Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_22

tripitaka_22

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_22

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 54เมอ่ื บญั ญัตนิ มิ ติ ในอรปู สมาบัติ หรอื อรปู ธรรมที่เหลอื เวน สญั ญาขนั ธยอ มบัญญัติอยางนัน้ . กท็ ฏิ ฐทิ ส่ี าม เปน ไปดว ยอํานาจการถอื เจอื ปนกัน ทิฏฐิที่สี่เปนไปดวยการถือเอาดว ยการตรึกเอาเทานั้น. พงึ ทราบวา ในจตกุ กะท่ีสองตรสั ทิฏฐทิ ี่หนึ่งดว ยวาทะทีถ่ ึงพรอม ตรัสทิฏฐิท่สี องดวยวาทะที่ไมถงึ พรอ มตรสั ทิฏฐิทส่ี ามดว ยอาํ นาจกสิณบรกิ รรม ขนาดกระดง หรอื ขนาดขันจอกตรสั ทฏิ ฐิท่ี ๔ ดว ยอาํ นาจกสณิ ท่กี วา งใหญ. คําวา เอต วา ปเนเตสอปุ าติวตตฺ ต ดังน้ี ตรัสไวโดยสังเขปดว ยบทวา สัญญี อธิบายวากา วลวงสัญญาทัง้ ๗ หมวด. อาจารยอ กี พวกหน่งึ กลา ววา ๘ หมวด. คาํ ทง้ั สองนั้นจักมีแจงขางหนา. สว นในท่นี ี้ มเี นื้อความยอดังตอไปนี้. ก็คนบางพวกอาจกาวลวงสญั ญา ๗ หรอื ๘ น้ไี ด. สวนบางพวกไมอาจ. ในสองพวกน้ันบคุ คลใดอาจ บุคคลน้ันเทา น้ัน ก็ยดึ ไวไ ด กเ็ มื่อชนเหลานั้น อาจกาวลว งสัญญาแตล ะชนิด ชนพวกหนงึ่ กลาววา วญิ ญาณญั จายตนะ หาประมาณมิได ไมห วนั่ ไหวเหมือนในพวกมนุษยผ ขู ามแมน ํา้ คงคา ไปถึงแคบึงใหญแ ลวกห็ ยุดอยู สว นอกี คนหนง่ึ ไปถึงบา นใหญข า งหนาบงึ ใหญนนั้ แลวหยุดอยู ฉะน้ัน. บรรดาวญิ ญาณัญจายตนะ และอากญิ จัญญายตนะนนั้ เพ่อืแสดงวญิ ญาณัญจายตนะกอน จงึ ตรัสวา พวกหนงึ่ (กลา วยืนยัน) กสิณคือวญิ ญาณ ดงั น.้ี จกั กลาวคําวา พวกหนงึ่ (กลา วยนื ยัน) อากญิ จญั ญายตนะดงั น้ี ขางหนา. บทวา ตยิท ตดั บทเปน ต อิท แปลวา ทิฏฐิ และอารมณของทฏิ ฐิน้นี ัน้ . บทวา ตถาคโต อภิชานาติ ความวา ยอ มรดู ว ยญาณอนั วิเศษยิ่งวา ทรรศนะช่อื นี้อนั ปจ จัยนยี้ ดึ แลว . บดั น้ี พระผูมีพระภาคเจาเมื่อจะทรงทาํ ทรรศนะน้ันนั่นแล ใหพิสดารจงึ ตรัสคํามอี าทิวา เย โข เต โภนฺโต ดังน้.ี บทวา ยา วา ปเนส

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 55สฺาน ความวา กห็ รอื วา สญั ญาใด (บัณฑิตกลาววายอดเยี่ยม) กวาสญั ญาท่ีกลา วอยา งนว้ี า ถา วา (ท้ังท)ี่ เปนสญั ญาในรปู เหลาน้นั . บทวาปริสทุ ธฺ า คอื หมดอุปกเิ ลส. บทวา ปรมา คอื สงู สุด. บทวา เลศิ คือประเสริฐสดุ บทวา อนตุ ฺตรยิ า อกขฺ ายติ ความวา กลา ววาไมมีอะไรเหมือน. ตรสั รปู าวจรสัญญา ๔ ดว ยบทน้ีวา ยทิ รปู สฺาน . ตรัสอากาสานญั จายตนั สญั ญาและวญิ ญาณัญจายตนสญั ญา ดว ยบทนวี้ า ยทิ อรปู -สฺาน . ตรัสสมาปน นกวาระและอสมาปน นกวาระดวยบททัง้ สองกบั บทนอกน้ี สญั ญาเหลา นี้ จัดเปน ๘ สว น อยางที่กลาวมาดวยประการดงั นี.้แตโ ดยใจความ สญั ญามี ๗ อยาง. จริงอยู สมาปน นกวาระสงเคราะหดวยสัญญา ๖ ขา งตน เทา นนั้ . บทวา ตยิท สงขฺ ต ความวา สัญญาแมท ้ังหมดน้นี ้ันกบั ดว ยทิฏฐอิ ันปจจัยปรงุ แตง คอื ประมวลมาแลว. บทวา โอฬารกิ ความวา ชอื่ วา หยาบ เพราะปจจยั ปรงุ แตง เทยี ว. บทวา อตฺถิ โข ปนสงฺขาราน นิโรโธ ความวา กช็ ่อี วานพิ พานทน่ี ับไดวา ความดับสังขารทง้ั หลายทท่ี า นกลา ววา อันปจ จยั ปรงุ แตง เหลานัน้ มีอยู. คําวา อตฺเถตนตฺ ิอติ ิ วิทติ วฺ า ความวา ก็เพราะรนู ิพพานนน้ั แลอยางนี้วา นิพพานนัน่ มีอย.ูคําวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ความวา มีปกติเห็นการสลดั ออก คือ มีปกตเิ ห็นความดับส่งิ ท่ีปจ จัยปรุงแตงน้นั . บทวา ตถาคโต ตทปุ าตวิ ตโฺ ตความวา กา วลว ง อธบิ ายวา กา วลว งพรอ มซงึ่ สิ่งทป่ี จ จัยปรุงแตง นั้น. บทวา ตตรฺ ไดแก บรรดา อสญั ญีวาทะ ๘ ประการเหลานนั้ .คาํ วา อรูป วา ดังนีเ้ ปนตน พงึ ทราบโดยนัยดังกลา วไวในสญั ญวี าทะน้นั แล.กเ็ พราะวาทะน้เี ปน อสัญญีวาทะ ฉะนน้ั จงึ ไมกลา วจตกุ กะท่ีสองนีไ้ ว. บทวา ปฏกิ ฺโกสนตฺ ิ ไดแ กห า ม คือ ปฏเิ สธ. ในบทวา สฺ าโรโค เปนตน ชอื่ วา เปน ดงั โรค เพราะอรรถวา เบยี ดเบียน. ชอ่ื วา

