200 ๑.๒ ธรรมดาพระเจ้าจกั รพรรดิย่อมเสด็จประพาสโลก เพอ่ื ทรงพิจารณาดคู นดีคนเลวทกุ วนั ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรพิจารณากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทุกวัน แล้วทำ�ให้ บริสุทธิโ์ ดยคดิ วา่ วนั คนื ลว่ งไป กาย วาจา ใจของเราบริสทุ ธ์ดิ ีงามเพียงไร ฉันน้นั . มลิ ิน. ๔๔๓ ๒. ความถอ่ มตน ๒.๑ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีชาติต่ำ�ต้อย ไม่สมควรมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์ผู้สูงศักด์ิ เหมอื นสนุ ขั จง้ิ จอกผมู้ ชี าตติ �ำ่ ตอ้ ย จะพงึ มอี าสนะเสมอดว้ ยพระยาไกรสรราชสหี อ์ ยา่ งไรไดพ้ ระเจา้ ขา้ . ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๖๔/๔๑๕ ๒.๒ กลุ บตุ รบางพวกเป็นผปู้ รากฏชื่อเสยี งมียศ โดยประการใดๆ โนม้ ลงดว้ ยดดี ุจข้าวสาลี ทเ่ี ตม็ ด้วยผลพวง โดยประการนั้นๆ เม่ือพระราชา และมหาอ�ำ มาตย์ของพระราชา เป็นตน้ เข้าไป หาอยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่มีกิเลสชาติเครื่องกังวล เข้าไปตั้งความสำ�คัญในความเป็น สมณะไว้ เป็นผู้สงบเสง่ียม ไม่เบ่ง มีจิตตำ่� ดุจโคอุสภะมีเขาขาด และดุจเด็กจัณฑาล ปฏิบัติแล้ว เพ่อื ประโยชน์ และความสขุ แกภ่ กิ ษุสงฆ์ และแกช่ าวโลกพร้อมทั้งเทวโลก. ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๔๐๑ ๒.๓ จิตเสมอด้วยผ้าเช็ดเท้า คือ เมื่อเท้าเป้ือนหรือไม่เปื้อนอันบุคคลเช็ดอยู่ ความยินดี ความยินร้ายย่อมไม่มีแก่ผ้าเช็ดเท้า ฉันใด พึงเป็นผู้มีจิตไม่ยินดีไม่ยินร้ายในอิฏฐารมณ์ และอนิ ฏฐารมณ์ ฉันน้นั . วิ.ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๖๙๒ ๒.๔ พระสารีบุตรเปรียบตนเองกับพระโมคคัลลานะว่า ท่านเป็นเหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่นำ� ไปวางเทียบกับเขาหิมพานต์ เพราะพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก เม่ือต้องการอยู่ ตลอดกัปกส็ ามารถอย่ไู ด้ พระโมคคัลลานะฟังแล้ว จึงเปรียบตนเองกับพระสารีบุตรว่า ท่านน้ันเปรียบเหมือนก้อนเก ลือเล็กๆ ที่บุคคลหยิบไปวางเทียบกับหม้อเกลือใหญ่ เพราะพระสารีบุตรเป็นผู้ที่พระบรมศาสดา ทรงสรรเสรญิ วา่ เป่ียมด้วยปญั ญา มศี ีล และอุปสมะ. สัง.นิ. (เถระ) มก. ๒๖/๗๕๗ ๒.๕ บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้ถ่อมตน กำ�จัดมานะได้ กำ�จัดความกระด้างได้ เป็น เสมือนผ้าเช็ดเท้า เสมอด้วยโคอุสุภะเขาขาด และเสมอด้วยงูที่ถูกถอนเข้ียวแล้ว ย่อมเป็น ผู้ละเอยี ดออ่ นละมนุ ละไม ผอ่ งแผว้ ดว้ ยความสุข. ข.ุ เถร. (อรรถ) มก. ๓๙/๑๙๘ www.kalyanamitra.org
201 ๓. การไมโ่ ออ้ วด ๓.๑ พระขีณาสพท้ังหลาย ย่อมไม่ประสงค์จะบอกคุณวิเศษแก่กันและกัน เหมือนบุรุษผู้ได้ ขุมทรัพยแ์ ลว้ ไม่บอกขุมทรพั ย์อันตนรู้เฉพาะแลว้ ฉะนนั้ . สัง.ส. (อรรถ) มก. ๒๔/๒๑๑ ๓.๒ ธรรมดาหมอ้ น�ำ้ เม่อื มนี ำ�้ เต็มยอ่ มไมเ่ กดิ เสยี งดงั ฉนั ใด ภกิ ษุผู้ปรารภความเพียรเมื่อได้ รับรู้ความดีเต็มเปีย่ มแล้ว กไ็ มม่ ีเสยี ง ไม่มีมานะ ไมด่ ถู ูกผอู้ ื่น ไม่ปากกลา้ ไมโ่ อ้อวด ฉนั นั้น ขอ้ นส้ี มดังพระพทุ ธพจนว์ า่ หมอ้ ทีม่ นี �ำ้ พร่องย่อมมีเสยี งดงั หม้อท่มี ีน้�ำ เตม็ ยอ่ มเงียบ คนโง่ เปรียบเหมอื นน้ำ�ครึ่งหมอ้ บณั ฑติ เปรียบเหมอื นน�ำ้ เต็มหม้อ. มลิ นิ . ๔๖๑ ๔. การไม่ดหู มิน่ ๔.๑ โคอาชาไนยที่ดีอันเขาเทียมแล้วท่ีแอกเกวียน ย่อมอาจนำ�แอกเกวียนไปได้ ไม่ย่อท้อ ต่อภาระอันหนัก ไม่ทอดท้ิงเกวียนอันเขาเทียมแล้ว แม้ฉันใด บุคคลเหล่าใดบริบูรณ์ด้วยปัญญา เหมอื นมหาสมทุ รอันเต็มด้วยน�ำ้ บคุ คลเหลา่ นัน้ ยอ่ มไม่ดหู มิ่นผู้อื่น ฉันนัน้ . ข.ุ เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๔๗๖ www.kalyanamitra.org
๒๔ม ง ค ล ที่ มีความสันโดษ ภิกษุไม่ ่ตดิ แล้วในธรรมเหล่าน้ี คือบณิ ฑบาต ทีน่ อน ทน่ี ่ัง น�ำ้ ผา้ สังฆาฏิ เหมือนหยาดน้�ำ ไมต่ ดิ บนใบบัว ฉะนนั้ www.kalyanamitra.org
203 ๑. ความสำ�คัญของความสนั โดษ ๑.๑ ท้าวสักกะย่อมเพียบพร้อมด้วยความสุขอย่างเดียว ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ ควรยนิ ดแี ตค่ วามสุขท่เี กดิ จากการท�ำ ความสงบภายในอยา่ งยิ่งประการเดยี ว ฉนั นนั้ . มลิ นิ . ๔๔๒ ๑.๒ โคอาชาไนยตัวสามารถเทียมไถแล้ว ย่อมลากไถไปโดยไม่ลำ�บาก ฉันใด เม่ือเราได้ ความสุขอนั ไมเ่ จอื ด้วยอามสิ คืนและวนั ทัง้ หลายย่อมผา่ นพน้ เราไปโดยยาก ฉันน้นั . ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๑๓๙ ๑.๓ สง่ิ อันใดไดม้ าเพราะผ้อู ่นื ให้ สง่ิ น้ันมีอุปมาเหมอื นอยา่ งยาน หรือทรพั ย์ท่ยี ืมเขามา. ม.ม. (อรรถ) มก. ๒๑/๘๘ ๑.๔ ธรรมดานกจากพรากย่อมกินหอย และสาหรา่ ยจอกแหนเปน็ อาหารเพื่อยงั ก�ำ ลัง และ สีกายด้วยความยินดี ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรยินดีตามมีตามได้ ฉันนั้น เพราะผู้ยินดี ตามมตี ามได้ ย่อมไมเ่ สอ่ื มจากศีล สมาธิ ปญั ญา วมิ ุตติ วมิ ุตตญิ าณทสั สนะ และกุศลธรรมทงั้ ปวง. มลิ นิ . ๔๕๐ www.kalyanamitra.org
204 ๑.๕ ธรรมดานกกระจอกย่อมอาศยั อยูต่ ามเรอื นคน แต่ไม่เพ่งอยากไดข้ องส่ิงหนึง่ สิ่งใดของ คน มใี จเปน็ กลางเฉยอยู่ และมากดว้ ยความจ�ำ ฉันใด ภกิ ษผุ ้ปู รารภความเพียร เมื่อเขา้ ไปถึงบ้าน ใครแล้ว ก็ไม่ควรยึดติดในเตียง ตั่ง ท่ีน่ัง ท่ีนอน เคร่ืองประดับ เครื่องนุ่งห่ม เคร่ืองใช้ ของกิน ภาชนะใช้สอยต่างๆ ของสตรี หรอื บุรุษในบา้ นน้ัน ควรมใี จเปน็ กลาง ใส่ใจแตส่ มณสัญญา ฉันน้ัน. มิลิน. ๔๕๑ ๑.๖ ธรรมดาค้างคาวเมื่ออาศัยอยู่ในเรือนคน จะไม่ทำ�ความเสียหายแก่คน ฉันใด ภิกษุ ผู้ปรารภความเพียร เข้าไปถึงหมู่คนแล้ว ก็ไม่ควรทำ�ความเดือดร้อนทุกข์ใจให้ใครด้วยการขอของ สิ่งนั้นส่ิงนี้ หรือด้วยการทำ�ไม่ดีทางกาย หรือพูดมากเกินไป หรือด้วยการทำ�ให้ตนเป็นผู้มีสุขทุกข์ กบั คนในตระกลู นั้น ไม่ทำ�ใหเ้ ขาเสียบุญ ควรทำ�แตค่ วามเจรญิ ใหเ้ ขา. มิลนิ . ๔๕๓ ๒. ความสันโดษในปจั จัย ๔ ๒.๑ ภกิ ษุไมต่ ิดแลว้ ในธรรมเหล่าน้ี คือ บิณฑบาต ทน่ี อน ท่นี ง่ั นำ้� ผ้าสังฆาฏิ เหมอื นหยาด น้ำ�ไมต่ ดิ บนใบบัว ฉะนั้น. ข.ุ ส.ุ (พทุ ธ) มก. ๔๗/๓๕๙ ๒.๒ ความสันโดษในปัจจัย ๔ และภาวนาเป็นที่มาของความยินดี มีใจหลีกออกห่างจาก ความกำ�หนดั ในปจั จัย เปรยี บเหมือนดวงจันทร์ท่พี ้นจากเมฆหมอก. ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๗/๒๒๒ ๒.๓ เธอเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเคร่ืองบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทศิ าภาคใดๆ ก็ถอื ไปไดเ้ อง นกมีปกี จะบินไปทางทศิ าภาคใดๆ ก็มปี ีกของตวั เปน็ ภาระ บินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันน้ันแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็น เคร่อื งบริหารท้อง เธอจะไปทางทศิ าภาคใดๆ ก็ถือไปไดเ้ อง. ม.ม. (พุทธ) มก. ๒๐/๑๓ ๒.๔ ในกาลน้ันผ้าบังสุกุลจีวรปรากฏแก่เธอ ผู้สันโดษอยู่ด้วยความยินดี ด้วยความไม่ หวาดเสียว ด้วยความอยู่เป็นสุข ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนหีบใส่ผ้าของคฤหบดี หรือบุตรแหง่ คฤหบดีอันเต็มไปดว้ ยผ้าสตี ่างๆ ฉะนั้น. องั .สัตตก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๕๘ ๒.๕ โภชนะ คอื ค�ำ ข้าวทไี่ ดม้ าด้วยปลแี ข้ง จักปรากฏแก่เธอผสู้ นั โดษ... ดว้ ยการก้าวลงสู่ นิพพาน เปรียบเหมือนข้าวสุกหุงจากข้าวสาลี คัดเอาดำ�ออกแล้ว มีแกงและกับหลายอย่างของ คฤหบดีและบตุ รแหง่ คฤหบดี ฉะนน้ั . องั .สัตตก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๕๙ www.kalyanamitra.org
205 ๒.๖ ผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเคร่ืองบริหารกาย และบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง จะไปท่ี ใดๆ ย่อมถือเอาบริขารไปได้หมด เหมือนนกมีปีกจะบินไปที่ใดๆ ย่อมมีแต่ปีกของตัวเท่าน้ันเป็น ภาระบนิ ไป. ม.อ.ุ (พุทธ) มก. ๒๒/๑๘ ๒.๗ ธรรมดาราชสีห์เวลาหาอาหารไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ร้อน และเมื่อได้อาหารแล้วก็ไม่ติดอยู่กับ อาหารน้นั ฉนั ใด ภิกษผุ ปู้ รารภความเพยี รเวลาหาอาหารไมไ่ ดก้ ไ็ มค่ วรทกุ ขร์ ้อน เวลาไดก้ ไ็ มค่ วรตดิ ในรสอาหาร ควรฉนั ด้วยการพิจารณาเพ่อื ความหลุดพ้น ฉนั นนั้ . มิลิน. ๔๕๐ ๒.๘ ธรรมดาสุนัขจ้ิงจอกเมื่อได้อาหารแล้วย่อมไม่รังเกียจ ย่อมกินจนพอต้องการ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเมื่อได้ภัตตาหารแล้วก็ไม่ควรรังเกียจ ไม่ว่าชนิดไหน ควรฉันเพียงเพ่ือ ประทงั สงั ขาร ฉนั น้ัน ขอ้ นีส้ มกับค�ำ ของพระมหากัสสปเถรเจ้าวา่ เวลาเราออกจากที่พกั ไปบิณฑบาต แมบ้ ุรุษโรค เรื้อนที่กำ�ลังกินข้าว หยิบอาหารด้วยมือที่เป็นโรคเร้ือนมาใส่บาตรให้เรา เราก็นำ�ไปฉันโดยไม่ รงั เกียจ. มิลนิ . ๔๔๕ ๒.๙ ธรรมดาสุนัขจ้ิงจอกเม่ือได้อาหารแล้ว ย่อมไม่เลือกว่าดีเลวอย่างไร ฉันใด ภิกษุ ผปู้ รารภความเพียรเมื่อได้อาหารแลว้ ก็ไมเ่ ลอื กวา่ ดีเลว แตย่ นิ ดตี ามได้ ฉนั นนั้ . มิลนิ . ๔๔๖ ๒.๑๐ ธรรมดาราชสีห์ย่อมเท่ียวหาอาหารเร่ือยไป ได้อาหารที่ใดก็กินให้อิ่ม ณ ท่ีน้ัน ไม่ เลือกกินแต่เน้ือดีๆ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรเที่ยวบิณฑบาตไปตามล�ำ ดับตระกูลที่พบ ไม่ควรเลือกตระกลู และอาหาร ฉนั นั้น. มลิ ิน. ๔๔๙ ๒.๑๑ เสนาสนะ คอื โคนไม้จักปรากฏแก่เธอผ้สู นั โดษ... ด้วยการกา้ วลงสนู่ ิพพาน เปรียบ เหมือนเรือนยอดของคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดีฉาบทาไว้ดีแล้ว ปราศจากลม เธอจักตรึกมหา ปรุ สิ วิตก ๘ ประการน้ี และจกั เป็นผูไ้ ดต้ ามความปรารถนา ไดโ้ ดยไม่ยาก ไม่ลำ�บากซ่งึ ฌาน ๔ นี้ อนั มีในจิตยิ่ง เป็นเคร่อื งอย่เู ป็นสุขในปัจจุบนั ในกาลนั้น ท่ีนอน ที่นั่งอันลาดด้วยหญ้า จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ... ด้วยการก้าวลงสู่ นิพพาน เปรียบเหมือนบัลลังก์ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี อันลาดด้วยผ้าโกเชาว์ขนยาว ลาดด้วยขนแกะสีขาว ลาดด้วยผ้าสัณฐาน เป็นช่อดอกไม้ มีเคร่ืองลาดอย่างดีทำ�ด้วยหนังชะมด มเี ครอ่ื งลาดเพดานแดง มีหมอนขา้ งแดงสองขา้ ง ฉะนนั้ . องั .สัตตก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๔๕๙ www.kalyanamitra.org
206 ๒.๑๒ กาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ และจักเป็นผู้ได้ตามความ ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำ�บาก ซ่ึงฌาน ๔ นี้ อันมีในจิตย่ิง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ในกาลน้ัน ยาดองด้วยน้ำ�มูตรเน่า จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพานเปรียบ เหมือนเภสัชต่างๆ คือ เนยใส เนยข้น นำ้�มัน น้ำ�ผึ้ง นำ้�อ้อย ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี ฉะนนั้ . องั .สัตตก. (พุทธ) มก. ๓๗/๔๖๐ ๒.๑๓ ทา่ นเองมจี ติ เสมอด้วยแผน่ ดนิ นำ้� ไฟ ลม ผ้าเชด็ ธลุ ี มคี วามรสู้ ึกเจียมตวั เหมือนเดก็ จัณฑาล มีความคิดไม่ทำ�ลายใครๆ เหมือนโคผู้เขาหัก มีความรู้สึกอึดอัด ระอา รังเกียจกายอัน เปื่อยเน่า เหมือนหนุ่มสาวแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย รังเกียจซากสัตว์ต่างๆ ต้องบริหารร่างกายท่ีมี ทวาร ๙ ช่อง ซึ่งมกี ารขับถา่ ยของเสยี ออกมา เหมือนคนประคองถาดมนั ข้นทีม่ ีช่องไหลเขา้ ออกได้. องั .นวก. (เถระ) มก. ๓๗/๗๓๘ ๓. ความไม่สันโดษ ๓.๑ ผมู้ คี วามปรารถนาเกนิ เหมอื นขนมสกุ ทใ่ี สใ่ นภาชนะตน ยอ่ มเหน็ วา่ สกุ ไมด่ ี และเหมอื น มีน้อย ถ้าใสใ่ นภาชนะผ้อู ่ืน เหมือนขนมสุกดีและมีมาก. อัง.เอกก. (อรรถ) มก. ๓๒/๑๓๒ ๓.๒ ผู้ไม่อิ่มในลาภของตน มุ่งลาภของผู้อื่น ช่ือว่า ความเป็นผู้ปรารถนาไม่มีขอบเขต ย่อมมองเห็นขนมที่สุกแล้ว ในภาชนะเดียวกันที่ตกลงในบาตรของตนว่า เป็นเหมือนยังไม่สุกและ เป็นของเล็กน้อย ของอย่างเดียวกันท่ีเขาใส่ลงในบาตรของผู้อื่น ย่อมมองเห็นว่า เป็นเหมือนของ สุกดี และเปน็ ของมาก. ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๓๖๒ www.kalyanamitra.org
207 www.kalyanamitra.org
๒๕ม ง ค ล ที่ มีความกตัญญู กรรมทบ่ี ุคคลทำ�ในคนกตญั ญู มศี ีล มีความประพฤติประเสรฐิ ยอ่ มไมฉ่ บิ หายไป เหมือนพืชทบ่ี คุ คลหวา่ นลงในนาดี ฉะน้ัน www.kalyanamitra.org
209 ๑. ความกตญั ญู ๑.๑ บุคคลน่ัง หรือนอนท่ีร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านก่ิงของต้นไม้นั้น เพราะบุคคล ผู้ประทษุ ร้ายมติ รเปน็ คนช่ัวชา้ . ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๙/๙๔๐ ๑.๒ กรรมท่ีบุคคลทำ�ในคนกตัญญูมีศีล มีความประพฤติประเสริฐ ย่อมไม่ฉิบหายไป เหมือนพืชที่บคุ คลหวา่ นลงในนาดี ฉะนั้น. ข.ุ ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๘๖๒ ๒. ความอกตัญญู ๒.๑ กรรมท่ีบคุ คลท�ำ ในอสัตบรุ ษุ ยอ่ มฉบิ หายไมง่ อกงาม เหมอื นพืชทบ่ี ุคคลหว่านลงในไฟ ย่อมถกู ไฟไหมไ้ ม่งอกงาม ฉะนน้ั . ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๙/๘๖๒ www.kalyanamitra.org
๒๖ม ง ค ล ที่ ฟังธรรมตามกาล บคุ คลมีปัญญามาก (เหมือนหมอ้ หงาย) คอื ขณะฟงั ธรรม หรือเลกิ ฟงั กย็ ังใส่ใจอยู่ เหมอื นเทน�ำ้ ลงไปในหมอ้ นำ้�ยอ่ มขังอยู่ www.kalyanamitra.org
211 ๑. ประเภทผูฟ้ ังธรรม ๑.๑ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าตรสั แก่ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถงึ คนไขแ้ ละผู้เปรียบด้วยคนไข้ ๓ จำ�พวก ๑. คนไข้ท่ีไม่ว่าจะไดอ้ าหาร ยา และคนพยาบาลที่เหมาะสมหรือไมก่ ็ตาม ก็คงไม่หายจาก อาพาธ ๒. คนไข้ที่ไม่ว่าจะได้อาหาร ยา และคนพยาบาลท่ีเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม ก็คงหายจาก อาพาธ ๓. คนไขท้ ถ่ี ้าไดอ้ าหาร ยา และคนพยาบาลท่ีเหมาะสม จงึ หายจากอาพาธได้ แต่ถ้าไมไ่ ด้ อาหาร ยา และคนพยาบาลท่ีเหมาะสม ก็ไม่หายจากอาพาธ ดังน้ัน เพราะรักษาคนไข้ประเภทนี้ จงึ จ�ำ ตอ้ งรักษาคนไข้ประเภทอน่ื ด้วย คนไข้ ๓ จ�ำ พวกน้กี ็เปรยี บได้กบั บุคคลท่มี อี ยูใ่ นโลกนี้ ๓ จำ�พวก คอื ๑. บุคคลทไี่ ม่ว่าจะไดพ้ บตถาคต ไดฟ้ ังธรรมวนิ ัยหรือไมก่ ็ตาม ก็ไมไ่ ดป้ ัญญารธู้ รรมตามจริง ๒. บคุ คลทไ่ี ม่ว่าจะได้พบตถาคต ไดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั หรือไม่กต็ าม กไ็ ด้ปัญญารูธ้ รรมตามจรงิ ๓. บุคคลที่ได้พบตถาคตได้ฟังธรรมวินัย จึงจะได้ปัญญารู้ธรรมตามจริง แต่ถ้าไม่ได้พบ ตถาคต ไม่ไดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั กไ็ มไ่ ด้ปัญญารู้ธรรมตามจรงิ ดงั น้นั เพราะบคุ คลประเภทน้ี จงึ จ�ำ ตอ้ ง แสดงธรรมแกบ่ ุคคลประเภทอนื่ ด้วย. อัง.ตกิ . (พุทธ) มก. ๓๔/๗๐ www.kalyanamitra.org
212 ๑.๒ ผมู้ ีปัญญา ๓ จ�ำ พวก ๑. บุคคลมปี ญั ญาดังหมอ้ คว�ำ่ คือ ขณะฟังธรรมหรือเมื่อเลิกฟงั กไ็ ม่ใสใ่ จ เหมอื นราดนำ�้ ลง ไปบนหมอ้ คว�่ำ น้ำ�ยอ่ มไหลไปไมข่ ังอยู่ ๒. บุคคลมีปัญญาดังหน้าตัก คือ ขณะฟังธรรมก็ใส่ใจ แต่เมื่อเลิกฟังก็ไม่ใส่ใจ เหมือน วางของไว้บนตกั พอลุกขน้ึ ของนนั้ กต็ กไป ๓. บุคคลมีปัญญามาก (เหมือนหม้อหงาย) คือ ขณะฟังธรรมหรือเลิกฟังก็ยังใส่ใจอยู่ เหมือนเทนำ�้ ลงไปในหม้อ น�ำ้ ยอ่ มขังอยู่. องั .ตกิ . (พุทธ) มก. ๓๔/๙๘ ๑.๓ คฤหบดีชาวนาต้องการจะหว่านพืช พึงหว่านพืชในนาดีก่อน ครั้นหว่านในนานั้นแล้ว พึงหว่านในนาปานกลาง ครั้นหว่านในนาปานกลางน้ันแล้ว ในนาเลว มีดินแข็ง เค็ม พื้นดินเลว พงึ หวา่ นบ้างไม่หว่านบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตไุ ร เพราะทสี่ ดุ จกั เป็นอาหารโค ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมอื นนาดี ฉนั ใด เราย่อมแสดงธรรมอนั งามในเบือ้ งต้น งามใน ทา่ มกลาง งามในที่สดุ ประกาศพรหมจรรยพ์ รอ้ มท้งั อรรถทัง้ พยญั ชนะ บรสิ ุทธ์ิ บริบูรณส์ น้ิ เชงิ แก่ ภิกษุ และภกิ ษุณขี องเราก่อน ฉันน้นั ขอ้ นั้นเพราะเหตไุ ร เพราะภิกษุ และภกิ ษุณเี หลา่ น้ี มีเราเป็น ทีพ่ ึ่ง มเี ราเปน็ สรณะอยู่ ดูก่อนนายคามณี นาเลว มีดินแข็ง เค็ม พื้นดินเลว ฉันใด เราย่อมแสดงธรรมแก่อัญญ เดียรถยี ์ สมณะ พราหมณ์ และปรพิ าชกในที่สดุ ฉนั น้ัน. สัง.สฬา. (พุทธ) มก. ๒๙/๑๙๔ ๑.๔ ธรรมดามหาสมุทรย่อมไม่รู้จักเต็มด้วยน้ำ� อันไหลมาจากแม่น้ำ�ท้ังปวง อันได้แก่ แม่น�ำ้ คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู นที เปน็ ต้น รวมทง้ั น�ำ้ ฝนด้วย ฉนั ใด ภิกษุผ้ปู รารภความเพยี รก็ ไม่ควรอ่ิมด้วยการเรียน การฟัง การจำ� การศึกษาพระธรรมวินัย พระสูตรในพระพุทธศาสนา ฉนั น้ัน ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในมหาสุตตโสมชาดกว่า ไฟท่ีไหม้หญ้า และไม้ ย่อมไม่รู้อ่ิมด้วย เช้ือไฟ มหาสมุทรย่อมไม่รูจ้ ักอมิ่ ด้วยน�้ำ ฉนั ใด บณั ฑิตท้งั หลาย กไ็ มร่ ้จู กั อมิ่ ดว้ ยคำ�อันเป็นสภุ าษิต ฉันนน้ั . มิลนิ . ๔๓๔ ๑.๕ เม่ือตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนช่ือ อานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงล่ิม แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อ www.kalyanamitra.org
213 เขากลา่ วพระสตู รทต่ี ถาคตกลา่ วแลว้ อนั ลกึ มอี รรถอนั ลกึ เปน็ โลกตุ ตระ ประกอบดว้ ยสญุ ญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนา จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพ่ือรู้ และจักไม่สำ�คัญธรรมเหล่าน้ัน ว่าควรเล่าเรียนควร ศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอัน วิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเง่ีย โสตลงสดับ จักเขา้ ไปต้ังไว้ซึ่งจติ เพอ่ื รู้ และจักส�ำ คัญธรรมเหล่าน้นั ว่าควรเรยี น ควรศึกษา. สัง.ส. (ท่วั ไป) มก. ๒๕/๔๑๙ ๑.๖ ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว แต่แลว้ ทา่ นก็แสดงธรรมแก่สาวกว่า น้ีเพื่อประโยชน์ของทา่ นท้ัง หลาย นี้เพ่ือความสุขของท่านท้ังหลาย สาวกของท่านย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ต้ังจิตเพื่อรู้ ท่วั ถงึ และยอ่ มหลกี เลยี่ งประพฤตินอกค�ำ สอนของศาสดา เหมือนบุรษุ รกุ เขา้ ไปหาสตรที กี่ �ำ ลงั ถอย หลงั หนี หรอื เหมอื นบรุ ษุ ท่กี อดสตรที ี่หนั หลังให้. ที.ส.ี (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๐ ๑.๗ ท่านไม่ไดบ้ รรลุแลว้ แต่ท่านแสดงธรรมแกส่ าวกทัง้ หลายวา่ นเี้ พ่ือประโยชนข์ องท่าน ทั้งหลาย นี้เพ่ือความสุขของท่านท้ังหลาย สาวกของท่านย่อมตั้งใจฟัง ย่อมเงี่ยหูฟัง ตั้งจิตเพ่ือ รู้ท่ัวถึง และไม่หลีกเล่ียงประพฤตินอกค�ำ สอนของศาสดา เหมือนบุคคลทิ้งนาของตนแล้ว สำ�คัญ นาของผู้อืน่ วา่ เป็นทท่ี ต่ี นควรท�ำ ให้ด.ี ท.ี สี. (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๑ ๑.๘ ท่านไดบ้ รรลุแลว้ จงึ แสดงธรรมแกส่ าวกท้ังหลายวา่ นี้เพอื่ ประโยชนข์ องทา่ นท้ังหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกเหล่านั้น ย่อมไม่ต้ังใจฟัง ไม่เง่ียหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิต เพ่ือ ความรทู้ ่วั และหลกี เลย่ี งประพฤตินอกค�ำ สอนของศาสดา เหมอื นบคุ คลตัดเคร่อื งจองจ�ำ เกา่ ได้แลว้ สร้างเคร่ืองจองจำ�อย่างอื่นข้นึ ใหม่. ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๐ ๑.๙ พระบรมศาสดาตรสั ตอบว่า ทรงเอน็ ดูมงุ่ ประโยชน์ตอ่ สรรพสัตว์ คอื ทรงแสดงธรรม โดยเคารพต่อสรรพสัตว์เสมอกัน แต่ท่ีทรงแสดงธรรมแก่คนบางพวกก่อน ก็เพราะทรงเอ็นดูมุ่ง ประโยชน์ตอ่ คนเหล่านน้ั ผูพ้ รอ้ มจะฟังธรรมเทศนาก่อน ทรงเปรียบให้ฟังว่า พระพทุ ธองคเ์ หมือน ชาวนาท่ีฉลาดเลือกหว่านพืชในนาช้ันดีก่อน แล้วหว่านในนาช้ันปานกลาง ส่วนนาช้ันเลวซ่ึงมี ดินแขง็ ดนิ เค็ม พืน้ ดนิ ไม่ดีน้นั ชาวนาจะหว่านพืชบ้าง ไมห่ วา่ นพชื บา้ งก็ได้. สงั .สหา. (พุทธ) มก. ๒๙/๑๙๓ www.kalyanamitra.org
214 ๒. ความสำ�คญั ของการฟังธรรม ๒.๑ ข้าพระองค์ปรารถนาความเจริญของตนทางการศึกษา พวกสัตบุรุษผู้สงบจึงคบ ขา้ พระองค์ ขา้ พระองค์ไม่อมิ่ ดว้ ยสภุ าษิต ดจุ มหาสมุทรไมอ่ ่ิมด้วยแม่น�้ำ ฉะนั้น. ขุ.ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๖๘๑ ๒.๒ ไฟที่ไหม้หญ้า และไม้ย่อมไม่อ่ิม และสาครไม่อิ่มด้วยแม่นำ้�ท้ังหลาย ฉันใด ข้าแต่ พระองค์ผู้ประเสริฐสุด แม้บัณฑิตทั้งหลายได้สดับถ้อยคำ�ของข้าพระองค์ ย่อมไม่อ่ิมด้วยสุภาษิต เหมอื นกัน ฉะนั้น. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๖๘๑ ๓. ประโยชนข์ องการฟงั ธรรม ๓.๑ ชนเหล่าอ่ืนผู้มีปัญญา ย่อมด่ืมคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซ่ึงเป็นธรรมไม่นำ�กลับ หลงั เปน็ ธรรมทำ�ผ้ฟู งั ให้ช่มุ ชนื่ มโี อชะ เหมือนคนเดนิ ทางไกลด่ืมน�ำ้ ฝน ฉะนน้ั . ข.ุ เถรี. (เถระ) มก. ๕๔/๙๗ ๓.๒ พระเถระยืนถือก้านตาลถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ ได้สำ�เร็จสาวกบารมีญาณ โดย ไม่ต้องช้ีแจง เหมือนคนบริโภคโภชนะท่ีเขาคดไว้เพื่อผู้อื่น บรรเทาความหิว และเหมือนคนเอา เคร่ืองประดับทเี่ ขาจัดไว้เพื่อผ้อู ืน่ มาสวมศรี ษะตน. องั .ทกุ . (อรรถ) มก. ๓๓/๓๘๓ ๓.๓ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยปริยายอย่างนี้ ผู้ใดร้ตู ามด้วยดี ส�ำ คญั ตามดว้ ยดี ยนิ ดีตาม ดว้ ยดี ซ่ึงคำ�ท่ีกล่าวดี พดู ดีของกนั และกัน ในธรรมท่เี ราแสดงโดยปริยายอย่างน้ีแลว้ ผู้นั้นจะไดผ้ ล อันนี้ คือ จักพร้อมเพรียง บันเทิง ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน�้ำ นมระคนกับน�้ำ แลดกู ันด้วยสายตา เปน็ ทรี่ กั อย.ู่ ม.ม. (พทุ ธ) มก. ๒๐/๒๑๗ ๓.๔ บัณฑิตทั้งหลายฟังธรรมแล้ว ใจย่อมผ่องใส เหมือนดังห้วงนำ้�ลึกใสแจ๋วไม่ขุ่นมัว ฉะนั้น. ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๓๔๗ ๓.๕ สัตว์ท้ังหลายผู้สร้างสมบุญไว้แล้ว ถึงความแก่กล้าในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ด้วยบุญ กริ ิยาวัตถุ ๑๐ หวังพระธรรมเทศนาอยา่ งเดยี ว เหมือนประทุมชาติหวงั แสงอาทิตย์ เป็นผู้ควรหยั่ง ลงสู่อริยภูมิ. ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๔๖ www.kalyanamitra.org
215 ๓.๖ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถูกความหิวความเหนื่อยอ่อนครอบงำ� ได้ขนมหวานแล้วกินใน เวลาใด ก็พึงได้รับรสอันอร่อยหวานชื่นชูใจในเวลาน้ัน ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนักคิด ชาติบัณฑิตพึงใคร่ครวญเน้ือความแห่งธรรมบรรยายน้ีด้วยปัญญาในเวลาใด ก็พึงได้ความพอใจ และได้ความเลือ่ มใสแห่งใจในเวลาน้ัน ฉนั นน้ั . ม.มู. (เถระ) มก. ๑๘/๒๐๕ www.kalyanamitra.org
๒๗ม ง ค ล ที่ มีความอดทน ธรรมดาแผน่ ดนิ ย่อมอดกล้ันสิ่งทั้งปวง ท่ีเขาท้งิ ลง สะอาดบา้ ง ไมส่ ะอาดบา้ ง ไม่กระทำ�การขดั เคอื ง เพราะการกระทำ�นั้น ฉนั ใด แม้ทา่ นกฉ็ นั นัน้ เหมือนกัน เป็นผ้อู ดทนต่อการนบั ถือ และการดหู มิน่ ของคนทง้ั ปวง ถงึ ความเป็นขนั ติบารมีแลว้ จกั บรรลพุ ระสมั โพธิญาณได้ www.kalyanamitra.org
217 ๑. ความอดทนตอ่ ทุกขเวทนา ๑.๑ นรชนผู้ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นดังเถาหญ้านาง เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าว และน้ำ� มีใจไม่ย่อท้อ ถูกเหลือบยุงทั้งหลายกัดอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมเป็นผู้มีสติอดกล้ันได้อยู่ในป่าน้ัน เหมือนช้างท่ีอดทนต่อศาสตราวธุ ในยุทธสงคราม ฉะนั้น. ข.ุ เถร. เถระ) มก. ๕๒/๔๙๐ ๑.๒ แมห้ ากว่าพวกโจรท่ีมีใจต�่ำ ช้า เอาเลอ่ื ยมีคมสองข้างตดั อวยั วะน้อยใหญ่ ผใู้ ดพึงยังใจ ประทุษร้ายโจรนน้ั ไม่ชอ่ื วา่ ทำ�ตามค�ำ สอนของพระบรมศาสดา. ขุ.สุ. (พทุ ธ) มก. ๔๖/๒๔ ๒. ความอดทนตอ่ ความเจ็บใจ ๒.๑ บุคคลแม้เมื่อล้างท่ีซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาดมีนำ้�ลาย และน้ำ�มูก เป็นต้น ด้วย ของไม่สะอาดเหลา่ น้ันแล ย่อมไม่อาจท�ำ ใหเ้ ป็นท่หี มดจดหายกลน่ิ เหมน็ ได้ โดยท่ีแท้ ทน่ี ัน้ กลบั เปน็ ที่ ไม่หมดจด และมีกลิน่ เหม็นยิง่ กวา่ เกา่ อกี ฉันใด บุคคลเม่ือด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วย เวรได้ โดยทีแ่ ท้ เขาชือ่ ว่า ทำ�เวรน่ันเองให้ยงิ่ ข้ึน ฉันนั้นนนั่ เทียว. ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๗๔ www.kalyanamitra.org
218 ๒.๒ เราจกั อดกลัน้ คำ�ล่วงเกิน เหมอื นชา้ งอดทนต่อลกู ศร ที่ตกจากแล่งในสงคราม ฉะนัน้ . ข.ุ ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๓/๒๒๓ ๒.๓ ธรรมดาแผ่นดินย่อมอดกล้ันสิ่งท้ังปวง ที่เขาทิ้งลง สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไม่กระทำ�การขัดเคือง เพราะการกระทำ�นั้น ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้อดทนต่อการ นับถือ และการดูหม่นิ ของคนท้งั ปวง ถึงความเป็นขันติบารมแี ลว้ จักบรรลพุ ระสัมโพธญิ าณได้. ข.ุ อป. (โพธิ) มก. ๗๐/๕๔ ๒.๔ บุคคลผู้ถูกขับไล่จากแว่นแคว้นของตนไปอยู่ถิ่นอ่ืนแล้ว ควรสร้างฉางใหญ่ไว้ สำ�หรับ เก็บค�ำ หยาบคายท้ังหลาย. ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๕๘/๔๐๐ ๒.๕ ควรอดทนด้วยความอดกล้ันคำ�ของคนพูดชั่วเลวทราม ฯลฯ เหมือนคนรถสวมเกราะ หนังยืนอยู่บนรถ ย่อมอดทนต่อลูกศรทั้งหลายอันมาแล้ว... ลูกศรทั้งหลายย่อมแทงบุคคลน้ันไม่ได ้ ฉันใด ภิกษุผู้ประกอบด้วยอธิวาสนขันติ ย่อมอดทนถ้อยคำ�อันมาแล้วได้ ถ้อยคำ�เหล่าน้ัน ย่อมแทงภกิ ษผุ ู้ประกอบดว้ ยอธวิ าสนขันตไิ ม่ได้ ฉนั น้ัน. สงั .ม. (อรรถ) มก. ๓๐/๑๙ ๒.๖ เราเปน็ เช่นกับชา้ งเขา้ สู่สงคราม การอดทนตอ่ ลูกศรทแี่ ลน่ มาจากส่ีทศิ เป็นภาระของ ช้างทเ่ี ข้าสู่สงคราม ฉนั ใด การอดทนต่อถอ้ ยค�ำ ของผทู้ ุศลี กเ็ ป็นภาระของพระองค์ ฉันนั้น. ข.ุ ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๓/๒๒๖ ๓. ความอดทนตอ่ อำ�นาจกเิ ลส ๓.๑ ถ้าความโกรธเกิดข้ึน จงระลึกถึงพระโอวาทอนั อุปมาด้วยเลื่อย ถา้ ตณั หาในรสเกิดข้ึน จงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกาม และภพทั้งหลาย จงรีบ ขม่ เสียดว้ ยสติ เหมอื นบคุ คลห้ามสตั ว์เลย้ี งโกงทชี่ อบกนิ ข้าวกลา้ ฉะนัน้ . ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๒๑๗ ๔. ประโยชน์ของความอดทน ๔.๑ ศลิ ปะธนู กำ�ลงั เข้มแข็ง และความกลา้ หาญมีอยู่ในชายหนมุ่ ผู้ใด พระราชาผทู้ รงการ ยุทธ์พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้นั้น ไม่พึงทรงชุบเล้ียงชายหนุ่มผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติ ฉันใด www.kalyanamitra.org
219 ธรรมะ คอื ขันติ และโสรจั จะต้งั อย่แู ลว้ ในบคุ คลใด บุคคลพงึ บูชาบุคคลนั้น ผมู้ ปี ญั ญา มี ความประพฤติเย่ียงพระอรยิ ะ แมม้ ชี าตติ �ำ่ ฉันนน้ั เหมือนกัน. สงั .ส. (พุทธ) มก. ๒๔/๕๑๖ ๔.๒ เหมือนอย่างว่าของไม่สะอาด มีน้ำ�ลาย เป็นต้นเหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยนำ้�ท่ีใส ย่อมหายหมดได้ ท่นี ้ันยอ่ มเป็นท่หี มดจด ไม่มกี ลน่ิ เหม็น ฉนั ใด เวรท้ังหลายยอ่ มระงับ คอื ย่อมสงบ ได้แก่ ย่อมถึงความไม่มี ด้วยความไมม่ ีเวร คือ ดว้ ย น�ำ้ คอื ขนั ติ และเมตตา ด้วยการท�ำ ไวใ้ นใจโดยแยบคาย และดว้ ยการพิจารณา ฉนั นั้นนน่ั เทยี ว. ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๗๔ ๔.๓ บคุ คลโกรธตอบบุคคลที่โกรธ จัดว่าเปน็ คนเลวกวา่ บคุ คลผโู้ กรธ เพราะความโกรธตอบ นน้ั บคุ คลผู้ไม่โกรธตอบบคุ คลผ้โู กรธ ชือ่ ว่า ชนะสงครามที่ชนะไดย้ าก. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๒๑๗ ๔.๔ หม่อมฉันทั้งหลายเป็นผู้เข็ญใจ ฝึกแล้ว คือ หมดพยศ ความเข็ญใจฝึกหม่อมฉัน ท้ังหลายดจุ นายสารถฝี กึ มา้ ใหห้ มดพยศ ฉะน้นั . ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๖๔/๗๙๕ www.kalyanamitra.org
๒๘ม ง ค ล ที่ เป็นคนว่าง่าย อันคนไขน้ำ�ทัง้ หลายย่อมไขน�ำ้ ชา่ งศรท้งั หลายยอ่ มดดั ลกู ศร ชา่ งถากท้งั หลายยอ่ มถากไม้ ผสู้ อนง่ายทั้งหลายย่อมฝึกตน www.kalyanamitra.org
221 ๑. ความวา่ งา่ ย ๑.๑ อันคนไขนำ้�ท้ังหลายย่อมไขนำ้� ช่างศรท้ังหลายย่อมดัดลูกศร ช่างถากท้ังหลาย ยอ่ มถากไม้ ผู้สอนง่ายทัง้ หลายย่อมฝกึ ตน. ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๑๔๐ ๑.๒ ธรรมดาโคย่อมเต็มใจด่ืมน้ำ� ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรเต็มใจฟังคำ�สอน ของพระอุปัชฌาย์ ฉนั นนั้ . มิลนิ . ๔๔๗ ๑.๓ ธรรมดาโคนนั้ เมอ่ื ผใู้ ดจงู ไปกย็ ่อมท�ำ ตามทผี่ นู้ ัน้ ส่งั ฉันใด ภกิ ษผุ ูป้ รารภความเพยี รก็ ยินดรี ับฟงั คำ�สงั่ สอนของภกิ ษดุ ว้ ยกัน หรือแมผ้ ู้เป็นอบุ าสกชาวบ้าน ฉนั นัน้ ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า ถึงผู้บวชน้ันมีอายุเพียง ๗ ขวบ สอนเราก็ตาม เราก็ยินดีรับคำ�สอน เราได้เห็นผู้นั้น ก็เกิดความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้ายินดีน้อมรับว่า เป็นอาจารยแ์ ลว้ แสดงความเคารพอยเู่ นอื งๆ. มิลนิ . ๔๔๗ www.kalyanamitra.org
222 ๑.๔ ธรรมดาแผ่นดินย่อมเป็นท่ีต้ังของบ้านเรือน นคร ชนบท ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ� ห้วย หนอง คลอง บงึ เนื้อ นก นรชน หญิง ชาย ได้โดยไม่ย่อทอ้ ฉนั ใด ภกิ ษผุ ู้ปรารภความเพยี รแมจ้ ะ ตอ้ งเป็นผวู้ ่ากลา่ วสั่งสอนผอู้ ่นื หรือถูกผอู้ ืน่ วา่ กล่าวส่งั สอนก็ไม่ควรย่อทอ้ ฉนั นัน้ . มลิ นิ . ๔๓๕ ๒. ผชู้ ี้ขุมทรัพย์ ๒.๑ ควรเหน็ บุคคลผ้ใู หโ้ อวาท เปรยี บประดจุ บคุ คลผู้ชี้บอกขมุ ทรพั ย์ให้ ฉะน้นั . ข.ุ ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๑/๒๘๙ ๒.๒ เราจักไม่ประคับประคองพวกเธอ เหมือนช่างหม้อประคับประคองภาชนะดินท่ียังดิบ อยู่ เราจกั ข่มแลว้ จงึ บอก จกั ยกย่องแลว้ จงึ บอก ผ้ใู ดมีมรรคผลเป็นแกน่ สารผู้นนั้ จักอยู่ได.้ ม.อ.ุ (พุทธ) มก. ๒๓/๒๕ ๒.๓ เราไม่ต้องพรำ่�สอนภิกษุเหล่านั้น มีกิจแต่จะทำ�สติให้เกิดในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้ง หลาย เปรียบเหมือนรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ม้าที่ได้รับการฝึกมาดีแล้วก็เดินไปตามพ้ืนที่เรียบ หรือเดินไปตามหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ไม่ต้องใช้แส้ เพียงแต่นายสารถีผู้ฝึกหัดท่ีฉลาดขึ้นรถ แล้ว จบั สายบงั เหียนดว้ ยมือซ้าย จบั แสด้ ้วยมอื ขวา แลว้ ก็เตือนใหม้ ้าวิ่งตรงไปบ้าง ทัง้ เลยี้ วกลบั ไปตาม ปรารถนาบา้ ง ฉันใด ภิกษุท้งั หลาย เราไม่ตอ้ งพร�ำ่ สอนภิกษุทั้งหลายเนอื งๆ ฉันน้นั เหมอื นกนั . ม.ม.ู (พุทธ) มก. ๑๘/๒๕๖ ๓. โทษของการว่ายาก ๓.๑ เม่ือธรรมอันเราแสดงแล้วโดยปริยายอย่างน้ี ชนเหล่าใดจักไม่สำ�คัญตาม ไม่รู้ตาม ไม่บันเทิงตาม ซ่ึงคำ�ที่เรากล่าวดีแล้ว เจรจาดีแล้วแก่กัน และกัน เหตุนี้จักเป็นอันชนเหล่านั้นพึง หวังได้ คือ ชนเหล่าน้ันจักเกิดความบาดหมางกัน เกิดความทะเลาะกัน วิวาทกัน จักท่ิมแทงกัน และกนั ด้วยหอก คอื ปาก. สงั .สฬา (พุทธ) มก. ๒๙/๓๙ www.kalyanamitra.org
223 www.kalyanamitra.org
๒๙ม ง ค ล ที่ เห็นสมณะ ลายอ่ มติดตามโคไป แม้รอ้ งวา่ ตัวเรากเ็ ป็นโค แตส่ ี เสยี ง รอยเทา้ ไม่เหมอื นโค ฉันใด ภิกษบุ างรปู ในธรรมวินยั น้ี เดินตามหมูภ่ กิ ษุ ประกาศตนว่า แม้เรากเ็ ปน็ ภกิ ษุ แตเ่ ธอไมม่ คี วามพอใจ ในการสมาทานอธิศลี สกิ ขา อธิจติ ตสิกขา และอธปิ ัญญาสกิ ขา แตเ่ ดินตามภกิ ษไุ ปเท่าน้นั เหมอื นกัน www.kalyanamitra.org
225 ๑. คณุ สมบตั ขิ องภิกษุท่ดี ี ๑.๑ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทรงแสดงคุณสมบัตขิ องมา้ อาชาไนย ซงึ่ เป็นม้าต้นของพระราชา เปรียบเทียบกับคุณสมบัติของภิกษุ ๔ ประการ ได้แก่ ความซื่อตรง ความว่องไว ความอดทน และความสงบเสงี่ยม. อัง.จตกุ ก. (พุทธ) มก. ๓๕/๓๐๒ ๑.๒ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของม้าอาชาไนย เปรยี บเทยี บกบั ลกั ษณะของ บุรษุ อาชาไนย ๔ ประการ ได้แก่ ม้าอาชาไนยพอเห็นรูปเงาปฏักก็หวาดหว่ัน สำ�นึกว่า เขาจะให้ท�ำ งานอะไร เปรียบเหมือน บุรุษอาชาไนย ที่พอได้ยินข่าวว่า มีคนประสบทุกข์หรือตายก็สลดใจ สำ�นึกตัว มุ่งบำ�เพ็ญธรรมให้ สงู ย่ิงขึ้น ม้าอาชาไนยท่ีไม่กลัวเงาปฏัก แต่พอถูกปฏักแทงท่ีขุมขน ก็หวาดหว่ันสำ�นึกว่า เขาจะให้ ทำ�งานอะไร เปรียบเหมือนบุรุษอาชาไนยท่ีเห็นคนประสบทุกข์หรือตาย ก็สลดใจ สำ�นึกตัว มุง่ บ�ำ เพ็ญธรรมให้สูงยิ่งขึน้ ม้าอาชาไนยที่ไม่กลัวเงาปฏัก และถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขน แต่พอถูกแทงด้วยปฏักถึง ผิวหนังก็หวาดหว่ัน สำ�นึกว่า เขาจะให้ทำ�งานอะไร เปรียบเหมือนบุรุษอาชาไนยท่ีมีญาติประสบ ทกุ ข์หรอื ตายก็สลดใจ ส�ำ นกึ ตวั มงุ่ บ�ำ เพญ็ ธรรมให้สูงยง่ิ ขึน้ www.kalyanamitra.org
226 ม้าอาชาไนยที่ไม่กลัวเงาปฏัก การถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมและท่ีผิวหนัง แต่พอถูกแทงด้วย ปฏักถึงกระดูกก็หวาดหว่ัน สำ�นึกว่า เขาจะให้ทำ�งานอะไร เปรียบเหมือนบุรุษอาชาไนยที่ประสบ ทุกขห์ นกั ก็สลดใจ ส�ำ นกึ ตัว ม่งุ บำ�เพ็ญธรรมใหส้ ูงยิง่ ขน้ึ . อัง.จตกุ ก. (พทุ ธ) มก. ๓๕/๓๐๓ ๑.๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงคุณสมบัติของช้างต้น ๔ ประการ ได้แก่ เชื่อฟัง ฆา่ ศตั รไู ด้ อดทน ไปได้ทุกแห่ง เปรียบเทียบกับคุณสมบัติของภิกษุ ๔ ประการ ได้แก่ เชื่อฟัง ฆ่ากิเลสได้ อดทน ไป นิพพานได้. องั .จตกุ ก. (พุทธ) มก. ๓๕/๓๐๖ ๑.๔ เน้ือที่อยู่ในป่า เม่ือเท่ียวอยู่ป่าใหญ่ เดินไปไม่ระแวง ยืนอยู่ก็ไม่ระแวง นั่งพักอยู่ก็ไม่ ระแวง นอนอยูก่ ็ไม่ระแวง ขอ้ น้ันเพราะเหตุอะไร เพราะเน้ือนน้ั ไมไ่ ปในทางของพราน แมฉ้ นั ใด ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย ภิกษกุ เ็ หมอื นกนั ฉันนน้ั แล สงัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมทั้งหลาย เขา้ ปฐมฌาน อนั มีวติ ก มีวิจาร มีปิติ และสขุ เกดิ แต่วเิ วกอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษนุ ีเ้ รากล่าววา่ ทำ�ให้มารมืด ก�ำ จัดมารไม่ให้มีทางไป แล้วสสู่ ถาน เป็นท่ไี มเ่ หน็ ดว้ ยจกั ษแุ ห่งมารผ้ลู ามก. ม.ม.ู (พทุ ธ) มก. ๑๘/๔๒๘ ๑.๕ ธรรมดานางนกเงือก เวลากลางวันก็เท่ียวหากินอยู่ในป่า พอถึงเวลาเย็นจึงบินไปหา เพื่อนฝูงเพื่อรักษาตัว ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ก็ควรหาท่ีสงัดโดยลำ�พังผู้เดียวเพื่อให้หลุด พ้นจากสังโยชน์ เม่ือรู้สึกไม่ยินดีในความสงัด ก็ควรไปอยู่กับหมู่สงฆ์ เพ่ือป้องกันจากการถูกกล่าว ติเตยี นในภายหลัง ฉันน้นั ข้อนส้ี มกับค�ำ ท้าวสหบดีพรหมกลา่ วขึ้นตอ่ พระพกั ตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวา่ พระภกิ ษุ ควรอยู่ในท่ีนั่งที่นอนอันสงัด เพ่ือปลดเปลื้องจากสังโยชน์ ถ้าไม่ได้ความยินดีในที่สงัดนั้น ก็ควรไป อยู่ในหมสู่ งฆใ์ ห้มสี ตริ ักษาตนใหด้ อี ยเู่ สมอ. มิลิน. ๔๕๑ ๑.๖ เหมอื นเมฆกอ้ นมหมึ ากลน่ั ตัวเป็นน�ำ้ ฝน ตกกระหน�ำ่ ลงบนยอดเขาไหล ลงมาเตม็ ซอก เขา ลำ�ธาร เต็มแล้วก็ไหลบ่าออกมาเต็มหนอง เต็มแล้วก็ไหลบ่าออกมาเต็มบึง เต็มแล้วก็ไหลบ่า ออกมาเต็มแม่น้ำ�น้อย เต็มแล้วก็ไหลบ่าออกมาเต็มแม่น้ำ�ใหญ่ เต็มแล้วก็ไหลบ่าออกมาเต็ม www.kalyanamitra.org
227 สมุทรสาคร ฉันใด คุณ ๕ ข้อน้ีคือ ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลากิเลส ความเป็น ผู้เลีย้ งง่าย และการปรารภความเพยี ร ของภิกษนุ นั้ ก็ฉนั นนั้ เหมือนกนั คือ บรบิ ูรณ์แล้วกจ็ ักชว่ ยให้ คุณธรรมเร่ิมตง้ั แตก่ ถาวตั ถุ ๑๐ จนกระทัง่ ถึงอมตพระนพิ พานใหส้ มบูรณ์. ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๗/๒๓๔ ๑.๗ ผู้ใดพึงเป็นผู้มีกิเลสดุจน้ำ�ฝาดอันคายแล้ว ตั้งม่ันดีในศีลท้ังหลาย ประกอบด้วยทมะ และสจั จะ ผู้นน้ั แล ย่อมควรนงุ่ ห่มผ้ากาสาวะ. ขุ.ธ. (โพธ)ิ มก. ๔๐/๑๑๓ ๑.๘ เหมอื นมหาสมุทรตง้ั อย่เู สมอฝงั่ เป็นธรรมดาไม่ล้นฝ่งั ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เหล่าสาวก ของเราก็จะไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทท่ีเราตถาคตบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุแห่ง ชีวิต ฉันนัน้ . ข.ุ อิติ. (พทุ ธ) มก. ๔๕/๑๘ ๑.๙ บุคคลเขลา ไม่รโู้ ดยปกติ ไม่ช่ือว่า เปน็ มนุ ๑ี เพราะความเป็นผู้นงิ่ ส่วนผ้ใู ดเปน็ บณั ฑติ ถือธรรมอันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตาชั่ง เว้นบาปท้ังหลาย ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุน้ัน ผู้ใด รอู้ รรถทัง้ สองในโลก ผูน้ น้ั เรากล่าวว่า เปน็ มนุ ี เพราะเหตุนน้ั . ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๖๖ ๑.๑๐ ปจั จนั ตนครหาอาหาร ๔ ประการ ไดต้ ามปรารถนา ไดโ้ ดยไมย่ าก ไม่ล�ำ บาก ดกู อ่ น ภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด ปัจจันตนครของพระราชาป้องกันไว้ดี ด้วยเคร่ืองป้องกัน ๗ ประการน้ี (เสาระเนยี ด, คูลกึ กวา้ ง, ทางเดินรอบคู, อาวธุ , กองทพั , ทหาร, กำ�แพง) และอาหาร ๔ ประการ ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำ�บาก ในกาลน้ัน เรากล่าวว่า ศัตรูหมู่ปัจจามิตรไม่ทำ� อนั ตรายได้ ดกู อ่ นภกิ ษุท้งั หลาย ฉนั นัน้ เหมอื นกนั แล ในกาลใด อริยสาวกประกอบพรอ้ มดว้ ยสทั ธรรม ๗ ประการ (ศรัทธา หริ ิ โอตตปั ปะ สตุ ตะ ความเพียร สติ ปัญญา) และเปน็ ผมู้ ปี กตไิ ดต้ ามความ ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำ�บาก ซ่ึงฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเคร่ืองอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ในกาลนัน้ เรากลา่ วว่า มารผูม้ บี าปท�ำ อนั ตรายอรยิ สาวกไมไ่ ด้. อัง.สัตกก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๒๒๕ ๑.๑๑ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงแสดงคณุ สมบัตนิ กั รบอาชีพ เปรียบเทียบกบั คณุ สมบตั ขิ อง ภิกษุซึ่งเหมือนกนั ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑ มุน ี นักปราชญ,์ ผ้สู ละเรือนและทรัพย์สมบัตแิ ล้ว www.kalyanamitra.org
228 ๑. ฉลาดในฐานะ คอื มศี ีล ๒. ยิงลกู ศรไกล คือ การพิจารณาเบญจขนั ธ์มีรปู เปน็ ตน้ ตามความเปน็ จริง ๓. ยิงไมพ่ ลาด คือ การรชู้ ดั ทุกข์ เป็นตน้ อันเปน็ หลกั อริยสัจ ๔ ๔. ท�ำ ลายกองขนาดใหญ่ คอื การท�ำ ลายกองอวิชชาใหญ่ได้ แต่มีความหมายต่างกัน คือ คุณสมบัติของนักรบอาชีพมีความหมายในทางโลก แต่ของ ภกิ ษุมคี วามหมายในทางธรรม. อัง.จตกุ ก. (พุทธ) มก. ๓๕/๔๓๘ ๑.๑๒ ธรรมดานาย่อมมีเหมอื ง ชาวนาย่อมไขน�ำ้ ออกจากเหมอื งเขา้ ไปยงั นา เพอื่ หล่อเลีย้ ง ต้นข้าว ฉนั ใด ภกิ ษผุ ู้ปรารภความเพียรกค็ วรมเี หมือง คอื ความสจุ ริตเปน็ ขอ้ วตั รปฏบิ ัติ ฉันนน้ั . มิลิน. ๔๖๒ ๑.๑๓ ธรรมดาน้ำ�ท่ีน่ิงอยู่ไม่ไหว ไม่มีผู้กวน ย่อมบริสุทธ์ิได้ด้วยสภาวะปกติ ฉันใด ภิกษุ ผู้ปรารภความเพียรกค็ วรละการลวงโลก การโออ้ วด การพูดเลียบเคยี งเพอ่ื หาลาภ การพูดเหยยี ด คนอน่ื เพือ่ หาลาภ แต่ควรเป็นผู้มีความประพฤตทิ ีบ่ รสิ ทุ ธิ์ตามสภาวะปกต ิ ฉนั นัน้ . มลิ นิ . ๔๓๖ ๑.๑๔ ธรรมดาดวงอาทติ ย์ยอ่ มท�ำ ใหเ้ กิดความร้อนแกม่ วลมนษุ ย์ ฉนั ใด ภิกษผุ ปู้ รารภความ เพียรก็ควรทำ�ให้โลกน้ี และโลกหน้าร้อนด้วยอาจารคุณ ศีลคุณ วัตรปฏิบัติ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สตปิ ฏั ฐาน สมั มปั ปธาน อทิ ธิบาท. มิลิน. ๔๔๑ ๑.๑๕ ธรรมดาดวงจันทร์ย่อมขึ้นในสุกกปักษ์ คือ ฝ่ายขาว อันได้แก่เดือนข้างข้ึนแล้วย่ิง กลมสว่างมากขึ้น ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรให้เจริญยิ่งๆ ข้ึนในอาจารคุณ ศีลคุณ วัตรปฏิบัติ อาคม อธิคม ความสงัด การสำ�รวมอินทรีย์ การรู้จักประมาณในการบริโภค และ ความเพียร ฉันน้นั . มิลิน. ๔๔๐ ๑.๑๖ ภิกษุเหล่าใดหนักในพระสัทธรรมแล้ว และกำ�ลังหนักในพระสัทธรรมอยู่ ภิกษุเหล่า น้นั ย่อมงอกงามในธรรม ดจุ สมุนไพรได้ปุ๋ย ฉะนนั้ . องั .จตกุ ก. (อรรถ) มก. ๓๕/๑๖๓ ๑.๑๗ องค์ ๓ ของม้าต้นของพระราชา คือ สีงาม กำ�ลังดี มีฝีเท้า เช่นเดียวกับองค์ ๓ ของภกิ ษทุ ีเ่ ปน็ นาบญุ ของโลก ตอ้ งประกอบดว้ ย www.kalyanamitra.org
229 ๑. ภิกษุวรรณะงาม คือ มศี ีล สมาทานในสกิ ขาบท ๒. ภกิ ษุเข้มแข็ง คือ มคี วามเพยี ร ๓. ภกิ ษุมเี ชาว์ คอื รทู้ ว่ั ถงึ ตามความเป็นจริงในอรยิ สจั ๔. อัง.ตกิ . (พทุ ธ) มก. ๓๔/๔๘๕ ๑.๑๘ องค์ ๓ แห่งพ่อคา้ ไดแ้ ก่ ๑. เปน็ ผมู้ ดี วงตา คือ ร้สู นิ คา้ วา่ ควรซือ้ ขายอยา่ งไร มองเห็นตน้ ทนุ หรอื ก�ำ ไร ๒. เปน็ ผู้ฉลาด เข้าใจซอ้ื ขาย ๓. ถึงพร้อมด้วยที่พ่ึงอาศัย คือ รู้จักกันดีกับตระกูลคฤหบดีท่ีเป็นแหล่งเงินทุน ท้ังพึ่งพา อาศยั ได้ ธรรม ๓ แห่งภิกษไุ ดแ้ ก่ ๑. เปน็ ผ้มู ีดวงตา คือ รู้เหน็ อรยิ สจั ๔ ๒. เป็นผมู้ คี วามเพยี ร ๓. ถึงพร้อมด้วยท่ีพ่ึงอาศัย คือ เข้าหาภิกษุผู้เป็นพหูสูต หมั่นไต่ถามปัญหาในธรรมทั้ง หลาย. อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๖๑ ๒. ภกิ ษุกบั การศึกษาธรรม ๒.๑ ภกิ ษุยอ่ มเล่าเรยี นธรรม คอื สตุ ตะ... เวทลั ละ ธรรมเหล่าน้นั เปน็ ธรรมอนั ภิกษนุ นั้ ฟงั เนืองๆ คลอ่ งปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ดว้ ยทิฏฐิ เธอจงมีสตหิ ลงลมื เมอื่ กระท�ำ กาละ ย่อมเขา้ ถึงเทพนิยายหมู่ใดหมู่หน่ึง บทแห่งธรรมท้ังหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพ นัน้ เลย แต่ภกิ ษผุ มู้ ฤี ทธิ์ ถงึ ความช�ำ นาญแห่งจิต แสดงธรรมแก่เทพบรษิ ัท เธอมคี วามปริวติ กอย่าง นี้ว่า ในกาลก่อนเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด น้ีคือธรรมวินัยน้ัน สติบังเกิดข้ึนช้า แต่ว่าสัตว์นั้นยอ่ มบรรลคุ ณุ วิเศษเรว็ พลนั ดกู ่อนภิกษุทง้ั หลาย บุรุษผฉู้ ลาดตอ่ เสียงกลอง เขาเดินทางไกลพึงได้ยินเสยี งกลอง เขาไม่ พึงมคี วามสงสยั หรือเคลือบแคลงวา่ เสียงกลองหรอื ไมใ่ ชห่ นอ ที่แทเ้ ขาพึงถึงความตกลงว่าเสยี ง กลองทเี ดียว ฉนั ใด ภกิ ษุก็ฉนั นั้นเหมอื นกนั ย่อมเล่าเรยี นธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลคุ ุณวเิ ศษโดย เร็วพลนั . อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๔๗๐ www.kalyanamitra.org
230 ๒.๒ นายสารถีฝึกมา้ ผ้ฉู ลาด เปน็ อาจารย์ฝกึ ฝนม้า ขึน้ ส่รู ถอันเทียมมา้ แลว้ ซึ่งมีแสอ้ นั วาง ไว้แล้ว ถือเชือกด้วยมือซ้าย ถือแส้ด้วยมือขวา ขับไปทางข้างหน้าก็ได้ ถอยกลับข้างหลังก็ได้ ในถนนใหญ่ ๔ แยก ซ่ึงมพี ้นื เรยี บดีตามความประสงค์ ฉนั ใด ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุย่อมศึกษาเพ่ือจะรักษา ศึกษาเพ่ือจะสำ�รวม ศึกษาเพ่ือจะฝึกฝน ศึกษาเพื่อจะระงับอินทรีย์ทั้ง ๖ เหล่าน้ี ก็ฉันน้ันเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่า เป็น ผคู้ ้มุ ครองทวารในอนิ ทรียท์ ง้ั หลายเหลา่ นั้นแล. สงั .สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๓๙๕ ๒.๓ ภิกษยุ ่อมเลา่ เรียนธรรม คือ สตุ ตะ... เวทลั ละ ธรรมทง้ั หลาย ยอ่ มไมป่ รากฏแก่เธอผู้ มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลย ทั้งภิกษุผู้มีฤทธ์ิถึงความชำ�นาญแห่งจิต ก็ไม่ได้แสดงธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอผู้มีความสุขอยู่ในภพนี้เลย ท้ังภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำ�นาญแห่งจิต ก็ไม่ได้ แสดงในเทพบรษิ ัท แตเ่ ทพบตุ รยอ่ มแสดงในเทพบรษิ ทั เธอมีความคิดอย่างน้ีว่า ในกาลก่อนเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใดนี้ คือ ธรรมวนิ ัยนัน้ เอง สติบังเกิดขน้ึ ชา้ แตว่ ่าสัตวน์ น้ั ยอ่ มเป็นผูบ้ รรลคุ ณุ วเิ ศษ เรว็ พลัน ดกู ่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย บรุ ุษผูฉ้ ลาดตอ่ เสยี งสงั ข์เขาเดินทางไกล พงึ ไดฟ้ งั เสยี งสงั ข์เขา้ เขาไม่ พงึ มคี วามสงสัยหรือเคลือบแคลงวา่ เสียงสังขห์ รือมใิ ช่หนอ ที่แท้เขาพึงถงึ ความตกลงใจวา่ เสยี ง สังข์ ฉันใด ภกิ ษุกฉ็ นั นัน้ เหมอื นกนั ยอ่ มเลา่ เรียนธรรม ฯลฯ ยอ่ มเป็นผบู้ รรลคุ ุณวิเศษเร็วพลัน. อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๔๗๑ ๓. ภกิ ษุกับปจั จัย ๔ ๓.๑ ภิกษุเห็นแก่ปัจจัย ย่อมสิ้นเดชอับแสงระหว่างบริษัท ๔ คล้ายกับกหาปณะเก๊ และ เถ้าถ่านไฟที่ดับแล้ว ฉะนั้น ส่วนภิกษุผู้มีจิตหวนกลับจากปัจจัยน้ัน เป็นผู้หนักในธรรม ประพฤติ ครอบงำ�อามสิ อยู่เป็นนิตย์ ย่อมมเี ดช (สงา่ ราศ)ี คลา้ ยราชสหี ์ ฉะน้ัน. ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๗/๒๑๙ ๓.๒ ภิกษุนั้นใช้สอยเสนาสนะ ไพรสณฑ์ โคนไม้ ป่า เงื้อมภูเขาที่ตนปรารถนาแล้ว ดุจ ลูกศรพน้ จากสายธนู ดุจช้างซบั มนั หลกี จากโขลง ฉะนน้ั . องั .จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๕๓๑ ๓.๓ สมณพราหมณ์เลีย้ งชพี ด้วยมจิ ฉาอาชีพ เพราะเดรัจฉานวชิ า คือ วิชาดูพนื้ ท่ี เรยี กวา่ กม้ หน้าฉนั www.kalyanamitra.org
231 เลีย้ งชพี ด้วยวิชาดูดาวดูฤกษ์ เรียกวา่ เงยหนา้ ฉัน เลี้ยงชีพด้วยการทำ�หน้าทเี่ ปน็ ตัวแทนและผสู้ อื่ สาร เรยี กว่า มองดูทิศใหญฉ่ นั เล้ียงชพี ด้วยวชิ าดูอวยั วะ เรยี กว่า มองดทู ศิ น้อยฉนั . สัง.ข. (เถระ) มก. ๒๗/๕๕๑ ๔. ภิกษกุ บั สกลุ ๔.๑ มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน เหมือนแมลงภู่ไม่ยังดอก สี และกล่ินให้ชอกชำ้� ถือเอาแต่รส แลว้ บนิ ไป ฉะน้ัน. ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๒ ๔.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้าช่ือวา่ ไม่เล้ยี งผ้อู ่นื เพราะไม่เลย้ี งกเิ ลสเหล่านัน้ เทยี่ วไปตามล�ำ ดับ ตรอก คอื ไมเ่ ทย่ี วแวะเวยี น เขา้ ไปบณิ ฑบาตตามล�ำ ดบั ทงั้ ตระกลู ม่ังค่งั และตระกลู ยากจน มีจิต ไมเ่ ก่ยี วขอ้ งดว้ ยอำ�นาจกเิ ลสในตระกลู ใดตระกูลหนงึ่ เปรยี บเหมอื นพระจนั ทร์ใหม่อยู่เปน็ นติ ย.์ ขุ.จู. (อรรถ) มก. ๖๗/๗๒๓ ๔.๓ ธรรมดานกทงั้ หลายรู้วา่ ถ่ินโน้นมตี น้ ไมส้ กุ มีผลสกุ จึงพากันมาจากทิศต่างๆ เอาเลบ็ ปีก และจะงอยปาก แทง จิก กิน ผลไม้ของต้นไม้น้ัน นกเหล่าน้ันมิได้คิดว่า ผลไม้น้ีสำ�หรับวันน ้ี ผลนี้สำ�หรับพรุ่งน้ี ก็เม่ือผลไม้หมด นกท้ังหลายมิได้วางการป้องกันรักษาต้นไม้ มิได้วางปีก ขน เล็บ หรือจะงอยปากไว้ที่ต้นไม้นั้น ไม่ห่วงใยต้นไม้ต้นน้ัน ปรารถนาจะไปทิศใด ก็มิได้ห่วงใย ต้นไม้ต้นน้ัน ปรารถนาจะไปทิศใด ก็มีภาระ คือ ปีกเท่านั้น บินไปทางทิศน้ัน ภิกษุนี้ก็เหมือนกัน หมดความขอ้ ง หมดความห่วงใย หลกี ไป คือ ถอื เอาเพียงบริขาร ๘ แล้วหลีกไป. องั .จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๕๓๒ ๔.๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโบกพระหัตถ์ในอากาศ แล้วตรัสแก่ภิกษุท้ังหลายว่า ฝ่ามือ น้ีไม่ข้อง ไม่ติด ไม่พัวพันในอากาศ ฉันใด จิตของภิกษุผู้เข้าไปในสกุล ไม่ข้องไม่พัวพัน ฉันนั้น เหมอื นกนั โดยต้ังใจวา่ ผปู้ รารถนาลาภจงไดล้ าภ ผูป้ รารถนาบญุ จงได้บุญ เปน็ ผูพ้ อใจในลาภของ ตน เปน็ ผู้พลอยยนิ ดีในลาภของชนเหลา่ อื่น ภิกษุเหน็ ปานน้ี จึงควรเขา้ สกุล. สงั .นิ. (พทุ ธ) มก. ๒๖/๕๕๐ ๔.๕ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงการเข้าสู่สกุลของภิกษุว่า ควรระวังสำ�รวมให้ดี ต้อง ประเมนิ คณุ ธรรมของตัวเอง ไม่ใช่วา่ เห็นพระเถระทา่ นเขา้ สู่สกุลแลว้ กค็ ดิ ว่า พระเถระเข้าไปได ้ ทำ�ไมเราจะเข้าไปไม่ได้ เหมือนกับลูกช้างเห็นช้างทั้งหลายลงไปกินเหง้าบัวในสระอย่างเอร็ดอร่อย ก็ลงไปกินบ้าง โดยการกระโดดลงไปทำ�ให้นำ้�ขุ่น แล้วก็คว้าเอาส่วนที่กินไม่ได้มากิน ต้องได้รับ ทุกขเวทนา. สงั .น.ิ (พทุ ธ) มก. ๒๖/๗๔๔ www.kalyanamitra.org
232 ๕. ลักษณะของภิกษไุ ม่ดี ๕.๑ ความตรึกท้ังหลายกับความคะนองอย่างเลวทรามเหล่านี้ ได้ครอบงำ�เราผู้ออกบวช เป็นบรรพชิต เหมือนกับบุตรของคนสูงศักดิ์ซึ่งมีธนูมาก ทั้งได้ศึกษาวิชาธนูมาอย่างเช่ียวชาญ ยงิ ธนูมารอบๆ ตัวศัตรูผหู้ ลบหลกี ไม่ทนั ตงั้ พนั ลูก ฉะน้ัน. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๘๔ ๕.๒ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมแล่นเลยไป ไม่ถึงธรรมอันเป็นสาระ ย่อมพอกพูนเครื่อง ผกู ใหม่ๆ ตง้ั มั่นอยใู่ นสง่ิ ทตี่ นเหน็ แล้วฟังแลว้ อยา่ งนี้ เหมอื นฝูงแมลงตกลงสปู่ ระทปี น�ำ้ มัน ฉะนั้น. ข.ุ อ.ุ (พทุ ธ) มก. ๔๔/๖๔๙ ๕.๓ อุปกิเลส (เครื่องมัวหมอง) แห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ๔ อย่างน้ี ซึ่งเป็นเหตุให้ดวง จนั ทร์ ดวงอาทิตย์ ไมส่ ว่างไสวไพโรจน์ คือ เมฆ หมอก ควนั และผงคลี อสุรนิ ทราหู ภิกษทุ ้ังหลาย ฉนั เดยี วกนั นน้ั แล อุปกเิ ลสแห่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายก็มี ๔ ประการ คอื สมณพราหมณ์บางเหล่าด่ืมสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีทองและเงิน เล้ียงชีวิตโดย มิจฉาชวี ะ ภิกษุทงั้ หลาย นแี้ ล อปุ กเิ ลสแห่งสมณพราหมณ์ ๔ ประการ ซง่ึ เปน็ เหตใุ ห้สมณพราหมณ์ ไมง่ ามสง่าสกุ ใสรุง่ เรอื ง. องั .จตุกก. (พทุ ธ) มก. ๓๕/๑๗๔ ๕.๔ ธาตดุ ินยังพระสัทธรรมให้เลอื นหายไปไมไ่ ด้ ธาตุน้ำ� ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ก็ยงั พระสทั ธรรม ให้เลือนหายไปไม่ได้ ท่ีแท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำ�ให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมอื นเรือจะอบั ปางก็เพราะต้นหนเทา่ นน้ั . สัง.น.ิ (พุทธ) มก. ๒๖/๖๓๑ ๕.๕ ภิกษุผู้หนักในความโกรธ และความลบหลู่ท่าน หนักในลาภ และสักการะ ย่อมไม่ งอกงามในพระสทั ธรรม ดจุ พืชท่หี วา่ นในนาเลว ฉะน้ัน. องั .จตุกก. (พทุ ธ) มก. ๓๕/๑๖๓ ๕.๖ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบภิกษุกับผ้าเปลือกไม้ดังนี้ ผ้าเปลือกไม้ไม่ว่าจะใหม่ หรือเกา่ กม็ ีสีทราม เปรยี บไดก้ ับภิกษทุ ุศลี สัมผสั หยาบเปรียบได้กับผลจากการคบหากบั ภิกษนุ นั้ วา่ ก่อให้เกิดทุกข์ ราคาถูก คือ บุคคลถวายทานแก่ภิกษุนั้น จะได้บุญน้อย ผ้าเปลือกไม้เมื่อเก่าแล้ว เขาเอาไปทง้ิ ขยะ คอื เมอื่ กล่าวธรรมใดกไ็ มม่ ีใครฟัง เมอื่ ถกู ว่ากล่าว ภิกษนุ ัน้ ก็โกรธเปน็ เหตใุ หถ้ ูก ลงโทษ คอื หา้ มตดิ ต่อเก่ียวขอ้ งกบั ภกิ ษทุ งั้ หลาย. องั .ตกิ . (พุทธ) มก. ๓๔/๔๘๙ www.kalyanamitra.org
233 ๕.๗ เปรยี บภกิ ษบุ างรปู อยใู่ นบา้ นหรอื อยใู่ นปา่ ถกู บคุ คลกลา่ วทว้ งวา่ ภกิ ษรุ ปู นไ้ี มส่ ะอาด เปน็ หนามของชาวบา้ น เหมอื นกบั บคุ คลทม่ี แี ผลพพุ องทง้ั ตวั เขา้ ไปในปา่ หญา้ คา ถกู ต�ำ ถกู บาดเตม็ ตวั . สัง.สฬา. (พุทธ) มก. ๒๘/๔๙๗ ๕.๘ มหาโจรได้องค์ ๓ นี้ จงึ ตัดชอ่ งยอ่ งเบา ปลน้ สะดม และตชี ิง เมอื่ เทียบกับภิกษชุ ่ัวแล้ว ประกอบดว้ ยองค์ ๓ คอื ๑. อาศัยท่ขี รขุ ระ หมายถงึ ประกอบด้วยกายทุจริต วจที จุ รติ มโนทุจริต ๒. อาศยั ปา่ ชฏั หมายถงึ เปน็ ผ้มู คี วามเหน็ ผิด ประกอบดว้ ยอันตคาหกิ ทฐิ ิ ๓. ได้พง่ึ พงิ ผู้มีอำ�นาจ หมายถึง อาศยั ผูม้ อี ำ�นาจกลบเกลื่อนความชวั่ ของตน ทั้งหมดนี้ได้ชื่อว่า เป็นภิกษุผู้ประกอบด้วยโทษ ผู้รู้ติเตียน และได้ประสบสิ่งท่ีไม่ใช่บุญเป็น อนั มาก. องั .ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๒๑๐ ๖. สมณะผู้หลอกลวง ๖.๑ เปรียบเหมือนหญา้ ชนิดหน่งึ ท่ที ำ�ลายตน้ ข้าว มีเมล็ดเหมือนข้าวลีบ มีเมลด็ เหมอื นขา้ ว ตายรวง พึงเกดิ ข้ึนในนาที่สมบูรณ์ ราก ก้าน ใบของมนั เหมือนกับข้าวท่ดี ีเหล่าอน่ื ตราบเท่าทม่ี นั ยังไม่ออกรวง แต่เมอื่ ใด มันออกรวง เมื่อน้ันจึงทราบกันว่า หญา้ น้ีท�ำ ลายตน้ ข้าว มีเมลด็ เหมอื น ข้าวลบี มีเมล็ดเหมือนข้าวตายรวง คร้ันทราบอย่างนี้แล้ว เขาจึงถอนมันพร้อมทงั้ ราก เอาไปทิ้งให้ พ้นทนี่ า ข้อน้นั เพราะคดิ ว่า หญา้ ชนดิ นี้อย่าทำ�ลายขา้ วที่ดีอืน่ ๆ เลย ฉนั ใด เปรียบเหมือนกองข้าว เปลอื กกองใหญท่ เี่ ขาก�ำ ลงั สาดอย่ใู นขา้ วเปลือกกองนนั้ ข้าวเปลอื กท่ีตัวแกร่ง เปน็ กองอยู่ส่วนหน่งึ ส่วนที่หักลีบ ลมย่อมพัดไปไว้ส่วนหนึ่ง เจ้าของย่อมเอาไม้กวาดวีพัดข้าวท่ีหัก และลีบออกไป ข้อนั้นเพราะเหตุใด เพราะคดิ วา่ มนั อย่าปนขา้ วเปลอื กทีด่ ีอ่นื ๆ เลย ฉันใดฉันนน้ั เหมือนกนั บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ มีการก้าวไป การถอยกลับ เหมือนภิกษุผู้เจริญเหล่าอื่น ตราบเท่าท่ีภิกษุทั้งหลายยังไม่เห็นอาบัติของเขา แต่เม่ือใด ภิกษุทั้งหลายเห็นอาบัติของเขา เมื่อนั้นภิกษุท้ังหลายย่อมรู้จักเขาอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นผู้ประทุษร้ายสมณะ ครั้นรู้อย่างน้ีย่อมนาสนะ (การลงโทษบุคคลผูไ้ ม่สมควรถือเพศ) ออกไปให้พ้น. องั .อัฏฐก. (พุทธ) มก. ๓๗/๓๒๖ ๖.๒ ในปางกอ่ น นกยางตัวหนง่ึ มีรปู เหมอื นแกะ พวกแกะไม่รังเกยี จ เข้าไปยงั ฝงู แกะ ฆา่ แกะท้ังตัวเมียตัวผู้ คร้ันฆ่าแล้ว ก็บินหนีไป สมณพราหมณ์บางพวกก็มีอาการเหมือนอย่างนั้น กระทำ�การปิดบังตัว เที่ยวหลอกลวงพวกมนุษย์ บางพวกประพฤติไม่กินอาหาร บางพวกนอนบน แผ่นดิน บางพวกทำ�กิริยาขัดถูธุลีในตัว บางพวกต้ังความเพียรเดินกระโหย่งเท้า บางพวกงดกิน www.kalyanamitra.org
234 อาหารชั่วคราว บางพวกไม่ดื่มน้ำ� เป็นผู้มีอาจาระเลวทราม เที่ยวพูดอวดว่า เป็นพระอรหันต์ คนเหลา่ นีเ้ ป็นอสตั บรุ ษุ . ข.ุ ชา. (โพธ)ิ มก. ๖๒/๘๑ ๖.๓ หญ้าคาทบ่ี ุคคลจับไม่ดี ยอ่ มบาดมือนั้นเอง ฉันใด คุณเครอ่ื งสมณะท่บี คุ คลลบู คล�ำ ไม่ด ี ยอ่ มคร่าเขาไปในนรก ฉนั นัน้ . ข.ุ ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๑๙๓ ๖.๔ สมณพราหมณ์ท้ังหลายผู้ไม่บริสุทธิ์ ณ ภายใน งามแต่ภายนอก เป็นผู้อันบริวาร ห้อมล้อมไปในโลก เหมือนหม้อนำ้�ทำ�ด้วยดินหุ้มด้วยทองคำ� และเหมือนเหรียญมาสกโลหะชุบ ทองคำ� ฉะนั้น. ขุ.ม. (เถระ) มก. ๖๖/๕๓๕ ๖.๕ เปรียบเหมือนบุคคลต้องการกระบอกตักน้ำ� ถือขวานอันคมเข้าไปในป่า เขาเอาสัน ขวานเคาะต้นไม้นั้นๆ บรรดาต้นไม้เหล่านั้น ต้นไม้ที่แข็ง มีแก่น ซ่ึงถูกเคาะด้วยสันขวานย่อมมี เสียงหนัก ส่วนต้นไม้ท่ีผุใน นำ้�ชุ่ม เกิดยุ่ยข้ึน ถูกเคาะด้วยสันขวาน ย่อมมีเสียงก้อง เขาจึงตัด ต้นไม้ท่ีผุในน้ันที่โคน คร้ันตัดโคนแล้ว จึงตัดปลาย แล้วจึงคว้านข้างในให้เรียบร้อยแล้วทำ�เป็น กระบอกตกั น้ำ� ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลบางคนในธรรมวินัยน้ี มีการก้าวไปการถอย กลบั การแล การเหลียว การคู้ การเหยยี ด การทรงผา้ สังฆาฏิ บาตร และจีวร เหมอื นของภกิ ษุที่ ดีเหล่าอ่ืน ตราบเท่าที่ภิกษุท้ังหลายยังไม่เห็นอาบัติของเขา แต่เม่ือใดภิกษุท้ังหลายเห็นอาบัติของ เขา เม่ือน้ันภิกษุทั้งหลายย่อมรู้จักเขาอย่างนี้ว่า ผู้น้ีเป็นผู้ประทุษร้ายสมณะ เป็นสมณะแกลบ เปน็ สมณะหยากเยอ่ื ครน้ั ร้จู กั อย่างนีแ้ ล้ว ย่อมนาสนะ๑ ออกไปให้พน้ . อัง.อฏั ฐก. (พทุ ธ) มก. ๓๗/๓๒๗ ๖.๖ ลาย่อมติดตามโคไป แม้ร้องว่า ตัวเราก็เป็นโค แต่สี เสียง รอยเท้า ไม่เหมือนโค ฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เดินตามหมู่ภิกษุ ประกาศตนว่า แม้เราก็เป็นภิกษุ แต่เธอไม่มี ความพอใจในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา แต่เดินตามภิกษุไป เท่านัน้ เหมือนกัน. อัง.ตกิ . (พุทธ) มก. ๓๔/๔๔๘ ๑ นาสนะ การลงโทษบคุ คลผูไ้ ม่สมควรถือเพศ www.kalyanamitra.org
235 www.kalyanamitra.org
๓๐ม ง ค ล ที่ สนทนาธรรมตามกาล สีหมฤคราชนนั้ ถา้ แม้จะจับชา้ ง ยอ่ มจบั โดยแม่นย�ำ ไม่พลาด ถ้าจะจบั กระบือ โค เสือเหลือง โดยทีส่ ุด แม้กระตา่ ย และแมว ย่อมจับโดยแม่นยำ�ไม่พลาด ขอ้ น้ันเพราะเหตไุ ร เพราะสหี มฤคราชนน้ั คดิ ว่า ทางหากินของเราอยา่ พินาศเสียเลย สีหะนัน้ เปน็ ช่อื แหง่ ตถาคตอรหันตสมั มาสมั พุทธเจา้ ... ตภาคตยอ่ มแสดงธรรมโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ แม้จะแสดงธรรมแกภ่ ิกษุภกิ ษณุ .ี .. โดยท่ีสุดแมแ้ กข่ อทาน... www.kalyanamitra.org
237 ๑. ผู้แสดงธรรม ๑.๑ เราจกั กล่าวให้แจม่ ชดั ประหนงึ่ ยกพระจนั ทรพ์ ันดวง พระอาทติ ย์พนั ดวงขึน้ ประหน่งึ ตามประทีปน�้ำ มนั พันดวงท่ีสี่มมุ เรือน. ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๓๔๘ ๑.๒ ธรรมดาตะขาบ ย่อมร้องบอกความปลอดภัย และความมีภัยแก่ผู้อ่ืน ฉันใด ภิกษุ ผู้ปรารภความเพียร ก็ควรแสดงธรรม บอกนรก สวรรค์ นิพพานแก่ผอู้ น่ื ฉนั นนั้ . มลิ นิ . ๔๕๒ ๑.๓ ธรรมดาเมฆ คอื กอ้ นน้ำ� เม่ือตกลงมา ก็ท�ำ ให้แม่นำ้� หนอง สระ ซอก หว้ ยระแหง บึง บ่อ เปน็ ตน้ มนี �ำ้ เต็ม ฉนั ใด ภกิ ษผุ ปู้ รารภความเพยี ร เม่อื เมฆ คอื อธิคม (การบรรล)ุ ตกลงมา ด้วยอาคมปริยัติ (การเล่าเรียนพระไตรปิฎก) แล้วควรทำ�ใจของบุคคลทั้งหลายผู้มุ่งต่ออธิคมให้ บริบูรณ์ ฉันนั้น ข้อนสี้ มกบั ค�ำ ของพระสารีบตุ รเถรเจา้ วา่ พระมหามนุ ีทรงเลง็ เห็นผูท้ ่ีควรจะใหร้ ู้ อยูใ่ นทไี่ กล ตง้ั แสนโยชน์ก็ตาม ก็เสด็จไปโปรดให้รู้ทนั ที. มลิ ิน. ๔๕๘ www.kalyanamitra.org
238 ๑.๔ พอพระเจ้ามิลินท์ได้แลเห็นพระนาคเสนแต่ไกลเท่านั้น ก็ทรงสะดุ้งตกพระทัยยิ่งหนัก หนา อุปมาพญาชา้ งถกู หอ้ มล้อมด้วยดาบ และขอ เหมือนกบั นาคถูกครฑุ หอ้ มล้อมไว้ เหมือนสุนัข จ้ิงจอกถูกงูเหลือมล้อมไว้ เหมือนหมีถูกฝูงกระบือป่าห้อมล้อมไว้ เหมือนคนถูกพญานาคไล่ติดตาม เหมอื นหมเู่ นือ้ ถกู เสือเหลอื งไล่ติดตาม เหมอื นงูมาพบหมองู เหมอื นหนูมาพบแมว เหมือนปีศาจมา พบหมอผี เหมือนพระจันทรเทวบุตรตกอยู่ในปากราหู เหมือนนกอยู่ในกรง เหมือนเทพบุตรผู้จะ สิน้ อายุ. มิลิน. ๓๐ ๑.๕ สีหมฤคราชออกจากที่อยู่ในเวลาเย็น แล้วยอ่ มเยอื้ งกายด้วยท่าทางทอ่ี งอาจ สงา่ งาม พรอ้ มท่แี สวงหาอาหาร แลว้ เหลยี วดทู ศิ ทั้งส่โี ดยรอบ บันลอื สีหนาท ๓ ครง้ั แลว้ ออกหากนิ สีหมฤคราชนั้น ถ้าแม้จะจับช้าง ย่อมจับโดยแม่นยำ�ไม่พลาด ถ้าจะจับกระบือ โค เสือ เหลอื ง โดยท่สี ดุ แมก้ ระตา่ ย และแมว ย่อมจับโดยแมน่ ย�ำ ไม่พลาด ขอ้ นัน้ เพราะเหตุไร เพราะสหี มฤคราชนน้ั คิดว่า ทางหากินของเราอย่าพนิ าศเสียเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สีหะนั้นเป็นช่ือแห่งตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ที่ตถาคตแสดง ธรรมแก่บริษัทนี้แล เป็นสีหนาทของตถาคต ตถาคตย่อมแสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ ถ้าแม้จะแสดงธรรมแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปุถุชนทั้งหลาย ย่อมแสดงโดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ โดยที่สุดแม้แก่คนขอทานและพรานนก เพราะตถาคตเป็นผู้หนักในธรรม เคารพในธรรม. องั .ปัญจก. (พุทธ) มก. ๓๖/๒๒๕ ๑.๖ ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว แต่แล้วท่านก็แสดงธรรมแก่สาวกว่า น้ีเพ่ือประโยชน์ของท่าน ทัง้ หลาย นเี้ พ่ือความสุขของทา่ นทง้ั หลาย สาวกของท่านยอ่ มไม่ตง้ั ใจฟัง ไม่เงยี่ หูฟงั ไม่ต้ังจติ เพอื่ รู้ทวั่ ถึงและยอ่ มหลกี เลยี่ งประพฤตินอกค�ำ สอนของศาสดา เหมือนบุรษุ รุกเขา้ ไปหาสตรที ่กี �ำ ลังถอย หลังหนี หรือเหมือนบุรุษท่ีกอดสตรีที่หันหลงั ให้. ท.ี ส.ี (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๐ ๑.๗ ท่านไม่ไดบ้ รรลุแลว้ แตท่ า่ นแสดงธรรมแก่สาวกทง้ั หลายว่า นเ้ี พือ่ ประโยชน์ของทา่ น ท้ังหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของท่านย่อมต้ังใจฟัง ย่อมเง่ียหูฟัง ตั้งจิตเพ่ือ รู้ท่ัวถึง และไม่หลีกเลี่ยงประพฤตินอกคำ�สอนของศาสดา เหมือนบุคคลทิ้งนาของตน แล้วสำ�คัญ นาของผอู้ นื่ วา่ เปน็ ทที่ ตี่ นควรท�ำ ใหด้ ี. ที.ส.ี (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๑ www.kalyanamitra.org
239 ๑.๘ ทา่ นไดบ้ รรลแุ ลว้ จงึ แสดงธรรมแกส่ าวกทง้ั หลายวา่ นเ้ี พอ่ื ประโยชนข์ องทา่ นทง้ั หลายน้ี เพื่อความสุขของทา่ นท้งั หลาย สาวกเหล่านัน้ ยอ่ มไมต่ ้ังใจฟัง ไมเ่ งีย่ หูฟงั ไม่เขา้ ไปต้งั จิต เพ่ือความ รู้ท่ัว และหลีกเล่ียงประพฤตินอกคำ�สอนของศาสดา เหมือนบุคคลตัดเคร่ืองจองจำ�เก่าได้แล้ว สรา้ งเคร่อื งจองจำ�อย่างอ่นื ขึ้นใหม.่ ที.ส.ี (พุทธ) มก. ๑๒/๒๕๐ ๒. การตอบค�ำ ถาม ๒.๑ พระธมั มทนิ นาเถรีไดว้ สิ ัชนาปญั หาทถ่ี ามแลว้ เหมอื นตัดก้านบัวด้วยศัสตราอนั คมกริบ เหมือนปลาอยใู่ นลอบในไซ เหมือนบรุ ษุ ที่ตกเข้าไปในปา่ สัตวร์ า้ ย เหมอื นยักษท์ ำ�ผิดต่อท้าวเวสสุวัณ ฉะนน้ั . ข.ุ เถรี. (อรรถ) มก. ๕๔/๓๒ ๒.๒ เมื่อดำ�รงอยู่ในวิสัยแห่งปัญญาเคร่ืองแตกฉานแก้ปัญหาอยู่ เหมือนรับของที่เขาฝาก เหมือนแก้เงื่อนบว่ งข้างหนง่ึ เหมอื นถางทางขา้ งในทรี่ ก เหมือนแงะกะตบ๊ิ ด้วยปลายดาบ. ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๓๓๘ ๒.๓ เม่ือวิสาขะได้ฟังการแก้สัจจะส่ีน้ีแล้ว ก็ทราบว่าพระเถรียินดี เพราะว่าผู้ที่กระสัน ไม่ยินดีในพระพุทธศาสนานั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาท่ีถามแล้วถามเล่าได้ เหมือนเอาแหนบมา ถอนผมหงอกทลี ะเส้นๆ เหมอื นขนทรายออกจากเชิงเขาสเิ นรุ. ม.ม.ู (อรรถ) มก. ๑๙/๓๓๙ ๒.๔ บุคคลบางคนบันลือสีหนาทแล้ว ไม่อาจที่จะตอบคำ�ซักถามได้ ในการบันลือของตน ทงั้ ทนการเสียดสไี มไ่ ด้ ย่อมเป็นเหมอื นลงิ ท่ตี ิดตงั ฉะนนั้ ถ่านเพลิงที่เผาไหม้สำ�หรับช่างทองใช้เผาโลหะท่ีไม่บริสุทธ์ิ ฉันใด บุคคลน้ันก็เป็นเหมือน ถ่านเพลงิ ที่เผาไหม้ ฉนั นั้น บุคคลบางคนย่อมถูกซักถามในการบันลือสีหนาท ย่อมสามารถที่จะตอบได้ ท้ังทนต่อการ เสยี ดสไี ด้ ย่อมงามยง่ิ เหมอื นทองค�ำ บริสุทธข์ิ องชา่ งทอง ฉะน้ัน. ที.ปา. (พุทธ) มก. ๑๕/๒๑๗ ๒.๕ ขา้ แต่พระนาคเสน พระผูเ้ ป็นเจ้าได้กระทำ�ปญั หาที่โยมถาม ให้มรี สไมร่ ูจ้ กั ตาย ใหเ้ ปน็ ของควรฟังด้วยอุปมาเหตุการณ์หลายอย่าง เหมือนพ่อครัว หรือลูกมือของพ่อครัวผู้ฉลาด ได้เนื้อ มาเพยี งกอ้ นเดียว กต็ กแต่งอาหารได้หลายอย่างถวายแกพ่ ระราชา ฉนั นนั้ . มลิ ิน. ๓๒๗ www.kalyanamitra.org
๓๑ม ง ค ล ที่ บำ�เพ็ญตบะ ผ้ตู ามเห็นอารมณว์ า่ ไมง่ าม สำ�รวมดีในอนิ ทรีย์ทง้ั หลาย รู้ประมาณในโภชนะ มศี รทั ธา และปรารภความเพียรอยู่ ผู้นน้ั แล มารยอ่ มรงั ควานไม่ได้ เปรียบเหมอื นภูเขาหิน ลมรังควานไม่ได้ ฉะน้นั www.kalyanamitra.org
241 ๑. ธรรมชาตขิ องจิต ๑.๑ เมื่อจิตพลัดออกนอกทาง คือ จิตหมนุ ไปในอารมณต์ ่างๆ เพราะเวน้ จากสมาธ.ิ .. ทา่ น เหล่านั้นขาดสมาธิ เป็นเหตุที่อุทธัจจะได้โอกาส เปรียบเหมือนลิงในป่ากระโดดมาตามก่ิงไม้ในป่า ฉะน้ัน. ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๒๙๓ ๑.๒ การได้อารมณ์เหมือนการจับกิ่งไม้ ลิงน้ันเที่ยวไปในป่า ปล่อยก่ิงไม้น้ันๆ แล้วไปจับ กงิ่ ไมอ้ น่ื ๆ ฉันใด แม้จติ น้ีก็ฉนั น้นั . สงั .นิ. (อรรถ) มก. ๒๖/๒๙๘ ๑.๓ กระท่อม คือ ร่างกระดูกน้ี เป็นท่ีอยู่อาศัยของลิงคือจิต เพราะฉะนั้น ลิงคือจิต จึง กระเสอื กกระสนจะออกจากกระทอ่ มทม่ี ีประตู ๕ พยายามว่งิ วนไปมาทางประตูบ่อยๆ. ข.ุ เถร. (อรรถ) มก. ๕๐/๕๑ ๑.๔ จิตนี้ อันภิกษุผู้ปรารภความเพียรยกขึ้นจากอาลัย คือ กามคุณ ๕ แล้วซัดไปใน วิปสั สนากมั มัฏฐานเพอื่ ละบ่วงมาร ย่อมดนิ้ รนดุจปลาอนั พรานเบด็ ยกข้ึนจากน�้ำ แลว้ โยนไปบนบก ดน้ิ รนอยู่ ฉะน้ัน. ข.ุ ธ. (พุทธ) มก. ๔๐/๓๘๗ ๑.๕ จติ นกี้ วดั แกว่งเชน่ วานร หา้ มไดแ้ สนยาก เพราะยงั ไม่ปราศจากความก�ำ หนัด. ข.ุ เถร. (พุทธ) มก. ๕๓/๓๙๙ www.kalyanamitra.org
242 ๒. การฝึกจติ ๒.๑ ไม้จันทน์ บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ารุกขชาติทุกชนิด เพราะเป็นของอ่อน และควรแก่ การงาน ฉนั ใด เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อยา่ งหนง่ึ ทอ่ี บรมแล้ว กระทำ�ใหม้ ากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติ ออ่ น และควรแก่การงานเหมือนจติ จิตท่ีอบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอ่อน และควรแก่การงาน ฉันนั้น เหมอื นกัน. อัง.เอกก. (พทุ ธ) มก. ๓๒/๙๕ ๒.๒ เราจักระวังจิตน้ันไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์กักช้างไว้ที่ประตูนคร ฉะนั้น เราจักไม่ ประกอบจติ ไวใ้ นธรรมอนั ลามก จักไม่ยอมใหจ้ ติ ตกลงไปสขู่ ่ายแหง่ กามอนั เกดิ ในร่างกาย เจา้ ถกู เรา กกั ไว้แลว้ จักไปตามชอบใจไมไ่ ด.้ ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘ ๒.๓ ดูก่อนจิตผู้ช่ัวช้า บัดนี้เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเท่ียวไปเนืองๆ ดังก่อนมิได้ นายควาญช้างมีกำ�ลงั แขง็ แรง ยอ่ มบงั คบั ช้างที่จับได้ใหม่ ยังไม่ไดฝ้ กึ ให้อยู่ในอ�ำ นาจด้วยขอ ฉนั ใด เราจักบงั คับเจา้ ให้อยูใ่ นอำ�นาจ ฉันนัน้ . ข.ุ เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘ ๒.๔ นายสารถีผู้ฉลาดในการฝึกมา้ ใหด้ เี ปน็ ผู้ประเสริฐ ย่อมฝกึ ม้าให้รอบรไู้ ด้ ฉันใด เราฝึก เจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ ๕ (ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา) ฉะนั้น จักผูกเจ้าด้วยสติ จักฝึกจับ บงั คับเจ้าให้ท�ำ ธรุ ะดว้ ยความเพียร เจา้ จักไม่ได้ไปไกลจากอารมณภ์ ายในน.ี้ ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘ ๒.๕ เม่ือก่อน จิตน้ีได้เที่ยวจาริกไปตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ที่ใคร่ และตาม ความสบาย วันน้ี เราจักข่มมันดว้ ยโยนิโสมนสกิ าร ประหนึง่ นายควาญชา้ ง ข่มชา้ งทซ่ี บั มนั ฉะนน้ั . ขุ.ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๓/๒๒๔ ๒.๖ ชนผู้มีปัญญา ย่อมทำ�จิตท่ีด้ินรน กลับกลอก อันบุคคลรักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก ให้ ตรงดจุ ช่างศรดดั ลกู ศรใหต้ รง ฉะนัน้ . ข.ุ ธ. (พทุ ธ) มก. ๔๐/๓๘๗ ๒.๗ เปรยี บเหมือนบุรุษมกี �ำ ลัง พงึ จบั บรุ ษุ อันถอยก�ำ ลงั กวา่ ท่ีศรี ษะ หรอื ที่คอ แลว้ จบั บีบ ไวแ้ นน่ ใหร้ ้อนจดั ฉนั ใด อคั คเิ วสสนะ เมื่อเราแล กำ�ลงั ขบฟันไวด้ ว้ ยฟัน กดเพดานไว้ด้วยล้ิน ข่มจิต ไวก้ บั จิต บีบไวแ้ น่น ให้ร้อนจัดอยู่ เหงอ่ื ก็ไหลจากรักแร้ ฉนั น้ันเหมือนกนั . ม.ม.ู (พทุ ธ) มก. ๑๙/๑๒๐ www.kalyanamitra.org
243 ๒.๘ ฝนย่อมรั่วรดเรือนท่ีมุงไม่ดีได้ ฉันใด ราคะย่อมเสียดแทงจิตท่ีไม่ได้อบรมแล้วได้ ฉันน้ัน ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ ฉันใด ราคะก็ย่อมเสียดแทงจิตท่ีอบรมดีแล้วไม่ได้ ฉันนน้ั . ข.ุ ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๓ ๒.๙ ดกู อ่ นจติ แตก่ ่อนท่านเคยแนะน�ำ เราว่า จงสำ�รวมระวังเมือ่ เวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตาม ระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้องในตระกูล และกามารมณ์ท้ังหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เวน้ จากโทษ ฉะน้นั . ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๐๑ ๒.๑๐ ทา่ นท้ังหลาย จงยนิ ดีในความไมป่ ระมาท จงตามรกั ษาจติ ของตน จงถอนตนขึ้นจาก หลม่ ประหนง่ึ ชา้ งท่จี มลงในเปอื กตม ถอนตนข้นึ ได้ ฉะนนั้ . ข.ุ ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๒๕๓ ๓. ความสำ�รวมอนิ ทรีย์ ๓.๑ ผตู้ ามเหน็ อารมณว์ า่ ไมง่ าม ส�ำ รวมดใี นอนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย รปู้ ระมาณในโภชนะ มศี รทั ธา และปรารภความเพยี รอยู่ ผนู้ น้ั แล มารยอ่ มรงั ควานไมไ่ ด้ เปรยี บเหมอื นภเู ขาหนิ ลมรงั ควานไมไ่ ด้ ฉะนน้ั . ข.ุ ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๒ ๓.๒ อินทรีย์ท้ังหลายของภิกษุใดถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอันนายสารถีฝึกดีแล้วฉะนั้น แม้เหลา่ เทพเจ้ายอ่ มกระหยิม่ ต่อภกิ ษุน้นั ผ้มู ีมานะอนั ละแล้ว ผู้หาอาสวะมิได้ ผู้คงที.่ ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓๘๒ ๓.๓ บรุ ษุ พึงเขา้ ไปส่ปู ่าท่มี หี นามมาก ข้างหน้าบุรุษน้นั กม็ ีหนาม ข้างหลงั กม็ ีหนาม ข้างซา้ ย ก็มีหนาม ข้างขวาก็มีหนาม ข้างล่างก็มีหนาม ข้างบนก็มีหนาม บุรุษนั้นมีสติก้าวเข้าไปข้างหน้า ถอยกลับขา้ งหลงั ด้วยคดิ ว่า หนามอยา่ แทงเรา แม้ฉันใด ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย ธรรมคอื ปยิ รูป และสาตรปู ในโลกนี้ เรากล่าวว่าเป็นหนามในวนิ ัยของ พระอริยเจา้ ฉันน้นั เหมอื นกนั แล. สงั .สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๔๕๕ ๓.๔ ธรรมดาช้างย่อมมองตรงไปข้างหน้า ไม่หันซ้ายแลขวา ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภ ความเพยี รกไ็ ม่ควรเหลยี วดทู ิศโนน้ ทิศน้ี ไมแ่ หงนหรือกม้ ควรดูเพยี งช่วั ระยะแอก ฉันนัน้ . มลิ นิ . ๔๔๘ www.kalyanamitra.org
244 ๓.๕ กุลบุตรผูต้ อ้ งการศกึ ษาบ�ำ เพ็ญเพียร ถึงความส�ำ รวมในทวารท้ังสองเหลา่ นี้ (โสตทวาร และกายทวาร) จักทำ�ที่สุดแห่งชาติ ชรา มรณะได้ฉับพลันทีเดียว เปรียบเหมือนบุรุษเจ้าของนา ถอื จอบเที่ยวเดินส�ำ รวจนา ไมเ่ สริมกอ้ นดินในทหี่ นง่ึ เอาจอบฟนั ดินเฉพาะในทบ่ี กพรอ่ ง เพม่ิ ดนิ ในที่ มีหญา้ . ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๕๔๐ ๓.๖ ภิกษุทง้ั หลายในที่ประชุมน้ัน ตง้ั จติ มนั่ แล้ว ได้ทำ�จิตของตนให้ตรงแล้ว ภกิ ษุทัง้ ปวงน้ัน เปน็ บัณฑิต ย่อมรกั ษาอินทรยี ์ทง้ั หลาย ดุจดงั วา่ นายสารถีถอื บังเหยี น ฉะนั้น. สงั .ส. (ทว่ั ไป) มก. ๒๔/๒๐๑ ๓.๗ บคุ คลผูม้ กี �ำ ลงั เมื่อผา่ ไม้ ย่อมตอกลม่ิ ดว้ ยลมิ่ ฉนั ใด ภกิ ษุผู้ฉลาดย่อมกำ�จดั อนิ ทรีย์ ดว้ ยอินทรยี ์ ฉนั น้ัน. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๒๐ ๓.๘ ธรรมดากาย่อมระแวงสงสยั เสมอ ยอ่ มขวนขวายอยเู่ สมอ ฉันใด ภกิ ษุผู้ปรารภความ เพียรก็ฉนั นั้น ย่อมมีความระมดั ระวังอยเู่ สมอ ส�ำ รวมอินทรียอ์ ยเู่ สมอ. มลิ ิน. ๔๒๘ ๓.๙ ธรรมดาไกถ่ ึงมตี าก็เหมอื นตาบอดในเวลากลางคืน ฉันใด ภกิ ษุผ้ปู รารภความเพียรถึง ตาไม่บอดกค็ วรทำ�เปน็ เหมอื นคนตาบอด ฉนั น้ัน ทั้งในเวลาอยู่ในป่าหรือเทีย่ วออกบณิ ฑบาตในบา้ น ภิกษุผู้ปรารภความเพียรควรเป็นเหมือนคนตาบอด คนหูหนวก คนใบ้ ต่อรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ... มิลนิ . ๔๒๔ ๓.๑๐ ธรรมดานางนกเงือกยอ่ มให้ผวั อยเู่ ล้ยี งลกู ในโพรงดว้ ยความหึง ฉนั ใด ภกิ ษผุ ปู้ รารภ ความเพียรเมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจตน ก็ควรเอาใจของตนใส่ลงในโพรง คือ การสำ�รวมโดยชอบ เพอ่ื กั้นกางกิเลส แล้วอบรมกายคตาสติไวโ้ ดยมโนทวาร. มลิ นิ . ๔๕๑ ๓.๑๑ ธรรมดาเต่าเมอื่ เทยี่ วไป ถา้ ได้เหน็ สิ่งหนง่ึ สิ่งใด หรือได้ยินเสียงอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ก็ หดตีนหดหัวเข้าอยู่ในกระดองน่งิ อยู่ เพอื่ รกั ษาตัวเอง ฉันใด ภกิ ษุผ้ปู รารภความเพียรกฉ็ ันนนั้ คือ เม่ืออารมณ์อันน่ารักใคร่ภายนอกมาปรากฏ ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ปิดประตูระวัง สำ�รวมใจไว้ ข้างใน มีสติสัมปชัญญะ รกั ษาสมณธรรมอยู่ ข้อนี้สมกบั ค�ำ ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าว่า เต่ายอ่ มซ่อนอวยั วะท้งั ๕ ไว้ในกระดองของตน ฉนั ใด พระภกิ ษกุ ็ควรตัง้ มโนวติ กไวใ้ หด้ ี ไมอ่ ิงอาศัยอะไร ไมเ่ บียดเบียนผ้อู ่ืน ไมต่ ิเตียนใคร ฉนั น้นั . มิลิน. ๔๒๗ www.kalyanamitra.org
245 ๓.๑๒ กฏู าคารศาลา หรอื สนั ถาคารศาลามีดินหนา มีเครื่องฉาบทาอนั เปียก ถงึ แม้บุรุษจะ เอาคบหญ้าที่ติดไฟโชนแล้วเข้าไปจุดเรือนน้ันทางทิศตะวันออก ไฟก็ไม่ได้ช่อง ไม่ได้ปัจจัย ถึงแม้ บุรุษจะเอาคบหญ้าที่ติดไฟโชนแล้วเข้าไปจุดเรือนน้ันทางทิศตะวันตก ทางทิศเหนือ ทางทิศใต้ ทางเบอ้ื งหลงั ทางเบอื้ งบน ถงึ แมโ้ ดยทางไหนๆ ไฟกไ็ ม่ได้ชอ่ ง ไมไ่ ดป้ จั จยั ฉันใด ดกู ่อนท่านผู้มอี ายทุ ัง้ หลาย ภกิ ษุผู้มีปกติอย่อู ย่างนี้ กฉ็ ันนนั้ เหมอื นกันแล ถงึ แมม้ ารจะเขา้ มาหาภกิ ษุนนั้ ทางตา มารกไ็ มไ่ ดช้ ่องไดป้ จั จัย ถึงแม้มารจะเข้ามาหาภกิ ษุนน้ั ทางหู ฯลฯ ถงึ แมม้ าร จะเข้ามาหาภกิ ษนุ ้ันทางใจ มารกไ็ ม่ได้ช่องไมไ่ ด้ปัจจัย. ขุ.จู. (เถระ) มก. ๖๗/๖๐๒ ๓.๑๓ เปรยี บเทยี บบุรษุ จบั สัตว์ ๖ ชนดิ ซง่ึ มอี ารมณ์ต่างกนั มที หี่ ากนิ ต่างกนั แลว้ ผูกด้วย เชอื กทีเ่ หนยี ว คือ จับงู จระเข้ นก สนุ ขั บ้าน สุนัขจง้ิ จอก ลงิ แลว้ ผูกด้วยเชอื กทเ่ี หนียว ครั้นแลว้ พงึ ขมวดปมรวมกันไว้ตรงกลางปล่อยไป ภกิ ษทุ ั้งหลาย ท่นี ้นั แล สัตว์ ๖ ชนดิ ซงึ่ มอี ารมณ์ต่างกนั มที ีห่ ากินตา่ งกันเหล่านัน้ พึงดงึ กนั และกนั เข้าหาเหย่ือ และอารมณข์ องตนๆ งูพงึ ดงึ มาดว้ ยคดิ ว่า เราจักเข้าไปสจู่ อมปลวก จระเข้พงึ ดงึ มาดว้ ยคิดว่า เราจกั ลงน้�ำ นกพงึ ดงึ มาด้วยคดิ ว่า เราจกั บนิ ข้ึนสู่อากาศ สนุ ัขบ้านพึงดงึ มาด้วยคิดวา่ เราจกั เข้าบ้าน สุนัขจ้ิงจอกพึงดงึ มาดว้ ยคดิ ว่า เราจักไปสู่ป่าช้า ลิงพงึ ดึงมาด้วยคิดว่า เราจักไปสปู่ า่ เมือ่ ใดแล สัตว์ ๖ ชนิดเหล่านัน้ ต่างก็จะไปตามวิสยั ของตนๆ พงึ ล�ำ บาก เมอ่ื นัน้ บรรดา สัตว์เหล่านั้น สัตว์ใดมีกำ�ลังมากกว่าสัตว์ท้ังหลาย สัตว์เหล่าน้ันพึงอนุวัตรคล้อยตามไปสู่อำ�นาจ แหง่ สัตว์นนั้ แม้ฉนั ใด ภิกษรุ ปู ใดรปู หนึ่งไม่ไดอ้ บรม ไม่กระทำ�ให้มากซ่งึ กายคตาสติ กฉ็ นั น้นั เหมือนกนั จกั ษุจะฉดุ ภิกษุรูปน้ันไปในรูปอันเป็นท่ีพอใจ รูปอันไม่เป็นท่ีพอใจ จะเป็นของปฏิกูล ฯลฯ ใจจะฉุดไปใน ธรรมารมณ์อนั เป็นทพี่ อใจ ธรรมารมณ์อันไมเ่ ปน็ ทพี่ อใจ จะเป็นของปฏิกลู อสงั วรเป็นอยา่ งน้แี ล... เม่ือใดแล สัตว์ ๖ ชนิดเหล่าน้ันต่างก็จะไปตามวิสัยของตนๆ พึงล�ำ บาก เม่ือน้ันสัตว์เหล่า นัน้ พึงยืนพงิ นง่ั พงิ นอนพิงหลัก หรือเสานนั้ เอง แม้ฉนั ใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปใดรูปหน่ึงอบรม กระทำ�ให้มากซ่ึงกายคตาสติ ก็ฉันนั้นเหมือน กัน จักษุย่อมไม่ฉดุ ภิกษุนนั้ ไปในรูปอันเปน็ ท่พี อใจ รปู อันไม่เปน็ ทพ่ี อใจ ยอ่ มไม่เปน็ ของปฏกิ ูล ฯลฯ ใจยอ่ มไม่ฉดุ ไปในธรรมารมณอ์ นั เปน็ ท่ีพอใจ ธรรมารมณอ์ ันไมเ่ ปน็ ท่พี อใจ ยอ่ มไม่เปน็ ของปฏกิ ลู ดูก่อนภิกษุทัง้ หลาย สงั วรเปน็ อยา่ งน้ีแล. สัง.สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๔๙๘ www.kalyanamitra.org
246 ๔. โทษของการไม่สำ�รวมอินทรีย์ ๔.๑ การสมาทานวัตรทง้ั หมด ย่อมเป็นโมฆะส�ำ หรับผู้ไม่ส�ำ รวมทวาร... เหมือนทรัพย์เครอื่ ง ปลื้มใจทบ่ี ุรุษได้ในความฝัน... ย่อมวา่ งเปลา่ คร้ันตน่ื ขึ้นมาแลว้ ก็ไม่เห็นอะไร เป็นโมฆะเปล่าๆ. สงั .สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๒๕๑ ๔.๒ ผู้ตามเป็นอารมณ์ว่างาม ไม่สำ�รวมอินทรีย์ท้ังหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ เกียจครา้ น มีความเพยี รเลวทรามอยู่ มารยอ่ มรงั ควานได้ เปรียบเหมือนตน้ ไมท้ ม่ี กี �ำ ลังไม่แข็งแรง ลมรงั ควานได้ ฉะน้ัน. ข.ุ ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๒ ๔.๓ เรอื นไมอ้ ้อกด็ ี เรอื นหญ้ากด็ ี ท่ีแห้งเกราะ เขาทำ�ไวภ้ ายนอกกาลฝน ถา้ บรุ ษุ มคี บหญา้ ลุกโชน พึงเข้าไปใกล้เรือนไม้อ้อ หรือเรือนหญ้านั้นทางทิศบูรพา ไฟพึงได้ช่องได้เหตุ ถ้าบุรุษมีคบ หญ้าลุกโชนพึงเข้าไปใกล้เรือนไม้อ้อ หรือเรือนหญ้าน้ันทางทิศปัจจิม ในทิศอุดร ในทิศทักษิณ ทิศ เบื้องตำ่� ทิศเบื้องบน ไฟพึงไดช้ ่องได้เหตุ ถา้ แมว้ า่ บุรษุ น้ันมคี บหญ้าลุกโชน พงึ เข้าไปใกล้เรือนไม้ออ้ หรอื เรอื นหญ้าน้ันแตท่ ศิ ใดทศิ หนึ่ง ไฟพึงได้ช่อง แมฉ้ นั ใด ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ถ้าแม้ว่ามารเข้าไปหาภิกษุนั้น ผู้มีปกติอยู่อย่างนั้นทางจักษุ ทางหู ทางจมกู ทางกาย ทางใจ มารพงึ ได้ชอ่ งได้เหตุ ฉันนั้น. สงั .สฬา. (เถระ) มก. ๒๘/๔๓๕ ๔.๔ พรานเบ็ดหย่อนเบ็ดท่ีมีเหยื่อลงในห้วงนำ้�ลึก ปลาท่ีเห็นแก่เหยื่อตัวหน่ึง กลืนกินเบ็ด นั้น ปลานัน้ ชอ่ื ว่า กลนื กนิ เบด็ ของนายพรานเบด็ ถึงความวิบัติ ถงึ ความพินาศ พรานเบ็ดพงึ กระท�ำ ไดต้ ามใจชอบ ฉนั ใด ในโลกนีม้ เี บ็ดอยู่ ๖ ชนิดเหลา่ นี้ ส�ำ หรบั น�ำ สตั วท์ ้งั หลายไป สำ�หรับฆา่ สัตว์ทัง้ หลายเสีย กฉ็ ันนั้นเหมอื นกัน. สงั .สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๓๔๒ ๔.๕ ดูกอ่ นภิกษุทัง้ หลาย ตน้ โพธิ์ ตน้ ไทร ตน้ กร่าง หรือตน้ มะเดื่อ เป็นตน้ ไม้มียาง ขนาด เขอ่ื ง ขนาดรุ่น ขนาดเล็ก บรุ ษุ เอาขวานอนั คมสับต้นไม้นัน้ ตรงทไ่ี รๆ ยางพึงไหลออกหรอื ภกิ ษทุ ั้งหลายกราบทลู วา่ อยา่ งนนั้ พระเจ้าข้า พ. ขอ้ นนั้ เพราะอะไร ภิ. เพราะยางมีอยู่ พระเจา้ ข้า พ. ข้อน้ันฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุ หรือภิกษุณีรูปใดรูปหน่ึง มีอยู่ในรูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ละราคะ โทสะ www.kalyanamitra.org
247 โมหะน้นั แลว้ ถา้ แมร้ ูปอนั จกั ขวุ ญิ ญาณพงึ รู้แจง้ ซง่ึ มปี ระมาณน้อย มาปรากฏในจักษขุ องภิกษุหรอื ภิกษุณนี ัน้ กย็ ังครอบงำ�จิตของภิกษุหรือภกิ ษณุ นี ้ันได้. สัง.สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๓๔๕ ๔.๖ อินทรีย์ท้ังหลายอันถูกกระทบแล้ว ย่อมเป็นเหมือนกระจกอันเขาตั้งไว้ในทางใหญ่ ๔ แพรง่ ยอ่ มเปื้อนดว้ ยธลุ ีเกิดแตล่ มเปน็ ต้น ฉะน้นั . สงั .สฬา. (อรรถ) มก. ๒๙/๑๕๔ ๔.๗ แม่เนอ้ื ยงั มลี กู เลก็ ... ย่อมเสวยทุกข์ในป่า เพราะตัดความสเิ นหาในลูกไมข่ าด ไดแ้ ก่ไม่ ล่วงพ้นความทุกข์ ฉันใด แม้ภิกษุน้ีก็ฉันน้ัน เม่ืออยู่อย่างผู้ไม่สำ�รวมอินทรีย์ เพราะตัดกิเลสเคร่ือง เกี่ยวขอ้ งไม่ได้ ช่ือว่า ยอ่ มไมล่ ่วงพ้นทุกขใ์ นวฏั ฏะ. ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๔๙๔ ๔.๘ ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต... ย่อมไม่ยังความสำ�รวมให้ถึงพร้อม เหมือนนายโคบาลผไู้ ม่ฉลาดนนั้ ไม่ปิดแผล ฉะนน้ั . องั .ทสก. (อรรถ) มก. ๓๘/๕๗๙ ๔.๙ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงเปรยี บ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ที่แลน่ ไปหา รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทน่ี ่าใคร่ และไมน่ า่ ใครด่ ้วยใจ สดุ แทแ้ ตท่ างใดจะมีก�ำ ลังมากกวา่ ทำ�ให้ ใจแกวง่ ไปทางน้นั เหมือนคนผกู สัตว์ ๖ ชนดิ คอื งู จระเข้ นก สนุ ัขบ้าน สุนัขจง้ิ จอก ลงิ แลว้ เอา ปลายเชอื กทงั้ หก มาผูกรวมกนั สตั วต์ วั ใดมกี �ำ ลงั มากกว่า กจ็ ะดงึ สตั ว์ทั้งหลายไปในทางนนั้ ภกิ ษุท่ี ไมอ่ บรมกายคตาสติ ใจย่อมถกู ดึงไปในทางอายตนะน้ันๆ ชือ่ วา่ อสงั วร. สัง.สฬา. (พทุ ธ) มก. ๒๘/๔๙๗ ๕. ธดุ งค์คุณ ๕.๑ คฤหัสถ์ที่บรรลุนิพพานเพราะเคยบำ�เพ็ญธุดงค์คุณมาในอดีต เปรียบเหมือนพวกนาย ขมังธนูที่ฝึกวิชาธนูไว้จนชำ�นาญ ครั้นเข้าพระราชฐานก็ยิงถวายพระราชาอย่างแม่นยำ� เหมือน แพทยท์ เี่ รียนมาจนชำ�นาญสามารถรักษาโรคไดด้ ี ฉนั นน้ั . มลิ นิ . ๔๑๒ ๕.๒ การสำ�เร็จธรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ท่ีไม่เคยบำ�เพ็ญธุดงค์คุณ เหมือนการไม่งอกแห่งพืชท่ีไม่ รดน�้ำ เหมอื นการไปสู่สุคติย่อมไม่มีแก่ผูไ้ ม่ได้ท�ำ กุศลไว้. มลิ ิน. ๔๑๒ www.kalyanamitra.org
248 ๕.๓ ธุดงค์คุณเปรียบเหมือนนำ้� เพราะเป็นที่ต้ังแห่งผู้มุ่งความบริสุทธ์ิ เปรียบเหมือนไฟ เพราะเป็นเครื่องเผากิเลสท้ังปวง เปรียบเหมือนยาแก้พิษงู เพราะเป็นเครื่องแก้กิเลส เปรียบ เหมือนนา เพราะเป็นที่งอกขึ้นแห่งคุณของสมณะท้ังปวง เปรียบเหมือนแก้วมณี เพราะเป็นที่ให้ สำ�เร็จตามความปรารถนา เปรียบเหมือนเรือเพราะเป็นท่ีเครื่องนำ�ข้ามฟากสงสารได้ เปรียบ เหมือนดอกปทุม เพราะเป็นที่ไม่แปดเป้ือนกิเลส เปรียบเหมือนของหอม เพราะเป็นที่กำ�จัดกล่ิน เหม็นๆ ฯลฯ. มิลนิ . ๔๑๒ www.kalyanamitra.org
249 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370