Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_22

tripitaka_22

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_22

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 160จิตหดหู หรือจิตฟุง ซานก็รวู า จิตฟงุ ซาน จิตเปน มหัคคตะกร็ ูวาจิตเปนมหคั -คตะ จติ ไมเ ปนมหัคคตะก็รูวา จิตไมเ ปนมหคั คตะ จิตยงั มีจติ อน่ื ยง่ิ กวากร็ ูว า-จติ ยังมีจติ อ่ืนยงิ่ กวา หรอื จิตไมมีจิตอนื่ ย่งิ กวาก็รวู าจิตไมมีจติ อ่นื ยิ่งกวา จติตัง้ มน่ั ก็รวู า จิตตง้ั ม่นั หรอื จิตไมตง้ั มน่ั กร็ วู า จิตไมตงั้ มน่ั จติ หลุดพนแลว ก็รูวาจติ หลุดพนแลว หรอื จิตยงั ไมห ลุดพนก็รวู า จติ ยงั ไมหลุดพน (๘) ยอ มระลกึ ถงึ ขันธท่อี ยูอ าศยั ในชาติกอ นไดเ ปน อเนกประการ คือระลกึ ไดชาติหน่งึ บาง สองชาตบิ า ง สามชาติบา ง สี่ชาตบิ าง หา ชาติบางสบิ ชาติบาง ยี่สิบชาติบาง สามสบิ ชาติบา ง สสี่ ิบชาติบา ง หาสิบชาติบา งรอ ยชาตบิ าง พันชาตบิ า ง แสนชาตบิ าง หลายสังวฏั กัปบาง หลายวิวฏั กปับา ง หลายสังวัฏววิ ฏั กปั บา ง วา ในชาติโนนเรามีชอ่ื อยา งนี้ มโี คตรอยา งนี้ มผี วิ พรรณอยางน้ี. มอี าหารอยางน้ี เสวยสขุ และทกุ ขอยา งน้ี มีกาํ หนดอายเุ ทา นี้ เรานัน้ เคล่อื นจากชาตินั้นแลว บงั เกิดในชาติโนน แมใ นชาตินน้ัเรากม็ ชี ื่ออยา งน้ี มีโคตรอยา งนี้ มีผวิ พรรณอยางน้ี มีอาหารอยา งน้ี เสวยสุขและทุกขอ ยา งนี้ กม็ กี าํ หนดอายเุ ทาน้ี เรานั้นเคล่ือนจากชาตินัน้ แลว จึงเขา ถึงในชาตนิ ี้ ยอ มระลกึ ถงึ ขันธท ่อี ยูอาศยั ในชาตกิ อนไดเปนอเนกประการพรอมท้งั อาการ พรอมทั้งอเุ ทศ เชนน้ี (๙) ยอมมองเห็นหมูส ตั ว กําลงั จุติ กาํ ลังอุปบตั ิ เลว ประณีตมีผวิ พรรณดี มีผวิ พรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพยจกั ษอุ นั บรสิ ุทธ์ิลวงจกั ษุของมนษุ ย ฯลฯ ยอ มมองเหน็ หมสู ัตวท ีก่ าํ ลงั จตุ ิ กําลงั อุปบตั ิ เลวประณีต มผี วิ พรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพยจกั ษอุ ันบรสิ ทุ ธิ์ ลวงจกั ษขุ องมนษุ ย ยอ มทราบชัดหมูส ตั วผ ูเปน ไปตามกรรมเชนน้ี (๑๐) ยอ มขาถึงเจโตวมิ ตุ ติ ปญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมไิ ดเพราะอาสวะทัง้ หลายสิน้ ไป ทําใหแ จงเพราะรูย ง่ิ ดว ยตนเองในปจ จบุ นั อยู

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 161 ดูกอ นพราหมณ เหลา นี้แล ธรรมเปน ที่ต้งั แหงความเล่อื มใส ๑๐ประการ อนั พระผูมพี ระภาคเจา พระองคนัน้ ผทู รงรู ทรงเห็น เปนพระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธตรัสบอกไว บรรดาพวกอาตมภาพ รปู ใดมธี รรมเหลานอ้ี าตมภาพทงั้ หลายยอมสักการะ เคารพ นับถอื บูชารูปน้ัน ครนั้ สกั การะเคารพแลว ยอมเขาไปอาศยั อยใู นบัดน้.ี [๑๑๔] เม่อื ทานพระอานนทกลาวแลว อยา งน้ี วสั สการพราหมณมหาอํามาตยแหงมคธรัฐ ไดเรยี กอปุ นันทะเสนาบดมี าพดู วา ดูกอนเสนาบดีทานจะสาํ คัญความขอน้ันเปนไฉน ทพ่ี ระคุณเจาเหลานั้น สักการะธรรมท่ีควรสักการะ เคารพธรรมท่คี วรเคารพ นับถอื ธรรมทีค่ วรนับถอื บูชาธรรมท่ีควรบชู าอยอู ยา งน้ี ตกลงพระคุณเจา เหลานี้ ยอ มสักการะธรรมท่ีควรสักการะเคารพธรรมทีค่ วรเคารพ นับถอื ธรรมท่ีควรนบั ถอื บชู าธรรมทค่ี วรบูชา ก็ในเมอ่ื พระคณุ เจาเหลาน้ันจะไมพงึ สกั การะ เคารพ นบั ถือ บูชาสง่ิ น้.ี พระ-คณุ เจา เหลานนั้ จะพึงสกั การะ เคารพ นับถอื บชู าสิง่ ไร แลวจะเขาไปอาศัยส่ิงไรอยูไดเ ลา. [๑๑๕] ตอ นั้น วสั สการพราหมณมหาอํามาตยแ หง มคธรัฐ ถามทา นพระอานนทด ังนีว้ า ก็เวลานี้ ทานพระอานนทอ ยทู ่ไี หน. อา. ดกู อ นพราหมณ เวลานี้ อาตมภาพอยทู ่พี ระวิหารเวฬวุ นั . ว. ขาแตท า นพระอานนท ก็พระวิหารเวฬุวัน เปน ทีร่ ื่นรมย เงียบเสียงและไมอกึ ทกึ ครกึ โครม มลี มพัดเย็นสบาย เปนทีพ่ ักผอนของมนษุ ยสมควรแกก ารหลกี ออกเรน อยูหรือ. อา. ดูกอ นพราหมณ แนน อน พระวหิ ารเวฬุวัน จะเปนท่ีร่ืนรมยเงยี บเสียง และไมอกึ ทกึ ครกึ โครม มีลมพดั เยน็ สบาย เปนท่พี กั ผอนของมนษุ ย สมควรแกการหลีกออกเรน อยู ก็ดวยมีผรู ักษาคมุ ครองเชนทา น.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 162 [๑๑๖] ว. ขาแตทานพระอานนท ความจริง พระวหิ ารเวฬุวนั จะเปนท่ีรน่ื รมย เงียบเสียง และไมอกึ ทึกครกึ โครม มีลมพดั เย็นสบาย เปนทีพ่ ักผอนของมนุษย สมควรแกการหลกี ออกเรนอยู ก็ดวยมพี ระคณุ เจา ทง้ัหลายเพงฌานและมฌี านเปนปกตติ างหาก พระคุณเจา ทง้ั หลายทงั้ เพงฌานและมฌี านเปน ปกติทเี ดียว ขา แตท า นพระอานนท ขาพเจาขอเลา ถวาย สมยั หน่ึงทา นพระโคดมพระองคนัน้ ประทบั อยทู กี่ ูฏาคารศาลา ในปามหาวนั กรงุ -เวสาลี ครง้ั น้นั แล ขาพเจาเขา ไปเฝา ทา นพระโคดมพระองคน น้ั ยงั ท่ีประทบัณ กฏู าคารศาลา ปา มหาวนั ณ ทน่ี ั้น พระองคไดต รสั ฌานกถาโดยอเนกปริยาย พระองคท งั้ เปน ผเู พง ฌานและเปน ผมู ีฌานเปน ปกติ และกท็ รงสรร-เสรญิ ฌานทง้ั ปวง. [๑๑๗] อา. ดกู อนพราหมณ พระผูมีพระภาคเจา พระองคน ้นั ทรงสรรเสรญิ ฌานทงั้ ปวงกม็ ใิ ช ไมทรงสรรเสริญฌานท้งั ปวงก็มิใช พระองคไ มทรงสรรเสรญิ ฌานเชนไร ดกู อ นพราหมณ ภกิ ษุบางรูปในธรรมวนิ ยั น้ี มีใจรัญจวนดวยกามราคะ ถกู กามราคะครอบงาํ อยู และไมร จู กั สลัดกามราคะอนัเกิดขน้ึ แลว ตามความเปน จริง เธอยอ มเพง เล็ง จดจอ ปก ใจมุงหมายเฉพาะกามราคะ ทํากามราคะไวในภายใน มใี จปนปว นดวยพยาบาท ถูกพยา-บาทครอบงาํ อยู และไมรจู ักสลดั พยาบาทอันเกิดขึน้ แลว ตามความเปน จรงิเธอยอมเพง เล็ง จดจอ ปก ใจมุงหมายเฉพาะพยาบาท ทาํ พยาบาทไวใ นภาย-ใน มใี จกลัดกลุมดวยถนี มิทธะ ถูกถนี มทิ ธะครอบงาํ อยแู ละไมร จู กั สลดั ถนี -มิทธะอันเกิดขน้ึ แลว ตามความเปน จริง เธอยอ มเพง เล็ง จดจอ ปกใจ มงุหมายเฉพาะถีนมทิ ธะ ทาํ ถนี มทิ ธะไวใ นภายใน มีใจกลัดกลมุ ดว ยอทุ ธจั จกุก-กุจจะครอบงาํ อยู และไมรจู ักสลดั อุทธัจจกกุ กุจจะอนั เกดิ ขึ้นแลว ตามความ

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 163เปนจริง เธอยอมเพง เล็ง จดจอ ปกใจ มงุ หมายเฉพาะอุทธัจจกกุ กุจจะ ทาํอทุ ธัจจกุกกจจะไวใ นภายใน มีใจกลดั กลุมดว ยวจิ กิ จิ ฉา ถกู วจิ ิกจิ ฉาครอบงาํอยู และไมรจู กั สลัดวิจิกิจฉาอนั เกดิ ข้ึนแลว ตามความเปนจริง เธอยอมเพงเลง็ จดจอ ปกใจ มงุ หมายเฉพาะวิจกิ จิ ฉา ทําวิจกิ จิ ฉาไวใ นภายใน ดกู อนพราหมณพ ระผูมีพระภาคเจาพระองคน ้ันไมท รงสรรเสริญฌานเชน นแี้ ล. ดูกอ นพราหมณ ก็พระผูม ีพระภาคเจาพระองคน ้นั ทรงสรรเสรญิ ฌานเชนไรเลาภิกษุในธรรมวินัยน้ี สงดั จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เขา ปฐมฌาน มวี ิตกมวี ิจาร มปี ติและสุขเกดิ แตว เิ วกอยู เขาทตุ ิยฌาน มีความผองใสแหงใจภายใน มคี วามเปน ธรรมเอกผุดขนึ้ เพราะสงบวิตกและวิจาร ไมมีวิตกไมมวี ิจารมปี ติและสุขเกิดแตส มาธิอยู เปนผวู างเฉยเพราะหนายปติ มีสตสิ ัมปชัญญะอยู และเสวยสุขดวยนามกาย เขาตติยฌานท่พี ระอริยะเรียกเธอไดวา ผวู างเฉย มีสตอิ ยูเ ปน สขุ อยู เขาจตตุ ถฌาน อนั ไมมที กุ ข ไมมีสขุ เพราะละสขุละทกุ ข และดบั โสมนัส โทมนสั กอ นๆ ได มสี ติบรสิ ทุ ธเิ์ พราะอุเบกขาอยู ดูกอ นพราหมณ พระผมู พี ระภาคเจาพระองคน ้ันทรงสรรเสริญฌานเชนนี้แล. [๑๑๘] ว. ขาแตทา นพระอานนท เปนอนั วา ทานพระโคดมพระองคน้นั ทรงตเิ ตียนฌานที่ควรตเิ ตยี น ทรงสรรเสรญิ ฌานทคี่ วรสรรเสรญิเอาละ ขา พเจามีกจิ มาก มกี รณียะมาก จะขอลาไปในบดั น้ี. อา. ดูกอนพราหมณ ขอทานโปรดสําคัญกาลอันควรในบดั นี้ เถดิตอน้นั วสั สการพราหมณมหาอํามาตยแ หง มคธรฐั ชืน่ ชมยนิ ดีภาษิตของทา นพระอานนทแลว ลกุ จากอาสนะหลกี ไป. [๑๑๙]. ครั้งนน้ั เมอื่ วสั สการพราหมณม หาอาํ มาตยแหงมคธรัฐหลีกไปแลว ไมนาน พราหมณโคปกโมคคัลลานะ ไดก ลา วกะทานพระอานนท

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 164ดังนวี้ า ปญ หาของขา พเจา ซ่งึ ขา พเจา ไดถามทา นพระอานนทนัน้ พระคณุ เจายังมไิ ดพยากรณแกขา พเจาเลย. ทานพระอานนทกลาววา ดูกอนพราหมณ เราไดกลา วแกท า นแลวมิใชห รอื วา ดูกอนพราหมณ ไมมเี ลยแมสักรปู หนง่ึ ผูถงึ พรอมดว ยธรรมทกุ ๆขอ และทกุ ๆ ประการ ท่ีพระผมู พี ระภาคเจา พระองคนัน้ ผูเ ปน พระอรหันต-สมั มาสัมพุทธทรงถงึ พรอมแลว เพราะพระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ั้น ทรงใหมรรคท่ียังไมอุบตั ไิ ดอุบตั ิ ที่ยังไมเ กิดไดเ กดิ ตรสั บอกมรรคที่ยงั ไมม ีใครบอก ทรงทราบมรรค ทรงรมู รรค และทรงฉลาดในมรรค สวนเหลา สาวกในบดั นี้ เปน ผูดาํ เนินตามมรรค จึงถึงพรอมในภายหลงั อยู. จบ โคปกโมคลัลลานสตู รท่ี ๘