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 56เปนเหมือนหวั ฝ เพราะอรรถวามีโทษ. ชอ่ื วา เปนเหมือนลกู ศร เพราะอรรถวา ตามเขา ไป. ในบทวา อาคตึ วา เปน ตน ชื่อวา การมาเพราะอาํ นาจปฏิสนธิ. ชอ่ื วา การไป เพราะอาํ นาจคติ ชื่อวา จุติ เพราะอาํ นาจการเคลอื่ นไป. ชอื่ วา อุปบัติ เพราะอาํ นาจการเขา ถงึ . ช่อื วา เจริญงอกงามไพบูลย เพราะอํานาจการเขาถงึ บอย ๆ แลวไป ๆ มา ๆ. ในภพท่มี ีขันธ ๔ แมเ วน รูป ความเปนไปของวิญญาณยอ มมีไดโดยแท แตใ นภพทีเ่ หลือ เวน ขันธ ๓ วิญญาณยอมเปน ไปไมได. แตส ําหรับปญ หานท้ี านกลาวดว ยอาํ นาจภพท่ีมขี ันธ ๕ กใ็ นภพที่มีขนั ธ ๕ เวนขนั ธทง้ั หลายประมาณเทาน้ีชื่อวา ความเปน ไปของวิญญาณยอมไมม ี สวนในอธิการนี้ นักพูดเคาะกลา วในขอ นวี้ า เพราะพระบาลวี า เวน จากรปู ดังนี้เปน ตน แมใ นอรปู ภพกม็ รี ปู และแมในอสัญญีภพก็มวี ิญญาณ. สาํ หรับทานผูเขา นโิ รธสมาบัติ ก็มีอยา งนัน้ เหมอื นกนั ซ.ิ ทา นผูช อบพดู เคาะน้ันจะตอ งถกู ตอวา หากจะคานความหมายตามรปู ของพยญั ชนะเพราะพระบาลวี า อาคตึ วา เปน ตน วญิ ญาณนน้ั จะตอ งกระโดดไปบางเดินไปดว ยเทาบา ง เหมอื นนกและสัตว ๒ เทา ๔ เทา และเล้อื ยไปเหมือนเถาแตง เปนตน พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสภพ ๓ ไวในพระสูตรหลายรอ ยสูตรภพเหลานั้นกต็ อ งเปน สองภพเทา นั้น เพราะไมมีอรปู ภพ เพราะฉะน้ัน ทานอยา ไดกลา วอยางน้ัน จงทรงจําขอ ความตามทกี่ ลาวมาแลว เถิด. คําวา ตตฺร เปนสตั ตมีวิภัตติลงในเนวสัญญีนาสัญญวี าทะ ๘ ประการแมใ นทนี่ ้ีพึงทราบคาํ วา รูป เปนตน โดยนยั ดงั กลา วแลว นนั่ แล. บทวาอสฺ า อสมฺโมโห ความวา ช่ือวา ความไมม สี ญั ญานี้ เปน ที่ตั้งแหงความหลง. กท็ านกลาวภพทไี่ มร อู ะไร ๆ น้ันวา น่ันอสัญญภี พ. บทวา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 57ทฏิ  สุตมตุ วิฺาตพฺพสงขฺ ารมตฺเตน ความวา ดวยสักวา ทพี่ งึ รแู จง ดวยการเห็น ดว ยสกั วาท่พี งึ รแู จงดว ยการฟง ดวยสกั วา ท่พี งึ รแู จงดว ยการทราบ.กใ็ นบทวา ทิฏมตฺเตน ธรรมชาติใดยอ มรู เหตุนัน้ ธรรมชาตนิ ้ันช่อื วา วิญญาตพั พะ พึงรแู จง โดยอาการสกั วารูแจงอารมณท่เี หน็ ไดย ินและทราบ คอื ดว ยเหตสุ ักวา ความเปนไปแหงสญั ญาทางทวารทัง้ ๕ ในคําน้ีมีความหมายดังกลาวมาน.ี้ บทวา สงขฺ ารมตฺเตน ความวา ดวยความเปนไปแหง สังขารอยางหยาบ. บทวา เอตสสฺ ายตนสฺส ไดแกเนวสญั ญา-นาสญั ญายตนะนี้. บทวา อุปสมฺปท ไดแก การไดเ ฉพาะ. บทวา พฺยสนเหต ความวา น้นั เปน ความพนิ าศ อธิบายวา นัน้ เปน การออก. เพราะเนวสญั ญานาสญั ญายตนฌานนนั้ เปน ไปดวยสัญญาทางทวาร ๕ พงึ เขาโดยกระทาํ ใหเปน ไปดว ยสังขารอยา งหยาบ หรือไมใ หเปนไป. ทา นแสดงวากเ็ พราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌานน้นั เปนไป การออกจากเนวสญั ญานา-สัญญายตนะน้ันยอ มมี. บทวา สงขฺ ารสมาปตฺติปตฺตพฺพมกฺขายติ ความวายอ มกลาววา พึงบรรลดุ วยความเปนไปแหง สงั ขารหยาบ. บทวา สงฺขาราว-เสสสมาปตฺตปิ ตฺตพฺพ ความวา บรรดาสงั ขารทั้งหลายน่นั แล สงั ขารท่เี หลือ ชื่อวาถงึ ความเปน สงั ขารทีล่ ะเอียดกวาสังขารทง้ั ปวง ดวยอํานาจภาวนา อายตนะนัน้ พงึ บรรลดุ วยความเปนไปแหง สงั ขารเหลา นัน้ . เพราะเมือ่ สังขารทั้งหลายเห็นปานนนั้ เสยี ไปแลว อายตนะนนั้ ยอ มชือ่ วาเปนอันพึงบรรลุ. บทวา ตยทิ  ความวา เนวสญั ญานาสญั ญายตนะนีน้ ้ัน แมเ ปนของละเอยี ดก็เปนของที่ปจ จยั ปรุงแตง และเพราะเปน ของทป่ี จจัยปรุงแตงจงึเปน ของหยาบ. บทวา ตตรฺ เปนสตั ตมีวภิ ตั ติ ลงในความหมายวา อจุ เฉทวาทะ(วาทะวาขาดสูญ) ๗ ประการ. บทวา อุทฺธ ปรามาสนตฺ ิ ความวา วาทะ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 58วา สญั ญาอนั ยังไมมาถึง เรียกวา กาลขางหนา พวกสมณพราหมณย อ มหมายม่ัน กาลอนั ยงั ไมม าถงึ คอื วาทะวา สงั สาระ (การเวยี นวา ย). บทวาอาสตตฺ ึเยว อภิวทนตฺ ิ ความวา ยอมกลาวการตดิ อยูอ ยา งเดยี ว. บาลวี าอาสตถฺ ึ ดังนี้กม็ ี อธบิ ายวา กลา วถงึ ความทะยานอยาก. บทวา อิติ เปจจฺภวสิ สฺ าม ความวา เราละไปแลว จักเปน อยางนี.้ ในบทนีพ้ งึ นาํ เอานยั อยา งนี้มาวา เราจักเปนกษตั ริย จักเปน พราหมณ ดังนี้. บทวา วาณิชูปม มฺเความวา ยอมปรากฏแกเราเหมือนพอ คา คอื เชนกับพอ คา. บทวา สกกฺ ายภยาไดแก เปนผูก ลัวสกั กายะะ ก็สมณพราหมณเหลานนั้ เมอ่ื เกลยี ดสักกายะกลาวคือ ธรรมที่เปน ไปในภูมสิ ามน้นั นั่นแหละ ยอมกลวั สักกายะ ยอ มเกลยี ดสักกายะ เหมือนสัตว ๔ จําพวกเหลานี้ ยอมกลวั ตอสงิ่ ท่ีไมค วรกลัว(ดังมีท่มี า) วา ขาแตม หาราช สัตว ๔ จาํ พวกแล ยอมกลัวตอส่ิงทไ่ี มค วรกลวั แล จําพวกไหนบาง ขาแตม หาราช ไสเ ดือนแล ยอ มไมก ินดินเพราะกลวั วา แผน ดินจะหมด ขาแตมหาราช นกกะเรยี นยอมยืนเทา เดยี ว(บนแผน ดนิ ) เพราะกลวั วา แผนดินจะทรุด ขา แตม หาราช นกตอยตีวิดนอนหงาย เพราะกลัววาฟาจะถลม ขา แตมหาราช พราหมณผ ปู ระพฤตธิ รรมแลยอมไมป ระพฤตพิ รหมจรรย (คอื ตอ งมีภรรยา) เพราะกลัววาโลกจะขาดสูญ ฉะนน้ั . บทวา สา คทฺทลพนโฺ ธ ความวา สุนขั ทเ่ี ขาเอาเชอื กลา มผูกไวที่ทอ นไม. นบทวา เอวเมวเี ม นี้ พงึ เหน็ สักกายทฏิ ฐิ กลาวคอืธรรมอันเปนไปในภูมิ ๓ เหมือนหลักแนน และเหมอื นเสาเข่ือน บุคคลผเู ปนไปตามคตขิ องทิฏฐเิ หมอื นสนุ ขั ทิฏฐเิ หมอื นทอ นไม ตัณหาเหมือนเชือก พึงทราบการวนเวยี นของบุคคลผูเ ปนไปตามคตขิ องทิฏฐิ ถูกผูกดวยเชอื กคอื ตณั หาทีส่ อดเขา ไปในทอนไม คอื ทิฏฐิ แลวมัดไวทีส่ ักกายะเหมอื นการว่ิงวนเวยี นของสนุ ขั ท่เี ขาเอาเชือกหนงั ลามแลวผูกไวท ี่เสาหรอื เข่ือน ไมส ามารถจะทําใหขาดไปไดโ ดยธรรมดาของตน.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 59 บทวา อมิ าเนว ปฺจายตนานิ ความวา เหตุ ๕ ประการน้ีเทา นนั้ .แมเมือ่ ต้ังแมบทคอื หัวขอ ก็ตั้งไว ๕ ขอ แมเมอ่ื สรุปกส็ รุปไว ๕ ขอ แตเม่อื แจกออก แจกออก ๔ ขอ. ดังกลา วฉะน้ี นพิ พานในปจจบุ นั จะจัดเขาในขอไหน. พึงทราบวา จดั เขา ในบททง้ั สอง คอื เอกัตตสญั ญา และนานัตตสญั ญา. กค็ รนั้ ทรงแสดงการกาํ หนดขันธสว นอนาคต ๔๔ ประการอยางนแี้ ลวเพือ่ จะทรงแสดงการกาํ หนดขนั ธส ว นอดีต ๑๘ ประการในบดั นี้ จงึ ตรัสวาสนฺติ ภิกฺขเว ดังนี้เปน ตน. ในคาํ วา สนฺติ ภิกขฺ เว ดังนี้ เปนตน น้ันชอื่ วา กําหนดขนั ธสว นอดีต เพราะกะกาํ หนดขันธส วนกอน กลา วคือ สวนอดตี แลว ถอื เอา. อีกอยางหนึง่ ช่อื วา กาํ หนดขันธส วนอดตี เพราะอรรถวาสมณพราหมณเ หลา นั้นมีการกาํ หนดขันธสวนอดีต. แมใ นบททีเ่ หลอื บทซงึ่ มีประการดงั กลาวในกอนพงึ ทราบโดยนยั ดังกลา วแลว นั่นแหละ ดว ยประการดงั กลา วแลว บทวา สสสฺ โต อตตฺ า จ โลโก จ ความวา ถือเอาอายตนะอยางใดอยางหน่ึง ในบรรดาอายตนะทัง้ หลายมีรูปเปนตน วาตนและวา โลกแลว กลาวยืนยันวา เท่ียง ไมตาย แนนอน ยงั่ ยืน สมดังตรสั ไว ความพสิ ดารวา ยอมบญั ญัตติ นและโลกวา รปู เปน ตนดว ย เปนโลกดวย เปน ความยง่ั ยืนดวย. แมในวาทะวา อตั ตาและโลกไมเ ท่ยี งเปน ตน กม็ ีนัยน้เี หมือนกนั .ก็ในบรรดาวาทะเหลา นี้ กลาววาทะวาเท่ียง ๔ ประการ ดวยวาทะแรก.กลาววาทะวาขาดสญู ดว ยวาทะท่ีสอง. ถามวา กว็ าทะเหลาน้ี มีมาแลว ในหนหลังมิใชห รอื เพราะเหตุไร จงึ เอามาพูดในท่ีนี้อกี . ตอบวา ที่เอามาพดูในหนหลัง เพื่อแสดงวา สัตวต ายในที่นั้นๆ ยอ มขาดสูญในที่น้ันๆ น่นั แหละแตใ นท่ีน้ี ผูท ี่ระลึกชาตไิ ดเ ปน ไปตามคตขิ องทิฏฐิ ยอมเหน็ อดตี ไมเ หน็ อนาคตเขาผนู ้นั ยอมมคี วามคิดเห็นอยา งน้ีวา ตนที่มาจากขันธส วนอดตี ยอ มขาดสูญ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 60ในท่ีนแี้ นน อน ไมไ ปตอ ไปอีก. เพื่อจะแสดงเนือ้ ความดงั กลาวน้ี จงึ เอามา(กลาวอีก). กลา ววาทะวา เทยี่ งบางอยาง ๔ ประการดว ยวาทะทส่ี าม. กลาวอมราวกิ เขปก วาทะ (คอื วาทะท่ดี น้ิ ไดไมต ายตัว) ๔ ประการ ดวยวาทะที่ ๔.บทวา อนฺตวา ไดแ ก มีที่สุด คอื มที างซ่งึ กําหนดไว. สําหรับผูไ มไดเจรญิ กสณิ ยอ มถอื เอากสณิ น้นั วา เปน ตนและเปนโลกแลว เปน อยูอ ยา งนนั้ .วาทะท่ีสองกลา วดวยอํานาจของผทู ี่เจริญกสิณ วาทะทสี่ ามกลาวสําหรับผูท ่ีเจรญิ กสิณไปทางขวาง (คือทางดานขา ง) แตไ มเ จริญกสณิ ไปทางเบ้ืองบนและเบือ้ งลาง วาทะทส่ี ีก่ ลา วเน่ืองดว ยคนผูใชการตรกึ อนนั ตรจตุกกะ ( ๔หมวดท่ตี ดิ ตอกนั ) มนี ัยดังกลาวไวใ นหนหลังน่ันแหละ. บทวา เอกนฺตสขุ ีความวา มีสุขโดยสวนเดยี ว คอื มีสขุ เปนนิรันดร. ทฏิ ฐินย้ี อมเกดิ ขึน้ ดว ยอํานาจแหง ผูไ ด (มี) ทฏิ ฐิ ผรู ะลึกชาติ และผูคาดคะเน. เพราะทฏิ ฐอิ ยางนี้ยอมเกิดแกผไู ด (มีทิฏฐ)ิ ผูร ะลกึ ชาตขิ องตนซง่ึ มคี วามสุขโดยสว นเดยี วในตระกลู กษัตริย เปนตน ดว ยบพุ เพนิวาสญาณ ยอ มเกิดแกผรู ะลกึ ชาติไดผูก ําลังเสวยสขุ ปจจุบัน ระลกึ ถึงอตั ภาพเชน นน้ั น่ันแหละในอดีตชาติ ๗ ชาติกเ็ หมือนกัน. แตสาํ หรับผใู ชก ารคาดคะเน (คอื นักตรกึ ) พร่ังพรอ มดว ยความสุขในโลกนี้ ทฏิ ฐิยอ มเกดิ ขึ้นดว ยการคาดคะเนนัน่ แลวา แมใ นอดีตเรากไ็ ดเปน แลวอยา งน้ี ดงั น้.ี บทวา มที ุกขโ ดยสวนเดียว ความวาทฏิ ฐนิ ย้ี อ มไมเกดิ แกผูได (มี) ทฏิ ฐ.ิ เพราะเขามคี วามสขุ ดวยฌานสขุ ในโลกนโ้ี ดยสว นเดียว. กท็ ิฏฐินย้ี อ มเกิดขึ้นแกผ ูใชก ารคาดคะเนเทาน้ัน ผูอนัทุกขส ัมผสั แลวในโลกน้รี ะลกึ ชาตไิ ดอ ย.ู ทฏิ ฐิทสี่ ามยอ มเกดิ แกคนเหลา น้นัแมท้งั หมด ผมู ที ้ังสุขและทุกขปะปนกนั . กท็ ฏิ ฐิที่สก่ี ็เหมือนกนั ยอมเกดิแกผ ูไมมีทกุ ขไมม สี ขุ ดวยอํานาจจตุตถฌานในบัดน้ี ระลกึ ถงึ พรหมโลกอันมี

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 61ดว ยฌานทสี่ เี่ ทา นนั้ แมใ นกาลกอ น. ทฏิ ฐิน้ียอ มเกดิ ท้ังแกผรู ะลกึ ชาตไิ ดผวู างตนเปนกลาง (วางเฉย) อยใู นปจ จุบัน ระลกึ ถึงฐานะอนั เปน กลาง ๆเทานน้ั ท้งั แกผ ใู ชการคาดคะเน ผวู างตนเปนกลางอยใู นปจ จบุ นั ถอื เอาอยูดวยการคาดคะเนอยางเดียววา แมในอดีตกจ็ ักเปน อยางน้ี ดังนี้ ดว ยการกลาวมาเพียงเทา น้ี ยอ มเปน อนั กลา วการกําหนดขันธส วนอดีตท้ัง ๑๘ ประการคือ วาทะวาโลกเทย่ี งยัง่ ยืน ๔ ประการ วาทะวา โลกเท่ยี งย่งั ยนื บางอยาง ๔ประการ วาทะวา โลกมที ส่ี ุดและไมมที ่ีสดุ ๔ ประการ กลา ววาทะที่ด้นิ ไดไมตายตัว ๔ ประการ กลาววาทะวาเกิดขน้ึ เล่ือนลอย ๒ ประการ. บดั นี้ เมอ่ื จะทรงขยาย (ความ) ทิฏฐิ จึงตรัสคาํ วา ตตฺร ภิกฺข-เว ดังน้ีเปนตน. บรรดาบทเหลานั้น ญาณทปี่ ระจกั ษ ชื่อวา ญาณเฉพาะตน. บทวา ปรสิ ุทฺธึ คอื หมดอุปกเิ ลส. บทวา ปริโยทาต คอื ประภสั สร. ตรัสวปิ ส สนาญาณอยางเดียวดวยบททกุ บท. เพราะธรรม ๕ ประการมีศรทั ธาเปน ตน ยอ มมใี นลัทธิภายนอก (สว น) วิปสสนาญาณมีในพระ-พุทธศาสนาเทาน้นั . บรรดาบทเหลานัน้ บทวา าณภาคมตฺตเมว ปริ-โยทเปนฺติ ความวา ยอ มยังสว นแหง ความรใู นญาณนนั้ ใหหยงั่ ลงไปอยา งน้ีวา สิ่งน้พี วกเรารู ดงั นี้ . บทวา อปุ าทนมกขฺ ายติ ความวา สว นแหงความรนู ัน้ ไมใ ชญาณ นน่ั เปนชือ่ ของมิจฉาทสั สนะ เพราะฉะนัน้ บัณฑิตจึงกลาวสวนแหง ความรแู มน ัน้ วาเปนทฏิ ปุ าทานของทานสมณพราหมณเหลา นน้ั . แมเ ม่ือเปนอยางนนั้ ความรูนั้น เปนเพียงสวนของความรเู ทา นัน้เพราะมีลกั ษณะเพียงสักวารู. แมถึงเชนนนั้ ก็ช่อื วา เปน อปุ าทานเพราะไมพ นไปจากวาทะ เพราะเปนปจ จยั แหง อุปทาน. บทวา เปน ไปลวงส่ิงที่ปจ จัยปรงุ แตงน้ัน ไดแกกา วลว งทิฏฐนิ ั้น. ดว ยเหตุเพยี งเทานี้ ยอมเปน

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 62อันกลาวทิฏฐิแมทง้ั ๖๒ ประการ ซึ่งมาในพรหมชาลสตู ร คือวาทะวา อัตตาและโลกเที่ยง ๔ อยา ง วาทะวา เทย่ี งเปน บางอยาง ๔ อยา ง วาทะวา มีทส่ี ุดและไมมที ส่ี ุด ๔ อยา ง วาทะดนิ้ ไดไ มตายตัว ๔ อยา ง วาทะวา เกิดขนึ้ เลื่อนลอย๒ อยาง วาทะวา มีสญั ญา ๑๖ อยาง วาทะวา ไมม ีสัญญา ๘ อยา ง วาทะวามสี ัญญาก็ไมใชไมมสี ัญญาก็ไมใช ๘ อยาง วาทะวาขาดสญู ๗ อยาง วาทะวา นิพพานในปจ จบุ นั ๕ อยาง กเ็ มอื่ กลา วพรหมชาลสูตรแลว สูตรนี้ยอมเปนอันไมก ลา วเลย เพราะสกั กายทฏิ ฐิอนั เกนิ กวา พรหมชาลสูตรนน้ั มมี าในสูตรนี้ แตเ ม่อื กลาวสตู รนี้แลวพรหมชาลสตู รยอ มเปน อนั กลาวแลวทีเดยี ว. บัดน้ี เพ่ือแสดงวา ทิฏฐิ ๖๒ ประการเหลา นน้ั เม่ือเกดิ ยอ มเกดิ ขึ้นโดยมสี ักกายทิฏฐิเปน ใหญเปน ประธาน จึงตรสั วา อธิ ภิกขเว เอกจฺโจดังนีเ้ ปนตน . บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ปฏนิ ิสฺสคฺคา ไดแกเพราะบรจิ าค. บทวา กามสฺโชนาน อนธิฏานา ไดแ ก เพราะสลดั ตัณหาในกามคณุ ๕. บทวา ปวเิ วก ปตึ ไดแก ปตแิ หง ฌานทั้งสองซึ่งมปี ต.ิ บทวา นิรชุ ฌฺติ ไดแ ก ดับดวยความดับดว ยฌาน. กส็ ําหรับผูออกจากสมาบตั ิ ปต ิ ยอมชือ่ วา เปนอนั ดับแลว. เหมือนอยางวา ในคํานี้ที่วา นิรามสิ สุขเกดิ เพราะอทุกขมสุขเวทนาดบั อทกุ ขมสขุ เวทนาเกิดเพราะนริ ามสิ สขุ ดบั ดังนี้ ไมมคี วามหมายอนั นว้ี า เพราะจตุตถฌานดบั จึงเขาถึงตตยิ ฌานอย.ู ก็ในคําน้ี มคี วามหมายนว้ี า ออกจากจตตุ ถฌานแลว เขาตติย-ฌาน ออกจากตติยฌานแลว เขาจตุตถฌาน. ดงั น้ี ฉันใด พึงทราบขออปุ ไมยนฉี้ ันนั้น. บทวา อุปปชฺชติ โทมนสฺส ไดแ ก โทมนัสทค่ี รอบงําฌานอยางตํา่ ๆ ก็ทา นกลาวถึงความคลอ งตวั สําหรบั ทานผมู ีจติ ออกจากสมาบัต.ิบทวา ปติอนั เกดิ แตวเิ วก ไดแก ปต ิในฌานท้ังสองน้ันเอง. บทวา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 63ย ฉายา ชหติ ไดแ ก ย าน ฉายา ชหติ (แปลวา รม เงายอมละทงิ้ทใ่ี ดไป). คํานท้ี า นอธิบายวา รม เงามอี ยูในทใ่ี ดแสงแดดยอ มไมม ใี นทีน่ นั้แสงแดดมีในทใี่ ดรมเงายอ มไมม ใี นทนี่ ้นั ดงั นี.้ บทวา นริ ามสิ  สุข ไดแก สุขในตตยิ ฌาน. บทวา อทฺกฺขมสุข ไดแ ก เวทนาในจตตุ ถฌาณ. บทวา อนุปาทาโนหมสฺมิ ความวา เราเปน ผไู มย ดื ถอื . บทวานพิ พฺ านสปฺปาย ความวา เปน สัปปายะ คือ เปน อุปการะแกพระนิพพาน. ก็ธรรมดาการเหน็ มรรคยอ มเกิดข้ึนในเมื่อความใครในส่ิงทัง้ ปวงถกู ทาํ ใหแหง หายไปมิใชหรอื ? ความเห็นนน้ั ช่อื วา เปนขอ ปฏิบตั ิอันเปนอุปการะแกน พิ พานไดอ ยางไร ? ชอ่ื วา เปน ขอปฏบิ ตั อิ ันเปน อปุ การะได ดว ยอาํ นาจไมถอื มัน่คือดว ยอาํ นาจการไมยดึ ถอื ในส่ิงท้ังปวง. บทวา อภวิ ทติ ไดแก กลาวดวยมานะจัด บทวา ปุพฺพนตฺ านทุ ฏิ  ึ. ไดแก ทิฏฐิคลอ ยตามขันธ สว นอดีตทง้ั ๑๘ อยา ง. บทวา อปรนตฺ านทุ ิฏ ึ ไดแก ทิฏฐคิ ลอ ยตามขนั ธสว นอนาคตทั้ง ๔๔ อยา ง. บทวา อุปาทานมกขฺ ายติ ความวา ยอ มเรียกวา ทฏิ ุปาทาน เพราะการถอื วาเรามี เปน การถือทีน่ บั เนอ่ื งในสักกายะ-ทฏิ ฐิ บทวา สนตฺ  วร ปท ไดแ กบ ทอันสงู สดุ ชอ่ื วา สงบ เพราะเปนบทสงบระงบั กิเลส. บทวา ฉนฺน ผสฺสายตนาน ความวา ในบาลีน้ีที่วา อายตนะอันบุคคลควรรูไว คือ จักษดุ ับ ณ ทใ่ี ด รูปสัญญาก็ส้ินไป ณ ทนี่ ้ัน ดงั นี้เปน ตน ทรงแสดงนพิ พานดว ยการปฏิเสธอายตนะ ๒ ในพระบาลีนท้ี ีว่ า นาํ้ ดนิ ไฟ ลม ยอ มไมตัง้ อยใู น ทีใ่ ด ภพหนา (สงสาร) ยอ มกลับแตท ่นี ้ี โทษ (วัฏฏ) ยอ มกลับในท่นี ี้ นามรูปยอ ม ดับหมดในทีน่ ้ี ดังนเ้ี ปนตน.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 64 ทรงแสดงนพิ พานดว ยการปฏเิ สธสังขาร ในบาลนี น้ั ทว่ี า อาโปฐาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ ยอ มไมตั้งอยูในท่ใี ด อุปาทายรูป ท่ยี าว สัน้ ละเอยี ด หยาบ งาม และไม งาม ยอมไมตัง้ อยูในที่นนั้ (ใด) นามรปู ยอมดับหมดในท่นี น้ั ดงั น้เี ปนตน . มไี วยากรณ (คือขอความเปนรอยแกว) วา ในพระบาลนี ที้ ี่วา วญิ ญาณมองเหน็ ไมได หาทสี่ ุดไมไ ด ผอ งใสโดยประการท้ังปวง ดงั น้ีเปนตน ทรงแสดงนพิ พานโดยการปฏเิ สธสังขารในที่ทุกแหง. แตในสูตรนี้ทรงแสดงโดยการปฏเิ สธอายตนะ ๖. กใ็ นสตู รอ่ืนทรงแสดงเฉพาะนพิ พานเทานัน้ ดว ยบทวาอนุปาทา วิโมกฺโข ไดแ ก การหลุดพน โดยไมถ ือมั่น. แตในสูตรน้ี ทรงแสดงอรหตั ผลสมาบตั ิ. คําทเ่ี หลอื ในท่ที ุกแหง งา ยท้งั นนั้ แล. จบ อรรถกถาปญจตั ตยสูตรท่ี ๒

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 65 ๓. กินติสูตร พระพุทโธวาทเร่ืองสามัคคี [๔๒] ขาพเจาไดฟ งมาแลว อยา งนี้ :- สมัยหนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยูในปาชฏั สถานท่บี วงสรวงพลีกรรม ณ กรุงกสุ นิ ารา สมยั น้ัน พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเรียกภิกษุท้งั หลายวา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษเุ หลา นัน้ ทูลรับพระดาํ รัสแลว . พระผูม พี ระภาคเจา ไดตรัสดังนว้ี า ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอมีความดาํ รใิ นเราบา งหรอื วา สมณโคดมแสดงธรรมเพราะเหตุจีวร หรือเพราะเหตุบณิ ฑบาตหรอื เพราะเหตเุ สนาสนะ หรือเพราะเหตุหวงั สุขในภพนอยภพใหญดว ยอาการน.ี้ ภกิ ษุเหลา นั้นทูลวา ชาแตพระองคผ ูเ จริญ พวกขาพระองคไมม ีความดาํ รใิ นพระผูมีพระภาคเจา อยา งนี้เลยวา พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมเพราะเหตจุ วี รหรอื เพราะเหตุบิณฑบาต หรือเพราะเหตเุ สนาสนะหรอื เพราะเหตุหวงั สุขในภพนอ ยภพใหญด ว ยอาการน.้ี [๔๓] พ. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปน อันวา พวกเธอไมมีความดําริในเราอยา งน้ีเลยวา พระสมณโคดมแสดงธรรมเพราะเหตจุ วี ร หรือเพราะเหตุบณิ ฑบาตหรือเพราะเหตุเสนาสนะ หรือเพราะเหตหุ วงั สขุ ในภพนอยภพใหญดว ยอาการนี้ ถาเชน นั้น พวกเธอมคี วามดาํ รใิ นเราอยา งไรเลา . ภิ. ขาแตพระองคผูเจรญิ พวกขาพระองคมคี วามดําริในพระผมู ีพระภาคเจา อยางน้ีวา พระผูมพี ระภาคเจา ผทู รงอนุเคราะห ทรงแสวงหาประโยชนเก้อื กลู ทรงอาศยั ความอนุเคราะหแสดงธรรม.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 66 [๔๔] พ. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย เปนอนั วา พวกเธอมคี วามดาํ ริในเราอยา งน้วี า พระผมู ีพระภาคเจา ผูอนุเคราะห แสวงหาประโยชนเกื้อกลู อาศัยความอนเุ คราะหแ สดงธรรม เพราะฉะนน้ั ธรรมเหลา ใด อันเราแสดงแลวแกเธอทง้ั หลายดว ยความรยู ง่ิ คือ สติปฏ ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔อนิ ทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรคมอี งค ๘ เธอท้ังปวงพงึ เปน ผูพรอมเพรียงกนั ยินดีตอ กัน ไมววิ าทกนั ศกึ ษาอยู ในธรรมเหลานน้ั ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย กเ็ ม่อื พวกเธอนัน้ พรอ มเพรยี งกนั ยินดีตอ กนั ไมว วิ าทกนัศกึ ษาอยู จะพงึ มภี ิกษุผูกลา วตา งกนั ในธรรมอันยงิ่ เปนสองรูป. [๔๕] ถา พวกเธอมคี วามเหน็ ในภกิ ษสุ องรูปน้นั อยางน้วี า ทา นทง้ัสองน้ี มวี าทะตา งกนั โดยอรรถและโดยพยญั ชนะ พวกเธอสําคญั ภิกษรุ ปู ใดในสองรปู นัน้ วา วางา ยกวา กัน พงึ เขาไปหาภกิ ษรุ ูปนนั้ แลวกลาวแกเธออยา งนวี้ า ทานทั้งสอง มวี าทะตา งกนั โดยอรรถและโดยพยัญชนะ ขอทา นโปรดทราบความตา งกนั น้ัน แมโดยอาการทีต่ างกนั โดยอรรถและโดยพยญั ชนะ ทา นทง้ั สอง อยา ถึงตอ งววิ าทกนั เลย ตอนนั้ พวกเธอสาํ คญั ภกิ ษอุ นื่ ๆ ท่เี ปนฝายเดยี วกนั รปู ใดวา วา งายกวากนั พงึ เขาไปหารปู น้ัน แลวกลาวแกเธออยางน้ีวา ทา นทั้งสอง มีวาทะตางกนั โดยอรรถและโดยพยญั ชนะ ขอทา นโปรดทราบความตา งกนั นน้ี ้ัน แมโดยอาการทีต่ า งกัน โดยอรรถและโดยพยญั ชนะทา นท้ังสองอยาถงึ ตองววิ าทกนั เลย ดวยประการนี้ พวกเธอตองจาํ ขอท่ีภกิ ษุทัง้ สองนน้ั ถือผิด โดยเปน ขอผิดไว คร้นั จาํ ไดแ ลว ขอ ใดเปน ธรรมเปน วนิ ยั พงึ กลาวขอ น้นั . [๔๖] ถา พวกเธอมีความเห็นในภิกษสุ องรปู นนั้ อยางนี้วา ทานทั้งสองน้แี ล มวี าทะตา งกันแตโดยอรรถ ยอ มลงกนั ไดโ ดยพยญั ชนะ พวกเธอ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 67สาํ คัญภกิ ษุรปู ใดในสองรูปนน้ั วา วา งา ยกวา กนั พงึ เขาไปหาภิกษุรูปน้ัน แลวกลา วแกเ ธออยา งนีว้ า ทา นท้งั สอง มวี าทะตา งกนั โดยอรรถยอ มลงกนั ไดโดยพยัญชนะ ขอทานโปรดทราบความตา งกนั น้นี นั้ แมโดยอาการทล่ี งกนั ไดโ ดยพยญั ชนะ ทานทง้ั สอง อยา ถึงตองวิวาทกันเลย ตอนน้ั พวกเธอสาํ คัญภกิ ษุอ่นื ๆ ทเี่ ปน ฝายเดยี วกนั รูปใดวา วางายกวา พงึ เขา ไปหารูปนั้น แลว กลา วแกเ ธออยางนว้ี า ทานทัง้ สอง มวี าทะตางกนั แตโ ดยอรรถ ยอมลงกนั ไดโดยพยัญชนะ ขอทา นโปรดทราบความตางกนั นีน้ ้ัน แมโดยอาการท่ีลงกนั ไดโ ดยพยญั ชนะ ทา นทง้ั สอง อยา ถงึ ตอ งววิ าทกนั เลย ดว ยประการนี้ พวกเธอตอ งจําขอ ทภี่ ิกษุทั้งสองนนั้ ถือผดิ โดยเปนขอ ผดิ และจําขอ ท่ีภิกษทุ ้งั สองนั้นถอื ถกูโดยเปนขอถูกไว ครนั้ จาํ ไดแลว ขอใดเปนธรรม เปนวินัย พึงกลาวขอนน้ั . [๔๗] ถาพวกเธอมคี วามเหน็ ในภกิ ษุสองรปู นัน้ อยางน้ีวา ทานทั้งสองน้ีแล มวี าทะลงกันไดโดยอรรถ ยงั ตางกนั แตโดยพยัญชนะ พวกเธอสาํ คัญภกิ ษุรปู ใดในสองรูปนน้ั วา วา งายกวากัน พึงเขาไปหาภกิ ษรุ ปู นั้นแลว กลา วแกเธออยางนีว้ า ทา นทง้ั สอง มีวาทะลงกนั ไดโดยอรรถ ตางกันแตโดยพยัญชนะ ขอทา นโปรดทราบความตางกันนี้นน้ั แมโ ดยอาการทีล่ งกันไดโ ดยอรรถ ตา งกนั แตโ ดยพยญั ชนะ กเ็ รอ่ื งพยัญชนะนเี้ ปน เรอ่ื งเลก็ นอยทานทง้ั สองอยาถึงตองวิวาทกนั ในเรื่องเลก็ นอ ยเลย ตอน้ัน พวกเธอสําคญัภิกษอุ นื่ ๆ ทเ่ี ปนฝายเดยี วกนั รปู ใดวา วางา ยกวา พงึ เขาไปหารปู น้ันแลว กลาวแกเธออยางนี้วา ทานท้งั สอง มีวาทะลงกนั ไดโดยอรรถ ตางกนั แตโดยพยญั ชนะ ขอทา นโปรดทราบความตางกนั นน้ี ้นั แมโ ดยอาการทีล่ งกันไดโดยอรรถ ตางกนั แตโ ดยพยญั ชนะ ก็เรือ่ งพยัญชนะน้เี ปน เร่อื งเลก็ นอย ทา นทัง้ สอง อยา ถึงตอ งววิ าทกนั ในเรือ่ งเลก็ นอ ยเลย ดวยประการน้ี พวกเธอตอ งจําขอ ท่ีภกิ ษทุ ัง้ สองน้นั ถือถกู โดยเปนขอ ถกู และจําขอทภ่ี กิ ษทุ ้งั สองน้ัน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 68ถอื ผดิ โดยเปนขอ ผดิ ไว คร้ันจําไดแลว ขอ ใดเปนธรรมเปน วินัย พงึ กลาวขอนัน้ . [๔๘] ถาพวกเธอมีความเห็นในภกิ ษสุ องรูปน้นั อยา งน้วี า ทานทั้งสองนีแ้ ล มวี าทะสมกนั ลงกนั ทั้งโดยอรรถและโดยพยญั ชนะ พวกเธอสําคัญภิกษุรปู ใดในสองรูปนัน้ วา วางา ยกวากนั พึงเขา ไปหาภิกษุรปู นนั้ แลวกลาวแกเธออยา งน้วี า ทา นทัง้ สอง มีวาทะสมกันลงกนั ท้งั โดยอรรถและโดยพยญั ชนะขอทานโปรดทราบคําทตี่ า งกนั นี้นน้ั แมโดยอาการทสี่ มกันลงกันไดท ัง้ โดยอรรถและโดยพยญั ชนะ ทา นผูม ีอายทุ ้งั สอง อยา ถึงตอ งวิวาทกนั เลย ตอ น้ันพวกเธอสาํ คญั ภกิ ษอุ ่นื ๆ ทเ่ี ปนฝา ยเดียวกัน รูปใดวา วา งา ยกวา พึงเขา ไปหารปู นนั้ แลว กลา วแกเ ธออยา งนี้วา ทานทง้ั สอง มวี าทะสมกันลงกนัทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ ขอทา นโปรดทราบคาํ ที่ตา งกนั นน้ี ้ัน แมโ ดยอาการท่ีสมกันลงกนั ไดท ั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ ทา นทั้งสอง อยาถึงตอ งวิวาทกนั เลย ดวยประการนี้ พวกเธอตองจาํ ขอ ท่ีภกิ ษุทัง้ สองนนั้ ถือถกู โดยเปน ขอ ถูกไว ครน้ั จําไดแ ลว ขอ ใดเปนธรรม เปน วนิ ยั พงึ กลา วขอนั้น. [๔๙] ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ก็เมอ่ื พวกเธอน้ันพรอ มเพรียงกนั ยินดีตอ กันไมวิวาทกัน ศึกษาอยู ภกิ ษรุ ูปหน่ึงพงึ มอี าบตั ิ มีวีตกิ กมโทษ พวกเธออยาเพอโจทภิกษุรปู นั้นดว ยขอ โจท พงึ สอนสวนบุคคลกอนวา ดวยอาการนี้ความไมลาํ บากจกั มีแกเ รา และความไมข ดั ใจจักมีแกบ ุคคลผูตองอาบัติ เพราะบคุ คลผตู อ งอาบัตเิ ปนคนไมม ักโกรธ ไมผ กู โกรธ ไมม ที ฏิ ฐิมน่ั ยอมสละคืนไดงายและเราอาจจะใหเ ขาออกจากอกศุ ล ดํารงอยูในกุศลได ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ถา พวกเธอมีความเห็นอยา งน้ี ก็ควรพดู . อน่ึง ถาพวกเธอมคี วามเหน็ อยา งนีว้ า ความลาํ บากจักมแี กเรา และความขัดใจจักมีแกบุคคลผูตองอาบัติ เพราะบุคคลผตู องอาบตั ิ เปน คนมกั โกรธ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 69มีความผกู โกรธ มีทิฏฐิมั่น แตยอมสละคนื ไดง า ย และเราอาจจะใหเขาออกจากอกุศล ดาํ รงอยใู นกศุ ลได กเ็ รือ่ งความลาํ บากของเรา และความขัดใจของบคุ คลผูตอ งอาบัตนิ ้ี เปนเร่อื งเลก็ นอ ย สวนเรือ่ งที่เราอาจจะใหเขาออกจากอกศุ ล ดํารงอยูใ นกศุ ลนัน่ แล เปนเรอื่ งใหญก วา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ถาพวกเธอมีความเหน็ อยางน้ี ก็ควรพดู . อน่ึง ถา พวกเธอมคี วามเห็นอยางนวี้ า ความลําบากจักมีแกเ ราและความไมขดั ใจจักมแี กบคุ คลผูตอ งอาบตั ิ เพราะบคุ คลผูตองอาบัติเปนคนไมมักโกรธ ไมผ ูกโกรธ แตม ที ฏิ ฐมิ นั่ ยอมสละคนื ไดง าย และเราอาจจะใหเขาออกจากอกศุ ล ดํารงอยใู นกุศลได ก็เร่อื งความลาํ บากของเรา เปน เรื่องเล็กนอ ย สวนเรอ่ื งทเี่ ราอาจจะใหเ ขาออกจากอกศุ ล ดํารงอยใู นกศุ ลไดน นั่แล เปน เร่ืองใหญก วา ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ถาพวกเธอมีความเหน็ อยางน้ีกค็ วรพูด. ถาพวกเธอมคี วามเห็นอยา งนว้ี า ความลําบากจกั มแี กเราและความขดัใจจักมีแกบ ุคคลผูตองอาบตั ิ เพราะบคุ คลผตู องอาบัติเปน คนมกั โกรธ มีความผกู โกรธ มที ิฏฐมิ นั่ สละคนื ไดย าก แตเ ราอาจจะใหเ ขาออกจากอกศุ ล ดาํ รงอยูในกุศลได ก็เรอื่ งความลําบากของเราและความขัดใจของบุคคลผตู อ งอาบัตินเี้ ปนเรื่องเล็กนอย สวนเร่อื งที่เราอาจจะใหเขาออกจากอกศุ ล ดํารงอยูใ นกศุ ลไดน่ันแล เปน เรือ่ งใหญก วา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ถาพวกเธอมีความเหน็ อยางน้ี กค็ วรพดู . แตถ า พวกเธอมีความเหน็ อยางนว้ี า ความลาํ บากจกั มีแกเราและความขดั ใจจกั มีแกบคุ คลผตู องอาบตั ิ เพราะบคุ คลผูต อ งอาบัตเิ ปน คนมักโกรธ มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิม่นั สละคนื ไดย าก ท้งั เรากไ็ มอ าจะใหเ ขาออกจากอกศุ ล ดาํ รงอยูใ นกุศลได พวกเธอก็ตอ งไมละเลยอเุ บกขาในบุคคลเชนน.ี้

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 70 [๕๐] ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย กพ็ วกเธอนัน้ ท่พี รอมเพรียงกนั ยินดีตอ กนั ไมวิวาทกนั ศึกษาอยู พึงเกดิ การพดู ยุแหย ตีเสมอกนั ดวยทฏิ ฐิผกู ใจเจ็บกนั ไมเ ชือ่ ถอื กัน ไมย ินดีตอกนั ข้ึน บรรดาภกิ ษุท่ีเปน ฝา ยเดยี วกันในทีน่ ้ันหมายสําคญั เฉพาะรปู ใดวา เปนผวู า งา ย เธอพงึ เขา ไปหารปู นน้ั แลวกลา วแกเ ธออยางนว้ี า ทานผูมอี ายุ เรื่องทีพ่ วกเราพรอ มเพรยี งกนั ยนิ ดีตอกันไมววิ าทกัน ศกึ ษาอยู เกดิ การพูดยุแหยก ัน ตเี สมอกนั ดว ยทิฏฐกิ นัไมเ ชอื่ ถอื กัน ไมย ินดตี อ กนั ขึน้ นนั้ พระสมณะเมือ่ ทรงทราบจะพงึ ทรงติเตยี นได ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เม่อื ภกิ ษจุ ะช้ีแจงโดยชอบ พงึ ชี้แจงอยางน้ีวา ทา นผมู อี ายุ เร่อี งที่พวกเราพรอมเพรียงกนั ยินดีตอ กัน ไมว วิ าทกนั ศึกษาอยูเกดิ การยแุ หย ตเี สมอกันดว ยทิฏฐิ ผกู ใจเจบ็ กัน ไมเชอ่ื ถือกัน ไมย นิ ดีตอกันขน้ึ น้นั พระสมณะเม่อื ทรงทราบจะพงึ ทรงติเตียนได ก็ภิกษุอ่นื ๆ จะพงึ ถามเธอวา ทานผูมีอายุ ภิกษไุ มล ะธรรมนแ้ี ลว จะพึงทํานิพพานใหแ จงไดห รอืภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุเมอ่ื จะพยากรณโดยชอบ พงึ พยากรณอยา งนวี้ า ทา นผมู ีอายุ ภิกษุไมล ะธรรมน้แี ลว จะพึงทํานิพพานใหแจง ไมได ตอนั้น พวกเธอสาํ คญั ในเหลา ภิกษุอน่ื ๆ ท่ีเปนฝา ยเดยี วกนั เฉพาะรปู ใดวา เปนผูวางา ย พงึเขาไปหารปู น้นั แลวกลา วแกเธออยา งนว้ี า ทา นผมู ีอายุ เรอ่ื งทพ่ี วกเราพรอ มเพรียงกนั ยินดตี อ กนั ไมวิวาทกัน ศกึ ษาอยู เกิดการพูดยแุ หยก นัตเี สมอกนั ดวยทฏิ ฐิ ผูกใจเจบ็ กัน ไมเ ช่อื ถอื กัน ไมย นิ ดตี อกนั ข้นึ น้ันพระสมณะเมอ่ื ทรงทราบจะพงึ ทรงตเิ ตยี นได ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ภกิ ษุเม่อื จะชี้แจงโดยชอบ พึงชแ้ี จงอยา งนว้ี า ทานผูม ีอายุ เรอื่ งทพ่ี วกเราพรอ มเพรยี งกันยินดีตอ กนั ไมววิ าทกัน ศกึ ษาอยู เกิดการพูดยแุ หย ตีเสมอกันดว ยทิฏฐิผกู ใจเจ็บกนั ไมเช่อื ถอื กัน ไมยินดีตอกนั ข้นึ น้ัน พระสมณะเมอื่ ทรงทราบจะพึงติเตียนได ก็ภิกษอุ ่นื ๆ จะพงึ ถามเธอวา ทานผูมีอายุ ภกิ ษุไมล ะธรรมนี้

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 71แลว จะพึงทํานิพพานใหแ จง ไดห รือ ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษเุ มอ่ื จะพยากรณโ ดยชอบพึงพยากรณอยา งนีว้ า ทานผูมอี ายุ ภกิ ษุไมละธรรมนีแ้ ลวจะพึงทํานพิ พานใหแจง ไมได. ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ถาภกิ ษุอ่นื ๆ พึงถามเธออยางน้ีวา ทานใหภิกษเุ หลาน้ีของพวกเรา ออกจากอกุศล ดํารงอยใู นกุศลแลว หรอื ภกิ ษุเมือ่จะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอ ยา งนวี้ า ทานผมู ีอายุ ในเรอื่ งนี้ ขา พเจาไปเฝาพระผูม ีพระภาคเจาแลว พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงธรรมแกข าพเจาขา พเจา พงึ ธรรมของพระองคแลว ไดกลาวแกภิกษุเหลานั้น ภิกษุเหลานนั้ฟง ธรรมแลว ออกจากอกุศล และดํารงอยูใ นกุศลไดแลว ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลายภกิ ษุเม่อื พยากรณอยา งนีแ้ ล ช่ือวาไมย กตน ไมขมคนอน่ื พยากรณธรรมสมควรแกธ รรมดว ย ท้งั วาทะของศษิ ยอ ะไร ๆ อันชอบดวยเหตุ ยอมไมประสบขอนาตาํ หนดิ วย. พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั ภาษิตนแี้ ลว ภิกษุเหลา นน้ั ตางชื่นชมยินดีภาษติ ของพระผมู พี ระภาคเจา แล. จบ กินติสตู รที่ ๓

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 72 อรรถกถากินติสตู ร กินตสิ ตู ร เรม่ิ ตนวา ขา พเจาไดฟ ง มาแลว อยา งน.้ี พึงทราบวนิ จิ ฉัยในกนิ ติสตู รนั้น ดังตอ ไปน.้ี บทวา กสุ ินารายไดแกในมณฑลประเทศทีม่ ีชี่ออยางน้ี บทวา พลิหรเณ ความวา ชนทัง้ หลายนําพลมี าเซนสรวงภตู ท้ังหลายในไพรสณฑน้นั เพราะฉะน้ันไพรสณฑนน้ัจงึ เรยี กวา เปนทน่ี าํ พลีมาเซน สรวง. บทวา จวี รเหตุ แปลวา เพราะเหตุจีวร อธบิ ายวา หวงั ไดจ ีวร. บทวา อิติ ภวาภวเหตุ ความวาพวกเธอไดมคี วามคิดอยางนี้หรือวา พระสมณโคดมแสดงธรรมดว ยความหวังวา เราจกั อาศยั บญุ กิริยาวตั ถุอันสําเรจ็ ดว ยการแสดงธรรมแลว จักไดเสวยสุขในภพน้ัน ๆดว ยประการอยา งน.้ี พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ มวี า สติปฏฐาน๔ ดังนี้เปนตน ทงั้ โลกิยะและโลกตุ ระทีเดยี ว. บทวา ตตฺถ ไดแก ในธรรม ๓๗ ประการนนั้ . บทวา สิยุ แปลวา พงึ เปน . บทวา อภธิ มเฺ ม ไดแก ในธรรมอนั วิเศษย่ิง. อธิบายวา ในโพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ประการเหลานี้บทวา ตตรฺ เจ แมน้ี เปน สตั ตมีวภิ ตั ตลิ งในอรรถวา โพธปิ กขิยธรรมทัง้ หลายเทา นนั้ . ในคาํ น้ที ่วี า อตฺถโต เจว นาน พฺยฺชนโต จ นานดงั นี้ เมื่อกลาววา กายสตปิ ฏฐาน เวทนาสตปิ ฏฐาน เปนการตางกนั โดยอรรถแตเม่อื กลาววา (กาย เวทนา) ในสตปิ ฏ ฐาน ดงั น้ี ยอมชื่อวา ตางกันโดยพยญั ชนะ. บทวา ตทมิ ินาป ความวา พงึ เทียบอรรถและพยัญชนะแลวชถ้ี ึงความที่อรรถถือเอาความเปนอยา งอ่นื และพยญั ชนะท่ีลงไวผ ิดวา ทา น

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 73ทั้งหลายจงทราบ (ความตา งกัน) นนั้ ดวยเหตแุ มน้ี อรรถและพยัญชนะเปนเหตใุ หเขาใจความนั่นแล เปนธรรมและวินัย ในคาํ วา โย ธมฺโม โยวินโย นี้. ในคาํ วา อตถฺ โต หิ โข สเมติ นี้ ทา นถือเอาวา สตนิ น่ั แล เปนสตปิ ฏฐาน. บทวา ตา งกนั โดยพยญั ชนะ ความวา พยัญชนะอยางเดยี วเทาน้นัลงไวผิดวา สติปฏ ฐาโน หรอื สติปฏ ฐานา ดังนี.้ บทวา อปฺปมตฺตก โขความวา ครั้นพอถงึ พระสูตร พยัญชนะยอ มชอื่ วาไมเ ปน ประมาณเลย แมในการยกพยญั ชนะทีม่ ีเสยี งเบา ทาํ ใหมีเสียงหนกั (คอื พยญั ชนะท่เี ปน ธนติ )อาจกลายเปน พยญั ชนะดับได. ในขอ นี้ มเี รอื่ งตอไปนเ้ี ปนตัวอยาง ไดฟ ง มาวา พระเถระขีณาสพรปู หน่ึง อยูในวิชยารามวิหาร เมอื่ นาํเอาพระสตู รมาบอกกรรมฐานแกพ ระภิกษุ ๒ รูป กลา วใหม เี สียงหนกั ไปวา\" ภกิ ษทุ ้งั หลาย ปุถชุ นผไู มไ ดส ดบั ยอ มกลาววา สมุทธะ สมทุ ธะ ดงั นี้. ภกิ ษุรปู หน่ึงกลา ววา อะไร ช่อื สมุทธะขอรับ. พระเถระกลา ววา ผูมีอายุเมอ่ื กลาววา สมุทธะกด็ ี กลาววา สมทุ ธะกด็ ี พวกเรากย็ อมรูวา (หมายถึง) ทะเลนา้ํ เคม็ นัน่ แหละ. ก็พวกเธอไมค นหาเน้อื ความ คนหาแตพยญั ชนะ พวกเธอจงไปพสิ ูจนพ ยัญชนะ ในสํานักของภิกษุผชู าํ นาญเร่อื งพยญั ชนะในมหาวหิ ารเถิด ดังนแ้ี ลว ไมบ อกกรรมฐานเลย ลกุ ไปเสยี . ครั้นตอมาทานพระเถระขณี าสพองคน ้ัน ใหตกี ลองในมหาวิหาร (เปนสัญญาณใหม าประชุมกัน) แลวกลา วปญหาในมรรค ๔ แกหมภู ิกษแุ ลวก็นิพพาน. พอถงึ พระสตู ร พยญั ชนะชื่อวาไมเปนประมาณอยางนี.้ แตพอถึงพระวนิ ยั จะชอื่ วาไมเ ปนประมาณไมได. เพราะแมการบวชเปน สามเณรตอ งบรสิ ทุ ธิ์ ๒ อยา ง (คอื อรรถและพยญั ชนะ) จึงจะควร.แมกรรมมีการอปุ สมบทเปน ตน ก็ยอมกําเริบได ดวยเหตุเพียงทาํ เสยี งเบา

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 74ใหเ ปน เสยี งหนกั เปน ตน . แตใ นทีน่ ี้ทา นกลาวคํานี้โดยหมายถึงพยัญชนะในพระสูตร. ถามวา เมือ่ เปน เชนน้นั ในจตตุ ถวาร กลาวแยงกันเพราะเหตุไร ? ตอบวา กลา วแยงกนั เพราะสัญญาวา เรายอ มกลาวสติน่ันแหละวาสติ-ปฏฐาน ทานผนู ก้ี ลาววา กายสติปฏฐาน. แมใ นพยัญชนะก็มนี ยั น้ีเหมอื นกนั . บทวา น โจทนาย โจทิตพพฺ  ไดแก อยาเพงโจทดว ยความตองการโจท เพราะบุคคลบางคนถกู เขาพดู ทกั วา มีตอมเทาเมล็ดผักกาดท่หี นาผาก (ของทา น) ก็กลาววา ทา นเห็นตอ มเทา เมลด็ ผกั กาดท่หี นาผากของเรา(แต) ไมเ หน็ หัวฝใ หญเทา ลูกตาลสุกทหี่ นา ผากของตัว ดังนี้. เพราะฉะน้นัตวั บุคคลควร (จะตอง) สอบสวน. บทวา ไมม ที ฏิ ฐมิ ั่น คอื ไมมที ฏิ ฐใิ นการยึดถือ คือไมถอื ม่นั เหมือนใสจระเขไวใ นหัวใจ. บทวา อุปฆาโต ความวา กอ ความทกุ ข เพราะความเปนคนดุเหมอื นถกู เสยี ดสที ี่แผล. บทวา สุปฏินสิ ฺสคฺคี สละคืนไดง าย ความวาแมกลา วหนง่ึ วาระสองวาระวา ผมตองอาบัตชิ ื่อไร ตอ งเมื่อไร ดงั น้ี หรอืวา ทานตอ งอาบัตแิ ลว อุปชฌายของทานตองอาบัติแลว ดงั น้ี แลว เตือนใหร ะลกึ วา ทา นขอรับ ทา นตอ งอาบัติชอื่ โนน ในวันช่ือโนน ทานจงคอ ยๆนึกเถดิ ดังน้ี จกั สละไดเ พียงนั้นทเี ดยี ว. บทวา วเิ หสา ความลําบากไดแ ก ความลาํ บากกายและใจ ของบุคคลผูช กั เอาความและเหตุเปนอันมากมา.บทวา สกโฺ กมิ ความวา กบ็ คุ คลเห็นปานนไี้ ดโ อกาสแลว เม่อื ใครกลาววาทา นตอ งอาบัติแลว ขอรับ จะกลา ววา ตอ งเมือ่ ไร ในเรอื่ งอะไร เมื่อเขากลา ว

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 75วา ในวนั โนน ในเรอื่ งโนน จะกลาววา ผมนกึ ไมไดด อกคุณ. แตน ัน้ อนัคนอนื่ กลา วมากมายใหร ะลกึ วา ทานจงคอ ย ๆ นึกเถดิ ขอรับ ดังนี้ พอระลกึไดก ็ยอ มสละเสีย (คอื ปลงอาบัต)ิ . เหตุนน้ั พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรสั วาสกฺโกมิ ดังนี้ พงึ ทราบเนื้อความในทุก ๆ บทโดยนัยน.ี้ บทวา อุเปกขา นาติมฺ ติ พฺพา ไมพ ึงละเลย อเุ บกขาความวา ไมพ ึงลวงเลยอุเบกขา อธิบายวา พงึ ทาํ พึงใหอ เุ บกขาเกดิ ขน้ึ .กบ็ ุคคลใดแมเ ห็นบุคคลปานนี้ ยนื ถา ยปส สาวะก็พูดวา ควรนง่ั มใิ ชหรือคณุดงั น้ี บุคคลนั้น ชื่อวา ลว งเลยอุเบกขา. บทวา วจีสงขฺ าโร แปลวา พูดยุแหย อธิบายวา ชกั นําคําทคี่ นพวกน้กี ลา วในระหวางคนพวกโนน ชักนําคําท่คี นพวกโนนกลาวในระหวา งคนพวกนวี้ า ทานท้งั หลายถูกคนพวกนีก้ ลา วอยา งนี้ ๆ. ตรัสภาวะทจี่ ติ ไมย นิดดี วยบททั้งหลาย มอี าทิวา ทฏิ ิปลาโส ดงั น้.ี บทวา ต ชานมาโนสมาโน ครเหยยฺ ความวา พระบรมศาสดาเมือ่ ทรงทราบเรอ่ื งนน้ั พึงทรงตาํ หนิพวกเรา. บทวา เอต ปนาวุโส ธมมฺ  ไดแ ก ธรรม คอื ความทะเลาะเบาะแวง กันนนั้ . บทวา ตฺเจ ไดแก ภกิ ษุผูก ระทาํ สัญญตั ิ (การประกาศใหร ู) รูปน้ัน. บทวา เอว พฺยากเรยฺย ความวา เมอื่ จะแสดงเหตทุ ่ีภกิ ษุกระทาํ สญั ญตั ิ ไมพดู วา ภิกษเุ หลา นัน้ เราใหต ้งั อยูในความบริสทุ ธิ์แลว ดังนี้ น่นั แหละ พงึ พยากรณอ ยางน.้ี สาราณียธรรมทา นหมายวา ธรรมในคาํ ท่ีน้วี า ตสฺสาห ธมฺม สุตวฺ า ดังน.้ี กใ็ นบทมีอาทิวา น เจ อตตฺ านดงั น้ี ภกิ ษผุ กู ลาววา ไฟประมาณเทา พรหมโลกน้ี ต้ังขึ้นแลว เวน เราเสยีใครจะสามารถใหไ ฟน้ันดบั ได ดังนี้ ช่ือวา ยกตน. ภิกษผุ ูพดู วา คน

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 76ประมาณเทานีเ้ ทียวพดู กันไปก็ไมไดโ อกาส ช่ือวาผูส ามารถจะยังเร่อื งราวประมาณเทา นใี้ หดบั ลง ยอ มไมมีแมส ักคนเดียว ดังน้ี ชื่อวา ขมคนอื่นภิกษุนยี้ อมไมท ําแมทง้ั สองอยา ง. กก็ ารพยากรณของพระสัมมาสมั พทุ ธเจาช่อื วา ธรรม ในทีน่ ี้. การกระทําสญั ญตั ิของภกิ ษเุ หลา นน้ั ช่ือวา ธรรมอันสมควร. ภิกษุนีช้ ื่อวา พยากรณ ธรรมอนั สมควรแกธ รรมนน้ั คําวาน จ โกจิ สหธมมฺ ิโก ความวา การกลา วของอาจารยห รอื การกลาวตามของศิษยไร ๆ อ่ืนอันสมแกเ หตุทภี่ ิกษุนั้นกลา วดว ยบทท้งั หลาย ไมน า จะตองตําหนิ บทท่เี หลือในทท่ี กุ แหง งายท้ังนัน้ แล. จบ อรรถกถากนิ ติสตู รท่ี ๓

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 77 ๔. สามคามสตู รวา ดว ยนครนถแตกเปน ๒ พวกเพราะการตายของนคิ รนถน าฏบตุ ร [๕๑] ขา พเจา ไดฟ ง มาแลว อยางนี้ :- สมยั หนึ่ง พระผูมพี ระภาคเจาประทบั อยทู ่ีหมบู านสามคามสักกชนบทกส็ มัยนั้น นคิ รนถนาฏบุตรตายลงใหม ๆ ท่ีเมืองปาวา เพราะการตายของนคิ รนถนาฏบุตรน้นั พวกนคิ รนถแ ตกกันเปน ๒ พวก เกิดขัดใจทะเลาะวิวาทกัน เสยี ดสีกนั และกนั ดวยฝปากอยูวา ทา นไมรูทว่ั ถึงธรรมวนิ ัยน้ี เรารูท่วั ถงึ ธรรมวนิ ัยนี้ ไฉนทา นจักรูทั่วถงึ ธรรมวนิ ยั นี้ ทา นปฏบิ ตั ิผดิ เราปฏบิ ัติถกู ของเรามีประโยชน ของทานไมมีประโยชน คําทีค่ วรพดู กอนทา นพดู ทีหลงั คําท่คี วรพดู ทีหลงั ทานพูดกอน ขอปฏิบตั ิท่ีเคยชินอยางดีย่งิของทานกลายเปนผิด แมวาทะของทาน ท่ยี กข้นึ มา เรากข็ มได ทานจงเท่ยี วแกคาํ พูดหรือจงถอนคาํ พูดเสยี ถา สามารถ นิครนถเ หลา น้ันทะเลาะกันแลว ความตายประการเดยี วเทา นีน้ ั้นเปนสําคญั เปน ไปในพวกนิครนถศ ษิ ยนคิ รนถน าฏบุตรแมสาวกของนคิ รนถน าฏบตุ รฝายคฤหัสถ ผนู งุ ขาวหมขาว ก็เปน ผเู บอ่ื หนายคลายยนิ ดี มใี จถอยกลบั ในพวกนิครนถศิษยน ิครนถน าฏบุตร ดุจวาเบอื่ หนา ยคลายยนิ ดี มีใจถอยกลบั ในธรรมวนิ ัยท่นี คิ รนถน าฏบุตรกลา วผดิ ใหร ูผดิไมใ ชน ําออกจากทุกข ไมเ ปน ไปเพือ่ ความสงบ มิใชธรรมวนิ ยั ทพี่ ระสัมมา-สมั พทุ ธเจาใหรทู ่วั เปนสถูปท่ีแตกไมเปน ท่พี ่งึ อาศัยได. [๕๒] ครั้งน้นั แล สมณทุ เทสจนุ ทะ จําพรรษาท่เี มอื งปาวาแลวเขาไปยงั บานสามคามหาทานพระอานนท กราบทา นพระอานนทแ ลว น่ัง ณ ที่ควรสวนขางหนงึ่ พอนั่งเรยี บรอยแลว ไดกลา วกะทา นพระอานนทด ังน้วี าขา แตท า นผูเจรญิ นิครนถน าฏบตุ รตายลงใหม ๆ ทเี่ มอื งปาวา เพราะการตาย














































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook