กระบวนการพืน้ ฐาน 87 เวลาและทรัพยากรมีจากดั กระบวนการออกแบบการเรียน ชัน้ ที่ 1 กระบวนการออกแบบการเรยี น ชั้นที่ 2 กระบวนการออกแบบการเรียน ชั้นที่ 3 กระบวนการออกแบบการเรยี น ชน้ั ที่ nกระบวนการซับซอ้ น คุณภาพ เวลาและทรพั ยากรมเี หลือเฟอภาพท่ี 4.12 ระบบการออกแบบการเรียนการสอนเลเยอร์ออฟเนคเซสซิตีท่มี า: Tessmer & Wedman, 1990, p. 79 ระบบการออกแบบการเรียนการสอนแรปิดโปรโตไทปิง (rapid prototyping) ระบบนี้พัฒนาขึ้นโดยทริปป์และบิเชลเมเยอร์ (Tripp & Bichelmeyer, 1990) ซ่ึงเป็นนักออกแบบซอฟ์ทแวร์เพื่อการเรียนการสอน เป็นระบบที่พัฒนาข้ึนเพ่ือใช้กับการออกแบบซอฟ์ทแวร์การเรียนการสอนท่ใี ช้คอมพิวเตอร์เป็นฐาน เนื่องจากวิธีการเชิงระบบสาหรับการออกแบบการเรียนการสอนโดยท่ัวไปเน้นประสิทธิภาพของผลผลิตมากกว่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ดังนั้นจึงเป็นระบบการออกแบบการเรียนการสอนท่ีมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ระบบการออกแบบการเรียนการสอนน้ีเน้นการพัฒนาประสทิ ธิภาพของกระบวนการ และมองการออกแบบว่าเป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่มีวิธีการปฏิบัติงานซ่ึงเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหา ออกแบบโครงสร้างการแก้ปัญหา นาไปทดลองใช้ นาข้อมูลจากการดาเนินการไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาระบบการติดตั้งซอฟ์ทแวร์ และการบารุงรักษา ลักษณะของการปฏิบัติงานในแต่ละข้ันตอนมีความสัมพันธ์ในแนวราบ มุ่งเน้นการได้ข้อมูลจากการดาเนินงานในแต่ละกิจกรรม เพ่อื ใช้ในการปรบั ปรุงและพัฒนาประสิทธภิ าพของกระบวนการใหด้ ีข้ึน
88ประเมนิ ความตอ้ งการและเนื้อหา กาหนดจดุ ประสงค์ (Assess Needs & Content) (Set Objectives) สร้างแบบจาลอง[Construct Prototype (Design)] นาแบบจาลองไปทดลองใช้ (วิจัย) (Utilize Prototype (Research)) ระบบติดตัง้ และบารงุ รกั ษา (Install & Maintain System)ภาพที่ 4.13 ระบบการออกแบบการเรียนการสอนแรปิดโปรโตไทปิงท่มี า: ดดั แปลงจาก Tripp & Bichelmeyer, 1990 จากระบบการเรียนการสอนท่ีนาเสนอข้างต้นน้ี จะเห็นว่า แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นระบบการเรียนการสอนตามแนวคิดแบบเดิม ท่ีนาเสนอองค์ประกอบการเรียนการสอนท่ีตายตัวและจัดความสัมพันธ์แบบเส้นตรง (linear) ส่วนกลุ่มท่ีสอง เป็นระบบการเรียนการสอนท่ีมีลักษณะยืดหยุ่น(dynamic) คานึงถงึ บรบิ ทและความเป็นไปได้ในการนาระบบไปใช้ ไม่กาหนดขั้นตอนในการดาเนินการทต่ี ายตัว เมอื่ วิเคราะห์ถึงองค์ประกอบการเรียนการสอนของระบบการเรียนการสอนในกลุ่มแรกพบว่าองค์ประกอบการเรียนการสอนท่ีเป็นปัจจัยป้อนเข้า ประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และผ้เู รียน องค์ประกอบท่ีเป็นกระบวนการ ประกอบด้วย กระบวนการเรียนการสอน การจัดการห้องเรียนการใช้ส่ือการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการ การจัดเวลาเรียน องค์ประกอบท่ีเป็นผลผลิต ได้แก่ผลสมั ฤทธท์ างการเรยี น องค์ประกอบทเ่ี ปน็ การควบคมุ ไดแ้ ก่ การประเมินผลการเรียนการสอนและการประเมินผลผู้เรียน ทุกระบบมีการให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน ระบบการเรียนการสอนที่เสนอในกลุ่มนี้ ระบบของทิศนา แขมมณี ได้เสนอปัจจัยจากส่ิงแวดล้อมที่ควรนามาพิจารณาในการดาเนินการ เช่น ด้านผู้เรียน ด้านสังคม ด้านชุมชน ด้านนโยบายของรัฐ เป็นต้น ระบบการเรียนการสอนของโรมสิ โซฟสกี เป็นระบบท่สี ะท้อนให้เห็นว่าระบบการเรียนการสอนคือการวางแผนเพ่ือแกป้ ัญหาการเรยี นการสอนไดช้ ดั เจนทสี่ ุด สาหรับระบบการเรียนการสอนในกลุ่มที่สอง จะเห็นว่ามองระบบการเรียนการสอนเป็นแผนงานปฏิบตั ใิ นการเรียนการสอน และการบริหารจัดการเรียนการสอนที่ค่อนข้างชัดเจน ดังน้ันระบบ
89การเรียนการสอนในกลุ่มน้ีจึงอาจเรียกว่าเป็นระบบการออกแบบการเรียนการสอน (instructionaldesign model) คอื แสดงวธิ กี ารในการแก้ปญั หาหรอื บริหารจัดการในการเรยี นการสอน เช่น ระบบการออกแบบการเรียนการสอนแอร์ฟอร์ซ โมเดล บางระบบนาเสนอทางเลือกในการดาเนินการในลักษณะต่าง ๆ เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับการออกแบบการเรียนการสอน เช่น ระบบการออกแบบการเรียนการสอนเลเยอร์ออฟเนคเซสซิตี ที่เห็นว่าการออกแบบการเรียนการสอนควรเร่ิมต้นตามเง่ือนไขของทรพั ยากรและเวลาที่มีอยู่ และสามารถพัฒนาไปใช้กระบวนการท่ีมีความซับซ้อนและคาดหวังผลลัพทธ์ทม่ี ากขึ้น เมอ่ื มีทรพั ยากรและเวลามากขึน้ บางระบบก็อาจเป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาเท่าน้ัน มากกว่าจะเรยี กวา่ เปน็ ระบบ เชน่ ระบบการออกแบบการเรยี นการสอนแรปิดโปรโตไทปิง จะเห็นว่าความคิดอย่างเป็นระบบ และวิธีการเชิงระบบที่นามาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แนวคิดเหล่านี้สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอน บริบทในการดาเนินงาน และขอบเขตของงานท่ีทา เช่น การพัฒนาแผนการเรียนการสอนของครู การพฒั นาโครงการสอน หรือการพัฒนาระบบการศกึ ษา เป็นต้นประโยชน์และข้อจากัดของการใชร้ ะบบการเรียนการสอน ระบบการเรียนการสอนและวิธีการเชิงระบบ ได้มีบทบาทสาคัญในการออกแบบและพฒั นาการเรียนการสอน อยา่ งไรก็ตามพบวา่ ระบบการเรียนการสอนและวิธกี ารเชงิ ระบบที่ใช้อยู่เดิมแม้จะมีประโยชน์อย่างมากแต่ก็มีข้อจากัดบางประการ ซึ่งนาไปสู่แนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบการเรียนการสอน และรูปแบบของการออกแบบการเรียนการสอน ดงั น้ี ประโยชน์ของการใช้ระบบการเรียนการสอน ระบบการเรียนการสอนมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ (Smith & Ragan, 1999,pp. 8-9., Dick, carey, Carey, 2001, p.11) 1) ระบบการเรียนการสอนเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวท่ีจัดวางองค์ประกอบของการเรียนการสอนต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบ ทาให้ครูรู้จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน การดาเนินการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลผู้เรียน ซึ่งอานวยความสะดวกแก่ครูในการเตรียมการสอนทาให้เกิดความพร้อมในการดาเนนิ งาน 2) ส่งเสริมให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ คือสามารถควบคุมการดาเนินงานให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพ และประหยัดทรัพยากร รวมท้ังเวลา ดีกว่าการ
90จัดการเรยี นการสอนทขี่ าดระบบ เพราะจะทาให้เกิดความสับสน เพราะไม่ทราบจุดมุ่งหมายชัดเจนและไม่สามารถควบคุมการดาเนนิ งานได้ 3) ชว่ ยให้ครูทราบปญั หาและหาแนวทางในการแกป้ ญั หาการเรยี นการสอนได้อยา่ งเหมาะสมเพราะมีระบบควบคมุ กระบวนการดาเนินการทาให้ทราบวา่ ผลการเรียนรูข้ องนกั เรียนเกิดจากปัญหาการดาเนินงานในส่วนใด เพอ่ื หาทางแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม 4) ช่วยให้ครูได้นาผลการประเมิน และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนใหม้ คี ณุ ภาพดีขน้ึ 5) การนาวิธีการเชิงระบบไปใช้ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาต่าง ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์สาหรับผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ขอ้ จากดั ของการใช้ระบบการเรียนการสอน นักออกแบบการเรียนการสอน มีความเห็นว่าระบบการเรียนการสอนแบบเดิมท่ีจัดองคป์ ระกอบการเรยี นการสอนแบบเสน้ ตรง มขี ้อจากัดในการนาไปใช้ ดังนี้ 1) การนาแนวคิดระบบและวิธีการเชิงระบบมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนน้ันมีค่าใช้จ่ายสูง และใช้ระยะเวลาในการดาเนินการนานกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ตามข้ันตอนการดาเนินงานที่กาหนด แมว้ า่ จะมีคณุ ค่า จึงไมเ่ หมาะกับการพฒั นาการเรียนการสอนทท่ี าในระบบท่ีต้องการการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เช่น การออกแบบสื่อคอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์ที่ต้องมีการปรับตัวตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ีมีการเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว 2) ระบบการเรียนการสอนแบบเดิมมีความซับซ้อน ยุ่งยาก เพราะ เน้นการรวบรวมข้อมูลเชิงประจกั ษ์มากมายเกนิ ความจาเป็น เนอื่ งจากเน้นคุณภาพของผลผลิต เป็นสาคัญ จงึ เปน็ กระบวนการท่ีไม่เหมาะสมในการปฏบิ ัติจริงในระบบเล็ก ๆ เช่นการพฒั นาการเรยี นการสอนของครใู นห้องเรยี น 3) ระบบการเรียนการสอนท่ีกาหนดไว้ตายตัว ไม่สอดคล้องกับบริบทที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันการพัฒนาการเรียนการสอน ควรเริ่มต้นจากความเป็นไปได้ ณ จุดเริ่มต้นใดก็ได้ ตามเง่ือนไขของเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่ และคอ่ ย ๆ ปรบั ปรุงกระบวนการไปตามบรบิ ทและเงื่อนไขท่ีเปลี่ยนแปลงไป
91บทสรปุ ระบบการเรยี นการสอน คอื องคป์ ระกอบของการเรียนการสอนทไ่ี ดร้ บั การจดั ใหม้ คี วามสัมพันธ์กันและส่งเสริมกนั อยา่ งเป็นระบบ โดยมีจุดมงุ่ หมายเพ่ือนาไปใช้เป็นแนวทางการดาเนินการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่ต้องการ ระบบการเรียนการสอนยังช่วยในการวางแผนการเรียนการสอน การประเมินแผนการเรยี นการสอน และการออกแบบการเรียนการสอน เป็นตน้ ระบบการเรยี นการสอนประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบเชงิ ระบบ คอื ปจั จัยป้อนเข้า (input) กระบวนการ(process) ผลผลิต (output) การควบคุม (control) และการให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) นักการศึกษาไดพ้ ัฒนาระบบการเรยี นการสอนเพือ่ ให้เหมาะสมกับการดาเนินการเรียนการสอน ซ่ึงมีอยู่หลายรูปแบบผู้เขยี นได้วิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบการเรยี นการสอนในระบบการเรยี นการสอน ดังน้ี 1) ปัจจยั ปอ้ นเข้า ประกอบด้วย พ้ืนฐานความรู้เดิมของผู้เรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหาสือ่ -อุปกรณ์ แหลง่ การเรยี นรู้ และเวลา 2) กระบวนการ ประกอบด้วย การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาทักษะการเรียนรู้แก่ผู้เรียนและการบริหารจัดการชั้นเรยี น 3) ผลผลิต ประกอบด้วย ผลการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะของผ้เู รียน 4) การควบคมุ ประกอบดว้ ย การวดั ประเมินผลผูเ้ รยี น และการวดั ประเมินผลการเรียนการสอน 5) การใหข้ ้อมูลปอ้ นกลับ หมายถึง ข้อมูลขององค์ประกอบการเรียนการสอนต่าง ๆ ซ่ึงได้รับการบนั ทกึ ไว้ภายหลงั การดาเนินการการเรียนการสอน เพื่อนาไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนตอ่ ไป ในปัจจุบัน ระบบการเรียนการสอนได้รับการพัฒนาให้มีความยืดหยุ่นเพ่ือให้เหมาะสมกับเง่อื นไขดา้ นทรัพยากรและเวลา ตลอดจนการนาไปใช้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์และบริบทการนาไปใช้มากขึ้น ระบบการเรยี นการสอนทีพ่ ัฒนาขึน้ เปน็ ทางเลือกสาหรบั ผู้ออกแบบนาไปประยุกต์ใช้ได้
92 คาถามทบทวน 1. จงบอกองค์ประกอบทีส่ าคัญของระบบ 2. ส่วนประกอบทส่ี มบรู ณ์ของระบบประกอบด้วยอะไรบา้ ง 3. จงบอกความหมายของระบบการเรยี นการสอน 4. จงระบุองค์ประกอบการเรียนการสอนที่เป็นปัจจัยป้อนเข้า (input) ในระบบการเรียนการสอน 5. จงระบุองค์ประกอบการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการ (process) ในระบบการเรียนการสอน 6. จงระบอุ งค์ประกอบการเรยี นการสอนท่ีเปน็ ผลผลติ (output) ในระบบการเรียนการสอน 7. จงระบุองค์ประกอบการเรียนการสอนที่เป็นการควบคุม (control) ในระบบการเรียนการสอน 8. จงระบุองค์ประกอบการเรียนการสอนที่เป็นข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ในระบบการเรียนการสอน 9. จงบอกประโยชนข์ องระบบการเรยี นการสอน 10. จงบอกขอ้ ดีและขอ้ จากัดของการวางแผนการเรียนการสอนอยา่ งเป็นระบบ
93 เอกสารอ้างองิทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรูท้ ่ีมีประสิทธิภาพ (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 15). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.สงดั อทุ รานนั ท์. (2533). เทคนิคการจดั การเรียนการสอนอย่างเปน็ ระบบ. กรุงเทพฯ: มติ รสยาม.Dick, W., Carey, L., & Carey, J. O. (2001). The systematic design of instruction (5th ed.). New York: Pearson Education.Gerlach, V. S. & Ely, D. P. (1971). Teaching and media: A systematic approach. New Jersey: Prentice-Hall.Glaser, R. (1977). Adaptive education: Individual diversity and learning. New York: Holt, Rinehart and Winston.Kemp, J. E., Morrison, G. R. & Ross, S. M. (1994). Designing effective instruction. Columbus, OH: Merrill.Klausmeier, H. J. & Ripple, R. E. (1971). Learning and human abilities. New York: Harper & Row.Richey, R. C., Klein, J. D., & Tracey, M. W. (2011). The instructional design knowledge base. New York: Taylor & Francis.Romiszowski, A. J. (1981). Designing instructional systems: Decision making in course planning and curriculum design. New York: Nichols.Smith, P. L. & Ragan, T. J. (1999). Instructional design (2nd ed.). New Jersey: Prentice- Hall.Tessmer, M. & Wedman, J. F. (1990). “A layers-of-necessity instructional development model.” Educational Technology Research & Development, 38(2), 77-85.Tripp, S. T. & Bichelmeyer, B. (1990). “Rapid prototyping: An alternative instructional design.” Educational Technology Research & Development, 38(1), 31-44.Tyler, R. W. (1949). Basic principles of curriculum and instruction. Chicago: The University of Chicago.
94U.S. Air force. (July 31, 1975). Instructional system development. Washington, DC: UF Manual 50-52.
บทที่ 5 ปจั จยั พืน้ ฐานในการออกแบบการเรยี นการสอน คาถามสาคญั ทค่ี รูต้องการทราบเมื่อได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนในวิชาใดวิชาหน่ึงให้กับนักเรียนก็คือ สอนอะไรและสอนอย่างไร หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ ครูต้องการที่จะทราบจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีเฉพาะเจาะจง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานท่ีใช้เป็นแนวทางสาหรับครูในการจัดการเรียนการสอนนั้นระบุส่ิงเหล่าน้ีไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดของกลุ่มสาระการเรยี นรู้เพียงสังเขปเทา่ นั้น ดงั น้ันแหล่งความร้ทู ี่จาเป็นสาหรับครูในการออกแบบการเรียนการสอน ซ่ึงได้แก่ธรรมชาติของผู้เรียน ธรรมชาติของเนื้อหา และสภาพของสังคม จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานท่ีสาคัญสาหรับครูหรือนักออกแบบการเรียนการสอนเพ่ือนาไปใช้ในการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้เหมาะกับผู้เรียนเนือ้ หาสาระและความตอ้ งการของสังคมธรรมชาติของผเู้ รียน ผู้เรียนเป็นปัจจัยพนื้ ฐานทส่ี าคัญที่สดุ ในการออกแบบการเรียนการสอน หากผู้เรียนขาดความตั้งใจไม่มีความสนใจในการเรียนและไม่สามารถเรียนรู้ได้ การเรียนการสอนของครูก็ล้มเหลว ไม่บรรลุผลการเรยี นรทู้ หี่ ลกั สตู รกาหนดไว้ ดังนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ เช่น พัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิด พัฒนาการทางจริยธรรม ธรรมชาติการเรียนรู้และคุณลักษณะท่ัวไปของผู้เรียน เหล่าน้ีย่อมเป็นสิ่งท่ีครูหรือผู้ออกแบบการเรียนการสอนควรนามาพจิ ารณาเพอื่ ประกอบการกาหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกับธรรมชาติของผู้เรยี น พฒั นาการด้านสตปิ ัญญาและความคิด การศึกษาพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดในช่วงที่ผ่านมา ได้นาแนวคิดของเพียเจต์ ซ่ึงแบง่ พฒั นาการทางสตปิ ัญญาของมนุษยเ์ ปน็ 4 ระยะ ตามลาดบั ข้ันตอน จากข้นั รับรทู้ างประสาทสัมผัสสู่การรับรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ และเร่ิมใช้เหตุผล แต่ยังเป็นการใช้เหตุผลจากการรับรู้ตามสิ่งท่ีเห็นและเร่ิมเข้าใจเหตุผลตามความเป็นจริง จากน้ันจึงเข้าสู่การคิดข้ันสูงสุด คือ การคิดอย่างเป็นเหตุผลเชิงตรรกะแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถอธบิ ายเหตผุ ลและแก้ปญั หาได้
96 เนื่องจากการพัฒนาการคิดและสติปัญญาเก่ียวข้องกับสมองโดยตรง การศึกษาค้นคว้าทางประสาทวิทยา ทาให้ทราบโครงสร้าง หน้าที่ และกลไกในการทางานของสมอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เคนและเคน (Caine & Caine, cited in Gunter, 1995, pp. 7-10) ได้สรุปหลักการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับสมอง (brain based learning) ไว้ 12 ข้อ ซึ่งสามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนดงั น้ี 1) สมองทางานพร้อมกันได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ดังน้ัน ในการจัดการเรียนการสอนควรใช้วิธีการหลากหลายอย่างเหมาะสม เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับรู้ประสบการณ์หลาย ๆ ด้าน ทั้งการเห็น การฟงั การสมั ผสั และการปฏบิ ตั เิ พ่ือส่งเสริมการเรยี นรู้ 2) การทางานของสมองมีความสัมพันธ์กับสภาพของร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆเชน่ ความรสู้ กึ ปลอดภยั ความสบายใจ ดังนั้นจึงต้องจัดสภาพแวดล้อม และปัจจัยต่าง ๆ ที่ทาให้ผู้เรียนมคี วามพร้อมทจี่ ะเรยี น 3) สมองทาหน้าที่คิดและสร้างความเข้าใจ ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้จะต้องกระตุ้นให้สมองไดค้ ิดเพ่อื สรา้ งความรู้ ด้วยการให้ผู้เรยี นมปี ฏิสมั พนั ธ์กนั และทางานรว่ มกัน 4) กระบวนการทางานของสมองเป็นไปอย่างมีระเบียบและเป็นแบบแผน ดังน้ัน ผู้สอนควรอานวยความสะดวกในการเรียนรูแ้ ก่ผเู้ รียน โดยจัดโครงสร้างของเนื้อหาให้มีความเชื่อมโยงกันอย่างเปน็ ระบบ 5) อารมณ์ความรู้สึกมีอิทธิพลต่อการทางานของสมอง ดังนั้นจึงควรจัดสิ่งแวดล้อมท่ีสง่ เสรมิ ทัศนคตทิ ด่ี ีใหก้ ับผู้เรียน 6) สมองทางานท้ังในส่วนย่อยและส่วนรวม และบูรณาการอย่างอัตโนมัติ ซ่ึงเป็นไปตามโครงสร้างของสมอง ที่แบ่งเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายทางานด้านการคิดวิเคราะห์หรือส่วนย่อย ส่วนซีกขวาทางานด้านการสังเคราะห์หรือทางานอย่างบูรณรการเป็นภาพรวม ครูควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการทางานของสมองท้งั สองซกี 7) การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับความสนใจและการรับรู้ ดังนั้นจึงควรใช้กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีส่งเสรมิ การรับรูแ้ ละดึงดูดความสนใจของผูเ้ รยี น 8) การเรียนรู้มีทั้งในส่วนที่เก่ียวข้องกับจิตสานึกและจิตใต้สานึก จึงควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสะทอ้ นหรือแสดงออกในสิง่ ทเ่ี รียนรู้ และใหผ้ ู้เรยี นมเี วลาไดท้ บทวนสิง่ ท่ีเรียนไปแล้ว
97 9) การจามี 2 ประเภท คือ การจาท่ีมาจากประสบการณแ์ ละการจาโดยการท่องจา ดังนั้นจึงควรใหผ้ ้เู รยี นมปี ระสบการณต์ รงและใช้ทักษะในการเรียนรู้สงิ่ ตา่ ง ๆ 10) สมองสร้างความเข้าใจได้ดีจากข้อมูลและทักษะที่ได้จากการปฏิบัติบ่อย ๆ จนจาได้ดงั นัน้ จงึ ควรทบทวนความร้ปู ระสบการณ์และการปฏิบตั ใิ หม้ ีความสัมพนั ธ์กัน 11) สมองจะทางานไดด้ ีเมื่อไดร้ ับการส่งเสรมิ และท้าทาย และจะไม่เกิดการเรียนรู้ถ้าอยู่ในภาวะเครียด หรอื ไดร้ บั ความกดดนั ดงั นั้นควรจัดบรรยากาศท่ีทาให้ผูเ้ รยี นรู้สึกสบายใจ ผอ่ นคลาย ได้รับความสาเรจ็ ไม่ควรทาให้รูส้ ึกวา่ ผดิ พลาด ลม้ เหลว 12) สมองของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรใช้กลยุทธการเรียนรู้ให้เหมาะกบั การเรียนรขู้ องแตล่ ะคน ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญา และการทางานของสมอง จึงช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับช่วงวัยและการทางานของสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะท่ีควบคุมการเรียนรู้ของมนษุ ยโ์ ดยตรง พัฒนาการทางสังคม อิริคสัน (Ericson, cited in Smith & Ragan, 1999, p. 53) เป็นผู้ท่ีศึกษาพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลซ่ึงเกิดจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็กและการปฏิบัติของพ่อแม่และผู้เล้ียงดูตั้งแต่แรกเกิด โดยเชื่อว่าวัยเด็กเป็นวัยที่เรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ รอบตัว ถ้าประสบการณ์ในวัยเด็กสร้างความสุขความพอใจเด็กจะมีความรู้สึกทางบวกต่อสังคม แต่หากประสบการณ์ท่ีได้รับสร้างความทุกข์ใจให้ ความรู้สึกน้ันจะเปลี่ยนแปลงไปทางตรงกันข้าม ความรู้สึกนี้มีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคล อิริคสันแบ่งพัฒนาการทางสงั คมของเด็กเป็น 8 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะที่ 1 ความเชอ่ื ถอื ไว้วางใจหรือความระแวงไม่ไว้ใจ (trust versus mistrust) เป็นพัฒนาการในชว่ งวัยทารก (แรกเกิด - 1 ปี) ทารกพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจซึ่งเป็นผลมาจากการเอาใจใสเ่ ลีย้ งดูของมารดา ถา้ ความต้องการของทารกได้รับการตอบสนองสม่าเสมอดี เช่น เมื่อทารกร้องไห้ต้องการอาหารหรือการเอาใจใส่จากแม่ และได้รับการตอบสนองดีจากแม่ ทารกจะเกิดความไว้วางใจหากการรอ้ งไห้ไมไ่ ดร้ ับความสนใจจากแม่ ทารกจะเกดิ ความรู้สึกคบั ขอ้ งใจ เกิดความร้สู ึกวา่ ตนไมม่ ีค่า ระยะท่ี 2 ความเปน็ ตวั ของตัวเองหรือความไม่มั่นใจ (autonomy versus shame) เป็นพัฒนาการในช่วงวัยเตาะแตะ (2-3 ปี) เป็นช่วงท่ีเด็กมีการรับรู้ไวในการขับถ่าย หากในวัยน้ีเด็กสามารถควบคุม
98การขับถ่ายของตนตลอดจนเคลื่อนไหวร่างกายตามความต้องการได้ จะช่วยให้เกิดความมั่นใจในตนเองในทางตรงขา้ มหากเด็กทาไมไ่ ด้ อกี ทั้งถูกแมท่ าโทษ เดก็ จะเกดิ ความไม่ม่นั ใจ ระยะที่ 3 ความคิดริเร่ิมหรือความรู้สึกผิด (initiative versus guilt) เป็นพัฒนาการวัยเด็กตอนต้น (3-5 ปี) เป็นช่วงวัยที่เด็กมีพัฒนาการทางภาษา และมีความสามารถในการเคล่ือนไหวร่างกายได้ดีข้ึน ทาให้เด็กสามารถสื่อสารและกระทาสิ่งต่าง ๆ ตามที่ตัวเองต้องการได้ ดังนั้น หากเด็กได้รับความสนใจและการตอบสนองด้วยดีในสิ่งที่ตนเองทา เด็กจะเกิดความม่ันใจและกล้าคิด กล้าทา ในทางตรงขา้ มหากถูกลงโทษดุดา่ เด็กจะรู้สึกผดิ และกลัว ระยะท่ี 4 ความสามารถหรือความลม้ เหลว (competence versus inferiority) เป็นพฒั นาการในช่วงวัยประถมศึกษา เด็กในวัยนี้มีความสามารถและทักษะหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ในโรงเรียน เช่นการอ่าน การเขียน การคิดเลข ความสามารถในการใช้มือและสายตาเริ่มประสานกันเป็นอย่างดี ซ่ึงทาใหผ้ ูเ้ รียนสามารถทางานได้มากมาย ทักษะและความสามารถดังกลา่ วจะเปน็ พื้นฐานท่ีทาให้เด็กตระหนักในความสามารถของตน ในทางตรงข้ามถ้าเด็กไม่สามารถทาได้ ขาดทักษะที่ควรมีเด็กจะมีปมด้อยรู้สึกลม้ เหลว ระยะท่ี 5 ความมีเอกลักษณ์หรอื ความสับสนในบทบาท (identity versus identity confusion)เปน็ พฒั นาการของผู้เรยี นในวยั ร่นุ วัยรุ่นเปน็ วัยท่ีตอ้ งการค้นหาเอกลักษณ์ของตนเองหากในวัยน้ี ผู้เรียนสามารถค้นหาบทบาททีเ่ หมาะสมกบั ตนเองไดเ้ ด็กจะไม่มีปัญหาในการหาเอกลักษณ์ประจาตน อย่างไรก็ตามการแสวงหาเอกลักษณ์ก็อาจทาให้วยั รนุ่ เกิดความสบั สนได้เพราะความไม่เขา้ ใจในบทบาทดงั กล่าว ระยะท่ี 6 ความรู้สึกสนิทสนมหรือความโดดเดี่ยว (intimacy versus isolation) เป็นพัฒนาการในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซ่ึงเป็นวัยที่บุคคลสร้างความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ผู้ที่ผ่านวัยรุ่นด้วยความรู้สึกเป็นตวั ของตวั เองและค้นพบบทบาททเี่ หมาะสมของตนเองได้จะสามารถสร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ดกี ับผอู้ นื่ ได้ ในทางตรงข้ามผทู้ ีไ่ ม่ประสบความสาเร็จในการค้นพบตนเองในชว่ งวัยรุ่นจะรู้สึกโดดเดีย่ ว ระยะท่ี 7 ความกระฉับกระเฉงหรือความเฉยเมย (generativity versus stagnation) เป็นพัฒนาการในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง วัยนี้เป็นวัยของการมีบุตรและมีหน้าที่การงาน หากบุคคลประสบความสาเร็จในครอบครัวและหน้าท่ีการงานก็จะมีความสุข เกิดความกระฉับกระเฉงในการดาเนินชีวิตในทางตรงข้ามผทู้ ีล่ ม้ เหลวจะรู้สกึ เฉ่อื ยชา เฉยเมย ขาดความกระตอื รือรน้ ในการดาเนนิ ชีวติ ระยะที่ 8 ความภาคภูมิใจหรือความส้ินหวังท้อแท้ (integrity versus despair) เป็นพัฒนาการในวัยชราหรือขั้นสุดท้ายของชีวิต ในวัยน้ีสุขภาพร่างกายจะอ่อนแอลง ในขณะเดียวกันก็ตระหนักถึง
99ความตายที่รออยู่ข้างหน้าซ่ึงไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ ดังน้ันบุคคลในวัยน้ีหากในช่วงที่ผ่านมาประสบความสาเรจ็ จะร้สู กึ ถึงคุณค่าท่ีตนมอี ยู่ สามารถปรับตัวใชช้ ีวติ ทม่ี ีอยอู่ ย่างมคี วามสขุ ได้ ในทางตรงข้ามผู้ที่ไมส่ ามารถปรับตวั ยอมรบั ตนเองและผอู้ ่นื ไดจ้ ะมคี วามรู้สึกขมขื่น ส้ินหวังในบน้ั ปลายของการดาเนินชีวติ พัฒนาการทางจริยธรรม โคลเบอร์ก (Kohlberg, cited in Smith & Ragan, 1999, p. 54) ได้ศึกษาพัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคล โดยวิธศี กึ ษาวเิ คราะห์คาตอบทบ่ี ุคคลให้เหตุผลอธิบายการแสดงออกของพฤติกรรมในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทางจริยธรรมและนามากาหนดเป็นข้ันพัฒนาการทางจริยธรรมซงึ่ เป็นไปตามลาดบั ข้ันจากระดบั ตา่ ไปสรู่ ะดับสงู จะขา้ มขัน้ ไม่ได้ ซง่ึ แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ระดบั ดงั น้ี ระดับที่ 1 ระดับจริยธรรมท่ียึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric period) เป็นพัฒนาการทางจริยธรรมในชว่ งวยั เด็ก พอ่ แม่มักเป็นผวู้ างกาหนดกฎเกณฑ์พฤติกรรมทางจริยธรรมว่าส่ิงใดดีหรือไม่ดีเด็กในวัยน้ีจะเก็บกดความต้องการแสดงพฤติกรรมบางอย่างของตนเอง และยอมรับเอากฎเกณฑ์ที่พ่อแม่กาหนดเพราะกลัวการลงโทษ และจะทาดีเพราะต้องการรางวัลหรือสิ่งท่ีทาให้ตนเองเกิดความพอใจดังนน้ั จริยธรรมในระดับนจ้ี งึ เปน็ จริยธรรมเพ่ือตอบสนองความตอ้ งการของตนเองเปน็ สาคัญ ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามที่สังคมยอมรับ (conventional morality stage) เป็นพัฒนาการทางจริยธรรมในช่วงวัยเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ผู้เรียนจะยอมรับพฤติกรรมทางศีลธรรมจรรยาและกฎเกณฑท์ ่ีกาหนดข้นึ ในสงั คมทีต่ นเปน็ สมาชกิ อยู่ เชน่ ทบี่ ้าน โรงเรียน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศ เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้มีอานาจเหนือกว่าตนและสมาชิกที่อยู่ร่วมในสังคมนั้น เพ่ือให้ตนไดร้ ับการยอมรบั จากสังคม ระดบั ที่ 3 ระดบั จริยธรรมทยี่ ึดถือหลักการเหนือกฎเกณฑ์ท่ีสังคมสร้างข้ึน (post-conventionalor principled morality stage) เป็นพัฒนาการทางจริยธรรมในวัยผู้ใหญ่ การแสดงพฤติกรรมทางจริยธรรมในระดับน้ี ยึดถือหลักการความถูกต้องตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่ตนเองหรือกลุ่มยึดถือ โดยผ่านการพิจารณาไตร่ตรองอย่างดีตามความเช่ือหรือหลักการที่กลุ่มยอมรับ พฤติกรรมทางจริยธรรมในระดับน้ีได้แก่ การปฏบิ ัติตามคา่ นยิ มที่ยดึ ถอื อุดมการณ์ และความเช่ือ เป็นตน้ จะเห็นว่า พฤติกรรมแสดงออกของบุคคลในแต่ละช่วงวัยเป็นผลมาจากพัฒนาการแต่ละด้านซง่ึ แตล่ ะคนแสดงออกไมเ่ หมือนกนั เน่ืองจากความแตกต่างในการพัฒนาของแต่ละบคุ คล
100 ธรรมชาติการเรยี นรูข้ องผูเ้ รียน โคล์บ (Kolb, cited in Kellough & Roberts, 1994, p. 71) กล่าวถึงความแตกต่างในการเรียนรู้ของผูเ้ รียนว่าข้ึนกับกระบวนการ 2 อยา่ ง คือ กระบวนการรับรขู้ อ้ มลู หมายถึงการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้และสร้างความรู้สึก และกระบวนการจัดกระทากับข้อมูลข่าวสาร ซ่ึงหมายถึงกระบวนการจดจาคิด วิเคราะห์ รวบรวม ตีความ แปลความข้อมูลที่ได้รับ บุคคลแต่ละคนมีรูปแบบของการดาเนินการในกระบวนการทัง้ สองแตกตา่ งกนั เราสามารถแบ่งผู้เรียนตามลักษณะการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกันเป็น 4 แบบได้แก่ แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) เน่ืองจากมีการรับรู้ผ่านประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรมและใช้กระบวนการจัดกระทาข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง กิจกรรมการเรยี นรทู้ ีเ่ หมาะกับนกั เรียนที่มีสไตล์การเรยี นรู้ในกลมุ่ นีค้ ือ กจิ กรรมการเรยี นรู้ทใี่ หน้ ักเรียนรับรู้ข้อมูลผา่ นการอ่าน ฟัง สงั เกต และบันทึกข้อมูล แบบที่ 2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดท่ีเป็นนามธรรมและใช้กระบวนการจัดกระทาข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีเหมาะกับนกั เรียนท่ีมีสไตล์การเรียนรู้ในกลุ่มน้ีคือ จัดกิจกรรมที่ผู้เรียนได้อภิปราย แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น วิเคราะห์ และจัดระบบข้อมูล แบบท่ี 3 เปน็ ผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสานึก (commonsense learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมและชอบใช้กระบวนการลงมือกระทา กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเหมาะกับนักเรียนท่ีมีสไตล์การเรียนรู้ในกลุ่มน้ีคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ สารวจ สืบค้นเพื่อรวบรวมขอ้ มลู แบบท่ี 4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดในการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านประสบการณ์ท่เี ปน็ รูปธรรมและชอบใช้กระบวนการลงมือกระทา กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเหมาะกับนักเรียนที่มสี ไตลก์ ารเรียนรูใ้ นกลุ่มนี้คอื จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้นาความรู้ไปทดลองใช้ สร้างสรรค์คิดประดษิ ฐ์ แก้ปญั หาในสถานการณ์ต่าง ๆ เน่อื งจากผเู้ รียนมีความแตกต่างในแบบการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นการคัดเลือกกิจกรรมการเรยี นการสอนควรใหส้ อดคล้องกบั ธรรมชาตกิ ารเรยี นรขู้ องผเู้ รียนหรอื ทเ่ี รยี กวา่ สไตล์การเรยี นรู้
101 คณุ ลักษณะท่วั ไปของผเู้ รียน นอกจากพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนท่ีควรทราบดังกล่าวแล้ว ผู้เรียนยังมีคุณลักษณะท่ัวไปท่ีแตกต่างกันซึ่งผู้ออกแบบการจัดการเรียนการสอนควรได้คานึงถึง คุณลักษณะดังกล่าวประกอบด้วยสิง่ ตอ่ ไปน้ี 1. คุณลกั ษณะของผเู้ รียนทางสตปิ ัญญา บุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกนั ทางสติปัญญาดังนี้ 1.1 เชาวนป์ ัญญา (intelligence) แต่เดิมนั้นความคิดเก่ียวกับเชาวน์ปัญญาจะติดอยู่ที่ความสามารถทางดา้ นภาษา คณิตศาสตรแ์ ละความคดิ เชงิ ตรรกะเป็นหลกั การวดั เชาวน์ปัญญาหรือ I.Q.ไดจ้ ากคะแนนจากแบบทดสอบทว่ี ดั ความสามารถท้ัง 2 ด้าน เทียบกับระดับอายุตามปีปฏิทิน แต่หลังจากท่ีการ์ดเนอร์ (Gardner) ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence) และได้ให้ความหมายของเชาวน์ปัญญาแตกต่างจากคาจากัดความเดิมท่ีมีผู้ให้ไว้ โดยเชาวน์ปัญญา หมายถึง ความสามารถในการแกป้ ญั หาในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ หรือการสร้างผลงานตา่ ง ๆ ซึ่งข้ึนกับบริบททางวัฒนธรรม นอกจากน้ันเชาวน์ปัญญายังมีหลากหลายถึง 8 ดา้ น ดว้ ยกัน คอื (ทิศนา แขมมณี, 2555, หน้า 86-88) 1) ด้านภาษา เป็นความสามารถในการเรียนรู้โดยผ่านการใช้ทักษะทางภาษา ได้แก่การฟงั -พดู การอ่าน-เขยี น 2) ด้านคณิตศาสตร์หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ เป็นความสามารถในการเรียนรู้ด้านจานวน ตวั เลข ทักษะการคดิ คานวณ การตง้ั สมมติฐานและการให้เหตุผล 3) ด้านมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และระยะทางจึงสามารถทาได้ดใี นการวาด การสร้างและการออกแบบเป็นผู้ที่ถนัดการเรียนรู้ผ่านการสังเกตความแตกตา่ ง การจินตนาการเกยี่ วกบั สิง่ ต่าง ๆ การสร้างภาพและการใชส้ ี 4) ดา้ นดนตรี เปน็ ความสามารถเกี่ยวกบั จงั หวะ ทานองและการตอบสนองต่อเสียงต่าง ๆเชน่ เสียงเพลง การแยกเสยี งสูง เสยี งต่า เปน็ ต้น 5) ด้านการเคลือ่ นไหวร่างกายและกล้ามเน้ือ เป็นผู้ที่มีความสามารถเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย เรียนรผู้ า่ นการเคล่ือนไหว การใชก้ ายสัมผัส เชน่ นักกฬี า นักเต้นรา เป็นตน้ 6) ด้านการสัมพันธ์กับผ้อู ่นื เป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการเข้าใจผู้อ่ืน จึงสามารถเรียนรู้จากการทางานร่วมกับผู้อืน่ ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
102 7) ดา้ นการเขา้ ใจตนเอง เป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการเข้าใจตนเอง สามารถวิเคราะห์ความตอ้ งการของตนเอง การปฏิบัติงานและการเปลี่ยนแปลงของตนเองที่เกิดขึ้นได้ จึงเหมาะที่จะเรียนรู้และทางานโดยลาพัง 8) ด้านความเข้าใจธรรมชาติ เป็นผู้ที่มีความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติมีความรัก ความสนใจและเห็นความสาคัญของธรรมชาติ จึงเรียนรู้เก่ียวกับเร่ืองพืช เรื่องสัตว์ได้ดี 1.2 ระดับความสามารถในการอ่าน การอา่ นเปน็ เคร่ืองมือในการเรียนรู้ท่ีสาคัญซึ่งในแต่ละคนมรี ะดบั ความสามารถในการอา่ นไมเ่ ท่ากัน 1.3 ความรแู้ ละประสบการณ์เดิมที่มีมาก่อน ท้ังที่เป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับตนเองและสังคมและความรูเ้ ฉพาะตลอดจนทักษะทีม่ มี าก่อนเปน็ พืน้ ฐานซงึ่ แต่ละคนมไี มเ่ หมือนกนั 1.4 ยุทธศาสตร์ในการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการและแผนการท่ีบุคคลใช้ในการเรียนรู้ และการรู้จกั ควบคมุ ตนเองเพ่ือให้เกิดพฤตกิ รรมการเรยี นทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จตามทค่ี าดหมายอยา่ งรวดเร็วและมปี ระสิทธภิ าพ (กรมวชิ าการ, 2539) ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ท่ีบุคคลใช้ในการเรยี นรเู้ นอ้ื หาที่แตกต่างกันมีวิธีการแตกต่างกัน อย่างไรก็ดียุทธศาสตร์ท่ีบุคคลใช้ในการเรียนรู้ท่ีสาคัญประกอบด้วยยุทธศาสตร์การจา ยุทธศาสตร์การคิดและการควบคุมการคิดของตนให้อยู่ในแนวทางที่ตอ้ งการ ยุทธศาสตร์การควบคมุ อารมณ์และยทุ ธศาสตร์ด้านสังคมหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพ่ือช่วยในการเรยี นรู้ 2. คุณลักษณะของผู้เรียนด้านร่างกาย ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังน้ี (สุนีย์ธรี ดากร, 2542) 2.1การรับรู้ทางประสาท การรับรู้เป็นกระบวนการรับข้อมูลข่าวสารผ่านทางประสาทรับสัมผัส ซึ่งประกอบด้วย การเห็น การได้ยิน การรับรส การรับความรู้สึกทางสัมผัส ผู้เรียนแต่ละคนมีการรับรู้ทางประสาทแตกต่างกัน อันเน่ืองจากความสมบูรณ์หรือบกพร่องของประสาทสัมผัสดังกล่าวเช่น บางคนสายตาสั้น บางคนสายตายาว บางคนตาบอดสี ซ่ึงล้วนมีผลต่อการรับรู้ของข้อมูลข่าวสารนอกจากนนั้ ปจั จัยแวดลอ้ มก็ยังส่งผลต่อการรบั รู้ของมนษุ ย์ เชน่ ภาพลวงตา การรับรู้ภาพ และพ้ืนท่ีเป็นสขี าวและดาสลับกัน เปน็ ตน้ 2.2 เพศ ในแต่ละสังคมมักจะมีความคาดหวังในบทบาทของเพศชายและเพศหญิงแตกต่างกัน เช่น บทบาทในครอบครัว ในงานอาชีพ เป็นต้น จากการใช้แบบสอบถามของเธอร์สโตน
103(Thurstone) เพ่ือวัดพื้นฐานความสามารถทางสติปัญญาระหว่างเพศชายและเพศหญิง พบว่าผู้ชายเก่งกว่าผหู้ ญงิ ในการมองเห็นความสมั พันธ์ของสง่ิ ตา่ ง ๆ และการแก้ปัญหา ส่วนเพศหญิงเก่งกว่าเพศชายในเร่ืองความสามารถทางด้านภาษา ความสามารถทางเหตุผล และความสามารถในการใช้คา 2.3 อายุ จากการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์พบว่า ในแต่ละช่วงวัยจะมีความแตกต่างในด้านพัฒนาการความสามารถทางร่างกาย สติปัญญา และพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคม ที่สังเกตได้ชัดเจนและแน่นอน 3. คณุ ลักษณะของผเู้ รียนด้านเจตคติ ผเู้ รียนแต่ละคนมีความแตกตา่ งกัน ดงั นี้ 3.1 แรงจูงใจทางวิชาการ ผู้ท่ีมีแรงจูงใจทางวิชาการ หมายถึงผู้ที่เห็นความหมายความสาคัญของผลที่จะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และคาดหวังว่าจะประสบความสาเร็จในการเรียน ดังน้ันบทบาทของครกู ค็ ือ ทาให้นกั เรยี นเห็นคณุ ค่าของส่ิงที่เรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนต้ังความคาดหวังได้เหมาะสมกับระดับความสามารถ เพ่ือให้มีโอกาสประสบความสาเร็จ ตลอดจนสนับสนุนช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้ประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ 3.2 ความสนใจ ผทู้ ี่มคี วามสนใจในสิ่งใดย่อมทาส่ิงนั้นได้ดี บุคคลมีความสนใจแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากความชอบ ความคุ้นเคย ความถนัดและพ้ืนภูมิหลังท่ีสัมพันธ์เกี่ยวข้องในสิ่งน้ัน หรือบางคร้ังเนื่องมาจากความแปลกใหม่ก็ได้ ดังนั้นการค้นพบความสนใจของผู้เรียนและสาเหตุท่ีทาให้ผู้เรยี นเกดิ ความสนใจการเรยี นรู้ ก็จะชว่ ยในการจัดการเรยี นรใู้ หเ้ ป็นที่น่าสนใจ 3.3 ทัศนคติต่อการเรียนและวิชาท่ีเรียน คือ ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อการเรียนและวิชาที่เรียน ทศั นคติเปน็ ได้ท้ังในดา้ นบวกและด้านลบ 3.4 ระดับความตื่นตัว (anxiety) คนทุกคนมีการต่ืนตัวอยู่เสมอ จากระดับท่ีเฉ่ือยชาทสี่ ดุ จนถงึ ระดบั ตื่นเตน้ ทีส่ ดุ ระดบั ของการตื่นตวั ทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ที่ดีทีส่ ุด คือ ระดบั กลาง 3.5 ความรูส้ ึกของผู้เรียนที่มีต่อตนเอง ต่อโรงเรียน ครูและเพ่ือนร่วมช้ัน เป็นสิ่งที่มีผลต่อการเรยี นร้มู าก 3.6 การอทุ ศิ ให้กบั ความสาเร็จ หมายถึง การทบี่ ุคคลทุม่ เทความพยายามของตนเองในการทางานเพ่ือให้เกดิ ความสาเรจ็ ซึง่ บางคนมมี าก บางคนมนี ้อย 3.7 ความเช่ือและศรัทธา เป็นคุณลักษณะด้านเจตคติท่ีมีพลังต่อการแสดงพฤติกรรมของบคุ คลค่อนขา้ งมาก ดงั นนั้ จงึ เปน็ ส่ิงทไ่ี มค่ วรมองขา้ ม
104 4. คุณลกั ษณะของผเู้ รียนด้านสังคม ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกัน ดงั นี้ 4.1 แนวโน้มที่จะร่วมมือและแข่งขัน จอห์นสัน จอห์นสัน และโฮลูเบค (Johnson,Johnson, & Holubec, 1994, pp. 1-3) กลา่ วถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้เรียนในการเรียนรู้ว่ามี 3ลกั ษณะ คอื ลักษณะแข่งขันในการเรียนรู้ (competition) ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคนอืน่ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ะแนนดี ได้รับการยกย่อง ลักษณะที่สอง ต่างคนต่างเรียน (individualism) คือ แต่ละคนต่างรับผิดชอบดูแลตนเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อ่ืน และลักษณะท่ีสาม ร่วมมือและช่วยกันเรียนรู้(cooperation) ในการจดั การเรียนรู้นน้ั ควรใหโ้ อกาสผู้เรยี นได้เรยี นรทู้ ง้ั 3 ลักษณะ โดยเลือกใช้ลักษณะการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ แต่ในปัจจุบันเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางสังคมมีการแข่งขันสูงในห้องเรยี นจงึ ควรส่งเสรมิ การเรยี นแบบรว่ มมอื 4.2 พ้ืนเพด้านเศรษฐกิจสังคม เป็นความแตกต่างอันเน่ืองมาจากการประกอบอาชีพเช่น ผู้มอี าชีพทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ ลูกจ้าง ข้าราชการ เป็นต้น และถ่ินอาศัย เช่นผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเมือง ในชนบท หรือก่ึงเมืองกึ่งชนบท ความแตกต่างน้ีย่อมส่งผลต่อประสบการณ์การเรียนรู้และเจตคตทิ ่มี ีตอ่ การเรยี นรูแ้ ตกต่างกนั 4.3 พื้นเพทางด้านเชื้อชาติ สังคมท่ีมีการขยายตัวและเปิดกว้างในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนต่าง ๆ โดยเฉพาะการติดต่อ เช่ือมโยงกันในด้านเศรษฐกิจ การค้า กว้างขวางเพียงใดย่อมมีผู้คนที่แตกต่างกันในด้านเชื้อชาติหล่ังไหลมาอยู่ร่วมกันมากข้ึน เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ดังเช่นสังคมไทยท่ีเปิดรับแรงงานจากประเทศเพ่ือนบ้านและกาลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558เรากจ็ ะพบสภาพเชน่ น้ีเกดิ ขน้ึ อย่างหลีกเลยี่ งไม่ได้ 4.4 พ้ืนเพทางด้านศาสนา ผู้คนทีม่ เี ช้อื ชาตแิ ตกตา่ งกนั กม็ ักจะมีความเชื่อ ความศรัทธาต่อศาสนาท่ีแตกต่างกัน เหล่าน้ีย่อมมีผลต่อแนวคิดและปรัชญาในการดาเนินชีวิตของบุคคลท่ีแตกต่างกันด้วย จะเหน็ วา่ คุณลักษณะทง้ั 4 ด้าน ดังกล่าว ทาให้ผู้เรียนมีความแตกต่างหลากหลายมากข้ึน การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนควรได้นาคุณลักษณะทั่วไปดังกล่าวของผู้เรียนมาพิจารณาประกอบด้วย
105ธรรมชาติของเนอื้ หา ในการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เน้ือหาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจุดประสงค์การเรียนรู้แหล่งท่ีมาของเน้ือหาน้ีได้มาจากสาระความรู้ที่ปรากฏอยู่ในหลักสูตร ความต้องการของผู้เรียนและความต้องการของสังคม ครูและผู้ออกแบบการเรียนการสอนจาเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของเน้ือหา เกณฑ์ในการคดั เลอื กเนอ้ื หา การจดั เรียงเนอ้ื หา และรูปแบบของเนื้อหาเพื่อนาไปใช้ในการกาหนดเนอื้ หาใหม้ คี วามเหมาะสมกับการนาไปใช้จดั การเรียนรู้แก่ผูเ้ รียน ประเภทของเน้ือหา ในการจัดประเภทของเน้ือหาได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนะแนวคิดไว้ เช่น กานเย(Gagné) บลมู (Bloom) และเมอรร์ ิล (Merrill) ดงั นี้ กานเย บริกส์ และเวเกอร์ (Gagné, Briggs, & Wager, 1992, pp. 43-48) แบ่งเน้ือหาออกเปน็ 5 ประเภท ได้แก่ 1) ความรู้ท่ัวไป (declarative knowledge) หมายถึง ความรู้ในการจดจา เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆข้อความหรือข้อสรุปจากส่ิงที่เป็นข้อเท็จจริง รายการ ช่ือ ข้อมูลสารสนเทศ เป็นความรู้ในระดับท่ีรู้ว่าส่ิงน้นั คอื อะไร 2) ทักษะเชาวน์ปัญญา (intellectual skills) หมายถึง ความรู้ในการประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ความรู้ท่มี มี ากอ่ นไปใชส้ รา้ งความหมาย ความเข้าใจ ในระดับสูงขน้ึ ซงึ่ ตรงกับความสามารถของสติปัญญาในด้านการนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าของบลูม ผู้เรียนจะมีความสามารถในการจาแนก จัดกลุ่ม จัดประเภท สรุปอ้างอิง ซ่ึงทั้งหมดนี้นาไปสู่การสร้างความคิดรวบยอด ความสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของความคิดรวบยอดท่ัวไปสู่การเรียนรู้หลักการ นอกจากน้ัน กานเยยังหมายรวมถึงความสามารถในการปฏบิ ัติงานตามข้ันตอนได้ และสุดทา้ ยสามารถแกป้ ญั หาได้ 3) ยุทธศาสตรก์ ารคดิ (cognitive strategies) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการดาเนินการควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ หรือหมายถึง การเรียนรู้วิธีการเรียน (learning how to learn) ซ่ึงนับว่าเป็นเรื่องสาคญั และเป็นจดุ เนน้ ของการเรียนรู้ตามแนวปฏริ ูปการศกึ ษาในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์การเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เน้ือหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ครูควรสอนโดยตรงให้กับนักเรียน ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ที่สาคัญ ได้แก่ วิธีการจา วิธีการสร้างความรู้
106ความเข้าใจ วิธีการจัดระเบียบความรู้ วิธีการควบคุมการเรียนรู้ของตน และวิธีการสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน 4) เจตคติ (attitude) หมายถึง สภาวะทางจติ ใจ ซ่งึ ทาใหผ้ ูเ้ รียนเลอื กแสดงพฤตกิ รรมอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ผู้ที่มีความรักใคร่เอ็นดูสัตว์ก็จะซ้ือสัตว์มาเล้ียงในบ้าน นักเรียนท่ีชอบวิทยาศาสตร์ก็จะเลือกเรยี นสายวทิ ย์ เป็นต้น 5) ทักษะทางกาย (psychomotor skills) หมายถึง ความสามารถในการทางานโดยอาศัยการเคลื่อนไหวของกลา้ มเนื้อ ซ่ึงตอ้ งอาศัยความรู้และการฝึกฝน จนสามารถแสดงพฤติกรรมนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว เมอร์ริล แบ่งเน้ือหาออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ข้อเท็จจริง (fact) ความคิดรวบยอด (concept)ขั้นตอนการปฏิบัติ (procedures) และหลักการ (principles) ในแต่ละประเภท เมอร์ริลยังแบ่งผลการเรียนรู้ด้วยระดับของการปฏิบัติตามลาดับข้ันดังนี้ ข้ันจาได้ (remember) ข้ันใช้ (use) และขั้นคน้ พบ (find) ซึง่ ระบบการแบ่งเช่นนเ้ี ป็นท่ีนิยมในหมู่นักออกแบบการสอน อย่างไรก็ตามแนวคิดการจัดแบ่งประเภทของกานเย เป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับในการนาไปใช้อย่างแพร่หลายมากท่ีสุดและเป็นประโยชน์มากท่ีสดุ ในการจัดการเรยี นการสอน (Smith & Ragan, 1999, p. 65) นอกจากการแบง่ ประเภทเน้ือหาตามแนวคิดของกานเยและเมอร์ริลแล้ว ยังสามารถจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับการจัดประเภทจุดประสงค์ของบลูม ออกเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้ (knowledge) ทักษะ(skill) และทศั นคติ (attitude) (Kellough & Roberts, 1999, pp. 210-218) ดงั นี้ 1. ความรู้ เนื้อหาที่จัดเป็นความรู้ สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ ข้อเท็จจริง (fact)ความคิดรวบยอด (concept) และหลกั การ (generalizations) 1.1 ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความหรือเหตุการณ์ท่ีเป็นมาหรือที่เป็นอยู่จริง(ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, หน้า 172) เอกเกน (Eggen, cited in Gunter, Estes, & Schwab, 1995, p.30) ใหน้ ิยามข้อเท็จจริงว่า คือ เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในอดีตและยังคงดารงอยู่ในปัจจุบัน โดยปราศจากการเสริมแต่งด้วยค่านิยมหรือการคาดเดา รับรู้ผ่านกระบวนการสังเกตอย่างเป็นระบบ ข้อเท็จจริงได้รับการรวบรวมจากการสังเกตเหตุการณ์โดยตรง เช่น การสังเกตในห้องปฏิบัติการทดลอง การดึงจากแหล่งข้อมูลเชน่ จากพจนานุกรม สารานุกรม เป็นต้น จะเห็นว่าในการเรียนการสอนนั้นจะมีเน้ือหาท่ีเป็นข้อเท็จจริงซ่ึงสะทอ้ นเอกลกั ษณ์ธรรมชาติของเนื้อหาที่สอน ซ่ึงหลักสูตรกาหนดให้เรียน เช่น ระบบสุริยจักรวาลมีดวงอาทิตยเ์ ปน็ ศนู ย์กลาง มีบริวารเปน็ ดาวเคราะห์ 9 ดวง เป็นต้น
107 1.2 ความคิดรวบยอด หมายถึง ภาพหรือความคิดในสมองที่เป็นตัวแทนของส่ิงใดส่ิงหน่ึงประกอบด้วยคุณสมบัติร่วมท่ีสาคัญของสิ่งน้ันซึ่งขาดไม่ได้ หากขาดไปจะทาให้ไม่ใช่สิ่งนั้น เช่นดอกไม้ทุกชนิดมีลักษณะร่วมคือ มีกลีบดอก เกสร และก้านดอก (ราชบัณฑิตยสถาน, 2555, หน้า 106)ชื่อที่ใช้เรียกข้อมูล ข้อเท็จจริงท่ีได้รับการจัดแบ่งประเภทแล้วจะมีลักษณะสาคัญท่ีแฝงอยู่หรือมีความคิดรวบยอดอยู่ในส่ิงนั้น ผู้เรียนทุกระดับอายุสร้างความคิดรวบยอดและกาหนดชื่อให้กับความคิดรวบยอดเพื่อสร้างความหมายให้กับส่ิงเร้าต่าง ๆ ในโลก ถ้าทุกอย่างในโลกถูกมองอย่างแยกส่วน ไม่สัมพันธ์เช่ือมโยงคิดดูว่าจะมีสิ่งท่ีมนุษย์ต้องจดจามากมายเพียงใด ในการสร้างความคิดรวบยอด ผู้เรียนจาเป็นต้องศึกษาความเหมือน ละเลยความแตกต่างและนาสิ่งที่เหมือนกันจัดไว้ในประเภทเดียวกันตัวอย่างเช่น ห้องครัว หมายถึง ส่วนหนึ่งของพ้ืนท่ีภายในบ้านท่ีใช้ประกอบอาหาร ภายในห้องครัวจึงมีอุปกรณ์ของใช้เก่ียวกับการปรุงอาหาร มีท่ีจัดเก็บอาหารและภาชนะสาหรับใส่อาหาร ดังน้ันเมื่อไรก็ตามทเี่ ราเห็นห้องที่มีลักษณะสาคัญดังท่ีกล่าวมาข้างต้นไม่ว่าท่ีใดก็ตาม เราก็สามารถเรียกช่ือห้องน้ันได้วา่ เปน็ ห้องครัว ความคิดรวบยอดยงั แบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คอื 1) ความคิดรวบยอดท่ีเป็นรูปธรรม (concrete concept) เช่น คาว่า แมว บ้านผูห้ ญงิ แม่ เปน็ ตน้ 2) ความคิดรวบยอดที่ต้องให้คาอธิบาย (defined concept) หมายถึง ความคิดรวบยอด ทเ่ี ป็นนามธรรม เชน่ กรด ดา่ ง สัตวเ์ ล้ียงลูกด้วยนม ประชาธปิ ไตย เปน็ ตน้ 1.3 หลักการ หมายถึง ข้อความท่ีเชื่อมโยงความคิดรวบยอดตั้งแต่ 2 ความคิดรวบยอดขนึ้ ไปในลักษณะแสดงความสมั พันธข์ องความคิดรวบยอดน้ัน ข้อความท่ีเป็นหลักการยังสามารถนาไปใช้ทานายผลได้ด้วย เช่น “เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ” จะเห็นว่าข้อความในประโยคแสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงของความคิดรวบยอด ต่อไปน้ีคือ “เสียง” “การส่ันสะเทือน” และ “วัตถุ” เราสามารถทานายได้ว่า หากทาให้วัตถุชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น กระดาษหรือไม้ ส่ันสะเทือน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เสียง ข้อความที่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แตกต่างกันตรงท่ีหลักการสรา้ งจากการสรปุ อา้ งองิ และทานายขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการสังเกต ส่วนกฎและทฤษฎี เป็นหลักการท่ีได้รับการพสิ จู น์ ทดลองซ้าแล้วซา้ อีกจนพบวา่ เป็นจริงเสมอ 2. ทักษะ หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนไหวและทางานของกล้ามเน้ือมัดใหญ่(แขน ขา ลาตัว) หรือกล้ามเน้ือมัดเล็ก (มือ ตา) ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาจากสมอง ทักษะทางกายน้ีประกอบด้วยองค์ประกอบท้ังด้านความรู้ และการเคลื่อนไหวร่างกาย เม่ือมีการฝึกฝนท่ีมากเพียงพอจะ
108นาไปสู่การเคล่ือนไหวร่างกายอย่างอัตโนมัติ โดยส่วนท่ีเป็นด้านความรู้จะแฝงไปในการเคล่ือนไหวของร่างกาย ทกั ษะทางกายสามารถแบ่งเป็นประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ ังน้ี (Smith & Ragan, 1999, pp. 273-275) 1) พจิ ารณาจากจดุ เร่ิมต้นและจดุ สุดท้ายของการแสดงพฤตกิ รรมแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคือ (1) ทักษะย่อย (discrete skills) ได้แก่ ทักษะที่ประกอบด้วยขั้นตอนในการแสดงพฤติกรรมจากจุดเริ่มต้น ถึงจุดสุดท้ายของงานเพียงข้ันตอนเดียวหรือ 2-3 ขั้นตอน ตัวอย่างเช่น การคลิกเม้าสบ์ นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ การเปดิ ขวด การตอกตะปู เป็นต้น (2) ทกั ษะตอ่ เน่อื ง (continuous skills) หมายถงึ ทกั ษะท่ีต้องอาศัยทักษะย่อย ๆ จากจดุ เริม่ ตน้ ถึงจุดสุดท้ายหลายทักษะจึงจะบรรลุเปูาหมายของงาน เช่น การว่ายน้า การขับรถบนถนนที่มีการจราจรคับค่ัง การเล่นซออู้ เป็นต้น จะเห็นว่า การว่ายน้าได้จาเป็นต้องอาศัยทักษะย่อยหลายทักษะเช่น การประคองตัวในนา้ การใช้แขน การใช้ขา การหายใจในน้า นอกจากน้ันยังต้องสามารถแสดงทักษะดงั กล่าวอยา่ งเป็นข้นั ตอนตอ่ เนอ่ื งกัน จงึ จะว่ายนา้ ได้ไม่จม 2) พิจารณาจากความสัมพันธ์ของทักษะท่ีแสดงออกกับส่ิงแวดล้อมแบ่งเป็น 2 ประเภทคอื (1) ทักษะปิด (closed skills) หมายถึง การแสดงพฤติกรรมโดยไม่มีอิทธิพลของสง่ิ แวดลอ้ มเป็นตวั กระตุ้นการกระทา (2) ทักษะเปิด (open skills) หมายถึง การแสดงพฤติกรรม ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นไปตามสิ่งแวดล้อม จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่า การเล่นโบว์ล่ิง การตีกอล์ฟ เป็นทักษะปิด การเล่นกีฬาทตี่ ้องมีคู่เล่น เชน่ บาสเกตบอล เทนนิส เปน็ ทกั ษะเปดิ 3) พิจารณาจากภาวะการเคล่ือนที่ของบุคคล และอุปกรณ์ บุคคลอาจจะใช้ทักษะในขณะอยู่น่งิ หรอื เคลอ่ื นไหวเช่นกัน เช่นเดียวกันกับท่ีอุปกรณ์ซึ่งเป็นเครื่องมือประกอบการใช้ทักษะ อาจอยู่ในภาวะหยดุ นงิ่ หรอื เคลื่อนไหว เราสามารถใช้เกณฑด์ งั กล่าวแบ่งทักษะออกเป็น 4 รปู แบบ คือ (1) รูปแบบท่ีท้ังผู้แสดงและอุปกรณ์อยู่ในภาวะหยุดนิ่ง เช่น การใช้เมาส์บนเครื่องคอมพวิ เตอร์ การเย็บจักร เปน็ ตน้ (2) รูปแบบทผี่ ู้แสดงทกั ษะอยู่กบั ที่ในขณะท่อี ปุ กรณ์เคล่ือนท่ี เชน่ การยิงเปาู บิน เปน็ ตน้ (3) รูปแบบที่ผู้แสดงทักษะเคล่ือนไหวไปกับอุปกรณ์ที่อยู่กับท่ี เช่น การยิงลูกบาสเกตบอลลงห่วง การยงิ ประตใู นกีฬาฟุตบอล เป็นต้น
109 (4) รูปแบบท่ีท้ังผู้กระทาและอุปกรณ์อยู่ในภาวะเคล่ือนท่ีไปด้วยกัน เช่น การสกัดหรือแย่งลกู ฟตุ บอลจากคแู่ ข่งขันที่กาลังเลยี้ งลูกฟุตบอล เปน็ ตน้ การเคล่ือนทขี่ องอุปกรณ์ในขณะปฏิบตั งิ าน หยดุ นง่ิ เคล่ือนท่ี รูปแบบท่ี 1 รูปแบบที่ 2การเค ื่ลอน ี่ทของ ่รางกาย - การเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย - เลง็ ปืนไปยังเปูาทเ่ี คล่ือนที่ เคล่ือนท่ี ห ุยด ่ินง - การแกะสลัก - การพิมพด์ ีด รูปแบบที่ 3 รูปแบบท่ี 4 - ยิงลูกฟุตบอลเข้าประตู - การตเี ทนนิส - ยิงลกู บาสเกตบอลลงห่วง - การผ่านลกู ฟตุ บอลใหผ้ ู้เลน่ - การเตน้ รา ในทมี - การตีกลองสวนสนามภาพท่ี 5.1 รูปแบบของทักษะทางกายทม่ี า: Smith & Ragan, 1999, p. 274 จะเห็นว่าการฝึกให้ผู้เรียนมีความสามารถปฏิบัติทักษะที่มีลักษณะแตกต่างกันจาเป็นต้องอาศยั การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และวธิ ีการฝึกฝนที่แตกต่างกนั 3. เจตคติ ในการจดั การเรียนการสอน ส่ิงท่ีผู้สอนคาดหวังให้เกิดกับผู้เรียนนอกจากความรู้ความสามารถในการทาได้ เรายังคาดหวังผลท่ีเกิดขึ้นแก่สภาวะจิตใจของผู้เรียน ในด้านความเช่ือความรู้สึก ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีเป็นเน้ือหาสาระในด้านเจตคติทั้งสิ้น แม้ว่าเจตคติมักจะไม่ใช่ผลการเรียนรู้ท่ีสาคัญของรายวิชาท่ีเรียนก็ตาม กานเยกล่าวว่าเจตคติ เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดจากปฏิสัมพันธ์ด้านสติปัญญาและความรู้สึก ในการจัดการเรียนการสอนไม่ว่าจะกาหนดจุดประสงค์ด้านเจตคติในเนื้อหาที่สอนหรือไม่ แต่เจตคติก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิธีการและสื่อท่ีครูใช้ในการสอน (Smith& Ragan, 1999, p. 250)
110 หลกั เกณฑ์การคดั เลือกเนือ้ หา การพิจารณาว่าเน้ือหาใดควรนามาจัดให้แก่ผู้เรียน มีหลักเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ (Print,1993, pp. 145-151) 1) ความสาคญั สง่ิ ท่ีควรพจิ ารณา ไดแ้ ก่ การพิจารณาว่าเน้ือหานั้นเป็นพ้ืนฐานสาคัญของการเรียนรู้ในเร่ืองต่อไปท่ีเกี่ยวข้องกันหรือไม่ การเรียนรู้เรื่องดังกล่าว จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจการเรยี นรเู้ รอ่ื งใหมท่ ยี่ ากกวา่ ไดด้ ขี ึน้ เพยี งใดหรอื พิจาณาถงึ คณุ ค่าของการเรียนว่า มีความสาคัญสาหรับผู้เรียนหรอื ไม่ คมุ้ คา่ แกเ่ วลาทต่ี อ้ งใชใ้ นการเรยี นเนอื้ หาดังกลา่ วเพยี งใด 2) ความตรง หมายถึง การพิจารณาว่าเน้ือหาที่สอนน้ันตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่เราต้องการใหเ้ กดิ กบั ผู้เรียนจริงหรอื ไม่ โดยพจิ ารณาจากความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเนอ้ื หาและจดุ ประสงค์ 3) ความสัมพันธก์ ับสงั คม การจดั การเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542ได้กล่าวไว้ชัดเจนในด้านสาระการเรียนรู้ ที่เน้นให้เรียนในเรื่องเกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ตลอดจนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทย การเมือง และการปกครอง ความรู้เก่ียวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ในการคัดเลือกเนื้อหาควรจัดใหส้ ัมพันธก์ ับบริบททางสังคม คา่ นยิ ม จารตี อดุ มการณ์ ตลอดจนปัญหาทางสังคม เพ่ือให้ผู้เรียนเปน็ สมาชกิ ท่ดี ีของสังคม ตามเกณฑ์ดงั กล่าวน้ี เน้ือหาที่คัดเลือกควรสะท้อนหลักการ ค่านิยมประชาธิปไตยของสังคม ความตระหนักในหน้าที่และภารกิจท่ีผู้เรียนมีต่อสังคม ความเข้าใจอย่างลึกซ้ึงที่มีต่อวัฒนธรรมประเพณไี ทย และเรยี นรเู้ รือ่ งราวท่จี ะเอื้ออานวยต่อการเปลยี่ นแปลงและการแก้ไขปัญหาของสงั คม 4) ความสามารถเรียนรู้ได้ ในการจัดเน้ือหาควรคานึงถึงนักเรียนทุกกลุ่มระดับความสามารถโดยกาหนดเกณฑ์ขั้นต่าสุดให้ทุกกลุ่มความสามารถเข้าใจเน้ือหาท่ีเรียนได้ นอกจากนี้ควรจัดเน้ือหาเพม่ิ เติมสาหรับเดก็ เกง่ หรอื มคี วามสามารถพิเศษเพื่อตอบสนองความแตกต่างของผเู้ รยี น 5) ความสนใจ ตามหลักการเรยี นรู้เป็นทท่ี ราบดีว่าหากนักเรียนได้เรียนในส่ิงที่สนใจ นักเรียนย่อมทาได้ดี และเรียนรู้อย่างมีความหมาย อย่างไรก็ตามเกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์ที่มีคุณค่าในเชิงทฤษฎี ไม่ใช่แนวปฏบิ ัติ ดงั น้ันมักเป็นเกณฑ์ท่ีพจิ ารณาในลาดับท้าย ๆ การจดั เนอ้ื หา ในการจัดเนื้อหา มีแนวทางที่ใช้ในการพิจารณาอยู่ 2 มิติ ได้แก่ มิติด้านขอบเขตของเนื้อหา(scope) และมิติดา้ นลาดับของเนอื้ หา (sequence) (Print, 1993, pp. 154-159)
111 1. ขอบเขตของเน้ือหา (scope) หมายถึง ความกว้างและความลึกของเนื้อหาท่ีเรียนในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในการพิจารณาขอบเขตเน้ือหาผู้สอนอาจใช้แนวคาถามต่อไปนี้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อกาหนดเป็นขอบเขตของเน้อื หา 1) ในสดั ส่วนของเวลาทีจ่ ัดไว้ มเี น้อื หาอะไรบ้างทนี่ ักเรยี นควรเรยี นรู้ 2) ในเร่อื งทจี่ ดั ใหเ้ รียน ควรมีรายละเอยี ดอะไรบา้ ง 3) เนื้อหาอะไรท่ไี ม่จาเป็นต้องบรรจไุ ว้ในหลักสตู ร 2. ลาดับของเนื้อหา (sequence) หมายถึง ลาดับก่อนหลังของเนื้อหาท่ีนาเสนอต่อผเู้ รียนในช่วงเวลาหนึง่ ๆ ในการพจิ ารณาจัดลาดับเนือ้ หาผ้สู อนอาจใชแ้ นวคาถามต่อไปนี้ 1) อะไรคือเกณฑท์ ใี่ ช้ในการกาหนดลาดับของเนื้อหา 2) ควรจัดเน้ือหาอะไรไว้กอ่ น อะไรไว้หลังเพราะอะไร 3) นกั เรยี นควรไดร้ บั ความรู้น้นั เมือ่ ไร เกณฑ์ทใี่ ชใ้ นการจดั ลาดบั ก่อนหลงั ของเนื้อหาทนี่ ิยมใช้กนั แบง่ ไดด้ ังน้ี 1) จากง่ายไปยาก (simple to complex) เป็นเกณฑ์แบบด้ังเดิมที่ยังคงนิยมใช้กันโดยมีความเช่ือว่า เราสามารถจัดเนื้อหาเป็นข้ันตอนจากเร่ืองที่ง่ายและเป็นพ้ืนฐานไปสู่สิ่งท่ียากหรือซับซ้อน การจัดเน้ือหารูปแบบนี้มักพบในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หลักภาษา ดนตรีภาษาต่างประเทศ เป็นต้น 2) การเรียนรู้พื้นฐานที่ต้องมีมาก่อน (prerequisite learnings) เป็นการจัดลาดับเนอื้ หาโดยความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้กฎข้อต่อไป ผู้เรียนจาเป็นต้องรู้กฎท่ีมีมาก่อนเป็นพ้ืนฐาน มักใช้กับเน้อื หาวชิ าที่เต็มไปด้วยกฎและหลกั การ เชน่ ฟสิ ิกส์ ไวยากรณ์ และเรขาคณติ เปน็ ต้น 3) ตามลาดับเวลาของเหตุการณ์ (chronology) เป็นการจัดเน้ือหาซึ่งเป็นไปตามบันทึกเหตกุ ารณ์ พบในวิชาประวตั ิศาสตร์ ประวตั ิดนตรี วรรณคดี พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ การจัดเนื้อหาในลกั ษณะน้ีอาจจดั ในลักษณะเร่ิมจากปจั จบุ นั ย้อนไปสู่อดตี หรืออดตี มาสปู่ ัจจุบันกไ็ ด้ 4) ส่วนรวมไปสู่ส่วนย่อย (whole to parts) การจัดเนื้อหาตามเกณฑ์น้ีอยู่บนหลักเหตุผลท่ีว่า การเรียนรู้เร่ืองราวโดยรวมก่อนจะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของส่วนย่อย และนาไปสู่ความเข้าใจรายละเอียดไดด้ เี มือ่ เรยี นรู้ส่วนย่อย ตัวอย่างการเรียนรู้เนื้อหาในรูปแบบนี้ ได้แก่ การเรียนวรรณคดีเริ่มจากการอ่านให้เข้าใจเรื่องท้ังหมดก่อน จึงวิเคราะห์องค์ประกอบย่อยของวรรณคดี เพื่อเรียนรู้ความหมายของศพั ท์ หลกั ไวยากรณ์ หลกั การแตง่ บทประพันธ์ เปน็ ต้น
112 5) จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม (increasing abstraction) การจัดเนื้อหาในลักษณะน้ีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนได้ง่าย คล้ายเกณฑ์ข้อที่ 1 เหมาะสาหรับการเรียนรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม ซึ่งต้องการคาอธิบาย ผู้สอนอาจเริ่มต้นจากตัวอย่างของจริง เพ่ือนาไปสู่การสรุปอา้ งองิ ไปสขู่ ้อความทเ่ี ป็นหลกั การทวั่ ไป 6) การจัดลาดับแบบก้าวเวียน (spiral sequencing) เป็นวิธีการจัดเนื้อหาที่ผู้เรียนได้รับแนวคิดพื้นฐานของเนื้อหาซ้าเพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานและความคิดรวบยอดท่ีต่อยอดข้ึนไป ในท่ีสุดผู้เรียนก็จะรู้และเข้าใจความคิดรวบยอดทั้งหมดท่ีเชื่อมโยงกัน การจัดเนื้อหาแบบก้าวเวียนน้ีจะพบในการจัดหลักสูตรที่จัดให้เรียนในหัวข้อเรื่องเดิมท่ีซ้ากันในแต่ละช่วงชั้น แต่มีความแตกต่างกันในความคิดรวบยอดที่เพ่ิมข้ึนในแต่ละช่วงช้ันท่ีสูงขึ้น เช่น ในช่วงชั้นที่ 1 นักเรียนได้เรียนเร่ืองสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ได้แก่ครอบครัวและโรงเรียน เมื่อถึงช่วงท่ี 2 นักเรียนจะได้เรียนสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับในช้ันที่ 1 แต่เป็นสิ่งแวดล้อมท่ีเก่ียวกับชุมชนและประเทศ เม่ือถึงช่วงช้ันท่ี 3 การเรียนเรื่องสิ่งแวดล้อมจะช่วยขยายประสบการณ์ของนักเรียนมากข้ึน เป็นเร่ืองของประเทศเพื่อนบ้านและโลกของเรา ดังน้ีเป็นต้น ในแต่ละช่วงช้ันก็จะตอกย้าถึงความตระหนักในบทบาทหน้าท่ีของผู้เรียนในฐานะเป็นสมาชิกของครอบครัวโรงเรียน ชมุ ชน ประเทศ และโลก ตามลาดับ เปน็ ตน้ รปู แบบการจดั เน้ือหา การจัดเนื้อหาสาระอาจทาได้ในรปู แบบตอ่ ไปนี้ (Smith & Ragan, 1999, pp. 307-308) 1. การแยกตามสาระวิชา (separate subject) เป็นการจัดเน้ือหาแบบดั้งเดิม ซึ่งยึดเนื้อหาเป็นหลักในการจัด (content–based) จะพบได้ในการจัดรายวิชาเรียนตามหลักสูตรการศึกษาในสถาบันการศึกษา ซ่ึงจัดเน้ือหาสาระเป็นรายวิชา ภายในวิชาประกอบด้วยหน่วยการเรียนย่อยเรียงตามลาดับความสัมพันธ์ต่อเน่ือง เนื้อหาสาระในรายวิชาเดียวกันจะมีลักษณะหรือเอกลักษณ์ในรายวิชานั้น เช่น คณิตศาสตร์ จะเรียนเก่ียวกับ จานวน ตัวเลข การคิด คานวณ สมการ เป็นต้น วิทยาศาสตร์เรียนรู้เก่ียวกับ สิ่งมีชีวิต ส่ิงไม่มีชีวิต ในการเรียนรู้ตามระบบวิชานอกจากจะต้องเรียนรู้เน้ือหาของรายวิชาแล้ว ผเู้ รียนยงั ตอ้ งเรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ และทักษะกระบวนการคิด การทางานของผู้รู้ในรายวิชานนั้ ดว้ ย เช่น ในวิชาวิทยาศาสตร์ ผู้เรยี นต้องเรียนรูท้ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เปน็ ตน้ 2. การจัดวิชาให้สัมพันธ์กัน (correlation) เป็นการจัดเนื้อหาตั้งแต่ 2 รายวิชา ให้มีความสมั พันธก์ ัน โดยเนอ้ื หาในรายวิชาท้ังสองจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมาก
113ข้ึน เชน่ การจัดให้นักศึกษาครเู รยี นรายวิชาหลักการวัดประเมินผลและวิชาหลักการสอน ในภาคเดียวกันโดยให้นักศึกษาเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาเครื่องมือทดสอบก่อนเรียนเรื่องการวางแผนการสอน เพื่อให้นักศึกษานาเทคนิคการพัฒนาเคร่ืองมือทดสอบไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการสอนได้ จะเห็นว่าการจัดเนือ้ หาในลักษณะน้ี ลักษณะเฉพาะของแต่ละรายวิชายงั คงสภาพอยู่ 3. การจดั วชิ าแบบผสมผสาน (fusion) เป็นการผนวกเน้ือหาวิชาตั้งแต่ 2 รายวิชา เข้าไว้ในรายวิชาเดียวกัน หรือหน่วยเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สาระการเรียนรู้กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในหลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เนอื้ หาสาระทเี่ รยี นประกอบดว้ ยศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมหนา้ ท่ีพลเมือง วฒั นธรรมและการดาเนนิ ชวี ิตในสังคม เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภมู ศิ าสตร์ 4. การบูรณาการเนื้อหา (content integration) เป็นการผสมผสานของเนื้อหาสาระซึ่งแสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงของสาระต่าง ๆ ภายใต้หัวเรื่อง “theme” ซ่ึงมาจากปัญหา หรือความสนใจของผู้เรียน หรือประเด็นที่เก่ียวกับความต้องการของชุมชน มาใช้ในการบูรณาการเนื้อหาซ่ึงทาได้หลายลกั ษณะ ดงั น้ี 4.1 การบูรณาการภายในวิชา (intra-disciplinary) หมายถึง การนาเน้ือหาสาระในวิชาเดียวกันหรือกลุ่มประสบการณ์เดียวกัน เช่น ในวิชาภาษาไทย มีเน้ือหาสาระเก่ียวกับการพูด การอ่าน การเขียน หลักการใช้ภาษา และวรรณคดี แทนที่จะสอนเน้ือหาสาระทีละเรื่องแยกจากกัน ผู้สอนจัดเน้ือหาสาระทุกเร่ืองมาสัมพันธ์กันเป็นเรื่องเดียวกัน โดยเลือกศึกษาวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” เป็นแกนหรือหัวข้อหลัก (theme) ในการศึกษาเร่ืองพระอภัยมณี ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองราว ความงามของภาษาและเรียนรู้การเขียนคาประพันธ์ (กลอน) การใช้ไวยากรณ์ในคาประพันธ์ การอ่านให้ไพเราะ ซาบซ้ึงและการพูดจูงใจใหเ้ ยาวชนหนั มาสนใจวรรณคดีไทย เปน็ ต้น 4.2 การบรู ณาการระหว่างวิชา (inter-disciplinary) หมายถึง การนาเน้ือหาสาระของหลายวิชามาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน เช่นในการสอนเรื่อง “มลพิษในชุมชน” ครูเช่ือมโยงเน้ือหาสาระหลายวิชา ได้แก่ สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ สุขศึกษาและพลศึกษา โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กลไกการเกิดมลพิษ การสารวจสภาพและปัญหาของมลพิษในชุมชนที่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม การเคลื่อนไหวรณรงค์เพ่ือให้เกิดจิตสานึกในการปูองกันหรือลดมลพิษในชมุ ชน เป็นตน้ 4.3 การบูรณาการแบบโครงการ ผู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนโดยบูรณาการเป็นโครงการ โดยผู้เรียนและครูผู้สอนร่วมกันสร้างสรรค์โครงการข้ึน โดยใช้เวลาการเรียนต่อเน่ืองกัน
114หลายชั่วโมง ด้วยการนาเอาจานวนชั่วโมงของวิชาต่าง ๆ ท่ีครูผู้สอนเคยสอนแยกกันน้ันมารวมเป็นเร่ืองเดียวกัน มีเปูาหมายเดียวกัน ในลักษณะของการสอนเป็นทีม เรียนเป็นทีมในกรณีท่ีต้องการเน้นทักษะบางเรื่องเป็นพิเศษ ครูผู้สอนสามารถแยกกันสอนได้ เช่น กิจกรรมเข้าค่ายดนตรี กิจกรรมเข้าค่ายภาษาองั กฤษ กจิ กรรมเขา้ คา่ ยศลิ ปะ เปน็ ต้น แนวคิดและหลักการต่าง ๆ เก่ียวกับประเภทของเน้ือหา การคัดเลือกและจัดเนื้อหาดังกล่าวข้างต้นจะช่วยให้นักออกแบบการเรียนการสอน นาไปประกอบการออกแบบและคัดเลือกกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะกบั เนื้อหาตอ่ ไปสภาพของสงั คม เหตุการณส์ าคญั ทส่ี ่งผลกระทบต่อสังคมไทยในศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ จะขอนาเสนอในทนี่ ี้ ไดแ้ ก่ 1) ความเจรญิ ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยขี ้อมลู ขา่ วสารตั้งแต่ปลายศตวรรษท่ี 20 ทาให้เกิดความเปล่ียนแปลงอยา่ งพลิกโฉมหนา้ ของการติดตอ่ สื่อสารซึ่งเช่ือมโยงโลกทั้งโลกเข้าด้วยกันและส่งผลกระทบท้ังในด้านเศรษฐกิจ สงั คมและการเมืองที่มผี ลกระทบซึง่ กนั และกันทั่วทั้งโลก หรือท่ีเรียกว่าเป็น ยุคโลกาภิวัตน์(globalization) หมายถงึ การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใด สามารถรับรู้ สัมพันธ์หรือรับผลกระทบจากส่ิงท่ีเกดิ ขึ้นได้อยา่ งรวดเร็ว กว้างขวางซ่ึงเนือ่ งมาจากการพฒั นาระบบสารสนเทศ เป็นต้น (ราชบัณฑิตยสถาน,2546, หน้า 1044) 2) ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ จานวน 10 ประเทศ จะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community–AEC) โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือร่วมมือและช่วยเหลือกันในการพัฒนาด้านเศรษฐกจิ ซง่ึ จะกอ่ ให้เกดิ (1) การไหลเวียนอย่างเสรีของสินค้า บริการ การเงิน การลงทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจการลดปัญหาความยากจนและความเหลือ่ มล้าทางสงั คม (2) ทาให้อาเซยี นเปน็ ตลาดและทนุ เศรษฐกจิ เดียว (3) การใหค้ วามช่วยเหลอื แกป่ ระเทศสมาชิกเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและการรวมตัวทางเศรษฐกจิ (4) สง่ เสรมิ ความร่วมมือในนโยบายการเงนิ และเศรษฐกจิ สาหรับความร่วมมอื ในดา้ นสงั คมและวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนนั้นประเทศสมาชิกจะรวมกันเป็นประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Asean Socio-Cultural Communities-
115ASCC) เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือใน 6 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนามนุษย์ 2) การคุ้มครองและสวัสดิการสงั คม 3) สิทธแิ ละความยตุ ิธรรมทางสังคม 4) ความย่ังยืนด้านส่ิงแวดล้อม 5) การสร้างอัตลักษณ์อาเซียนและ 6) การลดช่องวา่ งทางการพัฒนา ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC) มีกาหนดการที่จะทาใหส้ าเรจ็ ในปี พ.ศ. 2558 ทั้งสองเหตกุ ารณ์น้ที าใหเ้ กิดการเคลอื่ นไหวทางการศึกษาท้ังในระดับสากลและในประเทศไทยเพื่อเตรียมคนให้มที ักษะสาหรบั ศตวรรษท่ี 21 และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศเพื่อรองรับการเขา้ สู่ประชาคมอาเซยี น การเปล่ยี นแปลงในระดบั สากล ในสหรฐั อเมริกา ได้มกี ารเคล่ือนไหวของภาคีเพ่อื ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (The Partnershipfor the 21 Century Skills อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2555ก, หน้า 3) ซ่ึงประกอบด้วยสมาชิกจากองค์กรวิชาชีพระดับประเทศและหน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐ ในอันท่ีจะพัฒนากรอบความคิดเพ่ือการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยได้เสนอว่า การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 น้ี ควรยึดผลลัพธ์ทั้งในด้านความรู้ในวิชาแกนและทักษะแห่งศตวรรษใหม่ ซ่ึงเรียกโดยสรุปว่า “3Rs and 4Cs” ซึ่งต่อมาขยายเป็น “3Rs and 7Cs” (วิจารณ์ พานชิ , 2555, หนา้ 19) 3Rs คือ ความรู้ ความสามารถทางด้านการอ่าน การเขียน และการคิดคานวณ (reading, writing,arithmetic) 7Cs ได้แก่ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหแ์ ละแก้ปญั หา (critical thinking and problem solving) ทกั ษะการคดิ รเิ ร่มิ และสร้างนวัตกรรม (creativity and innovation) ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมตา่ งกระบวนทศั น์ (cross-cultural understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา (collaboration, teamwork &leadership) ทักษะด้านการส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (communications, information &media literacy) ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร (computing & ICT literacy) ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (career & learning skill)
116 การ์ดเนอร์ (Gardner, 2007 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2555ก, หน้า 4-5) ผู้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา ยังได้นาเสนอแนวคิดจิต 5 ลักษณะ (5 minds) ซึ่งควรหลอมรวมและปลูกฝังให้เกิดข้ึนในคนรุ่นตอ่ ๆ ไป ประกอบด้วย 1) จิตเช่ียวชาญ (disciplined mind) หมายถึง ผู้ท่ีศึกษาเรียนรู้จนมีความเชี่ยวชาญชานาญในความรู้พ้ืนฐานของสาขาวิชาน้ัน ๆ และขยายต่อไปยังสาขาอ่ืน ๆ จนมีความเป็นสหวิทยาการมากข้ึน ซ่ึงการเรียนรู้ควรจะเป็นไปอยา่ งตอ่ เน่อื งโดยอาศยั วนิ ัยในการขัดเกลาความชานาญของตนและพัฒนาความเช่ยี วชาญของตนเองใหเ้ ปน็ เลิศอยเู่ สมอ 2) จิตรู้สังเคราะห์ (synthesizing mind) หมายถึง บุคคลท่ีสามารถแสวงหาความรู้ท่ีเชื่อถือได้สามารถเลือกข้อมูลและประมวลข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เป็นผู้ท่ีสามารถเห็นภาพรวมแต่ขณะเดียวกันก็ให้ความสาคัญกับรายละเอียดและรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งสามารถนาเสนอบทสรุปการสังเคราะห์ทม่ี ีความเหมาะสมกบั การทจ่ี ะใชป้ ระโยชนจ์ ากงานสงั เคราะห์นน้ั 3) จิตสร้างสรรค์ (creating mind) หมายถึง ผู้ที่สามารถคิดนอกกรอบ เป็นผู้ที่ไม่ยึดติดกับการทาส่ิงต่าง ๆ ไปตามอัตโนมัติแต่จะปรบั ปรุงให้เหนอื กว่าการปฏบิ ตั เิ ดิม ๆ 4) จิตรู้เคารพ (respectful mind) หมายถึง ผู้ท่ีรู้จักให้เกียรติผู้อ่ืน เช่ือในคุณงามความดีของผู้อื่น ยอมรับผู้อ่ืน ไม่มีอคติ อดทนต่อความแตกต่าง เป็นผู้ท่ีเคารพผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการเคารพตามมารยาท 5) จิตรู้จริยธรรม (ethical mind) หมายถึง บุคคลท่ีมีสานึกและจุดยืนทางจริยธรรมที่แน่นอน มีบคุ ลิกภาพทีเ่ ขม้ แขง็ กล้าไดก้ ลา้ เสยี เพื่อธารงไว้ซ่งึ สานึกและจุดยืนของตน นอกจากนี้แชปแมน (Chapman, 2010 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2555ก, หน้า 5-6) ได้เสนอทกั ษะทส่ี าคัญสาหรับผู้เรียนไว้อกี 7 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ทกั ษะการคดิ เชิงวิพากษ์ หรอื ทักษะการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ (critical thinking) คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์และเข้าใจความสัมพันธ์เช่ือมโยงของระบบต่าง ๆ ทั้งระบบที่เก่ียวกับมนษุ ยแ์ ละธรรมชาติ 2) ทักษะการแก้ปัญหา (problem solving) คือ ความสามารถในการต้ังคาถามท่ีถูกต้องเหมาะสมเกีย่ วกับประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งกระบวนการหาคาตอบและการประเมินความสาเร็จของวิธีการแกป้ ญั หา
117 3) ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (creativity) คือ ความสามารถในการคิดนอกกรอบความคิดเดมิ มคี วามคดิ ริเริ่ม และกลา้ เสี่ยง 4) ทักษะการส่ือสาร (communication) คือ ความสามารถในการสื่อความหมาย เช่นสามารถพดู เขียน และใชเ้ ทคโนโลยใี นการสอ่ื สาร เป็นต้น 5) ทักษะการพัฒนาลักษณะนิสัยส่วนตน (character) คือ ความสามารถในการเข้าใจตนเองและการปฏบิ ัตติ นอย่างมคี ณุ ธรรม จริยธรรม ให้เกียรตแิ ละเคารพผ้อู ่ืน มีความรับผิดชอบ ซ่ือสัตย์และเปน็ พลเมืองดี 6) ทักษะการเป็นผู้นา (leadership) คือ ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจและความร่วมมือ สามารถนากลุ่มคนให้ไปสู่เปูาหมายท่ีต้องการ ซ่ึงต้องอาศัยความฉลาดทางด้านสังคม อารมณ์และการทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืน 7) ทกั ษะการยอมรบั พันธะ (commitment) คือ ความสามารถที่จะยอมรับความแตกต่างหลากหลายและการพง่ึ พากัน ทัง้ ทางดา้ นวัฒนธรรม สงั คมและส่ิงแวดล้อม รวมถึงความสามารถในการพัฒนาเปาู หมายของชีวติ เพอื่ ความดีทีย่ ่งิ ใหญข่ น้ึ เท่าที่นามากล่าวจะเห็นว่าทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษท่ี 21 ที่เสนอมาน้ันส่วนใหญ่มีความสอดคลอ้ งกันท้ังในด้านทักษะความรู้ท่ีเป็นแกน ทักษะกระบวนการทางสติปัญญาและทักษะการสื่อสารโดยใช้เทคโนโลยี และด้านคณุ ลกั ษณะของผู้เรยี นในด้านคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม การเปล่ียนแปลงในระดับประเทศ สาหรับความเคลื่อนไหวในประเทศไทย รัฐบาลได้แต่งต้ังคณะกรรมการขับเคล่ือนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษท่ีสอง จานวน 2 คณะ คือ คณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองและคณะกรรมการขับเคลอ่ื นการปฏิรปู การศึกษาในทศวรรษที่สอง คณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษท่ีสอง ได้ให้ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษท่ีสอง (พ.ศ. 2552 – 2561) โดยได้กาหนดวสิ ยั ทัศน์ใหค้ นไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวติ อย่างมคี ุณภาพ โดยกาหนดเปูาหมายดงั นี้ 1) สามารถเรยี นรู้ด้วยตนเองและมนี ิสยั ใฝเุ รยี นร้ตู ลอดชวี ติ 2) มคี วามสามารถในการส่อื สาร สามารถคิด วเิ คราะห์ แกป้ ญั หา คดิ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ 3) มจี ิตสาธารณะ มีระเบยี บวนิ ยั เห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวม สามารถทางานเป็นกลุ่ม 4) มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มีจิตสานึกและความภูมิใจในความเป็นไทยและสามารถกา้ วทันโลก
118 ไพฑูรย์ สินลารัตน์และคณะ (2554, หน้า 7) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะสาคัญของผู้เรียนที่จาเป็นตอ้ งมเี พอื่ เป็นผู้บริโภคท่ฉี ลาดและสามารถสรา้ งผลติ ผลใหมไ่ ด้ ดังนี้ 1) การคดิ วิเคราะห์ (critical mind) 2) การคดิ สรา้ งสรรค์ (creating mind) 3) การคดิ ผลิตผลงานใหม่ ๆ (productive mind) 4) การมจี ิตรับผิดชอบ (responsible mind) ประเวศ วะสี (2553, หน้า 3-4) ได้กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษท่ี 2 ท่ีสาคัญที่สุด คือ การปฏิรูปทางปัญญา โดยเปลี่ยนจากการเอาวิชาเป็นตัวตั้ง มาเป็นการศึกษาท่ีเอาชีวิตเป็นตัวต้ัง เปลี่ยนจากการศึกษามิติเดียวซึ่งครูเป็นผู้ถ่ายทอดนักเรียนรับฟัง มาเป็นการศึกษาพหุมิติท่ีทั้งครูและนักเรียนเรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้จากชีวิตจริงผ่านกระบวนการเรียนรู้หรือวิจัย และสร้างสังคมให้เป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ โดยไดเ้ สนอยุทธศาสตร์ 7 เรอื่ ง ในการขับเคล่ือนสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ดงั น้ี 1) สร้างวฒั นธรรมแห่งการเรียนรู้ เปน็ การเรียนรตู้ ลอดชีวติ 2) การสร้างความเข้าใจโครงสร้างการทางานของสมอง จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการทางานของสมอง 3) ปรับการศึกษาท่ีให้ชีวิตเป็นตัวตั้ง หมายถึง การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการดาเนินชีวิตที่พ่ึงตนเองได้และมีคุณธรรม มิใช่การเรียนเพื่อการแข่งขันแต่ทาอะไรไม่เป็นและไม่รู้อะไรเก่ียวกับชีวิตและสงั คม 4) ทาให้การอา่ นเป็นระเบยี บวาระแหง่ ชาติ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมชอบฟัง พูด ไม่ชอบการศกึ ษาค้นควา้ จากการอ่าน 5) ปฏิรูปการเรียนรู้ในสถานศึกษา ให้เรียนรู้จากการศึกษาค้นคว้าจากสังคมและปัญหาจรงิ ไมใ่ ชเ่ รียนรู้แตใ่ นตารา 6) สร้างองคก์ รสง่ เสริมการเรยี นรู้ทัว่ ทัง้ สงั คม ทัง้ ภาครฐั และเอกชน 7) การใช้ส่อื เพ่อื การปฏริ ูปการเรยี นรู้ของคนในชาติ หมายถึงสื่อมวลชนควรนาเสนอสาระท่เี ปน็ ประโยชน์เพอ่ื การเรยี นร้ขู องสงั คม นอกจากความตืน่ ตวั ในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาคนไทยให้มีความสามารถในการร่วมมือและแขง่ ขนั ทางด้านเศรษฐกิจท่ีต้องอาศัยความรู้เป็นฐานกับประชาคมอื่นในระดับภูมิภาคและระดับโลกแล้ว
119คนไทยยังมีความตื่นตัวที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมากขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อส่ือสารกับชาวต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาองั กฤษซง่ึ เปน็ ภาษาสากลทใ่ี ช้อย่างแพรห่ ลายทั่วโลก โดยสรุปแหล่งข้อมูลท้ัง 3 ด้าน คือผู้เรียน เนื้อหา และสังคม เป็นปัจจัยพื้นฐานท่ีนามาใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการเพ่ือใช้ในการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และกิจกรรมประสบการณก์ ารเรยี นรู้ในกระบวนการออกแบบการเรยี นการสอนบทสรุป ปัจจัยพ้ืนฐานท่ีนักออกแบบการเรียนการสอนนาไปใช้ในการกาหนดเปูาหมายการเรียนรู้และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ มาจากแหลง่ ความรู้เก่ยี วกับธรรมชาติของผู้เรียน ธรรมชาติของเน้ือหาและสภาพของสงั คม ธรรมชาติของผู้เรียนท่ีส่งผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ พัฒนาการด้านสติปัญญาและการคิด พัฒนาการทางจริยธรรม ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียน และคุณลักษณะท่ัวไปของผู้เรียน ได้แก่ คุณลักษณะด้านสติปญั ญา ด้านรา่ งกาย ดา้ นเจตคติ และด้านสงั คม ธรรมชาติของเน้ือหา เนื้อหาเป็นองค์ประกอบหน่ึงในจุดประสงค์การเรียนรู้ ความรู้เกี่ยวกับเน้อื หาที่สาคญั ได้แก่ ประเภทของเนื้อหา เกณฑ์ในการคัดเลือกเน้ือหา การจัดเรียงเนื้อหา และรูปแบบของเนือ้ หา สภาพของสังคม เหตุการณ์สาคัญทางสาคัญท่ีส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนสาหรับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 ไดแ้ ก่ 1) ความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีข่าวสาร 2) การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 3) การเคลื่อนไหวทางการศึกษาในระดับสากลเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และ 4) การปฏริ ูปการศกึ ษาไทยในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ซึง่ เน้นการปฏริ ปู ทางปญั ญา
120 คาถามทบทวน 1. ผู้เรียนมีความแตกตา่ งกนั ในดา้ นใดบา้ ง 2. นักศึกษาคิดว่าธรรมชาติของผู้เรียนด้านใดที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากท่ีสุดจงอภิปรายและใหเ้ หตผุ ล 3. เชาวน์ปัญญามีความหมายว่าอย่างไร ในการพัฒนาผู้เรียนควรให้ความสาคัญกับเชาวน์ปญั ญาดา้ นใด เพราะเหตใุ ด 4. แบบการเรยี นรู้ของผเู้ รียนมีความเก่ยี วข้องกบั ความถนัดในการเรียนรู้ของผ้เู รยี นอย่างไร 5. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน 3 แบบ คือ การแข่งขัน การร่วมมือ และต่างคนต่างเรียนลักษณะของความสัมพันธ์แบบใดที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสังคมในปัจจุบัน จงอภิปรายและให้เหตุผล 6. จงอธิบายความแตกตา่ งของข้อเทจ็ จริง ความคดิ รวบยอดและหลกั การ พรอ้ มยกตวั อย่าง 7. ถ้านักศึกษาได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนเรื่อง “จังหวัดของเรา” นักศึกษาจะใช้หลักเกณฑ์ใดในการคัดเลือกเนื้อหา การจัดรูปแบบเน้ือหา และการจัดลาดับเน้ือหา จงอภิปรายพร้อมทั้งนาเสนอโครงร่างเน้อื หา 8. ถา้ นักศกึ ษาได้รบั มอบหมายให้จัดค่ายพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นกั ศกึ ษาจะใชห้ ลักการในการคัดเลอื กเนอื้ หาและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไร จงอภิปรายพร้อมทั้งนาเสนอโครงรา่ งเน้ือหาและกิจกรรม 9. คุณลักษณะที่สาคัญของผู้เรียนสาหรับสังคมไทยในศตวรรษท่ี 21 ควรเน้นด้านใดเพราะเหตใุ ด 10. ประเทศไทยควรเตรยี มความพร้อมด้านการศึกษาให้กบั เยาวชนไทยเพ่ือเตรียมทรัพยากรบคุ คลเพอ่ื รองรบั การเขา้ สู่ประชาคมอาเซยี นในด้านใดมากท่ีสุด จงอภปิ รายและใหเ้ หตผุ ลสนับสนนุ
121 เอกสารอ้างอิงกรมวชิ าการ. (2539). คู่มอื การพฒั นาโรงเรยี นเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา ยทุ ธศาสตรใ์ นการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ: คุรุสภาลาดพรา้ ว.ทิศนา แขมมณ.ี (2555ก). “บัณฑติ ศึกษาในศตวรรษที่ 21: การปรับหลักสตู รและการสอน.” ใน เอกสารประกอบการสัมมนาการสอน วจิ ัยและผลิตผลงานวชิ าการในสาขาวชิ าหลักสูตร และการสอน: ประสบการณ์จากอดีตสอู่ นาคตทยี่ ั่งยืน. กรุงเทพฯ: ภาควิชาหลักสตู รและ การสอน คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (อัดสาเนา).________. (2555). ศาสตรก์ ารสอน: องคค์ วามรู้เพื่อการจดั กระบวนการเรยี นรู้ทมี่ ีประสทิ ธิภาพ (พิมพ์ครงั้ ท่ี 15). กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.ประเวศ วะสี. (2553, 30 มิถุนายน). “สังคมแห่งการเรยี นรกู้ ับการพฒั นาคุณภาพเด็กและเยาวชน ไทย.” บรรยายพิเศษ ณ โรงแรมสยามซติ ี้ ถนนศรีอยุธยา. (เอกสารอดั สาเนา)ไพฑรู ย์ สินลารตั น์ และคณะ. (2554). CCPR กรอบแนวคิดใหมท่ างการศึกษา. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.ราชบณั ฑิตยสถาน. (2555). พจนานุกรมศัพทศ์ กึ ษาศาสตร์ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน. กรุงเทพฯ: อรุณ การพิมพ.์________. (2556). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์.วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถสี ร้างการเรยี นรู้เพ่ือศษิ ย์ ในศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรงุ เทพฯ: มูลนธิ สิ ดศรี-สฤษด์ิวงศ.์สุณีย ธรี ดากร. (2542). จิตวิทยาการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าจติ วิทยาและการแนะแนว คณะครศุ าสตร วทิ ยาลัยครูพระนคร.Gagné, R. M., Briggs, L. J., & Wager, W. W. (1992). Principles of instructional design (4th ed.). New York: Holt, Rinehart and Winston.Gunter, M. A., Estes, T. H., & Schwab, J. (1995). Instruction: A models approach (2nd ed.). Boston: Allyn and Bacon.
122Johnson, D. W., Johnson, R. T., & Holubec, E. J. (1994). The new circles of learning cooperation in the classroom and school. Virginia: Association for Supervision and Curriculum Development.Kellough, R. D. & Roberts, P. L. (1994). A resource guide for elementary school teaching (3rd ed.). New York: McGraw-Hill.Print, M. (1993). Curriculum development and design (2nd ed.). Sydney: Allen & Unwin.Smith, P. L. & Ragan, T. J. (1999). Instructional design (2nd ed.). New Jersey: Prentice- Hall.
บทที่ 6 การวิเคราะหก์ ารเรียนการสอน ในกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนน้ัน ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้รูปแบบการออกแบบการเรยี นการสอนเพื่อเปน็ เครือ่ งมอื ในการปฏิบัติงานซงึ่ มีให้เลือกใช้ได้หลายรูปแบบ ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทที่ 1 รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนที่นับว่าธรรมดาที่สุดหรือเป็นพื้นฐานท่ีสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะนาไปใช้ออกแบบการเรียนการสอนท่ีเป็นโครงการฝึกอบรมบุคลากรทางการศึกษาหรือด้านอื่น ๆ ในระดับหน่วยงาน องค์กรภาครัฐหรือเอกชน หรือเป็นการออกแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนทั่วไปในโรงเรียน รูปแบบที่มีผู้นิยม คือ รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนแบบธรรมดาซึ่งมีข้ันตอนในการดาเนินงาน 3 ข้ันตอน ประกอบด้วย ขั้นการวิเคราะห์การเรียนการสอน ข้ันการออกแบบการเรียนการสอน และข้ันการประเมินการเรียนการสอน ท้ังสามขั้นนี้จะได้กล่าวในรายละเอียดต้ังแต่บทที่ 6-8 ในบทน้ีจะกล่าวถึง การดาเนินงานในข้ันการวิเคราะห์การเรียนการสอน ผลที่ได้ในขั้นน้ีคือ ผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีใช้เป็นแนวทางสาหรับการออกแบบการเรยี นการสอน การวิเคราะห์การเรียนการสอนมีกิจกรรมที่ต้องดาเนินการเป็นเบ้ืองต้นคือ การประเมินความตอ้ งการจาเป็น จากนั้นจึงเป็นการวิเคราะห์การเรียนการสอนและการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ซงึ่ มีรายละเอียดดังน้ีการประเมนิ ความต้องการจาเป็น การประเมินความต้องการจาเป็น (need assessment) หมายถึง กระบวนการท่ีก่อให้เกิดข้อมูลสารสนเทศเพื่อกาหนดความแตกต่างของสภาพที่เกิดข้ึนจริงกับสภาพท่ีควรจะเป็น โดยระบุสิ่งท่ีต้องการให้เกิดว่ามีลักษณะใดและส่ิงที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไร เพื่อนาไปสู่การประมวลสังเคราะห์และประเมินว่าสิ่งที่เกิดข้ึนจริงควรเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง การประเมินความต้องการจาเป็นนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางบวกและสรา้ งสรรค์ (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2555, หน้า 370) สาหรับการประเมินความต้องการจาเป็นเพ่ือให้ได้ข้อมูลสารสนเทศสาหรับใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนน้ัน สมิธและราเกน (Smith & Ragan, 1999, p. 32) กล่าวว่า การประเมินความต้องการจาเป็น เป็นกิจกรรมเพื่อสารวจปัญหาของการเรียนการสอนท่ีผ่านมา ความต้องการของผู้เรียนและ
124สภาพบริบทของการเรียนรู้ ส่วนดิค แครี และแครี (Dick, Carey, & Carey, 2001, p. 4) กล่าวว่าการประเมินความต้องการจาเป็น เป็นกระบวนการเชิงระบบ สิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ประกอบด้วยปัญหาและความต้องการของผู้เรียนคืออะไร เป้าหมายของการเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่ต้องการคืออะไร สภาพและบริบทในการเรียนการสอนเป็นอย่างไร ผู้ออกแบบการเรียนการสอนจะต้องพิจารณาถึงข้อมูลที่ต้องการว่าควรมีขอบเขตกว้างขวางมากน้อยเพียงใด แหล่งของข้อมูลได้จากท่ีใด กระบวนการรวบรวมขอ้ มูลจะเลือกใชว้ ิธกี ารใดจงึ จะไดข้ ้อมูลที่น่าเชอ่ื ถือและประหยดั ทรัพยากร ถ้าสามารถกาหนดให้ชัดเจนไดก้ จ็ ะชว่ ยใหส้ ามารถดาเนนิ งานได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ดังนั้นการประเมินความต้องการจาเป็น จึงเป็นกิจกรรมท่ดี าเนนิ การกอ่ นการออกแบบการเรียนการสอน สรุปการประเมินความต้องการจาเป็นจึงเป็นกระบวนการเพื่อทราบปัญหาและการรวบรวมข้อมูลสาหรับการวางแผนแก้ไขปัญหา โดยปกติครูที่ออกแบบการเรียนการสอนสาหรับใช้สอนในห้องเรียนการประเมินความต้องการจาเป็นมักทาในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ โดยครูนาผลจากการประเมินทงั้ การประเมินความกา้ วหนา้ (formative evaluation) ทีท่ าในระหว่างการเรียนการสอน และการประเมินผลสรุป (summative evaluation) ซึ่งทาภายหลังการเรียนการสอนเสร็จส้ินแล้ว เพ่ือตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนมาใช้เป็นข้อมูลเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอน แต่สาหรับนักออกแบบการเรียนการสอนที่มีความประสงค์จะพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพ่ือฝึกการแยกตัวประกอบในวิชาคณิตศาสตร์สาหรับนกั เรยี นในระดบั ช้นั ป.4 ทว่ั ประเทศน้ัน การประเมนิ ความต้องการจาเปน็ ตอ้ งทาอย่างเป็นระบบ ถึงแม้ว่าจะตอ้ งใชเ้ วลาและค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินงานแต่กเ็ ป็นการลงทนุ ทคี่ ุม้ ค่า เพราะทาให้ได้สารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่ตอบสนองเป้าหมายการเรียนรู้และความต้องการของผู้เรียนกลมุ่ ใหญ่ จุดมงุ่ หมายของการประเมนิ ความตอ้ งการจาเปน็ การประเมนิ ความต้องการจาเปน็ ในการเรียนการสอนมีจดุ มุง่ หมายดงั ต่อไปนี้ 1) ค้นหาปัญหาที่เกิดข้ึนจากการเรียนการสอน ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนการสอนทุกปัญหา ดังนั้นนักออกแบบการเรียนการสอนจะต้องพิจารณาว่าปัญหาใดที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนการสอน เช่น ปัญหานักเรียนขาดความรู้หรือทักษะปฏิบัติในวิชาใดวิชาหนึง่ ปัญหาน้ีสามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนการสอน โดยท่ีครูจัดโครงสร้างความรู้ให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงตามลาดับจากง่ายไปยากและนาเสนอให้เหมาะสมกับความสามารถในการรับรู้ของผู้เรียนให้
125นักเรียนมีโอกาสทบทวนความรู้ จัดเวลาให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติบ่อย ๆ พร้อมทั้งให้การเสริมแรงแก่ผลการปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือให้นักเรียนนาข้อแนะนาไปปรับปรุงแก้ไข เป็นต้น แต่บางปัญหาเช่นโรงเรียนมีจานวนนักเรียนสมัครเข้าเรียนใหม่ลดลงเร่ือย ๆ ปัญหาน้ีอาจไม่ได้เกี่ยวกับการเรียนการสอนโดยตรง ดังนั้นจึงควรวิเคราะห์ว่าปัญหาใดเป็นปัญหาทางการเรียนการสอนท่ีสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ การค้นพบปัญหาการเรียนการสอนนี้จึงต้องวิเคราะหค์ วามต้องการในการเรียนรูข้ องผเู้ รยี น 2) ค้นหาว่าอะไรคือความรู้ ทักษะท่ีควรสอนให้แก่ผู้เรียน ความรู้ ทักษะนั้นเป็นส่ิงใหม่หรือเคยเรียนมาแล้ว ธรรมชาติและลักษณะสาคัญของความรู้และทักษะน้ันเป็นอย่างไร จะสอนความรู้ทักษะนั้นให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไร ผู้ออกแบบจะต้องคิดถึงเนื้อหาที่จะให้ผู้เรียนได้รับและทักษะที่ผู้เรียนพงึ ได้รับการพัฒนา น่ันคือการตอบคาถามให้ได้ว่า จะให้ผู้เรียนรู้อะไรและทาอะไรได้จากการเรียนการสอนที่จดั ขึ้น 3) ทาใหร้ ู้จกั ผู้เรยี นมากข้นึ เพือ่ ให้การออกแบบการเรียนการสอนมีความเหมาะสมกับผู้เรียนที่เป็นกลมุ่ เปา้ หมาย ผอู้ อกแบบการเรยี นการสอนจาเป็นต้องมีสารสนเทศเก่ียวกับผู้เรียนให้มากขึ้น เช่นความร้เู ดมิ ของผเู้ รยี นที่มีอยู่ ความรู้ของผ้เู รยี นซ่ึงเปน็ พน้ื ฐานที่ช่วยใหเ้ รียนรูเ้ ร่ืองใหม่ได้ง่ายข้ึน ความถนัดความสนใจ ระดับพัฒนาการทางสติปัญญา แรงจูงใจ เหล่าน้ีล้วนเป็นปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ของผเู้ รียน ดังนน้ั การรูจ้ กั ผูเ้ รียนช่วยให้นักออกแบบสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผเู้ รียนมากข้นึ 4) ทาให้เขา้ ใจบรบิ ทของการเรยี นการสอนซ่ึงหมายถึงลักษณะทางกายภาพท่ีเป็นสิ่งแวดล้อมของการเรียนการสอนและปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่มีผลตอ่ การเรียนการสอนทั้งในด้านท่ีส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการเรยี นการสอน 5) ช่วยสารวจปัญหาการเรียนการสอนและหาทางแก้ปัญหา นักออกแบบการเรียนการสอนจะใช้วธิ กี ารเชงิ ระบบในการวิเคราะห์ว่าอะไรคือปัญหาของการเรียนการสอน การเสนอทางเลือกต่าง ๆท่ีเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาและพิจารณาว่าแนวทางใดสามารถแก้ปัญหาได้ดีที่สุด จะใช้สารสนเทศใดในการแกป้ ญั หาได้เหมาะสมทสี่ ุด 6) ช่วยให้นักออกแบบการเรียนการสอนสามารถกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนเพื่อใช้เปน็ แนวทางในการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื และการวัดประเมินผลผู้เรียนได้สอดคล้องกับเนื้อหาผูเ้ รยี นและบรบิ ทการเรยี นการสอนมากข้ึน
126 การประเมินความต้องการจาเป็นจึงเป็นกระบวนการที่ทาให้ผู้ออกแบบได้นาสารสนเทศไปใช้ในการกาหนดเปา้ หมายการเรียนรู้ ช่วยแก้ปัญหาการเรียนการสอนและตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของผเู้ รียน รปู แบบการประเมินความตอ้ งการจาเปน็ การประเมินความต้องการจาเป็นในการเรียนการสอนเกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ เช่นผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ไม่บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาท่ีโรงเรียนกาหนด สภาพการเรียนการสอนไมม่ ีประสิทธิภาพ ไมน่ ่าสนใจ คณะกรรมการโรงเรยี นตอ้ งการให้โรงเรียนเพม่ิ เติมเน้ือหาใหม่เข้าไปในหลกั สตู ร เชน่ ให้นักเรยี นเรยี นภาษาท่ีใชส้ อื่ สารในประเทศอาเซยี นเพิ่มข้ึน เช่น ภาษาจีน ภาษาบาฮาซาเป็นต้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของประชากรนักเรียนที่เป็นชาวต่างชาติมากข้ึนอันเนื่องจากแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทางานในประเทศไทย ทาให้เกิดปัญหาการจัดการเรียนการสอนในบริบทสังคมพหวุ ัฒนธรรม เป็นต้น ในการประเมินความต้องการจาเป็นจึงควรเลือกใช้รูปแบบการวิเคราะห์ท่ีมีความเหมาะสมกับสภาพปญั หาท่ีพบ ซึ่งแบ่งได้ 3 รปู แบบ ได้แก่ (Smith & Ragan, 1999, p 32-36) 1. รูปแบบการประเมินท่ีเน้นการศึกษาช่องว่างระหว่างสภาพที่เป็นอยู่กับสภาพที่คาดหวัง (discrepancy-based need assessment) เป็นการศึกษาความแตกต่างของสภาพที่คาดหวังกับสภาพที่เป็นอยู่จริง การดาเนนิ งานวิเคราะห์ตามรปู แบบนป้ี ระกอบด้วยข้นั ตอนดงั นี้ 1) บรรยายเปา้ หมายการเรยี นรู้ของสภาพการเรียนการสอนในปจั จุบนั 2) ประเมินผลสมั ฤทธ์ิของเปา้ หมายการเรยี นรใู้ นสภาพปัจจุบนั วา่ เปน็ อย่างไร 3) อธิบายช่องว่างระหว่างส่ิงท่ีเป็นสภาพที่คาดหวังและสิ่งท่ีทาได้ว่ามีความแตกต่างอย่างไร มสี าเหตมุ าจากอะไร 4) ลาดบั ส่ิงทต่ี อ้ งปฏบิ ัติกอ่ นหลงั เพอื่ ใหเ้ กิดสภาพทตี่ ้องการ 5) ประเมนิ วา่ อะไรคือความต้องการของการเรียนการสอนและในจานวนความต้องการเหลา่ น้นั ความต้องการใดสามารถแก้ไขไดด้ ้วยการออกแบบและพฒั นาการเรยี นการสอน 2. รูปแบบการประเมินที่เน้นปัญหา (problem-based need assessment) เป็นการประเมินเพ่ือค้นหาว่าอะไรคือปัญหาท่ีแท้จริง ปัญหานั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนการสอนหรือไม่ การดาเนนิ งานวิเคราะห์ตามรปู แบบนป้ี ระกอบด้วยขนั้ ตอนดังน้ี 1) ปญั หาที่พบเปน็ ปัญหาที่แท้จรงิ หรอื ไม่
127 2) สาเหตุของปัญหามีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หรอื สง่ิ แวดล้อมการเรียนรู้หรือไมอ่ ย่างไร 3) แนวทางการแกป้ ัญหาเก่ียวข้องกับการเรยี นการสอนหรอื ไม่ 4) พิจารณาว่าแนวทางในการเรียนการสอนท่ีเสนอนั้นสามารถแก้ปัญหาที่เป็นเป้าหมายการเรยี นรู้ไดจ้ รงิ หรือไม่ 3. รูปแบบการประเมินที่เน้นนวัตกรรม (innovation-based need assessment) เป็นการพิจารณานวัตกรรมและตัดสินว่าเป้าหมายการเรียนรู้นั้นมีความสัมพันธ์กับนวัตกรรมหรือไม่ การดาเนนิ งานวเิ คราะหต์ ามรูปแบบน้ีประกอบด้วยขน้ั ตอนดังน้ี 1) พจิ ารณาธรรมชาติและการเปลยี่ นแปลงของส่ิงแวดล้อมวา่ มสี ภาพเป็นอย่างไร 2) พิจารณาว่าเปา้ หมายการเรยี นรมู้ คี วามสมั พันธ์กบั นวัตกรรมหรือไม่ 3) พิจารณาวา่ เป้าหมายการเรียนรู้อยใู่ นระดับใดในระบบการเรยี นการสอน 4) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ว่านาไปสู่การออกแบบนวัตกรรมการเรียนการสอนอยา่ งไร กระบวนการประเมนิ ความต้องการจาเปน็ กระบวนการประเมินความต้องการจาเป็น เป็นการดาเนินงานที่แปลงความต้องการท่ีเป็นเจตนารมณ์หรอื อุดมคติให้เป็นความตอ้ งการท่ีเป็นจริงโดยพิจารณาจากข้อมูล ข้อเท็จจริงที่รวบรวมจากแหลง่ ขอ้ มูลและผู้เกย่ี วข้องหลายฝา่ ย นามาเปรียบเทียบและทบทวนเพอื่ หาแนวทางท่ีเป็นไปได้มากท่ีสุดในการบรรลุความต้องการหรือการแก้ปัญหาท่ีประสบ กระบวนการวิเคราะห์มี 3 ข้ันตอน (Shambaugh& Magliaro, 1997, p. 65) ได้แก่ การบรรยายความต้องการจาเป็น การรวบรวมข้อมูล การสรุปและทบทวนความต้องการจาเป็น โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. การบรรยายความต้องการจาเป็น เป็นข้ันตอนท่ีผู้ออกแบบนาเสนอความต้องการที่เป็นอุดมคติ ความเชื่อ ความมุ่งมั่นในการเรียนการสอนว่าต้องการให้ผู้เรียนเป็นอย่างไรเม่ือได้รับการจัดการเรียนการสอนแล้ว เช่น มีความรู้อะไร ทาอะไรได้ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างไร สิ่งท่ีนาเสนอน้ีมีแหล่งที่มาจากปรัชญา วิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมายของโรงเรียนท่ีได้ประกาศแก่สาธารณชน และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ซ่ึงในหลักสูตรจะบอกถึงเป้าหมายท่ีเป็นคุณภาพของผู้เรียนในกลุ่มสาระการเรยี นร้ตู า่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ คณุ ภาพของผู้เรียนทคี่ าดหวงั เมื่อผู้เรียนได้รับการศึกษาครบระยะเวลา
128ที่หลักสูตรกาหนด 12 ปี ท่ีเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ และคุณภาพของผู้เรียนเป็นรายปีในแต่ละระดับช้ันที่เรียกว่า ตัวช้ีวัด (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) สิ่งท่ีนาเสนอในข้ันนี้เป็นเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับกว้างยังไม่สามารถนาไปสู่การปฏิบัติ แต่ทาให้เห็นลาดับความสาคัญของความต้องการหรือเป้าหมายการเรียนรู้ทโี่ รงเรยี นตอ้ งการให้นักเรยี นบรรลุ 2. การรวบรวมขอ้ มูล เป็นข้ันตอนทผี่ ้อู อกแบบดาเนนิ การวิเคราะห์ทางเลือกหรือแนวทางต่าง ๆในการนาเป้าหมายการเรียนรู้สู่การปฏิบัติ ซ่ึงต้องอาศัยข้อมูลหลายด้าน การดาเนินงานในข้ันนี้คือการวิเคราะห์งาน (task analysis) ซ่ึงหมายถึง การจาแนกงานท่ีต้องปฏิบัติเป็นกลุ่มงานต่าง ๆ รวมทั้งการบรรยายรายละเอียดของภาระงานแต่ละงาน และจัดระบบงานให้สัมพันธ์กันจนสามารถดาเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนรู้จะต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของผู้เรียนสาระ ส่ือ และกิจกรรม เพ่ือให้สามารถจัดการเรียนการสอนเป็นลาดับข้ันตอนและบรรลุวัตถุประสงค์(ราชบัณฑิตยสถาน, 2555, หน้า 528) ดังน้ันงานในที่นี้ คืองานเพื่อการเรียนรู้ (learning task) ผลที่ได้จากการดาเนินงานในข้ันนี้คือ เป้าหมายการเรียนรู้ที่บอกให้ทราบว่าผู้เรียนควรมีความรู้อะไร สามารถทาอะไรได้หลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนแล้ว นอกจากนั้นยังบอกให้ทราบว่าผู้เรียนต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอะไรที่จาเป็นต้องมีเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการ ดังนั้นการดาเนินงานในขั้นนี้จึงประกอบด้วยการวิเคราะห์ผู้เรียน (analyzing the learners) เพ่ือให้ทราบความแตกตา่ งของผู้เรยี นซงึ่ เปน็ กลมุ่ เปา้ หมายการเรียนรู้ว่ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร มีพื้นฐานความรู้ที่จาเป็นต่อการเรียนรู้เป็นอย่างไร และการวิเคราะห์งานเพื่อการเรียนรู้ (analyzing the learning task)คือ การวิเคราะหว์ า่ ความรหู้ รือเนอื้ หาทต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้นน้ั คืออะไร มีลักษณะและธรรมชาติเป็นอย่างไร มีข้ันตอนการปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้เน้ือหาน้ันอย่างไรซึ่งเป็นพ้ืนฐานสาหรับการออกแบบการเรียนการสอน 3. การสรุปและทบทวนความต้องการจาเป็น เป็นขั้นตอนท่ีผู้ออกแบบนาสารสนเทศที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าและรวบรวมได้มาใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการและปัญหาที่แท้จริงหรือปรับปรุงความต้องการที่กาหนดไว้ในขั้นตอนแรกให้มีความเหมาะสมเป็นจริงมากย่ิงข้ึน และใช้ในการกาหนดเป้าหมายการเรยี นรู้ทมี่ กี ารจดั ลาดับความสาคญั และกาหนดทางเลือกหรือแนวทางปฏิบัติท่ีมีความเฉพาะเจาะจงเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยใช้สารสนเทศต่าง ๆ ท่ีได้ศึกษามาแล้ว ได้แก่ ลักษณะของผู้เรียน สภาพบริบทของการเรียนการสอนในโรงเรียน สารสนเทศเหล่าน้ีจะ
129ช่วยให้ข้อเสนอแนวทางการบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้หรือการแก้ปัญหามีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปฏบิ ตั ิสอดคลอ้ งกับเวลาและทรัพยากรท่ีมีอย่ตู ่อไปการวิเคราะห์การเรยี นการสอน การวิเคราะห์การเรียนการสอน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้สารสนเทศที่นามาใช้ในการกาหนดผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ การวิเคราะห์การเรียนการสอนประกอบด้วย การวิเคราะห์ผู้เรียน (analyzing the learners) การวิเคราะห์ส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ (analyzing the learningenvironment) และการวิเคราะห์งานเพ่ือการเรียนรู้ (analyzing the learning task) การวิเคราะห์ข้อมูลแต่ละด้านมรี ายละเอยี ดที่จะกลา่ วถึงดังนี้ การวิเคราะห์ผ้เู รยี น การเรียนการสอนต้องจัดให้เหมาะกับผู้เรียน ดังนั้นนักออกแบบการเรียนการสอนจึงต้องมีความเข้าใจลักษณะของผู้เรียนที่เป็นองค์ประกอบสาคัญในกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจสภาพและสถานที่ปฏิบัติงานของผู้เรียน ตลอดจนสิ่งอานวยความสะดวกในการเรียนการสอนซ่ึงเป็นบริบทของการเรียนรู้ที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ในกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนน้ันผู้ออกแบบการเรียนการสอนมีความมุ่งหวังให้สิ่งที่ออกแบบไว้ไม่ว่าจะเป็นส่ือการเรียนรู้หรือกิจกรรมการเรียนรู้สามารถนาไปใช้ได้กับผู้เรียนที่เป็นประชากรเป้าหมาย (target population) ให้ครอบคลุมได้มากที่สุดเทา่ ที่จะเป็นไปได้ แตใ่ นการท่ีจะพิสูจน์และประเมินว่าส่ิงท่ีออกแบบไว้น้ันมีประสิทธิภาพใช้ได้เหมาะสมหรือไม่จาเป็นต้องทดลองกับผู้เรียนที่เป็นกลุ่มทดลอง (try out learners) ซ่ึงเป็นสมาชิกของประชากรกลุม่ เปา้ หมาย ซ่งึ มีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงมากกว่ามาเป็นตัวแทนเพ่ือทาการทดลองว่าสิ่งท่ีออกแบบไว้นั้นใช้ไดด้ เี พยี งใด ก่อนที่จะอา้ งองิ ผลการทดลองไปยงั ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ลักษณะของผู้เรียนท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ 1) ทักษะที่มอี ย่กู ่อนซง่ึ มีความสมั พันธก์ ับเป้าหมายการเรียนรู้ หมายถึง ทักษะที่ผู้เรียนมีอยู่แล้วก่อนทจ่ี ะเรยี นรู้เร่อื งใหม่ทาให้การเรียนรเู้ รอ่ื งใหม่งา่ ยขึ้น เพราะไม่ตอ้ งไปเรยี นรทู้ กั ษะนน้ั 2) ความรู้เดิมในเร่ืองท่ีสอน ความรู้เดิมนี้มีทั้งความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ หรืออาจเป็นความรู้เดิมที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ใหม่ก็ได้ หากเป็นความรู้เดิมที่ไม่ถูกต้องผู้สอนจะต้องหาทางแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ งกอ่ นเรียนรเู้ รื่องใหม่
130 3) เจตคตทิ ีม่ ตี ่อเนื้อหาและระบบการถา่ ยทอด 4) แรงจูงใจทางวชิ าการ 5) ระดับความสามารถทางการศึกษา 6) ความชอบในการเรยี นรูโ้ ดยทัว่ ไป 7) เจตคติที่มีตอ่ การเรียนการสอน 8) ลกั ษณะของกลุม่ ผู้เรยี นมีลักษณะคล้ายคลึงหรือมีความแตกตา่ งจากกลมุ่ ประชากร วิธีการรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับความแตกต่างของผู้เรียนดังกล่าวควรเลอื กใช้เคร่ืองมือในการรวบรวมข้อมลู ให้เหมาะสมกับลักษณะของขอ้ มูลที่ตอ้ งการ เช่น 1) ใช้การสมั ภาษณผ์ ู้บริหาร ผู้สอนและผ้เู รยี นเพ่ือให้ทราบขอ้ มูลเก่ียวกับลักษณะของผู้เรยี น 2) ใชแ้ บบรายงานตนเอง ใหผ้ เู้ รียนสะท้อนความถนัด ความสนใจ แรงจูงใจและเจตคติท่ีมีต่อการเรียนร้ตู า่ ง ๆ 3) สงั เกตการทางานของผเู้ รียนในบรบิ ทการเรียนรู้ตา่ ง ๆ 4) ทดสอบกอ่ นเรียนเพ่อื ให้ทราบว่าผเู้ รียนมีความรเู้ ดิมและทักษะก่อนเรียนเปน็ อย่างไร ผลทไี่ ดจ้ ากการวิเคราะห์ ทาให้ทราบลักษณะต่าง ๆ ของผู้เรียน เช่น พฤติกรรมท่ีมีอยู่ก่อนของผเู้ รยี น เจตคติที่มีตอ่ เนอื้ หาและรูปแบบการถ่ายทอดเน้ือหา แรงจูงใจทางวิชาการ ระดับความสามารถและผลสัมฤทธ์ิท่ีมีอยู่ก่อน ความชอบทางวิชาการ เจตคติที่มีต่อองค์กร และลักษณะของกลุ่มผู้เรียน ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบกลยุทธ์การสอน วิธีการถ่ายทอดและการฝึกทักษะใหแ้ กผ่ ้เู รยี น การวเิ คราะหส์ ิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ส่งิ แวดล้อมการเรียนรู้ หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคมซึ่งเป็นบริบทการเรียนรู้ที่เป็นส่ิงเร้าภายนอก และแรงจูงใจที่เป็นส่ิงเร้าภายในตัวผู้เรียนที่กระตุ้นการแสดงพฤติกรรมการเรยี นรขู้ องผู้เรียน สิ่งแวดลอ้ มการเรยี นรู้ทม่ี คี วามสาคัญในการเรยี นรู้ ได้แก่ 1) ลกั ษณะของสิ่งแวดลอ้ มภายนอกทีเ่ ป็นบริบทในการเรียนรู้ เช่น สภาพหอ้ งเรียน สภาพโรงเรียนห้องปฏิบัติการต่าง ๆ อุปกรณ์ เครื่องมือ ส่ิงอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆทง้ั ในโรงเรยี นและชมุ ชนทส่ี ง่ เสรมิ การเรยี นรู้
131 2) สภาพทางสังคมหรือบริบททางสังคม ได้แก่ การจัดความสัมพันธ์ของผู้เรียนในการเรียนรู้เช่น การจัดให้ผู้เรียนทางานร่วมกันเป็นกลุ่มในลักษณะต่าง ๆ หรือจัดให้ผู้เรียนทางานอย่างอิสระเป็นรายบคุ คล เป็นต้น 3) การสนับสนุนการเรียนรู้จากผู้เก่ียวข้องในโรงเรียนและชุมชน เช่น ฝ่ายบริหาร ศึกษานิเทศก์ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน ผู้ปกครอง หนว่ ยงานต่าง ๆ ในทอ้ งถน่ิ เปน็ ต้น วิธีการรวบรวมข้อมูล ใช้การสังเกตสภาพแวดล้อมจริง เช่น การเยี่ยมห้องเรียน การเยี่ยมโรงเรียน ซ่ึงต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี วิธีท่ีเหมาะสมในการรวบรวมข้อมูลใช้การสัมภาษณ์สังเกต หรอื การสนทนากลุม่ ผเู้ กย่ี วข้องเพื่อสะท้อนข้อมลู และการอภิปรายเพ่ือแลกเปลยี่ นข้อมลู เป็นตน้ ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทาให้ทราบสภาพขององค์กรและส่ิงแวดล้อมซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการเรียนการสอนท่ีอาจเป็นข้อจากัด อุปสรรคหรือเป็นสิ่งส่งเสริม สนับสนุนต่อการดาเนินการโครงการ การวเิ คราะหง์ านเพื่อการเรยี นรู้ การวิเคราะห์งาน (task analysis) คือ การแปลงข้อความท่ีบอกเป้าหมายการเรียนรู้ไปสู่แนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายน้ัน (Smith & Ragan, 1999, p. 63) ดังน้ันการวิเคราะห์งานเพอ่ื การเรยี นรู้จงึ เร่ิมต้นดว้ ยการกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ประกอบด้วยเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับรายวิชา เป้าหมายการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ และเป้าหมายการเรียนรู้ระดับบทเรียน ในระดับท่ีย่อยกว่านี้ไม่นิยมเรียกว่า เป้าหมายการเรียนรู้ ในปัจจุบันเป้าหมายการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ตา่ ง ๆ ไดม้ าจากการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตร ถ้าเป็นมาตรฐานการเรียนรู้จะบอกเป้าหมายการเรียนรู้ไว้ค่อนข้างกว้างซึ่งจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ได้ภายใน 12 ปีส่วนตัวชี้วัดนับเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ในแต่ละชั้นปี ตัวช้ีวัดในสาระการเรียนรู้ใดจะบอกให้ทราบว่าผู้เรียนควรรู้อะไร และสามารถทาอะไรได้หรือบอกผลการเรียนรู้(learning outcome) ท่ีคาดหวัง การวิเคราะห์ตัวชี้วัดในสาระการเรียนรู้ใดจึงทาให้ทราบเป้าหมายการเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ท่ีเป็นความรู้และทักษะการปฏิบัติที่ผู้เรียนพึงรู้และทาได้ในสาระการเรียนรู้นั้นซึ่งครูหรือผู้ออกแบบการเรียนการสอนจะต้องนาไปดาเนินการต่อในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และส่ือทจ่ี ะนาไปใชเ้ ป็นส่ือกลางในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้และทักษะที่ต้องการต่อไป การวิเคราะห์งานเพ่อื การเรียนรู้จงึ มีข้ันตอนในการดาเนนิ งานดงั น้ี
132 1. วิเคราะห์ตัวชี้วัดเพ่ือกาหนดผลการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดท่ีกาหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ระบุสิ่งท่ีผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแตล่ ะระดบั ช้ัน ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดมีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรมนาไปใชใ้ นการกาหนดเน้ือหา จดั ทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอนและเป็นเกณฑ์สาหรับการวัดประเมนิ ผลเพือ่ ตรวจสอบคณุ ภาพผู้เรยี น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, หน้า 9) จากข้อกาหนดดังกล่าวตัวชว้ี ดั จะบอกให้ทราบถงึ พฤติกรรมของผเู้ รยี นทีค่ าดหวังและเนื้อหาท่ีผเู้ รยี นพงึ รูภ้ ายหลังการเรียนการสอนจากตัวช้ีวัดที่ครูหรือผู้ออกแบบการเรียนการสอนจะต้องวิเคราะห์เป็นผลการเรียนรู้ หลักในการเขียนผลการเรียนรู้ก็คือ ย่ิงผลการเรียนรู้มีความชัดเจน เฉพาะเจาะจงมากเพียงไร ย่ิงจะช่วยในการออกแบบกลวิธีการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลเพียงน้ัน (Smith & Ragan, 1999, p. 64) ผลการเรียนรู้ควรเขยี นเป็นข้อความที่บอกถึงพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ ข้อความในผลการเรียนรู้จะสื่อสารให้รู้ว่าผู้เรียนเรียนรู้อะไร ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบการเรียนการสอนมีความสะดวก ไม่ยุ่งยาก ทาให้สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้ได้ผลการเรียนรู้ท่ีมีความแน่นอน ชัดเจนว่าจะก่อให้เกิดผลการเรียนรู้ท่ีต้องการจรงิ ๆ ผลจากการวิเคราะห์ตัวช้ีวัดจะได้ผลการเรียนรู้ที่ต้องนาไปวิเคราะห์ต่อไปเพื่อกาหนดแนวทางการปฏบิ ัตเิ พือ่ ใหบ้ รรลุผลการเรียนร้ทู ต่ี ้องการ
133ตารางท่ี 6.1 ตัวอยา่ งการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรจู้ ากมาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ สาระท่ี 6 กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1มาตรฐานที่ ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศและสัณฐาน ของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้และ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ผ้เู รียนรูอ้ ะไร/ทาอะไรได้ ผลการเรียนรู้1. สืบคน้ และอธบิ าย ผู้เรียนรู้อะไร 1. ตั้งคาถาม สารวจ สืบคน้องค์ประกอบและการแบ่ง 1. บรรยากาศโลกประกอบดว้ ย ข้อมลู เกี่ยวกับบรรยากาศของโลกชัน้ บรรยากาศท่ีปกคลุม สว่ นผสมของแก๊สต่าง ๆ ท่ีอยู่รอบ องค์ประกอบของบรรยากาศผิวโลก โลกสูงขนึ้ ไปจากพน้ื โลกหลาย และการแบง่ ชั้นบรรยากาศที่ กิโลเมตร ปกคลุมผิวโลก 2. รวบรวมขอ้ มูลอภปิ ราย สรุป 2. บรรยากาศแบ่งเปน็ ชน้ั ตาม ความรู้ อธบิ ายองค์ประกอบของ อณุ หภูมิและการเปลี่ยนแปลง บรรยากาศท่ีปกคลุมผิวโลกและ อุณหภูมติ ามความสูงจากพน้ื ดนิ ชั้นบรรยากาศ 3. นาเสนอผลการสรปุ ด้วย ผูเ้ รียนทาอะไรได้ รายงานและแผนภาพ สบื คน้ ขอ้ มูล รวบรวมขอ้ มูล องค์ประกอบและการแบง่ ชั้น บรรยากาศของโลก อภิปราย สรุป และนาเสนอรายงานและแผนภาพทมี่ า: สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน, 2553, หนา้ 30 2. วิเคราะห์ประเภทผลการเรียนรู้ การจัดประเภทผลการเรียนรู้ (type of learningoutcomes) สามารถจัดได้หลายลักษณะข้ึนอยู่กับผู้ออกแบบการเรียนการสอนว่าจะยึดถือการจัดประเภทการเรียนรู้ตามแนวคิดของใคร ซึ่งในท่ีนี้จะขอนาแนวคิดท่ีมีผู้นิยมนาไปใช้ในการจัดประเภทการเรยี นรู้ 3 แบบ แตไ่ มว่ า่ จะยดึ ตามแนวคดิ ของใครกส็ ามารถเทยี บเคยี งกันได้ ดงั นี้ 2.1 การจัดประเภทผลการเรียนรู้ตามแนวคิดของกานเย บริกส์ และเวเกอร์ (Gagné,Briggs, & Wager, 1992, p. 44) แบ่งประเภทผลการเรียนรู้เปน็ 5 ประเภท ไดแ้ ก่
134 1) ทักษะเชาวน์ปัญญา (intellectual skills) 2) กลวธิ กี ารคดิ (cognitive strategies) 3) ความรู้ธรรมดา (verbal information or declarative knowledge) 4) ทักษะทางกาย (psychomotor skills) 5) เจตคติ (attitude) 2.2 การจัดประเภทผลการเรียนรู้ตามแนวคิดของเมอร์ริล (Merrill, 1983 cited inSmith, & Ragan, 1999, p. 65) ได้อธิบายงาน (task) ในมิติของเนื้อหาและการปฏิบัติ (content &performance) เน้ือหาประกอบด้วย ข้อเท็จจริง (facts) ความคิดรวบยอด (concepts) ขั้นตอนการปฏิบัติ(procedures) และหลักการ (principles) ซึ่งในส่วนเน้ือหาน้ีตรงกับความรู้ธรรมดาของกานเย แต่ละเนื้อหาแบ่งการปฏิบัติออกเป็น 3 ระดับ คือ 1) ระลึกได้ (remember) 2) การใช้ (use) และ 3) การคน้ พบ (find) ดังน้ันเม่ือนาความสัมพันธ์ของมิติด้านเนื้อหาและการปฏิบัติมาสัมพันธ์กัน จะสามารถจัดประเภทการเรียนรู้ได้ถึง 12 แบบ การจัดประเภทการเรียนรู้ตามแนวคิดของเมอร์ริลเป็นที่นิยมของนักออกแบบการเรียนการสอน เชน่ เดยี วกับรปู แบบของกานเย 2.3 การจัดประเภทผลการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม (Bloom, 1956 cited inSmith, & Ragan, 1999, p. 65) ได้แบ่งประเภทของการเรียนรู้ตามประเภทของจุดประสงค์ เป็น 3 ด้านได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) แบ่งความรู้เป็น 6 ระดับ ได้แก่ 1) การระลึกได้ (recall)2)-ความเข้าใจ-(comprehension) 3)-การนาไปใช้-(application)-4)-การวิเคราะห์-(analysis)5) การสังเคราะห์ (synthesis) และ 6) การประเมินค่า (evaluation) ด้านทักษะพิสัย (psychomotordomain) และด้านจิตพิสัย (affective domain) แบ่งเป็นการจัดประเภทการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูมน้ีมีประโยชน์ในการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ ซ่ึงเม่ือเทียบเคียงกับการจัดประเภทการเรียนรู้ของบลูมและกานเย ข้ันการระลึกได้และความเข้าใจของบลูมจะตรงกับประเภทการเรียนรู้ท่ีเป็นความรู้ธรรมดาของกานเย ส่วนความรู้ในขั้นการนาไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าจะตรงกับประเภทการเรียนรู้ที่เป็นทักษะเชาวน์ปัญญา และความรู้ที่เป็นด้านทักษะพิสัยและจิตพิสัยของบลูมน้ันตรงกับทักษะทางกายและเจตคตขิ องกานเย 3. วิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงาน เป็นการดาเนินงานเพ่ือตอบคาถามว่าผู้เรียนจะต้องปฏิบัติงานอะไรบ้างและปฏิบัติอย่างไรเพ่ือบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ (Smith & Ragan, 1999, p. 63)กระบวนการวิเคราะห์งานเพ่ือการเรียนรู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนามาใช้อย่างกว้างขวางในการออกแบบขั้นตอน
135การเรียนการสอนคือ การประยุกต์ทฤษฎีการประมวลสารสนเทศมาใช้ในการวิเคราะห์งานย่อย ๆ ที่ผู้เรียนต้องปฏบิ ตั เิ พอื่ ให้เกดิ ผลการเรยี นรู้ทตี่ ้องการ กระบวนการวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงานมาจากการตั้งคาถามวา่ จะต้องทาอะไรจึงจะบรรลุเป้าหมายหรือผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือมขี น้ั ตอนการปฏิบตั ทิ ีง่ ่ายและประหยัดเวลา สมิทและราแกน (Smith & Ragan, 1999, pp. 69-71) ได้เสนอแนะกระบวนการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้ันตอนการปฏิบัติงานที่ผู้ออกแบบการเรียนการสอนสามารถนาไปปฏิบัติได้ด้วยตนเองดงั น้ี 1) รวบรวมข้อมูลให้มากท่ีสุดเกี่ยวกับงานและเนื้อหาท่ีเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ จากน้ันสร้างคาถามท่ีเก่ียวกับความรู้และทักษะท่ีใช้ในการปฏิบัติงานเพ่ือบรรลุผลการเรียนรู้นั้นเพื่อนาไปสอบถามจากผู้เชย่ี วชาญในเรือ่ งนน้ั เช่น ถ้าตอ้ งการทราบวา่ การแกะสลักน้าแข็งทาอย่างไร ก็ควรรวบรวมความรู้เกีย่ วกับการแกะสลักนา้ แข็งให้มากทส่ี ุด สรุปข้นั ตอนการแกะสลักน้าแข็งไปสอบถามผูท้ ม่ี ีความชานาญงาน 2) แปลงผลการเรียนรู้ให้เป็นรายการคาถาม คาถามที่ต้ังข้ึนนี้จะช่วยในการอธิบายให้รู้ว่าความรู้อะไรทจี่ าเปน็ ต่อการปฏบิ ัตงิ าน เช่น ผูท้ แี่ กะสลกั น้าแข็งได้ต้องมคี วามรูใ้ นเรื่องอะไร 3) สอบถามข้ันตอนการปฏิบัติงานจากผู้ท่ีมีความรู้ ความชานาญในการปฏิบัติงานและประสบความสาเร็จเพ่ือค้นหาคาตอบเกี่ยวกับวิธีการในการทางาน โดยเลือกทาจากกิจกรรมใดกิจกรรมหน่งึ หรอื หลายกิจกรรมทเ่ี สนอแนะต่อไปนี้ (1) สังเกตวิธีการที่คนเหล่านี้ปฏิบัติงานให้เขาแสดงวิธีการพร้อมอธิบายข้ันตอนในการทางานไปด้วย (2) สังเกตว่าเขาทางานใหป้ ระสบความสาเรจ็ ได้อย่างไรและบันทึกขน้ั ตอนการทางาน (3) ถามขัน้ ตอนการทางานจากคนเหล่านี้ทีละคนพร้อมกับให้เขาบันทึกขั้นตอนการทางานของตนเอง (4) ขอให้แตล่ ะคนบนั ทึกข้ันตอนของการปฏบิ ตั ิงานทที่ าจนงานสาเรจ็ จากกิจกรรมทีเ่ สนอแนะข้างตน้ จะเหน็ ว่ากิจกรรมท่ี 1 และ 2 เป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างชัดเจน เพราะผู้มีความชานาญในการปฏิบัตินั้นมักจะทางานน้ันโดยอัตโนมัติจนอาจจะไม่ทันไดน้ ึกถึงขน้ั ตอนในรายละเอยี ด ดังน้ันจึงควรให้ผู้มีความชานาญในการปฏิบัติงานได้แสดงให้ดูและพูดถงึ กระบวนการปฏิบัติของตนเองไปด้วย นอกจากจะทาให้เห็นวิธีการอย่างชัดเจนแล้วยังทาให้เข้าใจถึงแนวคิดหรือกระบวนการคิดที่บุคคลใช้ในการปฏิบัติงานด้วย การสอบถามวิธีการจากผู้เชี่ยวชาญ
136หลายคนจะช่วยให้เห็นแนวทางที่มีลักษณะแปลกและแตกต่างกันท่ีบุคคลใช้ในการทางานให้ประสบความสาเร็จ 4) ทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติงานท่ีเขียนไว้หรือย้อนดูเทปท่ีบันทึกไว้ของผู้เชี่ยวชาญสอบถามผู้เช่ียวชาญเกี่ยวกับกระบวนการในการปฏิบัติงานและความคิดที่อยู่เบื้องหลังการทางานจากคาถามต่าง ๆ ใหร้ อบด้านซ่งึ ไมส่ ามารถเหน็ ได้จากการปฏบิ ัตงิ าน 5) หาข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญเก่ียวกับข้ันตอนที่ธรรมดาสามัญท่ีสุดที่ใช้ในการปฏิบัติงานให้ประสบความสาเร็จ 6) ระบุข้ันตอนท่สี ้นั ทีส่ ดุ ซับซอ้ นนอ้ ยทสี่ ุดทน่ี าไปสคู่ วามสาเรจ็ ของงาน 7) ระบุเงื่อนไขพิเศษหรือข้อยกเว้นต่าง ๆ ท่ีจาเป็นต้องใช้วิธีการท่ีไม่ธรรมดา ซึ่งต้องใช้ข้ันตอนในการปฏิบตั ิงานหลายขนั้ ตอนมากกว่าการทางานในภาวะปกติ 8) คัดเลอื กสถานการณท์ ่ใี ช้ในการปฏิบตั ิงาน ซง่ึ ใชก้ บั ขัน้ ตอนการปฏิบตั งิ านแบบพ้ืนฐานและแบบพิเศษที่มีความซับซ้อน โดยเร่ิมจากสถานการณ์ปกติท่ีใช้ข้ันตอนการปฏิบัติงานแบบพ้ืนฐานก่อนจากนั้นจึงกล่าวถึงสถานการณพ์ เิ ศษท่จี าเปน็ ต้องใชข้ ัน้ ตอนในการปฏิบตั งิ านท่ซี ับซ้อนข้ึน 9) กาหนดข้ันตอนในการปฏิบัตงิ านทสี่ อดคล้องกบั ผลการเรียนรู้ท่ีต้องการอย่างเป็นลาดับข้ันโดยปกตขิ ัน้ ตอนในการปฏบิ ัติทีม่ ีความเหมาะสมควรอยใู่ นชว่ งต้ังแต่ 3-12 ขั้น (รวมขั้นตอนย่อย) เพราะอย่ใู นวิสยั ท่ีสมองจะสามารถรบั รูแ้ ละจดจาไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 10) ควรนาผลการวิเคราะห์นี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มอื่นช่วยตรวจสอบเพื่อสร้างความมั่นใจในขนั้ ตอนการปฏิบัติงาน กระบวนการท้ัง 10 ขั้นตอน ท่ีกล่าวมานี้ ผู้ออกแบบการเรียนการสอนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ขัน้ ตอนการปฏบิ ัติงานเพ่อื ให้บรรลผุ ลการเรียนรูท้ ่ีต้องการได้เอง อย่างไรก็ดีเนื่องจากผลการเรยี นรูแ้ ตล่ ะประเภทมีกระบวนการและขั้นตอนในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน สมิทและราแกน (Smith& Ragan, 1999, pp. 71-82) จึงไดเ้ สนอขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านของผลการเรียนรู้แตล่ ะประเภทไว้ดงั น้ี 1) การเรยี นรคู้ วามคิดรวบยอด (concept learning) มขี นั้ ตอนการปฏิบัติ ดงั นี้ (1) รวบรวมลักษณะสาคญั ของความคิดรวบยอดทตี่ ้องการเรยี นรู้ (2) เปรยี บเทียบตัวอยา่ งที่นามาวิเคราะห์กับลักษณะสาคัญของความคิดรวบยอดน้ันว่ามีลักษณะทตี่ รงกบั ลกั ษณะสาคญั ของความคิดรวบยอดนน้ั หรือไม่อยา่ งไร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372