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 165 อรรถกถาโคปกโมคคัลลานสูตร โคปกโมคคัลลานสตู ร มีคาํ เริ่มตน วา ขาพเจาไดฟงมาแลวอยา งนี.้ พงึ ทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดงั ตอ ไปนี.้ บทวา อจิรปรนิ ิพพฺ ุเตภควติ ความวา เมือ่ พระผูมพี ระภาคเจา ปรนิ พิ พานแลว คือในกาลทพ่ี ระอานนทแบง พระธาตแุ ลว มายงั กรุงราชคฤหเ พ่ือจะทําการสงั คายนาพระธรรม. บทวารฺโ ปชโฺ ชตสฺส อาสงฺกมาโน ความวา พระราชาพระนามวา จัณฑ-ปชโชตพระองคน ี้ เปน พระสหายของพระเจา พิมพิสารมหาราช. กต็ งั้ แตเวลาท่ีสงหมอชีวกไปปรงุ เภสัชถวาย ก็ยิ่งเปน มติ รกันแนน แฟน ขนึ้ . ทา วเธอทรงสดบั วา. พระเจาอชาตศัตรูเชอื่ คาํ ของพระเทวทัต ปลงพระชนมพ ระบดิ า จึงไดตรสั ในที่ประชมุ วา พระเจา อชาตศตั รูนี้ฆา สหายรกั ของเราแลว สาํ คญั(ม่นั หมาย) วาจกั ครองราชสมบตั ิ ดงั นี้ เราจะใหเ ขารวู า เรายังมอี ยูในบรรดาเหลา สหายผูมียศใหญ. พระเจา อชาตศตั รูนน้ั ทรงเกดิ ความระแวง เพราะไดท รงสดับคาํ นัน้ . เพราะเหตุน้นั จงึ ตรัสวา ทรงระแวงพระเจาปชโชต ดังน.ี้ บทวากมมฺ นโฺ ต ไดแก สถานทที่ าํ งาน เพอ่ื ตองการซอมแซมดา นนอกพระนคร. บทวา อปุ สงกฺ มิ ความวา พระอานนทร ูอยูว า พวกเราเทีย่ วไปดวยหมายใจวา จกั ใหท าํ การรอยกรองพระธรรมวินยั พราหมณโคปกโมคคัลลานะน้ีเปน ขา ราชการผมู ีศักดใ์ิ หญ เมอ่ื เขาสนบั สนุน เขาพึงทาํ การอารกั ขาพระเวฬุวันดังนี้ จึงเขาไปหา. บทวา เตหิ ธมเฺ มหิ ไดแกด ว ยธรรมคือ พระสัพพัญตุ ญาณเหลา น้นั . บทวา สพเฺ พน สพพฺ  ไดแ ก ทกุ ขอโดยอาการทงั้ ปวง. บทวา สพพฺ ถา สพฺพ ไดแก ทุกขอโดยสวนทง้ั ปวง.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 166พราหมณ กลาววา ขาพเจา ขอถามอะไร (สักอยา ง). ขาพเจาขอถามขอ นี้วา ก็ครูทง้ั ๖ เกดิ กอน ออกบวชจากตระกูลทีไ่ มม ใี ครรจู กั พวกเขาตายในเมื่อพระตถาคตยงั ทรงพระชนมอ ยู แมส าวกท้ังหลายของพวกเขากอ็ อกบวชจากตระกลู ท่ีไมม ีใครรูจ กั เหมือนกัน. ตอเมอ่ื พวกเขาลวงลับไป สาวกทงั้ หลายเหลา น้นัไดกอ การวิวาทกันใหญ. สวนพระสมณโคดมเสดจ็ ออกผนวชจากตระกูลใหญตอ เมือ่ พระสมณโคดมนน้ั ลว งไปแลว พระสาวกทง้ั หลายจกั กอ การววิ าทกันใหญ ถอ ยคาํ ดงั วา มาน้ี ไดเกิดแพรไ ปทั่วชมพูทวปี ดว ยประการดงั นี้ ก็เม่อื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ยงั ทรงพระชนมอ ยู ภิกษทุ ัง้ หลายมิไดว ิวาทกนั เลยแมค วามววิ าทท่ไี ดมขี นึ้ นนั้ กไ็ ดส งบไปในท่ีนัน้ แหละ. ก็ในเวลาที่พระสมั มา-สมั พุทธเจา เสด็จปรนิ ิพพาน ภกิ ษทุ ง้ั หลายมากมายเกดิ ความสลดใจใหญหลวงวา มัจจุราชไมอ ดสตู อพระศาสดา ผทู รงบาํ เพ็ญบารมี ๓๐ ทศั ใหบริบรู ณแลวบรรลพุ ระสัพพัญุตญาณเหมอื นใบไมแก (จะตง้ั อยูไดอยางไร) ขา งหนา ลมท่ีสามารถพดั พาภูเขาสเิ นรอุ ันสูงหกลานแปดแสนโยชนใ หเ คล่ือนได จักอดสูตอ ใครกนั ดงั นีแ้ ลว ไดเ ปน ผูพรอ มเพรยี งกัน สงบราบเรียบยิง่ ขอนีเ้ พราะเหตุไร? บทวา อนุสฺ ายมาโน แปลวา ตรวจตราอยู. อธบิ ายวา รูการงานทที่ ําแลว และยงั ไมไดท าํ . อกี อยา งหน่งึ ไดแ กต ดิ ตาม (ผลงาน). บทวา อตฺถิ นุ โข ไดแ ก วัสสการพราหมณน ถี้ ามเร่อื งทมี่ ีในหนหลัง. บทวา อปปฺ ฏิสสฺ รเณ ไดแกเ มอ่ื ธรรมวินยั ไมเ ปนทพ่ี ึง่ อาศยั . บทวาโก เหตุ ธมฺมสามคคฺ ยิ า ความวา ใครเปน เหตุ ใครเปนปจจยั แหงความพรอ มเพรยี งของทา นทั้งหลาย. ดวยบทวา ธมมฺ ปฏสิ สฺ รโณ แสดงวาธรรมเปนท่ีพึ่ง ธรรมเปนทอี่ าศัยของเราท้งั หลาย.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 167 บทวา วตฺเตติ (การสวดปาตโิ มกขยอ มเปน ไป) คอื เปนคณุ ท่คี ลอ งแคลว มา. คําท้ังสองนีว้ า อาปตฺติ วา วตี กิ กฺ โม วา ตอ งอาบตั หิ รือลวงละเมิด ดงั นี้ เปน การลวงละเมดิ พระบัญญตั ิของพระพุทธเจานนั่ แหละ. บทวา ยถาธมมฺ  ยถานุสฏิ  กาเรม (พวกเราจะใหเ ธอทาํ ตามธรรมตามที่ทรงสั่งสอนไว) อธบิ ายวา พวกเราจะใหเธอทําตามธรรมและคาํ ส่ังสอนท่ที รงต้ังไว. โน อักษร แมใน ๒ บทวา น กริ โน ภวนโฺ ต กาเรนตฺ ิธมฺโมว กาเรติ เปนเพยี งนิบาต. ในคําน้มี อี ธิบายดงั นีว้ า นัยวาเมอ่ื เปนอยา งนนั้ ทานผูเ จรญิ ทั้งหลายใหท าํ หามิได แตธ รรมใหท าํ . คําวา ตคฺฆ เปน นิบาตลงในอรรถวา สว นเดยี ว. บทวา กหปน ภว อานนฺโท มีอธิบายวา ยอมไมร วู า พระเถระอยใู นพระเวฬุวนัหรือ ? ร.ู กว็ ัสสการพราหมณน ้ี ใหการอารกั ขาพระเวฬวุ นั เพราะฉะน้ันประสงคจะยกตน จงึ ไดถามอยา งนนั้ . ก็เพราะเหตุไร วสั สการพราหมณน ้ันจงึ ใหก ารอารักขาในพระเวฬุวันนน้ั ? (เพราะ) ไดย นิ วา วันหนึ่ง ทา นวสั ส-การพราหมณนัน้ เห็นพระมหากจั จายนเถระ ลงจากเขาคชิ ฌกฏู จงึ กลา ววาน่ันเหมือนลิง. พระผูมีพระภาคเจาไดส ดบั คาํ นน้ั แลวตรสั วา เขาขอขมาโทษเสียขอ น้ันเปน การดี ถา ไมข อขมาโทษเขาจกั เปนลิงหางโคในพระเวฬุวนั น๑ี้ . วัสส-การพราหมณน น้ั ฟง พระดํารัสนนั้ แลว คิดวา ธรรมดาพระดาํ รัสของพระสมณโคดมไมเปน สอง ภายหลังเม่ือเวลาเราเปน ลิง จกั ไดม ที ่เี ทย่ี วหากิน จงึปลูกตน ไมน านาชนิดในพระเวฬุวนั แลวใหการอารกั ขา กาลตอมา วสั ส-การพราหมณถ ึงอสญั ญกรรมแลว เกิดเปนลงิ . เมื่อใครพูดวา วัสสการ-พราหมณ กไ็ ดม ายนื อยูใ กลๆ . คําวา ตคฆฺ เปน นิบาตลงในคาํ วา สว นเดียวเทา น้นั ในทกุ ๆ วาระ. บทวา ตคฺฆ โถ อานนทฺ ความวา พราหมณ๑. ม. โคนงฺคลมกฺกโฏ ลงิ หนา ดําหรือชะน.ี

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 168รวู า พระเถระยกยองตนในทา มกลางบริษทั อยา งนี้ จงึ กลา วอยางนว้ี า แมเราก็ยกยองพระเถระ. บทวา น โข พรฺ าหมฺ ณ ความวา นยั วา พระเถระคิดวา ฌานท่ีพระสัมมาสมั พทุ ธเจา สรรเสริญก็มี ท่ไี มส รรเสริญก็มี แตพ ราหมณน ส้ี รร-เสริญทั้งหมดเลย กลา วปญหาใหคลาดเคล่อื น เราไมอาจมองหนาพราหมณน้ีได ไมอาจรกั ษาบิณฑบาต เราจักกลาวปญหาใหตรง ดงั นี้ จงึ เริ่มกลา วคาํ น.้ี บทวา อนนตฺ ร กรติ ฺวา แปลวา กระทาํ ไวภ ายใน. บทวา เอวรูปโข พรฺ าหมฺ ณ โส ภควา ณาน วณเฺ ณสิ ความวา ในท่ีนี้ ตรัสฌานทรี่ วบรวมเอาไวท งั้ หมด. บทวา ยนโฺ น มย ความวา ไดยินวาพราหมณนรี้ ษิ ยาวัสสการพราหมณ หวังจะไมก ลา วถึงปญ หาที่วสั สการพราหมณนัน้ ถาม คร้นั รวู าเขากลา วแลว ก็ไมสบายใจวา พระอานนทเอาปญหาทว่ี สั ส-การพราหมณถ าม มาเปน ชอ่ื ของฌานนน้ั บอยๆกลาวอยางกวางขวาง แตปญ หาทเ่ี ราถาม ทา นกลา วเปนบางสวนเทา น้ัน เหมอื นเอาปลายไมเ ทาจ้ี ฉะนน้ัเพราะฉะน้นั จงึ กลา วอยางนนั้ . คาํ ท่ีเหลอื ในทุกแหงงายทั้งนั้นแล. จบ อรรถกถาโคปกโมคคัลลานสตู รท่ี ๘

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 169 ๙. มหาปณุ ณมสูตร วาดวยอุปาทานและอุปาทานขนั ธ [๑๒๐] ขา พเจา ไดฟ งมาแลว อยางน:้ี - สมยั หน่ึง พระผูมพี ระภาคเจาประทบั อยทู ปี่ ราสาทของอบุ าสกิ าวสิ าขา-มคิ ารมารดา ในพระวหิ ารบพุ พาราม กรงุ สาวัตถี สมัยนัน้ พระผูม ีพระภาคเจามภี ิกษสุ งฆห อมลอ ม ประทบั นั่งกลางแจง ในราตรมี จี ันทรเ พ็ญ วนั นน้ัเปน วนั อุโบสถ ๑๕ คํา่ ขณะนั้น ภิกษุรูปหน่ึงลุกจากอาสนะ หมจีวรเฉวยี งบาขางหน่งึ ประนมอญั ชลีไปทางทป่ี ระทบั ของพระผมู พี ระภาคเจา แลว กราบทลูพระผมู ีพระภาคเจา ดังน้วี า ขา แตพระองคผ เู จรญิ ขา พระองคจะขอกราบทลูถามปญ หาสักเล็กนอ ยกะพระผมู ีพระภาคเจา ถาพระผูมพี ระภาคเจา จะประทานโอกาสเพื่อพยากรณป ญ หาแกขาพระองค. พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภกิ ษุ ถาอยา งนนั้ เธอจงนง่ั ลงยังอาสนะของตน ประสงคจ ะถามปญหาขอ ใด ก็ถามเถิด. [๑๒๑] คร้ังน้นั ภิกษุรปู นั้นนง่ั ยงั อาสนะของตนแลว ไดทลู ถามพระ-ผูมพี ระภาคเจา ดังน้ีวา ขา แตพระองคผ เู จริญ อปุ าทานขนั ธ คือ รูปูปาทาน-ขันธ เวทนูปาทานขนั ธ สัญปู าทานขันธ สงั ขารปู าทานขันธ วญิ ญาณ-ูปาทานขันธ มี ๕ ประการเทา น้ีหรือหนอแล. พ. ดูกอ นภิกษุ อุปาทานขนั ธ มี ๕ ประการเทา น้ี คือ รปู ปู าทาน-ขนั ธ เวทนูปาทานขันธ สัญูปาทานขันธ สงั ขารูปาทานขนั ธ วิญญาณูปาทานขนั ธ.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 170 ภิกษุนน้ั กลา วชน่ื ชมยนิ ดภี าษติ ของพระผมู พี ระภาคเจา วา ชอบแลวพระเจาขา แลวทูลถามปญหากะผมู พี ระภาคเจาย่ิงขึ้นไปวา ขา แตพ ระองคผูเจริญ ก็อปุ าทานขันธ ๕ เหลา น้ี มอี ะไรเปนมลู . พ. ดกู อนภิกษุ อปุ าทานขันธ ๕ เหลา นี้ มีฉันทะเปน มูล. ภ.ิ ขาแตพระองคผ เู จริญ อปุ าทานกับอุปาทานขันธ ๕ นัน้ อยา งเดียวกันหรอื หรือวาอปุ าทานเปนอยา งอืน่ จากอุปาทานขันธ ๕. พ ดกู อ นภิกษุ อปุ าทานกับอุปาทานขันธ ๕ นัน้ จะอยา งเดียวกันกม็ ิใช อปุ าทานจะเปน อยา งอืน่ จากอุปาทานขนั ธ ๕ ก็มใิ ช ดกู อ นภกิ ษุ ความกาํ หนดั พอใจ ในอุปาทานขันธ ๕ นัน่ แล เปนตัวอุปาทานในอุปาทานขนั ธ๕ น้ัน. [๑๒๒] ภิ. ขา แตพ ระองคผูเจริญ ก็ความตา งแหงความกาํ หนัดพอใจในอปุ าทานขันธท ้ัง ๕ มี หรอื พระผูมพี ระภาคเจาทรงรับวา มี แลว ตรสั วา ดูกอ นภิกษุ บคุ คลบางคนในโลกน้ี มคี วามปรารถนาอยางนว้ี า ขอเราพึงมีรปู อยางนี้ เวทนาอยางน้ี สญั ญาอยางนี้ สงั ขารอยา งน้ี วิญญาณอยางน้ี ในอนาคตกาลเถิดดูกอ นภกิ ษุ อยางนีแ้ ลเปน ความตางแหงความกําหนดั พอใจในอุปาทานขนั ธทงั้ ๕. วา ดวยเหตุเรยี กชอ่ื วาขนั ธ [๑๒๓] ภ.ิ ขา แตพระองคผูเ จริญ ขันธท้งั หลายมีชอื่ เรียกวาขันธไดด ว ยเหตุเทา ไร. พ. ดูกอนภิกษุ รปู อยา งใดอยางหนึง่ ท้งั ท่ีเปน อดตี ทงั้ ท่ีเปนอนาคต ทั้งที่เปนปจจบุ ัน เปน ไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือล เอยี ดกต็ าม เลวหรอื ประณีตกต็ าม อยูในที่ไกล หรอื ในทีใ่ กลก ต็ าม น่ีเปน

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 171รูปขนั ธ. เวทนาอยางใดอยา งหนึง่ ทั้งทเี่ ปนอดีต ทง้ั ท่ีเปน อนาคตท้งั ทเี่ ปนปจจบุ ัน เปนไปภายในหรือมใี นภายนอกก็ตาม หยาบหรอื ละเอียดก็ตาม เลวหรอื ประณีตก็ตาม อยูใ นท่ไี กลหรอื ในท่ใี กลกต็ าม ท่เี ปนเวทนาขันธ. สญั ญาอยา งใดอยางหน่งึ ทงั้ ท่เี ปนอดีต ทง้ั ท่เี ปนอนาคต ทัง้ ทเี่ ปนปจ จุบนั เปน ไปในภายในหรอื มใี นภายนอกก็ตาม หยาบหรอื ละเอยี ดก็ตาม เลวหรอื ประณตี ก็ตาม อยูใ นทไ่ี กลหรือในที่ใกลก็ตาม นี่เปน สัญญาขนั ธ. สงั ขารเหลา ใดเหลา หนง่ึท้ังทเ่ี ปนอดีต ท้ังท่เี ปนอนาคต ท้ังทีเ่ ปน ปจ จุบัน เปนไปในภายในหรอื มีในภายนอกกต็ าม หยาบหรือละเอยี ดกต็ าม เลวหรือประณีตก็ตาม อยใู นท่ไี กลหรอื ในที่ใกลกต็ าม นเี่ ปน สงั ขารขนั ธ. วิญญาณอยา งใดอยา งหนึง่ ท้งั ทเ่ี ปนอดตี ทั้งทเี่ ปน อนาคต ทงั้ ท่ีเปน ปจ จุบัน เปนไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรอื ประณตี กต็ าม อยูใ นทีไ่ กลหรอื ในที่ใกลก ต็ าม นเ่ี ปนวิญญาณขนั ธ ดกู อนภิกษุ ขนั ธท้งั หลายยอ มมชี ือ่ เรยี กวาขันธดวยเหตเุ พยี งเทา น้ีแล. [๑๒๔] ภิ. ขา แตพระองคผ เู จริญ อะไรหนอแล เปน เหตุ เปนปจ จัยแหงการบัญญัตริ ูปขันธ แหงการบัญญตั เิ วทนาขันธ แหง การบญั ญัติสญั ญาขนั ธ แหง การบัญญตั สิ ังขารขนั ธ อะไรหนอแลเปน เหตุ เปนปจ จยัแหงการบัญญัตวิ ญิ ญาณขันธ. พ. ดกู อนภิกษุ มหาภตู รูป ๔ เปน เหตุ เปน ปจ จยั แหงการบญั ญตั ิรปู ขันธ ผัสสะเปนเหตุ เปน ปจ จัย แหงการบญั ญตั ิเวทนาขนั ธ ผสั สะเปนเหตุเปนปจ จยั แหง การบัญญัตสิ ัญญาขันธ ผสั สะเปน เหตุ เปนปจจยั แหงการบัญญตั สิ งั ขารขนั ธ นามรปู เปน เหตุ เปนปจจัย แหงการบัญญตั วิ ญิ ญาณขันธ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 172 [๑๒๕] ภิ. ขาแตพระองคผเู จรญิ ก็สักกายทฏิ ฐิ จะมีไดอ ยางไร. พ. ดกู อ นภกิ ษุ ปถุ ุชนผูไมไดสดบั ในโลกน้ี เปน ผไู มไดเ หน็ พระอรยิ ะไมฉ ลาดในธรรมของพระอริยะ ไมไ ดฝกในธรรมของพระอรยิ ะไมไ ดเ ห็นสตั บุรุษ ไมฉลาดในธรรมของสตั บุรุษ ไมไ ดฝกในธรรมของสตั บรุ ุษ ยอมเลง็ เห็นรูปโดยความเปนอัตตาบา ง เล็งเหน็ อนัตตาวามรี ปู บาง เลง็ เหน็ รูปในอตั ตาบา ง เล็งเห็นอตั ตาในรูปบาง ยอมเลง็ เห็นเวทนาโดยความเปนอตั ตาบา ง เลง็ เห็นอัตตาวา มีเวทนาบา ง เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบาง เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบา ง ยอมเลง็ เหน็ สัญญาโดยความเปนอตั ตาบาง เลง็ เหน็ อตั ตาวา มีสัญญาบา ง เล็งเห็นสญั ญาในอตั ตาบา ง เล็งเหน็ อตั ตาในสัญญาบา ง ยอมเลง็เห็นสังขารโดยความเปนอัตตาบา ง เลง็ เห็นอตั ตาวามสี งั ขารบาง เลง็ เหน็ สงั ขารในอัตตาบาง เลง็ เห็นอตั ตาในสงั ขารบา ง ยอ มเลง็ เหน็ วญิ ญาณโดยความเปนอัตตาบาง เลง็ เหน็ อัตตาวา มวี ญิ ญาณบา ง เล็งเห็นวญิ ญาณในอัตตาบาง เลง็เห็นอตั ตาในวญิ ญาณบาง ดูกอ นภิกษุ อยางนีแ้ ลสักกายทิฏฐจิ ึงมีได. [๑๒๖] ภ.ิ ขา แตพระองคผูเ จริญ สักกายทฏิ ฐิจะไมมไี ดอยา งไร. พ. ดูกอนภกิ ษุ อรยิ สาวกผูไ ดส ดับแลว ในธรรมวนิ ัยนี้ เปน ผไู ดเห็นพระอรยิ ะ ฉลาดในธรรมของพระอรยิ ะ ฝกดีแลวในธรรมของพระอรยิ ะไดเหน็ สตั บรุ ุษ ฉลาดในธรรมของสัตบรุ ุษ ฝกดีแลวในธรรมของสัตบรุ ุษยอมไมเล็งเห็นรปู โดยความเปน อตั ตาบาง ไมเ ลง็ เหน็ อัตตาวา มีรปู บา ง ไมเล็งเห็นรปู ในอัตตาบาง ไมเ ล็งเหน็ อัตตาในรปู บาง ยอมไมเลง็ เห็นเวทนาโดยความเปน อตั ตาบา ง ไมเ ลง็ เห็นอตั ตาวา มเี วทนาบาง ไมเ ล็งเหน็ เวทนาในอตั ตาบาง ไมเลง็ เห็นอตั ตาในเวทนาบา ง ยอ มไมเลง็ เห็นสัญญาโดยความเปนอตั ตาบาง ไมเลง็ เห็นสัญญาในอัตตาบา ง ไมเ ลง็ เห็นอัตตาในสญั ญาบาง ยอม

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 173ไมเ ลง็ เหน็ สังขารโดยความเปน อัตตาบา ง ไมเ ล็งเหน็ อตั ตาวา มสี ังขารบาง ไมเล็งเห็นสงั ขารในอัตตาบา ง ไมเล็งเหน็ อตั ตาในสงั ขารบาง ยอ มไมเ ล็งเห็นวิญญาณโดยความเปนอตั ตาบาง ไมเ ลง็ เหน็ อตั ตาวามีวญิ ญาณบา ง ไมเล็งเหน็วิญญาณในอตั ตาบา ง ไมเ ล็งเหน็ อัตตาในวญิ ญาณบาง ดกู อนภิกษุ อยางนี้แล สกั กายทิฏฐิจงึ ไมม .ี วา ดวยคณุ และโทษของขันธ ๕ [๑๒๗] ภิ. ขา แตพ ระองคผ เู จริญ อะไรหนอแลเปนคณุ เปน โทษเปน ทางสลัดออกในรปู อะไรเปนคุณ เปนโทษ เปน ทางสลดั ออกในเวทนาอะไรเปน คุณเปน โทษ เปน ทางสลดั ออกในสัญญา อะไรเปนคณุ เปนโทษเปนทางสลดั ออกในสงั ขาร อะไรเปน คุณ เปนโทษ เปน ทางสลัดออกในวิญญาณ. พ. ดกู อนภกิ ษุ อาการทสี่ ขุ โสมนัสอาศยั รปู เกดิ ข้ึน นเ้ี ปน คณุ ในรปู อาการที่รปู ไมเ ท่ียง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา นีเ้ ปนโทษในรปู อาการทก่ี ําจดั ฉันทราคะละฉนั ทราคะในรูปได นี้เปน ทางสลัดออกในรปู อาการท่สี ขุ โสมนสั อาศยั เวทนาเกิดข้ึน นเี้ ปน คณุ ในเวทนา อาการท่ีเวทนาไมเ ทีย่ งเปน ทุกข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา นี้เปนโทษในเวทนา อาการท่ีกาํ จัดฉนั ทราคะ ละฉนั ทราคะในเวทนาได นเี้ ปน ทางสลดัออกในเวทนา อาการทสี่ ขุ โสมนัสอาศยั สัญญาเกิดข้นึ นี้เปนคณุ ในสญั ญา อาการทสี่ ญั ญาไมเ ที่ยงเปน ทุกขมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา น้ีเปน โทษในสัญญาอาการทกี่ าํ จดั ฉันทราคะละฉนั ทราคะในสญั ญาได น้เี ปนทางสลดั ออกในสัญญาอาการทสี่ ุขโสมนัสอาศัยสังขารเกดิ ขึ้น น้ีเปนคณุ ในสงั ขาร อาการทีส่ งั ขารไมเท่ยี ง เปน ทุกข มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา น้ีเปน โทษในสงั ขารอาการที่กาํ จัดฉันทราคะละฉันทราคะในสังขารได นเี้ ปน ทางสลดั ออกในสงั ขารอาการทีส่ ุขโสมนสั อาศยั วญิ ญาณเกิดขึ้น นเี้ ปนคุณในวญิ ญาณ อาการท่ีวญิ -

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 174ญาณไมเ ท่ียงเปนทุกข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา น้ีเปนโทษในวญิ -ญาณ อาการทีก่ ําจัดฉนั ทราคะ ละฉันทราคะในวิญญาณได นเ้ี ปนทางสลดัออกในวญิ ญาณ. วาดวยเหตุละมานานุสยั [๑๒๘] ภิ. ขาแตพ ระองคผูเจริญ กเ็ มอื่ รู เมือ่ เหน็ อยา งไรจึงไมมีอนสุ ัยคือความถอื ตวั วาเปน เรา วา ของเรา ในกายอันมวี ญิ ญาณนี้ และในนิมติ ทงั้ หมดภายนอก. พ. ดกู อนภิกษุ บุคคลเห็นดว ยปญ ญาอันชอบตามความเปน จรงิ ดงันวี้ า รปู อยา งใดอยา งหนึ่ง ทง้ั ท่ีเปนอดีต ทัง้ ทเ่ี ปน อนาคต ท้ังที่เปน ปจ จุบันเปน ไปในภายในหรือมใี นภายนอกก็ตาม หยาบหรอื ละเอียดก็ตาม เลวหรือประณตี ก็ตาม อยูใ นที่ไกลหรอื ในทีใ่ กลก็ตาม ทั้งหมดนน่ั ไมใ ชของเราไมใชเ รา ไมใชอ ตั ตาของเรา เห็นดวยปญญาอนั ชอบตามความเปน จริงดงั นี้วา เวทนาอยางใดอยา งหน่งึ ทง้ั ทเ่ี ปน อดีต ทั้งที่เปน อนาคต ทั้งทเี่ ปนปจ จุบัน เปนไปในภายในหรือมีในภายนอกกต็ าม หยาบหรอื ละเอียดกต็ ามเลวหรอื ประณตี กต็ าม อยใู นทีไ่ กลหรอื ในที่ใกลก ็ตาม ทงั้ หมดน่นั ไมใชข องเรา ไมใชเ รา ไมใชอัตตาของเรา เหน็ ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปน จรงิดังนีว้ า สัญญาอยางใดอยา งหนึ่ง ทง้ั ทเี่ ปนอดตี ท้ังที่เปนอนาคต ทงั้ ทีเ่ ปนปจ จบุ ัน เปน ไปในภายใน หรอื มีในภายนอกก็ตาม หยาบหรอื ละเอยี ดกต็ ามเลวหรอื ประณตี ก็ตาม อยใู นที่ไกลหรือในที่ใกลก ็ตามทง้ั หมดนั่นไมใ ชข องเรา ไมใชเ รา ไมใ ชอ ัตตาของเรา เหน็ ดว ยปญญา อนั ชอบตามความเปนจรงิ ดังน้ีวา สงั ขารเหลา ใดเหลา หน่งึ ท้งั ท่ีเปนอดตี ทง้ั ที่เปน อนาคต ทัง้ ท่ีเปนปจจุบัน เปน ไปในภายในหรอื มใี นภายนอกกต็ าม หยาบหรือละเอยี ดก็ตาม เลวหรือประณตี กต็ าม อยูใ นทไ่ี กลหรอื ในทีใ่ กลก ต็ าม ทั้งหมดนัน่ ไมใชข องเรา ไมใชเ รา ไมใ ชอตั ตาของเรา เหน็ ดว ยปญญาอันชอบตามความ

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 175เปนจริงดังนี้วา วิญญาณอยางใดอยางหนง่ึ ทง้ั ท่ีเปนอดตี ท้งั ท่เี ปน ปจจบุ ันเปนไปในภายในหรอื มใี นภายนอกกต็ าม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตกต็ าม อยใู นทีไ่ กลหรอื ในทีใ่ กลกต็ าม ท้ังหมดนั่น ไมใชข องเรา ไมใชเ รา ไมใชอตั ตาของเรา ดกู อ นภกิ ษุ เมื่อรู เม่ือเหน็ อยา งน้แี ล จึงไมมีอนุสัยคือความถอื ตวั วา เปนเรา วา ของเรา ในกายอนั มวี ญิ ญาณนี้ และในนิมติท้งั หมดในภายนอก. วาดวยปริวิตกเร่ืองผรู บั ผลของกรรม [๑๒๙] ลําดบั นนั้ แล มภี ิกษุรูปหนง่ึ เกิดความปริวิตกแหงใจขึ้นอยางน้วี า ทา นผจู ําเริญ เทา ทวี่ า มาน้ี เปน อนั วา รปู เวทนา สัญญา สงั ขารวิญญาณเปน อนัตตา กรรมทอ่ี นัตตาทาํ แลว จักสัมผสั ตนไดอ ยางไร. ครง้ัน้นั แล พระผมู ีพระภาคเจาทรงทราบความปริวิตกแหง ใจของภกิ ษุรปู นน้ั ดว ยพระหฤทัย จึงรับสงั่ กะภกิ ษทุ ้ังหลายวา ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอทโ่ี มฆบุรุษบางคนในธรรมวนิ ัยนี้ ไมรแู ลว ตกอยใู นอวิชชา ใจมีตณั หาเปน ใหญ พึงสําคญั คําสงั่ สอนของศาสดาอยางหุนหนั พลันแลน ดว ยความปริวติ กวา ทานผูจาํ เรญิ เทาทว่ี า มานี้ เปน อนั วา รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณเปนอนัตตา กรรมทีอ่ นัตตาทําแลว จักถูกตนไดอ ยางไร เราจะขอสอบถาม ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย เราไดแ นะนําพวกเธอในธรรมนน้ั ๆ แลว แล พวกเธอจะสาํ คญั ความขอ นัน้ เปนไฉน รูปเทีย่ งหรอื ไมเ ท่ยี ง. ภกิ ษเุ หลา นนั้ ทลู วา ไมเ ทีย่ ง พระเจา ขา. พ. กส็ งิ่ ใดไมเท่ียง ส่งิ นน้ั เปนทกุ ขหรอื สขุ เลา. ภ.ิ เปน ทุกข พระเจา ขา . พ. ก็สงิ่ ใดไมเ ท่ียง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดาควรละหรือทจ่ี ะเล็งเห็นส่ิงน้นั วา น่ันของเรา น่ันเรา นัน่ อตั ตาของเรา.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 176 ภ.ิ ไมค วรเลย พระเจา ขา. พ. ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย พวกเธอจะสาํ คญั ความขอนน้ั เปน ไฉนเวทนาเทีย่ งหรือไมเ ทย่ี ง. ภ.ิ ไมเ ท่ยี ง พระเจาขา. พ. กส็ ง่ิ ใดไมเท่ยี ง ส่ิงนั้นเปน ทกุ ข หรอื เปนสขุ เลา . ภิ. เปนทุกข พระเจา ขา. พ. กส็ งิ่ ใดไมเทย่ี ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดาควรละหรือท่ีจะเล็งเห็นส่ิงน้นั วา นน่ั ของเรา นั่นเรา น่ันอัตตาของเรา. ภ.ิ ไมค วรเลย พระเจา ขา . พ. ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย พวกเธอจะสาํ คัญความขอนน้ั เปน ไฉนสัญญาเท่ยี งหรือไมเ ทีย่ ง. ภิ. ไมเ ท่ยี ง พระเจาขา. พ. กส็ ่งิ ใดไมเ ทยี่ ง สิ่งน้ัน เปนทกุ ขห รอื เปน สขุ เลา. ภ.ิ เปน ทุกข พระเจาขา . พ. กส็ ิง่ ใดไมเ ท่ยี ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดาควรละหรือท่จี ะเล็งเห็นส่งิ นั้นวา น่นั ของเรา น่ันเรา น่ันอัตตาของเรา. ภ.ิ ไมควรเลย พระเจาขา . พ. ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย พวกเธอจะสาํ คญั ความขอนนั้ เปน ไฉนสงั ขารเท่ียงหรือไมเ ทีย่ ง. ภิ. ไมเ ที่ยง พระเจาขา . พ. กส็ ่ิงใดไมเท่ียง สิง่ น้ันเปน ทกุ ขห รอื เปนสุขเลา. ภิ. เปนทุกข พระเจาขา . พ. . ก็สง่ิ ใดไมเ ท่ยี ง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดาควรละหรือทีจ่ ะเล็งเหน็ สง่ิ น้นั วา นัน่ ของเรา นัน่ เรา นน่ั อตั ตาของเรา

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 177 ภิ. ไมค วรเลย พระเจาขา. พ. ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอจะสาํ คญั ความขอ นน้ั เปน ไฉนวญิ ญาณเทย่ี งหรอื ไมเ ทย่ี ง. ภ.ิ ไมเ ทีย่ ง พระเจาขา . พ. กส็ ิง่ ใดไมเทยี่ ง สง่ิ นนั้ เปนทุกข หรือเปน สุขเลา. ภ.ิ เปนทกุ ข พระเจาขา . พ. กส็ ิง่ ใดไมเท่ียง เปนทกุ ข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดาควรละหรอื ทจ่ี ะเลง็ เห็นสิ่งน้นั วา น่ัน ของเรา นน่ั เรา น่นั อตั ตาของเรา. ภิ. ไมค วรเลย พระเจา ขา. พ. ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตนุ ้ัน พวกเธอพึงเห็นดวยปญ ญาอันชอบตามความเปน จริงดงั น้วี า รูปอยางใดอยางหนงึ่ ทั้งท่เี ปนอดตี ท้ังที่เปน อนาคต ท้ังทเี่ ปนปจ จบุ นั เปน ไปในภายใน หรอื มีในภายนอกก็ตามหยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตกต็ าม อยูในที่ไกลหรือในทใ่ี กลก ็ตาม ทั้งหมดนั่น ไมใชของเรา ไมใ ชเ รา ไมใชอัตตาของเรา พึงเห็นดว ยปญ ญาอันชอบตามความเปนจรงิ ดังน้วี า เวทนาอยา งใดอยางหนง่ึ ท้ังท่ีเปนอดตี ทั้งทเี่ ปนอนาคต ทง้ั ทเี่ ปน ปจจุบัน เปนไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอยี ดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยูในทไ่ี กลหรอื ในที่ใกลก็ตาม ทง้ั หมดนน่ั ไมใชของเรา ไมใ ชเรา ไมใ ชอ ัตตาของเรา พึงเหน็ ดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ ดังน้ีวา สญั ญาอยางใดอยางหนง่ึทง้ั ทเ่ี ปนอดีต ท้งั ท่ีเปนอนาคต ทัง้ ที่เปนปจ จบุ ัน เปน ไปในภายในหรอื มใี นภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอยี ดก็ตาม เลวหรือประณตี กต็ าม อยูในท่ีไกลหรอื ในท่ีใกลก ต็ าม ทง้ั หมดน่ัน ไมใชข องเรา ไมใชเ รา ไมใ ชอัตตาของ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 178เรา พงึ เห็นดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ ดงั นี้วา สังขารเหลาใดเหลาหน่ึง ทั้งทเ่ี ปนอดีต ทั้งทเี่ ปนอนาคต ท้ังทเ่ี ปนปจจุบนั เปนไปในภายในหรอื มใี นภายนอกกต็ าม หยาบหรอื ละเอยี ดก็ตาม เลวหรอื ประณีตกต็ าม อยูในที่ไกลหรอื ในทีใ่ กลกต็ าม ท้ังหมดนนั่ ไมใชของเรา ไมใชเ รา ไมใ ชอตั ตาของเรา พงึ เห็นดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปน จริงดังนี้วา วิญญาณอยางใดอยา งหนง่ึ ท้งั ท่เี ปน อดตี ท้ังท่ีเปน อนาคต ทง้ั ท่เี ปน ปจ จุบนั เปนไปในภายในหรือมใี นภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอยี ดกต็ าม เลวหรือประณีตก็ตาม อยูในท่ไี กลหรือในทใ่ี กลกต็ าม ทั้งหมดนน่ั ไมใ ชข องเรา ไมใ ชเ ราไมใ ชอตั ตาของเรา ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย อริยสาวกผูสดับแลวเห็นอยอู ยางน้ียอ มเบอ่ื หนาย แมใ นรปู แมในเวทนา แมใ นสญั ญา แมในสงั ขาร แมใ นวญิ ญาณ เมอื่ เบื่อหนาย ยอมคลายกําหนดั เพราะคลายกําหนัด. จติ ยอ มหลดุ พน เมอื่ จิตหลุดพนแลว ยอ มมีญาณรวู า หลดุ พน แลว รชู ดั วา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอ ยูจ บแลว กิจท่ีควรทาํ ไคทาํ เสร็จแลว กจิ อนื่ เพื่อความเปนอยา งนีม้ ไิ ดม .ี พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรัสภาษิตนแ้ี ลว ภิกษุเหลา นั้นตา งชน่ื ชมยนิ ดีภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา และเมือ่ พระผมู ีพระภาคเจากําลงั ตรัสไวยากรณภาษติ นีอ้ ยู ภกิ ษุประมาณ ๖๐ รปู ไดม ีจิตหลดุ พนจากอาสวะ เพราะไมถ อืมนั่ แล. จบ มหาปุณณมสูตรที่ ๙

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 179 อรรถกถามหาปุณณมสูตร มหาปณุ ณมสูตร มคี าํ เริ่มตน วา ขา พเจา ไดฟงมาแลว อยางน:้ี - พึงทราบวนิ จิ ฉัยในมหาปุณณมสตู รนั้น ดงั ตอไปนี.้ บทวา ตทหุแยกเปน ตสฺมึ อหุ แปลความวา ในวนั นั้น. ช่ือวา อุโบสถ เพราะอรรถวา เปนวันท่ีเขาอยจู ํา. บทวา อุปวสนตฺ ิ ความวา เขาไปอยจู าํ ดวยศลีหรือดว ยการอดอาหาร. ก็ในที่นี้มกี ารขยายความดังตอไปน้ี กก็ ารแสดงปาติโมกขชอ่ื วา อุโปสถ ในคาํ เปนตน วา อายามาวโุ ส กปฺปน อุโปสถ คมิส-สาม ทา นกปั ปนะมาเถิด พวกเราไปยงั อุโบสถกนั . ศลี ชอื่ วา อุโปสถ ในคาํเปนตนวา เอว อฏงคฺ สมนฺนาคโต โข วิสาเข อุโปสโถ อุปวตุ ฺโถดกู อนวสิ าขา อโุ บสถอันประกอบดว ยองค ๘ แล อันบคุ คลเขาจําแลว ดวยอาการอยา งนี.้ อปุ วาส ช่อื วา อโุ ปสถ (การจาํ ศีลดว ยการอดอาหาร) ในคําเปน ตน วา สทุ ฺธสสฺ สทา ผคคฺ ุ สทุ ธฺ สฺสุโปสโถ สทา ผัคคุฤกษ(คอื ฤกษเดอื นผัคค)ุ สาํ หรบั ผหู มดจดทกุ เมอ่ื แตอ ุโบสถกส็ ําหรบั ผหู มดจดทกุ เมอ่ื . ชื่อวา เปนบัญญัติ (คือชอ่ื ทเี่ รียก) ในคาํ เปนตนวา อุโปสโถนาม นาคราชา พระยาชา งชอ่ื วา อโุ บสถ. วนั ท่ีพงึ เขา ไปอยู (จาํ ศลี ) ชอ่ืวา อโุ ปสถ ในคําเปน ตน วา น ภกิ ฺขเว ตทหโุ ปสเถ สภกิ ขฺ กุ า อาวาสาภกิ ษุทง้ั หลาย ในวันอโุ บสถวนั นนั้ ไมพึงไปจากอาวาสที่มภี ิกษ.ุ แมใ นที่นี้กป็ ระสงคเ อาการเขาอยู (จาํ ศลี ) นั้นนั่นแหล. กว็ นั ท่ีเขาอยู (จาํ ศลี ) นี้นัน้ มี ๓ อยาง โดยวันอฏั ฐมี วันจาตุททสี และวนั ปณ ณรสี เพราะฉะนนั้จึงตรสั วา ปณฺณรเส (ในวนั อุโบสถ ๑๕ ค่ํา) เพื่อจะหา มบททง้ั สองที่เหลือเพราะเหตุนนั้ ทานจึงกลาววา ช่ือวา วนั อโุ บสถ เพราะเปน วนั ทเ่ี ขา อยู (จาํ ศีล)

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 180ชอ่ื วา ปณุ ณฺ า เพราะเต็มแลว คือ เต็มบริบรู ณ เพราะเปนวนั เต็มเดือนทานเรียกพระจนั ทรวา มา. พระจันทรน ัน้ เตม็ ดวงแลวใน (วนั ) ดถิ นี ้ีเพราะเหตุนัน้ ดิถนี ้ี จงึ ชือ่ วา ปุณณมา (วันพระจันทรเ ตม็ ดวง). พึงทราบความหมายในบททั้งสองนวี้ า ปณุ ฺณาย ปุณฺณมาย (ในวันเพญ็ มพี ระจนั ทรเตม็ ดวง) ดว ยประการอยางนี.้ บทวา เทส แปลวา เหตุการณ. บทวา เตนหิ ตว ภิกขฺ ุสเก อาสเน นสิ ีทิตฺ วา ปุจฉฺ ความวา เพราะเหตไุ ร พระผมู พี ระ-ภาคเจาจงึ ไมต รสั แกภกิ ษผุ ูท ยี่ นื รบั สั่งใหน ั่งลง. ไดย ินวา ภกิ ษนุ ี้เปนพระสังฆเถระของภกิ ษเุ หลา นั้น เรียนกรรมฐานในสํานักของทานแลว พากเพยี รพยายามอยู กาํ หนดพิจารณา มหาภตู รปู (และ) อุปาทายรปู กาํ หนดพิจารณาวิปส สนา มลี กั ษณะของตนอนั มนี ามรปู เปน ปจจัยใหเปนอารมณ คร้งั น้นัภิกษเุ หลาน้นั มายงั ทีป่ รนนิบตั อิ าจารยในเวลาเยน็ ไหวแ ลว นงั่ อยู พระเถระจึงถามถึงเรอ่ื งกรรมฐานทั้งหลาย มีการกาํ หนดพิจารณามหาภตู รูปเปน ตน.ภกิ ษเุ หลานน้ั บอกไดท้ังหมด. แตถูกถามปญ หาในมรรคและผล ไมอาจบอกได. ทีนนั้ พระเถระจึงคิดวา ในสาํ นักเรา ไมม กี ารละเลยการใหโ อวาทแกภกิ ษเุ หลา น้ี และภิกษเุ หลา น้กี ็ปรารภความเพยี รอย.ู กริ ยิ าทปี่ ระมาทกไ็ มมีแกภิกษุเหลา น้นั แมมาตรวา ชัว่ เวลาไกก ินน้าํ . แมเมื่อเปนอยางน้ี ภกิ ษุเหลา นี้กไ็ มอ าจทาํ มรรคผลใหเ กดิ ขน้ึ ได. เราไมรูอัธยาศยั ของภิกษเุ หลาน้ีภกิ ษุเหลา น้คี งจะเปน ผทู พ่ี ระพุทธเจาตอ งทรงแนะนํา เราจักพาภกิ ษุเหลา น้นัไปยังสาํ นกั ของพระศาสดา เม่อื เปน อยา งนัน้ พระศาสดาจักทรงแสดงธรรมอันเกย่ี วเนื่องกับความประพฤตขิ องภิกษเุ หลา น้นั (ครั้นคดิ แลว) จงึ พาภกิ ษุเหลา น้นั มายังสํานักของพระศาสดา.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 181 แมพระศาสดากท็ รงถอื เอานํา้ ท่พี ระอานนทนาํ เขาไปถวายในตอนเย็นทรงกระทําพระสรรี ะใหส ดชื่นแลว ประทับนั่งบนเสนาสนะอันประเสริฐ ท่เี ขาปูลาดไวในบรเิ วณปราสาทของมิคารมารดา. แมภ ิกษุสงฆก็นั่งแวดลอมพระองค.เวลานนั้ พระอาทิตยก าํ ลังอสั ดงคต พระจันทรก าํ ลงั ขึ้น พระผูม พี ระภาคเจาประทบั นงั่ ณ ท่ีทา มกลาง. พระจันทรไมม รี ัศมี พระอาทติ ยไมม รี ศั มี พระพุทธรศั มเี ปน คู ๆมีวรรณะ ๖ ประการ ขมรศั มีของพระจนั ทรและพระอาทติ ยเสยี สองแสงโชตชิ วงเปนกลมุ เปนกอ น แลนไปท่วั ทิศานทุ ศิ . เรื่องทัง้ หมดนั้นพึงใหพ ิสดารโดยนยั ดังกลาวแลว ในหนหลงั . นชี้ ่ือวา พ้นื ภมู ิของการพรรณนาในอธิการน้ี กาํ ลัง (ความสามารถ) ของพระธรรมกถึกเทาน้ันทีอ่ าจกลาวใหพอควรแกประมาณได เรอื่ งทคี่ วรแกประมาณน้ัน ควรกลาวในการพรรณนาพระพทุ ธรัศมีนนั้ . ไมค วรพูดวา กลาวยาก. เมื่อบรษิ ทั ประชมุ กนั อยา งน้ีแลว พระเถระลกุ ขึน้ ขอใหพระศาสดาประทานโอกาสเพอ่ื พยากรณปญหา.ลําดับนั้นพระผมู ีพระภาคเจา ทรงดํารวิ า ถา เมอ่ื ภกิ ษนุ ยี้ นื ถามปญ หา พวกภิกษทุ เ่ี หลือจักลกุ ข้นึ ดว ยคดิ กันวา อาจารยของพวกเราลกุ ขึ้นแลว เมอ่ื เปนอยา งนัน้ จักเปนอันกระทาํ ความไมเคารพในพระตถาคต. ถาภกิ ษุเหลานน้ัจกั นั่งทลู ถาม (ปญหา) จกั เปนอันกระทําความไมเคารพในอาจารย จกั ไมอาจทาํ จติ ใหแ นว แนร บั ธรรมเทศนา. แตเม่ืออาจารยนัง่ ภกิ ษุเหลา นั้นจกั นัง่แตน ้นั จกั เปน ผูมีจิตแนว แน อาจรบั พระธรรมเทศนาได. ดว ยเหตนุ ั้น พระผูมีพระภาคเจา จงึ ไมตรสั แกภิกษทุ ีย่ นื รับส่งั ใหนง่ั ลง ฉะน้ีแล. บทวา อเิ ม นุ โข ภนเฺ ต ความวา กระทําเหมือนถามดวยความสงสยั . กพ็ ระเถระกาํ หนดพจิ ารณาความเกดิ แหงเบญจขันธแลว บรรลพุ ระ-อรหัต เปนพระมหาขณี าสพ. ความสงสยั ของพระเถระนย้ี อ มไมม ี กแ็ มรู

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 182อยู ทําเปนเหมอื นไมร ูตามกค็ วร. ก็ถา ทาํ เหมือนรตู าม เมอ่ื จะแกแกเ ขายอมกลาวแตบ างสว นเทานนั้ ดว ยสาํ คัญวาผูนร้ี .ู แตเ ม่อื ทําเปนไมรตู าม เมอ่ื จะกลา ว ยอ มนําเอาเหตกุ ารณทกุ ดา นมากลาวใหป รากฏ. ก็บางคนแมไ มร ูกท็ าํ เปนเหมือนรูต าม. พระเถระจะการทําอยางไรกะคาํ เห็นปานนี้ กพ็ ระเถระรอู ยทู ีเดยี ว พึงทราบวา ถามเหมือนไมร.ู บทวา ฉนฺทมูลกา แปลวา มีตัณหาเปนมลู . บทวา เอว รโู ป สย ความวา ถาประสงคเปนคนขาว ยอมปรารถนาวา ขอเราจงเปนคนมีวรรณะเหมือนหรดาล หรือเหมอื นมโนศิลาหรือเหมือนทอง. ถาประสงคจะเปน คนดํากป็ รารถนาวา ขอเราจงเปนผมู ีวรรณะเหมอื นดอกอบุ ลเขยี ว เหมอื นดอกอญั ชนั หรอื เหมือนดอกฝา ย. บทวาเอว เวทโน ไดแ ก ปรารถนาวา ขอเราจงเปนผมู ีเวทนาเปน กุศล หรอื เปนผูมเี วทนาเปนสุข. แมในสัญญาเปนตน ก็มนี ัยนี้แหละ. ก็เพราะธรรมดาวาความปรารถนาในอดีต ยอ มมีไมไ ด และแมถึงจะปรารถนาก็ไมอ าจไดมันแมในปจ จุบันก็ไมได คนขาวปรารถนาความเปนคนดํา แลว จะเปน คนดําไปในปจ จบุ ันกไ็ มได คนดําจะเปน คนขาว คนสงู จะเปนคนเต้ีย หรือคนเตย้ีจะเปนคนสงู กไ็ มได แตเมื่อบคุ คลใหท าน สมาทานศลี แลวปรารถนาวา ขอเราจงเปนกษตั รยิ หรือจงเปน พราหมณใ นอนาคตกาลเถิด ดังน้ี ความปรารถนายอมสําเร็จ ฉะนน้ั ทานถอื เอาแตอนาคตเทาน้นั . บทวา ขนฺธาธวิ จน ไดแก ถามวา การบญั ญตั วิ า ขันธแ หง ขนั ธท้งั หลายยอมมไี ดด ว ยเหตมุ ีประมาณเทาใด. บทวา มหาภูตเหตุ ความวาก็เหตุทานเรยี กวาเหตุ ในคาํ เปนตน วา กศุ ลเหตุ ๓ ประการ. อวชิ ชา ชอ่ืวา สาธารณเหตุ เพราะเปน เหตทุ ั่วไปแกปุญญาภิสังขารเปน ตน. กุศลกรรมและอกุศลกรรมเปน เหตุสงู สดุ ในการใหผลของตนๆ. ในทน่ี ท้ี า นประสงคเอา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 183ปจ จัยเหตุในอธิการวา ดวยปจจยั เหตุนน้ั มหาภูตรปู คอื ปฐวธี าตเุ ปน เหตุเละเปน ปจ จยั เพือ่ แสดงการบญั ญตั ิภูตรปู ๓ นอกนี้ และอปุ าทายรปู . พงึทราบ การประกอบความแมใ นบทท่เี หลืออยางน้ี. บทวา ผสฺโส ความวาผัสสะ เปน เหตแุ ละเปน ปจ จัยแหงการบญั ญัตขิ ันธ ๓ โดยพระบาลวี า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผูถูกกระทบยอ มรสู ึก ยอ มจําได ยอ มคิด (ปรงุ แตง ) ดงั น.้ีในบทวา วิฺาณกฺขนธฺ สสฺ นี้มคี วามวา รูป ๓๐ ถว น และขันธ ๓ ที่สัมปยตุ กบั วิญญาณ โดยกาํ หนดอยางสงู ยอ มเกดิ แกคัพภเสยยกสัตวท ั้งหลายพรอ มกับปฏิสนธวิ ญิ ญาณกอ น นามรูปนนั้ เปน เหตแุ ละปจจัยแหง การบญั ญตั ิปฏสิ นธิวิญญาณ. ในจกั ขทุ วาร จักขปุ สาทรูป กับรูปารมณ จดั เปนรูปขันธขนั ธ ๓ ที่สมั ปยตุ กับวญิ ญาณ จดั เปนนาม. นามรูปนั้นเปนเหตแุ ละเปนปจ จัยแหง การบัญญัติจกั ขุวญิ ญาณ. ในวิญญาณที่เหลือมนี ยั นี้เหมือนกัน. บทวา กถ ปน ภนเฺ ต ความวา ในที่นี้ (ภกิ ษ)ุ เมื่อถามวฏั ฏะวา มไี ดด วยเหตมุ ีประมาณเทา ไร จึงกลาวอยางน้ัน. บทวา สกิกายทฏิ  ิน โหติ ความวา เมื่อจะถามววิ ัฏฏะน้ี จึงกลา วอยา งนนั้ . ดว ยคําวา น้ีเปน ความชอบใจในรูป นตี้ รสั ปรญิ ญาปฏเิ วธการแทงตลอดดว ยการกาํ หนดรแู ละทุกขสจั ดว ยคาํ น้วี า นี้เปนโทษในรูป ดังนี้ ตรสั ปหานปฏิเวธการแทงตลอดดวยการละ และสมุทัยสัจ ดวยคํานี้วา น้เี ปน การสลัดออกในรปูดงั น้ี ตรสั สัจฉกิ ิรยิ ปฏิเวธ การแทงตลอดดวยการทาํ ใหแจง และนโิ รธสจั .ธรรมทัง้ หลายมสี ัมมาทิฏฐิเปน ตน ในฐานะ ๓ ประการเหลา นี้ นี้เปนภาวนาปฏิเวธ การแทงตลอดดวยภาวนา และเปน มรรคสจั แมในบททเ่ี หลือท้งัหลาย กน็ ยั นีเ้ หมอื นกัน. บทวา พหทิ ฺธา คือในกายที่มีวญิ ญาณของผอู ื่น. กด็ ว ย บทวาสพพฺ นิมติ เฺ ตสุ นี้ ทรงสงเคราะหเ อาแมส่งิ ท่ไี มเ นื่องกบั อนิ ทรยี . อีกอยา ง


































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook