึ ไป ๒. สมมตสิ งฆ หมายถงึ พระสงฆโ์ ดยสมมติ คอื ภกิ ษุมจี าํ นวนตงั แต่ ๔ รปู ขนึ ไป 7

8๘ คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. พระพุทธเจาตรสั รูไดด ว ยพระองคเ องกอนแลวทรงสอนใหผอู นื่ รตู ามดวย ๒. พระธรรมยอ มรกั ษาผูปฏิบัติธรรมไมใหต กไปในที่ชัว่ ๓. พระสงฆปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามคําสอนของพระพุทธเจา แลวสอนใหผูอื่น ปฏิบตั ิตามดว ย ๑. คุณของพระพุทธเจา คอื พระพุทธเจารูดี รูชอบดวยพระองคเองกอนแลวสอนให ผอู ื่นรตู ามดวย หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั รอู้ ริยสัจคอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ๔ อย่าง คอื ทุกข ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ สมุทัย เหตุใหเ้ กดิ ทุกข์ นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ แลว้ จงึ ทรงอาศยั พระมหากรณุ าธคิ ุณสงั สอนเวไนยสตั วใ์ หร้ ตู้ าม ๒. คุณของพระธรรม คอื พระธรรมยอมรักษาผูปฏิบัติไมใหตกไปในท่ีชั่ว หมายถงึ ผู้ ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ย่อมไมต่ กไปในสถานทตี าํ ชา้ ในภพทงั ๒ คอื ในภพนี มถี กู กกั ขงั ในเรอื นจํา เกดิ ในถนิ ทุรกนั ดาร เป็นตน้ และในภพหน้า ไดแ้ ก่ อบายภูมทิ งั ๔ มี ตกนรก เกดิ เป็นสตั วด์ ริ จั ฉาน เป็นเปรต เป็นอสรุ กาย ๓. คุณของพระสงฆ คอื พระสงฆปฏิบัติชอบตามคําสอนของพระพุทธเจาแลวสอนให ผูอ่ืนใหกระทําตามดวย หมายถึง พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักแห่งอริยมรรคและ ไตรสกิ ขา แลว้ จงึ สงั สอนใหผ้ อู้ นื ไดร้ แู้ ละปฏบิ ตั ติ ามเป็นเหตุใหพ้ ระพทุ ธศาสนา สามารถดาํ รงอยไู่ ด้ จนถงึ ทกุ วนั นี 8

 9๙ วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ทรงส่ังสอนเพือ่ ใหผ ฟู ง รยู ง่ิ เหน็ จริงในธรรมท่คี วรรูควรเหน็ ๒. ทรงสง่ั สอนมีเหตุท่ีผฟู ง อาจตรองตามใหเหน็ จรงิ ได ๓. ทรงส่ังสอนเปนอัศจรรย คือ ผูฟงยอมไดรับประโยชนโดยสมควร แกการ ปฏบิ ัติ ๑. ทรงสง่ั สอนเพอื่ ใหผ ูฟง รยู ิ่งเห็นจริงในธรรมทีค่ วรรคู วรเห็น คอื พระองคท์ รงตงั พระทยั สอนอยา่ งจรงิ จงั โดยไมป่ ิดบงั อาํ พรางความรู้ ทรงอธบิ ายความทยี ากใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย เพอื ให้ ผูฟ้ งั ได้รู้และเขา้ ใจในปหาตัพพธรรม คอื ธรรมทเี ป็นอกุศล ควรละและภาเวตัพพธรรม คอื ธรรมสว่ นทเี ป็นกศุ ลควรเจรญิ ๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุท่ีผูฟงอาจตรองตามใหเห็นจริงได คอื ทรงสงั สอนใหผ้ ูฟ้ งั สามารถใชว้ จิ ารณญาณพจิ ารณาใหเ้ หน็ จรงิ ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยไม่บงั คบั ขเู่ ขญ็ ใหเ้ ชอื หรอื ใหเ้ ชอื อยา่ งงมงายโดยปราศจากเหตุผล ๓. ทรงส่ังสอนเปนอัศจรรย คือ ผูฟงยอมไดรับประโยชนโดยสมควรแกการ ปฏิบัติ คอื ทรงกาํ หนดรอู้ ปุ นิสยั และภมู ธิ รรมของผฟู้ งั ก่อนแลว้ จงึ ทรงเลอื กแสดงธรรมทเี หมาะ แก่ผูฟ้ งั โดยสงั สอนธรรมไปตามลําดบั จากง่ายไปหายาก จากธรรมทตี นื ไปถงึ ธรรมทลี กึ ซงึ โดย ไม่มกี ารบงั คบั ให้ต้องปฏิบัติ แต่ถ้าใครสามารถปฏิบตั ิตามได้ ย่อมได้รบั ผลตามสมควรแก่ การปฏบิ ตั ิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 9

๑1๐0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑. เวน จากการทจุ รติ คือ ประพฤตชิ ่วั ดว ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสุจริต คือ ประพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ ๓. ทาํ ใจของตนใหหมดจากเครือ่ งเศรา หมองใจ มโี ลภ โกรธ หลง เป็นตน้ โอวาท คอื พระธรรมคําสงั สอนของพระพุทธเจ้า ทถี อื ว่าเป็นหวั ใจหรอื เป็นหลกั การ ทสี าํ คญั ของพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ โอวาทปาฎโิ มกข มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมทําบาปท้ังปวง คอื การเวน้ จากทจุ รติ ไดแ้ ก่ การ ประพฤตชิ วั ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. กุสลสฺสูปสมฺปทา การทําแตความดีใหถึงพรอม คอื การประกอบสุจรติ ได้แก่ การประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. สจิตฺตปริโยทปนํ การทําจิตของตนใหผองแผว คอื การทาํ ใจของตนใหห้ มดจด จากเครอื งเศรา้ หมองใจ มโี ลภ โกรธ หลง เป็นตน้ พระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ แมจ้ ะมอี ยมู่ ากมาย แต่เมอื กล่าวโดยย่อแลว้ กร็ วมลง อยใู่ นพระโอวาททงั ๓ คอื ละชัว่ ทําดี ทาํ ใจใหผอ งใส ในบรรดาโอวาททงั ๓ ขอ้ นี โอวาทขอท่ี ๓ นับวาสําคัญท่ีสุด เพราะธรรมทุกอย่าง มใี จ เป็นใหญ่มใี จประเสรฐิ สดุ จะดหี รอื ชวั กอ็ ยทู่ ใี จ โอวาททงั ๓ จดั ลงในไตรสกิ ขาไดด้ งั นี ขอ ๑ เวน จากการทุจรติ จดั เขา้ ใน สลี สิกขา ขอ ๒ ประกอบสุจรติ จดั เขา้ ใน สมาธสิ กิ ขา ขอ ๓ ทําใจใหผ อ งแผว จดั เขา้ ใน ปญญาสิกขา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 10

 1๑๑1 วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ประพฤตชิ ั่วดว ยกาย เรยี ก กายทจุ ริต ๒. ประพฤติช่วั ดว ยวาจา เรยี ก วจที จุ รติ ๓. ประพฤติช่ัวดว ยใจ เรยี ก มโนทจุ ริต ทุจริต แปลวา่ การประพฤติชั่ว มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ประพฤติชวั่ ทางกาย เรยี กวา่ กายทจุ ริต มี ๓ อยา่ ง คอื - ปาณาตบิ าต การฆา่ สตั ว์ - อทนิ นาทาน การลกั ทรพั ย์ - กาเมสุมจิ ฉาจาร การประพฤตผิ ดิ ในกาม ๒. ประพฤตชิ วั่ ทางวาจา เรยี กว่า วจที ุจริต มี ๔ อยา่ ง คอื - มสุ าวาท พดู เทจ็ - ปสุณวาจา พดู สอ่ เสยี ด - ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ - สมั ผัปปลาปวาจา พดู เพอ้ เจอ้ ๓. ประพฤติช่วั ทางใจ เรยี กวา่ มโนทุจรติ มี ๓ อยา่ ง คอื - อภชิ ฌา โลภอยากไดข้ องเขา - พยาบาท คดิ ปองรา้ ยเขา - มิจฉาทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ จากทาํ นองคลองธรรม เชน่ เหน็ ว่า บาป บญุ ไมม่ ี บดิ า มารดาไมม่ คี ณุ เป็นตน้ ทุจริตทัง ๓ นี เป็นทางนําไปสู่ความทุกข์เดือดร้อน ควรละเว้นไม่ควรประพฤติ มโนทุจรติ ถือวาสําคัญทสี่ ดุ เพราะเป็นเหตใุ หเ้ กดิ กายทจุ รติ และวจที จุ รติ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 11

๑1๒2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ๑. ประพฤติชอบดวยกาย เรยี ก กายสุจริต ๒. ประพฤติชอบดว ยวาจา เรยี ก วจีสุจรติ ๓. ประพฤตชิ อบดวยใจ เรยี ก มโนสจุ รติ สุจรติ แปลวา่ การประพฤติชอบ การประพฤติดี มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ประพฤติชอบดวยกาย เรยี กว่า กายสุจริต มี ๓ อยา่ ง คอื เวน้ จากการฆา่ สตั ว์ เวน้ จากการลกั ทรพั ย์ เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ๒. ประพฤติชอบดวยวาจา เรยี กว่า วจีสุจริต มี ๔ อย่าง คอื เวน้ จากการพดู เทจ็ เวน้ จากการพดู สอ่ เสยี ด เวน้ จากการพดู คาํ หยาบ และเวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ ๓. ประพฤติชอบทางใจ เรยี กวา่ มโนสุจริต มี ๓ อยา่ ง คอื ความไมโ่ ลภอยากไดข้ องเขา ความไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา ความเหน็ ชอบตามทาํ นองคลองธรรม สจุ รติ ทงั ๓ นี เป็นธรรมทคี วรเจรญิ คอื เป็นสงิ ทคี วรทาํ มโนสุจริต สําคัญที่สุด เพราะ เป็นเหตุใหเ้ กดิ กายสจุ รติ และวจสี จุ รติ ๑. โลภะ โลภอยากไดข องเขา ๒. โทสะ คดิ ประทษุ รายเขา ๓. โมหะ หลงไมร ูจ รงิ อกุศลมูล คอื รากเหงาของอกุศล เพราะเหตุว่าเมอื อกุศลมูลเหล่านีมอี ย่แู ลว้ อกุศล อนื ทยี งั ไมเ่ กดิ กเ็ กดิ ขนึ ทเี กดิ แลว้ กเ็ จรญิ มากขนึ เหตุนนั ควรละเสยี มี ๓ อยา่ ง คอื เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 12

 1๑๓3 วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. โลภะ โลภอยากไดของเขา หมายถงึ ความโลภอยากได้อนั เป็นไปในทางทุจรติ เป็น เหตุของความชวั ความไม่ดีต่าง ๆ ทมี ุ่งอยากได้ของผู้อนื มาเป็ นของตนด้วยวิธีการทผี ดิ ๆ เช่น ลกั ขโมย โกง ปลน้ เป็นตน้ ๒. โทสะ คิดประทุษรายเขา หมายถงึ จติ ทคี ดิ ประทุษรา้ ยผอู้ นื เป็นตน้ เหตุของการก่อ วิวาททํารา้ ยกนั บนั ดาลโทสะ ถงึ ทสี ุดอาจฆ่ากนั ได้ เป็นเหตุให้เกดิ ความเสยี หายแก่ชวี ิตตนและ บุคคลอนื รวมทงั สงิ ของเครอื งใช้ เป็นตน้ ๓. โมหะ หลงไมรูจริง หมายถงึ ความหลง ความเขลา ความไม่รจู้ รงิ เป็นต้นเหตุใหเ้ กดิ ความเขลา เชอื งา่ ย สง่ ผลใหไ้ มร่ จู้ กั บาปบุญคณุ โทษ อกุศลมลู ทัง้ ๓ อยางน้ี เปนเหตทุ ําลายคณุ งามความดขี องมนุษยและเปนเหตุแหงความทุกข เดอื ดรอ นอยางไมมีส้ินสดุ ฉะนัน้ อยา ใหเ กดิ มขี น้ึ ในจติ ใจ อกศุ ลมูลท้ัง ๓ อยา งน้ี โลภะมโี ทษนอ ย แตเกดิ ขึน้ แลวดับชา โทสะมีโทษมาก แตเกิดขึ้น แลวดบั เรว็ โมหะท้งั มโี ทษมาก ทง้ั เกดิ ข้นึ แลว ดบั ชา โมหะถอื ว่าเป็นต้นตอทแี ทจ้ รงิ ของอกุศลมูลเหล่านี เนืองจากโลภะและโทสะจะเกดิ ก็ เนืองจากโมหะนนั เอง ดงั นี ๑. อโลภะ ไมโลภอยากไดของเขา ๒. อโทสะ ไมคดิ ประทุษรายเขา ๓. อโมหะ ไมห ลง รูจรงิ กุศลมูล คอื รากเหงาของกุศลหรือตนเหตุของความดี เพราะเหตุว่า ถา้ กุศลมูล เหล่านีมอี ย่แู ล้ว กุศลอนื ทยี งั ไม่เกดิ กเ็ กดิ ขนึ ทเี กดิ แล้วกเ็ จรญิ มากขึน เหตุนัน ควรใหเ้ กดิ มใี น สนั ดาน มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อโลภะ ไมโลภอยากไดของเขา หมายถงึ ความไม่โลภอยากไดด้ ว้ ยอาการอนั ไม่ ชอบธรรม หรอื ในทางทุจรติ เมอื เกดิ ขนึ แล้วเป็นต้นเหตุของความดตี ่าง ๆ เช่น ความซอื สตั ย์ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 13

1๑4๔ คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี สจุ รติ ความโอบออ้ มอารี ความเสยี สละ เป็นตน้ ๒. อโทสะ ไมคิดประทุษรายเขา หมายถึง ความไม่คิดประทุษร้ายต่อผู้อืน เมือ เกดิ ขนึ แลว้ เป็นตน้ เหตใุ หก้ ศุ ลธรรมอนื ๆ เชน่ ความเมตตากรณุ า การรจู้ กั ใหอ้ ภยั เกดิ ขนึ ๓. อโมหะ ไมหลง รูจริง หมายถงึ ความไมห่ ลงงมงาย รตู้ ามสภาพความเป็นจรงิ ว่า อะไรผดิ อะไรถกู สงิ ใดควร สงิ ใดไมค่ วร เป็นตน้ เหตุใหเ้ ป็นผไู้ มป่ ระมาท อยอู่ ยา่ งมสี ติ อโมหะถอื ว่าเป็นตน้ ตอของกศุ ลมลู ขอ้ อนื ตามนยั ทกี ล่าวแลว้ ในอกศุ ลมลู ๑. ทาน สละใหป นสง่ิ ของ ๆ ตน เพื่อประโยชนแ กผ ูอ น่ื ๒. ปพ พชั ชา ถอื บวชอนั เปน อบุ ายเวน จากการเบียดเบยี นกนั และกัน ๓. มาตาปต อุ ปุ ฏฐาน ปฏิบตั มิ ารดาบดิ าของตนใหเปน สขุ สัปปุริสบญั ญัติ หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั คนดตี งั ไว้ มี ๓ อยา่ งคอื ๑. ทาน หมายถงึ สละใหป้ นั สงิ ของของตน เพอื ประโยชน์แก่ผอู้ นื สงิ ทใี หม้ ี ๒ อย่าง คอื อามิสทาน คอื การใหป้ นั สงิ ของของตนแก่ผอู้ นื และ ธัมมทาน การใหธ้ รรม คอื ความรูค้ วามคดิ ที ถกู ตอ้ งเป็นสมั มาทฏิ ฐิ แมก้ ารใหอ้ ภยั บางทา่ นกจ็ ดั เป็นธรรมทาน บางทา่ นกแ็ ยกออกไปโดยเรยี กชอื เฉพาะว่า อภัยทาน ๒. ปพพัชชา หมายถงึ การบรรพชาหรอื การถอื บวช อนั เป็นอุบายหรอื เหตุให้บุคคล เวน้ จากการเบยี ดเบยี นกนั ๓. มาตาปตุอุปฏฐาน หมายถึง การปฏิบัติดูแลบิดามารดาให้มคี วามสุข มิให้ท่าน เดอื ดรอ้ นใจ แมเ้ วลาทา่ นเจบ็ ไขก้ ต็ อ้ งใส่ใจดแู ลเป็นพเิ ศษ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 14

 1๑5๕ วชิ า ธรรมวิภาค อปัณณกปฏปิ ทา คือ ข้อปฏบิ ตั ทิ ไี ม่ผดิ ๓ ๑. อินทรียสังวร สํารวมอินทรีย ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ มิใหยินดี ยินราย ในเวลาเหน็ รปู ฟงเสยี ง ดมกลนิ่ ลิม้ รส ถูกตอ งโผฏฐพั พะ และรูธรรมารมณด ว ยใจ ๒. โภชเน มัตตัญุตา รูจักประมาณในการกินอาหารแตพอสมควร ไมมาก ไมน อ ย จนเกินไป ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อชําระจิตใจใหหมดจด ไมเห็นแก การนอนมากนกั อปณณกปฏิปทา หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ บี ุคคลทําแล้วไม่มคี วามผดิ พลาดจากความดหี รอื วตั ถุประสงคท์ ตี งั ไว้ มี ๓ อยา่ งคอื ๑. อินทรียสังวร หมายถงึ การสาํ รวมระมดั ระวงั อนิ ทรยี ์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลนิ กาย ใจ มิใหมีความยินดีเมื่อประสบกับอิฏฐารมณ คอื อารมณ์ทนี ่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ และ มใิ หม้ คี วามยนิ รา้ ยเมอื ประสบกบั อนฏิ ฐารมณ์ คอื อารมณ์ทไี มน่ ่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ๒. โภชเน มัตตัญุตา หมายถงึ ความรปู้ ระมาณในการบรโิ ภคอาหาร รบั ประทานแต่ พอดี ใหเ้ พยี งพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะอาหารแมจ้ ะมปี ระโยชน์ แต่กเ็ ป็นโทษ ถา้ ไมร่ จู้ กั ประมาณในการบรโิ ภค โดยรวมกค็ อื การไมเ่ ป็นคนเหน็ แกก่ นิ จนเกนิ ไป ๓. ชาคริยานุโยค หมายถึง การประกอบความเพียรโดยการตืนอยู่เสมอ การทํา กจิ ต่าง ๆ ดว้ ยความมสี ตสิ มั ปชญั ญะ ไมใ่ หค้ วามงว่ งเหงา ความเกยี จครา้ นเขา้ มาครอบงาํ จติ ใจได้ เหตทุ เี รยี กธรรมทงั ๓ วา่ อปณณกปฏิปทา เพราะเน้นใหเ้ หน็ ว่า เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ที าํ ให้ ภกิ ษุผบู้ าํ เพญ็ เป็นนิตย์ ไมผ่ ดิ พลาดจากการบรรลุธรรมหรอื การสนิ อาสวกเิ ลสอยา่ งแน่นอน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 15

1๑๖6 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑. ทานมยั บุญสาํ เร็จไดด ว ยการบริจาคทาน ๒. สลี มยั บุญสาํ เรจ็ ไดด ว ยการรกั ษาศลี ๓. ภาวนามัย บญุ สาํ เร็จไดด ว ยการเจริญภาวนา ส่ิงเปนท่ีต้ังแหงการบําเพ็ญบุญ หรือหลักการทําบุญในพระพุทธศาสนา เรยี กว่า บุญกริ ยิ าวัตถุ โดยยอ่ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ทานมัย บุญสําเร็จไดดวยการบริจาคทาน หมายถงึ การทําบุญด้วยการให้ ในนี มุ่งเอาการให้เพอื กําจดั กเิ ลส คอื ความโลภ (อยากได้ของของผูอ้ นื ) และมัจฉริยะ (ความตระหนี) ใหอ้ อกไปจากใจ ๒. สีลมัย บุญสําเร็จไดดวยการรักษาศีล หมายถงึ การทาํ บุญดว้ ยการรกั ษาศลี ผมู้ ศี ลี กค็ อื ผมู้ ปี กตดิ สี งบเยน็ งดเวน้ การประพฤตผิ ดิ ทางกายวาจา รจู้ กั ควบคมุ กายวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ยดงี าม ๓. ภาวนามัย บุญสําเร็จไดดวยการเจริญภาวนา หมายถงึ การทาํ บุญดว้ ยการอบรม จติ ใจ ในทางปฏบิ ตั ิกค็ อื การบําเพ็ญกรรมฐาน ๒ อย่าง คอื สมถกรรมฐาน การอบรมใจใหส้ งบ เป็นสมาธิ และ วิปสสนากรรมฐาน การอบรมปญั ญาใหเ้ กดิ ๑. อนิจจตา ความเปน ของไมเทีย่ ง ๒. ทกุ ขตา ความเปนทุกข ๓. อนัตตตา ความเปน ของมใิ ชตัวตน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 16

 1๑7๗ วชิ า ธรรมวิภาค สามัญลักษณะ แปลว่า ลักษณะท่ีเสมอกันแกสังขารท้ังปวง เรียกอีกอย่างว่า ไตรลกั ษณะ หรอื ไตรลกั ษณ แปลว่า ลกั ษณะ ๓ สงั ขาร หมายถงึ สภาพที่ปจจยั ปรงุ แตง แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท คอื ๑. อปุ าทินนกสงั ขาร สงั ขารทมี ใี จครอง เชน่ มนุษย์ สตั วด์ ริ จั ฉาน ๒. อนุปาทินนกสังขาร สงั ขารไม่มใี จครอง เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่นํา เครอื งประดิษฐ์ ทงั หลาย เป็นตน้ สังขารทั้งปวง ในทนี ี หมายถงึ อุปาทนิ นกสงั ขาร และอนุปาทนิ นกสงั ขาร ซงึ มลี กั ษณะที เสมอหรอื เหมอื นกนั อยู่ ๓ ประการ คอื ๑. อนิจจตา ความเปน ของไมเที่ยง หมายถงึ ความทสี งั ขารทงั ปวง ไมอ่ ย่คู งที มกี าร เปลียนรูป แปรสภาพ อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะคือเกิดมาแล้วดับไป ผันแปรเปลียนสภาพ ตลอดเวลา ๒. ทกุ ขตา ความเปนทกุ ข หมายถงึ ความทสี งั ขารทงั ปวงทนไดย้ าก ไม่สามารถดํารงอยู่ อยา่ งเดมิ ได้ มลี กั ษณะ คอื ถกู บบี คนั โดยการเกดิ และดบั ตลอดเวลา ๓. อนัตตตา ความเปนของไมใชตน หมายถงึ สภาพทีเป็นไปตามเหตุตามปจั จยั ไมม่ ใี ครบงั คบั ใหเ้ ป็นไปตามปรารถนาได้ เชน่ หา้ มไมใ่ หเ้ กดิ ไมใ่ หแ้ ก่ ไมใ่ หเ้ จบ็ ไมใ่ หต้ าย ไมไ่ ด้ สงิ ทปี ิดกนั สามญั ลกั ษณะไมใ่ หค้ นพจิ ารณาเหน็ สภาพความเป็นจรงิ ของสงั ขาร คอื ๑. สนั ตติ คอื การเกดิ และดบั ทตี ่อเนืองตดิ ต่อกนั จนทาํ ใหร้ สู้ กึ ไมม่ อี ะไรเกดิ ดบั คอย ปดบังอนจิ จตาไว้ ทาํ ใหไ้ มใ่ หเ้ หน็ ความเปลยี นแปลง ๒. อิริยาบถ คอื การผลดั เปลยี นความเคลอื นไหวของร่างกายอย่ตู ลอดเวลา คอยปดบัง ทกุ ขตาไว้ ทาํ ใหไ้ มเ่ หน็ สงั ขารวา่ ทนอยใู่ นสภาพเดมิ ไมไ่ ด้ ๓. ฆนสัญญา คอื ความสําคญั ผดิ ว่า สงั ขารน้อยใหญ่แน่นหนาคงทน คอื ความเป็น ปึกแผน่ ของสงั ขาร คอยปดบังอนัตตตาไว ทาํ ใหม้ องไม่เป็นว่าแทจ้ รงิ แลว้ สงั ขารทงั ปวงเป็น ของทไี ม่ใช่ของตน ไมม่ ตี วั ตนทแี ทจ้ รงิ เพราะทุกอยา่ งเกดิ จากส่วนประกอบต่าง ๆ ประกอบกนั ขนึ มา และไมส่ ามารถบงั คบั ได้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 17

1๑๘8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 จตกุ กะ : หมวด ๔ ๑. สัปปุริสสังเสวะ คบทานผูประพฤติชอบดวยกาย วาจา ใจ ท่ีเรียกวา สัตบุรุษ (คนดี) ๒. สทั ธมั มัสสวนะ ฟงคําสอนของทา นโดยเคารพ ๓. โยนโิ สมนสกิ าร ตริตรองใหรูจ กั สิ่งท่ีดีหรอื ชั่วโดยอบุ ายทช่ี อบ ๔. ธมั มานุธมั มปฏิปต ติ ประพฤตธิ รรมตามสมควรแกธ รรม วุฑฒิ แปลว่า ธรรมเปนเครื่องเจริญ หมายถึง คุณธรรมทีก่อให้เกิดความเจริญ งอกงามในการดาํ เนนิ ชวี ติ เรยี กชอื เดมิ ว่า ปญญาวุฑฒิธรรม คอื ธรรมเพอื ความเจรญิ งอกงาม แหง่ ปญั ญา มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึง การคบหากับสตั บุรุษ คอื คนดี คนทีมคี วามรู้ดี และ ประพฤตดิ ี โดยการเขา้ ไปทาํ ความสนิทสนมเสวนาปราศรยั ปรกึ ษาหารอื สอบถามสงิ ทตี นไมร่ ู้ ๒. สัทธัมมัสสวนะ หมายถงึ การตงั ใจฟงั คําสงั สอนของสตั บุรุษทคี บหาด้วยความ เคารพตงั ใจ เพอื นําไปปฏบิ ตั ติ าม ๓. โยนิโสมนสิการ หมายถึง การทําในใจโดยอุบายอนั แยบคาย โดยการนําเอา คําสงั สอนของท่านสตั บุรุษนันมาคิดพจิ ารณาถึงเหตุผลว่าทที ่านสอนเช่นนันมีวัตถุประสงค์ อยา่ งไร สงิ ไหนดสี งิ ไหนชวั สงิ ไหนตวั เราสามารถทาํ ไดใ้ นทนั ที ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปตติ หมายถึง ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม คอื ตงั ใจปฏบิ ัติให้ เตม็ ทตี ามคาํ สอนของทา่ น ไมล่ ะทงิ เสยี เมอื ตอ้ งเจอกบั อปุ สรรค วุฑฒธิ รรม ๔ ประการนี ทา่ นสรปุ เป็นคาํ จาํ กดั ความทคี ลอ้ งจองกนั ว่า “คบคนดี ฟงวจโี ดยเคารพ นอบนบดว ยพินจิ ทํากจิ ดวยปฏบิ ตั ิ” หรอื “คบคบดี ฟง วจีทา น คดิ อานปญญา คน ควาปฏบิ ัติ” 18

 1๑9๙ วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ปฏริ ูปเทสวาสะ อยูในประเทศอนั สมควร ๒. สัปปรุ สิ ูปสสยะ คบสตั บุรุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตั้งตนไวช อบ ๔. ปุพเพกตปญุ ญตา ความเปน ผทู ําความดไี วในปางกอ น จกั ร คอื ธรรมดจุ ลอรถนําชีวิตไปสคู วามเจรญิ มี ๔ ประการ คอื ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยูในประเทศอันสมควร หมายถงึ การอย่ใู นถนิ ทดี ี มคี วามเจรญิ เป็นแหล่งทอี ยขู่ องเหล่านักปราชญ์ราชบณั ฑติ หรอื สตั บุรุษ เหมาะแก่การศกึ ษาความรู้ สะดวก แกก่ ารประกอบสมั มาชพี มสี งิ แวดลอ้ มดี มคี วามอดุ มสมบรู ณ์ ๒. สัปปุริสูปสสยะ คบสัตบุรุษ หมายถงึ การคบหาสมาคมกบั ท่านผปู้ ระพฤตชิ อบดว้ ย กาย วาจา ใจ หรอื ทา่ นผรู้ ดู้ ี ประพฤตดิ ี โดยการทาํ ความคุน้ เคย เขา้ ไปหาฟงั คาํ แนะนํา และสอบถาม สงิ ทตี นยงั ไมร่ หู้ รอื เขา้ ใจไมแ่ จม่ แจง้ จากท่านผเู้ ป็นสตั บุรษุ ๓. อตั ตสัมมาปณธิ ิ ตง้ั ตนไวชอบ หมายถงึ การตงั ตนทงั ส่วนกายและใจไวใ้ นทางที ชอบ สวนกาย คอื ตงั ตนไวใ้ นสุจรติ ธรรม ดํารงตนในหลกั เบญจศลี รวมถงึ การรจู้ กั วางตวั และ ประมาณตวั สวนใจ คอื การตงั จติ ไวใ้ นศรทั ธา ศลี สุตะ จาคะ และปญั ญา รจู้ กั ตงั เป้าหมายชวี ติ และปฏบิ ตั ติ ามเป้าหมายนนั โดยสจุ รติ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเปนผูทําความดีไวในปางกอน หมายถงึ บุญหรอื ความดที ไี ดเ้ คยทําไวใ้ นอดีต ทเี ป็นชาตกิ ่อนหรอื ในครงั ทผี ่านมาในชวี ติ นี จะส่งผลใหเ้ กดิ เป็น ความสุข ความเจรญิ ในปจั จุบนั หรอื ในอนาคตแก่ผทู้ ําบุญไว้ จดั ว่าเป็นคนมบี ุญเก่า หรอื เรยี กว่า คนมบี ุญ ธรรมจกั ร ๔ ประการ เน้นเหตุและผลเนืองถงึ กนั คอื การไดอ้ ยใู่ นถนิ ทเี ป็นเหตุใหไ้ ดค้ บ หาสมาคมกบั สตั บุรุษ เมอื ได้คบหากบั สตั บุรุษแล้วย่อมเป็นเหตุให้ได้ตงั ตนไว้ชอบ และทงั ๓ ประการนี สบื เนืองจากการไดท้ ําความดไี วใ้ นปางก่อน สมดงั กบั คําทที ่านไดก้ ล่าวไวว้ ่า “อยูในถ่ิน เหมาะสม สมาคมกบั บณั ฑิตชน ตัง้ ตนไวช อบ ประกอบความดีไวกอน” เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 19

2๒๐0 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ธรรมจกั ร ๔ ประกานนี อตั ตสมั มาปณิธิ ตั้งตนไวชอบสาํ คัญท่ีสุด ๑. ฉันทาคติ ลําเอยี งเพราะรกั ใคร ๒. โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบ ๓. โมหาคติ ลําเอยี งเพราะเขลา ๔. ภยาคติ ลาํ เอียงเพราะกลัว อคติ หมายถึง ความลําเอียง ความไมเท่ียงธรรม ความเอนเอียงเขาขางใด ขา งหนึ่ง การวางตนไมเปน กลาง ไมมีความยุติธรรม มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรักใครกัน หมายถึง ความลําเอียงโดยถือเอา ความรกั ใครพ่ อใจของตนเป็นทตี งั จะทาํ ใหเ้ สยี ความยตุ ธิ รรม เพราะเหน็ แกค่ นทตี นรกั คนทตี นชอบ ๒. โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบกัน หมายถงึ ความลําเอยี งโดยถอื เอาความไม่ ชอบใจ ไม่พอใจของตนเป็นทตี งั เป็นเหตุใหเ้ สยี ความยุตธิ รรม เพราะลุแก่อาํ นาจความเกลยี ดชงั ทาํ ใหม้ กี ารกลนั แกลง้ และทาํ ลายกนั เกดิ ขนึ ๓. โมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา หมายถึง ความลําเอียงเพราะความหลง คือ ความโง่เขลา ไม่รู้ความจริง เป็นเหตุให้เสียความยุติธรรมเพราะความโง่เขลาเบาปญั ญา ความรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ เป็นคนเชอื งา่ ย หเู บา ไมม่ คี วามรอบคอบ ๔. ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว หมายถึง ความลําเอียงเพราะกลวั จะมีภยั มาถึงตวั เป็นเหตุใหเ้ สยี ความยุตธิ รรมเพราะความขขี ลาด ไม่เป็นตวั ของตวั เอง ตกอยภู่ ายใตอ้ าํ นาจของ ผอู้ นื อคติทงั ๔ นี โมหาคติจัดวามีโทษมาก เพราะเป็นรากเหงา้ ของอคติทงั ๓ ทเี หลือ อคตทิ ้งั ๔ ขอ น้ี แมข อ ใดขอหน่ึงเกดิ ข้ึนก็เปน เหตุใหเสียความยุติธรรม 20

 2๒1๑ วชิ า ธรรมวิภาค อันตรายของพระภกิ ษุสามเณรผบู วชใหม ๔ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. อดทนตอคําสอนไมได คอื เบื่อหนายตอคําสอน ขี้เกียจทําตาม หมายถึง พระภิกษุ สามเณรผู้บวชใหม่ ยงั ไม่รูจ้ กั ขนบธรรมเนียมแห่งธรรมวนิ ัย จงึ จําเป็นทอี ุปชั ฌาย์ อาจารย์จะต้องแนะนําพรําสอน เพอื ให้รูว้ ่าสงิ ใดควร สงิ ใดไม่ควร เมอื อดทนต่อคําสอนไม่ได้ กร็ สู้ กึ เบอื หน่าย จดั ว่าประสบ อมู ภิ ยั ภยั แตค่ ลนื ๒. เปนคนเห็นแกปากแกทองทนความอดอยากไมได คอื พระภกิ ษุสามเณร เลยี ง ชีวิตด้วยอาหารบิณฑบาตทญี าติโยมถวาย บางครงั ได้อาหารทีถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง ไดม้ ากบ้าง น้อยบ้าง ถงึ อย่างนันกต็ ้องอดทน ดว้ ยการพจิ ารณาว่า ฉันอาหารเพยี งเพอื ใหช้ วี ติ เป็นอย่เู พอื ปฏบิ ตั ธิ รรมเทา่ นนั ไมไ่ ดฉ้ นั เพราะเหน็ แก่ปากทอ้ ง ถา้ อดทนต่อความอดอยากไมไ่ ด้ การปฏบิ ตั กิ ไ็ มก่ า้ วหน้า จดั ว่าประสบกมุ ภีลภัย ภยั แต่จระเข้ ๓. เพลิดเพลินในกามคุณทะยานอยากไดสุขย่ิงๆ ข้ึนไป คอื พระภกิ ษุ สามเณร ถา้ ยงั มวั เพลดิ เพลนิ ระเรงิ หลงอย่ใู นกามคุณ ๕ คอื รปู เสยี ง กลนิ รส โผฎฐพั พะ อนั เป็นอนั ตรายต่อ การเล่าเรยี นและปฏบิ ตั ิ ย่อมหา่ งจากความเจรญิ ในเพศบรรพชติ ชอื ว่าตกอยใู่ นอนั ตรายใกลส้ กึ ในทสี ดุ กไ็ มส่ ามารถจะบวชอยไู่ ด้ จดั วา่ ประสบอาวฏภยั ภยั แต่นําวน ๔. รักผูหญิง คือ พระภิกษุ สามเณร เมือยงั มีเรืองรกั ๆ ใคร่ ๆ กบั ผู้หญิงเข้ามา เกยี วขอ้ งแลว้ ทาํ ใหก้ ารทาํ ธรุ ะในพระศาสนาทงั ๒ สว่ น คอื การศกึ ษาปรยิ ตั ธิ รรมและการปฏบิ ตั ิ ย่อมเสอื มเสยี หมด เพราะธรรมชาตขิ องหญงิ เป็นขา้ ศกึ เป็นมลทนิ แก่พรหมจรรยโ์ ดยตรง จดั ว่า ประสบสุสุกาภยั ภยั แตป่ ลารา้ ยหรอื ภยั ฉลาม 21

2๒๒2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑. สงั วรปธาน เพยี รระวงั ไมใ หบาปเกดิ ขน้ึ ในจิตใจ ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปทเ่ี กดิ ขึน้ แลว ๓. ภาวนาปธาน เพียรใหกศุ ลเกดิ ขึ้นในสนั ดาน ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรักษากุศลที่เกิดขนึ้ แลว มิใหเส่อื มไป ปธาน หมายถึง ความเพียรที่ตั้งไวเปนหลักเบื้องตน เรียกอีกอย่างหนึงว่า สมั มปั ปธาน คอื ความเพียรชอบ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. สังวรปธาน เพียรระวังบาปไมใหเกิดขึ้นในสันดาน หมายถงึ ความเพยี รทตี งั ไว้ เพอื สาํ รวมระวงั ไม่ใหค้ วามชวั ทยี งั ไม่เกดิ ไม่ใหเ้ กดิ มใี นตน เพยี รระวงั ป้องกนั ตวั ป้องกนั ใจไมใ่ ห้ หลงใหลคดิ ไปในทางทชี วั การเพยี รระวงั บาปไม่ใหเ้ กดิ ขนึ ไดด้ ีทสี ุด คอื การมสี ติสํารวมระวงั อนิ ทรยี ท์ งั ๖ ไมใ่ หค้ วามยนิ ดยี นิ รา้ ยเขา้ ครอบงาํ ได้ ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปท่ีเกิดข้ึนแลว หมายถงึ ความเพยี รทตี งั ไว้เพอื ละหรอื กาํ จดั บาปอกศุ ลทเี กดิ มขี นึ แลว้ ไมใ่ หฝ้ งั แน่นอย่ใู นจติ ใจ ละการทาํ ชวั พดู ชวั คดิ ชวั ใหห้ มดไปจาก กมลสนั ดาน ๓. ภาวนาปธาน เพียรใหกุศลเกิดขึ้นในสันดาน หมายถึง ความเพยี รทตี งั ไว้เพอื ทาํ ใหบ้ ุญกศุ ล สงิ ทเี ป็นความดคี วามชอบทยี งั ไมม่ ี ไมเ่ กดิ ใหเ้ กดิ ขนึ ใหม้ ขี นึ ในตน ๔. อนุรกั ขนาปธาน เพียรรักษากุศลท่ีเกิดขึ้นแลวมิใหเส่ือม หมายถงึ ความเพยี รทตี งั ไว้เพอื ตามรกั ษาบุญกุศล หรอื ความดงี ามทมี อี ย่แู ล้วในตนไม่ใหเ้ สอื มไป เพยี รประคบั ประคอง ความดงี ามนนั ใหต้ งั มนั ในจติ ใจตลอดไป เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 22

 2๒๓3 วชิ า ธรรมวิภาค ๑. ปญ ญา รอบรใู นสิง่ ท่ีควรรู ๒. สัจจะ ความจริงใจ คอื ประพฤติสิ่งใดกใ็ หไ ดจริง ๓. จาคะ สละสิ่งท่ีเปน ขาศกึ แกจิตใจ ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิง่ ทีเ่ ปนขาศึกแกค วามสงบ อธิษฐานธรรม คอื ธรรมทคี่ วรต้งั ไวในใจ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ปญญา ความรอบรูส่ิงท่ีควรรู หมายถงึ รทู้ วั ถงึ เหตุถงึ ผล สงิ ทคี วรทําหรอื ไม่ควร ทาํ สงิ ทเี ป็นประโยชน์และมใิ ช่ประโยชน์ รเู้ หตุแห่งความเสอื ม เหตุแห่งความเจรญิ กล่าวอกี นัยหนึง คอื กมั มัสสกตาปญ ญา คอื ความรูชัดวาสตั วท ง้ั หลาย มกี รรมเปนของตน ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติส่ิงใดก็ใหไดจริง หมายถงึ เป็นผู้มสี จั จะ เมอื ใช้ ปญั ญาพจิ ารณาเหน็ ความจรงิ ในสงิ นันว่า สงิ นีดี สงิ นันชวั ทําอยา่ งนีถูกทาํ อยา่ งนนั ผดิ แล้วกต็ งั ใจ ทาํ ตามความจรงิ ทพี จิ ารณาเหน็ ๓. จาคะ สละส่ิงที่เปนขาศึกแกความจริงใจ หมายถงึ สละขา้ ศกึ แก่ความจรงิ ใจอนั จะ ทาํ ใหเ้ ป็นคนเสยี สจั จะทเี กดิ ขนึ คอยขดั ขวางไมใ่ หท้ าํ ตามความตงั ใจนนั ๔. อุปสมะ สงบใจจากส่ิงท่ีเปนขาศึกแกความสงบ หมายถึง สิงทีเป็นข้าศึกแก่ ความสงบทางใจนนั คอื ความโลภ โกรธ หลง มคี วามตงั ใจทจี ะระงบั สงิ ทเี ป็นขา้ ศกึ เหล่านี เมอื ระงบั ลง ไดใ้ จกส็ งบ สง่ ผลใหก้ าย วาจา สงบไดร้ บั ความสงบสขุ อนั ไพบลู ย์ เรยี กวา่ สงบสขุ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 23

๒2๔4 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. ฉันทะ พอใจรักใครใ นสิ่งน้ัน ๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น ๓. จติ ตะ เอาใจฝกใฝในสิง่ นัน้ ไมว างธรุ ะ ๔. วิมังสา หมัน่ ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในสิ่งนัน้ คุณ ๔ อยางน้ี มีบริบูรณแลว อาจชักนําบุคคลใหถึงส่ิงท่ีตองประสงค ซ่ึงไม เหลอื วิสยั อิทธิบาท คอื คุณเคร่ืองใหสําเร็จตามตองการ เป็นหลกั ธรรมทเี ป็นเหตุใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั ติ าม ประสบความสาํ เรจ็ สมประสงค์ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใครในสิ่งน้ัน หมายถงึ ความตอ้ งการทจี ะทาํ ความใฝใ่ จรกั ที จะทําสงิ นันอยู่เสมอ และปรารถนาทที ําใหไ้ ด้ผลดียงิ ๆ ขนึ ไป ฉันทะนีเป็นคุณธรรมสําคญั ใน เบอื งตน้ ผปู้ รารถนาความเจรญิ พงึ ทาํ ใหเ้ กดิ มใี นตน เพอื ขจดั ความเกยี จครา้ น ๒. วิรยิ ะ ความเพยี รประกอบในสิ่งน้ัน หมายถงึ ความหมนั ประกอบขยนั ทาํ ในสงิ นนั ดว้ ยความพยายาม เขม้ แขง็ อดทน กลา้ ทจี ะลงมอื ทาํ งานตามทตี วั เองตงั ใจ ทาํ ดว้ ยความมานะ บากบนั ไมย่ อ่ ทอ้ ต่อปญั หาทเี ผชญิ ๓. จิตตะ การเอาใจฝกใฝในส่ิงน้ันไมวางธุระ หมายถงึ เอาใจจดจ่ออยู่ในสงิ ทที ํา ดว้ ยสตทิ มี นั คง ไมฟ่ ุ้งซ่านเลอื นลอย ถงึ จะมปี ญั หาอปุ สรรคเกดิ ขนึ กต็ งั สตใิ หม้ นั คง ๔. วิมังสา การม่ันตริตรองพิจารณาหาเหตุผลในส่ิงที่ทํา หมายถงึ การใชป้ ญั ญา พจิ ารณาไตร่ตรองถงึ สงิ ทที าํ ว่า ถูกต้องหรอื ไม่อย่างไร มผี ลทาํ ใหง้ านทที าํ ไม่ผดิ พลาด รจู้ กั ใช้ ปญั ญาแกไ้ ขปญั หาอปุ สรรค ปรบั ปรงุ การทาํ งานใหด้ ขี นึ เพอื ใหง้ านดาํ เนนิ ตอ่ ไป อิทธิบาท ๔ ข้อ เป็นธรรมทีหนุนเนืองกันจึงต้องปฏิบัติให้ครบทุกข้อจึงจะสําเร็จ ประโยชน์ได้ ดงั คาํ คลอ้ งจองทจี าํ งา่ ยวา่ “มีใจรัก พากเพียรทาํ เอาจิตใชป ญญาสอบสวน” ในอทิ ธบิ าททงั ๔ ประการนี ฉันทะนับวา สําคญั ที่สดุ 24

 2๒๕5 วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. ในการละกายทจุ รติ ประพฤตกิ ายสุจริต ๒. ในการละวจที ุจริต ประพฤติวจีสุจริต ๓. ในการละมโนทจุ ริต ประพฤตมิ โนสจุ ริต ๔. ในการละความเห็นผิด ทําความเห็นใหถ ูก ความไมประมาท หมายถงึ ความอยูโดยมีสติสัมปชัญญะควบคุมอยูเสมอ เมอื จะ ยอ่ ใหน้ ้อยลงมี ๒ อย่าง คอื ความไม่ประมาทในการละความชวั และความไมป่ ระมาทในการทาํ ความดี การละทุจริต คอื ประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ และ ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบ ทางกาย วาจา ใจ เป็นสงิ ทคี วรทําแต่กต็ ้องทําด้วยความไม่ประมาท เพราะถ้าทําลงไปด้วย ความประมาทขาดสติ เมอื เจอกบั อารมณ์ทมี ายวั ยวนชวนให้หลงใหลหรอื หวาดกลวั ย่อมจะ ละทงิ กจิ นนั เสยี งา่ ย ๆ สวนการละความเหน็ ผดิ ทําความเห็นใหถูก หมายถงึ การละความเหน็ ผดิ ทเี รยี กว่า มจิ ฉาทฏิ ฐิ เชน่ ทานทใี หแ้ ลว้ ไมม่ ผี ลจรงิ มารดาบดิ าไม่มบี ุญคุณจรงิ ผลวบิ ากแหง่ กรรมดกี รรม ชวั ไมม่ จี รงิ เป็นตน้ แลว้ ทาํ ความเหน็ ใหถ้ กู ทเี รยี กว่า สมั มาทฏิ ฐิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 25

2๒๖6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 การระวังใจ หมายถึง ความมีสติระลึกได้ รู้ทนั ต่อความเป็นไปของใจ เมอื ประสบ อารมณ์นนั ๆ เช่น เมอื เกดิ ความกาํ หนัด ขดั เคอื ง หลงหรอื มวั เมากร็ เู้ ท่าทนั และควบคุมใจไวไ้ ด้ แลว้ กห็ าอบุ ายวธิ ที จี ะยบั ยงั ไมใ่ หเ้ กดิ ความรสู้ กึ กาํ หนดั เป็นตน้ ในอารมณ์นนั ๆ ๑. อารมณอันเปนท่ีตั้งแหงความกําหนัด หมายถงึ ความรกั ใคร่ ยนิ ดชี อบใจ อนั มี ราคะเป็นเหตุ อารมณ์เป็นทตี ังแห่งความกําหนัด ได้แก่ กามคุณ ๕ ส่วนทีเป็นอิฎฐารมณ คือ อารมณ์อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ได้แก่ รูปสวยงาม เสียงไพเราะ กลินหอม รสอร่อย โผฏฐพั พะออ่ นนุ่ม ๒. อารมณอันเปนท่ีตั้งแหงความขัดเคือง หมายถึง ความเกลียดชัง ความไม่ยินดี ความไม่ชอบใจอนั มีโทสะเป็นเหตุ อารมณ์เป็นทตี งั แห่งความขดั เคือง ได้แก่ กามคุณ ๕ ส่วนที เป็นอนฎิ ฐารมณ คอื อารมณ์ไมน่ ่าปรารถนา ไมน่ ่าใคร่ ๓. อารมณอันเปนท่ีต้ังแหงความหลง หมายถึง ความเขลา ขาดสติไม่มี ความรอบคอบ รเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์ตามความเป็นจรงิ อนั มโี มหะเป็นเหตุ อารมณ์เป็นทตี งั แหง่ ความหลง ไดแ้ ก่ กามคณุ ทุกประเภทซงึ เป็นเครอื งล่อใจใหร้ ะเรงิ หลง หรอื ความประพฤตมิ ชิ อบอย่างอนื เช่น เล่นการพนนั การเป็นคนเจา้ ชู้ การตดิ สรุ ายาเสพตดิ เป็นตน้ ๔. อารมณอันเปนที่ต้ังแหงความมัวเมา หมายถงึ ความหมกมุ่นเพลดิ เพลนิ ตดิ อยู่ ในอารมณ์ทนี ่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจอย่างไม่สร่างซา อารมณ์เป็นทีตงั แห่งความมวั เมา คอื โลกธรรม ๘ สว่ นทเี ป็นอฏิ ฐารมณ์ คอื ลาภ ยศ สขุ สรรเสรญิ 26

 2๒7๗ วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. ปาติโมกขสงั วร สํารวมในพระปาตโิ มกข ๒. อนิ ทรียสังวร สํารวมอนิ ทรียท ง้ั ๖ ๓. อาชีวปาริสุทธิ เล้ียงชีวิตในทางทชี่ อบ ๔. ปจ จยปจจเวกขณะ พจิ ารณากอ นบรโิ ภค ปาริสุทธิศีล คอื ศีลอันบริสุทธ์ิ หมายถงึ ศลี เป็นเหตุทําบุคคลผปู้ ระพฤตติ ามใหบ้ รสิ ุทธิ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ปาติโมกขสังวร สํารวมในพระปาติโมกข หมายถงึ เวน้ ขอ้ ทพี ระพุทธเจา้ ทรงหา้ ม ทาํ ตามขอ้ ทพี ระองค์อนุญาต คอื ปฏบิ ตั ติ ามพุทธบญั ญตั อิ นั พระองค์ทรงตงั ไว้ เป็นพุทธอาณา ทเี รยี กว่า อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา ได้แก่ศลี ๒๒๗ ขอ้ ของภกิ ษุทสี วดในทปี ระชุมสงฆ์ทุกกงึ เดอื น ๒. อินทรียสังวร สํารวมในอินทรีย หมายถงึ การสาํ รวมระวงั อนิ ทรยี ์ ๖ คอื ตา หู จมูก ลนิ กาย ใจ ไม่ให้ยนิ ดีหรอื ยนิ รา้ ยในเวลาเห็นรูป ฟงั เสยี ง ดมกลิน ลมิ รส ถูกต้องโผฏฐพั พะ รธู้ รรมารมณ์ดว้ ยใจ มสี ตคิ อยระวงั อยเู่ สมอ ๓. อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตในทางท่ีชอบ หมายถึง การเลียงชวี ิตในทางทชี อบ ประกอบดว้ ยธรรม ไมป่ ระกอบดว้ ยอเนสนา คอื แสวงหาเครอื งเลยี งชพี ทไี มส่ มควรแก่พระภกิ ษุ หรือไม่ล่วงละเมิดธรรมเนียมของภิกษุ เช่น อวดอุตรมิ นุสสธรรม หรือขอกบั คนทเี ขาไม่ได้ ปวารณา เป็นตน้ ๔. ปจจยปจจเวกขณะ พิจารณากอนแลวจึงบริโภคปจจัย ๔ หมายถงึ การพจิ ารณา ใชส้ อยปจั จยั เครอื งอาศยั ของบรรพชติ ๔ อย่าง คอื จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ใหเ้ ป็นไป ตามความหมายและประโยชน์ของสงิ นนั ไมบ่ รโิ ภคดว้ ยตณั หา คอื ความอยาก เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 27

2๒๘8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี ๑. พทุ ธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจา ๒. เมตตา แผเ มตตาจติ คิดจะใหสัตวเ ปนสุขทว่ั หนา ๓. อสุภะ พิจารณารา งกายตนและผอู น่ื ใหเ หน็ วาไมงาม ๔. มรณสั สติ นึกถงึ ความตายอันจักมแี กตน อารกั ขกมั มัฏฐาน ๔ อยางนี้ ควรเจรญิ เปนนิตย อารักขกัมมัฏฐาน คอื กัมมัฏฐานท่ีควรรักษา หมายถึง กัมมัฏฐานท่ีควรเจริญ ใหเ ปน ปกติประจาํ ซงึ จะอาํ นวยผลใหจ้ ติ ไมต่ กตาํ ดาํ ดงิ สทู่ ชี วั มี ๔ สถาน คอื ๑. พุทธานุสสติ คอื การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระปญญาคุณคอื ทรงมี พระปรชี าญาณตรสั รอู้ รยิ สจั ๔ พระวิสทุ ธิคณุ คอื ทรงบรสิ ทุ ธหิ มดจดโดยสนิ เชงิ จากกเิ ลสอาสวะ และพระกรณุ าคุณ คอื ทรงสละความสขุ สว่ นพระองคท์ รงแสดงเทศนาสงั สอนประชาชนโดยมเิ หน็ แกค่ วามเหนอื ยยากลาํ บากพระองคเ์ ลย ๒. เมตตา คอื การแผ่เมตตาจิตหวงั ความสุข ความเจรญิ แก่สตั ว์ทงั ปวงในเบอื งต้น พงึ นกึ เปรยี บเทยี บตนกบั ผอู้ นื กอ่ นว่า เรารกั สขุ เกลยี ดทกุ ขฉ์ นั ใด คนอนื กร็ กั สขุ เกลยี ดทกุ ขฉ์ นั นนั เหมอื นกนั มคี วามรกั ความปรารถนาดตี อ่ บคุ คลหรอื สตั วโ์ ดยไมเ่ ลอื กหน้า ๓. อสุภะ คอื การพจิ ารณาร่างกายของตนและผอู้ นื ใหเ้ หน็ เป็นสภาพทไี ม่สวยงามตาม ความเป็นจริงของร่างกาย หรอื แยกออกพจิ ารณาโดยอาการ ๓๒ ทุกส่วนโดยแยกพจิ ารณา เฉพาะแตล่ ะสว่ น เชน่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนือ เป็นตน้ ใหเ้ หน็ เป็นของปฏกิ ลู น่าเกลยี ด เตม็ ไป ดว้ ยของโสโครก ๔. มรณัสสติ คอื การสํารวมจิตระลกึ ถึงความตาย โดยใชส้ ติพจิ ารณาถงึ ความตาย เป็นอารมณ์ วา่ เรามคี วามตายเป็นธรรมดา ไมล่ ่วงพน้ ความตายไปได้ เราจกั ตอ้ งตายแน่ ๆ และ ความตายจกั เกดิ แก่เราได้ทกุ เมอื ไมจ่ ํากดั เวลา สถานที และสาเหตุ เมอื ระลกึ ถงึ อย่างนีอย่เู ป็น ประจําจนจิตสงบเป็นสมาธิ คลายความยดึ มนั ถือมนั ในชวี ิต ผู้เจริญมรณัสสติ ย่อมบรรเทา ความมวั เมาในชวี ติ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 28

 2๒9๙ วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. เมตตา ความรักใครปรารถนาจะใหเปน สุข ๒. กรณุ า ความสงสารคิดจะชวยใหผอู นื่ พนทุกข ๓. มุทติ า ความพลอยยินดเี มื่อผูอ นื่ ไดด ี ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไมดีใจไมเสยี ใจเมื่อผอู ื่นถึงความวิบตั ิ ธรรม ๔ อยางนี้ เปน เคร่ืองอยขู องทา นผใู หญ พรหมวิหาร หมายถึง ธรรมเปนเคร่ืองอยูของพรหม เป็นธรรมทที าํ ใหผ้ ปู้ ระพฤตติ าม เป็นผปู้ ระเสรฐิ ดจุ พรหม และเป็นธรรมทผี เู้ ป็นใหญ่ควรปฏบิ ตั เิ ป็นนิตย์ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. เมตตา ความรักใครปรารถนาจะใหเปนสุข หมายถงึ ความรกั ทไี ม่เจือด้วย ความใคร่ทางกาม แต่เป็นความรู้สกึ ทปี รารถนาดีหวังดีต่อผู้อนื ปราศจากความรู้สึกเห็นแก่ตัว ความลาํ เอยี ง ความเกลยี ดชงั เป็นความรกั ทมี งุ่ ไมตรจี ติ มงุ่ ความสขุ ความเจรญิ ต่อผอู้ นื ๒. กรุณา ความสงสารคดิ จะชวยใหพ น ทกุ ข หมายถงึ ความรสู้ กึ สงสาร มคี วามหวนั ใจ จนทนไม่ได้ทจี ะวางเฉย ในเมอื ประสบพบผอู้ นื ไดร้ ับความลําบาก เป็นความรสู้ กึ เห็นใจคดิ หา หนทางชว่ ยเหลอื เพอื ใหเ้ ขาพน้ จากความลาํ บากทกุ ขย์ ากนนั ๓. มุทติ า ความพลอยยินดีเมอ่ื ผูอน่ื ไดด ี หมายถงึ ความรสู้ กึ ชนื ชมยนิ ดี พลอยดใี จ ไปกบั เขาดว้ ย เมอื เขาไดด้ ี ไดร้ บั ผลสาํ เรจ็ ไมอ่ จิ ฉาตารอ้ นในสงิ ทเี ขาไดร้ บั ๔. อุเบกขา ความวางเฉย หมายถงึ ความรสู้ กึ วางเฉย วางตวั วางใจเป็นกลาง ไมเ่ อนเอยี ง เมอื เหน็ คนทตี นเกลยี ดชงั ประสบความวบิ ตั ิ หรอื เมอื เหน็ คนทตี นรกั ใคร่ชอบพอประสบภยั วบิ ตั ิ โดยทไี มอ่ าจชว่ ยเหลอื ได้ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 29

3๓๐0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. กายานุปสสนา สติกําหนดพิจารณากายเปนอารมณวา กายน้ีก็สักวากาย ไมใช สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา ๒. เวทนานุปสสนา สติกําหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข ไมสุข ไมทุกข เปน อารมณว า เวทนานก้ี ็สกั วาเวทนา ไมใชส ัตว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา ๓. จิตตานุปสสนา สติกําหนดพิจารณาใจที่เศราหมองหรือผองแผวเปนอารมณวา ใจน้กี ส็ กั วา ใจ ไมใ ชสัตว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา ๔. ธรรมานุปสสนา สติกําหนดพิจารณาธรรมที่เปนกุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจ วา ธรรมน้ีกส็ ักวาธรรม ไมใ ชส ตั ว บุคคล ตัวตน เรา เขา สติปฏฐาน แปลว่า ท่ีต้ังของสติ หมายถงึ การตงั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสงิ ทงั หลาย ใหร้ เู้ หน็ ตามความเป็นจรงิ เป็นวธิ บี าํ เพญ็ กมั มฏั ฐานทอี าศยั สตพิ จิ ารณาทตี งั แหง่ อารมณ์ มี ๔ อยา่ ง ๑. กายานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถงึ สตทิ ตี ามกาํ หนดพจิ ารณากายเป็นอารมณ์ คอื พจิ ารณากายตามทไี ด้จาํ แนกวธิ ปี ฏบิ ตั ไิ วเ้ ป็นหมวด ๆ ซงึ เรยี กว่า ปพพ หรอื บรรพ คอื ลมหายใจ เขา้ ออก อริ ยิ าบถ การสรา้ งสมั ปชญั ญะในการทาํ ความเคลอื นไหวอริ ยิ าบถยอ่ ย การพจิ ารณากายว่า เป็นของปฏกิ ลู การพจิ ารณากายสกั ว่าเป็นธาตุ และการพจิ ารณาซากศพในสภาพต่าง ๆ ๒. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถงึ สตทิ ตี ามกําหนดพจิ ารณาเวทนาเป็นอารมณ์ คอื รชู้ ดั เวทนาอนั เป็นสุข เป็นทุกข์ หรอื เฉย ๆ ทงั ทเี จอื ด้วยอามสิ คอื ประกอบด้วยกามคุณ ๕ และ ปราศจากอามสิ ทเี ป็นไปอยใู่ นขณะนนั ๓. จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถงึ สตทิ ตี ามกําหนดพจิ ารณาจติ เป็นอารมณ์ มสี ติ พจิ ารณากําหนดจติ ใหร้ เู้ ท่าทนั อารมณ์หรอื ความรสู้ กึ ทเี กดิ ขนึ ในเวลานัน ว่าเป็นอย่างไร เช่น จติ มี ราคะ กร็ วู้ า่ จติ มรี าคะ จติ ปราศจากราคะ กร็ ชู้ ดั ว่าจติ ปราศจากราคะ เป็นตน้ ๔. ธรรมานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถงึ สตทิ ตี ามกาํ หนดพจิ ารณาธรรมเป็นอารมณ์ คอื การใชส้ ตกิ าํ หนดพจิ ารณารชู้ ดั ธรรมทงั หลายตามความเป็นจรงิ ของธรรมอยา่ งนนั ๆ 30

31 31 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1

3๓๒2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ทวั รา่ งกาย เชน่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เป็นตน้ ๒. อาโปธาตุ ธาตุนํ้า หมายถงึ สว่ นทมี ลี กั ษณะออ่ น เหลว เชน่ ดี หนอง เลอื ด เป็นตน้ ๓. เตโชธาตุ ธาตุไฟ หมายถงึ สว่ นทมี ลี กั ษณะรอ้ น เช่น ไฟทที าํ กายใหอ้ บอุ่น ไฟที ทาํ กายใหท้ รดุ โทรม เป็นตน้ (สงิ ทเี ป็นความอบอนุ่ ในรา่ งกาย) ๔. วาโยธาตุ ธาตลุ ม หมายถงึ ส่วนทมี ลี กั ษณะพดั ไปพดั มา เชน่ ลมในทอ้ ง ลมทพี ดั ไปตามตวั ลมหายใจ เป็นตน้ ธาตกุ มั มฏั ฐานทงั ๔ นี เป็นสว่ นหนงึ ของการพจิ ารณากายานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน เรยี กว่า ธาตมุ นสกิ าร การพจิ ารณาธาตุบา้ ง เรยี กวา่ จตธุ าตวุ ฏั ฐาน การกาํ หนดธาตุ ๔ บา้ ง ๑. ทุกข คือความไมส บายกายไมสบายใจ ๒. สมุทยั คือเหตใุ หเกดิ ทกุ ข ๓. นโิ รธ คอื ความดับทุกข ๔. มรรค คือขอปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดบั ทกุ ข อริยสัจ หมายถงึ ความจริงอยางประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงที่ ทาํ ใหผ เู ขา ถึงกลายเปนอรยิ ะ มี ๔ ประการ คอื ๑. ทุกข คอื ความไมสบายกายไมสบายใจ เป็นสภาพทที นไดย้ าก บบี คนั มี ๒ อย่าง คอื สภาวทุกข ทุกขป์ ระจํา เป็นทุกข์ทมี อี ยู่ด้วยกนั ทุกคน ได้แก่ ความเกดิ ความแก่ ความตาย ปกิณณกทุกข ทุกข์จร เป็นทุกข์ทีจรมาเป็นครังคราว ได้แก่ ความเศร้าโศก ความเจ็บป่วย ความประสบสงิ ทไี มช่ อบใจ ความพลดั พรากจากสงิ ทชี อบใจ ความผดิ หวงั ไมไ่ ดต้ ามทตี อ้ งการ ๒. สมุทยั คอื เหตเุ กิดแหงทกุ ข ไดแ้ ก่ ตัณหา ความทะยานอยาก มี ๓ คอื ๑) กามตัณหา ความทะยานอยากในอารมณ์อนั น่าใคร่ น่าพอใจ ๒) ภวตัณหา ความทะยานอยากได้ อยากมี อยากเป็น 32

 ๓3๓3 วชิ า ธรรมวิภาค ๓) วิภวตัณหา ความทะยานอยากไม่อยากเป็นโน่นเป็นนี หมายถงึ การอยากให้ อารมณ์หรอื สงิ ทไี มน่ ่าใครไ่ มน่ ่าชอบใจวบิ ตั สิ ญู หาย ๓. นิโรธ คอื ความดับทุกข หมายถงึ ความดบั ตณั หาได้อย่างสนิ เชิง เป็นสภาพที หลดุ พน้ สงบปลอดโปรง่ เป็นอสิ ระ ไดแ้ ก่ พระนพิ พาน ๔. มรรค คอื ขอปฏิบัติอันเปนทางใหถึงความดับทุกข (ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา) เป็น ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ปี ระเสรฐิ ทที าํ ใหผ้ ดู้ าํ เนินตามเป็นพระอรยิ บุคคลซงึ เรยี กว่า อริยมรรค คอื หนทางอนั ประเสรฐิ มี ๘ ประการ คอื ความเหน็ ชอบ ความดํารชิ อบ วาจาชอบ การงานชอบ การเลยี งชวี ติ ชอบ ความพยายามชอบ ระลกึ ชอบ สมาธชิ อบ อรยิ สจั ๔ ยอ่ ลงเหลอื ๒ คอื ๑. สว่ น เหตุ ไดแ้ ก่ สมทุ ยั เปน เหตุใหเกิดทุกข และ มรรค เปนเหตุใหด ับทกุ ขได ๒. สว่ น ผล ไดแ้ ก่ ทกุ ข เปนผลจากสมุทยั และ นิโรธ เปน ผลมาจากมรรค กจิ ในอรยิ สจั ๔ ทา่ นกาํ หนดไวด้ งั นี ทกุ ข์ ตอ้ งกาํ หนดรู สมทุ ยั ตอ้ งละหรือกําจดั ใหห้ มดสนิ ไป นโิ รธ ตอ้ งทาํ ใหแจง ว่าเป็นอยา่ งไร คอื อะไร มรรค ตอ้ งทาํ ใหมขี ึน้ จากหน้าทขี า้ งตน้ ทกุ ขเ์ ป็นสงิ ทเี ราจะตอ้ งกาํ หนดใหร้ หู้ รอื กาํ หนดรวู้ า่ เป็นทกุ ขเ์ ทา่ นนั เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 33

3๓๔4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ปญ จกะ : หมวด ๕ ๑. มาตฆุ าต ฆา มารดา ๒. ปตฆุ าต ฆาบดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆา อรหันต ๔. โลหิตตุปบาท ทาํ รา ยพระพทุ ธเจา จนถงึ ยงั พระโลหิตใหหอ ข้ึนไป ๕. สังฆเภท ยังสงฆใหแ ตกจากกนั กรรม ๕ อยางนี้ เปนบาปอันหนักที่สุด หามสวรรค หามนิพพาน ต้ังอยูในฐานะ ปาราชิกของผูถอื พระพทุ ธศาสนา หา มไมใหทําเด็ดขาด อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมที่ใหผลไมมีระหวางคั่น เป็นกรรมทีส่งผลทนั ที เมอื ผู้กระทํากรรม ๕ อย่างนีอย่างใดอย่างหนึงตายลง ไม่มกี รรมอนื มาให้ผลคนั กลาง จดั เป็น อกุศลครกุ รรม คอื กรรมหนกั ฝา่ ยไมด่ ที ไี มม่ กี รรมอนื ทจี ะใหผ้ ลมากกวา่ ๑ - ๒. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ปตุฆาต ฆ่าบิดา เหตุทจี ดั เป็นอนันตรยิ กรรม เพราะว่า มารดาบิดาเป็นผู้มพี ระคุณต่อบุตรธิดาสุดจะคณานับ เปรยี บได้ว่าเป็นพรหม เป็นครูอาจารย์ คนแรกของบตุ รธดิ า ผใู้ ดฆา่ บดิ ามารดาผใู้ หก้ าํ เนดิ ของตนได้ ผนู้ นั กเ็ ป็นลูกอกตญั ู เป็นลูกทรพี ขนาดมารดาบดิ าของตนยงั ฆา่ ไดแ้ ลว้ นบั ประสาอะไรจะไมเ่ นรคณุ ต่อผอู้ นื หรอื ฆา่ ผอู้ นื ได้ ๓. อรหันตฆาต ฆาพระอรหันต เหตุทจี ดั เป็นอนนั ตรยิ กรรม เพราะพระอรหนั ต์เป็นผทู้ ี ไกลจากกเิ ลส ไมม่ คี วามชวั เสยี หายทจี ะตอ้ งปิดบัง เพราะทา่ นงดเวน้ จากการทาํ ความชวั ทงั ปวง เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 34

 3๓๕5 วชิ า ธรรมวิภาค จึงไม่มกี ารเบียดเบยี นทําร้ายผู้หนึงผู้ใด ผู้ทฆี ่าพระอรหนั ต์ได้ชอื ว่าเป็นผูม้ จี ิตใจโหดเหยี ม ผดิ มนุษย์ ฆา่ ไดแ้ มก้ ระทงั ผทู้ รงศลี หมดกเิ ลส แลว้ ไฉนจะฆา่ ผอู้ นื ทมี กี เิ ลสดว้ ยกนั ไมไ่ ด้ ๔. โลหิตุปบาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยังพระโลหิตใหหอข้ึนไป พระพุทธเจ้าเป็น ผทู้ รงพระคุณยงิ กว่าบุคคลใดในโลก หากมผี ใู้ ดลงมอื ทาํ รา้ ยพระพุทธเจา้ ซงึ เป็นศาสดาเอกของตน ถงึ แมเ้ ป็นการทํารา้ ยเพยี งใหห้ อ้ พระโลหติ ผู้นันชอื ว่าทําโลหติ ุปบาท จดั ว่าเป็นผู้ทําบาปหนักใน พระพทุ ธศาสนา ผทู้ าํ โลหติ ปุ บาทในครงั พทุ ธกาล คอื พระเทวทตั ๕. สงั ฆเภท ทําสงฆใหแตกจากกัน เพราะพระสงฆถ์ อื ว่าเป็นเนือนาบุญอนั ยอดเยยี ม ของชาวโลก ผใู้ ดทาํ ใหพ้ ระภกิ ษุสงฆท์ อี าศยั อย่ใู นวดั เดยี วกนั แตกความสามคั คี ไดช้ อื ว่าทาํ ลาย ลา้ งพระพทุ ธศาสนาดว้ ย เพราะพระสงฆเ์ ป็นผสู้ บื ทอดพระพทุ ธศาสนาทเี ขม้ แขง็ ทสี ดุ อนนั ตรยิ กรรม ๕ นี สังฆเภทเปนกรรมหนักลําดับท่ี ๑ โลหิตุปบาทเปนกรรมหนักที่ ๒ อรหันตฆาตเปนกรรมหนักท่ี ๓ มาตุฆาตเปนกรรมหนกั ท่ี ๔ ปตุฆาตเปน กรรมหนักท่ี ๕ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วัน ๆ วา เรามีความแกเ ปน ธรรมดา ไมล วงพน ความแกไปได ๒. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ วา เรามีความเจบ็ เปนธรรมดา ไมล วงพนความเจ็บไปได ๓. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา เรามคี วามตายเปนธรรมดา ไมลว งพนความตายไปได 35

3๓๖6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๔. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ วา เราจะตองพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ ส้ิน ๕. ควรพจิ ารณาทุกวัน ๆ วา เรามกี รรมเปน ของตน ทาํ ดจี ักไดดี ทําช่ัวจักไดช ว่ั อภิณหปจจเวกขณ คอื ธรรมที่ควรพิจารณาอยูเนือง ๆ หมายถงึ เรอื งทคี วรพจิ ารณา ทกุ ๆ วนั เป็นอบุ ายบรรเทาความมวั เมาในชวี ติ มี ๕ ประการ คอื ๑. ชราธมั โมมหิ ชรัง อนตีโต ควรพจิ ารณาทกุ วนั ว่า เรามคี วามแกเ่ ป็นธรรมดา ไมล่ ่วง พน้ ความแกไ่ ปได้ การพจิ ารณาความแก่เนือง ๆ ย่อมเป็นอุบายเครอื งบรรเทาความประมาท มวั เมาในวัยได้ ๒. พยาธธิ ัมโมมหิ พยาธิง อนตโี ต ควรพจิ ารณาทุกวนั ว่า เรามคี วามเจบ็ เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ การพิจารณาความเจ็บเนือง ๆ ย่อมเป็นอุบายเครืองบรรเทา ความมวั เมาในความไมมโี รคได้ ๓. มรณธัมโมมหิ มรณัง อนตีโต ควรพจิ ารณาทุกวนั ว่า เรามคี วามตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ การพิจารณาความตายเนือง ๆ ย่อมเป็นอุบายเครืองบรรเทา ความมัวเมาในชีวติ เสยี ได้ ๔. สัพเพหิ เม ปเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว ควรพิจารณาทุกวันว่า เราจะต้องพลดั พรากจากของทรี กั ทชี อบใจทงั สนิ การพจิ ารณาเนือง ๆ ถงึ ความพลดั พราก ยอ่ มเป็นอบุ ายเครอื งบรรเทาความโลภความตระหนี่ ๕. กัมมัสสโกมหิ (กมั มทายาโท กมั มโยนิ กมั มพนั ธุ กมั มปฏสิ รโณ ยงั กมั มงั กรสิ สามิ กลั ยาณงั วา ปาปกงั วา ตสั สะ ทายาโท ภวสิ สาม)ิ ควรพจิ ารณาทกุ วนั ว่า เรามกี รรมเป็นของตน (เป็นผรู้ บั ผลของกรรม มกี รรมเป็นกาํ เนดิ มกี รรมเป็นเผา่ พนั ธุ์ มกี รรมเป็นทพี งึ อาศยั เราทาํ ดจี กั ได้ดี ทําชวั จกั ได้ชวั ) การพจิ ารณาเนือง ๆ ถึงความทตี นมกี รรมเป็นของตนเนือง ๆ ย่อมเป็น อบุ ายใหต้ นละความช่ัวประกอบแตก รรมดี ในอภณิ หปจั จเวกขณะทงั ๕ นี ขอ้ ทนี ับว่าสําคญั ทสี ุด คอื ขอ้ ๕ เพราะถา้ พจิ ารณาอยู่ เนือง ๆ ทกุ วนั ๆ แลว้ จะเป็นคุณเครอื งเกอื กลู ใหค้ นเราเกดิ ศรทั ธาความเชอื ทถี ูกตอ้ ง คอื เช่ือวา ทําดไี ดดีทาํ ช่วั ไดช่ัว 36

 3๓7๗ วชิ า ธรรมวภิ าค ๑. สัทธา เชือ่ ส่ิงทคี่ วรเชื่อ ๒. ศลี รกั ษากาย วาจา ใหเรียบรอย ๓. พาหุสจั จะ ความเปนผศู ึกษามาก ๔. วิริยารมั ภะ ปรารภความเพียร ๕. ปญ ญา รอบรสู ่ิงท่คี วรรู เวสารัชชกรณธรรม คอื ธรรมที่ทําความกลาหาญ หมายถึง ธรรมเป็นเหตุใหเ้ กดิ ความแกล้วกล้าหรือความกล้าหาญ บุคคลผู้ประกอบด้วยเวสารัชชกรณธรรมย่อมเป็นผู้องอาจ แกลว้ กลา้ ไมห่ วนั ไหวในการเขา้ สสู่ มาคมตา่ ง ๆ มี ๕ ประการ คอื ๑. สัทธา เช่ือสิ่งที่ควรเช่ือ หมายถงึ ความเชอื ทปี ระกอบด้วยปญั ญา มเี หตุและผล ไดแ้ ก่ กมั มสัทธา เชอื กรรม วปิ ากสัทธา เชอื ผลของกรรม กัมมัสสกตาสัทธา เชอื ความทสี ตั ว์ มกี รรมเป็นของตน ตถาคตโพธสิ ัทธา เชอื ความตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ๒. ศีล รักษากาย วาจา ใหเรียบรอย หมายถงึ ความประพฤตถิ ูกต้องดงี าม เป็นการ ควบคมุ พฤตกิ รรมทางกายและวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย คอื เวน้ กายทจุ รติ ๓ และวจที จุ รติ ๔ ๓. พาหุสัจจะ ความเปนผูศึกษามาก หมายถึง ความเป็นผู้มีความรู้ หรือมี ประสบการณ์มาก เรยี กงา่ ย ๆ กค็ อื ความเป็นผคู้ งแก่เรยี น อนั เกดิ จากการขยนั ศกึ ษาหาความรู้ ๔ ทาง คอื การฟงั การคดิ การสอบถาม และการบนั ทกึ ๔. วริ ยิ ารมั ภะ ปรารภความเพยี ร หมายถงึ ความขยนั หมนั เพยี ร ความกลา้ ทจี ะลงมอื ทาํ กจิ ต่าง ๆ ด้วยความเขม้ แขง็ เด็ดเดียว ไม่ย่อทอ้ ต่ออุปสรรคทเี กดิ ขนึ มุ่งแต่ความสาํ เรจ็ ของ กจิ การเป็นเบอื งหน้า เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 37

3๓๘8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๕. ปญญา รอบรูสิ่งที่ควรรู หมายถงึ รทู้ วั ถงึ เหตุและผลทดี แี ละชวั สงิ ทคี วรทาํ และไม่ ควรทํา ผู้มปี ญั ญาจงึ เป็นผูม้ คี วามกล้าหาญองอาจ ไม่มคี วามสะดุ้งกลวั ต่อเหตุใด ๆ เพราะมี ปญั ญาสามารถแกป้ ญั หาต่าง ๆ ได้ ธรรม ๕ อยา่ งนสี งเคราะหล์ งในไตรสกิ ขา ดงั นี ๑. ศีล สงเคราะหเ์ ขา้ ใน สีลสิกขา ๒. วริ ิยารมั ภะ สงเคราะหเ์ ขา้ ใน จติ ตสกิ ขา ๓. สทั ธา พาหุสจั จะ ปญญา สงเคราะหเ์ ขา้ ใน ปญ ญาสิกขา องคแหงภิกษุใหม ๕ ๑. สาํ รวมในพระปาติโมกข เวน ขอท่พี ระพุทธเจา ทรงหา ม ทาํ ตามขอทที่ รงอนุญาต ๒. สํารวมอินทรีย คือ ระวังตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไมใหความยินดียินราย ครอบงาํ ได ในเวลาทีเ่ ห็นรปู ดวยตาเปนตน ๓. ความเปนคนไมเ อิกเกริกเฮฮา ๔. อยใู นเสนาสนะอนั สงบ ๕. มคี วามเหน็ ชอบ องคแหงภิกษใุ หม หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั พระภกิ ษุใหม่ หรอื มพี รรษายงั ไม่ครบหา้ มี ๕ ประการ คอื 38

 3๓๙9 วชิ า ธรรมวิภาค ๑. สํารวมในพระปาติโมกข เวนขอที่พระพุทธเจาทรงหาม ทําตามขอที่ทรง อนุญาต คอื การปฏิบตั ิตามพุทธบญั ญตั ทิ พี ระพุทธเจ้าทรงตงั ไว้เป็นพุทธอาณา เรยี กกนั ว่า อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา ไดแ้ ก่ ศลี ๒๒๗ รวมถงึ ขนบธรรมเนยี มและมารยาทอนื ๆ ของภกิ ษุ ๒. สํารวมอินทรีย คือ ระวังตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไมใหความยินดี ยินรายเขา ครอบงําไดในเวลาท่ีเห็นรูปดวยนัยนตาเปนตน หมายถึงการสํารวมอนิ ทรยี ์ทเี ป็นอายตนะ ภายใน ๖ มี ตา เป็นต้น เช่น ในเวลาทไี ด้ดูรูป ก็ระวงั มิให้ความยินดี ยนิ ร้าย ความชอบใจ ไมช่ อบใจ เขา้ ครอบงาํ ในสงิ ทไี ดด้ ู รเู้ ทา่ ทนั อยตู่ ลอดเวลา ๓. ความเปน คนไมเอิกเกรกิ เฮฮา หมายถงึ ภกิ ษุดาํ รงอยใู่ นฐานะเป็นทเี คารพเลอื มใส ของชาวบา้ น จงึ ตอ้ งครองตนใหอ้ ย่ใู นสมณสารปู ทเี รยี บรอ้ ย น่านบั ถอื ไม่เป็นคนชอบสนุกสนาน รนื เรงิ คกึ คะนอง ไม่พูดจาตลกเฮฮาซงึ เป็นเหตุนําความไม่น่าเลอื มใส ทงั ยงั ทาํ ลายความสงบ สว่ นตวั และสว่ นรวมดว้ ย ๔. อยูในเสนาสนะอันสงัด คอื การอยู่ในสถานทอี ันสงบเงียบไม่พลุกพล่านด้วยฝูงชน หา่ งไกลจากชมุ ชน ๕. มีความเห็นชอบ คอื มคี วามเห็นทถี ูกต้องตามทํานองคลองธรรมทพี ระพุทธเจ้า ทรงแสดงไวแ้ ลว้ ทรงบญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ เหตุทภี กิ ษุใหม่ตอ้ งตงั อยใู่ นธรรม ๕ อยา่ ง เพราะว่าภกิ ษุใหมย่ งั ไม่รถู้ งึ ธรรมวนิ ยั ดี และ ยงั เป็นผไู้ มม่ นั คง ถา้ ไมต่ งั อยใู่ นธรรม ๕ อยา่ งนี โดยเครง่ ครดั แลว้ จะดาํ รงตนเป็นภกิ ษุไดย้ าก หรอื เป็นอยไู่ ดก้ ไ็ มใ่ ชภ่ กิ ษุทดี ี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 39

4๔๐0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 องคแ หงธรรมกถึก ๕ ธรรมกถกึ คอื นักเทศนผูแ สดงธรรม องคแหงธรรมกถึก หมายถึง คุณสมบัติโดยเฉพาะของพระนักเทศน หรือ ขอ ปฏิบตั ิท่พี ระนักเทศนค วรต้ังไวในตน มี ๕ ประการ คอื ๑. แสดงธรรมไปโดยลําดับไมตัดใหขาดความ คือ การแสดงธรรม ต้องไม่ตัด เนือความ คอื ไมใ่ หใ้ จความสาํ คญั ของพระธรรมเทศนานนั ขาดไป ๒. อา งเหตุผลแนะนําใหผูฟงเขาใจ คอื แสดงธรรมชแี จงถงึ เหตุและผลของธรรมนนั ให้ผูฟ้ งั เขา้ ใจชดั เจนยงิ ขนึ ด้วยการยกอุปมาอุปไมยมาเปรยี บเทียบ ซึงจะช่วยให้ผู้ฟงั เขา้ ใจ ไดง้ า่ ยและเขา้ ใจอยา่ งชดั เจน แจ่มแจง้ ทาํ ใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ บั ประโยชน์จากการฟงั เป็นอยา่ งดี ๓. ตงั้ จิตเมตตาปรารถนาจะใหเปนประโยชนแกผูฟง คอื แสดงธรรมดว้ ยเมตตาจติ คดิ หวงั จะใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ บั ประโยชน์จากการฟงั คอื นําไปปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ ๔. ไมแสดงธรรมเพราะเห็นแกลาภ หมายถงึ ไม่แสดงธรรมเพราะเหน็ แกอ่ ามสิ คอื ลาภสกั การะ เพราะถา้ เหน็ แกล่ าภแลว้ ถา้ ไดน้ ้อยกท็ อ้ ถอยไม่แสดงใหเ้ ตม็ ทไี ดม้ ากกจ็ ะสรรเสรญิ เยนิ ยอจนเกนิ ควร ๕. ไมแสดงธรรมกระทบตนและผูอ่ืน คือ วาไมยกตนขมทาน คือ ผู้แสดงธรรม ไม่ถอื เอาการแสดงธรรมของตนพดู กระทบกระเทยี บผอู้ นื ดว้ ยเจตนารา้ ย และไม่อวดเบ่งทบั ถมผอู้ นื ในขณะแสดงธรรม อนั ถอื กนั ว่าเป็นการเสยี มารยาท และไมเ่ คารพในพระธรรม 40

 4๔๑1 วชิ า ธรรมวิภาค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ธัมมัสสวนานิสงส หมายถงึ อานิสงสของการฟงธรรม หรอื ผลดีท่ีเกิดแตการฟง ธรรม มี ๕ ประการ คอื ๑. ผูฟงยอมไดฟงส่ิงท่ีไมเคยฟง คอื พระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ามมี ากมาย การฟงั ธรรมในแตล่ ะครงั ผฟู้ งั ยอ่ มไดฟ้ งั ธรรมทตี นไมเ่ คยไดย้ นิ ไดฟ้ งั มาบา้ งไมม่ ากกน็ ้อย ๒. สงิ่ ใดไดเคยฟง มาแลวแตไมเ ขาใจชัด ยอมเขาใจส่ิงนั้นชัด คอื ถงึ แมผ้ ฟู้ งั จะเคย ฟงั มาแลว้ แต่ไมเ่ ขา้ ใจแจ่มแจง้ เมอื ไดฟ้ งั ซาํ อกี ยอ่ มเขา้ ใจไดช้ ดั เจนยงิ ขนึ ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได คอื ผูฟ้ งั ธรรมทเี ป็นปุถุชน ย่อมมคี วามลงั เลสงสยั ใน ธรรมบางประการ เมอื ไดฟ้ งั ธรรมนนั แลว้ ยอ่ มขจดั ความลงั เลสงสยั ในธรรมและผลของการปฏบิ ตั ิ ธรรมได้ ๔. ทําความเห็นใหถูกตองได คอื ผู้ฟงั ธรรม บางครงั อาจมคี วามเหน็ ทยี งั ไม่ตรงต่อ ความเป็นจรงิ คอื อาจมคี วามเหน็ ทผี ดิ จากทํานองคลองธรรม เมอื ไดฟ้ งั ธรรมทพี ระธรรมกถกึ ชแี จง ยอ่ มทาํ ความเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งได้ ๕. จิตของผูฟงยอมผองใส คอื การตงั ใจฟงั ธรรมเน้นการฝึกอบรมจติ ใหเ้ กดิ ปญั ญา และในขณะทฟี งั ธรรมจติ ของผฟู้ งั ยอ่ มผ่องใส ปราศจากอารมณ์ทเี ศรา้ หมองขนุ่ มวั และเมอื หมด ความลงั เลสงสยั ทาํ ความเหน็ ใหถ้ กู ตอ้ งได้ กน็ ําไปปฏบิ ตั ยิ อ่ มไดร้ บั ผล คอื ความผอ่ งใสของจติ 41

4๔2๒ คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี ๑. สทั ธา ความเช่อื ๒. วริ ิยะ ความพากเพยี ร ๓. สติ ความระลึกได ๔. สมาธิ ความต้ังใจมน่ั ๕. ปญ ญา ความรอบรู พละ คือ ธรรมเปนกําลัง หมายถึง คุณธรรมทเี ป็นกําลงั ทําให้คนเรามคี วามมนั ใจ ในการต่อสเู้ อาชนะศตั รขู องใจคอื กเิ ลสทงั หลาย จนสามารถหลุดพน้ ทกุ ขไ์ ด้ มี ๕ ประการ คอื ๑. สัทธา ความเชื่อ หมายถึง ความเชอื ทปี ระกอบด้วยปญั ญา (ญาณสมั ปยุตตสทั ธา) เป็นความเชอื โดยใชป้ ญั ญาพจิ ารณาคดิ หาเหตุผล และมปี ญั ญากาํ กบั เช่น เชอื กรรม เชอื เรอื งผล ของกรรม เป็นตน้ ๒. วริ ยิ ะ ความเพียร หมายถงึ ความเพยี รระวงั ไม่ใหบ้ าปเกดิ ขนึ ในสนั ดาน เพยี รละบาป ทเี กดิ ขนึ แลว้ เพยี รทาํ ความดี และเพยี รรกั ษาความดที เี กดิ ขนึ แลว้ ๓. สติ ความระลึกได หมายถงึ การระลกึ ไดถ้ งึ ความผดิ ชอบชวั ดี เป็นธรรมกระตุน้ เตอื น จิตให้คิด ทํา และพูดในสงิ ทถี ูกต้อง ไม่ให้เกดิ ความประมาท ได้ชอื ว่าเป็นกําลงั เพราะเป็นเหตุ ควบคมุ ใจใหด้ าํ รงอยอู่ ย่างเขม้ แขง็ กบั กจิ ทกี าํ ลงั กระทาํ อยนู่ นั ใหม้ คี วามรอบคอบ ไมเ่ ลนิ เล่อเผลอสติ ๔. สมาธิ ความต้ังใจม่ัน หมายถึง จิตทตี งั มนั อยู่ในอารมณ์เดยี ว หรอื อาการทจี ิต กาํ หนดแน่วแน่อยกู่ บั สงิ ใดสงิ หนึงไม่ฟุ้งซ่านหรอื ซดั ส่ายไปในอารมณ์อนื ๆ เป็นเหตุใหบ้ ุคคลมจี ติ ใจ และบุคลกิ เขม้ แขง็ หนกั แน่น สงบเยอื กเยน็ ๕. ปญญา ความรอบรู หมายถึง ความฉลาดรอบรู้เข้าใจลึกซึงในเหตุผล ในความดี ความชวั สิงทีเป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เป็นกําลังอุดหนุนใจ ให้รู้เท่าทนั ต่ออารมณ์และ เหตุการณ์ทเี กดิ ขนึ แลว้ จดั การแกไ้ ขปญั หานนั ตามควรแกเ่ หตุ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 42

 4๔๓3 วชิ า ธรรมวภิ าค ธรรมทงั ๕ นี เรยี กอกี อย่างหนึงว่า อินทรีย ๕ หมายถงึ ธรรมท่ีเปนใหญในกิจของ ตน คอื เป็นใหญ่ในการกําจดั ความไรศ้ รทั ธา ความเกยี จครา้ น ความประมาท ความฟุ้งซ่าน ความหลง ไมร่ จู้ รงิ ธรรม ๕ นี ไดช้ อื ว่า อินทรีย ๕ เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน และชอื ว่าพละ ๕ เพราะ เป็นกาํ ลงั อดุ หนุนใหส้ าํ เรจ็ กจิ ทที าํ อนึง พละหรอื อนิ ทรยี ์ ๕ นี จะต้องทําใหอ้ ยู่ในสภาพสมดุลกนั ๒ คู่ คือ สัทธา คู่กบั ปญญา และวริ ิยะ ค่กู บั สมาธิ ทงั ๒ คนู่ ีจะตอ้ งมกี ารปรบั สภาพใหส้ มดุลกนั จงึ จะเป็นธรรมทที าํ ใหเ้ กดิ ผลมาก หากขอ้ ใดขอ้ หนงึ มากเกนิ ไปกจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ สภาพ คอื ถา้ สทั ธามากเกนิ ไปจะทําใหเ้ กดิ ความหลงเชอื อย่างงมงาย ไรส้ าระ แต่ถ้าปญั ญามาก เกนิ ไปกจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ ความคดิ ฟุ้งซ่าน เพราะเป็นการคดิ ทไี มไ่ ดต้ งั อยบู่ นศรทั ธา ดงั นัน สทั ธาและ ปญั ญาจาํ ตอ้ งใชใ้ นอตั ราทสี มดลุ กนั สว่ นวริ ยิ ะหากมมี ากเกนิ ไปกจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ ความฟุ้งซ่าน หากสมาธมิ ากเกนิ ไปกจ็ ะดงิ ลงสู่ ความหลบั หรอื ดงิ ในอารมณ์นนั ๆ ไดง้ า่ ย ดงั นนั ในเวลาปฏบิ ตั กิ รรมฐานจะมกี ารนงั สมาธคิ วบคู่ ไปกบั การเดนิ จงกรม หากนังสมาธโิ ดยไม่เดนิ จงกรม จติ กจ็ ะดงิ ลงในอารมณ์นัน ๆ ไม่สามารถ บรรลุธรรมชนั สงู ขนึ ไปได้ จงึ ตอ้ งเดนิ จงกรมเพอื ใหว้ ริ ยิ ะเกดิ ธรรมอกี ขอ้ หนึงคอื สติ จําเปนตองใชทกุ เมื่อ คอื ทกุ ขณะเวลาและทกุ สถานที ๑. กามฉนั ท ความพอใจรักใครในกาม ๒. พยาบาท ปองรา ยผอู ่ืน ๓. ถนี มทิ ธะ ความหดหูทอแท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 43

เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 44 44

 4๔5๕ วชิ า ธรรมวภิ าค เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๑. รูป คอื ธาตุ ๔ ไดแก ดิน นํ้า ไฟ ลม ประชุมกันเปนกาย ๒. เวทนา คอื ความรูสึกอารมณวาเปนสุข คอื สบายกาย สบายใจ หรือเปนทุกข คือ ไมส บายกาย ไมสบายใจ หรือเฉย ๆ คอื ไมทุกขไ มสขุ ๓. สัญญา คอื ความจําไดหมายรู คอื จํารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และอารมณ ทีเ่ กิดกบั ใจได ๔. สังขาร คือ เจตสิกธรรม ได้แก่ อารมณที่เกิดกับใจ เปนสวนดี เรียกกุศล เปนสว นชัว่ เรียกอกศุ ล เปนกลางๆ ไมด ไี มช วั่ เรยี กอพั ยากฤต ๕. วิญญาณ คอื ความรูอ ารมณใ นเวลาเมื่อรูปมากระทบตา เป็นตน้ ขนั ธ์ ๕ นี ย่อลงเรียกว่า นาม รูป คอื เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเปน นามรูปคงเปนรูป ขันธ แปลว่า กอง ในทนี ีหมายถงึ รางกาย คอื ความประชุมพรอ้ มกนั แห่งอวยั วะทเี ป็น กอง ๆ หรอื เป็นสว่ น ๆ เรยี กว่า ขนั ธ ๕ หรอื เบญจขันธ คอื ๑. รูป หมายถงึ ส่วนทผี สมกนั ของธาตุ ๔ คอื ดนิ นํา ไฟ ลม รวมเขา้ เป็นกาย รูปใน ขนั ธ์ ๕ หมายถงึ รปู ทมี ใี จครองทเี รยี กว่า อุปาทินนกสังขาร ต่างจากรปู ในอายตนะภายนอก ซงึ หมายเอารปู ทสี ามารถเหน็ ไดด้ ว้ ยตา ๒. เวทนา หมายถงึ สว่ นทเี ป็นความรสู้ กึ วา่ เป็นสขุ เป็นทกุ ข์ หรอื ไมส่ ุข ไม่ทุกข์ ไดแ้ ก่ ความรบั รอู้ ารมณ์ของสงิ ทมี าสมั ผสั ทางตา หู จมกู ลนิ กาย ใจ เกดิ ความรสู้ กึ ทเี ป็นสขุ เป็นทกุ ข์ หรอื ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ มอี าการเฉย ๆ ๓. สญั ญา หมายถงึ ความกาํ หนดไดห้ มายรใู้ นอารมณ์ คอื สงิ ทมี ากระทบกบั อายตนะ ภายใน ไดแ้ ก่ การกาํ หนดจาํ สงิ ต่าง ๆ ทไี ดเ้ หน็ ไดย้ นิ วา่ อะไร เป็นอะไร 45

4๔6๖ คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 ๔. สังขาร หมายถงึ สภาพทปี รุงแต่งจติ ใหด้ ี ใหช้ วั หรอื เป็นกลาง ๆ ซงึ แตกต่างจาก สงั ขารในไตรลกั ษณ์ทหี มายเอาสงิ ทปี จั จยั ปรงุ แต่งขนึ ทงั ทเี ป็นอปุ าทนิ นกสงั ขารและอนุปาทนิ นก- สงั ขาร ๕. วิญญาณ หมายถงึ สว่ นทรี แู้ จง้ อารมณ์ของจติ ต่อสงิ ทมี ากระทบ คอื รถู้ งึ สงิ ทมี าสมั ผสั ทางตา หู จมกู ลนิ กาย ใจ เชน่ มรี ปู มากระทบทางตา กร็ วู้ ่าเป็นรปู อะไร เป็นตน้ 46

47 47 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1

๔4๘8 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั ตรี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 พระสงฆ์ ทงั ทเี ป็นสมมติสงฆ์และอรยิ สงฆ์ด้วยการกราบไหว้ แสดงกิรยิ าทนี อบน้อม ต่อท่าน รวมถงึ การเชอื ฟงั ในถอ้ ยคาํ ทที า่ นสงั สอนแลว้ ปฏบิ ตั ติ ามไมแ่ สดงอาการดหู มนิ ดแู คลน ๔. สกิ ขาคารวตา ความเคารพเออ้ื เฟอ ในการศึกษา หมายถงึ การแสดงความเคารพ เอือเฟือในการศึกษาตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญาด้วยการตังใจใฝ่ศึกษา ไมเ่ กยี จครา้ น ไมย่ อ่ ทอ้ ในการศกึ ษาหาความรู้ ไมว่ ่าจะยากหรอื งา่ ยตงั ใจเล่าเรยี นจนกว่าจะสาํ เรจ็ ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพเอื้อเฟอในความไมประมาท หมายถงึ การแสดงความ เคารพเออื เฟือในความไม่ประมาท ดว้ ยการไมเ่ ป็นผเู้ ลนิ เล่อขาดสติ ระวงั ใจไมใ่ หห้ ลงใหลไปกบั สงิ ทมี ายวั ยุ ไมป่ ระมาทในการละทจุ รติ แลว้ หนั มาประกอบสจุ รติ ๖. ปฏิสันถารคารวตา ความเคารพเอ้ือเฟอในการปฏิสันถาร หมายถงึ การแสดง ความเคารพเออื เฟือในการตอ้ นรบั ดว้ ยนําใจโดยการไมท่ าํ ตนใหเ้ ป็นคนใจแคบ ตอ้ นรบั ผมู้ าเยอื น ดว้ ยอธั ยาศยั ไมตรที ดี ี ดว้ ยอามสิ ปฏสิ นั ถารคอื ดว้ ยสงิ ของทเี หมาะสม และธมั มปฏสิ นั ถารคอื การ สนทนาปราศรยั ในสงิ ทเี ป็นประโยชน์ สาราณยิ ธรรม ๖ ๑. เขาไปตั้งกายกรรมประกอบดวยเมตตา ในเพื่อนภิกษุ สามเณร ท้ังตอหนาและ ลับหลัง คือ ชวยขวนขวายในกิจธุระของเพ่ือนกันดวยกาย มีพยาบาลภิกษุไข เปนตน ดวยจิต เมตตา ๒. เขาไปตั้งวจีกรรมประกอบดวยเมตตา ในเพื่อนภิกษุ สามเณร ท้ังตอหนาและ ลับหลัง คือ ชวยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันดวยวาจา เชน กลาวสอนเปนตน ดวยจิต เมตตา ๓. เขาไปต้ังมโนกรรมประกอบดวยเมตตา ในเพื่อนภิกษุ สามเณร ท้ังตอหนาและ ลบั หลงั คอื คิดแตส่ิงทีเ่ ปน ประโยชนแ กเ พ่ือนกัน ๔. แบงปนลาภท่ีตนไดมาแลวโดยชอบธรรมใหแกเพื่อนภิกษุ สามเณร ไมหวงไว บริโภคจาํ เพาะผเู ดียว ๕. รักษาศีลบริสุทธ์ิเสมอกันกับเพ่ือนภิกษุ สามเณรอ่ืนๆ ไมทําตนใหเปนท่ีรังเกียจ ของเพอ่ื นภิกษุสามเณร ๖. มีความเห็นรวมกันกับภิกษุ สามเณรอ่ืน ไมวิวาทกับใครๆ เพราะมีความเห็นผิด กัน (ตางกนั ) 48

 4๔9๙ วชิ า ธรรมวิภาค ธรรม ๖ อยางน้ี ทําผูประพฤติใหเปนที่รักเคารพของผูอื่น เปนไปเพื่อความสงเคราะห กันและกัน เปนไปเพ่ือความไมวิวาทกันและกัน เปนไปเพ่ือความพรอมเพรียงเปนอันหน่ึงอัน เดียวกนั สาราณิยธรรม แปลว่า ธรรมท่ีเปนที่ตั้งแหงความระลึกถึงกัน คอื ผปู้ ระพฤตธิ รรม เหล่านีย่อมเป็นเหตุใหร้ ะลกึ ถงึ ความดที ที าํ ต่อกนั เป็นทเี คารพนับถอื ของผอู้ นื และสมานความ สามคั คกี ลมเกลยี วในหมคู่ ณะไวไ้ ด้ มี ๖ อยา่ ง คอื ๑. เมตตากายกรรม การเขาไปต้ังกายกรรมประกอบดวยเมตตา คือ การช่วย ขวนขวายทาํ กจิ ธุระของกนั และกนั ดว้ ยกาย ไมว่ ่าจะเป็นกจิ ธุระอะไรกต็ าม กเ็ ตม็ ใจช่วยทาํ กจิ ธุระนนั จนสาํ เรจ็ ไมน่ งิ ดดู ายเพราะถอื ว่าไมใ่ ชห่ น้าที ๒. เมตตาวจีกรรม การเขาไปต้ังวจีกรรมประกอบดวยเมตตา คอื การแนะนํา สงั สอน บอกกนั ในทางทีดี ถูกต้อง เมือทําตามแล้วเกิดความดีงาม ไม่มีผลทําให้ผู้ทําตามต้องได้รับ ความเดอื ดรอ้ นภายหลงั ๓. เมตตามโนกรรม การเขาไปตั้งมโนกรรมประกอบดวยเมตตา คอื การตงั จติ เป็น เมตตาปรารถนาแต่ความไมม่ เี วรมภี ยั ต่อกนั มงุ่ หวงั แตค่ วามสขุ ความเจรญิ และประโยชน์ต่อกนั ๔. สาธารณโภคี การแบงปนลาภท่ีหามาไดไมหวงไวบริโภคผูเดียว คอื การแบ่งปนั สงิ ของทตี นหาไดโ้ ดยชอบธรรมแกผ่ อู้ นื เพอื เป็นการเกอื กลู ต่อผทู้ มี ลี าภน้อย ไมห่ วงไวบ้ รโิ ภคผเู้ ดยี ว ๕. สีลสามัญญตา การรักษาศีลใหบริสุทธิ์เสมอกับผูอ่ืน คอื การประพฤตกิ าย วาจา ให้เรยี บรอ้ ยดีไม่มโี ทษ ปฏิบตั ติ นตามพระวนิ ัยบญั ญตั ิ รกั ษาศลี ตามภาวะของตน ไม่ใหข้ าดหรอื ด่างพรอ้ ยเสมอกนั กบั ผอู้ นื ๖. ทิฏฐิสามัญญตา การมีความเห็นรวมกันกับผูอื่น คอื การมคี วามเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ตามพระธรรมวินัย เป็นเหตุให้เกิดความสามคั คกี ลมเกลียวในการปฏิบตั ิหน้าทตี ่าง ๆ ได้อย่าง ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มคี วามเห็นผดิ แปลกไปจากผอู้ นื จนเป็นเหตุแห่งความแตกร้าว บาดหมาง ยอมรบั มตขิ องสว่ นมาก เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 49

เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั ตรี เลม 1 50 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook