Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_39

tripitaka_39

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:40

Description: tripitaka_39

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 1 พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ที่ ๑ขอนอบนอ มแดพ ระผูมพี ระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคน ั้น สรณคมนใ นขทุ ทกปาฐะ วา ดวยการถึงพระรัตนตรัย [๑] ขาพเจาถงึ พระพุทธเจา เปนสรณะ ขา พเจาถึง พระธรรมเปนสรณะ ขา พเจา ถงึ พระสงฆเปน สรณะ. แมค รั้งที่ ๒ ขาพเจาถงึ พระพุทธเจาเปนสรณะ แมครั้งที่ ๒ ขา พเจาถงึ พระธรรมเปนสรณะ แมคร้ังท่ี ๒ ขาพเจาถึงพระสงฆเปนสรณะ. แมค ร้ังที่๓ ขาพเจาถึงพระพทุ ธเจาเปนสรณะ แมค รง้ั ที่ ๓ ขา พเจาถงึ พระธรรมเปนสรณะ แมค รงั้ ที่ ๒ ขา พเจา ถงึ พระสงฆเปน สรณะ. จบสรณคมน

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 2 ปรมตั ถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ ขอ นอบนอ มแดพ ระผูมพี ระภาคอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา พระองคน ้นั คาํ ปรารภพระคัมภีร นเิ ทศนี้วา ขา พเจา ถึงพระพทุ ธเจาเปนสรณะ ขาพเจาถงึ พระธรรมเปน สรณะ ขา พเจาถึงพระสงฆเ ปน สรณะ แมวาระที่ ๒ ที่ ๓ ก็เหมือนกนั เปนนิเทศอธิบายเรอื่ งการถึงพระสรณตรยั เปน ขอตนของคัมภรี ขุททกปาฐะ. บดั นี้ เพ่อื เปด เผย จําแนก ทาํ ใหง ายซ้ึงเนื้อความแหงบาลีน้ี ขา พเจาจะกลาวอธิบายขอ นี้ ดว ยอรรถกถาขุททกปาฐะ ชอื่ วาปรมัตถโชติกา ขาพเจาไหวพ ระรตั นตรยั ทีส่ งู สดุ แหงวตั ถุ ท้ังหลายทคี่ วรไหวแ ลว จักทาํ การพรรณนาความแหง ขทุ ทกปาฐะ การพรรณนาน้อี นั ขา พเจา ผูรพู ระศาสนา นอ ยทําไดยากยิง่ เพราะขทุ ทกปาฐะ มีอรรถลึกซ้ึงกจ็ ริง อยู ถงึ อยา งน้ัน เพราะเหตุทีข่ อวินจิ ฉัยของทา นบรุ พา- จารยย งั มอี ยเู ปนนติ ยถึงวันนี้ และนวังคสัตถุศาสนย งั ดาํ รงอยอู ยา งเดมิ ฉะน้ัน ขาพเจา จะอาศัยนวงั คสตั ถุ-

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 3 ศาสนและขอ วินจิ ฉยั ของบุรพาจารยน้จี ึงปรารถนาจะ พรรณนาความดว ยความเคารพอยางมา ในพระสัทธ- ธรรม ไมไดประสงคจะยกตนขม ทา น ขอทานทัง้ หลาย จงต้ังใจ สดับการพรรณนาความนนั้ เทอญ. การกาํ หนดขุททกปาฐะ เพราะขา พเจา กลา วไวใ นคําปรารภน้ันวา จกั ทาํ การพรรณนาความแหงขทุ ทกปาฐะ บางปาฐะ. ขา พเจาจําตองกําหนดขุททกปาฐะทง้ั หลายเสียกอ นแลว จึงจักทําการพรรณนาความภายหลงั เอกเทศสว น ๆ หน่ึงของขทุ ทกนกิ ายช่ือวา ขทุ ทกะ. เอกเทศสวนหน่งึ ๆ ของนกิ ายทัง้ ๕ ชื่อ ขทุ ทกนกิ าย วาโดยธรรมและโดยอรรถ คัมภรี เหลาน้นั มี ๕ นิกาย คอื ทีฆนกิ าย มชั ฌมิ นิกาย สัง.-ยตุ ตนกิ าย องั คตุ ตรนิกาย และขทุ ทกนกิ าย ชอ่ื วา นกิ าย ๕. บรรดานกิ ายทั้ง ๕ นนั้ พระสตู ร ๓๔ สตู ร มพี รหมชาลสูตรเปนตนช่อื วา ทีฆนกิ าย จรงิ ดังที่ทานกลา ววา นิกายท่ีรวบรวมพระสตู ร ๓๔ สตู ร ๓ วรรค ชอ่ื วา ทฆี นกิ ายอนุโลมท่ี ๑. พระสตู ร ๑๕๒ สตู ร มีมูลปริยายสตู รเปน ตน ชอ่ื วา มชั ฌมิ นกิ าย. พระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสตู รเปน ตน ช่อื วา สังยุตตนิกาย. พระสตู ร ๙,๕๕๗ สตู รมจี ติ ตปริยาทานสตู รเปน ตน ชือ่ วา องั คุตตร-นกิ าย. ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิตวิ ุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวตั ถุเปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิทเทส ปฏสิ มั ภิทา อปทาน พทุ ธ-วงศ จรยิ าปฎก พระพุทธพจนทีเ่ หลือเวน วนิ ัยปฎกและอภิธรรมปฎ ก หรอืนิกาย ๔ ช่ือวา ขุททกนกิ าย.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 4เหตุไร นกิ ายนี้ ทานจงึ เรียกวา ขุททกนกิ าย เหตุเปน ทีร่ วมเปนทอี่ ยขู องหมวดธรรมเลก็ ๆ จาํ นวนมาก. จรงิ อยู การรวมกนั อยู ทา นเรียกวา นิกาย วาโดยศาสนาและโดยโลก ในขอ น้ี มสี าธกเปน ตนอยางนี้คือ ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลายเราตถาคตมองไมเหน็ หมูส ตั วห มหู นึ่งอ่นื วจิ ติ รเหมือนอยา งหมสู ตั วเดยี รฉานเลย. หมูกษตั รยิ โ ปณกิ ะ หมกู ษตั รยิ จ ิกขัลลกิ า. เอกเทศสวนหนง่ึ ของขุททกนกิ ายน้ัน มีดงั นี้ หมวดธรรมเลก็ ๆ ท่ีนับเน่ืองในพระ-สุตตนั ปฎ กเหลา นี้ มุงหมายทจ่ี ะเปดเผย จาํ แนก ทําใหง า ยโดยอรรถขุททกปาฐะ ๙ ประเภท คือ สรณะสิกขาบท ทวตั ตึงสาการ กุมารปญ หา[สามเณรปญ หา] มงคลสตู ร รตนสตู ร ติโรกฑุ ฑสูตร นิธิกัณฑสตู รและเมตตสูตร เปน ขอตน ของหมวดธรรมแมเหลา นั้น โดยอาจารยตอ มายกขึน้ สูทางการบอกการสอน มิใชโ ดยเปนคําทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไว.จรงิ อยู คาถาเหลานั้นพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วาอเนกชาตสิ  สาร สนฺธาวสิ ฺส อนพิ พฺ สิ คหการ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปนุ ปฺปนุ คหการก ทฏิ โ สิ ปนุ เคห น กาหสิสพฺพา เต มาสกุ า ภคฺคา ตณฺหาน ขยมชฌฺ คา.เราแสวงหาชางผทู าํ เรือนคอื อัตภาพ เมอ่ื ไมพบไดทองเที่ยวไปแลว ส้ินสงสารนบั ดวยชาตมิ ิใชน อยความเกดิ บอย ๆ เปน ทกุ ขดกู อนชา งผูทําเรอื นคอื อตั ภาพ เราพบทา นแลวทานจักทาํ เรือนคืออัตภาพของเราอีกไมได โครงบาน

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 5 ของทา นท้งั หมด เราทาํ ลายแลว ยอดแหง เรือนคือ คือวา เราร้อื แลว จติ ของเราถงึ พระนพิ พานแลว เพราะเราไดบรรลธุ รรมเปน ทส่ี ิน้ ตัณหาทัง้ หลายแลว . ชอ่ื วาเปน พระปฐมพทุ ธวจนะ แมท ้งั หมดโดยเปน พระดาํ รสั ทพ่ี ระผูม -ีพระภาคเจา ตรสั ไว ทีช่ ่ือวาพระปฐมพุทธดาํ รสั นัน้ ก็โดยที่ตรสั ทางพระมนสัมิใชท รงเปลงพระวาจาตรสั สวนพระคาถามีวา ยทา หเว ปาตุภวนตฺ ิ ธมฺมา อาตาปโ น ฌายโต พรฺ าหมฺ ณสสฺ อถสสฺ กงขฺ า วปยนตฺ ิ สพพฺ า ยโต ปชานาติ สเหตธุ มมฺ  . เมอ่ื ใด ธรรมท้ังหลายปรากฏแกพราหมณผูมี เพยี รเพงอยเู นือ้ นัน้ ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ นั้น ยอ มสิ้นไป เพราะมารชู ดั ธรรมพรอมทง้ั เหตุ. ช่ือวาเปนพระปฐมพทุ ธดาํ รัส โดยที่เปน พระดํารสั ท่พี ระผมู ีพระภาคเจาเปลงพระวาจาตรสั . เพราะฉะน้นั ขุททกปาฐะ ๙ ประเภทนใี้ ด ชื่อวาเปนขอ ตนของหมวดธรรมเล็ก ๆ เหลานน้ั เราจะเร่ิมพรรณนาความแหงขทุ ทกปาฐะนั้นตั้งแตตน ไป.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 6 นิทานโสธนะ การชาํ ระคําเร่ิมตน วาจาน้วี า พุทธฺ  สรณ คจฉฺ ามิ ธมฺม สรณ คจฺฉามิ สงฺฆ สรณ คจฉฺ ามิเปนขอตนของคําเร่มิ ตน นัน้ หวั ขอ พรรณนาความของคําเรมิ่ ตนน้นั มดี งั น้ี พระสรณตรยั ใครกลา ว กลาวทไี่ หน กลา วเม่อื ใด กลา วเพราะเหตไุ ร อนึง่ ทม่ี ิไดตรัสไวม าแคแรก เพราะเหตไุ ร ในที่นี้จึงวา ตรสั ไวเ ปนขอ แรก จําตอง ชาํ ระคําเรม่ิ ตน ตอ จากน้นั ไปในคําเรม่ิ ตน กจ็ ะช้ี แจงเร่ืองพระพุทธะ เรอื่ งการถึงสรณะ และเรื่องบุคคล ผูถงึ สรณะ จะแสดงการขาดการไมข าดแหง สรณคมน ท้งั ผล ท้ังสรณะทคี่ วรถึง แมในสองสรณะ มธี มมฺ  สรณ เปนตน กร็ กู นั แลววามนี ยั อยางน้ี จะอธิบาย เหตใุ นการกําหนดโดยลําดบั และจะประกาศสรณตรัย น้ัน ดว ยขออปุ มาท้งั หลาย. บรรดาคาถาเหลานน้ั คาถาแรก กอนอ่ืน มีปญหา ๕ ขอ คอื ๑. พระสรณตรยั น้ใี ครกลา ว ๒. กลาวทไ่ี หน ๓. กลา วเมื่อไร ๔. กลาวเพราะเหตุไร

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 7 ๕. อน่งึ ท่พี ระตถาคตมิไดตรสั ไวม าแตแ รก เพราะเหตุไร ในท่ีนจ้ี ึงวา ตรสั ไวเ ปนขอ แรก จะวสิ ัชนาปญ หาทงั้ ๕ ขอน้ัน. ปญ หาวา ใครกลาว วสิ ัชนาวา พระผูมีพระภาคเจา ตรัส ไมใ ชพระสาวก ไมใ ชเ หลา ฤษี ไมใชเทวดากลา ว. ปญหาวา กลาวท่ไี หน วิสชั นาวา ทีอ่ สิ ปิ ตนมคิ ทายวนั กรงุ พา-ราณสี. ปญหาวา กลา วเม่ือไร วิสัชนาวา เมอ่ื ทา นพระยสะบรรลพุ ระอรหตัพรอ มกับสหายทง้ั หลาย เมื่อพระอรหันต ๖๑ องค กระทาํ การแสดงธรรมในโลก เพ่ือประโยชนสุขแกชนจาํ นวนมาก. ปญหาวา กลาวเพราะเหตไุ ร วิสัชนาวา เพือ่ บรรพชาและเพอ่ือปุ สมบท อยางทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไวว า ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย กแ็ ลอุปสัมปทาเปกขะอัน ภกิ ษุพึงใหบ รรพชา อปุ สมบท อยางนี้ ขอแรกให ปลงผมและหนวด ไหครองผา กาสายะ ใหทาํ ผา หม เฉวียงวา ใหไ หวเทาภกิ ษทุ ้ังหลาย ใหน ่งั กระหยง ใหป ระคองอญั ชลี [ประนมมือ] พึงสอนใหว าตาม อยางนวี้ า พทุ ธ สรณ คจฺฉาม,ิ ธมฺม สรณ คจฺฉามิ, สงฆฺ  สรณ คจฉฺ าม.ิ ปญ หาวา เพราะเหตุไรในท่ีนจี้ ึงตรสั เปน ขอ แรก วสิ ัชนาวาเพราะเหตทุ ่ีเทวดาและมนุษยพากนั เขา สูพระศาสนาดวยเปนอบุ าสกบา ง เปนบรรพชิตบา ง ดว ยทางน้ี ฉะนน้ั จงึ ควรรวู า นวังคสัตถุศาสนน ้ที า นบรุ พาจารยท้งั หลายรวบรวมไวด วยปฎกทั้งสามยกขน้ึ สูทางการบอกการสอน จึงวาตรัสเปน ขอแรกในขทุ ทกปาฐะน้ี เพราะเปนทางเขา สูพระศาสนา.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 8 ๑. พรรณนาพระสรณตรยั การชแี้ จงเรื่องพระพทุ ธะ บัดน้ี คาํ ใดขาพเจากลา วไวว า จะชี้แจงเรือ่ งพระพุทธะ เร่ืองการถงึสรณะ และเรอ่ื งบุคคลผูถ งึ สรณะ ในคํานน้ั สตั วพเิ ศษ ชอื่ วา พุทธะ เพราะบญั ญัติอาศยั ขนั ธสันดานท่ถี กู อบรมดว ยการบรรลอุ นตุ ตรวโิ มกข ซงึ่ เปน นมิ ิตแหงพระญาณอนั อะไร ๆ ชดั ขวางมไิ ด หรอื เพราะบัญญตั อิ าศยั การตรัสรุเองยง่ิซ่งึ สจั จะ อันเปน ปทัฏฐานแหงพระสัพพัญุตญาณ เหมือนอยา งที่ทา นกลา วไววา พระผมู พี ระภาคเจาพระองคน้ันใด เปนพระสยมั ภูเปนเอง ไมม ีอาจารย ตรัสรูยง่ิ พรอ มดวยพระองคเอง ซงึ่ สจั จะทงั้ หลาย ใน ธรรมทัง้ หลายทมี่ ไิ ดท รงฟง มากอน ทรงบรรลุพระสัพพญั ตุ ญาณใน ธรรมเหลา นนั้ และความเปน ผูเช่ียวชาญในพละทัง้ หลาย พระผมู พี ระ- ภาคเจา พระองคน้ัน ช่ือวา พทุ ธะ. การช้แี จงเรอ่ื งพระพทุ ธะโดยอรรถะเทา นกี้ อน. แตเมื่อวาโดยพยญั ชนะ พึงทราบโดยนยั เปน ตนอยา งนีว้ า ชอื่ วาพุทธะ เพราะทรงเปนผตู รสั รู ชือ่ วา พุทธะ เพราะทรงเปน ผปู ลกุ ใหต ื่นสมจริงดงั ทท่ี า นกลาวไววา ในบทวา พุทฺโธ ชื่อวา พุทธะ เพราะอรรถวา อะไร ชื่อวา พุทธะเพราะอรรถวา ตรสั รสู ัจจะท้ังหลาย. ช่ือวา พทุ ธะ เพราะอรรถวา ทรงปลกุ หมูสัตวใหต ่นื ช่ือวา พุทธะ เพราะทรงรูท กุ อยา ง ชื่อวา พุทธะเพราะทรงเหน็ ทุกอยา ง. ชอื่ วา พุทธะ เพราะตรัสรูเองไมใ ชผูอ น่ื ทาํ ใหรู

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 9ช่อื วา พุทธะ เพราะบานแลว ชอ่ื วา พทุ ธะเพราะนบั กนั วา เปนผสู ิ้น กิเลสแลว.ชอ่ื วา พทุ ธะ เพราะนบั กันวา เปน ผูไมมีอปุ กเิ ลส. ชื่อวา พทุ ธะ เพราะอรรถวา ส้นิ ราคะสิ้นเชงิ . ช่อื วา พทุ ธะ เพราะอรรถวา สิน้ โทสะสนิ้ เชิง. ช่อื วาพทุ ธะ เพราะอรรถวา สิน้ โมหะสนิ้ เชงิ . ช่ือวา พุทธะ เพราะอรรถวา ไรกเิ ลสสิ้นเชงิ . ชอ่ื วา พุทธะ เพราะอรรถวา ทรงดําเนินเอกายนมรรค. ชื่อวา พุทธะเพราะอรรถวา ตรัสรยู ง่ิ เอง ซง่ึ พระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธลิ ําพังพระองศเ ดยี ว.ชอื่ วา พทุ ธะ เพราะทรงไดค วามรู เหตุทรงกาํ จดั ความไมรไู ดแ ลว . พระนามวา พุทธะ น้ี มิใชพระชนนตี ั้ง มใิ ชพ ระชนกตง้ั มิใชพระเชษฐภาดาต้ังมิใชพ ระเชษฐภคินตี งั้ มิใชม ิตรอมาตยต ัง้ มใิ ชพระญาติสาโลหิตตงั้ มใิ ชสมณพราหมณตง้ั มิใชเทวดาตั้ง พระนามน้ีของพระผมู พี ระภาคพุทธเจา มีตอนทายแหง ความหลุดพนจากกเิ ลส บญั ญัตคิ อื พุทธะ ทรงทาํ ใหแจงพรอมกบัทรงไดพ ระสพั พัญุตญาณ. ในบทวา พุทธะ นนั้ ชื่อวา พทุ ธะ เพราะอรรถวา ตรัสรสู จั จะท้งั หลาย เหมอื นผทู ี่ลงมาในโลก [อวตาร] ก็เรยี กวา ผลู งมา [อวตาร].ชื่อวา พทุ ธะ เพราะอรรถวา ทรงปลุกหมสู ัตวใ หตน่ื เหมอื นลมทที่ าํ ใบไมใหแ หง กเ็ รยี กวา ใบไมแหง . บทวา สพพฺ ฺ ตุ าย พุทฺโธ ทา นอธิบายวาชอ่ื วา พทุ ธะ เพราะความรทู ่สี ามารถรูไ ดทุกอยาง. บทวา สพพฺ ทสฺสาวติ ายพทุ ฺโธ ทานอธบิ ายวา ชื่อวา พุทธะ เพราะความรู ที่สามารถรธู รรมไดทกุ อยา ง. บทวา อนญฺ เยฺยตาย พุทโธ ทา นอธิบายวา ชอ่ื วา พุทธะเพราะตรสั รูเอง มใิ ชผ ูอ ื่นทําใหตรัสร.ู บทวา วกิ สติ าย พทุ โฺ ธ ทานอธบิ ายวา ชือ่ วา พุทธะ เพราะทรงบาน เหตุบานดว ยพระคุณนานาประการเหมือนดอกปทมุ บาน. ดว ยบทอยางนเ้ี ปน ตนวา ขณี าสวสงขฺ าเตน พทุ โฺ ธ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 10ทานอธบิ ายวา ช่ือวา พทุ ธะ เพราะทรงต่นื แลว เหตุส้ินกเิ ลสดจุ ความหลับทุกอยา ง เหมอื นบุรษุ ตืน่ เพราะสน้ิ ความหลบั เพราะทรงละธรรมอันทําความหดหูแหงจิตได. ทานกลาววา เอกายนมคคฺ  คโตติ พทุ ฺโธ ดงั นี้ กเ็ พือ่แสดงวา พระผูมพี ระภาคเจา ทา นเรยี กวา พุทธะ กเ็ พราะทรงดาํ เนนิ เอกายน-มรรค เหมือนบุรษุ แมเดนิ ทาง เขากเ็ รยี กวา ผูเดนิ ไป เพราะปรยิ าย (ทาง) แหงอรรถวาไปสูทางตรสั ร.ู บทวา เอโก อนุตตฺ ร สมฺมาสมโฺ พธึ อภสิ มพฺ ทุ โฺ ธติพทุ โฺ ธ ทานอธิบายวา ชอื่ วา พุทธะ ไมใชเพราะตรสั รูโดยคนอน่ื ท่ีแท ชอื่ วาพทุ ธะ เพราะตรัสรยู ิง่ ซงึ่ พระสมั มาสมั โพธิ อันยอดเยย่ี ม ดวยพระองคเ องเทา น้ัน. คาํ นี้วา อพทุ ธฺ วิ หิ ตตฺตา พุทฺธิปฏิลาภา พุทโฺ ธ เปน คาํ แสดงปริยายวา พทุ ฺธิ พทุ ธ โพโธ ในคาํ นนั้ พงึ ทราบอรรถ ทสี่ ามารถทํา พุทธะศัพทข องบททุกบทใหสําเรจ็ ความ โดยนยั อยางน้วี า ทานอธบิ ายเพอื่ ใหร วู าพุทธะ เพราะทรงประกอบดวยพระคณุ คอื พทุ ธิความรูเ หมือนทเ่ี รยี กกนั วาผาเขียว ผา แดง ก็เพราะประกอบดว ยสเี ขยี ว สแี ดง ตอ แตน ั้น คาํ เปน ตนอยางน้ีวา พุทฺโธติ เนต นาม ทา นกลาวไวก ็เพ่อื ใหร วู า บัญญัติน้ี ดํา-เนนิ ไปตามอรรถะคอื เน้ือความ. การช้แี จงเร่ืองพทุ ธะแมโ ดยพยัญชนะ มดี งั กลาวมาน.้ี ช้แี จงเรอื่ งสรณคมนและผูถงึ สรณคมน บดั น้ี จะกลา วชแ้ี จงในเรอื่ งการถงึ สรณคมนเ ปนตน ดงั ตอ ไปน.้ีพระรัตนตรยั ที่ช่ือวา สรณะ เพราะกําจดั อธบิ ายวา บบี ทาํ ลาย นําออกดบั ภยั คือความกลวั ความหวาดสะดงุ ทกุ ข ทคุ ติ ความเศรา หมอง ดว ยการถึงสรณะนนั้ นั่นแล ของคนท้ังหลายทถ่ี งึ สรณคมน. อีกนัยหนง่ึ พระพุทธเจาชื่อวา สรณะ เพราะกําจัดภัยของสตั วทงั้ หลาย ดวยการใหเขา ถงึ สิ่งทเ่ี ปน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 11ประโยชนแ ละนาํ ออกจากสิง่ ทีไ่ มเปน ประโยชน. พระธรรมชอ่ื วา สรณะ เพราะใหสตั วข ามพนกนั ดารคอื ภพ และใหค วามโปรงใจ. พระสงฆ ช่ือวา สรณะเพราะกระทาํ สักการะ แมเล็กนอย ใหกลบั ไดผลอนั ไพบูลย เพราะฉะนน้ัพระรัตนตรัยนนั้ จงึ ชือ่ วา สรณะ โดยปรยิ ายดังวามาน้ี. จิตตุปบาทท่คี วามเลื่อมใสในพระรัตนตรยั นน้ั และความเคารพในพระรัตนตรัยนนั้ กําจดั ทําลายกเิ ลสเสียได เปนไปโดยอาการคือความมพี ระรัตนตรัยนน้ั เปน เบือ้ งหนา หรือ ไมมีผอู ืน่ เปนปจจัย [ชักจงู ] ช่ือวา สรณคมน.สัตวผ พู ร่ังพรอ มดว ยจติ ตุปบาทนนั้ ยอมถึงพระรตั นตรยั นนั้ เปน สรณะอธิบายวา ยอมเขาถึงพระรัตนตรยั ดวยจิตตุปบาท ทีม่ ีประการดงั กลาวแลวอยางน้วี า น้ีเปน สรณะของขาพเจา นเี้ ปน เคร่อื งนําหนา ของขา พเจา. กบ็ ุคคลเมอื่ จะเขาถงึ ยอ มเขาถงึ ดว ยวิธมี าทานเหมือนอยา งนายพาณชิ สองคนช่ือวาตปุสสะและภัลลิกะ เปนตน วา \"ขา แตพระองคผ ูเจรญิ ขาพระองคท ัง้ สองนนั้ ขอถงึ พระผูม ีพระภาคเจา และพระธรรมเปนสรณะ ขอพระผูมีพระภาคเจา โปรดทรงจําขาพระองคท ้งั สองวา เปนอบุ าสก\" ดงั นก้ี ็ได. เขาถึงดว ยวธิ ียอมเปน ศษิ ย เหมอื นอยา งทานพระมหากัสสปะเปนตนวา \"ขา แตพ ระองคผูเจริญ พระผูม พี ระภาคเจาทรงเปนศาสดาของขา พระองค ขา พระองคเ ปน สาวก\" ดงั นี้ กไ็ ด. เขา ถึง ดว ยวิธที ุมตวั ไปในพระรตั นตรัยน้ัน เหมอื นอยางพรหมย-ุพราหมณ เปน ตน ความบาลวี า \"เมอ่ื พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั อยางนี้พรหมยุพราหมณี ก็ลุกจากอาสนะ กระทําผา หมเฉวยี งบา ประนมมือไปทางพระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยู เปลงอทุ าน ๓ ครั้งวา นโมตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สฺส, นโม ตสสฺ ภควโต

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 12อรหโต สมฺนาสมพฺ ทุ ธสสฺ , นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ า-สมพฺ ุทธสสฺ \" ดังน้กี ไ็ ด. เขาถึงโดยวธิ ีมอบตน เชนโยคบี ุคคลผขู วนขวายในกรรมฐานกไ็ ด. เขาถึง โดยวสิ ัยและโดยกจิ หลายวิธี เชนดวยวธิ ีกาํ จัด อุปกเิ ลสดว ยการถงึ สรณคมน เหมอื นอยางพระอริยบุคคลท้ังหลาย กไ็ ด. ชแี้ จงเรื่องการถงึ สรณคมน และเรื่องบุคคล ผเู ขาถึงสรณคมน ดังกลาวมานี.้ แสดงสรณคมนขาด ไมขาด และผล บดั น้ี จะแสดงสรณคมนขาดเปน ตน ท่ขี า พเจากลาวไววา จะแสดงสรณคมนขาดและไมขาดทัง้ ผล ทั้งสรณะท่ีควรถงึ ดงั ตอ ไปน.้ี การขาดสรณคมน ของบคุ คลผูถงึ สรณคมนอยา งน้ี มี ๒ อยา ง คอืมีโทษและไมมีโทษ การขาดสรณคมนเพราะการตาย ชื่อวา ไมมโี ทษ การขาดสรณคมนเ พราะหนั ไปนับถือศาสดาอืน่ และประพฤตผิ ดิ ในพระศาสดานั้น ช่อืวามโี ทษ. การขาดแมทง้ั ๒ น้ัน ยอ มมแี กพวกปุถชุ นเหลา นัน้ สรณะของปถุ ุชนเหลา น้นั ยอ มช่ือวา เศรา หมอง เพราะประพฤตไิ ปดวยความไมรู ความสงสัยและความรผู ิด และเพราะประพฤตไิ มเ อ้อื เฟอ เปนตน ในพระพุทธคณุทง้ั หลาย สวนพระอริยบคุ คลหามสี รณะทข่ี าดไม และหามสี รณะเศรา หมองไม เหมือนอยางทต่ี รสั ไววา ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ขอ ท่ีบคุ คลผถู งึ พรอมดวยทิฏฐิ [สมั มาทิฏฐิ] จะพงึ นบั ถือศาสดาอื่น มใิ ชฐ านะ มใิ ชโ อกาส สวนพวกปถุ ชุ น ยงั ไมถ งึ การขาดสรณะตราบใด ตราบนน้ั กย็ งั ช่อื วาเปน ผมู สี รณะไมขาด การขาดสรณะของปถุ ชุ นเหลาน้ัน ยอมมีโทษ มคี วามเศรา หมองและอํานวยผลทไ่ี มนาปรารถนา การขาดสรณะทีไ่ มมีโทษ กไ็ มมีผล เพราะหาวิบากมิได. สวนการไมข าดสรณะวา โดยผล ก็ยอ มอํานวยผลที่นา ปรารถนาอยางเดยี ว เหมือนอยา งท่ตี รัสไววา

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 13 ชนเหลาใดเหลา หนง่ึ ถึงพระพุทธเจาเปนสรณะ ชนเหลานน้ั ละกายมนษุ ยไปแลว ก็จักไมเ ขาถึงอบาย- ภูมิ จกั ทาํ หมเู ทพใหบ รบิ ูรณ ดงั น.้ี ก็ในขอ นนั้ พึงทราบอธบิ ายแหงคาถาอยา งนวี้ า ชนเหลา ใด ถึงสรณะดวยการตดั อุปกิเลสไดข าดดว ยสรณคมน ชนเหลานน้ั จักไมไปอบาย.สว นชนนอกนัน้ จกั ไมไปอบาย กด็ วยการถงึ สรณะ. แสดงสรณะขาดไมขาดและผลเพยี งเทานก้ี อ น. แสดงสรณะท่คี วรถึง ในการแสดงสรณะท่ีควรถึง ผูทักทว งกลาววา ในคํานีว้ า ขาพเจาถงึพระพทุ ธเจาเปนสรณะ ผใู ดถงึ พระพุทธเจาเปน สรณะ ผนู น้ั จะพงึ ถึงพระ-พทุ ธเจา หรอื สรณะ แมทงั้ สองคาํ การกลา วแตค าํ เดียว กไ็ รประโยชน เพราะเหตไุ ร เพราะมแี ตกริ ิยาคอื การถงึ ไมม สี องกรรม. ความจรงิ นักคิดทางอักษรศาสตร ไมป ระสงคก รรม ๒ กรรมในขอ น้ี เหมอื นในคําวา อช คามเนติ เปนตน ฉะน้นั . ถา ผทู กั ทว งกลา ววา การกลาวแมค ําทั้งสองมแี คประโยชนอยางเดียวเหมอื นในคาํ วา คจฺฉเตว ปพุ ฺพ ทิส คจฺฉติ ปจฉฺ มิ  ทสิ  นักคดิอักษรศาสตรไ มประสงคอ ยางน้นั ดอก เพราะทา นไมป ระสงคว า พระพทุ ธเจาและสรณะเปน ตัวเหตเุ ทา ๆ กัน ความจริงเม่ือประสงคว า พระพุทธเจาและสรณะเหลา นัน้ เปน ตวั เหตะเทา ๆ กันแลว บุคคลแมมีจิตขุนเคือง เขาเฝาพระพุทธเจา ก็จะพึงชอื่ วา ถงึ พระพทุ ธเจา ถงึ สรณะนะสิ สรณะน้ันใดทําใหตา งไปวา พระพทุ ธเจา. ผนู ั้นก็ช่อื วาถึงสรณะนน้ั ทง้ั นัน้ .

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 14 ถา ผูทกั ทวงกลา ววา ทานประสงคเ อาความท่ีพระพทุ ธเจาและสรณะเปน ตวั เหตเุ ทา ๆ กนั เพราะบาลวี า เอต โข สรณ เขม เอต สรณมตุ ตฺ มสรณะนั่นแลเกษม ปลอดภัย สรณะนนั้ อุดมสูงสดุ ไมป ระสงคเชนน้นั ดอกเพราะในบทคาถานน้ั มีแตพ ระพุทธเจาเปน สรณะนน้ั . ความจรงิ ในบทคาถาน้นั นนั่ แลทา นประสงคถงึ ความทพ่ี ระพทุ ธเจาและสรณะเปนตัวเหตุเทา ๆ กันอยา งน้ีวา สรณะทงั้ เกษมท้ังอุดม เพราะพจิ ารณาเปน ถึงพระรตั นตรัยมีพระ-พุทธเจาเปน ตนนนั้ ในความเปน สรณะ ท่นี บั ไดวา กําจัดภยั แกผ ถู งึ สรณคมนไดจ รงิ สวนในบาลปี ระเทศอื่น เม่ือมีความสมั พนั ธด วยผถู งึ สรณคมนทา นกไ็ มป ระสงคความทีพ่ ระพทุ ธเจา และสรณะเปน ตัวเหตุเทา ๆ กัน เพราะไมส ําเร็จเปนสรณคมน ดังนัน้ คาํ น้จี ึงสาธกไมไ ด. ถาผทู กั ทว งกลาววา นา จะประสงคเอาความท่พี ระพุทธเจา และสรณะเปนตวั เหตเุ ทา ๆ กนั เพราะสาํ เรจ็ เปนสรณคมน แมเ ม่ือมคี วามสมั พันธด วยผูถึงสรณคมนไ ดในบาลีน้ีวา เอต สรณนาคมฺม สพฺพทกุ ฺขา ปมุจฺจติบคุ คลอาศยั สรณะนน้ั ยอมหลดุ พน จากทุกขท งั้ ปวงดังน้ี ไมใ ชเชน นัน้ ดอกเพราะขัดของดว ยโทษที่กลา วมากอนแลว . ความจรงิ แมในขอนนั้ ก็จะพงึขัดของดว ยโทษทีก่ ลาวมากอ นวา เมือ่ มคี วามที่พระพุทธเจาและสรณะเปนตวัเหตุเทา ๆ กนั อยู บุคคลแมม จี ิตขุน เคอื งอาศัยสรณะ. คอื พระพทุ ธเจา พระธรรมและพระสงฆ ก็จะพึงหลดุ พน จากทกุ ขไดห มดนะ สิ แตจะวาไมขัดขอ งดว ยโทษก็หามิได ดงั นนั้ คํานน้ั จึงสาธกไมไ ด. พึงทราบอธิบายในขอน้นั อยางนว้ี า สตั วทง้ั หลายเมอื่ จะหลดุ พน ดวยอานภุ าพของพระผมู พี ระภาคเจา ผเู ปนกัลยาณมติ ร ทา นก็กลาววา อาศยั กลั ยาณมิตรจึงหลดุ พน ไดในบาลนี ้ีวา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 15 ดกู อ นอานนท ก็สตั วท้งั หลายท่มี ีชาติความเกดิ เปน ธรรมดา อาศยั เราตลาคตเปน กลั ยาณมิตร ยอม หลุดพน จากชาตดิ งั นี้ ฉนั ใด แตในท่ีนี้ บุคคลเมือ่ จะหลุดพน ดว ยอานุภาพแหง สรณะ คือพระพุทธเจา พระธรรมและพระสงฆ ทา นก็กลา ววา บคุ คลอาศยั สรณะน้ยี อมหลุดพน จากทุกข ท้งั ปวง ดงั น้ี กฉ็ ันน้ัน. ความทีพ่ ระพทุ ธเจาเปน คมนยี ะ ควรถงึ กไ็ มถกู ความท่สี รณะเปนคมนียะควรถึงก็ไมถกู ความที่พระพุทธเจา และสรณะท้ังสอง เปน คมนยี ะควรถึงกไ็ มถกู แมโดยประการทัง้ ปวงอยางนี้ คมนียะส่งิ ท่คี วรถึงของผูถ ึงสรณคมนทีท่ านอธิบายวา ขา พเจาถึงสงิ่ ทีพ่ ึงปรารถนา ควรกลา วถงึ ตอ นัน้ ก็ควรกลา วขอยุตคิ อื ขอท่ถี กู ในเรอื่ งน้ี ดงั น้นั ขาพเจาจะกลา วขอยตุ ิดังตอไปน้ี ในขอยุตินี้ พระพทุ ธเจา เทา นั้นเปน คมนียะ แตเ พ่อื แสดงอาการคือการถงึ คํากลาวถึงสรณะน้นั มีวา ขา พเจาถึงพระพทุ ธเจาวาเปน สรณะ พระ-พุทธเจา พระองคนัน้ เปน สรณะของขา พเจา พระพทุ ธเจาพระองคน้นั เปนปรายนะนาํ หนา ของขา พเจา เปนผกู ําจดั ทุกข เปน ผทู รงประโยชน ขาพเจาถึง คบ เสพ เขาใกลช ิดพระพทุ ธเจาพระองคนน้ั ดว ยความประสงคด ังกลา วมานี้ หรือวา ขา พเจารทู ราบอยา งน้ี จรงิ อยู คตเิ ปน ประโยชนของธาตเุ หลา ใดแมค วามรกู ็เปน ประโยชนของธาตเุ หลา นน้ั . ถา ผทู ักทว งกลา ววา ขอน้นั ไมถ กู เพราะไมประกอบ อติ ิ ศพั ท คาํทักทวงนนั้ กไ็ มถ ูก ขอยุติท่ถี ูกในเรอื่ งนน้ั พึงมีดังน.้ี

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 16 หากวา ความในเรือ่ งนั้น พงึ มีอยา งน้ีไซร. แตน ้ัน กพ็ ึงตองประกอบอติ ศิ พั ท ดงั ในประโยคทง้ั หลายเปนตนวา อนิจจฺ  รูป อนิจจฺ  รปู นฺติยถาภตู  ปชานาติ ยอมรูช ดั รปู ท่ไี มเ ทย่ี ง ตามความเปน จรงิ วา รูปไมเ ท่ียงดังน้ี. แตอติ ิศพั ทท านหาประกอบไวไ ม เพราะฉะนน้ั ขอทกั ทว งนั้นจงึ ไมถ กูแตอ ันนี้ ไมถูกเพราะเหตไุ ร เพราะความของอิตศิ พั ทม ีอยใู นตวั นน้ั แลว ความของอติ ศิ พั ทแมในที่นี้ กม็ ีอยพู รอม ดงั ในประโยคทั้งหลายเปนตน อยางนี้วาโย จ พทุ ธฺ จฺ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ สรณ คโต ก็ผูใดถึงพระพทุ ธเจาพระธรรม และพระสงฆวา เปน สรณะ ดังนี้ แตม ใิ ชจะตอ งประกอบอติ ิศพั ทไวใ นที่ทกุ แหง เพราะมีความอยูพรอมในตวั แลว บัณฑติ พึงทราบความของอิตศิ พั ทแ มม ไิ ดประกอบไว เหมอื นดงั ประกอบไวในทีน่ ั้น ท้งั ในท่อี น่ื ซง่ึ มีกาํ เนิดอยางน้ี เพราะฉะน้ัน อติ ศิ ัพทจ ึงไมมโี ทษ [ไมผ ดิ ] ถาผทู กั ทวงกลาววา คาํ ใดท่ีทานกลา วไวว า ก็เพื่อแสดงอาการคอื ถึงจงึ ตอ งกลา วระบสุ รณะดังน้ี คําน้นั ก็ไมถ กู เพราะสรณะเทาน้นั เปน คมนียะส่ิงทค่ี วรถงึ ไดในบาลีเปน ตน วา ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เราตถาคตอนญุ าตการบรรพชา ดว ยสรณคมนส าม ดงั น้ี คําทข่ี าพเจากลาวน้นั ไมใ ชไมถูก เพราะเหตไุ ร เพราะคาํ นั้นมคี วามอยพู รอ มในตวั . ความจรงิ ความของอติ ิศพั ทนั้นกม็ อี ยพู รอมในคําแมน ั้นเอง เพราะเหตุทแ่ี มไมป ระกอบอิตศิ ัพทไ วเชน คํากอ นก็พงึ เห็นเหมอื นดังประกอบอิตศิ พั ทไว นอกจากนีก้ พ็ งึ ขัดขอ งดวยโทษทก่ี ลา วมากอนน่ันแหละ เพราะฉะนนั้ พงึ ถอื เอาตามท่ที า นสอนไวเ ทา นัน้ . แสดงสง่ิ ทค่ี วรถึงดังกลาวมาฉะน้ี

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 17 ชแี้ จงสรณะคอื พระธรรมและพระสงฆ บัดนี้ จะกลา วอธบิ ายตอไป. ในคําทขี่ า พเจากลา วไวว า แมในสรณะท้งั สองมวี า ธมมฺ  สรณ เปน ตน ก็รูกันแลว วา มนี ัยอยา งนี้เหมอื นกนั . นยัแหง การพรรณนาความนใ้ี ด ขา พเจา กลา วไวใ นคาํ นวี้ า พทุ ฺธ สรณ คจฺฉามิกพ็ ึงทราบนยั แหงการพรรณนาความนน้ั ในสองบทน้วี า ธมมฺ  สรณ คจฺฉามิสงฆฺ  สรณ คจฺฉามิ. จรงิ อยู ในขอ แมน้นั วา โดยอรรถและพยญั ชนะของพระธรรมและพระสงฆ ก็มีเพยี งการช้ีแจงเทาน้นั ที่ไมเหมอื นกนั นอกนั้นก็เหมือนกนั กับทก่ี ลาวมาแลว ทง้ั นัน้ เพราะจะกลา วอธิบายเฉพาะท่ีไมเหมือนกนัในพระธรรมและพระสงฆน้ี ดังนี้ อาจารยพ วกหน่ึงกลา ววา มรรค ผล นพิ พานชอ่ื วา พระธรรม. ขันติ ความชอบใจหรือมตขิ องพวกเราวา มรรคและวิราคะเทานัน้ ช่อื วา พระธรรมในอรรถน้ี เพราะทรงผูเจริญมรรคผล และผทู าํ ใหแจงพระนิพพานแลว โดยไมใ หตกไปในอบายท้งั หลาย และทาํ ใหโ ปรง ใจอยา งยิง่ ขอยกอคั คัปปสาทสตู รนน้ั แลเปนขอ สาธก สมจรงิ ดงั ท่ีพระผูมีพระ-ภาคเจาตรสั ไวในอคั คัปปสาทสูตรนนั้ เปนตนอยา งน้วี า ดกู อนภิกษุท้ังหลาย สงั ธรรมนเี้ พียงใด อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ ทา นกลาววาเปนยอดของสงั ขตธรรมเหลานนั้ . กลุมของบคุ คลท้ังหลาย ผพู ร่งั พรอมดวยอรยิ มรรค ๔ อยาง และผมู ีขันธ-สนั ดานอบรมย่ิงดว ยสามญั ผล ๔ ชือ่ วาพระสงฆ เพราะรวมตัวกนั ดว ยการรวมทฏิ ฐแิ ละศีล สมจรงิ ดงั ทีพ่ ระผูมีพระภาคเจาตรัสไวด งั นีว้ า ดกู อ นอานนท เธอจะสําคัญขอน้นั เปนไฉน ธรรมเหลาใดทเ่ี ราแสดงเพื่อรยู ่งิ สําหรับเธอทง้ั หลาย คอื สตปิ ฏฐาน ๔ สมั มัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรยี 

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 18 ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อรยิ มรรคมีองค ๘ อานนท เธอจะไมเหน็ ภิกษุแม ๒ รปู มวี าทะตางนีใ้ นธรรม เหลาน้เี ลย. จริงอยู พระสงฆโดยปรมัตถน ้ี อันบคุ คลพงึ ถงึ วาเปนสรณะ ในพระสูตรท่พี ระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไวว า พระสงฆสาวกของพระผูมพี ระภาคเจาเปน ผูค วรของคาํ นบั ควรของตอ นรบั ควรของทาํ บญุ ควรทาํ อัญชลียกมือไหว เปน นาบุญของโลกยอดเยย่ี ม. สรณคมนของผถู งึ สรณะน้นั ยอ มไมขาดไมเศรา หมอง ดว ยการทาํ การไหวเปนตน ในภิกษุสงฆหรอื ภิกษณุ สี งฆแ มห มูอืน่ หรอื พระสงฆมีพระพุทธเจาเปน ประมุข หรอื สมมติสงฆตางโดยสงฆจตวุ รรคเปนตน หรอื แมในบุคคลคนหนง่ึ ซึ่งบวชเจาะจง พระผูมพี ระภาคเจาความตางกนั ในสงั ฆสรณะที่มเี ทา นี้ สวนวิธกี ารขาดและไมข าดเปนตนแหงสรณคมนนแี้ ละทีส่ อง นอกเหนือจากทกี่ ลา วแลว พงึ ทราบตามนัยท่กี ลาวมากอนแลว การพรรณนาความขอนว้ี า แมใ นสองสรณะวา ธมฺม สรณ เปน ตนก็รูกนั แลววานัยน้ีเหมอื นกนั มเี ทา น้ีกอน. อธิบายเหตใุ นการกาํ หนดตามลาํ ดับ ในคํานวี้ า จะอธบิ ายเหตุในการกาํ หนดตามลําดบั บดั นีจ้ ะอธิบายเหตุในการกําหนดตามลําดับอยา งน้วี า ในคําถงึ สรณทง้ั สามนัน้ ทา นประกาศพระพุทธเจา อนั ดบั แรก เพราะเปนผูเลิศแหงสตั วท ั้งปวง ประกาศพระธรรมอนั ดับตอ มา เพราะเปน แดนเกดิ ของพระพทุ ธเจานนั้ และเพราะเปนธรรมท่ีพระพทุ ธเจา นั้นทรงนําออกสัง่ สอนแลว ประกาศพระสงฆอันดับสุดทา ย เพราะเปนผทู รงไวซ ึง่ พระธรรมนั้น และเพราะซองเสพพระธรรมนน้ั อีกนัยหนง่ึทา นประกาศพระพุทธเจาอันดับแรก เพราะทรงประกอบสัตวทง้ั ปวงไวใน

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 19หิตประโยชน ประกาศพระธรรมอนั ดับตอมา เพราะเปน แดนเกดิ แหง พระ-พทุ ธเจานน้ั และเพราะเปน ธรรมเปน หติ ประโยชนแ กส ัตวท ้ังปวง ประกาศพระสงฆอนั ดบั สดุ ทา ย เพราะพระสงฆเ ปน ผปู ฏบิ ตั ิเพอื่ บรรลุหิตประโยชน และมหี ิตประโยชนอันบรรลแุ ลว กําหนดโดยความเปน สรณะ. ประกาศดว ยขออปุ มา บดั นี้ จะกลา วอธิบายคําทีว่ า จะประกาศพระสรณตรัยน้นั ดวยขออุปมาทัง้ หลาย ก็ในคําน้ัน พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นพระจนั ทรเ พญ็ พระ-ธรรมเปรียบเหมือนกลมุ รัศมขี องพระจันทร พระสงฆเปรยี บเหมือนโลกที่เอิบอ่มิ ดวยรศั มขี องพระจนั ทรเพญ็ ทท่ี าํ ใหเกิดข้ึน พระพทุ ธเจาเปรยี บเหมือนดวงอาทติ ยทอแสงออน ๆ พระธรรมดงั กลา วเปรียบเหมอื นขายรัศมขี องดวงอาทติ ยน ้ัน พระสงฆเปรียบเหมอื นโลกทีด่ วงอาทติ ยน้นั กาํ จดั มืดแลว. พระ-พทุ ธเจาเปรียบเหมอื นคนเผาปา พระธรรมเครื่องเผาปาคอื กิเลส เปรยี บเหมอื นไฟเผาปา พระสงฆท เ่ี ปนบุญเขต เพราะเผากิเลสไดแลว เปรียบเหมอื นภมู ภิ าคทีเ่ ปน เขตนา เพราะเผาหาเสยี แลว. พระพุทธเจา เปรยี บเหมอื นเมฆฝนใหญพระธรรมเปรียบเหมือนนา้ํ ฝน พระสงฆผ รู ะงับละอองกเิ ลสเปรยี บเหมือนชนบทที่ระงบั ละอองฝุน เพราะฝนตก. พระพุทธเจา เปรียบเหมอื นสารถีที่ดีพระธรรมเปรยี บเหมือนอบุ ายฝก มา อาชาไนย พระสงฆเ ปรียบเหมือนฝูงมาอาชาไนยทฝี่ กมาดีแลว . พระพุทธเจาเปรียบเหมอื นศลั ยแพทย [หมอผาตดั ]เพราะทรงถอนลกู ศรคือทิฏฐไิ ดห มด พระธรรมเปรียบเหมือนอบุ ายทถ่ี อนลูกศรออกไดพ ระสงฆผถู อนลูกศรคอื ทิฏฐิออกแลว เปรียบเหมอื นชนที่ถกู ถอนลูกศรออกแลว . อีกนัยหน่ึง พระพทุ ธเจาเปรียบเหมือนจักษุแพทย เพราะทรงลอกพนื้ ช้นั โมหะออกไดแ ลว พระธรรมเปรียบเหมอื นอุบายเครอื่ งลอกพืน้ [ตา]

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 20พระสงฆผ ูมพี ้ืนชนั้ ตาอันลอกแลว ผูม ีดวงตาคอื ญาณอนั สดใส เปรยี บเหมือนชนทล่ี อกพน้ื ตาแลว มีดวงตาสดใส. อกี นยั หนง่ึ พระพุทธเจาเปรียบเหมือนแพทยผฉู ลาด เพราะทรงสามารถกาํ จัด พยาธคิ ือกเิ ลสพรอมท้ังอนสุ ยั ออกได พระธรรมเปรียบเหมือนเภสัชยาที่ทรงปรงุ ถูกตองแลว พระสงฆผูมีพยาธิคือกเิ ลสและอนุสยั อันระงบั แลว เปรยี บเหมือนหมชู นท่พี ยาธริ ะงับแลว เพราะประกอบยา. อีกนัยหนงึ่ พระพุทธเจา เปรยี บเหมือนผชู ี้ทาง พระธรรมเปรียบเหมือนทางดี หรอื พืน้ ท่ีทป่ี ลอดภยั พระสงฆเปรียบเหมอื นผเู ดนิ ทาง ถงึ ทีท่ ี่ปลอดภัย พระพุทธเจา เปรยี บเหมอื นนายเรือทด่ี ี พระธรรมเปรยี บเหมือนเรอืพระสงฆเ ปรียบเหมอื นชนผูเดนิ ทางถึงฝง. พระพุทธเจาเปรียบเหมอื นปาหมิ พานต พระธรรมเปรียบเหมือนโอสถยาท่เี กดิ แตปา หิมพานตนัน้ พระสงฆเปรียบเหมือนชนผไู มมีโรคเพราะใชย า. พระพทุ ธเจา เปรียบเหมือนผปู ระทานทรัพย พระธรรมเปรยี บเหมือนทรพั ย พระสงฆผ ไู ดอริยทรพั ยมาโดยชอบเปรียบเหมอื นชนผูไดทรัพยตามทีป่ ระสงค. พระพุทธเจาเปรยี บเหมอื นผชู ้ีขุมทรพั ย พระธรรมเปรียบเหมอื นขุมทรพั ย พระสงฆเปรียบเหมอื นชนผูไดขุมทรัพย. อีกนัยหน่ึง พระพุทธเจา ผูเปน วรี บรุ ุษเปรยี บเหมอื นผูประทานความไมมภี ัยพระธรรมเปรยี บเหมือนไมมภี ยั พระสงฆผ ลู ว งภยั ทุกอยา ง เปรยี บเหมือนชนผถู งึ ความไมมภี ัย พระพุทธเจา เปรยี บเหมอื นผูป ลอบพระธรรมเปรียบเหมอื นการปลอบ พระสงฆเ ปรยี บเหมอื นชนผูถกู ปลอบ พระพุทธเจา เปรยี บเหมอื นมิตรดี พระธรรมเปรียบเหมอื นคําสอนท่เี ปน หิตประโยชน พระสงฆเปรียบเหมือนชนผปู ระสบประโยชนตน เพราะประกอบหติ ประโยชน. พระพทุ ธเจาเปรียบเหมอื นบอ เกดิ ทรัพยพ ระธรรมเปรียบเหมอื นทรัพยท ี่เปน สาระ พระสงฆ

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 21เปรียบเหมอื นชนผูใ ชทรพั ยท เี่ ปน สาระ พระพทุ ธเจาเปรยี บเหมอื นผูทรงสรงสนานพระราชกุมาร พระธรรมเปรยี บเหมอื นนาํ้ ท่สี นานตลอดพระเศยี ร พระ-สงฆผสู รงสนานดีแลว ดว ยนาํ้ คอื พระสัทธรรม เปรียบเหมอื นหมูพ ระราชกมุ ารท่สี รงสนานดแี ลว . พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมือนชางผทู าํ เครอ่ื งประดับ พระธรรมเปรยี บเหมือนเครอื่ งประดบั พระสงฆผ ปู ระดับดว ยพระสทั ธรรมเปรยี บเหมือนหมูพระราชโอรสทที่ รงประดบั แลว. พระพทุ ธเจา เปรียบเหมือนตนจนั ทน พระ-ธรรมเปรยี บเหมือนกลิ่นอนั เกิดแตต นจนั ทนน ั้น พระสงฆผรู ะงบั ความเรา รอนไดส ิน้ เชงิ เพราะอปุ โภคใชพระสัทธรรม เปรียบเหมือนชนผูระงับความรอนเพราะใชจันทน พระพุทธเจาเปรยี บเหมือนบดิ ามอบมฤดกโดยธรรม พระ-ธรรมเปรยี บเหมือนมฤดก พระสงฆผ ูสืบมฤดกดอื พระสัทธรรม เปรยี บเหมือนพวกบุตรผูส บื มฤดก. พระพุทธเจาเปรยี บเหมือนดอกปทมุ ท่ีปาน พระธรรมเปรียบเหมือนนํ้าออ ยท่ีเกดิ จากดอกปทุมทบี่ านน้ัน พระสงฆเ ปรยี บเหมอื นหมูภมรที่ดดู กนิ นาํ้ ออ ยนัน้ . พงึ ประกาศพระสรณตรัยน้ัน ดว ยขอ อปุ มาทงั้ หลายดังกลา วมาฉะน้.ี มาติกาหัวขอของกถาพรรณนาความที่ยกต้งั ไวในเบอื้ งตนดว ย ๔ คาถาวา พระสรณตรยั ใครกลาว กลา วทไ่ี หน กลาวเมอื่ ไร กลาวเพราะเหตไุ รเปน ตน กเ็ ปน อนั ประกาศแลว โดยอรรถ ดว ยกถามปี ระมาณเพียงเทา นีแ้ ล. จบกถาพรรณนาพระสรณตรัย อรรถกถาขุททกปาฐะ ช่อื ปรมัตถโชติกา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 22 สกิ ขาบท ๑๐ ในขทุ ทกปาฐะ [๒] ขาพเจาสมาทาน สกิ ขาบท คือเจตนางดเวนจากปาณาตบิ าต ขา พเจา สมาทานสกิ ขาบท คือเจตนางดเวนจากอทินนาทาน ขาพเจาสมาทานสกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จากอพรหมจรรยขาพเจาสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวน จากมุสาวาทขาพเจาสมาทานสกิ ขาบท คอื เจตนางดเวน จากท่ตี ้ังแตงความประมาท คือการเสพของเมา คือสุราเมรัยขาพเจาสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าลขาพเจาสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการฟอนราํ ขับรอง การประโคม และการดูการเลนอันเปน ขาศกึ แกก ศุ ลขาพเจาสมาทานสิกขาบท คอื เจตนางดเวนจากจากการลบู ไล ทัดทรง ประดับประดาดอกไม ของหอมอันเปนลักษณะการแตง ตวัขาพเจาสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการนง่ั นอนบนทน่ี ่ังท่นี อนสูงใหญขา พเจาสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการรบั ทองและเงนิ จบสกิ ขาบท ๑๐

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 23 ๒. พรรณนาสิกขาบท หวั ขอปาฐะวา ดว ยสิกขาบท ครั้นแสดงการเขาสพู ระศาสนาดวยการถึงสรณคมนอ ยา งนีแ้ ลว เพอื่จะพรรณนาปาฐะท่ีวา ดว ยสกิ ขาบท ซึง่ ตัง้ เปนบทนกิ เขปไว เพ่อื แสดงสกิ ขาบททง้ั หลาย อนั อุบาสกหรอื บรรพชิต ผูเขา มาสพู ระศาสนาจะพงึ ศกึ ษา เปนอันดับแรก บัดนขี้ าพเจาจะกลาวมาตกิ าหัวขอดังตอ ไปน้ี สิกขาบทเหลาน้ี ผใู ดกลาว กลา วท่ีใด กลา ว เม่อื ใด กลา วเพราะเหตใุ ด จําตอ งกาํ หนดกลาวทาํ นยั น้ัน โดยความแปลกแหงสิกขาบททว่ั ไป จาํ ตอง กําหนดโทษทง้ั เปนปกตวิ ชั ชะ และปณ ณตั ตวิ ชั ชะ ทาํ การช้แี จงนัยท่ัวไป ท่วั ทุกสกิ ขาบท โดยพยัญชนะ และอรรถะของบทท้งั หลาย. แตใน ๕ สกิ ขาบทตน พงึ ทราบวินจิ ฉยั โดย ประกาศความแปลกกัน ของสิกขาบททวั่ ไปโดยความ เปน อยางเดียวกนั และความตางกันเปน อาทิ ต้งั ตน แต ปาณาตบิ าตเปนตน ไป โดยอารมณ การสมาทานและ การขาด โดยความมีโทษมาก โดยประโยค องคแ ละ สมฏุ ฐาน โดยเวทนา มูลและกรรม โดยการงดเวนและ โดยผล.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 24 ขอ ยุติคือความถกู ตอ งจากการพรรณนา ๕ สิก- ขาบทตน พึงนํามาใชใ น ๕ สกิ ขาบทหลงั พึงกลา ว สิกขาบทเปน ขอ ๆ พึงทราบวา สิกขาบท มีอยา งเลว เปน ตนไวด ว ย. ในมาตกิ าหวั ขอนั้น ๑๐ สิกขาบทมีปาณาติปาตาเวรมณเี ปน ตน นนั้พระผูมีพระภาคเจาพระองคเดียวตรสั ไว มิใชพระสาวก. จรงิ อยู พระผมู ีพระ-ภาคเจา เสด็จจากกรงุ กบิลพสั ดถุ ึงกรงุ สาวัตถี ทรงใหท านพระราหลุ บรรพชาแลว ณ พระเชตวัน อารามของทา นอนาถบิณฑกิ ะ กรุงสาวัตถี ตรัสสิกขาบท๑๐ น้ัน เพอื่ ทรงกาํ หนดสกิ ขาบทสําหรับสามเณรทง้ั หลาย สมจริงดังท่ีทานกลาวคํานไี้ ววา ครง้ั นน้ั พระผมู ีพระภาคเจา ประทับสําราญตามพระพทุ ธอธั ยาศัยอยู ณ กรงุ กบลิ พสั ดุแ ลว เสดจ็ จาริกไปทางกรงุ สาวตั ถี เมื่อเสดจ็จารกิ มาตามลําดบั กถ็ ึงกรุงสาวตั ถี. ครั้งนน้ั พระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวตั ถีสมัยน้ัน ฯลฯ สามเณรทง้ั หลายเกดิ ความคิดวา สกิ ขาบทท้งั หลายสําหรับพวกเรามีเทา ไรกันหนอ พวกเราจะพึงศกึ ษาในสกิ ขาบท จํานวนเทา ไรภกิ ษทุ ้งั หลายจงึ นาํ ความกราบทลู แตพ ระผมู ีพระภาคเจา พระผมู พี ระ-ภาคเจาจึงตรัสวา \" ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตอนุญาตสกิ ขาบท๑๐ สิกขาบท สาํ หรบั สามเณรท้ังหลาย เพือ่ สามเณรทง้ั หลายศกึ ษาในสกิ ขาบท ๑๐ นน้ั คือ ปาณาตปิ าตา เวรมณี ฯลฯ ชาตรปู -รชตปฏคิ ฺคหณา เวรมณี \" ดังน้ี. สกิ ขาบทที่ ๑๐ นี้นน้ั พงึ ทราบวา ทานยกขน้ึ ใชบอกสอน โดยแนวพระสตู รวา สมาทาย สกิ ฺขติ สกิ ขฺ าปเทสุ สมาทานศกึ ษา ในสิก-

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 25ขาบททั้งหลาย และโดยแนวปาฐะท่ที านแสดงไว ในสรณคมน อยา งนว้ี าปาณาตปิ าตา เวรมณีสกิ ฺขาปท สมาทิยามิ ขา พเจาสมาทานสกิ ขาบทคอื เจตนางดเวนจากปาณาติบาต เปนตน พงึ ทราบนัยทว่ี า \"สิกขาบทเหลานี้ ผูใดกลา ว กลา วท่ใี ด กลา วเม่ือใด กลา วเพราะเหตไุ ร จะกลา วนยั น้นั \"เทาน้ีกอน. กาํ หนดความแปลกกนั ของสิกขาบททั่วไป กบ็ รรดาสกิ ขาบทเหลานนั้ สกิ ขาบทที่ ๔ - ๕ สองสกิ ขาบทขา งตนทั่วไปทัง้ อบุ าสก ทง้ั สามเณรโดยเปน นจิ ศีล แตว า โดยเปน อโุ บสถศีล ของพวกอบุ าสก เวน สิกขาบทหลงั หมด เพราะรวบสกิ ขาบทที่ ๗ และ ๘ เขาเปนองคเดียวกนั สิกขาบททั้งหมด กท็ ่ัวไปกบั สามเณรทัง้ หลาย สว นสกิ ขาบทหลังเปน พเิ ศษสําหรับสามเณรเทา น้ัน พงึ ทราบกาํ หนดโดยความแปลกกันของสิกขาบททว่ั ไปดังกลา วมาฉะน้ี พงึ กําหนดปกตวิ ชั ชะ และปณ ณัตติวัชชะ อยางนคี้ ือ บรรดาสิกขาบทเหลา น้ัน ๕ สิกขาบทขา งตน กาํ หนดดว ยเจตนางดเวนจากปกติวัชชะ ของปาณาติบาตเปนตน เพราะมกี ศุ ลจิตเปน สมฏุ ฐานสวนเดยี วสิกขาบทนอกนน้ั กําหนดดว ยเจตนางดเวนจากปณณัตติวัชชะ. ชแี้ จงบททั่วไป กเ็ พราะเหตุทีบ่ รรดาบทเหลา นั้น บทเหลา นนั้ วา เวรมณีสกิ ฺขาปทสมาทยิ ามิ เปน บททัว่ ไปท้ังหมด ฉะนั้น พงึ ทราบการชี้แจงบทเหลา น้นั ทั่วไป ทงั้ โดยพยัญชนะ ทงั้ โดยอรรถะดงั ตอ ไปน.ี้ ในบทเหลานั้น พงึ ทราบโดยพยญั ชนะกอน ชอื่ วา เวรมณี เพราะเวน เวร อธิบายวา ละบรรเทาเวร คอื ทําใหส ้นิ สุด ใหถ งึ ความไมม ี. อกี นยั

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 26หนง่ึ บคุ คลยอ มเวนจากเวร ดวยเจตนาตัวการเทานัน้ เหตุน้นั เจตนาน้ันจึงชื่อวา เวรมณี เพราะเอาวอิ ักษรเปน เวอกั ษร. ดว ยเหตนุ นั้ นัน่ แล ในคํานี้พุทธบรษิ ัทจึงสวดกนั เปน ๒ อยา งวา เวรมณสี ิกขาปท วิรมณีสิกขาปท .ช่ือวา สกิ ขา เพราะอันบุคคลพึงศึกษา. ชื่อวา บท เพราะเปน เคร่ืองถงึบทแหง สิกขา, บทแหง สิกขา ชือ่ วา สกิ ขาบท อธบิ ายวาอุบายเปน เคร่อื งถึงสกิ ขา. อกี อยา งหนง่ึ ทานอธิบายวา เปนมลู เปน ทอี่ าศยั เปน ที่ต้ัง. สกิ ขาบทคือเจตนาเครื่องงดเวน ช่อื วา เวรมณีสกิ ขาบท หรือ วิรมณีสิกขาบทตามนัยทีส่ อง. ขา พเจา ยึดถือโดยชอบ ชื่อวา สมาทิยามิ ทา นอธิบายวา ขา พเจายึดถือโดยประสงคจ ะไมล ว งละเมิด เพราะเปน ผกู ระทาํ สิกขาบทไมใหเ ปนทอ นไมใหข าด ไมใ หดา งพรอย. แตเมอ่ื วาโดยอรรถะ บทวา เวรมณี ไดแก วิรตั ิ เจตนางดเวนประกอบดว ยจติ อันเปนกามาวจรกศุ ล. วิรัตนิ ั้น ของบคุ คลผูง ดเวนจากปาณา-ติบาต ทา นกลาวไวใ นวภิ ังค โดยนยั เปนตน อยางน้ีวา เจตนางด เจตนางดเวนเวน ขาด งดเวน ไมทํา ไมกระทาํ ไมล วง ไมล ะเมิดขอบเขต การชักสะพานเสียดว ยอริยมรรค ชอ่ื วา เสตุ จากปาณาติบาต ในสมัยนั้น อนั ใด. ธรรมดาวาเวรมณีนน้ั แมเปนโลกตุ ระมีอยูกจ็ รงิ ถงึ อยางนัน้ ในที่นี้ กค็ วรเปนเวรมณีทีเ่ ปน ไปโดยการสมาทาน เพราะผูส มาทานกลา ววา สมาทิยามิ เพราะฉะนน้ัเวรมณีทเ่ี ปน โลกุตระน้ัน จงึ ไมมี ขา พเจา กลา ววาวิรัติ เจตนางดเวน ประกอบดว ยจิตอนั เปนกามาวจรกุศล. บทวา สกิ ขา ไดแ ก สิกขา ๓ คอื อธิศลี สกิ ขา อธจิ ิตตสกิ ขาอธิปญญาสกิ ขา. แตในท่ีน้ี ศลี คือสมั ปต ตวริ ตั ิ วปิ สสนาฝา ยโลกิยะรปู ฌานและอรปู ฌานและอริยมรรค ทา นประสงคว า สิกขา ในบทวาสกิ ขาน,้ี เหมอื นดงั ท่ีทานกลาวไววา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 27 ธรรมเหลาไหน ช่ือวาสิกขา สมยั ใด จติ เปน กศุ ลฝา ยกามาวจร เกดิ ขึ้น ไปกบั โสมนัส ประกอบ ดว ยญาณ ฯลฯ สมยั นัน้ ผัสสะ ก็มี ฯลฯ ความไม กวดั แกวงกม็ ี ธรรมเหลา น้ชี ่อื วา สกิ ขา. ธรรมเหลา ไหน ชื่อวาสิกขา สมยั ใด พระ- โยคาวจรเจรญิ มรรค ดวยการเขา ถึงรปู ฌานสงดั จาก กามทงั้ หลาย สงัดจากอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เขาถึง ปฐมฌาน ฯลฯ เขาถึงปญจมฌานอยู ฯลฯ ความไม กวัดแกวง กม็ ี ธรรมเหลา นี้ ชื่อวาสกิ ขา. ธรรมเหลาไหน ชือ่ วา สิกขา สมัยใด พระ- โยคาวจรเจรญิ มรรคดว ยการเขาถึงอรูปฌาน ไป กบั เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฯลฯ ความไมก วัด- แกวงกม็ ี ธรรมเหลา นี้ ชื่อวา สิกขา. ธรรมเหลาไหน ช่อื วา สิกขา สมัยใด พระ- โยคาวจรเจริญโลกกุตรฌาน เปนธรรมนําสัตวอ อกจาก ทุกข ฯลฯ ความไมก วัดแกวงก็มี ธรรมเหลา น้ี ชื่อวา สิกขา. บทคืออุบายเครอื่ งถึง อกี อยางหน่ึงเปน มลู เปน ทอี่ าศยั เปนทต่ี ง้ัแหงสิกขาอยางใดอยา งหนึง่ บรรดาสกิ ขาเหลา นั้น เหตนุ ้นั จงึ ชอ่ื วา สกิ ขาบท สมจริงดังทีท่ า นกลาวไวด ังนีว้ า \"พระโยคาวจรอาศัยศีลตั้งอยใู นศีลเมื่อเจรญิ ทาํ ใหม ากซึ่งโพชฌงค ๗\" อยางน้เี ปน ตน. พึงทําการชแ้ี จงโดยพยัญชนะ โดยอรรถะ ทัว่ ๆ ไปแกบ ทท้งั หลายทว่ั ไป ในบทเหลา น้นั ดวยประการฉะน้.ี

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 28 พรรณนา ๕ สิกขาบทขา งตน คาํ ใดขาพเจา กลา วไววา แตใ น ๕ สิกขาบทขา งตน จาํ ตอ งชีแ้ จงโดยประกาศความท่ีแปลกกนั ฯลฯ พึงทราบวินิจฉัย ฯลฯ ในคาํ นั้น บัดนี้ขา พเจา จะกลาวชี้แจงดงั นี้ กอ นอ่นื ในคําวา ปาณาตปิ าโต นี้ บทวา ปาโณไดแกความสืบตอแหง ขนั ธท ีน่ บั เนอื่ งดว ยชีวิตนิ ทรีย. อีกนยั หน่งึ ไดแ ก สตั วท่ีบณั ฑิตอาศัยความสบื ตอแหง ขนั ธน ้ัน บญั ญตั ิไว. กว็ ธกเจตนา เจตนาคิดจะฆาของบุคคลผูมีความสาํ คญั ในสตั วมชี วี ิตนนั้ วาเปน สัตวมีชีวติ เปนสมฏุ ฐานแหง ความพยายามทีจ่ ะตดั ชวี ติ ินทรียข องสัตวมชี วี ติ นัน้ เปนไปทางกายทวารและวจีทวาร ทวารใดทวารหนึง่ ชอื่ วา ปาณาติบาต. ในคําวา อทนิ ฺนาทาน นี้ บทวา อทนิ ฺน ไดแ ก ทรัพยส ิง่ ของทเ่ี จาของหวงแหน. ซงึ่ เจาของเองเมื่อทําตามทต่ี อ งการ กไ็ มตอ งโทษ ไมถ ูกตําหนเิ ถยยเจตนา เจตนาคดิ จะลกั ของบุคคลผูมีความสําคัญในทรัพยสิ่งของที่เจา ของหวงแหนวาเปน ทรัพยส ่งิ ของทเ่ี จาของหวงแหน เปนสมฏุ ฐานแหง ความพยายามท่จี ะลกั ทรพั ยสง่ิ ของนัน้ เปนไปทางกายทวารและวจที วาร ทวารใดทวารหนึ่งน้ันแล ช่ือวาอทินนาทาน. บทวา อพฺรหมฺ จริย ไดแก ความประพฤตไิ มประเสรฐิ . เจตนาเปนเหตลุ ะเมดิ ฐาน. คอื การซอ งเสพอสัทธรรม เปนไปทางกายทวารโดยการซอ งเสพเมถนุ คือการสมสูกนั สองตอสอง ชอ่ื วา อพรหมจรรย. ในคาํ วา มุสาวาโท นี้ บทวา มสุ า ไดแ ก วจีประโยคหรือ กายประโยค ทหี่ กั รานประโยชนข องบคุ คลผูมุงจะใหคลาดเคลื่อนจากความจรงิ เปนเบอื้ งหนา มิจฉาเจตนา เจตนาที่จะพดู ผิด ทําผดิ ของบุคคลนั้น ดวยประสงคจะใหผ อู ่ืนเขาใจผิด เปนสมุฏฐานแหงกายประโยคและวจีประโยคทจ่ี ะทาํ ผอู ่ืน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 29ใหเ ขาใจผิด เปนไปทางกายทวารและวจที วาร ทวารใดทวารหนึ่ง ช่ือวามสุ าวาท. กใ็ นคาํ วา สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏ าน น้ี บทวา สรุ า ไดแ กสุรา๕ อยา ง คือ สรุ าทําดว ยแปง สรุ าทาํ ดวยขนม สรุ าทาํ ดว ยขาวสุก สรุ าผสมเชอื้ สรุ าท่ีปรุงดวยเครือ่ งปรุง. แม เมรยั กม็ ี ๕ อยา ง คือ เมรัยทท่ี าํ ดว ยดอกไม เมรัยทที่ าํ ดว ยผลไม เมรัยทาํ ดวยงบนํา้ ออย เมรยั ท่ีทาํ ดว ยดอกมะซาง เมรัยที่ปรงุ ดว ยเครอ่ื งปรงุ . บทวา มชชฺ  ไดแ ก ทง้ั สองอยางนั้นน่ันแหละ ชื่อวา มชั ชะ เพราะอรรถวาเปน ทตี่ งั้ แหง ความเมา. ก็หรอื ส่งิ อ่นื ใด ไมว า อะไรเปนทีตงั้ แหงความเมา บุคคลเมาประมาทดวยสิง่ ใดท่ีด่มื แลว สิ่งอนั นก้ี เ็ รียกวา มัชชะ. บทวาปมาทฏ าน ไดแก เจตนาท่ดี ื่มกลืนกนิ มัชชะน้นั ทานเรียกวา ปมาทฏ-ฐาน เพราะเปนเหตแุ หงความเมาความประมาท เจตนากลืนกินมัชชะคอื สรุ าและเมรยั เปนไปทางกายทวารดว ยประสงคจ ะกลืนกนิ พงึ ทราบวาสุราเมรยัเปนทั้งแหง ความประมาทโดยประการใด พงึ ทราบวินจิ ฉัยในสกิ ขาบทเหลา นั้นกอนนับตั้งแตปาณาตบิ าตเปนตนไป โดยประการน้ัน. วินจิ ฉัยสกิ ขาบทอยางเดยี วกนั และตา งกนั เปน ตน ในคาํ เอกตานานตาทโิ ต โดยท่ีสิกขาบทอยางเดยี วกันแตต างกันเปน ตนนี้ ผทู กั ทว งกลา ววา ปาณาติบาต หรอื สกิ ขาบทอนั มีอทินนาทานเปน ตนเปนอยา งเดยี วกัน เพราะผูจะพงึ ถูกฆา ผูฆา ประโยคและเจตนาเปน ตน เปนอยา งเดียวกันหรือตา งกัน เพราะมผี จู ะถูกฆา เปนตน ตางกัน หรือวาไมใ ชท้งัสองอยา งกเ็ พราะเหตุไร ผูท ักทว งจึงกลาวคาํ นี้ ผิวาสกิ ขาบทจะเปน อยา งเดียวกนั เพราะคนท่ีจะพงึ ถกู ฆา เปน ตนเปนคนเดียวกนั ไซร เม่อื เปน ดังนน้ั เมอ่ื

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 30ใด ผฆู ามากคน ฆา คนทจ่ี ะพงึ ถกู ฆาคนเดียว หรือผูฆา คนเดยี วฆาคนทจี่ ะพงึถูกฆา มากคน คนที่จะพึงถูกฆามากคน ก็จะถกู ผฆู า ฆา ดวยประโยคเดียว มีสาหัตถิกประโยคเปน ตน . หรอื เจตนาอยางเดยี วกจ็ ะยงั ประโยคของผูเขา ไปตดัชวี ติ นิ ทรีย ของคนที่จะพึงถูกฆามากคนใหทัง้ ขึ้น เม่ือนนั้ ปาณาติบาตก็จะพงึ มีอยา งเดียว แตผ วิ า สกิ ขาบทจะตางกัน เพราะคนทจี่ ะพึงถกู ฆาเปน คนตางกนั ไซร เมื่อเปนดงั น้นั เมอื่ ใดผฆู า คนเดียว เมอ่ื ทําประโยคเดยี ว เพ่อื คนๆเดียว ก็ยอ มฆาคนทีพ่ ึงถูกฆา มากคน หรือผูฆามากคนเมอื่ ทาํ มากประโยค เพอื่คนมากคนมเี ทวทัต ยญั ทตั และโสมทตั เปนตน กย็ อ มฆา ไดเ ฉพาะเทวทัต ยญั ทตัหรือโสมทตั คนเดียวเทานั้น หรอื ผูท ่จี ะพึงถกู ฆา คนเดยี ว ถูกผฆู า ฆาดว ยมากประโยคมสี าหตั ถิกประโยคเปนตน เจตนามากเจตนา กจ็ ะยงั ประโยคของผูเขาไปตดั ชวี ิตินทรยี ของผทู จ่ี ะพึงถูกฆา คนเดียวเทา นนั้ ใหต้ังขึน้ . เมือ่ นัน้ปาณาตบิ าต ก็จะพึงมมี ากอยา ง แมคาํ ท้ังสองนั้น กไ็ มถ กู . สิกขาบทจะช่ือวาเปน อยางเดียวกัน เพราะผูทจี่ ะพึงถูกฆา เปน ตน เหลานน้ั มีผูเ ดยี วกห็ ามไิ ดสิกขาบทช่อื วาตางกนั เพราะผทู ี่จะพงึ ถกู ฆาเปน ตนเหลา นนั้ ตางกัน กห็ ามิไดความจริง สิกขาบทอยางเดยี วกนั และตา งกัน ก็โดยเหตอุ ยา งอน่ื คาํ นั้นพึงใชแกปาณาตบิ าต แมสกิ ขาบทนอกนั้น ก็พึงใชอยา งนน้ั . ขา พเจาขอช้แี จงตอไปน:้ี - กอนอ่นื ปาณาตบิ าตนน้ั ชอื่ วาเปนอยางเดยี วกนั เพราะผทู จ่ี ะพงึ ถกู ฆาและคนฆาเปน ตน เปน อยา งเดียวกนั ช่ือวาตา งกนั เพราะผูทจ่ี ะพงึ ถกู ฆาเปน ตนตางกนั ก็หาไม ที่แท ปาณาติบาตชอื่ วา เปน อยา งเดียวกนั เพราะผทู ี่จะถกู ฆา และคนฆา เปนตนเปน อยา งเดยี วกนัโดยจดั เปน คู ๆ กัน. ทงั้ ช่ือวาเปนอยางเดยี วกนั เพราะผูจ ะพึงถกู ฆา และคนฆาเปนตนแมท้งั สองน้นั เปน อยา งเดยี วกันโดยจดั เปนคู ๆ กนั หรอื ชอ่ื วา ตางกนั เพราะผทู ่จี ะพงึ ถูกฆา และคนฆา เปน ตน น้นั เปนอีกคนหนึ่งจากคนท้ังสอง

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 31 จริงอยา งนัน้ เมื่อคนผูฆ า มากคน แมฆาคนผทู จี่ ะถูกฆา หลายคนดว ยประโยคหลายประโยค มี สรกั เขปประโยค การขุดสระเปนตน หรือดว ยประโยค ๆ เดียวมี โอปาตขณนประโยค การขดุ บอ เปน ตน ก็เปนปาณาติบาตมากปาณาตบิ าต เมอ่ื คนผูฆ าคนเดียวแมฆาคนท่ีถกู ฆามา ๆ คน ดว ยประโยคเดียวหรอื มากประโยคดว ยเจตนาเดยี ว ท่ียังประโยคนั้นใหต ั้งขึน้ หรือดว ยมากประโยค ก็เปนปาณาติบาตจากปาณาติบาต อนง่ึ เมือ่ คนผูฆา มากคนแมฆ า คนทถ่ี กู ฆาคนเดยี ว ดวยมากประโยความท่ีกลา วแลว หรอื ดว ยประโยคเดยี ว ก็เปนปาณาติบาตมากปาณาติบาต แมในสกิ ขาบทมีอทนิ นาทานเปนตน ก็นัยนใ้ี นเร่ืองนี้ พึงทราบวนิ ิจฉยั โดยความเปน สิกขาบทอยางเดยี วกัน และตางกนัเปน ตน ดวยประการดังกลาวมาฉะน้ี เม่อื วาโดยอารมณ ในขอ นี้ ปาณาติบาตชวี ิตนิ ทรยี เปน อารมณ.อทนิ นาทาน อพรหมจรรย และสรุ าเมรยั มชั ชปมาทัฏฐาน มีสังขารคอื บรรดารปู ธรรมมีรูปายตนะเปนตน อยา งใดอยางหน่ึงเปนอารมณ มสุ าวาทมีสตั วเปนอารมณ เพราะปรารภคนทจี่ ะพูดมุสาเปนไป อาจารยพวกหน่งึ กลาววา แมอพรหมจรรย ก็มีสัตวเปนอารมณ อนึง่ อทินนาทานมสี ตั วเปนอารมณในเวลาท่ีสัตวเปน ผูทีจ่ ะพึงถกู ลกั ไป อีกประการหนง่ึ อทินนาทาน มีสตั วเปนอารมณกโ็ ดยอาํ นาจสงั ขารมิใชโดยอํานาจพระบญั ญตั ิ ในขอ นี้ พึงทราบวินิจ-ฉัยโดยอารนณ ดงั กลา วมาฉะน้ี. เมื่อวาโดยสมาทาน กส็ ิกขาบทเหลา น้ี มีปาณาตปิ าตาเวรมณี-สิกขาบทเปน ตน สามเณรสมาทานในสํานกั ภกิ ษเุ ทา นั้น จงึ เปนอันสมาทาน สวนอบุ าสกสมาทานเองกด็ ี สมาทานในสาํ นกั ของผูอ่นื ก็ดี ก็เปน อนั สมาทานแลวสมาทานรวมกันกด็ ี สมาทานแยกกนั กด็ ี กเ็ ปน อันสมาทานแลว แตตางกัน

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 32อยางไรเลา บุคคลสมาทานรวมกนั กม็ ีวิรัติเดียว มเี จตนาเดียวเทานนั้ แตปรากฏวา วริ ัตแิ ละเจตนาเหลานนั้ มถี ึง ๕ โดยอาํ นาจกจิ คือหนาที.่ สวนบุคคลทส่ี มาทานแยกกันก็พงึ ทราบวามีวิรตั ิ เจตนาก็ ๕ ในขอน้ี พงึ ทราบวินจิ ฉัยโดยการสมาทาน ดว ยประการฉะน.ี้ เม่อื วา โดยการขาด ในขอน้ี สําหรบั สามเณรทง้ั หลาย เมื่อสิกขาบทหนง่ึ ขาด ทุกสกิ ขาบทก็เปน อันขาดเพราะสิกขาบทเหลานนั้ เปน ฐานทีต่ ง้ั แหงปาราชกิ ของสามเณรเหลานน้ั ดว ยสกิ ขาบทที่สามเณรลวงละเมดิ นั้นแล กม็ ีกรรมตอเน่อื งตามมา. แตสาํ หรับคฤหสั ถ เมื่อศลี ขอหนงึ่ ขาด กข็ าดขอ เดยี วเทา น้นั เพราะศีลของคฤหสั ถเ หลา น้ันมอี งค ๕ ยอ มจะสมบรู ณอีกดวยการสมาทานศลี นน้ั เทานน้ั แตอาจารยอ ีกพวกหนง่ึ กลาววาบรรดาศลี ทค่ี ฤหัสถส มาทานเปน ขอ ๆ เม่อืศีลขอหนง่ึ ขาด กข็ าดขอ เดียวเทา น้ัน แตบรรดาศีลท่คี ฤหสั ถส มาทานรวมกนัอยา งนีว้ า ขา พเจาสมาทานศีล ทปี่ ระกอบดว ยองค ๕ ดังนี้ เมอื่ ศีลขอ หนง่ึขาด ศีลแมท่เี หลือ ก็เปน อนั ขาดหมดทุกขอ. เพราะเหตไุ ร ? เพราะศีลขอท่ีสมาทานไมขาด ดวยศีลทีค่ ฤหัสถลว งละเมิดนัน่ แล ก็มคี วามผกู พันดวยกรรมในขอน้ี พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั แมโ ดยการขาด ดวยประการฉะนี.้ เมือ่ วาโดยโทษมาก บรรดาสตั วม ีชีวติ ทีเ่ วน จากคณุ มีสัตวเ ดียรัจ-ฉานเปน ตน ปาณาตบิ าตช่ือวามีโทษนอ ย กเ็ พราะสตั วตัวเลก็ , ชือ่ วามโี ทษมาก ก็เพราะสัตวต ัวใหญ. เพราะเหตุไร. เพราะประโยคใหญ (ความพยายามมาก) แมเ มอื่ มปี ระโยคเสมอกนั ชอ่ื วา มีโทษมาก เพราะวตั ถใุ หญ สวนบรรดาสัตวม ชี ีวติ ทมี่ ีคุณ มีมนษุ ยเ ปน ตน ปาณาติบาต ชื่อวามีโทษนอ ย ก็เพราะมนษุ ยมีคุณนอ ย, ช่ือวา มีโทษมาก กเ็ พราะมนษุ ยมคี ณุ มาก แตเมื่อมี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 33ตวั และคณุ เสมอกัน ก็พงึ ทราบวา มโี ทษนอย เพราะกิเลสและความพยายามออ นและมโี ทษมาก เพราะกเิ ลสและความพยายามแรงกลา แมในสิกขาบททเ่ี หลือก็นยั นี้ อน่งึ ในขอ นี้ สุราเมรยมชั ชปมาทัฏฐานเทานน้ั ชอื่ วา มีโทษมากปาณาตบิ าตเปน ตน หามีโทษมากเชนนั้นไม เพราะอะไร เพราะทําอันตรายแกอ ริยธรรม เหตทุ าํ ผทู เ่ี กิดมาเปนมนุษยใหก ลายเปน คนบา ในขอนี้ พงึทราบวินิจฉัย แมโ ดยความมโี ทษมาก ดวยประการฉะนี.้ เมื่อวาโดยประโยค ก็ในขอนี้ ปาณาตบิ าตมี ๖ ประโยคคือสาหัตถกิ ประโยค อาณัตตกิ ประโยค นิสสัคคิยประโยค ถาวรประโยควชิ ชามยประโยค อทิ ธมิ ยประโยค. บรรดาประโยคเหลา นน้ั การประหารดวยกายหรอื ของที่เนอ่ื งดว ยกายช่อื วา สาหตั ถิกประโยค สาหตั ถกิ ประโยคน้ัน แยกเปน ๒ คอื สาหตั -ถิกประโยคเจาะจงและสาหตั ถกิ ประโยคไมเจาะจง. ในสาหัตถิกประโยคทั้งสองนนั้ เฉพาะสาหัตถกิ ประโยคเจาะจงบุคคลยอ มผูกพันดวยกรรม เพราะความตายของคนทไี่ ปเจาะจงประหารเทา นนั้ . ในสาหตั ถกิ ประโยคไมเ จาะจงอยา งนีว้ าผใู ดผูหน่ึงจงตายเสยี เถิดดังนี้ บคุ คลยอมผกู พันดวยกรรมเพราะความตายของคนใดคนหนงึ่ เหตกุ ารประหารเปนปจ จยั . อนึง่ แมด ว ยสาหัตถิกประโยคทั้งสอง เขาพอถูกประหารก็ตาย หรอื ตายดวยโรคน้นั ในภายหลงั บคุ คลกย็ อ มผกูพนั อยูดวยกรรม ขณะที่เขาถูกประหารเทา น้ัน แตเม่อื บคุ คลประหารดว ยประสงคจะใหเ ขาตาย แตเ ขาไมต ายดว ยการประหารน้ัน กลับคิดประหารเขาอีก ผวิ า แมใ นภายหลงั เขาตายดวยการประหารคร้งั แรก บคุ คลก็ยอ มผกู พันดวยกรรมในเวลาน้นั เทานั้น ถาวา เขาตายดวยการประหารครง้ั ท่สี อง กไ็ มเปนปาณาติบาต แมเ มอื่ เขาตายดว ยสาหตั ถกิ ประโยคท้ังสอง บุคคลกผ็ กู พนั ดว ย

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 34กรรม โดยการประหารคร้ังแรกเทา น้นั เมอื่ เขาไมต ายแมด วยสาหัตถิกประโยคทั้งสอง ก็ไมเปนปาณาติบาตเลย ในขอท่ีแมค นมากคนประหารคนคนเดียวกน็ ยั นี้ แมใ นอันนีค้ วามผูกพันดวยกรรม ยอมมีแกค นท่ปี ระหารเขาตายเทา การจงใจส่ังใหเขาทํา ช่อื วา อาณัตตกิ ประโยค แมใ นอาณตั ตก-ประโยคนัน้ กพ็ ึงทราบความผูกพนั ดว ยกรรม โดยนยั ทกี่ ลา วไวใ นสาหัตถิก-ประโยคนน้ั แล กใ็ นอาณตั ตกิ ประโยคน้นั พึงทราบวา มกี าํ หนดไว ๖ อยาง อาณัตตกิ ประโยคกาํ หนดไว อยางเหลาน้ีคือ วัตถุ๑ กาล ๑ โอกาส ๑ อาวุธ ๑ อิริยาบถ ๑ กริ ยิ าวิเศษ ๑ ในขอกําหนด ๖ น้ัน สตั วมีชวี ติ พงึ จาํ ไวว า วัตถ.ุ เวลาเชาเวลาเย็นเปน ตน และเวลาหนุม สาว เวลาเปนผใู หญเปนตน ก็พึงจําไววา กาล. คามนิคม ปา ตรอกหรอื ทางแยก ดงั วามาน้ีเปน ตน พึงจําไววา โอกาส. อาวธุเปนตน อยา งนี้คือ คาบ ธนู หรือหอก พึงทรงการยนื หรือการนงั่ ของตนท่ีถกู ฆาและคนฆาดงั วา มานี้เปนตน พงึ จําไววา อิริยาบถ. การแทง การตดั การทาํ ใหขาด หรือกรอ นผม ดงั วามาเปนตน พึงจําไวว า กิริยาวิเศษ. ก็หากวาคนถกู เขาสั่งใหฆาผูใด ทาํ วตั ถใุ หค ลาดเคลื่อน [ฆา ผิดตวั ] ไปฆาคนอื่นนอกจากผูน ้นั ไซร ผูส่งั กไ็ มตองผกู พันดวยกรรม ถาเขาไมท าํ วตั ถุใหค ลาดเคล่อื นฆาไมผิดตัว แมทัง้ สองคนก็ตอ งผูกพนั ดว ยกรรม คือผสู ัง่ ในขณะสั่งผถู กู สัง่ ในขณะฆา แมในขอ กําหนดอน่ื ๆ มกี าลเปน ตน กน็ ัยน.้ี ก็การปลอยเครือ่ งประหารดวยกายหรือของท่ีเนอ่ื งดว ยกาย เพอ่ื ทาํ เขาใหตาย ชื่อวา นิสสัคคิยประโยค. แมนิสสคั คิยประโยคน้นั กแ็ ยกเปน ๒เหมือนกนั คือ นิสสัคคิยประโยคเจาะจงและไมเ จาะจง ในขอน้ี การผกู พันดวยกรรม ก็พงึ ทราบตามนยั ท่ีกลาวมาแลว ในขอ น้ี ๆ นัน่ แล.

พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 35 การขดุ บอ การวางกระดานหก การประกอบเหยื่อยาพิษและกรงยนตเปน ตน เพอ่ื ทําใหเ ขาตาย ช่ือวา ถาวรประโยค. แมถาวรประโยคน้ันกแ็ บงเปน ๒ คอื ถาวรประโยคเจาะจงและไมเจาะจง. กใ็ นขอน้ี การผกู พันดวยกรรมพึงทราบตามนยั ที่กลา วมาแลวโนขอ ตน ๆ แตค วามแปลกกนั มดี ังนี้ เมอื่ คนหาหวั มนั ทาํ บอ เปน ตน ใกล ๆ หรือทําบอเปลา ก็ตอ งคนอน่ื ๆ ผิวา เขาตายเพราะบอ เปน ตน นั้น เปนปจ จัย ความผูกพนั ดว ยกรรม กม็ แี กค นหาหัวมนั .อนง่ึ เมือ่ คนนั้นหรอื คนอืน่ กลบบอนนั้ เสียแลว ทําพื้นใหเรียบ หรอื คนกวาดฝนุโกยฝุนไป หรือคนขดุ หัวมนั ขุดหัวมนั ทําหลมุ ไว หรอื เมอ่ื ฝนตกเกดิ โคลนตมคนลงไปติดตายในโคลนตมนั้น ความผูกพนั ดว ยกรรม ก็มแี กคนหาหวั มนันัน่ แหละ กผ็ ิวา คนท่ไี ดหัวมนั หรอื คนอนื่ ทําหลมุ น้ันใหกวา งหรอื ลกึ กวาเดมิ คนลงไปตายเพราะหลมุ กวางหรือลึกนั้น ความผกู พันดว ยกรรม กแ็ กคนแมท ้ังสองเหมือนอยา งวา มูลเหตทุ งั้ หลายยอมเทียบกนั ไดก บั การขดุ หัวมันฉนั ใด เมอื่ คนกลบหลุมใหเรียบในทีน่ ้นั คนก็พนจากตกหลมุ กฉ็ ันนัน้ . แมใ นถาวรประโยคมกี ารวางกระดานหกเปนตน กอยางน้ันเหมอื นกนั การผูกพนัดวยกรรมตามเหตุทเี่ กิด กพ็ งึ ทราบตราบเทา ท่ถี าวรประโยคเหลานน้ั ยงั เปนไป. การรายวิทยาคมเพ่ือทาํ ใหต าย ชื่อวา วชิ ชามยประโยค. การทําฤทธิ์ตา ง ๆ ที่เกิดแตว บิ ากกรรม เพอ่ื ทําใหเขาตาย เหมอื นใชอาวุธคอื เข้ียวเปน ตน ขบดว ยเขีย้ วเปนอาทิ ช่อื วา อทิ ธิมยประโยค.สวนอทินนาทานกม็ ีประโยค คือสาหตั ถิกประโยคและอาณตั ติกประโยคเปน ตนท่ีเปนไปโดยอาํ นาจ เถยยาวหาร ปสยั หาวหาร ปฏจิ ฉันนาวหาร ปริกัป-ปาวหารและกสุ าวหาร ประเภทแหงประโยคแมเ หลา น้นั กพ็ งึ ทราบโดยทาํ นองที่กลาวมาแลว น่ันแล, สกิ ขาบทแมทงั้ สามมีอพรหมจรยิ ะเปนตน ก็ไดเฉพาะ





















พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 46ปานกลาง ก็ชื่อวา มชั ฌมิ ะอยางกลาง. ดว ยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วมิ งั สาอยางประณตี ชื่อวา ปณีตะอยางดี. อกี นยั หนึ่ง สกิ ขาบททง้ั ๑๐ นเ้ี ศรา หมองดว ยตณั หา ทฏิ ฐแิ ละมานะ ชื่อวา อยา งเลว. ทีไ่ มเ ศรา หมอง ชอื่ วาอยางกลาง. ท่ีปญญากํากับ ในสิกขาบทน้ัน ๆ ชื่อวาอยางด.ี อกี นยั หน่งึ สกิ ขาบทเหลา น้ันทสี่ มาทานดวยกุศลจติ เปนญาณวิปปยตุ ปราศจากความรู ช่อื วาอยา งเลว. ท่ีสมาทานดวยกุศลจติ เปนญาณสัมปยตุ ประกอบดว ยความรู เปน สสงั ขารกิ มีเครอื่ งชักจูง ชอ่ื วาอยางกลาง. ท่ีสมาทานดว ยกุศลจิตเปนญาณสมั ปยุต เปนอสังขาริก ไมม ีเคร่ืองชักจงู ชอ่ื วา อยา งดี. พงึ ทราบวา สิกขาบทมอี ยางเลวเปน ตน ดังกลาวมาฉะน.ี้ มาตกิ าหัวขอ อนั ใด ขา พเจายกเปน บทต้ังไว เพอื่ พรรณนาปาฐะแหงสกิ ขาบท ดวยคาถา ๖ คาถามีวา สกิ ขาบทนี้ ผใู ดกลาว กลาวไวท่ีใดกลาวเมอ่ื ใด กลาวเพราะเหตุใด ดังนเ้ี ปนตน มาติกาหวั ขอนนั้ เปน อันขา พเจาประกาศโดยอรรถ ดว ยคํามีประมาณเพียงเทาน้แี ล. จบ พรรณานาสกิ ขาบท แหง อรรถกถาขุททกปาฐะ ปรมตั ถโชติกา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 47 ทวตั ตงิ สาการ ในขทุ ทกปาฐะ [๓] ในกายน้ีมี ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ เอน็ กระดกูเยื่อในกระตก มาม หวั ใจ ตบั พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสนอยอาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด หนอง เลือด เหงอื่ มันขน นํ้าตาเปลวมัน น้ําลาย น้ํามูก ไขขอ มูตร เยอ่ื มันสมองในสมอง. จบทวัตติงสาการ ๓. พรรณานาทวตั ตงิ สาการ พรรณนาการสัมพันธแ หง บท กรรมฐาน คือกายคตาสตนิ ้ใี ด ท่พี วกเดยี รถยี ท้ังปวง ไมเ คยใหเ ปนไปแลว นอกพุทธกาล เพอื่ ความบรสิ ทุ ธ์ิแหง อาสยญาณ สละเพอ่ื จิตตภาวนาของกลุ บุตรผูมปี ระโยคอันบริสุทธิ์ดวยสิกขาบท ๑๐ อยา งนี้ ผดู ํารงอยูในศีลพระผมู พี ระภาคเจา ทรงสรรเสรญิ ไว โดยอาการเปน อนั มากในพระสูตรน้นั ๆอยางน้ีวา๑ ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ธรรมอยา งหนึ่ง ภกิ ษุเจรญิ ทาํ ใหม ากแลวเปนไปเพือ่ สังเวคะ [ ความสลดใจ ] ใหญ เปนไปเพ่อื อรรถะ [ ประโยชน ]ใหญ เปน ไปเพื่อโยคกั เขมะ [ ความเกษมจากโยคะ ] ใหญ เปนไปเพื่อสติสมั ปชญั ญะ [ ความระลกึ รูตวั ] ใหญ เปนไปเพ่อื ไดญาณทสั สนะ๑. อัง.เอก. ๒๑/ขอ ๒๓๔ - ๒๓๘.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 48[ ความรูเห็น ] เปนไปเพ่อื ทฏิ ฐธรรมสุขวิหาร [อยเู ปน สขุ ในปจจุบนั ]เปนไปเพื่อทาํ ใหแ จง วชิ ชาวิมตุ ติและผลธรรมอยา งหน่งึ คอื กายคตาสติดูกอนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษเุ หลาใดไมบรโิ ภคกายคตาสติ ภกิ ษุเหลานนั้ชอ่ื วาไมบรโิ ภคอมตะ ภิกษเุ หลาใดบรโิ ภคกายคตาสติ ภกิ ษุเหลา น้นัชื่อวา บรโิ ภคอมตะ ภิกษุเหลา ใดไมบริโภคกายคตาสติ ชอื่ วา ไมไ ดบริโภคอมตะ ภิกษุทบ่ี ริโภคกายคตาสติ ชื่อวา ไดบรโิ ภคอมตะ ภิกษุทีเ่ ส่อื มกายคตาสติ ชอ่ื วาเสือ่ มอมตะ ภิกษทุ ไ่ี มเส่ือมกายคตาสติ ชือ่ วาไมเสื่อมอมตะ ภิกษุทพ่ี ลาดกายคตาสติ ชอ่ื วา พลาดอมตะ ภิกษุที่สาํ เรจ็ การคตาสติ ชอ่ื วา สาํ เร็จอมตะ. ดงั น้แี ลว ทรงแสดงไวเปน ปพพะ ๑๔ ปพพะ คอื นาปานปพพะอริ ยิ าปถปพพะ จตุสมั ปชญั ญปพ พะ ปฏกิ ูลมนสกิ ารปพ พะ ธาตุมนาสิการปพ พะสวี ถิกาปพ พะ ๙ ปพ พะ โดยนยั วา ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย กายคตาสติ อันภกิ ษุเจริญอยางไร ทาํใหมากอยา งไร จึงมีผลมาก มีอานสิ งสมาก ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลายภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี ไปปาก็ดี ดังนีเ้ ปนตน. บดั นี้ นทิ เทสแหงการเจริญกายคตาสตกิ รรมฐานน้นั มาถึงตามลาํ ดบัแลว ในนทิ เทสนนั้ ขาพเจา กลา วเปนวปิ สสนาไว ๓ ปพพะ น้ีคอื อิรยิ าปถ-ปพพะ จตุสัมปชัญญปพพะ ธาตุมนสกิ ารปพพะ กลา วสีวถิกาปพ พะทง้ั ๙ เปนอาทีนวานปุ สสนาไวใ นวปิ ส สนาญาณ สว นสมาธิภาวนาในอทุ ธมุ าตกอสภุ เปน ตนในนิทเทสนน้ั ที่พึงปรารถนา ขา พเจา กป็ ระกาศไวการแลวในอสุภภาวนานทิ เทส คัมภรี วสิ ุทธิมรรคทงั้ นนั้ . สองปพ พะนคี้ อื นานาปานปพ พะและปฏกิ ูลมนสิการปพพะก็กลาวเปนสมาธิไวแลวในนทิ เทสนัน้ ใน ๒ ปพ พะน้ัน อานา-ปานปพพะ เปน กรรมฐานแผนกหนงึ่ โดยแท โดยเปน อานาปานัสสติ สวน

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 49กรรมฐานคอื ทวตั ติงสาการนัน้ ใด เปน ปรยิ ายแหง ภาวนาสว นหน่งึ ของกายคตา-สติ ซง่ึ พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงสงเคราะหม ันสมองไวด วยเยื่อในกระดดกูในบาลีประเทศนนั้ ๆ อยางน้วี า๑ ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย อกี ขอ หนึ่ง ภิกษุพิจารณาเหน็ กายน้ีนีแ่ ลตัง้ แตพน้ื เทา ขน้ึ ไป ปลายผมลงมา มหี นังหมุ อยูโ ดยรอบเต็มไปดวยของไมส ะอาดมปี ระการตาง ๆ วา ในการนี้มี ผม ขน ฯลฯ มตู ร ดังนี้ขา พเจาเรมิ่ ไวแลว กรรมฐานคือทวัตติงสาการนน้ั จะพรรณนาความดังตอไปนี้ บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา อตฺถิ แปลวา มอี ย.ู บทวา อิมสฺมึความวา ท่ีกลาววาตั้งแตพืน้ เทาขึน้ ไป แตป ลายผมลงมา มีหนงั หมุ โดยรอบเต็มไปดว ยของไมสะอาด มปี ระการตาง ๆ. บทวา กาเย ไดแ ก ในสรีระ.จรงิ อยู สรีระ เรียกกนั วา กาย เพราะสะสมของไมส ะอาด หรอื เพราะเปน ที่เจรญิ เติบโตของผมเปนตนที่นา เกลยี ด และของโรคตง้ั รอ ยมี โรคตา เปน ตนบทวา เกสา ฯ เป ฯ มุตตฺ  คอื อาการ ๓๒ มผี มเปนตน เหลานั้น ในทวตั ติงสาการน้ี พึงทราบความสัมพนั ธเ ช่อื มความอยางนี้วา ผมอยูในกายนี้ขนมีอยูในกายนี้ เปน ตน . เปนอันตรัสอะไรไว ดว ยทวตั ติงสาการกรรมฐานนั้น เปน อนั ตรัสไวว าใครๆ เมือ่ พิจารณานน้ั แมโ ดยอาการทุกอยา งในกเฬวระเรอื นรา งขนาดวาหนง่ึ น้ี คอื ประมาณเทานค้ี อื เบอื้ งบนตั้งแตพ้ืนเทา ข้นึ ไปเบื้องลางตั้งแตป ลายผมลงมา หุม ดว ยหนังโดยรอบ ยอมจะไมเ ห็นอะไร ไมว าแกว มุกดา แกว มณี แกว ไพฑูรย กฤษณา จนั ทน หญาฝรั่น การบรู หรือผงอบเปนตนแมข นาดเล็กวาสะอาด โดยทแี่ ทย อ มจะเหน็ กายตา งโดยผมขนเปนตนทีม่ กี ลน่ิ เหมน็ นา เกลยี ดอยา งยิ่ง ไมม ีสิรทิ ่ีนาดเู ลยมปี ระการตา งๆ วา ไมสะอาดอยางเดียว.๑. ม.อุปร.ิ ๑๔/ขอ ๒๙๗

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 50 พรรณนา โดยความสมั พันธแ หงบทในทวตั ตงิ สาการกรรมฐานนเี้ ทา นี้กอน. อสภุ ภาวนา พงึ ทราบการพรรณนาทวตั ตงิ สาการกรรมฐานน้ัน เปน อสุภภาวนาดังตอ ไปนี.้ กอนอ่นื อนั ดบั แรก กลุ บุตรผเู ริม่ บําเพ็ญกรรมฐาน เปน ผูต งั้ อยูในศีล ตางโดยปาณาติปาตาเวรมณสี ิกขาบทเปนตน อยา งนี้แลว มปี ระโยคอันบรสิ ุทธิ์ ประสงคจะประกอบเนื่อง ๆ ซ่งึ อนโุ ยคะคือ การบําเพญ็ กรรมฐานสว นทวตั ตงิ สาการ เพื่อบรรลุความบรสิ ทุ ธิ์แหง อาสยญาณ กลุ บุตรน้ัน ยอ มมีกงั วล ๑๐ ประการ คอื กงั วลดวยทีอ่ ยู ดวยตระกูล ดวยลาภ ดวยคณะดว ยการงาน ดวยการเดนิ ทาง ดว ยญาติ ดวยการเรยี นคมั ภรี  ดวยโรคและดว ยอทิ ธิฤทธิ์ หรอื ดวยการกังวลดวยเกยี รติ เม่ือเปนดังนน้ั กุลบตุ รผูน ้ีก็ตอ งตัดกังวล ๑๐ เหลา นัน้ เสยี ดว ยวิธอี ยางนี้ คอื ดวยการละความเก่ียวขอ งในอาวาส ตระกูล ลาภ คณะ ญาติและเกยี รติเสยี ดวยการไมข วนขวายในการงาน, การเดินทางและการเรียนคัมภรี เสีย ดวยการเยียวยาโรค เมอ่ื เปนดังนั้น กลุ บตุ รผนู ตี้ ดั กงั วลไดแลว ไมตดั ความยินดียงิ่ ในเนกขัมมะ กําหนดความปฏบิ ัตขิ ดั เกลาอันถึงบนั้ ปลาย ไมละเลยอาจาระทางวนิ ัยแมเ ล็กนอย กพ็ งึเขา ไปหาพระอาจารยผูใหก รรมฐาน ซึง่ เปน ผูป ระกอบดวยอาคม [ การปรยิ ตั ิ ]และอธิคม [ ปฏบิ ัตปิ ฏเิ วธ ] หรือประกอบดว ยคุณสมบตั ิอยา งใดอยา งหนึ่งจากอาคมและอธิคมน้นั ดว ยวิธที เ่ี หมาะแกพระวินัย และพึงแจงความประสงคของตนแกพระอาจารยนั้น ซ่งึ ตนทําใหทานมีจิตยินดดี วยขอ วัตรสัมปทา พระ-


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook