Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_22

tripitaka_22

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_22

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 107 ๕. สนุ ักขตั ตสตู ร วา ดวยภาวะแหง อรหัตผล [๖๗] ขาพเจา ไดฟ งมาแลว อยางนี้ :- สมัยหน่ึง พระผูมีพระภาคเจาประทบั อยทู ่กี ูฏาคารศาลา ในปา มหา-วัน กรุงเวสาลี กส็ มัยนน้ั ภิกษุมากรูปทลู พยากรณอรหัตผลในสํานักของพระผมู ีพระภาคเจา วา พวกขาพระองครูชัดวา ชาตสิ ้นิ แลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจทคี่ วรทาํ ไดท ําเสรจ็ แลว กิจอื่นเพอ่ื ความเปนอยา งนี้มไิ ดมี. [๖๘] พระสุนักขัตตะ ลิจฉวีบตุ ร ไดทราบวา ภกิ ษุมากรปู ไดทูลพยากรณอรหตั ผล ในสํานกั ของพระผมู ีพระภาคเจา วา พวกขาพระองคร ูช ัดวาชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ทคี่ วรทาํ ไดท าํ เสรจ็ แลว กจิ อนื่ เพือ่ ความเปนอยา งนีม้ ไิ ดม ี จึงเขาไปเฝา พระผูมพี ระภาคเจา แลวถวายอภิวาทพระผมู ีพระภาคเจา นงั่ ณ ท่คี วรสวนขา งหน่ึงแลว ไดกราบทูลพระผูมพี ระภาคเจาดงั นว้ี า ขาแตพ ระองคผ เู จริญ ขาพระองคไ ดท ราบขา วดังนว้ี า ภิกษุมากรูปไดทลู พยากรณอรหตั ผลในสาํ นกั ของพระผูมีพระภาคเจา วา พวกขา พระองครชู ัดวา ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอยูจ บแลว กจิ ท่ีควรทําไดท าํ เสร็จแลว กิจอนื่ เพอ่ื ความเปนอยา งนมี้ ไิ ดมี ขาแตพระองคผ เู จรญิ พวกภิกษทุ ี่ทลู พยากรณอรหตั ผลในสาํ นกั ของพระผูมีพระภาคเจาดงั นน้ั ไดท ูลพยากรณอรหัตผลโดยชอบหรือ หรอื วา ภิกษุบางเหลาในพวกน้ีไดทูลพยากรณอ รหัตผล ดวยความสําคญั วา ตนไดบ รรล.ุ [๖๙] พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา ดกู อนสนุ กั ขตั ตะ พวกภิกษุท่ีพยากรณอรหัตผลในสํานกั ของเราวา พวกขาพระองคร ูชัดวา ชาตสิ ิ้นแลวพรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ที่ควรทาํ ไดทาํ เสร็จแลว กิจอน่ื เพอ่ื ความเปนอยาง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 108น้มี ไิ ดม นี ้นั มบี างเหลา ในพวกนไี้ ดพ ยากรณอ รหัตผลโดยชอบแท แตก ม็ ีภกิ ษบุ างเหลาในทนี่ ไ้ี ดพยากรณอรหัตผล ดว ยความสาํ คญั วา ตนไดบ รรลุดกู อ นสุนกั ขัตตะ ในภกิ ษุเหลาน้ันภิกษพุ วกท่ีพยากรณอ รหตั ผลโดยชอบแทน้ัน ยอ มมีอรหัตผลจรงิ ทเี ดียว สว นในภิกษพุ วกทพ่ี ยากรณอ รหตั ผลดว ยความสําคัญวาตนไดบรรลุนนั้ ตถาคตมีความดํารอิ ยา งนว้ี า จักแสดงธรรมแกเธอ ดูกอนสนุ ักขัตตะ ในเรอื่ งนต้ี ถาคตมคี วามดาํ รวิ า จักแสดงธรรมแกภ ิกษุเหลา นน้ั ดว ยประการฉะน้ี แตถ าในธรรมวินัยนี้ มีโมฆบุรุษบางพวกคิดแตงปญ หาเขา มาถามตถาคต ขอ ทีต่ ถาคตมคี วามดํารใิ นภกิ ษเุ หลาน้นั อยา งนี้วา จักแสดงธรรมแกเธอนัน้ กจ็ ะเปลี่ยนเปน อยา งอน่ื ไป. พระสนุ กั ขัตตะทลู วา ขา แตพระผมู พี ระภาคเจา ผูสคุ ต ขณะน้เี ปนกาลสมควรแลว ๆ พ่ี ระผูมพี ระภาคเจาจะทรงแสดงธรรม ภิกษทุ ั้งหลายไดฟง พระผมู พี ระภาคเจาแลว จักทรงจาํ ไว. พ. ดูกอ นสนุ ักขัตตะ ถา เชน นั้น เธอจงฟง จงใสใจใหดี เราจกักลา วตอ ไป. พระสุนกั ขัตตะ ลิจฉวีบตุ ร ทลู รบั พระดาํ รสั แลว . [๗๐] พระผมู ีพระภาคเจาไดต รสั ดังน้ีวา ดกู อนสนุ กั ขตั ตะ กามคุณน้มี ี ๕ อยางแล ๕ อยางเปน ไฉน คอื (๑) รูปทีร่ ูดว ยจกั ษุ อันนา ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ เปนทร่ี ัก ประกอบดวยกาม เปน ที่ต้งั แหงความกําหนดั (๒) เสยี งทรี่ ดู ว ยโสตะ อันนาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ เปนที่รกั ประกอบดวยกาม เปน ทีต่ งั้ แหงความกําหนัด (๓) กลิน่ ทีร่ ูดว ยฆานะ อันนา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ เปนท่รี กั ประกอบดวยกาม เปนที่ต้งั แหง ความกําหนัด

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 109 (๔) รสที่รูไ ดด วยชิวหา อันนา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ เปนที่รกั ประกอบดว ยกาม เปนทต่ี ้ังแหง ความกําหนัด (๕) โผฏฐัพพะท่ีรูไดด วยกาย อันนาปรารถนา นา ใคร นา พอใจเปน ท่รี ัก ประกอบดว ยกาม เปน ที่ตง้ั แหง ความกําหนัด ดูกอนสนุ ักขตั ตะ น้แี ลกามคุณ ๕ อยาง. [๗๑] ดกู อนสนุ กั ขัตตะ ขอ ทีบ่ รุ ษุ บคุ คลบางคนในโลกน้ี พงึ เปน ผูนอ มใจไปในโลกามสิ นนั้ เปนฐานะทม่ี ไี ดแ ล บุรษุ บคุ คลผนู อ มใจไปในโลกามสิ ถนดั แตเร่ืองทเ่ี หมาะแกโ ลกามสิ เทานั้น ยอมตรกึ ยอมตรองธรรมอนัควรแกโลกามสิ คบแตคนชนิดเดียวกนั และใฝใจกบั คนเชนน้ัน แตเมอ่ื มีใครพดู เร่อื งเกยี่ วกบั อาเนญชสมาบตั ิ ยอ มไมสนใจฟง ไมเงีย่ โสตสดับ ไมตัง้จิตรบั รู ไมคบคนชนดิ นั้น และไมใ ฝใจกับคนชนดิ นัน้ เปรียบเหมอื นคนทจี่ ากบา นหรอื นคิ มของตนไปนาน พบบรุ ษุ ใดคนหนงึ่ ผจู ากบานหรอื นคิ มน้ันไปใหม ๆ ตอ งถามบุรุษนน้ั ถงึ เรื่องท่ีบานหรือนิคมนนั้ มีความเกษม ทํามาหากนิดี และมีโรคภัยไขเ จบ็ นอ ย บรุ ุษน้นั พงึ บอกเรอื่ งท่ีบา นหรือนคิ มนั้นมีความเกษม ทํามาหากินดี และมโี รคภัยไขเจ็บนอ ยแกเขา ดกู อนสุนกั ขตั ตะ เธอจะสําคัญความขอนน้ั เปนไฉน เขาจะพึงสนใจฟงบุรษุ นน้ั เง่ียโสตสดบั ต้ังจติ รับรู คบบรุ ุษนัน้ และใฝใ จกับบุรุษน้นั บา งไหมหนอ. ส.ุ แนน อน พระพุทธเจาขา . พ. ดูกอ นสุนกั ขตั ตะ ฉนั นนั้ เหมอื นกันแล ขอที่บุรุษบคุ คลบางคนในโลกน้ี พึงเปน ผนู อมใจไปในโลกามสิ นั่นเปน ฐานะที่มไี ดแ ล บรุ ุษบุคคลผนู อ มใจไปในโลกามสิ ถนัดแตเ ร่ืองทีเ่ หมาะแกโ ลกามิสเทานัน้ ยอมตรกึ ยอ มครองธรรมอนั ควรแกโลกามสิ คบแตค นชนดิ เดียวกัน และใฝใ จกบั คนเชน

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 110นั้น แตเ ม่อื มีใครพูดเรื่องเกยี่ วกับอาเนญชสมาบัติ ยอ มไมส นใจฟง ไมเง่ยี โสต-สดบั ไมต ง้ั จติ รับรู ไมค บคนชนิดนั้น และไมใ ฝใจกบั คนชนิดนน้ั บคุ คลทีเ่ ปน อยางน้ีน้ัน พงึ ทราบเถิดวา เปน บุรษุ บคุ คลผนู อมใจไปในโลกามสิ . [๗๒] ดูกอ นสุนักขัตตะ ขอ ที่บุรุษบคุ คลบางคนในโลกนี้ พึงเปนผนู อมใจไปในอาเนญชสมาบัติ น่นั เปนฐานะท่ีมไี ดแล บุรษุ บคุ คลผูนอมใจไปในอาเนญชสมาบัติ ถนดั แตเรอ่ื งทเ่ี หมาะแกอาเนญชสมาบตั เิ ทา น้ัน ยอ มตรกึ ยอมตรองธรรมอนั ควรแกอาเนญชสมาบัติ คบแตค นชนดิ เดยี วกนั และใฝใจกบั คนเชน นน้ั แตเม่อื มใี ครพดู เรื่องเกี่ยวกับโลกามิส ยอ มไมสนใจฟงไมเ งยี่ โสตสดับ ไมต้ังจติ รับรู ไมค บคนชนิดนนั้ และไมใ ฝใ จกบั คนชนิดนัน้เปรยี บเสมือนใบไมเ หลือง หลุดจากขวั้ แลว ไมอ าจเปน ของเขยี วสดได ฉนัใด ดูกอนสุนกั ขัตตะ ฉนั น้ันเหมือนกนั แล เมื่อความเกยี่ วขอ งในโลกามสิของบรุ ษุ บุคคลผนู อมใจไปในอาเนญชสมาบัตหิ ลดุ ไปแลว บคุ คลทเ่ี ปนอยางนี้พงึ ทราบเถดิ วา เปน บรุ ษุ บุคคลผนู อ มใจไปในอาเนญชสมาบตั ิ พรากแลวจากความเก่ียวของในโลกามิส. [๗๓] ดูกอนสนุ ักขัตตะ ขอ ทบี่ รุ ษุ บุคคลบางคนในโลกน้ี พึงเปนผูนอ มใจไปในอากญิ จัญญายตนสมาบัติ นน่ั เปน ฐานะท่มี ไี ดแล บรุ ุษบคุ คลผูนอมใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบตั ิ ถนดั แตเร่อื งท่เี หมาะแกอ ากญิ จญั ญายตน-สมาบตั เิ ทา นั้น ยอ มตรึก ยอมตรอง ธรรมอันควรแกอากญิ จัญญายตนสมาบัติคบแตค นชนดิ เดยี วกัน และใฝใจกับคนเชนน้ัน แตเ มอ่ื มีใครพดู เรือ่ งเกย่ี วกับอาเนญชสมาบัติ ยอมไมส นใจฟง ไมเง่ียโสตสดบั ไมต ้ังจติ รับรู ไมค บคนชนิดนน้ั และไมใ ฝใ จกับคนชนดิ นั้น เปรยี บเหมอื นศลิ ากอน แตกออกเปน ๒ ซกี แลว ยอ มเชือ่ มกนั ใหส นทิ ไมได ฉนั ใด ดกู อ นสุนักขตั ตะ ฉันนน้ั เหมอื นกันแล เม่อื ความเกย่ี วขอ งในอาเนญชสมาบัติ ของบรุ ษุ บคุ คลผูน อ ม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 111ใจไปในอากิญจญั ญายตนสมาบตั แิ ตกไปแลว บคุ คลทเ่ี ปน อยางนน้ี ัน้ พงึทราบเถดิ วา เปนบรุ ษุ บคุ คลผนู อมใจไปในอากญิ จญั ญายตนสมาบตั ิ พรากแลว จากความเกยี่ วของในอาเนญชสมาบัติ. [๗๔] ดกู อ นสนุ ักขัตตะ ขอ ท่บี รุ ษุ บุคคลบางคนในโลกน้ี พึงเปนผูน อมใจไปในเนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบัติ นนั่ เปนฐานะทีม่ ีไดแล บรุ ษุบุคคลผนู อมใจไปในเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ ถนดั แตเรื่องท่เี หมาะแกเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ยอ มตรกึ ยอ มตรอง ธรรมอันควรแกเนว-สัญญานาสัญญายตนสมาบตั ิ คบแตคนเชนเดียวกัน และใฝใ จกับคนเชน น้ัน แตเมอื่ มีใครพดู ถงึ เรอื่ งเก่ยี วกบั อากญิ จญั ญายตนสมาบตั ิ ยอมไมส นใจฟง ไมเ งย่ีโสตสดบั ไมตั้งจิตรับรู ไมค บคนชนิดนน้ั และไมใฝใจกบั คนชนิดน้ัน เปรียบเหมือนคนบริโภคโภชนะที่ถูกอมิ่ หนําแลวพึงทิง้ เสยี ดูกอ นสุนักขตั ตะ เธอจะสําคัญความขอน้นั เปน ไฉน เขาจะพึงมคี วามปรารถนาในโภชนะนน้ั อยหู รือหนอ. ส.ุ ขอนี้หามิไดเ ลย พระพทุ ธเจา ขา พ. นั่นเพราะเหตุไร. ส.ุ เพราะวา โภชนะโนน ตนเองรสู ึกวา เปนของปฏิกลู เสียแลว. พ. ดกู อนสนุ ักขตั ตะ ฉนั น้ันเหมอื นกันแล เมือ่ ความเกย่ี วของในอากิญจญั ญายตนสมาบัติ อันบรุ ษุ บุคคลผนู อ มใจไปในเนวสัญญานาสญั ญายตน-สมาบัติคายเสยี แลว บุคคลทีเ่ ปน อยางนนี้ ัน้ พงึ ทราบเถดิ วา เปนบุรษุ บคุ คลผูนอมใจไปในเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบัติ พรากแลว จากความเกยี่ วของในอากญิ จญั ญายตนสมาบตั ิ.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 112 [๗๕] ดกู อนสุนักขัตตะ ขอ ท่บี ุรษุ บุคคลบางคนในโลกน่ี เปนผูนอมใจไปในนิพพานโดยชอบ นน่ั เปนฐานะท่ีมไี ดแ ล บุรษุ บคุ คลผนู อ มใจไปในนิพพานโดยชอบ ถนัดแตเรื่องทเี่ หมาะแกนพิ พานโดยชอบเทาน้นัยอมตรึก ยอมตรองธรรมอนั ควรแกน ิพพานโดยชอบ คบแตคนเชน เดยี วกันใฝใจกบั คนเชนน้นั แตเมือ่ มใี ครพูดถงึ เรอื่ งเก่ยี วกับเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ ยอ มไมส นใจฟง ไมเงย่ี โสตสดบั ไมต ้ังจติ รับรู ไมคบคนชนดิ นัน้และไมใ ฝใจกับคนชนดิ นั้น เปรียบเหมอื นตาลยอดดว นไมอ าจงอกงามไดอ กีฉนั ใด ดูกอ นสนุ กั ขตั ตะ ฉันนั้นเหมอื นกันแล เมอื่ ความเกยี่ วของในเนว-สญั ญานาสัญญายตนสมาบัติ อันบรุ ษุ บคุ คลผนู อมใจไปในนพิ พานโดยชอบตัดขาดแลว ถอนรากขนึ้ แลว ไมมเี หตทุ ้ังอยูไดดงั ตนตาล เปนไปไมไดแลว มีความไมเกิดตอไปเปน ธรรมดา บุคคลท่ีเปนอยางน้ีนน้ั พงึ ทราบเถิดวา เปนบุรุษบคุ คลผนู อ มใจไปในนพิ พานโดยชอบ พรากแลว จากความเกีย่ วขอ งในเนวสัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ. [๗๖] ดูกอ นสุนกั ขัตตะ ขอ ท่ภี ิกษุบางรูปในธรรมวินัยน้ี พงึ มคี วามดาํ รอิ ยางนว้ี า พระสมณะตรสั ลูกศรคอื ตณั หาไวแล โทษอนั เปนพิษคืออวชิ ชายอ มกาํ เริบดว ยฉนั ทราคะและพยาบาท เราละลูกศรคอื ตัณหานั้นไดแ ลว กําจัดโทษอันเปน พษิ คอื อวชิ ชาไดแลว จึงเปน ผูม ใี จนอ มไปในนพิ พานโดยชอบ น่นัเปนฐานะที่มีไดแ ล ส่งิ ที่เปนผลเบอ้ื งตนพึงมีไดอ ยางนี้ คือ เธอประกอบเนอื ง ๆ ซงึ่ อารมณอ ันไมเปนท่ีสบายของใจอันนอ มไปในนิพพานโดยชอบ ไดแกป ระกอบเนอื ง ๆ ซงึ่ การเห็นรูปอนั ไมเ ปน ท่สี บายดวยจักษุ ประกอบเนอื ง ๆซ่งึ เสยี งอนั ไมเปนท่ีสบายดว ยโสตะ ประกอบเนอื งๆ ซึง่ กลนิ่ อนั ไมเ ปนที่สบายดว ยฆานะ ประกอบเนอื งๆ ซงึ่ รสอัน ไมเ ปนท่สี บายดวยชิวหา ประกอบเนือง ๆซึ่งโผฏฐพั พะอนั ไมเ ปน ท่สี บายดวยกาย ประกอบเนอื ง ๆ ซึ่งธรรมารมณอนั ไมเปนท่สี บายดวยมโน เมือ่ เธอประกอบเนือง ๆ ซึง่ การเหน็ รปู อนั ไมเปนที่

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 113สบายดวยจกั ษุ ซ่ึงเสียงอนั ไมเปนท่ีสบายดวยโสตะ ซึง่ กล่นิ อนั ไมเปนทีส่ บายดว ยฆานะ ซง่ึ รสอนั ไมเปนท่ีสบายดวยชิวหา ซึ่งโผฏฐพั พะอันไมเ ปน ทส่ี บายดวยกาย ซึ่งธรรมารมณอัน ไมเ ปนท่สี บายดวยมโนแลวราคะพงึ ตามกําจดั จิต เธอมีจิตถกู ราคะตามกาํ จัดแลว พึงตาย หรอื ทกุ ขป างตาย เปรียบเหมอื นบรุ ษุ ถูกลกู ศรท่มี ยี าพษิ อาบไวอ ยางหนาแลว มิตรสหายญาตสิ าโลหติ ของเขาใหหมอผาตัดรักษา หมอผา ตดั ใชศัสตราแหละปากแผลของเขา คร้นั แลวใชเ ครอ่ื งตรวจคนหาลูกศรแลวถอนลูกศรออก กาํ จดั โทษคอื พษิ ทย่ี ังมเี ชือ้ เหลือตดิ อยู จนรวู าไมม ีเช้ือเหลอื ตดิ อยู จงึ บอกอยางนี้วาพออมหาจาํ เรญิ เราถอนลกู ศรใหทา นเสร็จแลว โทษคอื พษิ เรากก็ าํ จัดจนไมม ีเช้อื เหลือติดอยูแ ลว ทา นหมดอันตราย และพงึ บริโภคโภชนะทส่ี บายได เม่อืทานบริโภคโภชนะทีแ่ สลง ก็อยาใหแ ผลตอ กาํ เรบิ และทา นตอ งชะแผลตามเวลา ทายาสมานปากแผลตามเวลา เม่อื ทา นชะแผลตามเวลา ทายาสมานปากแผลตามเวลา อยา ใหน าํ้ เหลอื งและเลอื ดรัดปากแผลได และทานอยา เทย่ี วตากลมตากแดดไปเนอื ง ๆ เมอื่ ทานเท่ียวตากลมไปเนือง ๆ แลว กอ็ ยา ใหล ะอองและของสกปรกติดตามทําลายปากแผลได พอมหาจําเรญิ ทา นตอ งคอยรักษาแผลอยจู นกวา แผลจะประสานกัน บรุ ุษนน้ั มีความคดิ อยา งน้ีวา หมอถอนลกู ศรใหเราเสร็จแลว โทษคอื พษิ หมอก็กาํ จัดจนไมม ีเช้อื เหลือติดอยูแ ลว เราหมดอันตราย เขาจึงบรโิ ภคโภชนะทีแ่ สลง เม่อื บริโภคโภชนะทแ่ี สลงอยู แผลก็กาํ เริบ และไมชะแผลตามเวลา ไมท ายาสมานปากแผลตามเวลา เม่ือเขาไมชะแผลตามเวลา ไมท ายาสมานปากแผลตามเวลา น้าํ เหลอื งและเลอื ดก็รดัปากแผล และเขาเท่ียวตากลม ตากแดด ไปเนือง ๆ เมอื่ เขาเทีย่ วตากลมตากแดดไปเนือง ๆ แลว ปลอยใหล ะอองและของสกปรกติดตามทําลายปากแผลได ไมคอยรักษาแผลอยู จนแผลประสานกันไมไ ด เพราเขาทาํ ส่ิงที่

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 114แสลงนแ้ี ล แผลจงึ ถงึ ความบวมไดด วยเหตุ ๒ ประการ คอื ไมกาํ จัดของไมสะอาดและโทษคอื พษิ อนั ยังมเี ช้ือเหลอื ตดิ อยู เขามีแผลถงึ ความบวมแลว พึงเขา ถงึ ความตาย หรือทกุ ขปางตายได ฉันใด ดกู อนสนุ กั ขตั ตะ ฉันนนั้เหมอื นกันแล ขอที่ภิกษุบางรูปในธรรมวนิ ยั น้ี พงึ มคี วามดาํ รอิ ยางน้ีวาพระสมณะตรัสลูกศรคือตัณหาไวแล โทษอนั เปน พษิ คอื อวชิ ชายอ มงอกงามไดดวยฉันทราคะและพยาบาท เราละลกู ศรคือตณั หาน้ันไดแลว กาํ จัดโทษอนัเปนพษิ คอื อวิชชาไดแ ลว จึงเปน ผมู ใี จนอ มไปในนิพพานโดยชอบ นนั่ เปนฐานะที่มไี ด ส่ิงท่ีเปน แผลเบือ้ งตันพึงมีไดอยา งนี้ คือ เธอประกอบเนอื ง ๆ ซ่งึอารมณไมเ ปน ทสี่ บายของใจอนั นอมไปในนพิ พานโดยชอบ ไดแ กประกอบเนือง ๆ ซง่ึ การเห็นรูปอันไมเ ปน ทีส่ บายดวยจักษุ ประกอบเนือง ๆ ซึ่งเสียงอนั ไมเ ปน ทส่ี บายดวยโสตะ ประกอบเนอื ง ๆ ซง่ึ กล่นิ อนั ไมเปนทส่ี บายดวยฆานะ ประกอบเนอื ง ๆ ซ่ึงรสอนั ไมเปนที่สบายดว ยชวิ หา ประกอบเนอื ง ๆซ่ึงโผฏฐัพพะอนั ไมเปน ท่ีสบายดว ยกาย ประกอบเนือง ๆ ซ่ึงธรรมารมณอันไมเ ปน ที่สบายดวยมโน เมอ่ื เธอประกอบเนือง ๆ ซงึ่ กาวะเห็นรปู อันไมเปนทสี่ บายดว ยจักษุ ซึง่ เสียงอนั ไมเ ปนทส่ี บายดว ยโสตะ ซึ่งกลนิ่ อันไมเ ปนที่สบายดวยฆานะ ซงึ่ รสอนั ไมเปนที่สบายดวยชวิ หา ซึ่งโผฏฐพั พะอันไมเปนทสี่ บายดว ยกาย ซ่งึ ธรรมารมณอนั ไมเ ปน ทสี่ บายดวยมโนแลว ราคะพึงตามกาํ จดั จิต เธอมีจิตถูกราคะตามกาํ จัดแลว พึงเขาถงึ ความตาย หรือทุกขปางตาย. ดกู อนสนุ ักขัตตะ ก็ความตายน้นั วนิ ัยของพระอรยิ ะ ไดแ กลกั ษณะทภ่ี กิ ษบุ อกคนื สกิ ขาแลว เวยี นมาเพอื่ หนี เพศ สวนทกุ ขป างตายนี้ ไดแกลักษณะทีภ่ กิ ษตุ อ งอาบัตมิ วั หมองขอ ใดขอหนึ่ง.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 115 [๗๗] ดูกอ นสุนกั ขัตตะ ขอท่ภี กิ ษุบางรปู ในธรรมวนิ ยั นี้ พึงมคี วามดาํ ริอยางนีว้ า พระสมณะตรสั ลกู ศรคอื ตัณหาไวแ ล โทษอันเปนพิษคืออวิชชายอมงอกงามไดด ว ยฉันทราคะและพยาบาท เราละลกู ศรคอื ตัณหานั้นไดแ ลวกาํ จัดโทษอันเปน พิษคอื อวิชชาไดแลว จึงเปนผูมใี จนอ มไปในนพิ พานโดยชอบนัน่ เปน ฐานะทีม่ ไี ดแล เมื่อใจนอมไปในนพิ พานโดยชอบนนั่ แล เธอไมประกอบเนอื งๆ ซ่งึ อารมณอันไมเ ปน ทส่ี บายของใจอันนอ มไปในนพิ พานโดยชอบแลว ไดแกไ มประกอบเนืองๆ ซึ่งการเหน็ รูปอันไมเ ปนท่สี บายดวยจกั ษุไมประกอบเนอื ง ๆ ซงึ่ เสียงอันไมเ ปนท่สี บายดว ยโสตะไมประกอบเนอื ง ๆ ซึง่กล่ินอนั ไมเปนท่สี บายดวยฆานะ ไมประกอบเนอื ง ๆ ซง่ึ รสอันไมเปนทสี่ บายดวยชิวหา ไมป ระกอบเนอื ง ๆ ซึ่งโผฏฐัพพะอนั ไมเปนที่สบายดว ยกาย ไมประกอบเนือง ๆ ซึ่งธรรมารมณอ ันไมเ ปนทสี่ บายดวยมโน เม่ือเธอไมประกอบเนือง ๆ ซง่ึ การเหน็ รปู อนั ไมเปนทีส่ บายดว ยจักษุ ซงึ่ เสียงอนั ไมเปน ทสี่ บายดว ยโสตะ ซ่ึงกล่ินอนั ไมเ ปนทีส่ บายดว ยฆานะ ซง่ึ รสอนั ไมเปน ท่ีสบายดวยชิวหา ซง่ึ โผฏฐพั พะอนั ไมเ ปนท่ีสบายดวยกาย ซึง่ ธรรมารมณอ นั ไมเปนท่ีสบายดว ยมโน ราคะกไ็ มตามกาํ จัดจติ เธอมีจิตไมถ กู ราคะตามกาํ จดั แลวไมพงึ เขา ถึงความตาย หรือทุกขป างตาย เปรียบเหมือนบรุ ษุ ถกู ลูกศรมยี าพษิอาบไวอยางหนาแลว มิตร อํามาตย ญาติสาโลหติ ของเขาใหห มอผาตัดรักษาหมอผาตดั ใชศสั ตราชําแหละปากแผลของเขา คร้นั แลว ใชเคร่ืองตรวจคน หาลกู ศร แลวถอนลกู ศรออก กาํ จัดโทษคือพษิ ที่ยงั มเี ธอเหลอื ติดอยู จนรูว าไมมเี ธอเหลืออยู จึงบอกอยางนวี้ า พอ มหาจาํ เริญ เราถอนลูกศรใหทานเสรจ็ แลว โทษคือพิษเราก็กําจดั จนไมม เี ธอเหลอื ติดอยู แลว ทา นหมดอนั ตรายและพงึ บริโภค. โภชนะทีส่ บายได เม่ือทานจะบริโภคโภชนะทแี่ สลงก็อยา ใหแ ผลตอ งกาํ เริบ และทา นตองชะแผลตามเวลา ทายาสมานปากแผลตามเวลา เม่อื

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 116ทา นชะแผลตามเวลา ทายาสมานปากแผลตามเวลา อยา ใหนา้ํ เหลืองและเลอื ดรดั ปากแผลได และทา นอยาเทีย่ วตากลมตากแดดไปเนอื ง ๆ เมื่อทานเทย่ี วตากลมตากแดดไปเนือง ๆ แลว ก็อยา ใหละอองและของโสโครกตดิ ตามทาํ ลายปากแผลได พอ มหาจาํ เริญ ทา นตอ งคอยรักษาแผลอยจู นกวาแผลจะประสานกนั บุรษุ นนั้ มีความคิดอยา งน้ี หมอถอนลกู ศรใหเราเสรจ็ แลว โทษคอื พิษหมอกก็ าํ จดั จนไมม เี ช้อื ติดอยูแลว เราหมดอนั ตราย เขาจงึ บริโภคโภชนะท่ีสบาย เมอ่ื บริโภคโภชนะท่ีสบายอยู แผลก็ไมก าํ เรบิ และชะแผลทกุ เวลาทายาสมานปากแผลทกุ เวลา เมือ่ เขาชะแผลทกุ เวลา ทายาสมานปากแผลทุกเวลา นาํ้ เหลืองและเลอื ดกไ็ มรดั ปากแผล และเขาไมเทย่ี วตากลมตากแดดไปเนอื งๆ เม่อื เขาไมเทีย่ วตากลมตากแดดไปเนอื ง ๆ ละอองและของสกปรกก็ไมติดตามทาํ อนั ตรายปากแผล เขาคอยรกั ษาแผลอยู จนแผลหายประสานกนัเพราะเขาทาํ สิ่งท่สี บายนี้แล แผลจึงหายไดด วย ๒ ประการคือ กาํ จดั ของไมสะอาด และโทษคอื พิษจนไมม เี ชอ้ื เหลอื ติดอยูแลว เขามีแผลหาย ผิวหนังสนิทแลว จึงไมพ ึงเขา ถงึ ความตาย หรอื ทุกขป างตาย ฉันใด ดูกอนสุนกั ขัตตะฉนั น้ันเหมอื นกันแล ขอทภี่ ิกษบุ างรปู ในธรรมวินยั นี้ พึงมีความดาํ ริอยางนว้ี าพระสมณะตรัสลูกศรคือตณั หาไวแล โทษอนั เปนพษิ คืออวิชชา ยอมกําเริบดวยฉนั ทราคะและพยาบาท เราละลูกศรคือตณั หาไดแลว กาํ จดั โทษอันเปนพษิ คืออวิชชาไดแ ลว จึงเปน ผูม ีใจนอ มไปในนพิ พานโดยชอบ น่นั เปน ฐานะทมี่ ไิ ด เม่อื ใจนอ มไปในนิพพานโดยชอบอยูน นั่ แล เธอไมประกอบเนือง ๆซ่งึ อารมณอันไมเปนท่ีสบายของใจ อันนอ มไปในนิพพานโดยชอบแลว ไดแ กไมประกอบเนอื ง ๆ ซง่ึ การเหน็ รูปอันไมเปนทส่ี บายดวยจกั ษุ ไมป ระกอบเนอื งๆ ซงึ่ เสียงอันไมเปน ทส่ี บายดว ยโสตะ ไมประกอบเนือง ๆ ซ่ึงกล่ินอนั ไมเ ปน ที่สบายดว ยฆานะ ไมป ระกอบเนือง ๆ ซ่งึ รสอนั ไมเ ปน ท่ีสบาย

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 117ดวยชิวหา ไมป ระกอบเนือง ๆ ซ่ึงโผฏฐัพพะอนั ไมเ ปน ทส่ี บายดว ยกาย ไมประกอบเนอื ง ๆ ซ่ึงธรรมารมณอ นั ไมเปนทีส่ บายดวยมโน เมื่อเธอไมป ระกอบเนอื ง ๆ ซงึ่ การเหน็ รปู อนั ไมเปนที่สบายดวยจกั ษุ ซงึ่ เสยี งอันไมเปน ท่ีสบายดวยโสตะ ซ่ึงกลิน่ อันไมเ ปน ทส่ี บายดว ยฆานะ ซ่ึงรสอันไมเปนที่สบายดว ยชวิ หา ซึง่ โผฏฐัพพะอันไมเปน ที่สบายดวยกาย ซ่งึ ธรรมารมณอนัไมเ ปนทส่ี บายดว ยมโนแลว ราคะกไ็ มตามกําจัดจิต เธอมีจิตไมถ ูกราคะตามกําจัดแลว ไมพงึ เขา ถึงความตาย หรือทุกขปางตาย. ดกู อนสุนักขตั ตะ เราอุปมาเปรียบเทียบดงั น้ี เพือ่ ใหร ูเนอื้ ความในอปุ มานี้ คําวา แผล เปน ชื่อของอายตนะภายใน โทษคือพิษ เปน ชือ่ ของตณั หา เครื่องตรวจเปนชอ่ื ของสติ ศสั ตราเปน ชอื่ ของปญญาของพระอรยิ ะหมอผาตดั เปนชื่อของตถาคตผูไกลจากกเิ ลส ตรสั รูเองโดยชอบแลว ดกู อนสุนกั ขตั ตะ ขอ ทภ่ี ิกษุน้นั ทาํ ความสาํ รวมในอายตนะอันเปนที่กระทบ ๖ อยา งรูดงั นวี้ า อปุ ธิเปนรากเหงา แหง ทุกข จึงเปน ผูปราศจากอปุ ธิ พน วิเศษแลว ในธรรมเปน ทส่ี น้ิ อุปธิ จักนอ มกายหรือปลอยจิตไปในอุปธิ นน่ั ไมใชฐ านะท่มี ไี ดเปรยี บเหมือนภาชนะมนี ้าํ ดมื่ เตม็ เปย ม ถงึ พรอมดวยสี ดว ยกลิน่ ดวยรสแตระคนดวยยาพษิ เม่ือบุรษุ ผรู กั ชวี ติ ยังไมอยากตาย ปรารถนาสุข เกลียดทกุ ข พึงมาพบเขา ดูกอนสนุ ักขตั ตะ เธอสําคัญความขอน้นั เปน ไฉน บุรษุนั้นจะพงึ ด่ืมน้ําท่ีเตม็ เปย มภาชนะนน้ั ทั้ง ๆ ท่รี วู า ดมื่ แลวจะเขา ถึงความตายหรอื ทุกขปางตาย บา งไหมหนอ. สุ. ขอน้ีหามิไดเลย พระพุทธเจา ขา . [๗๘] พ. ดกู อ นสนุ ักขัตตะ ฉนั นน้ั เหมือนกนั แล ขอ ท่ภี ิกษนุ ัน้ ทาํความสํารวมในอายตนะอันเปน ที่กระทบ ๖ อยา ง รดู ังน้วี า อุปธิเปนรากเหงา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 118แหงทกุ ข จึงเปน ผปู ราศจากอปุ ธิ พนวเิ ศษแลวในธรรมเปนท่สี ิน้ อปุ ธิ จักนอมกายหรือปลอยจติ ไปในอปุ ธิ น่ันไมใชฐานะทีม่ ีได ดูกอ นสุนกั ขัตตะเปรียบเหมือนงูพษิ มีพษิ รา ยแรง เม่อื บุรษุ ผรู ักชวี ิต ยงั ไมอ ยากตาย ปรารถนาสุข เกลยี ดทกุ ข พึงมาพบเขา ดกู อ นสุนักขตั ตะ เธอจะสาํ คัญความขอนั้นเปนไฉน บรุ ษุ นัน้ จะพึงยน่ื มอื หรอื หัวแมม อื ใหแกง ูพษิ ท่ีมีพษิ รา ยแรงน้ันทั้ง ๆ ท่รี ูวา ถูกงูกัดแลว จะถึงตาย หรอื ทุกขปางตาย บางไหมหนอ. สุ. ขอน้หี ามไิ ดเลย พระพุทธเจา ขา . [๗๙] พ. ดูกอนสุนกั ขัตตะ ฉนั น้ันเหมือนกนั แล ขอ ทภี่ ิกษนุ น้ั ทําความสาํ รวมในอายตนะเปนทก่ี ระทบ ๖ อยาง รูดังน้วี า อุปธิเปน รากเหงาแหงทุกข จึงเปนผูปราศจากอปุ ธิ พนวเิ ศษแลว ในธรรมเปนทส่ี น้ิ อปุ ธิ จักนอ มกายหรือปลอยจิตไปในอุปธิ น่ันไมใชฐ านะท่ีมีได. พระผมู พี ระภาคเจาไดต รัสภาษิตนแี้ ลว พระสุนักขตั ตะ ลจิ ฉวบี ตุ รชื่นชมยนิ ดภี าษิตของพระผูม ีพระภาคเจาแล. จบ สุนกั ขัตตสูตรท่ี ๕

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 119 อรรถกถาสนุ กั ขตั ตสูตร สนุ กั ขัตตสตู ร มีคําเรม่ิ ตนวา ขา พเจาไดฟง มาแลวอยางน้ีดังน้.ี พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในสนุ ักขัตตสตู รน้นั ดังตอ ไปน.ี้ พระอรหัตช่อื วาอัญญา. บทวา พฺยากตา ความวา อัญญา คือ พระอรหัต ทานกลาวดว ยบททัง้ ๔ มีอาทวิ า อธิมาเนน ความวา เปน ผมู ีความสาํ คัญธรรมทีต่ นยงั ไมถ ึงวา ถึงแลว มีความสําคัญผดิ วา พวกเราไดบ รรลแุ ลวดงั น้.ี บทวา เอว เอตฺก สนุ กขฺ ตฺต ตถาคตสฺส โหติ ความวา ดูกอนสนุ กั ขตั ตะ ในการทพี่ วกภกิ ษุเหลานี้ พยากรณพ ระอรหตั น้ี ตถาคตมีความดําริอยา งน้ีวา ฐานะน้ยี ังไมแ จมแจง ยังมืดอยสู ําหรับภิกษุทงั้ หลายเหลา นั้น ดว ยเหตุ ภิกษุเหลา นนั้ จงึ เปนผูม ีความสาํ คัญในธรรมทต่ี นยงั ไมไ ดบรรลวุ า บรรลุแลว เอาเถิด เราตถาคตแสดงธรรมแกภ กิ ษุเหลานัน้ ทาํ ใหบริสทุ ธใิ์ หป รากฏ.บทวา อถ จ ปนเี ธกจเฺ จ ฯปฯ ตสฺส โหติ อฺถตฺต ความวา พระผมู -ีพระภาคเจา ทรงแสดงธรรมแกพ วกภกิ ษผุ ูป ฏิบัติในเร่ืองที่มโี มฆบรุ ุษบางพวกต้งั อยใู นอจิ ฉาจาร พระผมู ีพระภาคเจา ก็ทรงเห็นวาโมฆบุรษุ เหลา นัน้ เรียนปญ -หานีแ้ ลว ไมรูเ ลย กท็ ําเหมือนรู เม่อื ยงั ไมถ งึ กส็ าํ คัญวา ถงึ จกั เท่ยี วโพนทนาคุณวิเศษไปในตามนิคมเปน ตน ขอนั้นก็จกั ไมเ ปนประโยชน จักเปน ทุกขแกโมฆบรุ ษุ เหลา น้นั ตลอดกาลนาน. พระดํารทิ ีเ่ กดิ ขน้ึ แตพระตถาคตวา เราจักแสดงธรรมเพ่ือประโยชนแ กผปู ฏบิ ัติ ยอ มจะเปลย่ี นแปลงไป เพราะเหตทุ ่ีพวกโมฆบรุ ุษตง้ั อยใู นอจิ ฉาจารดว ยอาการอยา งนี้ ทรงหมายเอาขอความนนั้ จงึ ไดตรัสคาํ นี้.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 120 บทวา โลกามสิ าธิมุตฺโต ความวา นอมไป คอื โนมไป โอนไปเงอ้ื มไป ในกามคณุ ๕ อนั เปน เหย่ือลอของวัฏฏะ เปนเหย่ือลอ ของกามและเปน เหยือ่ ลอ ของโลก. บทวา ตปฺปฏิรปู  ไดแ กมกี ามคณุ เปน สภาวะ. บทวาอาเนชฺ ปฏิส ยตุ ฺตาย แปลวา เก่ียวกับอาเนญชสมาบัติ. บทวา ส เสยยฺแปลวา พึงกลา ว. บทวา อาเนญชิ ส โยชนน หิ โข วสิ  ยุตโฺ ต ไดแ กไมค ลุกคลีดวยการเกย่ี วของในอาเนญชสมาบตั ิ. บทวา โลกามิสาธมิ ตุ โฺ ตความวา ก็พระเถระเห็นปานน้ี ครองจีวรปอน ๆ ถอื บาตรดนิ ไปยงั ปจจันต-ชนบทกับพระที่เหมือนกับคน ๒-๓ รปู ในเวลาเขาบานไปบิณฑบาต พวกมนุษยเห็นแลว พากนั กลาววา ทานผูถ ือมหาบังสกุ ลุ มาแลว ตา งก็ตระเตรยี มขา วตมและขา วสวยเปนตน ถวายทานโดยเคารพ. เมอ่ื ทา นฉันเสร็จ ไดฟ งอนุโมทนาแลว กลา ววา ทานเจาขา ถึงวนั พรงุ นี้ก็ขอนิมนตท านเขา มาบณิ ฑบาตในท่ีนีแ้ หละ. พระเถระกลาววา อยา เลย อบุ าสกทั้งหลาย แมว ันนี้ทานก็ถวายมากแลว . ชนท้งั หลายกลาววา ทานเจา ขา ถาอยา งนน้ั ขอทา นทงั้หลายพึงอยูในทีน่ ตี้ ลอดพรรษา ดงั น้ี ใหพ ระเถระรับนมิ นตแ ลว ถามทางไปยงัวหิ าร. ภกิ ษุทัง้ หลายถือเสนาสนะในวหิ ารนัน้ แลว เกบ็ บาตรและจวี ร. ในเวลาเย็น ภกิ ษเุ จาถิ่นรปู หน่งึ ไดถ ามภิกษุเหลา นั้นวา พวกทานเที่ยวบณิ ฑบาตทไ่ี หน ? พระอาคนั ตุกะ ตอบวา ในบานโนน . ถามวา ภกิ ษาสมบูรณหรอื ตอบวา สมบูรณข อรบั มนุษยท ง้ั หลายมศี รัทธาเหน็ ปานนี้ยังมอี ยู.ถามวา คนเหลานั้นจะเปน เชน น้ี เฉพาะวันนหี้ รอื หนอ ? หรอื เปนเชนนี้เปนนจิ เลย ? ตอบวา มนษุ ยเหลา นัน้ มศี รัทธาเชนนี้เปนนิจ วิหารน้ีอาศยั คนเหลาน้ันเทา นัน้ จึงเจริญดงั น้ี ตอแตนนั้ พวกภกิ ษผุ ถู อื ปงสุกลู ิกจีวรกังคธุดงคเหลานนั้ กลาวสรรเสริญคุณของคนเหลา นัน้ บอย ๆ กลา วตลอดหมดทั้งวันแมก ลางคืนกก็ ลาว. ดว ยเหตมุ ีประมาณเพียงนี้ ศีรษะของผตู ัง้ อยใู นอจิ ฉาจาร

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 121ก็หลดุ ไป ตอ งก็แตก. พึงทราบบุคคลผูนอมใจไปในโลกามสิ ดว ยประการฉะน้ี. บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงบุคคลผไู ดอาเนญชสมาบตั ิ ผูส าํ คญั ผิด จึงตรสั วา าน โข ปน ดงั น้เี ปน ตน . บทวา อาเนฺชาธิมตุ ฺตสสฺ ความวา ผูน อมไป คอื โนม ไป โอนไป เง้ือมไปในสมาบตั ิ ๖ มีในเบอ้ื งตาํ่ อันเวน จากเคร่อื งหว่นั ไหว คอื กิเลสะ บทวา เส ปวตุ เฺ ต แปลวา นน้ั หลดุ ไปแลว . เพราะอามิส คอื กามคณุ ๕ ยอมปรากฏแกผ ูไ ดสมาบัติ ๖ ผูสาํ คญั ผดิเหมอื นใบไมเหลอื งหลุดจากขว้ั ฉะนัน้ . ดว ยเหตนุ ีจ้ งึ ตรสั คาํ นนั้ . บัดน้ี เพอื่ จะทรงแสดงถึงความลําบาก ของผไู ดอากิญจัญญายตน-สมาบัตซิ ึ่งสําคัญผดิ จงึ ตรสั คําวา าน โข ปน ดังน้ี เปนตน . บรรดาบทเหลานัน้ บทวา เทวฺธา ภินนฺ า (แตก ๒ ซีก) ไดแ ก แตกตรงกลาง(หกั กลาง). บทวา อปฺปฏสิ นธฺ ิกา ความวา หนิ กอ นเล็ก ขนาดหลงั แผนหินอาจยาตอ ใหต ิดกันดวยชนั หรอื ยางเหนียว. แตทานหมายเอาหินกอนใหญขนาดเทา เรือนยอด จึงกลา วคําน้ี . บทวา เส ภนิ นฺ า ไดแก ภนิ นฺ  แปลวา มนั แตกแลว เบอ้ื งตาํ่ ยอมเปนเหมอื นหนิ แตกออก ๒ ซกี (หัก ๒ ทอ น)สาํ หรับผูไดส มาบตั สิ งู ขน้ึ ไป. ยอมไมเกดิ ความคดิ วา เราจกั เขา สมาบัตินั้นดงันี้ ดวยเหตนุ นั้ จึงตรสั คาํ นนั้ . บทวา อาเนฺชสโฺ ชเนหิ วสิ  ยุตฺโตความวา คลกุ คลีดวยการประกอบในอาเนญชสมาบัต.ิ บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงถึงความลาํ บากของทานผูไดเ นวสัญญานาสญั -ญายตนสมาบัตผิ ูส ําคัญผิด จงึ ตรัสวา าน โข ปน ดงั น้ีเปนตน . ในบทเหลา น้นั บทวา เส วนฺเต ไดแก ความเกยี่ วขอ งในอากิญจญั ญายตนะนน้ั อนั ผูไดเนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบตั ติ ายแลว เกดิ ขน้ึ จรงิ อยู สมาบัติเบอ้ื งตาํ่ ยอมปรากฏเปนเหมือนตายแลว สําหรับผูไดสมาบัติ ๘ ยอ มไมเ กิด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 122ความคดิ วา เราจกั เขา สมาบตั อิ ีก ดวยเหตุน้นั จงึ ตรัสคํา (วา เส วนเฺ ต)นน้ั . บัดน้ี เมอ่ื จะทรงแสดงความลาํ บากของพระขณี าสพ จึงตรสั วาาน โข ปน ดังนีเ้ ปนตน บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา เส อุจฺฉินเฺ นไดแก ความเกี่ยวขอ งในเนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบตั ิน้ันอนั ผนู อมใจไปในพระนพิ พานโดยชอบ ตัดขาดแลว. เพราะสมาบตั เิ บือ้ งตาํ่ ยอมปรากฏเหมอื นตาลรากขาด. สาํ หรบั ผไู ดส มาบัติเบอื้ งสงู ยอ มไมเกิดความคดิ ทว่ี า เราจักเขาสมาบตั นิ ้นั ดังน้ี ดวยเหตุนั้น จงึ ตรัสคาํ น.้ี คาํ วา าน โข ปเนต จ ดังนี้ เปนอนสุ นธิอันหนง่ึ จรงิ อยูพ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ความลาํ บากของทานผไู ดส มาบัติ ทงั้ ท่สี าํ คญั ผิดทงั้ ท่ีเปน พระขณี าสพไวใ นหนหลัง. แตสําหรบั ทา นทเี่ ปน สุกขวปิ ส สก ท้งั ทสี่ ําคญั ผิดท้ังทเ่ี ปนพระขณี าสพ มไิ ดตรัสไว. เพ่ือทรงแสดงความลําบาก แหง ทานแมท้ังสอง (คือผไู ดสมาบตั ิและสกุ ขวปิ ส สก) เหลา นนั้ จงึ ทรงเร่ิมเทศนาน้ี ก็คํานน้ี ัน้ ทานคัดคาน เพราะเมือ่ กลาวความลาํ บากของทา นผไู ดสมาบัติ ทสี่ ําคญั ผิดยอ มเปน อันกลา ว สําหรับทานทเ่ี ปนสุกขวปิ สสก ทง้ั ทานที่สําคัญผิด และเมือ่ กลาวความลาํ บากของทา นผไู ดสมาบัตทิ เี่ ปนพระขณี าสพ ก็เปนอนั กลาวสาํ หรบั ทา นท่ีเปนสิกขวปิ สสกแมท ่ีเปน พระขณี าสพดว ย. แตเพือ่ จะตรสัสัปปายะและอสปั ปายะของภกิ ษทุ ั้งสองเหลานัน้ จึงทรงเรม่ิ เทศนาน.้ี ในขอนนั้ พงึ มีอธบิ ายดังตอ ไปนี้. สําหรับปถุ ชุ น อารมณย ังไมเปน สปั ปายะ กช็ า งเถอะ แตสําหรบั พระขีณาสพอยางไรจึงไมเ ปน สัปปายะเลา ? ไมเ ปนสปั ปายะแกปุถชุ นดว ยอารมณใ ด กไ็ มเปนสปั ปายะเลยแมแกพ ระขีณาสพ แมด วยอารมณนั้น. ขึน้ ช่ือวายาพษิ รแู ลวกินกต็ าม ก็คงเปนยาพิษอยนู น่ั เอง. อนัพระขณี าสพจะพงึ เปนผูไ มสงั วร เพราะคดิ วา เราเปน พระขณี าสพ ดังน้ี ก็หาไม แมพ ระขีณาสพก็ควรจะเปน ผูข ะมักเขมน จงึ จะควร.

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 123 ในบทเหลานนั้ บทวา สมเณน ไดแก พทุ ธสมณะ. บทวาฉนฺทราคพฺยาปาเทน ความวา โทษอนั เปน พษิ คอื อวิชชานน้ั ยอ มแปรปรวน ยอ มกาํ เริบดวยฉันทราคะ และพยาบาท. บทวา อสปปฺ ายานิไดแก อารมณท ไ่ี มเจรญิ ใจ. บทวา อนุทธ เสยยฺ ไดแ ก พงึ ทําใหรว งโรยคือใหเ ห่ยี วแหง . บทวา สอุปาทเิ สส ไดแ ก สงิ่ ที่ยดึ ถือเปนสวนเหลือ ก็สิง่ ทีพ่ ึงยดึ ม่ัน คือสงิ่ ทีย่ ดึ ถอื นี้ทานเรียกวา อุปาท.ิ บทวา อล จ เตอนฺตภยาย ความวา ไมสามารถทําอนั ตรายแกชีวติ ของทา น. ธลุ แี ละละอองมลี ะอองขา วเปลอื กเปนตน ชอื่ วา รโชสุก . บทวา อสจุ ิวิสโทโส ไดแ กโทษอนั เปนพษิ นน้ั ดวย. บทวา ตทภุ เยน ไดแก ดว ยกริ ิยาอนั ไมเปนสปั ปายะ และโทษอนั เปน พิษทง้ั สองน้ัน. บทวา ปถุ ุตฺต ไดแ ก ความเปนแผลใหญ. ในคาํ วา เอวเมว โข นี้ พงึ เห็นโทษอันมีพษิ คอื อวิชชาทย่ี งัละไมไ ด เหมือนการถอนลูกศรอันมเี ช้ือ พึงเห็นเวลาท่ีไมสาํ รวมในทวารทงั้๖ เหมือนภาวะคือการทรงอยู แหง กิรยิ าอันไมส บาย การบอกคืนสิกขาแลวเวยี นมาเพ่อื ความเปน คนเลว เหมือนการตาย เพราะแผลบวมข้ึนดวยเหตุ ๒ประการนัน้ พงึ เหน็ การตองอาบัติหนัก เศรา หมองอยา งใดอยา งหน่งึ เหมือนทุกขปางตาย. แมใ นฝา ยขาว. พึงทราบการเปรยี บเทียบดวยความอปุ มา โดยนยั นแ้ี หละ. สตใิ นคาํ วา สติยา เอต อธวิ จน นี้มีคติเหมือนปญญา. โลกยิ -ปญญา ยอ มมีไดด ว ยปญ ญาอนั เปน โลกยิ ะ โลกุตรปญญายอมมไี ดด ว ยปญ ญาอนั เปนโลกตุ ระ บทวา อริยาเยต ปฺาย ไดแก วิปส สนาปญ ญา อนับรสิ ทุ ธ์.ิ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 124 บดั น้ี เม่อื จะทรงแสดงกาํ ลงั ของพระขีณาสพ จึงตรัสคาํ วา โส วตดงั น้ีเปน ตน . ในบทเหลานน้ั บทวา ส วตุ การี ไดแ ก ผมู ีปกตปิ ด. บทวาอิติ วทิ ิตวฺ า นริ ปุ ธิ ความวา เพราะรูอยางน้แี ลวละอปุ ธิคอื กิเลส ยอ มเปนผูไมม อี ุปธิ อธบิ ายวา ยอมเปน ผูไมมอี ปุ าทาน. บทวา อุปธิสงฺขเย วมิ ุตโฺ ตความวา นอมไปแลวโดยอารมณในพระนพิ พานอนั เปน ทสี่ ้นิ ไปแหงอุปธทิ งั้หลาย. บทวา อปุ ธิสมฺ ึ ไดแ ก ในอปุ ธคิ อื กาม. บทวา กาย อุปส หรสิ ฺสติความวา จกั ยงั กายใหต ิดอยู. ทานอธบิ ายวา ขอที่พระขีณาสพพน แลว ดวยอารมณใ นนพิ พานอนั เปนทสี่ น้ิ ตัณหา จกั นอ มกายเขา ไปหรอื จกั ยังจิตใหเกดิข้ึน เพ่อื เสพกามคณุ ๕ นน่ั มิใชฐานะที่จะมไี ด. คาํ ท่เี หลอื ในทกุ แหง งา ยทงั้ นัน้ แล. จบ อรรถกถาสุนกั ขัตตสูตรท่ี ๕

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 125 ๖ อาเนญชสปั ปายสูตร วาดวยปฏิปทาสว นโลกิยะและโลกตุ ระ [๘๐] ขา พเจา ไดฟง มาแลว อยางนี้ :- สมยั หนง่ึ พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยทู ่ีนิคมช่อื กัมมาสธรรมของชาวกรุ ุ ในแควน กรุ ุ. สมัยนั้น พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั เรยี กภกิ ษทุ ัง้ หลายวาดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษเุ หลา นนั้ ทลู รับพระดํารัสแลว . [๘๑] พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรสั ดงั นี้วา ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย กามไมเที่ยง เปน ของวา งเปลา เลอื นหายไปเปน ธรรมดา ลักษณะของกามดงั น้ี ไดทาํ ความลอ ลวงเปนท่บี น ถึงของคนพาล กามทง้ั ทมี่ ีในภพน้ี ทง้ั ท่ีมีในภพภายหนา และกามสัญญาทัง้ ท่มี ใี นภพนี้ ทงั้ ทม่ี ีในภพภายหนา ทัง้ สองอยางนี้ เปนแกง แหงมาร เปน วิสยั แหงมาร เปน เหย่อื แหงมาร เปน โคจรของมาร บาปอกศุ ลทางใจเหลา นี้ คอื อภชิ ฌาบา ง พยาบาทบาง สารมั ภะบาง เปน อยูใ นกามนี้ กามน่ันเอง ยอมเปน อนั ตรายแกอ ริยสาวก ผูตามศกึ ษาอยใู นธรรมวนิ ัยน.้ี [๘๒] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย อรยิ สาวกยอมพจิ ารณาเห็นในเรอื่ งกามนั้นดงั นีว้ า กามทัง้ ทม่ี ีในภพน้ี ทั้งทมี่ ใี นภพภายหนา และกามสัญญาท้งั ที่มีในภพน้ี ทง้ั ที่มีในภพภายหนา ทง้ั สองอยางนี้ เปนแกง แหง มาร เปน วสิ ยัแหงมาร เปนเหย่อื แหง มาร เปนโคจรของมาร บาปอกศุ ลทางใจเหลา นี้คืออภชิ ฌาบาง พยาบาทบาง สารัมภะบา ง เปนไปอยูในกามน้ี กามนัน่ เองยอ มเปน อันตรายแกอ ริยสาวกผตู ามศกึ ษาอยใู นธรรมวนิ ยั น้ี ถากระไรเราพงึ มีจิตเปนมหัคคตะอยา งไพบูลย อธษิ ฐานใจครอบโลกอยู เพราะเมื่อเรามจี ิตเปน

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 126มหัคคตะอยา งไพบูลย อธิษฐานใจครอบโลกอยู บาปอกุศลทางใจ คืออภิชฌากด็ ี พยาบาทก็ดี สารมั ภะก็ดี นัน้ จกั ไมม ี เพราะละอกุศลเหลา นนั้ ได จิตของเราทไ่ี มเ ปนกามาวจรนนั่ แหละ จกั กลายเปนจิตหาประมาณมิได อนั เราอบรมดแี ลว เมอื่ อรยิ สาวกนนั้ ปฏบิ ตั ิแลวอยา งนี้ เปน ผมู ากดว ยปฏปิ ทานั้นอยู จติ ยอมผอ งใสในอายตนะ เมอ่ื มีความผอ งใสกจ็ ะเขาถงึ อาเนญชสมาบัติหรอื จะนอ มใจไปในปญญาไดในปจ จุบนั เมือ่ ตายไป ขอ ทว่ี ิญญาณอนั จะเปนไปในภพน้นั ๆ พึงเปนวญิ ญาณเขา ถงึ สภาพหาความหวั่นไหวมไิ ด นัน่ เปนฐานะทีม่ ไี ด ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย นี้เราเรียกวา ปฏิปทามอี าเนญชสมาบตั เิ ปนทีส่ บายขอ ท่ี ๑. [๘๓] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ยังมอี ีกขอ หนึง่ อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้ ซึ่งกามท้ังที่มใี นภพน้ี ทง้ั ทีม่ ใี นภพภายหนา และกามสญั ญาทงั้ ทม่ี ใี นภพนี้ ทง้ั ท่ีมใี นภพภายหนา ซึง่ รูปบางชนดิ และรูปทง้ั หมด คอื มหาภตู ๔และรูปอาศัยมหาภตู ทงั้ ๔ เม่อื อริยสาวกน้นั ปฏบิ ัติแลว อยา งนี้ ดว ยประการน้ีเปนผูมากดวยปฏิปทาน้นั อยู จติ ยอมผองใสในอายตนะ เมือ่ มคี วามผอ งใสก็จะเขา ถงึ อาเนญชสมาบตั ิหรอื จะนอมใจไปในปญ ญาไดใ นปจ จุบัน เม่อื ตายไป ขอทว่ี ิญญาณอนั จะเปนไปในภพนั้น ๆ พึงเปนวญิ ญาณเขา ถึงสภาพหาความหวนั่ ไหวมไิ ด นั่นเปนฐานะทม่ี ีได ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกวา ปฏปิ ทามีอาเนญชสมาบตั เิ ปนที่สบายขอท่ี ๒. [๘๔] ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ยงั มอี ีกขอ หนึง่ อริยสาวกยอมพจิ ารณาเห็นดงั นวี้ า กามท้ังท่มี ใี นภพน้ี ท้งั ท่มี ใี นภพภายหนา และกามสญั ญาทง้ั ท่ีมีในภพน้ี ท้งั ทม่ี ีในภพภายหนา. รูปทั้งท่มี ใี นภพนี้ ทั้งท่มี ีในภพภายหนา และรูปสญั ญาทั้งท่ีมีในภพนี้ ทั้งทมี ีในภพภายหนา ทัง้ สองอยา งนี้ เปน ของไมเที่ยงสิง่ ใดไมเ ท่ียง สงิ่ นัน้ ไมควรยินดี ไมค วรบนถึง ไมค วรติดใจ เมื่ออริยสาวก

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 127นน้ั ปฏิบัติแลว อยา งน้ี เปน ผูม ากดวยปฏิปทาน้ันอยู จติ ยอ มผองใสในอายตนะเมือ่ มีความผองใสกจ็ ะเขา ถึงอาเนญชสมาบัติ หรอื จะนอมใจไปในปญญาไดในปจจบุ ัน เมอ่ื ตายไป ขอท่ีวญิ ญาณอนั จะเปน ไปในภาพน้ัน ๆ พงึ เปน วญิ ญาณเขาถงึ สภาพหาความหวนั่ ไหวมิได น่ันเปน ฐานะทม่ี ีได ดกู อนภิกษุท้ังหลายน้ีเราเรียกวา ปฏิปทามอี าเนญชสมาบัตเิ ปนทส่ี บายขอ ท่ี ๓. [๘๕] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ยังมอี ีกขอหน่ึง อรยิ สาวกยอ มพิจารณาเห็นดังนว้ี า กามทงั้ ท่ีมใี นภพน้ี ทงั้ ทม่ี ีในภพภายหนา และกามสญั ญาท้ังทมี่ ีในภพน้ี ทั้งท่มี ีในภพภายหนา รูปท้ังทมี่ ใี นภพนี้ ทง้ั ทมี่ ใี นภพภายหนา และรูปสัญญาท้ังทม่ี ีในภพน้ี ทง้ั ทีม่ ใี นภพภายหนา และอาเนญชสัญญาท้ังหมดนี้ยอ มดบั ไมม ีเหลอื ในทใี่ ด ทนี่ ั้นคืออากญิ จญั ญายตนะอันดีประณีต เมื่ออรยิ -สาวกปฏบิ ตั แิ ลว อยา งน้ี เปน ผูมากดว ยปฏปิ ทานั้นอยู จิตยอมผอ งใสในอาย-ตนะ เมื่อมีความผองใสกจ็ ะเขาถงึ อากญิ จญั ญายตนะ หรอื จะนอมใจไปในปญ ญาไดในปจจุบนั เม่ือตายไป ขอที่วญิ ญาณอันจะเปนไปในภพนัน้ ๆ พึงเปนวิญญาณเขา ถงึ ภพอากิญจญั ญายตนะ นัน่ เปน ฐานะทมี่ ีได ดกู อ นภกิ ษุท้งัหลาย นเี้ ราเรียกวา ปฏิปทามอี ากญิ จัญญายตนสมาบตั ิเปน ทีส่ บายขอ ท่ี ๑. [๘๖] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ยังมอี กี ขอ หนึ่ง อรยิ สาวกอยใู นปากด็ ีอยทู ีโ่ คนไมกด็ ี อยูใ นเรือนวา งก็ดี ยอ มพจิ ารณาเห็นดงั น้ีวา สิ่งน้ีวา งเปลาจากตนหรือจากความเปน ของตน เม่อื อริยสาวกนัน้ ปฏบิ ตั ิแลว อยา งน้ี เปนผูมากดวยปฏิปทาน้ันอยู จติ ยอ มผอ งใสในอายตนะ เม่ือมคี วามผองใสก็จะเขาถงึอากญิ จัญญายตนะ หรอื จะนอมใจไปในปญ ญาไดใ นปจจุบนั เมื่อตายไป ขอ ที่วิญญาณอนั จะเปนไปในภพนนั้ ๆ พงึ เปน วิญญาณเขาถึงภพอากญิ จัญญายตนะนัน่ เปน ฐานะที่มไี ด ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย นีเ้ ราเรียกวา ปฏิปทามีอากิญจัญ-ญายตนสมาบตั เิ ปน ท่ีสบายขอ ท่ี ๒.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 128 [๘๗] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ยงั มอี กี ขอหน่งึ อริยสาวกยอ มพจิ ารณาเหน็ ดงั นวี้ า เราไมม ใี นทไี่ หนๆ สง่ิ นอยหนงึ่ ของใคร ๆ หามใี นเราน้นั ไม และสิง่ นอ ยหน่งึ ของเราก็หามีในท่ไี หน ๆ ไม ในใคร ๆ ยอมไมม ีสง่ิ นอยหน่งึ เลยเมือ่ อริยสาวกนน้ั ปฏิบตั แิ ลว อยางน้ี เปนผมู ากดวยปฏิปทานั้นอยู จิตยอ มผอ งใสในอายตนะ เมื่อมีความผอ งใส กจ็ ะเขา ถงึ อากิญจญั ญายตนะ หรอื จะนอ มใจไปในปญ ญาไดในปจจุบัน เม่อื ตายไป ขอ ทีว่ ญิ ญาณอนั จะเปนไปในภพน้นั ๆ พึงเปนวญิ ญาณเขา ถงึ ภพอากิญจญั ญายตนะ นั่นเปน ฐานะทมี่ ไี ด ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย นเี้ ราเรยี กวา ปฏปิ ทามีอากิญจญั ญายตนะ สมาบัตเิ ปน ท่ีสบายขอ ที่ ๓. [๘๘] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ยงั มอี ีกขอหนึ่ง อริยสาวกยอมพิจารณาเห็นดงั น้วี า กามทัง้ ที่มใี นภพน้ี ทั้งทม่ี ีในภพภายหนา และกามสัญญา ท้ังทมี่ ีในภพนี้ ทั้งท่ีมีในภพหนา. รูปทงั้ ท่ีมใี นภพนี้ ทัง้ ท่มี ใี นภพภายหนา อยู และรูปสญั ญาทัง้ ที่มีในภพน้ี ทั้งทีม่ ใี นภพภายหนา และอาเนญชสัญญา อากิญจญั ญาย-ตนสัญญา สัญญาทั้งหมดนี้ ยอ มดับไมมีเหลือในท่ใี ด ทน่ี นั่ คือเนวสัญญานา-สญั ญายตนะอนั ดี ประณีต เมอื่ อริยสาวกปฏบิ ตั แิ ลว อยางน้ี เปน ผมู ากดว ยปฏิ-ปทานัน้ อยู จิตยอ มผองใสในอายตนะ เม่อื มคี วามผองใสก็จะเขา ถงึ เนวสญั ญานาสัญญายตนะ หรือจะนอ มใจไปในปญ ญาไดใ นปจ จบุ ัน เมือ่ ตายไป ขอ ท่ีวิญญาณอันจะเปน ไปในภพนั้น ๆ พงึ เปน วิญญาณเขาถงึ ภพเนวสัญญานาสญั -ญายตนะ น่ันเปนฐานะทีม่ ีได ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย นีเ้ ราเรยี กวา ปฏปิ ทามีเนวสญั ญานาสญั ญายตนสมาบตั ิเปนท่สี บาย. [๙๘] เมอื่ พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสแลว อยา งนี้ ทา นพระอานนทไ ดทูลพระผูมีพระภาคเจา ดงั น้ีวา ขา แตพ ระองคผูเจริญภิกษุในธรรมวินัยน้เี ปนผูปฏบิ ัตแิ ลว อยางน้ี ยอมไดอเุ บกขาโดยเฉพาะ ดวยคิดวา สงิ่ ท่ไี มมีกไ็ มพ ึงมีแกเรา และจักไมม แี กเ รา เราจะละส่งิ ทก่ี ําลังมอี ยู และมมี าแลว นั้น ๆ เสีย

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 129ขา แตพ ระองคผเู จรญิ ภกิ ษุนั้นพงึ ปรนิ พิ พานหรือหนอ หรอื วา ไมพงึ ปริ-นิพพาน. พระผูมพี ระภาคเจาตรัสวา ดูกอนอานนท ภิกษบุ างรูปพงึ ปรินิพพานในอัตภาพนี้กม็ ี บางรูปไมพงึ ปรินพิ พานในอตั ภาพนีก้ ม็ ี. อา. ขา แตพ ระองคผูเ จริญ อะไรหนอแล เปนเหตุ เปน ปจจัยใหภกิ ษบุ างรูปปรนิ ิพพานในอัตภาพนก้ี ็มี บางรปู ไมปรนิ ิพพานในอัตภาพนกี้ ม็ .ี [๙๐] พ. ดกู อนอานนท ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี เปน ผปู ฏิบัตแิ ลวอยา งนี้ ยอมไดอุเบกขาโดยเฉพาะดว ยคิดวา สิ่งท่ไี มม กี ็ไมพ ึงมแี กเ รา และจกั ไมม แี กเรา เราจะละส่งิ ท่ีกําลงั มีอยู และมีมาแลว น้นั ๆ เสีย เธอยินดีบน ถงึ ตดิ ใจอุเบกขานั้นอยู เม่ือเธอยินดี บนถึง ตดิ ใจอเุ บกขานัน้ อยูวิญญาณยอมเปน อันอาศัยอเุ บกขานั้น ยึดมน่ั อุเบกขานนั้ ดูกอนอานนท ภกิ ษุผูมีความยดึ มน่ั อยู ยอมปรินพิ พานไมไ ด. อา. ขา แตพ ระองคผูเ จรญิ กภ็ กิ ษุนั้นเมอื่ เขา ถอื เอา จะเขาถือเอาทไี่ หน. พ. ดกู อนอานนท ยอ มเขา ถอื เอาเนวสัญญานาสญั ญายตนภพ. อา. ขา แตพระองคผูเจรญิ ขาพระองคข อทราบวา ภิกษุนัน้ เมือ่ เขาถือเอา ชื่อวายอมเขาถือเอาแดนอนั ประเสริฐสุดที่ควรเขาถอื เอาหรือ. พ. ดกู อนอานนท ภิกษนุ น้ั เมอื่ เขา ถอื เอา ยอมเขาถือเอาแดนอนัประเสรฐิ สุดทีค่ วรเขาถอื เอาได ก็แดนอันประเสริฐสุดทค่ี วรเขา ถือเอาไดน ี้คอื เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ. [๙๑] ดกู อ นอานนท ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี เปนผูปฏิบัติแลวอยา งนี้ยอมไดเฉพาะอเุ บกขาดว ยคิดวา สิ่งท่ไี มม กี ไ็ มพึงมีแกเ รา และจักไมม แี กเรา เราจะละสิ่งทกี่ ําลงั มอี ยู และมมี าแลว น้นั ๆ เสยี เธอไมย ินดี ไมบ นถงึ ไมต ิดใจอเุ บกขาน้ันอยู เมอ่ื เธอไมยนิ ดี ไมบน ถงึ ไมติดใจอุเบกขานนั้










































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook