100 ๔.๓ บุคคลผู้ทุศีลกระทำ�เพศของผู้มีวัตรอันงามให้เป็นเครื่องปกปิด เพ่ือปกปิดความท่ีตน เปน็ ผู้ทศุ ีล เหมอื นการปกปิดดว้ ยวัตถมุ หี ญา้ และใบไมเ้ พื่อปกปิดคูถ ฉะนัน้ . ข.ุ ส. (อรรถ) มก. ๔๖/๓๐๕ ๔.๔ บุคคลผ้มู ีส่วนช่วั เส่อื มแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ ย่อมขจัดผลแห่งความเป็นสมณะให้ กระจดั กระจายไป เหมอื นดนุ้ ฟนื ในทเ่ี ผาผฉี บิ หายไปอยู่ ฉะนน้ั กอ้ นเหลก็ รอ้ นเปรยี บดว้ ยเปลวไฟ อนั บคุ คลบรโิ ภคแลว้ ยงั จะดกี วา่ บคุ คลผทู้ ศุ ลี ผไู้ มส่ �ำ รวม พงึ บรโิ ภคกอ้ นขา้ วของชาวแวน่ แควน้ จะดอี ะไร. ข.ุ อติ ิ. (พุทธ) มก. ๔๕/๕๗๓ ๔.๕ บุคคลผู้ทุศีลตรัสเปรียบด้วยดุ้นฟืนเผาศพ แต่บุคคลผู้มีสุตะน้อยผู้ละเลยการงาน เปรยี บด้วยฝงู โค. องั .จตกุ ก. (อรรถ) มก. ๓๕/๒๗๑ ๔.๖ ภิกษุผู้มีปาฏิโมกขสังวรแตก ไม่ควรจะกล่าวว่า จักรักษาข้อท่ีเหลือไว้ได้ เหมือนคน ศีรษะขาด ก็ไมค่ วรกลา่ วว่าจักรักษามือเทา้ ไวไ้ ด้ ฉะนั้น ส่วนภิกษุผู้มีปาฏิโมกขสังวรไม่ด่างพร้อย ย่อมสามารถรักษาข้อท่ีเหลือให้เป็นปกติได้อีก เหมือนคนศรี ษะยังไมข่ าด ย่อมรกั ษาชีวิตไวไ้ ด้ ฉะนั้น. อัง.ทุก. (อรรถ) มก. ๓๓/๓๗๙ ๔.๗ มหาสมุทรไม่เกล่ือนด้วยซากศพ เพราะคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝ่ังให้ข้ึนบก ฉันใด บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่ม ด้วยราคะ เปน็ เพียงดงั หยากเยอื่ สงฆย์ อ่ มไม่อยรู่ ่วมกบั บุคคลน้ัน. องั .สตั ตก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๐๓ ๔.๘ ศลี ของภิกษุน้ัน ชอ่ื ว่า ขาดดว้ น เปรียบเหมอื นผ้าขาดทีช่ ายโดยรอบ ฉะนน้ั . ว.ิ ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๓๙๐ ๔.๙ ศีลของภกิ ษนุ นั้ ชอื่ วา่ เป็นชอ่ งทะลุ เปรยี บเหมอื นผ้าที่เป็นช่องทะลุตรงกลาง ฉะนัน้ . ว.ิ ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๓๙๐ ๔.๑๐ ศีลของภิกษุน้ัน ชื่อว่า ด่าง เปรียบเหมือนแม่โคซึ่งมีสีตัวด�ำ และแดงอย่างใดอย่าง หนึง่ สลับกับสีซ่ึงไมเ่ หมือนกนั ที่ผดุ ขนึ้ ท่หี ลงั หรอื ท่ีท้อง ฉะนั้น. วิ.ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๓๙๐ ๔.๑๑ ศีลของภกิ ษนุ ้นั ชอ่ื ว่า พร้อย เปรียบเหมือนแมโ่ คทพี่ ราวเป็นดวงดว้ ยสีไม่เหมอื นกนั ในระหว่าง ฉะนน้ั . วิ.ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๓๙๐ www.kalyanamitra.org
101 ๔.๑๒ ตน้ ไมท้ ม่ี กี ง่ิ และใบวบิ ตั แิ ลว้ แมก้ ะเทาะของตน้ ไมน้ น้ั กไ็ มถ่ งึ ความบรบิ รู ณ์ แมเ้ ปลอื กก็ ไมถ่ งึ ความบรบิ รู ณ์ แมก้ ะพก้ี ไ็ มถ่ งึ ความบรบิ รู ณ์ แมแ้ กน่ กไ็ มถ่ งึ ความบรบิ รู ณ์ ฉนั ใด ฉนั นน้ั เหมอื นกนั แล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื สมั มาสมาธขิ องภกิ ษผุ ทู้ ศุ ลี มศี ลี วบิ ตั แิ ลว้ ยอ่ มเปน็ ธรรมมอี ปุ นสิ ยั ขาดแลว้ . องั .ปญั จก. (พทุ ธ) มก. ๓๖/๓๖ ๔.๑๓ บรุ ษุ ถูกตดั ศรี ษะแลว้ ไมอ่ าจมีสรีระคมุ้ กัน แมฉ้ ันใด ภกิ ษณุ ีกฉ็ นั นั้นเหมอื นกัน มคี วาม กำ�หนัดยนิ ดีการลูบก็ดี คล�ำ ก็ดี จับก็ดี ตอ้ งกด็ ี บบี เคล้นกด็ ี ของบรุ ษุ บุคคลผู้ก�ำ หนัด ใต้รากขวัญ ลงไป เหนือเข่าขึ้นมา ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชกิ . ว.ิ ภกิ ขุณี. (อรรถ) มก. ๕/๗ ๔.๑๔ ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้วแล้วไม่ควรเพ่ือจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ แม้ฉันใด ภิกษุณีก็ ฉันนัน้ แหละ รู้อยวู่ ่า ภิกษุณลี ่วงปาราชิกธรรมแล้ว เม่อื เธอทอดธรุ ะวา่ จกั ไม่โจทดว้ ยตน จักไมบ่ อก แก่คณะดังน้ีเท่านั้น ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุน้ัน จึงตรัสว่า เปน็ ปาราชิก. ว.ิ ภกิ ขณุ ี. (อรรถ) มก. ๕/๑๙ ๔.๑๕ ศลิ าหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเปน็ ของกลับต่อใหต้ ดิ สนทิ อีกไมไ่ ด้ แมฉ้ ันใด ภกิ ษุกฉ็ นั นัน้ เหมือนกัน จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุน้นั จึงตรัสวา่ เป็นปาราชกิ . ว.ิ มหา. (อรรถ) มก. ๒/๒๖๗ ๔.๑๖ ต้นตาลมียอดด้วนแลว้ ไมอ่ าจจะงอกอกี แม้ฉนั ใด ภิกษุก็ฉนั นั้นแหละ มีความอยาก อันลามก อนั ความอยากครอบง�ำ แลว้ พูดอวดอตุ รมิ นสุ ธรรมอนั ไมม่ ีอยู่ อนั ไม่เป็นจรงิ ยอ่ มไม่เปน็ สมณะ ไมเ่ ปน็ เช้อื สายพระศากยบตุ ร เพราะเหตนุ ั้น จงึ ตรสั ว่า เป็นปาราชิก. ว.ิ มหา. (อรรถ) มก. ๒/๔๕๙ ๔.๑๗ อน่งึ ภิกษุใดมสี ิกขาบททำ�ลายทา่ มกลาง ช่ือวา่ มีศีลทะลุ หากท�ำ ลายสองสามสิกขา บทตามลำ�ดบั ภิกษุนน้ั ช่ือว่า มศี ีลด่าง ดจุ แมโ่ คที่มสี จี างกวา่ สีเดิมเป็นแห่งๆ ภกิ ษุใดมสี ิกขาบทท�ำ ลายระหว่างๆ ภิกษนุ ั้น ช่อื ว่า ศีลพร้อย ดุจแมโ่ คทีม่ ีจดุ ลายไปทัง้ ตัว. ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๔๓๓ ๕. พระวินยั ๕.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เม่ือเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำ�นงจะถอนสิกขาบทเล็ก น้อยกจ็ งถอนเถดิ www.kalyanamitra.org
102 พระนาคเสนวินิจฉัยว่า พระพุทธเจ้าทรงจะทดลองภิกษุท้ังหมดว่า สาวกทั้งหลายจะเพิก ถอนหรือจะยดึ ม่ันในสิกขาบท อุปมาพระเจ้าจกั รพรรดิตรัสแก่พระราชโอรสวา่ บา้ นเมอื งอนั ใหญ่มี มหาสมทุ รเปน็ ทส่ี ุด ปกครองได้ยาก ถ้าบิดาล่วงลบั ไปแล้ว จงสละปัจจันตประเทศตามประสงค์เถดิ พระราชกุมารย่อมไม่สละ มีแต่จะหาเพิ่ม เหมือนพุทธบุตรที่ปราถนาความหลุดพ้นมีแต่จะ เพ่ิมสิกขาบท ให้ยง่ิ ขึน้ ไปอกี . มลิ นิ . ๒๐๕ ๕.๒ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เปน็ ผู้รู้ทุกส่ิง เหน็ ทกุ สงิ่ แตเ่ มือ่ ยังไมถ่ ึงเวลากย็ ังไม่บญั ญัตสิ ิกขา บท เหมอื นแพทยจ์ ะให้ยาคนไข้เม่ือเจ็บป่วย เมอ่ื ยังไมป่ ่วยไขก้ ็ไม่ให้ยา. มิลนิ . ๑๑๖ ๕.๓ มหาสมทุ รลาดลุ่มลึกลงไปโดยล�ำ ดบั ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวนิ ยั นก้ี ฉ็ ัน นน้ั เหมือนกัน มกี ารศึกษาไปตามล�ำ ดบั มีการกระทำ�ไปตามล�ำ ดบั มกี ารปฏบิ ัตไิ ปตามล�ำ ดบั มใิ ช่ ว่าจะมกี ารบรรลุอรหตั ผลโดยตรง. องั .สัตตก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๐๒ ๕.๔ เราจำ�จักตอ้ งสงั คายนาธรรมวนิ ัย เม่ือเป็นดงั นี้ ธรรมวนิ ัยกจ็ ักม่ันคง เหมอื นดอกไม้ท่ี คุมไวด้ ว้ ยด้ายเหนียว. ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๓/๔๕๒ ๕.๕ พระวนิ ยั ธรเมื่อก�ำ หนดไมไ่ ด้ ทำ�ลงไป ยอ่ มถงึ ความล�ำ บาก และไมส่ ามารถจะแกไ้ ขซึง่ บคุ คลเชน่ นนั้ ได้ ดจุ หมอผ้ไู ม่ร้ตู น้ เหตุแหง่ โรคแลว้ ปรงุ ยา ฉะนัน้ . วิ.มหา. (อรรถ) มก. ๓/๑๑๓ ๕.๖ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยน้ีมีรสเดียว คือ วิมตุ ติรส. องั .สตั ตก. (พุทธ) มก. ๓๗/๔๐๔ ๕.๗ ความนา่ อศั จรรยใ์ นธรรมวนิ ัย ๘ ประการ เทียบกบั มหาสมุทรได้แก่ ๑. ธรรมวินัยนีม้ ีการศกึ ษาไปเปน็ ล�ำ ดับ เทียบกับมหาสมทุ รต�่ำ ลาดลกึ ลงไปตามล�ำ ดบั ๒. นิพพานยอ่ มไม่พร่อง เทยี บกับน�ำ้ ในมหาสมทุ รมีปกติคงท ่ี ไมล่ น้ ฝั่ง ๓. ผู้ประพฤติชวั่ ย่อมไกลจากสงฆ์ เทียบกับมหาสมทุ รไม่อยรู่ ่วมกับซากศพ ๔. แม้ภิกษุจำ�นวนมาก ปรินิพานก็ไม่ทำ�ให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้ เทียบกับมหาสมุทรมี www.kalyanamitra.org
103 แม่น�้ำ ท่ไี หลรวมลงส่มู หาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้าก็ไมท่ �ำ ใหม้ หาสมทุ รพรอ่ งหรอื เตม็ ได้ ๕. ภกิ ษเุ ม่ือมาบวชย่อมละชื่อโคตรหมด เทยี บกบั แมน่ �ำ้ ท่ไี หลลงมหาสมุทรแล้วรวมเรียกวา่ มหาสมุทร ๖. ธรรมวินัยมรี สเดยี ว คอื วิมุตตริ ส เทียบกบั มหาสมุทรมีรสเดยี ว ๗. ธรรมวนิ ัยมรี ตั นะมาก คอื สติปฏั ฐิ าน ๔ เปน็ ตน้ เทียบกับมหาสมุทรมรี ัตนะมาก ๘. เปน็ ที่อาศัยของผใู้ หญ่ คอื พระอรยิ เจ้า เทยี บกับมหาสมทุ รเป็นที่อยขู่ องสตั วข์ นาดใหญ่. ว.ิ ป.ุ (พุทธ) มก. ๙/๓๙๘ ๕.๘ พระบรมศาสดาเปรียบสิกขาบทเหมือนเชือกร้อยมาลัยไว้ ลมไม่อาจจะพัดดอกไม้ต่าง พรรณนั้นให้กระจายไปได้ สิกขาบทจะพึงรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำ�รงอยู่ได้นาน แต่พระบรม ศาสดาจะยังไม่บัญญัติสิกขาบทจนกว่าพระสงฆ์มีจำ�นวนมาก ลาภสักการะเกิดข้ึนมาก และธรรม เป็นทต่ี ้ังแหง่ อาสวะปรากฏในสงฆ์. วิ.มหา. (พุทธ) มก. ๑/๑๕ www.kalyanamitra.org
๑๐ม ง ค ล ที่ มีวาจาสุภาษิต ดอกไมง้ ามมีสแี ต่ไม่มกี ลิ่น ฉนั ใด วาจาสภุ าษติ ย่อมไม่มีผลแกบ่ คุ คลผไู้ ม่ทำ�อยู่ ฉันนน้ั ดอกไม้งามมสี มี ีกลน่ิ ฉนั ใด วาจาสภุ าษติ ย่อมมผี ลแกบ่ ุคคลผทู้ �ำ อยู่ ฉนั น้นั www.kalyanamitra.org
105 ๑. วาจาสุภาษิต ๑.๑ ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ�อยู่ ฉันนั้น ดอกไมง้ ามมีสีมีกลิน่ ฉนั ใด วาจาสภุ าษิตยอ่ มมีผลแกบ่ ุคคลผูท้ �ำ อยู่ ฉันน้นั . ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๒/๗๘ ๑.๒ หม่มู ฤคยอ่ มอดทนการบันลอื ของสีหะไมไ่ ด้ การบนั ลอื ของสีหะน่ันแหละจะข่มขคู่ กุ คาม หมู่มฤคเหล่าน้ัน ฉันใด วาทะของอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทนวาทะของ พระเถระทง้ั หลายไม่ได้ ที่แท้วาทะของพระเถระนั่นแหละ จะครอบง�ำ วาทะของเดียรถียเ์ หลา่ นนั้ . ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๐/๒๕ ๑.๓ ถอ้ ยค�ำ ของบิดาอนั ประกอบด้วยกรณุ า ย่อมเป็นประโยชนแ์ ก่บุตรทั้งหลาย น�ำ้ มตู รโคที่ ดองยาถึงจะมีกล่ินเหม็น แต่เม่ือบุคคลดื่มแล้วก็แก้โรคท้ังปวงได้ ปุยนุ่นถึงจะใหญ่เวลาตกถูก ร่างกายของผู้อื่นก็ไม่ทำ�ให้เจ็บปวด ฉันใด พระวาจาของพระตถาคตถึงจะเป็นผรุสวาจา ก็ไม่ทำ�ให้ เกดิ ทุกขแ์ ก่ใคร ยอ่ มท�ำ ลายกเิ ลสของสตั ว์ท้ังปวงได ้ ฉันนัน้ . มลิ ิน. ๒๓๙ www.kalyanamitra.org
106 ๒. พูดจรงิ ๒.๑ คนมีถ้อยค�ำ เป็นหลกั ฐาน เหมอื นรอยจารึกบนแผน่ หิน และเหมือนเสาเขอ่ื น. ท.ี สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๙๓ ๒.๒ แมถ้ ึงลมจะพึงพัดภเู ขามาได้ ดวงจันทร์ และดวงอาทติ ยจ์ ะพงึ ตกในแผน่ ดนิ ได้ แม่น�้ำ ทงั้ หมดจะพงึ ไหลทวนกระแสได้ ถึงอย่างนัน้ ข้าพเจ้าจะพึงพดู เทจ็ ไม่ได้. ข.ุ ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๗๓ ๒.๓ ฟา้ จะพงึ แตกได้ ทะเลจะพงึ แห้งได้ แผ่นดนิ อนั ทรงไวซ้ ึ่งภูตจะพงึ พลกิ ได้ ภเู ขาสิเนรจุ ะ พึงเพิกถอนได้ตลอดราก ถึงอยา่ งนั้นข้าพเจา้ ก็พดู เท็จไมไ่ ด.้ ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๖๗๔ ๒.๔ บรุ ุษรู้อยู่จะพึงกินยาพษิ หรอื จบั อสรพิษทม่ี ีฤทธร์ิ ุ่งโรจน์มเี ดชกลา้ ได้ หรอื บุคคลใดพงึ กนิ คนทีก่ ล่าวคำ�สตั ยเ์ ชน่ กบั พระองค์ ศีรษะของบคุ คลนั้นจะตอ้ งแตกออกเปน็ ๗ เส่ียงแน.่ ขุ.ชา. (ท่ัวไป) มก. ๖๒/๖๙๓ ๓. พดู ไพเราะ ไมห่ ยาบคาย ๓.๑ จติ ละเอยี ดออ่ นยอ่ มไมเ่ ปน็ ผรสุ วาจา ฉนั ใด ค�ำ พดู ละเอยี ดออ่ นไมเ่ ปน็ ผรสุ วาจา ฉนั นน้ั . ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๖/๖๔๙ ๓.๒ ทา่ นอยา่ กลา่ วค�ำ หยาบกะใครๆ ผทู้ ท่ี า่ นกลา่ วแลว้ กจ็ ะโตต้ อบทา่ นดว้ ยถอ้ ยค�ำ ทแ่ี ขง่ ดกี นั น�ำ ทกุ ขม์ าให้ ผทู้ �ำ ตอบกพ็ งึ ประสบทกุ ข์ ทา่ นไมย่ งั ตนใหห้ วน่ั ไหว ดจุ กงั สดาลถกู เลาะขอบออกแลว้ . อัง.เอกก. (พทุ ธ) มก. ๓๒/๔๑๐ ๓.๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระวาจาได้เร็ว ไพเราะ คือ ทรงเปล่งไม่ช้า เปล่งพระ วาจาได้ไพเราะจบั ใจ เหมือนหงสท์ องเม่อื หาเหยื่อ ได้เห็นปา่ ใกลส้ ระ จงึ ชูคอกระพือปกี รา่ เริงดีใจ คอ่ ยๆ ไม่รบี ด่วน สง่ เสยี งไพเราะ. ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๕๔๙ ๔. พูดถูกกาล ๔.๑ ลูกนกดุเหว่าน้ีเจริญเติบโตได้เพราะนางกา ปีกยังไม่ทันแข็งก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่า ใน เวลาไมค่ วรร้อง นางการวู้ า่ ลูกนกดุเหวา่ นี้ไมใ่ ช่ลกู จึงตีด้วยจงอยปากให้ตกลงมา จะเปน็ มนุษยห์ รือ สัตว์เดียรัจฉานก็ตาม พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เห็นปานน้ี... เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ผู้ใดพดู เกนิ เวลาไป ผูน้ ้นั ย่อมถูกท�ำ รา้ ยดจุ ลกู นกดุเหวา่ ฉะนั้น. ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๕๙๐ www.kalyanamitra.org
107 ๕. วาจาทภุ าษิต ๕.๑ คนผู้มีถ้อยคำ�ไม่เป็นหลักฐานเหมือนย้อมผ้าด้วยขม้ิน เหมือนหลักไม้ท่ีปักไว้ในกอง แกลบ และเหมือนฟกั เขียวทว่ี างไวบ้ นหลงั มา้ . องั .สัตตก. (อรรถ) มก. ๓๔/๔๐๑ ๕.๒ ค�ำ พูดเหลาะแหละมาก มคี �ำ พูดจริงนอ้ ยเหมือนเชน่ การต้มแกงถ่ัว ถวั่ เขยี วส่วนมากสุก ส่วนนอ้ ยไม่สุก ฉะนั้น. ข.ุ ม. (อรรถ) มก. ๖๖/๔๑๐ ๕.๓ ผู้ใดปากบอนจัดเป็นพวกอสัตบุรุษ ชอบกล่าวถ้อยคำ�ในท่ีประชุมชน นักปราชญ์ท้ัง หลายเรียกผนู้ ้ันว่า เปน็ ผมู้ ีปากช่วั รา้ ยคล้ายอสรพษิ ควรระมัดระวังคนเช่นนนั้ เสียให้ห่างไกล. ข.ุ ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๑/๔๖๒ ๕.๔ ฉันเองเป็นคนโง่เขลา กลา่ วค�ำ ช่วั ชา้ เหมือนกบในปา่ ร้องเรียกงูมาให้กินตน ฉะน้นั . ขุ.ชา. (ทว่ั ไป) มก. ๖๐/๓๐๓ ๖. พดู โกหก ๖.๑ ชีวิตอันช้างต้นยอมสละแล้ว ไม่มีอะไรที่ช้างต้นจะพึงท�ำ ไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนราหุล เรา กล่าวว่าบุคคล ผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาท้ังท่ีรู้อยู่ ที่จะไม่ทำ�บาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ฉันนนั้ เหมอื นกนั . ม.ม. (พทุ ธ) มก. ๒๐/๒๖๕ ๖.๒ ผู้ใดแลพูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพ้ืนดิน ไวท้ ค่ี อ ผใู้ ดแลพูดว่าจกั ให้ แลว้ มากลบั ใจว่าไม่ให้ ผ้นู ้นั เปน็ คนลามกยิง่ กว่าผ้ทู ีล่ ามก ท้ังจะต้องเข้า ถึงสถานทล่ี งอาญาของพญายม. ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๕๗ ๖.๓ การพูดเท็จเปรียบเหมือนเถ้า เพราะไม่รุ่งเรือง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เหมอื นไฟถกู เถา้ ปกปดิ ยอ่ มไม่รุ่งเรอื ง ฉนั ใด ญาณของทา่ นถกู ปกปดิ ด้วยการพูดเท็จ กฉ็ ันน้นั . ขุ.จู. (พทุ ธ) มก. ๖๗/๙๘ ๖.๔ การกล่าวเท็จเป็นอาบัติหนักเบาตามวัตถุ เป็นปาราชิกก็ได้ เป็นปาจิตตีย์ก็ได้ เหมือน บุรุษตีบุรุษ อาจได้รับโทษด้วยการปรับ แต่ถ้าบุรุษตีพระราชาต้องถูกตัดมือ หรือประหารชีวิต โทษจึงหนกั ตามวตั ถุ. มลิ ิน. ๒๗๑ www.kalyanamitra.org
108 ๗. พูดหยาบคาย ๗.๑ การกล่าวตพิ ระรตั นตรัย ซ่ึงควรสรรเสริญเทา่ นนั้ จักถึงความพนิ าศย่อยยบั เหมือนคน กลืนไฟ เหมือนคนเอามือลบู คมดาบ เหมอื นคนเอาก�ำ ปน้ั ท�ำ ลายภเู ขาสิเนรุ เหมอื นคนเล่นอยแู่ ถวซ่ี ฟันเลอ่ื ย และเหมอื นคนเอามอื จบั ช้างซบั มนั ทดี่ รุ า้ ย. ท.ี สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๓๓ ๗.๒ ผู้ใดบรภิ าษฤาษี ผูน้ นั้ ชื่อว่า ขดุ ภูเขาดว้ ยเลบ็ ชอื่ ว่า เคีย้ วกินกอ้ นเหลก็ ดว้ ยฟัน ช่ือว่า พยายามกลนื กนิ ไฟ. ข.ุ ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๑๙ ๗.๓ ค�ำ ว่า “หยาบ” คือ เสยี เป็นวาจาท่ีหยาบคาย เหมือนตน้ ไม้ทเี่ สยี เป็นต้นไมท้ ข่ี รุขระ มีขุยไหลออกฉะนนั้ วาจานั้น ยอ่ มเหมอื นกบั ไมท้ ีข่ รขุ ระครดู หูเขา้ ไป ฉะน้นั . ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๙/๒๖๓ ๗.๔ บุคคลแม้กล่าวถ้อยคำ�ท่ีอิงประโยชน์ ก็ไม่ควรกล่าวกระทบเสียดแทงผู้อื่น ท่านกล่าว ค�ำ หยาบคายมากเหมอื นโกนผมดว้ ยมีดโกนไม่คม. ข.ุ ชา. (ท่วั ไป) มก. ๕๙/๓๒๘ ๗.๕ คำ�ว่า “ทิ่มแทงผู้อื่น” คือ วาจาท่ีแทงไปในของรัก เหมือนกิ่งไม้คดมีหนามกระทบ กระแทกคนเหลา่ อ่ืน. ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๙/๒๖๓ ๘. การรกั ษาความลบั ๘.๑ บณั ฑิตยอ่ มอดทนค�ำ ด่า คำ�บรภิ าษ และการประหารของคนผู้รคู้ วามลบั ซง่ึ คนอื่นไมร่ ู้ เพราะกลัวจะขยายความลบั ที่คิดไว้ เหมอื นคนที่เป็นทาส อดทนต่อคำ�ด่าว่าของนาย ฉะนัน้ . ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๑/๒๓๗ ๘.๒ ไม่ควรเปดิ เผยความลบั ควรรกั ษาความลับไวเ้ หมือนรกั ษาขมุ ทรัพย์ ฉะนน้ั ความลับ อันบคุ คลผรู้ แู้ จม่ แจ้ง ไมเ่ ปิดเผยนน่ั แหละเปน็ ความด.ี ข.ุ ชา. (ท่ัวไป) มก. ๖๑/๒๓๗ www.kalyanamitra.org
109 www.kalyanamitra.org
๑๑ม ง ค ล ที่ บำ�รุงบิดามารดา มารดาบิดาทงั้ หลายเป็นผู้เอน็ ดู ชื่อวา่ เปน็ พรหม เป็นบรุ พาจารย์ และเป็นอาหุไนยของบตุ รทงั้ หลาย www.kalyanamitra.org
111 ๑. พระคณุ บิดามารดา ๑.๑ โยมมารดาของเราดีแท้ เพราะไดแ้ นะน�ำ ให้เรารสู้ ึกตวั เหมอื นบคุ คลแทงพาหนะด้วย ปฏัก ฉะนั้น. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๙๒ ๑.๒ มารดาบดิ าทั้งหลายเปน็ ผูเ้ อ็นดู ชอื่ วา่ เปน็ พรหม เป็นบุรพาจารย์ และเปน็ อาหไุ นย ของบุตรทั้งหลาย. องั .จตกุ ก. (พุทธ) มก. ๓๔/๑๕๐ ๒. ความกตญั ญกู ตเวที ๒.๑ พญานกแขกเตา้ กลา่ วว่า ขา้ พเจ้าน�ำ ข้าวสาลขี องทา่ นไปถึงยอดงวิ้ แล้ว กเ็ ปล้อื งหน้ี เกา่ ... พราหมณถ์ ามวา่ การเปลื้องหนข้ี องท่านเปน็ อยา่ งไร พญานก : มารดา และบดิ าของข้าพเจา้ แก่เฒ่าลว่ งกาลผา่ นวัยไปแลว้ ขา้ พเจา้ คาบเอาข้าว สาลีไปดว้ ยจะงอยปาก เพ่อื ท่านเหล่าน้ัน ชื่อว่า เปลื้องหน้ีที่ทา่ นท�ำ ไวก้ อ่ น. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๐/๓๕๗ www.kalyanamitra.org
112 ๓. ลูกอกตัญญู ๓.๑ เราชื่นชม และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตรเหล่าน้ันคบคิดกันกับภรรยา รุมว่าเรา ดงั สนุ ัขรมุ เห่าสกุ ร เขาวา่ พวกมนั เปน็ อสตั บุรษุ รอ้ งเรยี กเราวา่ พ่อๆ พวกมันประดุจยกั ษ์ แปลงเป็นบุตร ละทิ้งเราผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัย กำ�จัดคนแก่ไม่มีสมบัติออกจากท่ีอยู่อาศัย ดังม้าแก่ท่ี เจ้าของปลอ่ ยทิง้ ฉะนน้ั . สงั .ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๒๗๕ ๓.๒ ขา้ พเจา้ เพลดิ เพลินดว้ ยบุตรที่เกิดแล้ว และปรารถนาความเจริญแกบ่ ุตรเหล่าใด บตุ ร เหลา่ นนั้ ถูกภรรยายุยง ย่อมรกุ รานขา้ พเจ้าเหมือนสุนขั รกุ รานสุกร ฉะนนั้ . ขุ.ธ. (ทัว่ ไป) มก. ๔๓/๒๓๕ ๓.๓ บุตรเหล่านัน้ เป็นอสตั บรุ ุษ เลวทราม เรยี กขา้ พเจ้าวา่ พอ่ ๆ พวกเขาคอื รากษสแปลง มาในรูปบุตร ย่อมทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้ถึงความเส่ือมชรา ต้องเที่ยวขอทานที่เรือนของชนเหล่าอ่ืน เหมือนม้าแกใ่ ชก้ ารงานไม่ได้ ถูกเขาพรากไปจากอาหาร ฉะนั้น. ขุ.ธ.( ทว่ั ไป) มก. ๔๓/๒๓๕ ๓.๔ ไมเ้ ทา้ ของขา้ พเจา้ ยงั ประเสริฐกวา่ บตุ รทัง้ หลายไมเ่ ชอื่ ฟังจะประเสรฐิ อะไร เพราะไม้ เท้ากันโคดุก็ได้ กันสุนัขก็ได้ มีไว้ยันข้างหน้าเวลามืดก็ได้ ใช้หย่ังลงไปในที่ลึกก็ได้ เพราะอานุภาพ แห่งไม้เท้า คนแกเ่ ช่นข้าพเจ้าพลาดแลว้ กก็ ลับยนื ขึน้ อกี ได.้ ข.ุ ธ. (ทวั่ ไป) มก. ๔๓/๒๓๖ ๓.๕ พระราชาใดชนะคนที่ไม่ควรชนะ พระราชาน้ันไม่ช่ือว่า เป็นพระราชา ผู้ใดเอาชนะ เพือ่ น ผ้นู ัน้ ไม่ชอ่ื ว่า เปน็ เพอื่ น ภรรยาใดไม่กลวั เกรงสามี ภรรยานนั้ ไม่ชอ่ื ว่า เป็นภรรยา บุตรเหลา่ ใดไม่เลีย้ งดมู ารดาบดิ าผู้แกแ่ ล้ว บตุ รเหลา่ นน้ั ไมช่ ือ่ ว่า เป็นบตุ ร. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๖๓๘ ๓.๖ คนผู้สามารถแต่ไม่เล้ียงมารดา หรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็น ถอ่ ย. ข.ู สุ. (พุทธ) มก. ๔๖/๓๒๘ www.kalyanamitra.org
113 www.kalyanamitra.org
๑๒ม ง ค ล ที่ เลี้ยงดูบุตร พญานก กล่าววา่ ข้าพเจ้าน�ำ ข้าวสาลีของทา่ น ไปถึงยอดงิ้วแลว้ ... ให้เขากู้หนใี้ หม่... พราหมณถ์ ามวา่ การให้กหู้ น้ีของท่านเป็นอยา่ งไร พญานก : ข้าแตท่ ่านโกสิยะ บุตรน้อยท้ังหลายของข้าพเจา้ ยงั ออ่ น ขนปกี ยงั ไม่ขึน้ บุตรเหล่านน้ั ขา้ พเจา้ เลีย้ งมาแล้ว เขาจักเล้ยี งขา้ พเจา้ บ้าง เพราะเหตนุ นั้ ขา้ พเจา้ จึงชอื่ วา่ ให้บุตรเหล่านน้ั ก้หู น้ี www.kalyanamitra.org
115 ๑. การอยูใ่ นครรภ์ ๑.๑ เหมือนอยา่ งวา่ มารดาน่ังหรือนอนกบั บตุ ร ยกมอื หรือเทา้ ของบุตรนัน้ ห้อยลง คดิ ว่าเรา จักให้บุตรแข็งแรง มองดูบุตรเพ่ืออยู่อย่างสบาย ฉันใด แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ก็ฉันน้ัน คิดว่า ทุกข์ใดเกิดแก่ครรภ์ในขณะท่ีมารดายืน เดิน เคลื่อนไปมา นั่ง กลืนอาหารร้อน เย็น เค็ม ขม เผด็ เปน็ ต้น มารดาเฝา้ คิดวา่ ทุกขน์ ัน้ จะมีแก่บุตรของเรา หรือไม่หนอ แล้วมองดูพระโพธสิ ตั ว์ เพอ่ื อยอู่ ย่างสบาย. ๒. ความรกั ในบุตร ท.ี ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๐๕ ๒.๑ ถ้าพระองค์ทรงทราบ หรือทรงได้สดับข่าวลูกทั้งสองของพระราชบุตรีน้ัน ขอได้ทรง พระกรุณาตรัสบอกแก่ขา้ พระบาทโดยเรว็ พลนั ดังหมอรีบพยาบาลคนทีถ่ ูกงกู ัด ฉะนั้น. ข.ุ ชา. (โพธิ) มก. ๖๔/๕๘๙ ๒.๒ พญานกแขกเต้ากล่าวว่า ข้าพเจ้านำ�ข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้ว... ให้เขากู้หน้ี ใหม.่ .. พราหมณถ์ ามว่า การใหก้ ู้หน้ขี องทา่ นเป็นอย่างไร www.kalyanamitra.org
116 พญานก : ข้าแต่ท่านโกสิยะ บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้ายังอ่อน ขนปีกยังไม่ข้ึน บุตร เหลา่ นน้ั ขา้ พเจา้ เลี้ยงมาแลว้ เขาจักเลี้ยงขา้ พเจา้ บ้าง เพราะเหตุน้ัน ขา้ พเจ้าจงึ ชื่อวา่ ใหบ้ ตุ รเหลา่ น้นั กูห้ นี.้ ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๐/๓๕๗ ๒.๓ พระนางเจ้ามัทรีทอดพระเนตรเห็นพระโอรสท้ังสองเสด็จมาโดยสวัสดีแต่ที่ไกล ทรง สนั่ ระรวั ไปท่ัวพระกาย เหมอื นแมม่ ดทผี่ ีสงิ ฉะน้ัน นำ้�นมก็ไหลออกจากพระถันทั้งค่.ู ขุ.ชา. (พทุ ธ) มก. ๖๔/๕๙๑ ๒.๔ พระลูกน้อยท้ังสองพระองค์จะขมุกขมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอยต้อนรับแม่อยู่ท่ีตรงน ้ี ดังลูกโคอ่อนยืนคอยชะเงอ้ หาแม่ ฉะนน้ั . ข.ุ ชา. (ท่ัวไป) มก. ๖๔/๕๖๐ ๒.๕ มโหสถบัณฑิตเข้าเฝ้าพระราชา เมื่อถึงที่ประทับได้ทำ�สัญญาณกับบิดา บิดาก็ลุกขึ้น จากอาสนะ ให้มโหสถบัณฑิตน่ังแทน พระราชาทรงเสียพระทัยท่ีมรรยาทของมโหสถเป็นเช่นน้ัน ไม่เหมอื นกับเกยี รตศิ ัพทท์ ีไ่ ดย้ นิ มา มโหสถบณั ฑิตจึงไดก้ ลา่ ววา่ ถา้ พระองคส์ �ำ คญั ว่า บิดาประเสริฐกว่าบุตร ลาของพระองคน์ ้ี ก็ประเสรฐิ กวา่ ม้าอัสดร เพราะว่าลาเปน็ พอ่ ของม้าอัสดร พระโพธิสัตว์กระทำ�เช่นน้ัน เพ่ือแก้ปัญหาให้แจ่มแจ้ง ประกาศความเป็นบัณฑิต และ ข่มรัศมีของอาจารย์ท้ังส่ีที่คอยขัดขวางมโหสถบัณฑิตไม่ให้มาเข้าเฝ้าพระราชา มิใช่ประสงค์จะดู หมน่ิ บดิ า. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๕/๒๗๕ www.kalyanamitra.org
117 www.kalyanamitra.org
๑๓ม ง ค ล ที่ สงเคราะห์ภรรยา (สามี) ภรยิ าของบุรษุ ๗ จำ�พวก คอื เสมอดว้ ยเพชฌฆาต เสมอด้วยโจร เสมอด้วยนาย เสมอดว้ ยแม่ เสมอดว้ ยพี่สาว น้องสาว เสมอดว้ ยเพ่อื น เสมอด้วยทาสี www.kalyanamitra.org
119 ๑. ประเภทของภรรยา (สามี) ๑.๑ ภริยาของบุรุษ ๗ จำ�พวก คือ เสมอดว้ ยเพชฌฆาต เสมอด้วยโจร เสมอดว้ ยนาย เสมอด้วยแม่ เสมอดว้ ยพีส่ าว นอ้ งสาว เสมอดว้ ยเพ่อื น เสมอดว้ ยทาสี. อัง.สัตต. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๑๙๗ ๑.๒ การอยู่ร่วมกัน ๔ ประเภท คอื ชายผีอยู่ร่วมกับหญงิ ผี ชายผีอยรู่ ่วมกบั หญงิ เทวดา ชายเทวดาอยรู่ ่วมกับหญงิ ผี ชายเทวดาอยูร่ ว่ มกบั หญิงเทวดา. อัง.จตกุ ก. (พทุ ธ) มก. ๓๕/๑๘๗ ๒. การสงเคราะหภ์ รรยา (สาม)ี ๒.๑ น้องผ้มู รี ัศมีอันเปล่งปลง่ั เปน็ ทร่ี กั ของพ่ี ดุจลมเป็นท่ใี คร่ของผู้มเี หงื่อ ดุจน�ำ้ เปน็ ที่ปร ารถนาของคนผกู้ ระหาย ดุจธรรมเป็นทร่ี กั ของพระอรหนั ต์ทง้ั หลาย ดจุ ยาเปน็ ที่รกั ของคนไข้หนกั ดุจโภชนะเปน็ ที่รักของคนหิว ฉะนนั้ . ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๑๒๒ ๒.๒ หม่อมฉนั ผเู้ ปน็ ภรรยาบ�ำ รุงสามี และลูกทัง้ สองตลอดวันคนื ดจุ มาณพบ�ำ รงุ อาจารย.์ ข.ุ ชา. (ท่วั ไป) มก. ๖๔/๗๕๐ www.kalyanamitra.org
120 ๒.๓ น้ำ�นม และสงั ขม์ สี เี สมอเหมอื นกัน ฉันใด พระเวสสันดร และพระนางมทั รกี ็มพี ระมนสั เจตนาเสมอเหมือนกนั ฉนั นั้น. ขุ.ชา. (ทว่ั ไป) มก. ๖๔/๗๖๘ ๒.๔ แมน่ ้ำ�ท่ีไมม่ ีน้ำ�ชอื่ ว่า เปลอื ย แว่นแควน้ ท่ีปราศจากพระราชาช่อื ว่า เปลือย หญิงปราศ จากสามถี ึงจะมพี น่ี ้องตั้ง ๑๐ คนกช็ อื่ วา่ เปลอื ย. ข.ุ ชา. (พทุ ธ) มก. ๕๖/๑๕๕ ๒.๕ สายธนูถึงขาดแล้วก็ยังต่อกันได้อีก ท่านจงคืนดีเสียกับภรรยาเถิด อย่าลุแก่อำ�นาจ ความโกรธเลย. ข.ุ ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๒๒๖ ๒.๖ เทวดาทูลถามพระบรมศาสดาว่า อะไรเป็นสง่าของรถ อะไรเป็นสง่าของแว่นแคว้น อะไรเป็นสงา่ ของสตร ี พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า ธงเป็นสง่าของรถ พระราชาทรงเป็นสง่าของแว่นแคว้น ภัสดาเป็นสงา่ ของสตร.ี สัง.ส. (พทุ ธ) มก. ๒๔/๒๙๘ ๓. การตดั ใจจากสามี-ภรรยา ๓.๑ บุคคลควรละทิ้งผู้ที่ละท้ิงตน ไม่ควรทำ�ความอาลัยรักใคร่ในบุคคลเช่นน้ัน ไม่ควร สมาคมกับคนท่เี ขาไม่ใฝ่ใจกับตน เหมือนนกรู้ว่าตน้ ไม้หมดผลแล้ว ก็ละทงิ้ ไปหาต้นไม้อ่ืน เพราะโลก เปน็ ของกว้างใหญ่. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๗/๓๙๙ ๓.๒ ลูกเอย๋ คนท่ีมจี ติ เหมือนน้ำ�ยอ้ มขม้นิ มีจิตกลบั กลอก รกั ง่ายหน่ายเรว็ เจา้ อย่าคบหา คนเชน่ นน้ั เลย ถึงหากว่าพ้นื ชมพูทวีปทัง้ สิ้นจะไมม่ มี นษุ ยก์ ็ตาม. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๘/๖๙๕ www.kalyanamitra.org
121 www.kalyanamitra.org
๑๔ม ง ค ล ที่ ทำ�งานไม่คั่งค้าง นรชนจะเปน็ ผูม้ ชี าติก�ำ เนิดเลวทราม แต่เปน็ ผูม้ คี วามขยันหมัน่ เพยี ร มปี ญั ญาประกอบด้วยอาจาระ และศลี ยอ่ มรุ่งเรืองแจม่ ใส เหมือนกองไฟในยามราตรี ฉันน้นั www.kalyanamitra.org
123 ๑. อิทธิบาท ๔ ๑.๑ ธรรมดาราชสหี ์ย่อมเที่ยวไปด้วยเทา้ ทัง้ สี่อยา่ งองอาจ ฉนั ใด ภิกษุผปู้ รารภความเพยี ร ก็ควรเทย่ี วไปด้วยอทิ ธิบาท ๔ ฉนั นนั้ . มิลนิ . ๔๔๙ ๑.๒ นรชนจะเป็นผู้มีชาติกำ�เนิดเลวทราม แต่เป็นผู้มีความขยันหม่ันเพียร มีปัญญา ประกอบดว้ ยอาจาระ และศลี ยอ่ มรุ่งเรืองแจ่มใส เหมือนกองไฟในยามราตรี ฉันน้ัน. ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๒๔ ๑.๓ มือ่ พระอาทิตยจ์ ะขึ้น ส่งิ ทขี่ ึน้ ก่อน คอื แสงเงินแสงทองเป็นเบ้ืองตน้ เปน็ นิมิตมากอ่ น เพ่อื ความบงั เกดิ แหง่ อริยมรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความถึงพร้อมแหง่ ฉนั ทะ ฉันนั้น เหมือนกัน. สงั .ม. (พทุ ธ) มก. ๓๐/๗๕ ๑.๔ กรรมที่บุคคลใดพิจารณาถ่ีถ้วนก่อนแล้วทำ�ลงไป ผลอันเจริญย่อมมีแก่บุคคลนั้น เหมอื นความถงึ พร้อมแห่งยาแก้โรค ฉนั น้นั . ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๑/๑๖๕ www.kalyanamitra.org
124 ๑.๕ ผู้ใดช้าในเวลาที่ควรช้า รีบด่วนในเวลาท่ีควรรีบด่วน ผู้นั้นเป็นบัณฑิตจะถึงความสุข เพราะได้จัดแจงโดยอุบายอันชอบ ประโยชน์ของผู้น้ันย่อมบริบูรณ์เหมือนพระจันทร์ข้างข้ึน เขา ย่อมไดย้ ศ ไดเ้ กียรตคิ ณุ และไมแ่ ตกจากมติ รทง้ั หลาย. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๓๖ ๒. โทษของความเกียจครา้ น ๒.๑ ท่านจงยกตนของท่านข้ึนจากความเกียจคร้าน เหมือนช่างศรยกลูกศรขึ้นดัด ฉะน้ัน ท่านจงทำ�จิตให้ตรงแล้วท�ำ ลายอวิชชาเสยี . ข.ุ เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๑๘๖ ๒.๒ พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซา ดังนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยใู่ นเปือกตมทหี่ มดปลา ฉันน้ัน พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไมไ่ ดท้ รพั ยใ์ นคราวยงั เปน็ หน่มุ สาว ยอ่ มนอนทอดถอน ถึงทรัพย์เก่า เหมือนลูกศรท่ีตกจากแล่ง ฉนั นัน้ . ขุ.ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๒/๑๘๔ ๒.๓ ก�ำ ลงั คลื่นแห่งมหาสมุทร ย่อมครอบง�ำ บุรษุ ผ้ไู ม่อาจข้ามมหาสมทุ รน้นั ได้ ฉันใด ชาติ และชรายอ่ มครอบงำ�ทา่ นผู้ถูกความเกียจคร้านครอบง�ำ แล้ว ฉันนัน้ . ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๒/๑๘๙ ๓. การทำ�งานโดยไม่พจิ ารณา ๓.๑ ผู้ใดรีบด่วนในเวลาท่ีควรช้า และช้าในเวลาท่ีควรรีบด่วน ผู้น้ันเป็นพาลย่อมประสพ ทกุ ข์ เพราะไม่จดั แจงโดยอุบายอันชอบ ประโยชนข์ องผนู้ ั้นยอ่ มเส่ือมไป เหมอื นพระจนั ทรข์ า้ งแรม เขาย่อมถึงความเส่อื มยศ และแตกจากมติ รท้ังหลาย. ข.ุ เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๓๖ ๓.๒ การงานยอ่ มเผาบคุ คลผมู้ ิได้พิจารณาแล้ว รีบรอ้ นจะท�ำ ให้ส�ำ เร็จ เหมือนกบั ของรอ้ นที่ บุคคลไม่พจิ ารณากอ่ นแลว้ ใสเ่ ข้าไปในปาก ฉะนน้ั . ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๗/๑๔ ๓.๓ กรรมที่บุคคลไม่พจิ ารณาให้ถ่ถี ้วนเสยี กอ่ น แล้วท�ำ ลงไป ผลชัว่ ร้ายย่อมมแี ก่บคุ คลนัน้ เหมือนความวบิ ตั แิ หง่ ยาแก้โรค ฉะน้ัน. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๑/๑๖๕ www.kalyanamitra.org
125 ๓.๔ ในเวลาท่ีจะต้องทำ�ชา้ ๆ ผ้ใู ดรีบดว่ นท�ำ เสียเรว็ ในเวลาท่ีจะตอ้ งรบี ด่วนท�ำ กลับท�ำ ชา้ ไป ผู้น้ันย่อมตัดรอนประโยชน์ของตนเอง เหมอื นคนเหยยี บใบตาลแหง้ แหลกละเอียดไป ฉะน้ัน. ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๖ ๔. โทษของการคบคนเกยี จครา้ น ๔.๑ แม้บุคคลผู้มีความเป็นอยู่ดี แต่อาศัยบุคคลผู้เกียจคร้าน ย่อมจมลงในมหาสมุทร คือ วฏั สงสาร เปรยี บเหมอื นบคุ คลขึน้ สู่แพไม้นอ้ ยๆ พงึ จบลงในมหาสมทุ ร. ข.ุ อติ .ิ (อรรถ) มก. ๔๕/๔๗๘ ๔.๒ เต่าตาบอดเกาะบนขอนไม้เล็กๆ จมลงไปในห้วงนำ้�ใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคน เกยี จครา้ นด�ำ รงชพี ย่อมจมลงในวฏั สงสาร ฉนั นน้ั . ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๑/๖๓ ๔.๓ คนเกาะไมเ้ ลก็ ๆ ตอ้ งจมอยูใ่ นห้วงน�ำ้ ใหญ่ ฉนั ใด คนแมด้ ำ�รงอย่างดี แตอ่ ยู่รว่ มกับคน เกยี จคร้าน ก็ต้องจมอย่ใู นวฏั สงสาร ฉนั น้ัน. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๑/๓๒๑ www.kalyanamitra.org
๑๕ม ง ค ล ที่ บ�ำ เพ็ญทาน หมอ้ น�ำ้ ท่ีเตม็ ใครผใู้ ดผหู้ นงึ่ คว่�ำ ลง ก็จะคายนำ้�ออกจนไมเ่ หลือ ไมย่ อมรกั ษาไว้ แมฉ้ นั ใด ทา่ นเห็นยาจกไม่วา่ จะตำ�่ ทราม สงู สง่ และปานกลาง จงให้ทานอยา่ ให้เหลือ เหมือนหม้อน้�ำ ทีค่ ว่�ำ ลง ฉันนนั้ เถิด www.kalyanamitra.org
127 ๑. ผูร้ บั บรสิ ทุ ธิ์ ๑.๑ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินทางมา บุญเขตนี้มาถึงแก่เราผู้เป็นสัตว์ท่ีต้องการบุญ เปรยี บเหมือนบุรุษชาวนาเห็นนาอันเปน็ อูข่ า้ ว อนู่ ำ�้ . ข.ุ จรยิ า (พทุ ธ) มจ. ๓๓/๗๒๙ ๑.๒ ทานท่ีถวายพระสงฆ์ย่อมมีผลมาก ด้วยว่าพระสงฆ์เป็นเขตกว้างใหญ่ คำ�นวนนับมิได ้ เหมอื นสาครมหาสมุทรนับจำ�นวนมิได.้ ขุ.ว.ิ (อรรถ) มก. ๔๘/๓๕๙ ๑.๓ ธรรมดาอาหารยอ่ มเป็นที่ต้องการแกส่ ัตวท์ ้งั ปวง ฉันใด ภิกษผุ ู้ปรารภความเพยี รกค็ วร เป็นผ้ทู ่ีโลกทง้ั ปวงต้องการ ฉันน้ัน ข้อนี้สมกับคำ�ของพระโมฆราชเถรเจ้าว่า ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแน่ใจในความเป็นสมณะ ของตนดว้ ยศีล และข้อปฏบิ ัติ ควรใหเ้ ปน็ ที่ปรารถนาของโลกท้งั ปวง. มลิ นิ . ๔๖๓ ๑.๔ นาทั้งหลายท่มี หี ญา้ เปน็ ที่ประทษุ ร้าย หมู่สตั ว์ทมี่ ีราคะ โทสะ โมหะ เปน็ เครอ่ื งประทษุ รา้ ย เพราะเหตุนั้นแล ทานทบ่ี ุคคลให้แลว้ ในท่านทป่ี ราศจากจึงมีผลมาก. ข.ุ ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๓๑๓ www.kalyanamitra.org
128 ๑.๕ การเลือกทักขิณาทาน และพระทักขิไณยบุคคลแล้วจึงให้ทาน พระสุคตเจ้าทรง สรรเสริญ ทานท่บี คุ คลถวายในพระทักขิไณยบุคคล มพี ระพุทธเจา้ เป็นตน้ ซงึ่ มีอยใู่ นโลกนี้ ยอ่ มมี ผลมาก เหมอื นพืชท่หี ว่านลงในนาดี ฉะน้ัน. ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๙/๕๗๒ ๑.๖ ธรรมดานาที่เป็นนาดี ย่อมก่อให้เกิดความปีติแก่ผู้เป็นเจ้าของ เพราะแม้หว่านข้าวลง ไปน้อย กย็ ังได้ผลมาก และยง่ิ หวา่ นมากขึน้ ก็ยอ่ มไดผ้ ลมากยิง่ ขน้ึ ฉันนัน้ ภิกษผุ ้ปู รารภความเพียร กค็ วรเป็นนาดี เป็นผู้ให้ผลมาก ทายกจะไดเ้ กดิ ปีติวา่ ถึงแม้เขาจะถวายทานนอ้ ยแตก่ ็ไดผ้ ลบญุ มาก ข้อนี้สมกับคำ�ของพระอุบาลีเถรเจ้า ผู้ชำ�นาญในพระวินัยกล่าวไว้ว่า พระภิกษุควรเป็น ผเู้ ปรยี บดว้ ยนา ควรใหผ้ ลไพบูลย์ ผู้น้ันชอื่ ว่า นาประเสริฐ. มลิ ิน. ๔๖๒ ๑.๗ พืชแม้น้อยแต่หว่านลงในนาดี เม่ือฝนยังท่อธารให้ตกลงท่ัว ผลย่อมยังชาวนาให้ยินดี ได้ ฉนั ใด การถวายบาตรนี้กฉ็ ันนน้ั ขา้ พระองคไ์ ดห้ ว่านลงในพุทธเขต เมือ่ ท่อธาร คือ ปตี ติ กลงอย ู่ ผลจกั ท�ำ ข้าพระองค์ใหย้ นิ ดี. ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๑/๕๐ ๑.๘ พชื หวา่ นลงในนาทส่ี มบูรณ์ เมอื่ ฝนตกต้องตามฤดกู าล ธัญญชาติย่อมงอกงามไมม่ ศี ัตร ู พืชยอ่ มแตกงอกงาม ถึงความไพบลู ย์ผลเต็มที่ ฉันใด โภชนะท่ีบคุ คลถวายในสมณพราหมณผ์ ู้มศี ลี สมบรู ณ์ กฉ็ ันน้นั . อัง.อัฐก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๗๗ ๑.๙ พืชแม้มากอันบุคคลหว่านแล้วในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ท้ังไม่ยังชาวนาให้ยินดี ฉันใด ทานมากมายอันบุคคลตั้งไว้ในหมู่ชนผู้ทุศีล ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ยินดี ฉันนั้น เหมือนกนั พชื แมเ้ ลก็ นอ้ ยอนั บคุ คลหวา่ นแลว้ ในนาดี เมอ่ื ฝนหลั่งสายน�ำ้ ถูกต้องตามกาล ผลก็ยอ่ ม ยงั ชาวนาให้ยินดไี ด้ ฉนั ใด เมอ่ื สักการะแม้เลก็ นอ้ ย อันทายกทำ�แลว้ ในเหลา่ ทา่ นผมู้ ีศีล ผมู้ ีคุณคงท ่ี ผลกย็ ่อมยงั ทายกใหย้ นิ ดีได้ ฉนั น้ันเหมือนกัน. ขุ.ธ.ุ (พทุ ธ) มก. ๔๙/๒๔๖ ๑.๑๐ สันดานของพระขีณาสพ เว้นจากโทษมีความโลภ เป็นต้น ประกอบด้วยปัจจัยอ่ืนมี กาลเป็นต้น ในเม่ือเขาหว่านพืช คือ ไทยธรรมที่ตบแต่งไว้ดีแล้ว ย่อมมีผลมากแก่ทายก เปรียบ เหมือนนาเวน้ จากโทษมีหญา้ เป็นตน้ ประกอบด้วยปจั จยั อน่ื มฤี ดูและน�ำ้ เปน็ ตน้ ในเมื่อหว่านพืชท่ี เขาจดั แจงไวด้ ี ย่อมมีผลมากแก่ชาวนา ฉะน้นั . ข.ุ เปต. (อรรถ) มก. ๔๙/๑๒ www.kalyanamitra.org
129 ๑.๑๑ ธรรมดาดวงจันทร์ย่อมมีผู้อยากให้บังเกิดข้ึน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควร เข้าไปสบู่ า้ นเรอื นดว้ ยมีผ้นู ิมนต์ ฉนั นั้น ข้อน้สี มกับพระพุทธพจนใ์ นสังยุตตนิกายว่า ดูกอ่ นภิกษุท้งั หลาย เธอจงเขา้ ไปส่ตู ระกูลด้วย อาการเหมือนดวงจันทร์ อย่าทำ�กายใจให้คดงอในตระกูล คือ ซ่ือตรง อย่าคะนองกายในตระกูล คอื สำ�รวมกายใจในสถานทที่ ีไ่ ปเยือน. มิลนิ . ๔๔๑ ๒. ผูร้ ับไม่บรสิ ทุ ธ์ิ ๒.๑ ทายกเป็นคนมีศีล ถวายไทยธรรมท่ีเกิดขึ้นโดยธรรม แต่ปฏิคคาหก (ผู้รับ) เป็นคน ทศุ ลี ทักษิณานีเ้ ป็นเหมือนทกั ษณิ าของพระเวสสนั ดรมหาราช. ท.ี ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๓๕๖ ๒.๒ ข้าพระองค์จะต้องการอะไรด้วยทานอันว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล ยักษ์ชื่ออินทกะ น้ถี วายทานแล้วนิดหนอ่ ย ยงั ร่งุ เรอื งยง่ิ กว่าข้าพระองค์ ดจุ พระจนั ทรใ์ นหมู่ดาว. ขุ.ธ. (ทัว่ ไป) มก. ๔๒/๓๑๒ ๒.๓ ชาวนาผู้ฉลาดได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัยกำ�จัดฝุ่น ปลูกพืชท่ีมีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของคนอื่น ฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีล ย่อมได้ผลมาก ฉนั นน้ั . ม.อุ. (อรรถ) มก. ๒๓/๔๑๐ ๓. ผใู้ ห้ ๓.๑ หม้อน้ำ�ท่ีเต็ม ใครผู้ใดผู้หน่ึงควำ่�ลง ก็จะคายน้ำ�ออกจนไม่เหลือ ไม่ยอมรักษาไว้ แม้ ฉนั ใด ท่านเห็นยาจกไมว่ า่ จะต่ำ�ทราม สงู ส่ง และปานกลาง จงใหท้ านอย่าใหเ้ หลือ เหมือนหม้อน�้ำ ท่ี คว่ำ�ลง ฉนั นั้นเถดิ . ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๕/๓๔ ๓.๒ ใครจะพึงบอกข่าวพระเวสสันดร พระองค์เป็นท่ีอาศัยของเหล่ายาจก เช่น ธรณีดล เป็นท่อี าศัยแห่งเหลา่ สตั ว์ ผู้เปรยี บเหมอื นแมธ่ รณีแก่เราได้ พระองค์เปรียบเหมือนสระน้ำ�มีท่าอันงาม ลงด่ืมได้ง่าย มีน้ำ�เย็น น่ารื่นรมย์ ดารดาษไป ดว้ ยดอกบวั ขาบ ประกอบด้วยละอองเกสร พระองค์เปรียบเหมือนนิโครธใกล้ทาง มีร่มเงาน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผเู้ ม่ือยล้าเหนด็ เหน่อื ยมาในเวลารอ้ น www.kalyanamitra.org
130 พระองคเ์ ปน็ ทีไ่ ปเฝา้ ของเหล่ายาจก ดังสาครเป็นทไี่ หลไปแห่งแม่น�้ำ นอ้ ยใหญ.่ ข.ุ ชา. (ทวั่ ไป) มก. ๖๔/๖๘๑ ๓.๓ บคุ คลไดพ้ บสมณะ พราหมณ์ คนก�ำ พรา้ คนเดนิ ทาง วณพิ กแลว้ ยอ่ มไมแ่ บง่ ขา้ ว น�ำ้ และเครอ่ื งบรโิ ภคให้ บณั ฑติ ทง้ั หลายกลา่ วบคุ คลผเู้ ปน็ บรุ ษุ ต�ำ่ ทรามนน้ั แลวา่ เปน็ ผเู้ สมอดว้ ยฝนไมต่ ก บุคคลใดย่อมไม่ให้ไทยธรรมแก่บุคคลบางพวก ย่อมให้แก่บุคคลบางพวก ชนผู้มีปัญญาทั้ง หลายกล่าวบคุ คลน้ันวา่ ดจุ ฝนตกในทบ่ี างส่วน บุรุษผู้ทีเ่ ขาออกปากขอไดง้ ่าย ผ้อู นเุ คราะหส์ ตั วท์ ่วั หนา้ มีใจยินดปี ระดจุ โปรยไทยธรรม พูดแตค่ ำ�ว่า จงให้ๆ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้รวบรวมทรัพย์ท่ีตนได้แล้วด้วยความหมั่น โดยชอบธรรม ยัง วณิพกท้ังหลายผู้มาถึงแล้วให้อิ่มหนำ�ด้วยข้าว และน้ำ�โดยชอบ เปรียบเหมือนเมฆฝนส่งเสียงร้อง คำ�ราม ยอ่ มยังฝนใหต้ ก ยงั น�้ำ ให้ไหลนองเตม็ ทด่ี อนและท่ลี มุ่ ฉะนน้ั . ข.ุ อติ ิ. (พทุ ธ) มก. ๔๕/๔๖๒ ๓.๔ นางรู้แจง้ ซ่ึงแขก คือ ภกิ ษผุ ้มู กี าลอนั ถงึ แลว้ นิมนต์ใหน้ ั่งในเรอื นของพราหมณ์ ยินดี ตอ่ ภิกษุนั้นเป็นนติ ย์ ดังมารดายนิ ดีต่อบุตรผู้จากไปนานกลบั มาถึง ฉะน้ัน. ขุ.ชา. (ทว่ั ไป) มก. ๖๓/๒๘๐ ๓.๕ เราตกแตง่ ทรพั ย์ไว้สำ�หรับยาจกในทห่ี ลายรอ้ ยแห่ง วณิพกจะมาในเวลากลางวนั ก็ตาม หรือในเวลากลางคืนก็ตาม ก็ได้โภคะตามความปรารถนาพอเต็มมือกลับไป เราได้ให้มหาทานเห็น ปานนี้ จนตราบเท่าส้นิ ชวี ิต เราได้ใหท้ รัพยท์ ่นี ่าเกลยี ดกห็ ามิได้ เปรียบเหมอื นคนไข้กระสบั กระส่าย เพือ่ จะพน้ จากโรค ตอ้ งการใหห้ มอพอใจด้วยทรัพย์ จงึ หายจากโรคได้. ข.ุ จริยา. (พทุ ธ) มก. ๗๔/๘๐ ๔. การให้อวัยวะเปน็ ทาน ๔.๑ พระโพธสิ ัตว์ (กระต่าย) นั้นลกุ ข้นึ จากท่ีนอนหญ้าแพรกของตน แล้วไปทกี่ องถา่ นเพลงิ นั้น คิดวา่ ถา้ สัตว์เลก็ ๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่ สัตว์นนั้ อยา่ ตายดว้ ยเลย แลว้ สะบัดตวั ๓ คร้งั บรจิ าครา่ งกายทง้ั ส้นิ กระโดดโลดเตน้ มีใจเบิกบาน กระโดดลงในกองถา่ นเพลิง เหมอื นพระยาหงส์ กระโดดลงในกอปทมุ ฉะน้นั . ข.ุ ชา. (อรรถ) มก. ๕๘/๔๘๘ ๔.๒ เราจะนำ�เนอื้ หทัยน้ันออกด้วยหอก แลว้ นำ�เน้อื หทัยซง่ึ มีหยาดเลือดไหล ดุจยกดอกบวั พร้อมด้วยกา้ นข้ึนจากนำ้�ใสแล้วจกั ให้. ขุ.จรยิ า. (อรรถ) มก. ๗๔/๑๕๑ www.kalyanamitra.org
131 ๔.๓ เราจักเชือดเนือ้ ในรา่ งกาย ดจุ กรดี เยอ่ื น�้ำ ออ้ ยงบของตาลด้วยการขดู ออก. ข.ุ จรยิ า. (อรรถ) มก. ๗๔/๑๕๒ ๔.๔ หากใครพึงขอนัยน์ตาเรา เราจักให้ควักนัยน์ตา เหมือนคนควักจาวตาลออกแล้วให้ แกเ่ ขา. ข.ุ จรยิ า. (อรรถ) มก. ๗๔/๑๕๒ ๕. ความเคารพในทาน ๕.๑ พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างอยู่ในนภากาศ อันปราศจากเมฆฝน ฉันใด ข้าพเจ้าและ ภรรยา เมอื่ ยังอยู่ในมนษุ ยโ์ ลกได้ถวายท่อี ย่แู กพ่ ระอรหนั ต์ มจี ิตเล่อื มใส เมอ่ื บริจาคข้าว และน้ำ�อัน ไพบูลยเ์ ป็นทานโดยเคารพ. ขุ.ว.ิ (ท่วั ไป) มก. ๔๘/๕๕๙ ๕.๒ การไม่ทำ�ความยำ�เกรงท้ังในไทยธรรม ทั้งในบุคคล ให้ทานโดยนัยดังกล่าวข้างต้น ความว่าเป็นผู้ตอ้ งการทิง้ ใหเ้ หมือนยัดเห้ียเข้าจอมปลวก. ม.อ.ุ (อรรถ) มก. ๒๒/๑๙๒ ๖. ผูใ้ ห้ด้วยศรทั ธา ๖.๑ คนท้ังหลายผู้หวังผล ย่อมหว่านพืชลงในเน้ือท่ีนาดอน นาลุ่ม และนาไม่ลุ่ม ไม่ดอน ฉันใด ท่านจงใหท้ านด้วยศรทั ธาน้ัน ฉนั นน้ั . ม.ม. (โพธิ) มก. ๒๐/๑๖๔ ๖.๒ ห้วงนำ้�ท่ีเต็มเปี่ยมตลอดเวลา ไม่มีเวลาเหือดแห้ง ฉันใด พระองค์มีพระหฤทัยเต็ม เป่ียมด้วยศรทั ธา ฉันนน้ั . ข.ุ ชา. (ท่วั ไป) มก. ๖๔/๗๖๓ ๖.๓ เรา และภรรยา เมอื่ ยงั อย่ใู นมนษุ ย์โลกเป็นผู้มศี รัทธา เป็นทานบดี ในครงั้ น้นั เรอื นของ เราเป็นดังบอ่ นำ�้ ของสมณพราหมณท์ ง้ั หลาย เราไดบ้ �ำ รงุ สมณะ และพราหมณ์ใหอ้ ิม่ หน�ำ ส�ำ ราญ. ข.ุ ชา. (ทว่ั ไป) มก. ๖๔/๔๖๐ ๖.๔ ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่า มีสภาพเสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อยก็ชนะคนมากได้ เจตนาเครือ่ งบริจาคกเ็ หมอื นกัน แมจ้ ะนอ้ ยยอ่ มชนะหมูก่ เิ ลสแม้มากได้ ถา้ บคุ คลเชอ่ื กรรม และผล แหง่ กรรม ยอ่ มให้ทานแม้นอ้ ย เขาก็เป็นสุขในโลกหน้า เพราะการบริจาคมปี ระมาณนอ้ ยนั้น. ขุ.ชา. (ปจั เจก) มก. ๕๙/๕๗๘ www.kalyanamitra.org
132 ๗. ผู้ให้ไมบ่ ริสทุ ธ์ิ ๗.๑ ปฏคิ าหกเป็นคนมศี ลี แต่ทายกเปน็ คนเสียศลี ถวายไทยธรรมทเ่ี กดิ ขึ้นโดยไม่เป็นธรรม ทักษิณาน้ีเปน็ เหมือนทกั ษิณาของคนฆ่าโจร. ฑี.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๓๕๖ ๘. อานสิ งส์ของการใหท้ าน ๘.๑ ต่อตนเอง ๘.๑.๑ ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวทั้งปวงในโลก ด้วยรศั มี ฉนั ใด บุคคลผสู้ มบรู ณ์ดว้ ยศีล มศี รัทธา ก็ฉันนั้น ยอ่ มไพโรจนก์ วา่ ผตู้ ระหนีท่ งั้ ปวงในโลก ดว้ ยจาคะ. องั .ปญั จก. (พทุ ธ) มก. ๓๖/๖๒ ๘.๑.๒ เมฆที่ลอยไปตามอากาศ มีสายฟ้าปลาบแปลบ มีช่อต้ังร้อย ตกรดแผ่นดินเต็มที่ ดอน และที่ลุ่ม ฉันใด สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยทัศนะ เป็นบัณฑิตก็ฉันน้ัน ย่อมข่มผู้ตระหน่ีได้ด้วยฐานะ ๕ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และเปี่ยมด้วยโภคะ ย่อม บันเทิงใจในสวรรค์ ในปรโลก. อัง.ปัญจก. (พุทธ) มก. ๓๖/๖๒ ๘.๑.๓ แม่นำ้�มากหลายอันเป็นที่ฝูงปลาอาศัยอยู่ ย่อมไหลไปสู่ทะเลอันเป็นท่ีรับน้ำ�ใหญ่ เป็นที่ขังน้ำ�ใหญ่สุดที่จะประมาณ เป็นท่ีประกอบด้วยส่ิงท่ีน่ากลัวมาก เป็นท่ีกำ�เนิดแห่งรัตนะต่างๆ ฉนั ใด ทอ่ ธารบุญย่อมหล่ังไหลไปสบู่ ัณฑิต ผ้ใู ห้ข้าว น้ำ� และให้ผา้ ให้เครอื่ งนอนทีน่ ั่ง และเครื่องปู ลาดเปน็ ทาน ดจุ แมน่ �้ำ ทัง้ หลายไหลไปสทู่ ะเล ฉะนน้ั . อัง.จตุกก. (พทุ ธ) มก. ๓๕/๑๗๙ ๘.๑.๔ แม่น้ำ�เป็นอันมาก ที่หมู่ คือ คณะนรชนอาศัยแล้ว ไหลไปสู่สาครทะเลหลวงซึ่ง ประมาณมิได้ เป็นที่ขังนำ้�อย่างใหญ่ มีส่ิงน่ากลัวมาก เป็นท่ีอยู่ของหมู่รัตนะ ฉันใด สายธารแห่ง บุญย่อมไหลไปสู่นรชนเป็นบณั ฑติ ผูใ้ ห้ขา้ วน้ำ� ผ้า ทน่ี อน ท่ีนั่ง และเคร่ืองปลู าด เหมือนแมน่ �้ำ ไหล ไปส่สู าคร ฉันนัน้ เหมือนกัน. สงั .ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๓๗๓ www.kalyanamitra.org
133 ๘.๑.๕ ชาวนา ไถนาข้าวสาลี เป็นต้น เมื่อไม่ประมาทด้วยกิจ มีการหว่าน การไขน้ำ�เข้า การเปดิ น้�ำ ออก การปกั ด�ำ และการรกั ษา เป็นต้น ตามควรแกเ่ วลา ยอ่ มไดร้ บั ผลแห่งขา้ วกลา้ อนั โอฬาร และไพบูลย์ ฉันใด แม้ทายกก็ฉันนั้น เมื่อไม่ประมาทด้วยการบริจาคไทยธรรม และการ ปรนนิบตั ิในพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย ย่อมได้รับผลแหง่ ทานอันโอฬาร และไพบูลย.์ ขุ.เปต. (อรรถ) มก. ๔๙/๑๓ ๘.๑.๖ เมื่อเรือนที่ถูกไฟไหม้ เจ้าของขนเอาส่ิงของอันใดออกได้ สิ่งของอันนั้นย่อมเป็น ประโยชน์แก่เจ้าของ ส่วนของท่ีไม่ได้ขนออกก็ถูกไฟไหม้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เช่นเดียวกัน โลกถูกชรา และมรณะเผาแล้วอยา่ งน้ี บคุ คลพงึ น�ำ ออกเสียด้วยการให้ทาน. อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๒๑๗ ๘.๑.๗ นักมวยปล้ำ�ย่อมทำ�คู่ต่อสู้ให้ล้มลงด้วยกำ�ลังที่มากกว่า แผ่นดินย่อมรองรับส่ิงทั้ง ปวงเพราะเป็นของใหญ่ย่ิง มหาสมุทรไม่รู้จักเต็มเพราะเป็นของใหญ่ย่ิง เขาสิเนรุไม่หวั่นไหวเพราะ เปน็ ของหนักย่งิ อากาศไมม่ ที ีส่ ุดเพราะเป็นของกวา้ งยิ่ง ดวงอาทติ ย์ก�ำ จดั เมฆหมอกเสยี ได้เพราะมี รศั มียงิ่ ราชสีหไ์ มม่ คี วามกลัวเพราะมชี าติก�ำ เนดิ ยิ่ง แกว้ มณใี ห้ส�ำ เร็จความใครเ่ พราะเปน็ ของมคี ณุ ย่ิง พระราชาย่อมเป็นของใหญ่เพราะเป็นผู้มีบุญย่ิง ไฟย่อมแผดเผาส่ิงท้ังปวงเพราะมีความร้อน ยิ่ง เพชรย่อมเจาะรัตนชาติทั้งปวงเพราะเป็นของแข็งย่ิง เทวดา มนุษย์ อสูร ยักษ์ย่อมหมอบ กราบภิกษเุ พราะมศี ีลย่ิง พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ไมม่ ผี เู้ ปรยี บเพราะเป็นผวู้ ิเศษย่งิ ฉนั ใด ทานอนั ยิง่ ก็ เป็นท่สี รรเสริญของผู้รูท้ ้งั หลาย ฉนั น้นั . มลิ นิ . ๓๔๕ ๘.๒ ตอ่ หมู่ญาติ ๘.๒.๑ หว้ งนำ้�ใหญเ่ ต็มแลว้ ยอ่ มยังสาครให้เต็มเปีย่ ม ฉนั ใด ทานอันญาตหิ รือมิตรใหแ้ ลว้ แต่ มนษุ ยโ์ ลกนี้ ย่อมส�ำ เร็จผลแกเ่ ปรตทง้ั หลาย. ข.ุ เปต. (พุทธ) มก. ๔๙/๔๗ ๘.๒.๒ น้ำ�ฝนอันตกลงในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรให้แล้วจาก มนุษย์โลกนี้ ยอ่ มส�ำ เร็จแก่เปรตท้งั หลาย ฉันนัน้ เหมอื นกนั . ข.ุ เปต. (พุทธ) มก. ๔๙/๔๗ ๘.๒.๓ พระอรหันต์ท้ังหลายเปรียบได้ด้วยนา ทายกทั้งหลายเปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรม เปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดแต่การบริจาคไทยธรรมของทายกแก่ปฏิคาหก พืช นา และการ www.kalyanamitra.org
134 หว่านพืชนั้น ย่อมเกิดผลแก่เปรตทั้งหลายและทายก เปรตท้ังหลายย่อมบริโภคผลน้ัน ทายกย่อม เจริญดว้ ยบญุ ทายกทำ�กุศลในโลกนี้แลว้ อทุ ศิ ให้เปรตทัง้ หลาย ครั้นท�ำ กรรมดีแล้ว ย่อมไปสวรรค.์ ข.ุ เปต. (พทุ ธ) มก. ๔๙/๑ ๙. ผูข้ อ ๙.๑ ท่านขอแก้วมณีอันเกดิ จากหินดวงนี้ ย่อมทำ�ใหข้ ้าพเจา้ หวาดเสียว เหมอื นกับชายหนมุ่ มีมือถือดาบอันลบั แลว้ ทีแ่ ผน่ หนิ มาทำ�ให้ข้าพเจา้ หวาดเสียว ฉะน้ัน. ข.ุ ชา. (ทัว่ ไป) มก. ๕๘/๒๒ ๙.๒ คนเมื่อขอผู้อ่ืนว่า ท่านจงให้ของช่ือนี้ ช่ือว่า ย่อมร้องไห้ ฝ่ายคนอื่นผู้กล่าวว่าไม่มี ชอ่ื วา่ ยอ่ มร้องไห้ตอบ กม็ หาชนอยา่ ไดเ้ หน็ เราผู้รอ้ งไห้ อย่าได้เห็นพระราชาร้องไห้ตอบเลย. ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๘/๕๔๐ ๙.๓ ดูก่อนน้องหญิง เปรียบเหมือนบุรุษให้ช้างแล้ว ก็ควรสละสัปคับสำ�หรับช้างด้วย ฉนั ใด เธอก็ฉันน้ันเหมอื นกันแล ถวายเนือ้ แดพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้าแล้ว กจ็ งสละผา้ อนั ตรวาสกถวาย แด่อาตมา. วิ.มหา. (ท่วั ไป) มก. ๓/๗๘๕ ๑๐. ความตระหนี่ ๑๐.๑ น้ำ�มีอยู่ในถ่ินของอมนุษย์ ที่ไม่ได้ใช้สอยย่อมเหือดแห้งไป ฉันใด คนช่ัวได้ทรัพย์แล้ว ตนเองไม่ได้ใช้ และไม่ให้คนอื่นใช้ ก็เสียไปเปล่า ฉันนั้น ส่วนวิญญูชนผู้มีปัญญาได้โภคะแล้ว เขา ย่อมบรโิ ภค และท�ำ กิจ เขาเป็นคนอาจหาญ เล้ียงดูหมู่ญาติ ไมถ่ ูกตเิ ตียน ย่อมเขา้ ถึงสวรรค.์ สัง.สุ. (พทุ ธ) มก. ๒๔/๔๙๑ www.kalyanamitra.org
135 www.kalyanamitra.org
๑๖ม ง ค ล ที่ ประพฤติธรรม ผ้ใู ดไมป่ ระพฤตลิ ว่ งธรรม เพราะความชอบ ความชัง ความกลวั ความหลง ยศของผู้นั้นย่อมเตม็ เป่ียม เหมอื นดวงจนั ทรใ์ นวนั ขา้ งข้ึน ฉะนน้ั www.kalyanamitra.org
137 ๑. สุจริต ทุจริต ๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องช่างทำ�รถ ท่ีทำ�ล้อรถข้างหน่ึงกินเวลา ๖ เดือน หย่อน ๖ วนั แต่ท�ำ ลอ้ รถอีกข้างเสรจ็ ภายใน ๖ วัน พระราชาตรัสถามก็ทดลองให้ดู ล้อรถข้างท่ีทำ�นานหมุนไปได้ พอหยุดหมุนก็ต้ังอยู่ได้ แต่ ข้างท่ีทำ�เสร็จไวเมื่อหยุดหมุนก็ล้ม เพราะไม้มีความคด พระพุทธองค์จึงตรัสกับภิกษุท้ังหลายว่า ความคด โทษทางกาย ทางวาจา ทางใจของผูใ้ ดผู้หนึง่ ภิกษุกต็ าม ภกิ ษุณีกต็ าม ละไดแ้ ลว้ ยอ่ ม ตง้ั มัน่ อย่ใู นพระธรรมวนิ ัยนไ้ี ด้ เหมือนลอ้ รถท่ีทำ�แล้ว ๖ เดอื นหยอ่ น ๖ วนั ฉะนนั้ . อัง.ติก. (พทุ ธ) มก. ๓๔/๔๓ ๒. สจั จะ ๒.๑ รสเหล่าใดมีอยู่ในแผ่นดิน สัจจะเป็นรสท่ียังประโยชน์ให้สำ�เร็จกว่ารสเหล่าน้ัน เพราะ ว่าสมณพราหมณผ์ ู้ต้งั อยู่ในสัจจะ ยอ่ มข้ามพ้นฝั่งแห่งชาติ และมรณะได.้ ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๖๒๗ www.kalyanamitra.org
138 ๒.๒ ธรรมดาดาวประกายพรึกเป็นดุจคันชั่ง คือ เท่ียงตรงในโลก พร้อมเทวโลก ไม่ว่าใน สมยั ฤดูหรือปีกต็ าม ย่อมไมโ่ คจรหรือเวียนออกนอกวิถโี คจร แม้ฉนั ใด แมท้ า่ นก็ฉนั นนั้ เหมือนกัน ไม่ ออกไปนอกทางสัจจะท้ังหลาย ถึงความเป็นสจั จะบารมแี ลว้ จกั บรรลุพระสมั โพธิญาณได้. ข.ุ อป. (โพธ)ิ มก. ๗๐/๕๕ ๓. อคติ ๓.๑ ผู้ใดประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของผู้นั้น ย่อมเสือ่ มเหมือนดวงจนั ทรใ์ นข้างแรม ฉะนั้น. ท.ี ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๗๙ ๓.๒ ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรมเพราะความชอบ ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของ ผู้นัน้ ยอ่ มเต็มเปี่ยมเหมอื นดวงจนั ทร์ในวนั ขา้ งขนึ้ ฉะนนั้ . ท.ี ปา. (อรรถ) มก. ๑๐/๗๑๓ ๓.๓ ราชเสวกอันพระราชามิได้ตรัสใช้ ไม่พึงหว่ันไหวด้วยอำ�นาจฉันทาคติ๑ เป็นต้น ดงั ตราชทู ี่บุคคลประคองให้มคี นั เสมอเทย่ี งตรง ฉะนน้ั . ข.ุ ชา. (อรรถ) มก. ๖๔/๔๑๘ ๓.๔ ธรรมดาต้นไม้ย่อมให้เงามืดเหมือนกัน และแผ่เงาน้ันไปอย่างเสมอกัน ฉันใด ภิกษุผู้ ปรารภความเพียร ก็ไม่ควรทำ�ตัวให้ต่างกันในสัตว์ท้ังปวง ฉันน้ัน คือ ควรแผ่เมตตาให้เสมอกัน ไม่วา่ จะเปน็ โจรผจู้ ะฆา่ คน ผเู้ ป็นขา้ ศึกของตนเอง ข้อน้ีสมกับคำ�ของพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า พระมุนี คือ พระพุทธเจ้าย่อมเป็นผู้มีพระหฤทัย เสมอกันแก่สัตว์ทงั้ ปวง เช่น พระเทวทัต โจรองคลุ ีมาล และพระราหุล เปน็ ต้น. มิลิน. ๔๕๗ ๔. พรหมวหิ าร ๔ ๔.๑ เปรียบเหมือนสระบัวมีนำ้�ใสและจืด เย็น ขาว สะอาด มีท่าเรียบราบ ควรร่ืนรมย์ ถ้าว่าบรุ ษุ จะพึงมาแต่ทิศตะวนั ออก ตะวันตก ทศิ เหนือ ทศิ ใต้อันความรอ้ นกระวนกระวายเผาระงม ครอบงำ� เหน็ดเหนื่อยลำ�บาก กระหายหิว บุรุษน้ันมาถึงสระนั้นแล้วจะพึงทำ�ความกระหาย นำ้� และความรอ้ นกระวนกระวายให้เสือ่ มสญู ได้ ฉนั ใด ๑ ฉันทาคติ ลำ�เอยี งเพราะรกั ใคร่ www.kalyanamitra.org
139 ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ถ้ากุลบุตรออกบวชจากตระกูลกษัตริย์ถือเพศเป็นบรรพชิต และภิกษุ ท้ังหลายน้ันอาศัยธรรมวินัยท่ีตถาคตประกาศแล้ว เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้ความ ระงบั สงบใจภายในสนั ดานตน ฉนั นัน้ . ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๒๔๑ ๔.๒ ธรรมดาเมฆ คือ ฝนที่ตกลงมาย่อม ดับความร้อนในแผ่นดิน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภ ความเพยี ร ก็ควรดับความทกุ ขร์ อ้ นทางโลกดว้ ยเมตตาภาวนา ฉันนน้ั . มิลนิ . ๔๕๘ ๔.๓ ธรรมดานำ้�ยอ่ มแผ่ความเย็นไปให้คนดี และคนเลวโดยเสมอกนั ชะล้างมลทิน คอื ธลุ ี ออกได้ แม้ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญเมตตาให้สมำ่�เสมอในชนท่ีเก้ือกูล และ ไมเ่ กอ้ื กลู ท่านถึงความเมตตาบารมีแลว้ จกั บรรลุพระสัมมาสมั โพธญิ าณได.้ ข.ุ อป. (โพธิ) มก. ๗๐/๕๗ ๔.๔ ธรรมดาเต่ายอ่ มอยู่ในนำ้� ฉันใด ภิกษผุ ้ปู รารภความเพยี รกค็ วรอยูด่ ว้ ยเมตตา ฉนั น้ัน. มิลนิ . ๔๒๖ ๔.๕ ธรรมดาน้ำ�ยอ่ มตงั้ อยู่ตามสภาพ คือ ความเยน็ ฉนั ใด ภกิ ษผุ ู้ปรารภความเพยี รกค็ วร เปน็ ผทู้ ำ�ความเย็นให้แกผ่ ู้อื่นดว้ ยขนั ติ และความไมเ่ บียดเบียน ด้วยความเมตตา กรณุ า ฉันนัน้ . มลิ ิน. ๔๓๖ ๔.๖ ธรรมดาสุกรย่อมชอบนอนแช่น�ำ้ ในฤดรู อ้ น ฉนั ใด ภกิ ษุผปู้ รารภความเพยี รก็ควรกำ�กบั ใจทเ่ี รา่ รอ้ นตน่ื เต้นดว้ ยเมตตาภาวนาอันชุม่ เยน็ อยเู่ สมอ ฉันนนั้ . มลิ นิ . ๔๔๗ ๔.๗ ธรรมดาพังพอนเมอื่ จะไปสู้กับงู ยอ่ มอบตวั ดว้ ยยาเสยี กอ่ นจงึ เข้าไปใกลง้ ู ฉันใด ภกิ ษุ ผปู้ รารภความเพยี ร เม่อื จะเข้าไปใกล้โลกอันมากไปด้วยปฏฆิ ะ (ความขดั ใจ) ความโกรธ และความ อาฆาตอันครอบงำ�ด้วยบาดหมาง การทะเลาะเบาะแว้ง ก็ทาด้วยยา คือ เมตตาเสียก่อน จึงจะ ทำ�ใหโ้ ลกดบั ความเรา่ รอ้ นเสียได้ ฉนั นน้ั . มิลนิ . ๔๔๕ ๔.๘ บุคคลพึงมีเมตตาในบุตรคนเดียวผู้เป็นท่ีรัก ฉันใด ภิกษุพึงมีเมตตาในสัตว์ท้ังปวงใน ทุกทที่ ุกสถาน ฉนั นัน้ . ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๒๐๓ www.kalyanamitra.org
140 ๔.๙ ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉยในของไม่สะอาด และของที่สะอาดท่ีคนทิ้งลง เว้นจาก ความโกรธ และความยินดีท้ังสองน้ัน ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเป็นประดุจตาช่ังในสุข และทุกขใ์ นกาลทกุ เมอื่ ถึงความเป็นอเุ บกขาบารมแี ลว้ จักบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได.้ ข.ุ อป. (โพธิ) มก. ๗๐/๕๘ ๕. ความสามัคคี ๕.๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ยังพร้อมเพรียงกัน ช่ืนบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน เปน็ เหมอื นน้ำ�นมกบั น�ำ้ แลดกู นั และกันดว้ ยจักษุอนั เป็นทรี่ ักอย.ู่ ม.มู. (เถระ) มก. ๑๙/๓ ๖. สัมมาทิฏฐิ ๖.๑ ออ้ ย ขา้ วสาลี หรือองนุ่ อนั บคุ คลเพาะลงแล้วในแผ่นดินที่ชุ่มช้นื ย่อมเขา้ ไปจบั รสดิน และรสน้ำ�อนั ใด รสน�ำ้ ทั้งหมดนนั้ ย่อมเปน็ ไปเพ่ือความเป็นรสทนี่ ่ายนิ ดี เป็นรสหวาน เปน็ รสอนั น่า ช่ืนใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพืชเปน็ ของดี แม้ฉันใด ดกู อ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย บุคคลผมู้ คี วามเห็นชอบ มีความด�ำ รชิ อบ มีวาจาชอบ มกี ารงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความพยายามชอบ มีความระลึกชอบ มีความตั้งใจชอบ มีความรู้ชอบ มี ความหลุดพ้นชอบ สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไรแล้ว เจตนา ความปรารถนา ความต้ังใจ และสงั ขารเหล่าใด ธรรมเหลา่ น้นั ท้ังหมด ยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือผล อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เก้ือกูล เป็นสุข ข้อน้ันเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิเป็นของเจริญ ฉันนั้นเหมือนกันแล. องั .ทสก. (พทุ ธ) มก. ๓๘/๓๔๒ ๖.๒ เม่ืออาทิตย์จะข้ึน สิ่งที่จะข้ึนก่อน สิ่งท่ีเป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด ส่ิงท่ีเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามความจริง คือ สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น เหมอื นกัน. สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๔๕๖ ๗. นรก/สวรรค/์ โลกหน้า/โอปปาตกิ ะ ๗.๑ ในมนษุ ย์โลกมผี ู้ลงโทษดว้ ยกรรมกรณ์ ฉันใด นายนิรยบาลกม็ อี ยใู่ นนรก ฉนั นน้ั . ม.อ.ุ (อรรถ) มก. ๒๓/๒๐๒ www.kalyanamitra.org
141 ๗.๒ คร้ังน้ันแล พวกเทวดาเหล่าน้ันก็หายตัวจากเทวโลกช้ันสุทธาวาส๑ แล้วปรากฏเบ้ือง พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนบุรุษท่ีมีกำ�ลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนท่ี เหยียดออก ฉะนั้น. ที.ม. (ท่ัวไป) มก. ๑๔/๗๓ ๗.๓ เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิงปราศจากเปลว ปราศจากควัน ลำ�ดับน้ัน บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผาครอบงำ� เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิว กระหาย มุ่งมาสู่หลุมเพลิงน้ันแหละ โดยมรรคสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้วพึงกล่าว อย่างนว้ี ่า บุรุษผูเ้ จรญิ น้ี ปฏบิ ัตอิ ยา่ งนนั้ ด�ำ เนนิ อยา่ งนั้น ข้นึ ส่หู นทางนั้น จักมาถงึ หลุมถ่านเพลงิ นี้ ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุน้ัน พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถ่านเพลิงน้ัน เสวยทุกขเวทนาอัน แรงกลา้ เผ็ดร้อนโดยสว่ นเดยี ว แมฉ้ นั ใด ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำ�หนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกน้ีด้วยใจ ฉันนั้นเหมือนกันแลว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างน้ัน ดำ�เนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางน้ัน เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถงึ อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก. ม.มู. (พทุ ธ) มก. ๑๘/๔๘ ๗.๔ พระกุมารกัสสปถามพระเจ้าปายาสิว่า ทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มีเป็นต้นนั้น พระจันทร์ พระอาทติ ยเ์ ปน็ เทวดาหรอื มนษุ ย์ ในโลกนีห้ รอื โลกอื่น พระเจา้ ปายาสติ รสั ตอบวา่ พระจันทรพ์ ระอาทิตย์มีอยู่ในโลกอนื่ ไมใ่ ชโ่ ลกน้ี เป็นเทวดาไมใ่ ช่ มนุษย.์ ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๗๑ ๗.๕ พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าว่า มีมิตรอำ�มาตย์ญาติโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติช่ัวมี ประการตา่ งๆ เม่ือบคุ คลเหลา่ นั้นเจ็บไข้ ซ่งึ พระองค์เหน็ วา่ จะไมห่ ายแน่ ก็เสดจ็ ไปหา และสง่ั วา่ ถา้ ไปตกนรก เพราะประพฤตชิ ัว่ ตามค�ำ ของสมณพราหมณ์แลว้ ขอใหก้ ลับมาบอก พวกเหล่าน้ันรับค�ำ แลว้ ก็ไม่มใี ครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชือ่ วา่ โลกอื่นม ี พระกุมารกัสสปกล่าวว่า เปรียบเหมือนโจรท่ีทำ�ผิด ราชบุรุษจับได้ ก็นำ�ตระเวนไปสู่ท่ี ประหารชีวติ โจรเหล่านนั้ จะขอผดั ผ่อนใหไ้ ปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรอื ไม ่ พระเจ้าปายาสติ รสั ตอบวา่ ไม่ได้ พระเถระจึงกล่าวว่า พวกที่ท�ำ ช่ัวก็เช่นกัน ถ้าไปตกนรก ก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรย บาลให้มาบอก. ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๗๒ ๑ สทุ ธาวาส ท่ีอยูข่ องทา่ นผูบ้ ริสุทธิ์ คือ ทเ่ี กดิ ของพระอนาคามี ไดแ้ ก่ พรหม ๕ ชน้ั ท่สี ูงสุด ในชัน้ รปู าวจร คือ อวหิ า อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฎฐา www.kalyanamitra.org
142 ๗.๖ พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำ�ความดีว่า ถ้าตายไปได้สู่สุคติ โลกสวรรค์ เพราะประพฤตดิ ตี ามค�ำ ของสมณพราหมณ์แล้ว ขอใหก้ ลับมาบอก พวกน้ันรบั คำ�ก็ไมม่ ี ใครมาบอกเลย พระองคจ์ งึ ไม่เชือ่ วา่ โลกอน่ื ม ี พระกุมารกัสสปกล่าวว่า เปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ พระองค์ส่ังให้ ราชบุรุษช่วยยกข้ึนจากหลุมนั้น เอาซี่ไม้ไผ่ปาดอุจจาระออก ทำ�ความสะอาดหมดจดแล้ว นำ� พวงมาลยั เครอ่ื งลูบไล้ และผา้ มรี าคาแพงมาให้นงุ่ ห่ม พาขนึ้ สปู่ ราสาทบำ�เรอด้วยกามคุณ ๕ บุรษุ นั้นจะอยากลงไปอยใู่ นหลุมอจุ จาระอีกหรอื ไม ่ พระเจา้ ปายาสิตรัสตอบว่า ไม่อยาก พระเถระถามวา่ เพราะเหตุไร พระเจา้ ปายาสติ รสั ตอบว่า เพราะหลมุ อุจจาระไมส่ ะอาด มกี ลนิ่ เหม็น ปฏิกลู พระเถระทูลว่า มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกล่ินเหม็น ปฏิกูลสำ�หรับเทวดาท้ังหลาย พวกทำ�ความดที ี่ไปส่สู ุคตโิ ลกสวรรคจ์ ะกลับมาบอกอยา่ งไร. ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๗๕ ๗.๗ พระเจ้าปายาสติ รัสเลา่ ว่า พระองค์เคยสง่ั คนท่ที �ำ ความดวี า่ สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวว่า ผู้ทำ�ความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพช้ันดาวดึงส์ เมื่อท่านท้ัง หลายไปเกิดเช่นน้ันแล้วขอให้กลับมาบอกด้วย พวกนั้นรับค�ำ แล้วก็ไม่มีใครมาบอกเลย พระองค์จึง ไม่เช่ือว่าโลกอ่นื มี พระกุมารกัสสปทูลว่า ร้อยปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทพช้ันดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน, ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี, ๑ พันปีเป็นประมาณแห่งอายุของเทพช้ันดาวดึงส์ ผูท้ ำ�ความดที ี่ไปเกดิ ในท่นี ั้นคดิ วา่ อีกสกั ๒-๓ วัน จะไปบอกพระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้หรือไม ่ พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า มาไม่ได้ เพราะขา้ พเจา้ คงตายไปนานแลว้ แตก่ ใ็ ครบอกแก่ท่าน เล่าว่าเทพชน้ั ดาวดึงส์ มีอายยุ ืนขนาดนนั้ ขา้ พเจา้ ไมเ่ ชอ่ื เลย พระเถระทลู วา่ เปรยี บเหมือนคนท่ีเสียจกั ษุแต่ก�ำ เนดิ มองไมเ่ ห็นอะไรเลย จงึ กลา่ ววา่ สดี �ำ ขาว เขยี ว เหลอื ง แดง แสด ไมม่ ี คนทีเ่ หน็ สเี ช่นนัน้ ก็ไม่มี ดวงดาว พระจนั ทร์ พระอาทิตย์ ไม่ม ี ผู้เห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ก็ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น ส่ิงน้ันจึงไม่มีดังน้ี ผู้นั้น จะช่ือว่า กล่าวชอบหรอื ไม ่ พระเจา้ ปายาสติ รัสตอบวา่ กลา่ วไม่ชอบ พระเถระจึงทูลว่า ที่พระองค์ปฏิเสธเรื่องเทพช้ันดาวดึงส์ก็เป็นเช่นน้ัน สมณพราหมณ์บาง พวกที่เสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทำ�ความเพียร ชำ�ระทิพยจักษุ มองเห็นโลกน้ีโลกอื่น www.kalyanamitra.org
143 และสตั วอ์ ุปปาติกะ ดว้ ยจกั ษอุ ันเป็นทิพย์ เหนือจกั ษุของมนุษยม์ ีอยู่ เร่อื งของปรโลกพงึ เห็นอยา่ งน ี้ ไมพ่ งึ เขา้ ใจว่าจะเห็นได้ดว้ ยตาเน้อื นี้. ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๗๖ ๗.๘ พระเจ้าปายาสิตรัสเลา่ วา่ พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ทม่ี ศี ลี มธี รรมอันงาม ใคร่มี ชวี ติ ไมอ่ ยากตาย ใคร่ความสขุ เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดวา่ ถา้ สมณพราหมณ์ ผู้มศี ีล มีธรรมอันงาม เหลา่ น้ี ร้ตู ัววา่ ตายไปแลว้ จะดกี ว่าชาตนิ ้ี ก็ควรจะกนิ ยาพิษ เชอื ดคอตาย ผกู คอตาย หรือโดดเหว ตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะดีกว่าชาติน้ีจึงรักชีวิต ไม่อยากตาย ใครความสุข เกลียดทุกข์ ข้อนี้เป็นเหตุให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าโลกอื่นมี สัตว์อุปปาติกะ (เกิดแล้วเติบโตขึ้นทันที) มีผลแห่ง กรรมดีกรรมชัว่ ม ี พระกุมารกัสสปทูลเปรียบเทียบถวายว่า พราหมณ์คนหน่ึงมีภริยา ๒ คน คนหน่ึงมีบุตร อายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อกี คนหนง่ึ มคี รรภจ์ วนคลอด พราหมณ์นน้ั ถึงแกก่ รรม มาณพผู้เป็นบตุ รจึงพูด กับมารดาเล้ียงว่า ทรัพย์สมบัติท้ังปวงน้ีตกเป็นของข้าพเจ้าท้ังหมด ของท่านไม่มีเลย ขอท่านจง มอบความเป็นทายาทของบิดาแก่ข้าพเจ้า นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเล้ียงตอบว่า เจ้าจงรอก่อน จนกว่าเราจะคลอด ถ้าคลอดเป็นชาย ก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงน้ันก็ตก เป็นของเจา้ แตม่ าณพนัน้ ก็เซา้ ซี้อย่างเดิม แม้คร้งั ที่ ๒ แม้คร้งั ที่ ๓ นางพราหมณจี งึ ถือมดี เขา้ ไปใน ห้อง ผ่าท้องเพ่ือจะรู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง เป็นการทำ�ลายตัวเอง ทำ�ลายชีวิต ทำ�ลาย เด็กในครรภ์ และทำ�ลายทรัพย์สมบัติเพราะเป็นผู้เขลา แสวงหาสมบัติโดยไม่แยบคายจึงถึงความ พนิ าศ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดีที่เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอจนกว่าจะสุก สมณพราหมณ์เหล่าน้ีดำ�รงชีวิตอยู่นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงน้ัน และท่านก็ปฏิบัติ เพ่อื ประโยชน์ และความสุขแกช่ นเปน็ อนั มาก เพ่อื อนุเคราะห์โลก เพอ่ื ประโยชน์ เพ่อื เก้อื กลู เพ่อื ความสุข แก่เทวาและมนุษยท์ งั้ หลาย. ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๗๙ ๗.๙ พระเจ้าปายาสิตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ใส่ลงไปใน หม้อทั้งเป็น ปิดฝาแล้วเอาหนังสดรัดเอาดินเหนียวที่เปียกยาให้แน่น ยกข้ึนสู่เตาแล้วจุดไฟเมื่อรู้ว่า ผูน้ ั้นตายแลว้ ก็ให้ยกหม้อลง กะเทาะดนิ ท่ยี าออก เปิดฝาคอ่ ยๆ มองดู เพ่อื จะไดเ้ หน็ ชีวะของโจร นน้ั ออกไปก็ไมเ่ ห็นเลย จึงทำ�ใหไ้ ม่เชอ่ื วา่ มโี ลกอ่นื พระกุมารกัสสปทูลถามว่า ทรงระลึกได้หรือไม่ เคยบรรทมหลับกลางวัน แล้วทรงฝันเห็น สวน ป่า ภมู ิสถานและสวรรค์อันน่ารืน่ รมย์หรอื ไม่ ตรสั ว่าระลึกได้ ถามวา่ ในสมัยน้ัน คนค่อม คน หรอื เดก็ ๆ เฝา้ พระองค์อยหู่ รอื ไม่ ตรสั ตอบว่าเฝ้าอยู่ www.kalyanamitra.org
144 พระเถระจึงทูลว่าคนเหล่าน้ันเห็นชีวะของพระองค์เข้าออกหรือไม่ ตรัสตอบว่าไม่เห็น พระเถระจึงทูลว่า คนเหล่านั้น ยังไม่เห็นชีวะของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์ชีพอยู่เข้าออก เหตุไฉน พระองค์จะทรงเห็นชีวะของคนตายเข้าออกเล่า. ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๑ ๗.๑๐ พระเจ้าปายาสิ ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสส่ังให้ลงโทษโจรที่จับได้ให้ช่ังนำ้�หนักดู แล้วให้เอาเชือกรัดคอให้ตายแล้วช่ังดูอีก ในขณะมีชีวิตมีนำ้�หนักเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดี กวา่ เมอื่ ตายแล้ว เหตนุ จ้ี ึงไม่ทรงเช่อื เรื่องโลกอื่น พระเถระทูลถามว่า พึงช่ังก้อนเหล็กท่ีเผาไฟตลอดวันร้อนลุกโพลงกับก้อนเหล็กท่ีเย็นเทียบ กันดอู ยา่ งไหนจะเบากวา่ ออ่ นกวา่ ใชก้ ารงานไดด้ ีกว่า พระเถระทูลตอ่ ไปว่า ร่างกายกเ็ หมือนกนั ประกอบด้วยธาตไุ ฟ ธาตุลม ร้อนลกุ โพลง เบา กวา่ อ่อนกวา่ ใชก้ ารงานได้ดกี วา่ พระเจ้าปายาสติ รัสตอบว่า ก้อนเหล็กที่ประกอบกับธาตุไฟ ธาตลุ ม รอ้ นลุกโพลง เบากวา่ อ่อนกวา่ พระเถระทูลต่อไปว่า ร่างกายก็เหมือนกัน ประกอบด้วยอายุ (เครื่องสืบต่อหล่อเลี้ยง) ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วยวญิ ญาณ กเ็ บากว่า ออ่ นกว่า ใช้การงานไดด้ กี ว่า. ท.ี ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๒ ๗.๑๑ พระเจา้ ปายาสติ รสั แยง้ ตอ่ ไปว่า เคยตรัสสงั่ ใหล้ งโทษโจรทจี่ ับได้ ให้ฆ่าโดยไมก่ ระทบ กระทง่ั ผิว หนัง เน้ือ เอน็ กระดูก เยือ่ ในกระดูก เพ่อื จะดชู ีวะออกไปจากร่าง เม่อื เขาท�ำ อย่างนัน้ และเม่ือโจรน้ันจะตายแน่ก็ส่ังจับให้นอนหงาย เพ่ือจะดูชีวะออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป สั่งให้จับ นอนตะแคงทลี ะขา้ ง ใหย้ กขนึ้ ให้เอาศรี ษะลง ให้ใช้ฝา่ มอื กอ้ นดนิ ท่อนไม้ ศัสตรา เคาะดู ใหด้ ึง เข้า ให้ผลักออก ให้พลกิ ไปมา เพ่อื จะดชู ีวะออกไป ก็ไม่เหน็ ชวี ะออกไป โจรน้ันมีตา หู จมกู ลิ้น มี รปู เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ แต่กไ็ ม่รสู้ ึกอายตนะนนั้ ๆ (ไมร่ สู้ กึ เหน็ รปู ฟงั เสยี ง ดมกลิน่ ลิ้มรส ถกู โผฏฐพั พะ) พระกุมารกัสสปทูลเปรียบเทียบถวายว่า เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์เดินทางไปชนบท ชายแดนแห่งหน่ึงเป่าสังขข์ น้ึ ๓ ครง้ั แล้ววางสังขไ์ ว้บนดิน ชาวบา้ นไดย้ นิ เสยี งสงั ขช์ อบใจกพ็ ากนั มารมุ ถามว่าเสียงอะไร เขาตอบว่าเสียงสังขน์ ัน้ ชาวบ้านกจ็ ับสังข์หงาย พร้อมทัง้ พูดวา่ “สังขเ์ อย๋ จงเปล่งเสียง” แต่สังข์กไ็ ม่เปลง่ เสยี ง จงึ จบั คว�ำ่ จบั ตะแคง ยกขึ้น เอาหัวลง เอาฝา่ มือ กอ้ นดนิ ทอ่ นไม้ ศัสตราเคาะ ดึงเขา้ มาผลกั ออกไป จับพลกิ ไปมา เพ่อื จะให้สังขน์ นั้ เปล่งเสียง สงั ขน์ ้นั กไ็ ม่ เปลง่ เสยี ง www.kalyanamitra.org
145 คนเป่าสังข์เห็นว่า คนเหล่านั้นเป็นคนบ้านนอก เป็นคนเขลา หาเสียงสังข์โดยไม่แยบคาย จึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ คร้ัง ให้เห็นแล้วก็หลีกไป คนเหล่านั้นจึงรู้ว่าสังข์นี้ประกอบด้วยคน ประกอบด้วยความพยายาม ประกอบด้วยลม จึงเปล่งเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุเหล่าน้ันก็ เปล่งเสียงไม่ได้ กายก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น วิญญาณ จึงก้าวเดิน ถอยหลัง ยืน นง่ั นอนได้ เหน็ รูป ฟงั เสียง ดมกล่นิ ล้มิ รส ถกู ต้องโผฏฐพั พะ รู้ธรรมะ (อารมณ์ทเ่ี กดิ กับใจ) ได ้ ถา้ ไมป่ ระกอบดว้ ยสง่ิ เหลา่ น้ันกท็ ำ�อะไรไม่ได.้ ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๓ ๗.๑๒ พระเจ้าปายาสิตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสส่งั ให้ลงโทษโจรท่จี ับได้ โดยให้ตัดผิวหนัง ตดั หนงั เนอ้ื เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู เพอ่ื จะดชู วี ะ กไ็ มเ่ หน็ ชวี ะ จงึ ไมท่ รงเชอ่ื วา่ โลกอน่ื มเี ปน็ ตน้ เหตุ พระเถระทลู เปรยี บเทียบถวายวา่ ชฎิล (นักบวชเกล้าผมเปน็ เชิง) ผบู้ ูชาไฟรปู หน่งึ อยใู่ นกฏุ ี มุงด้วยใบไม้ในป่า พวกเดินทางพักแรมชาวชนบทคณะหน่ึง ออกเดินทางมาพักแรมคืนรอบอาศรม ของชฎิลผู้บูชาไฟนั้นแล้วจากไป ชฎิลจึงเดินไปในท่ีที่เขาพักแรมด้วยหวังว่าจะได้เคร่ืองใช้อะไรบ้าง ในที่น้ัน (ที่เขาท้ิงแต่อาจเป็นประโยชน์แก่ชฎิลผู้อยู่ป่า) เมื่อเข้าไปก็เห็นเด็กแดงๆ คนหนึ่งเป็นเด็ก ชายนอนหงายอยู่ จงึ นำ�มาเลยี้ งไว้จนเติบโต มีอายุ ๑๐ ปี หรอื ๑๒ ปี ต่อมาชฎิลมีธรุ ะที่จะตอ้ งไป ในชนบท จงึ เรียกเด็กมาส่งั ใหบ้ ูชาไฟ (คอยเอาฟนื ใส่ในกองไฟ) อย่าให้ดบั ได้ ถา้ ไฟดับ มีดอยู่นี่ ไม้ อย่นู ่ี ไม้สไี ฟอยู่น่ี จงจุดไฟใหต้ ิด บูชาไฟต่อไป เมือ่ สัง่ เสรจ็ แลว้ จึงไปแล้ว เด็กมวั เล่นเพลินไป ไฟก็ ดับ เดก็ คดิ ถงึ คำ�ส่ัง จงึ เอามดี ถากไม้สีไฟก็ไมไ่ ด้ไฟ จงึ ผา่ ไมส้ ไี ฟออกเปน็ ๒ ซกี ๓ ซกี จนถึง ๒๐ ซีก ทำ�เป็นช้ินๆ ใส่ครกตำ� แล้วเอามาโปรยท่ีลมด้วยหวังว่าจะได้ไฟ แต่ก็ไม่ได้ ชฎิลกลับมาเห็น เช่นน้ัน ถามทราบความแล้ว จึงคิดว่าเด็กนี้ยังอ่อน ไม่ฉลาด จะหาไฟโดยวิธีท่ีไม่ถูกได้อย่างไร จงึ เอาไม้สไี ฟมาสใี ห้เด็กดูถึงวธิ ที ำ�ไฟให้ติด พระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอ่ืน โดยวิธีท่ีไม่ถูก ในท่ีสุดได้แนะให้พระเจ้าปายาสิทรง สละความเหน็ ผดิ นัน้ เสีย. ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๖ ๗.๑๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ท่ีปลายพระนขา แล้วตรัสถามภิกษุท้ัง หลายวา่ ฝุน่ ท่ีปลายเล็บกบั มหาปฐพี อยา่ งไหนมากกวา่ กัน ภกิ ษทุ ้ังหลายทูลตอบวา่ ฝนุ่ ในมหาปฐพีมีประมาณมากกวา่ ยอ่ มไมอ่ าจเทยี บเคียงได้ พระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า สัตว์ท่ีมาเกิดในโลกมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์ที่ไปเกิดในก�ำ เนิดอื่น เปรยี บเหมอื นฝนุ่ ท่ีติดปลายเลบ็ มนี ้อยกว่ามหาปฐพ ี ทรงแสดงใหภ้ ิกษุท้งั หลายเปน็ ผู้ไม่ประมาท. สัง.น.ิ (พุทธ) มก. ๒๖/๗๒๗ www.kalyanamitra.org
146 ๗.๑๔ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า ผู้ที่จะไปเกิดใหม่น้ัน ไม่ได้ก้าวย่างไป จะ ปฏิสนธไิ ดอ้ ยา่ งไร พระนาคเสนทูลตอบว่า บุรุษเอาประทีปมาต่อประทีป ประทีปใหม่ไม่ได้ก้าวจากประทีปเก่า เม่ือผู้เรียนวชิ าเลข และศิลปะต่างๆ วิชาเลข และศลิ ปะตา่ งๆ ไมไ่ ดก้ ้าวยา่ งจากอาจารย์ ผูท้ จี่ ะไป เกดิ ใหมน่ ัน้ ไมไ่ ด้กา้ วย่างไปแตป่ ฏสิ นธิได้. มลิ ิน. ๑๑๐ ๗.๑๕ พระเจ้ามิลินท์ไม่ทรงเชื่อว่า ก้อนศิลาเท่าปราสาททิ้งจากพรหมโลกถึงโลกมนุษย์ใช้ เวลา ๔ เดอื น ภิกษผุ ู้มีฤทธ์หิ ายจากชมพทู วปี ไปพรหมโลกเหมือนบุรษุ ผู้มกี �ำ ลงั เหยียดแขน พระนาคเสนทูลตอบวา่ ทา่ นเคยนึกถงึ ถน่ิ กำ�เนิดที่อยู่ห่างไกลออกไปไหม ใชเ้ วลานิดเดียว. มิลิน. ๑๓๐ ๗.๑๖ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า คน ๒ คน คนหน่ึงตายไปเกิดในพรหมโลก อกี คนหน่ึงไปเกดิ ท่เี มืองกัสสมิระ ใครไปถงึ กอ่ นกนั พระนาคเสนทลู ตอบวา่ มหาบพติ รแลดอู าตมา ดดู วงอาทติ ย์ และดวงจนั ทรก์ เ็ หน็ เรว็ เทา่ กนั . มลิ นิ . ๑๓๑ ๗.๑๗ พระเจา้ มลิ นิ ทต์ รัสถามพระนาคเสนว่า ผ้ไู ปสโู่ ลกอ่นื ไปดว้ ยสอี ะไร พระนาคเสนทลู ตอบวา่ เสยี งอาตมาไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรมีสอี ะไร. มลิ นิ . ๑๓๒ ๗.๑๘ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า ไฟนรกร้อนจนละลายหินได้แต่ท�ำ ไมสัตว์นรก อยู่ได้ พระนาคเสนทลู ตอบว่า นกยงู ไก่ปา่ กินหินกรวดยงั ย่อยแหลกยับไปได้ แตล่ ูกนกยูง ลกู ไก่ ป่าอย่ใู นท้องไม่ย่อยยบั เพราะกรรมคุ้มครองไว้. มลิ ิน. ๑๐๓ ๗.๑๙ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงช้อนฝนุ่ ไวใ้ นปลายเล็บ แลว้ ตรสั เรียกภกิ ษุมาถามว่า ฝนุ่ ท่ี ช้อนไวใ้ นปลายเล็บกับแผ่นดนิ ใหญ่ อยา่ งไหนมากกว่ากัน ภิกษุตอบว่า ฝุ่นในเล็บเล็กน้อยเมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ ย่อมไม่ถึงซ่ึงการนับเปรียบเทียบ หรือแมส้ ่วนเส้ียว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า สัตว์ที่จุติจากพวกมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในพวกมนุษย์มีน้อย โดยที่ แทส้ ัตว์ท่ีจุติจากมนุษยไ์ ปแลว้ กลบั ไปเกดิ ในนรกมมี ากกว่า. สัง.ม. (พทุ ธ) มก. ๓๑/๕๐๒ www.kalyanamitra.org
147 ๘. กฎแหง่ กรรม ๘.๑ บุรุษทำ�กรรมใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่าน้ันในตน ผู้ทำ�กรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ท�ำ กรรมชว่ั ไดร้ บั ผลชว่ั บคุ คลหว่านพชื เช่นใด ยอ่ มไดร้ ับผลเช่นนนั้ . ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๕๗/๓๘๙ ๘.๒ เปรียบเหมือนพืชท้ังหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี บุคคล ปลูกไว้ในแผ่นดินที่ทำ�ไว้ดีแล้ว ในไร่นาที่ดี ฝนก็หลั่งดี เมื่อเป็นเช่นน้ี พืชเหล่านั้นก็ถึงความเจริญ งอกงามไพบลู ย์ ฉันใด กรรมท่ีบคุ คลท�ำ เพราะโลภะ โทสะ โมหะ ฯลฯ เปน็ กรรมทใ่ี ห้ผลในอตั ภาพ ตอ่ ไป ฉันนน้ั ก็เหมอื นกัน. อัง.ตกิ . (พทุ ธ) มก. ๓๔/๑๑๘ ๘.๓ เปรยี บเหมือนพืชท้งั หลายอันไม่ขาด ไมเ่ นา่ ไมเ่ ฉา ใหแ้ ก่นได้ มีรากฝงั อยดู่ ี บรุ ษุ เอาไฟ เผาพชื เหลา่ นน้ั จนเปน็ ผุยผงแล้ว พงึ โปรยเสียในลมแรง หรือพึงสาดเสียในกระแสอนั เชย่ี วในแม่น้�ำ เมื่อเป็นอย่างนี้ พืชเหล่าน้ันก็เป็นรากขาดแล้ว ถูกทำ�ให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถูกทำ�ให้ไม่มีใน ภายหลังแล้ว มีอันไม่เกิดข้ึนอีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันใด กรรมมีบุคคลทำ�เพราะอโลภะ อโทสะ อโมหะ ฯลฯ มอี นั ไมเ่ กดิ ขน้ึ อีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนนั้ เหมอื นกัน. องั .ติก. (พทุ ธ) มก. ๓๔/๑๑๙ ๘.๔ การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฎฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติปัจจุบัน) เหมอื นกับลกู ศรของนายพรานทย่ี ิงถกู เน้ือโดยไม่พลาด. องั .ตกิ . อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๒ ๘.๕ ปริยายเวทนยี กรรม (กรรมใหผ้ ลในชาติต่อๆ ไป) ได้โอกาสเมอื่ ใดในอนาคต เมอ่ื นนั้ จะ ใหผ้ ล เปรยี บเหมอื นสุนัขที่นายพรานเนอ้ื ปลอ่ ยไปเพราะเห็นเนือ้ จงึ ว่ิงตามเข้าไปในทใี่ ดกจ็ ะกดั เอา ที่น้นั แหละ ฉันใด กรรมนก้ี ฉ็ ันนนั้ เหมอื นกนั . องั .ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๓ ๘.๖ ครุกรรม (กรรมหนัก) แม้ท้ังอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ อุปมาเหมือนหนึ่งว่า ก้อน กรวด หรือก้อนเหล็ก แมป้ ระมาณเทา่ เมล็ดพนั ธผ์ุ ักกาดท่โี ยนลงในห้วงน�้ำ ย่อมไม่สามารถลอยน�ำ้ ได้ จะจมลงใต้นำ้�อย่างเดียว ฉันใด อกุศลกรรมก็ฉันน้ันเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนักเขาจะถือเอา กรรมนน้ั แหละไป. องั .ตกิ . (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๔ www.kalyanamitra.org
148 ๘.๗ เสมือนหนึ่งว่า เม่ือนักมวยปลำ้�สองคนข้ึนเวที คนใดมีกำ�ลังมาก คนน้ันจะทำ�ให้อีก ฝ่ายหน่ึงล้ม (แพ้) ไป ฉันใด พหุกรรม (กรรมท่ีทำ�เป็นประจำ�) น้ีน้ันก็ฉันน้ันเหมือนกัน จะทับถม กรรมท่มี ีกำ�ลงั น้อยไป. องั .ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๔ ๘.๘ กรรมใดสามารถเม่ือจะให้ระลึกนึกถึงในเวลาใกล้ตายจะให้ผลก่อน เหมือนเม่ือเปิด ประตูคอกที่มีฝูงโคเต็มคอก โคตัวใดอยู่ใกล้กับประตูออก โดยท่ีสุดจะเป็นโคแก่ด้อยกำ�ลังก็ตาม โคตัวน้ันกย็ ่อมออกไดก้ อ่ น ฉะนัน้ . องั .ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๗ ๘.๙ กฏัตตาวาปนกรรม (กรรมไม่เจตนา) อำ�นวยผลได้ในบางคร้ัง เหมือนท่อนไม้ที่คนปา ขว้างไปไม่มีจุดหมาย ฉะน้นั . อัง.ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๙ ๘.๑๐ กรรมท่ีเกิดปฏิสนธิอย่างเดียว ช่ือว่า ชนกกรรม อุปมาเหมือน มารดาให้กำ�เนิด อยา่ งเดยี ว. องั .ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๙ ๘.๑๑ ต้นไม้ กอไม้หรือเถาวัลย์ ท่ีกำ�ลังเจริญงอกงาม ใครคนใดคนหน่ึงเอาไม้มาทุบ ศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้น ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงาม ฉันใด กุศลกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เม่ือกำ�ลังให้ผล แต่ถูกอกุศลกรรมเบียดเบียนหรือว่า อกุศลกรรม กำ�ลังให้ผลแตถ่ กู กศุ ลกรรมบีบคนั้ จะไมส่ ามารถให้ผลไดใ้ นสองอยา่ งน้นั . ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๓๐ ๘.๑๒ พระเจา้ มลิ ินทต์ รสั ถามพระนาคเสนวา่ เหตใุ ดมนุษยท์ ั้งปวงจงึ ตา่ งกัน พระนาคเสนทูลตอบว่า ต้นไม้ต่างกันเพราะความต่างกันแห่งพืช ฉันใด มนุษย์ก็ต่างกัน เพราะกรรม ฉนั น้นั . มิลนิ . ๑๐๐ ๘.๑๓ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า เพราะเหตุไรมนุษย์ทั้งปวงจึงไม่เสมอกัน บางพวกอายุสนั้ บางพวกอายุยนื บางพวกอาพาธนอ้ ย บางพวกอาพาธมาก บางพวกมีโภคะน้อย บางพวกมีโภคะมาก พระนาคเสนทูลตอบว่า มนุษยท์ ้ังหลายไมเ่ สมอกันเพราะกรรมตา่ งกนั เหมือนความต่างกนั แห่งพชื . มิลิน. ๑๐๐ www.kalyanamitra.org
149 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370