พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 372 ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย สมัยใด ปตปิ ราศจากอามิสเกดิ ขึน้ แกภิกษุผูปรารภความเพียรแลว ในสมัยนนั้ ปต ิสัมโพชฌงคยอ มเปนอันภิกษุปรารภแลว สมัยนัน้ ภิกษชุ ่อื วายอ มเจรญิ ปติสัมโพชฌงค สมัยนั้น ปติ-สัมโพชฌงคของภกิ ษุยอ มถึงความเจรญิ และความบรบิ รู ณ ภกิ ษผุ มู ใี จเกดิ ปติท้ังกายทัง้ จติ กร็ ะงับได. ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย สมยั ใด ท้ังกายท้ังจติ ของภกิ ษผุ มู ีใจเกดิ ปต ิระงับได ในสมยั นัน้ ปสสัทธิสมั โพชฌงคยอมเปนอันภกิ ษุปรารภแลวสมัยนนั้ ภิกษชุ อ่ื วา ยอ มเจรญิ ปส สัทธสิ ัมโพชฌงค. สมยั นน้ั ปส สทั ธิ-สัมโพชฌงคของภกิ ษยุ อ มถึงความเจริญและความบรบิ รู ณ. ภิกษผุ ูมีกายระงับแลว มคี วามสขุ จิตก็ต้ังมนั่ . ดูกอนภิกษุท้งั หลาย สมัยใด จิตของภกิ ษผุ มู ีกายระงบั แลว มีความสขุ ยอมตัง้ มัน่ ในสมยั นน้ั สมาธสิ ัมโพชฌงคย อ มเปนอันภิกษุปรารภแลว สมัยน้ันภิกษุชอื่ วายอ มเจรญิ สมาธิสมั โพชฌงค. สมยั น้นั สมาธ-ิสัมโพชฌงคข องภกิ ษุยอมถงึ ความเจริญและความบรบิ รู ณ. ภิกษุนน้ั ยอ มเปนผวู างจิตท่ีต้ังมัน่ แลว เชนนั้นใหเฉยไดเ ปนอยางดี. ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย สมยั ใด ภิกษุเปนผวู างจติ ที่ตงั้ มัน่ แลวเชนนั้นใหเ ฉยไดเปนอยา งดี ในสมัยนนั้ อุเบกขาสมั โพชฌงคย อมเปน อนั ภกิ ษุปรารภแลว. สมัยนัน้ ภกิ ษชุ ื่อวายอมเจรญิ อบุ กขาสมั โพชฌงค สมยั น้นัอุเบกขาสมั โพชฌงคข องภกิ ษุยอ มถงึ ความเจริญและความบรบิ ูรณ. ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย สมยั ใด ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนามีความเพียร รูสกึ ตวั มสี ติ กาํ จดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ไดอ ยูในสมยั นน้ั สตยิ อมเปนอนั เธอผเู ขาตง้ั ไวแลว ไมเผอเรอ...
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 373 ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย สมยั ใด ภิกษพุ ิจารณาเหน็ จติ ในจติ มีความเพียร รสู ึกตวั มสี ติ กําจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ไดอยู ในสมัยนน้ัสตยิ อ มเปน อนั เธอผเู ขาไปตง้ั ไวแ ลวไมเผอเรอ... ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย สมยั ใดภกิ ษพุ ิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รูสกึ ตวั มสี ติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสียไดอ ยู ในสมัยนัน้ สตยิ อมเปนอันเธอผเู ขา ไปต้ังไวแลว ไมเ ผอเรอ. ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย สมัยใด สติเปน อันภกิ ษุเขาไปต้ังไวแลวไมเผอ-เรอ ในสมัยน้ัน สตสิ ัมโพชฌงคยอมเปน อันภิกษปุ รารภแลว สมัยนัน้ภกิ ษุช่ือวา ยอมเจรญิ สตสิ ัมโพชฌงค สมัยน้นั สตสิ มั โพชฌงคข องภกิ ษุยอ มถงึ ความเจริญและความบริบรู ณ เธอเมอ่ื เปน ผมู สี ตอิ ยา งนัน้ อยู ยอมคนควา ไตรตรอง ถงึ การพจิ ารณาธรรมนน้ั ดว ยปญ ญา. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย สมยั ใด ภิกษเุ ปนผมู ีสติอยางน้นั อยู ยอ มคนควา ไตรตรอง ถึงการพจิ ารณาธรรมนัน้ ดว ยปญ ญา ในสมัยน้ันธัมมวิจยสมั โพชฌงค ยอมเปน อนั ภกิ ษปุ รารภแลว สมยั น้ัน ภิกษุช่ือวายอ มเจรญิ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค สมยั นัน้ ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงคข องภิกษุยอ มถึงความเจรญิ และความบริบรู ณ. เมอ่ื เธอคนควา ไตรตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนน้ั ดวยปญญาอยู ยอ มเปนอันปรารภความเพียรไมยอ หยอน ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย สมัยใด ภกิ ษุคน ควา ไตรตรอง ถึงการพิจารณาธรรมนั้นดว ยปญญา ปรารภความเพียรไมย อหยอ น ในสมยั น้นัวิริยสมั โพชฌงคย อมเปนอันภกิ ษุปรารภแลว สมยั นน้ั ภิกษชุ ือ่ วายอมเจรญิ วิรยิ สัมโพชฌงค สมยั น้นั วริ ิยสมั โพชฌงคข องภิกษยุ อ มถึงความเจรญิ และความบรบิ รู ณ. ปต ิปราศจากอามสิ ยอมเกิดข้ึนแกภิกษผุ ปู รารภความเพียรแลว .
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 374 ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย สมยั ใด ปต ิปราศจากอามิสเกดิ ขน้ึ แกภิกษุผูปรารภความเพยี รแลว ในสมยั นน้ั ปติสัมโพชฌงค. ยอ มเปนอนั ภิกษุปรารภแลว สมัยนน้ั ภกิ ษชุ ่ือวายอ มเจริญปติสมั โพชฌงค สมยั น้นั ปตสิ มั โพชฌงคของภิกษยุ อมถึงความเจรญิ และความบริบูรณ. ภิกษุผูมใี จเกดิ ปติ ท้งั กายท้งั จติ กร็ ะงับได ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย สมยั ใด ทงั้ กายทง้ั จิตของภิกษผุ มู ใี จเกิดปต ิระงบั ไดใ นสมัยนัน้ . ปสสทั ธสิ มั โพชฌงคยอมเปนอนั ภกิ ษุปรารภแลวสมัยน้นั ภกิ ษุชอ่ื วา ยอมเจรญิ ปสสัทธิสัมโพชฌงค. สมัยนัน้ ปสสทั ธิ-สัมโพชฌงคของภกิ ษุ ยอมถงึ ความเจริญและความบริบูรณ. ภิกษผุ ูม ีกายระงบั แลว มีความสุข จิตก็ตง้ั มนั่ . ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย สมัยใด จติ ของภกิ ษุผูม กี ายระงบั แลว มีความสขุ ยอมตั้งมั่น ในสมัยน้ัน สมาธสิ มั โพชฌงคย อมเปนอนั ภิกษปุ รารภแลวสมยั น้นั ภกิ ษุชื่อวายอมเจรญิ สมาธิสัมโพชฌงค. สมัยนน้ั สมาธสิ ัม-โพชฌงคของภิกษยุ อ มถงึ ความเจรญิ และความบรบิ รู ณ ภกิ ษนุ นั้ ยอมเปนผูวางจิตทตี่ ั้งมน่ั แลวเชน นน้ั ใหเ ฉยไดเปน อยา งด.ี ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย สมยั ใด ภิกษุเปน ผวู างเฉย จิตท่ตี ้งั มน่ั แลวเชนน้นั ใหเฉยไดเปนอยางดี ในสมัยนนั้ อุเบกขาสมั โพชฌงคยอ มเปนอันภิกษปุ รารภแลว สมัยน้ันภิกษุชื่อวายอ มเจริญอุเบกขาสมั โพชฌงค. สมยันน้ั อเุ บกขาสัมโพชฌงคข องภกิ ษยุ อ มถงึ ความเจริญและความบรบิ รู ณ ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย สติปฏ ฐาน ๔ ทภี่ ิกษเุ จริญแลวอยา งนี้ ทาํ ใหมากแลว อยางนแ้ี ล ชื่อวาบําเพ็ญโพชฌงค ๗ ใหบ รบิ ูรณไ ด.
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 375เจรญิ โพชฌงค ๗ อยา งไร วชิ ชาและวมิ ุตตจิ งึ จะบริบูรณ [๒๙๑] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษทุ เ่ี จริญโพชฌงค ๗ แลวอยางไรทาํ ใหมากแลว อยา งไร จึงบาํ เพ็ญวชิ ชาและวิมตุ ตใิ หบ ริบูรณไ ด ? ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั นย้ี อ มเจริญสติสัมโพชฌงคอนั อาศยั วิเวก อาศยั วิราคะ อาศยั นโิ รธ ท่นี อมไปเพอ่ื ความปลดปลอยยอมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค... ยอ มเจรญิ วริ ยิ สมั โพชฌงค...ยอมเจรญิ ปตสิ มั โพชฌงค... ยอมเจริญปสสทั ธิสัมโพชฌงค... ยอมเจรญิ สมาธิสัมโพชฌงค. .. ยอ มเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค อนั อาศยัวิเวก อาศยั วิราคะ อาศยั นิโรธ ที่นอมไปเพื่อความปลดปลอย. ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย โพชฌงค ๗ ท่ีภิกษเุ จรญิ แลวอยางนี้ ทําใหมากแลว อยางน้ีแล ช่ือวาบาํ เพ็ญวชิ ชาและวมิ ุตติใหบ ริบรู ณได. พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั พระภาษติ นี้แลว ภกิ ษเุ หลานนั้ ตา งชนื่ ชมยนิ ดีพระภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา แล. จบ อานาปานสติสตู รท่ี ๘
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 376 อรรถกถาอานาปานสตสิ ูตร อานาปานสตสิ ตู ร มคี ําเรมิ่ ตนวา ขา พเจาไดสดับมาแลวอยางน้.ี บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา อฺเหิ จ ความวา พรอ มกบั พระสาวกเปน อันมากผมู ีชือ่ เสียง แมเ หลา อื่น ยกเวนพระเถระ ๑๐ รูปทมี่ าในพระบาล.ี วา กันวา ในคราวนน้ั ไดมีภิกษสุ งฆหมใู หญ นับจาํ นวนไมไ ด. บทวา โอวทนฺติ อนสุ าสนตฺ ิ ความวา สงเคราะหด วยการสงเคราะห ๒ ประการ คือ สงเคราะหด ว ยอามสิ สงเคราะหด ว ยธรรม แลวโอวาทและพรา่ํ สอนดว ยการใหโอวาทและพรา่ํ สอนกรรมฐาน. จ อกั ษรในบทวา เต จ นี้ เปน เพยี งอาคมสนธ.ิ บทวา อุฬาร ปพุ เฺ พนาปร วเิ สสสชฺ านนฺติ ความวา ยอ มรคู ุณวเิ ศษมกี สณิ บรกิ รรมเปน ตน อ่ืน ทโี่ อฬารกวาคณุ พเิ ศษเบ้อื งตน มคี วามบรบิ รู ณแ หงศีลเปน ตน. บทวา อารทฺโธ เเปลวา ยินดีแลว . บทวา อปฺปตฺตสสฺ ปตตฺ ิยาคอื เพื่อบรรลุพระอรหตั ท่ยี งั ไมไดบรรลุ แมใ น ๒ บททีเ่ หลอื ก็มีเนอื้ ความดงั กลาวน้เี หมอื นกนั ดถิ ีทม่ี ีพระจนั ทรเ พญ็ ครบ ๔ เดอื น ทายเดอื น ๑๒ช่อื วา โกมทุ ี จาตุมาลนิ ี. แทจรงิ ดิถนี ัน้ ชื่อวา โกมุที เพราะมีดอกโกมุทบาน. เรยี กวา จาตุมาสินี (ครบ ๔ เดือน) เพราะเปนวนั สุดทายของเดือนอันมีในฤดูฝน ๔ เดอื น. บทวา อาคเมสฺสามิ ความวา เราจกั คอยอธิบายวา เราปวารณาในวนั น้แี ลวยังไมไป๑ ทีไ่ หน จักอยูใ นที่น้ีแหละจนกวา ดถิ นี นั้ (คอื วันเพญ็ เดือน ๑๒) จะมาถึง.พระผูมพี ระภาคเจา ทรงอนุญาตปวารณาสงเคราะห (สงเคราะหดว ยปวารณากรรม) แกภ กิ ษุทั้งหลายดวยประการดังนี้ จงึ ไดต รสั อยางนัน้ .๑. บาลีเปน อาคนตฺ ฺวา ฉบับพมา เปน อคนฺตวฺ า แปลตามคาํ หลัง.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 377 ธรรมดาปวารณาสงเคราะห สงฆยอ มใหด ว ยญัตติทตุ ิยกรรม. ถามวา ปวารณาสงเคราะหน ้ีสงฆจะใหแกใคร ไมใหแกใคร ? ตอบวา เบือ้ งตน ไมใ หแกพาลปถุ ชุ นผไู มใ ชการกบุคคล ภิกษุผูเรม่ิ บําเพญ็ วิปส สนา และพระอริยสาวก ก็ไมใหเหมอื นกนั อน่งึ ไมใหแ กภกิ ษุผมู สี มถะหรือวิปสสนายังออ น. ในคราวนั้น แมพ ระผูมพี ระภาคเจาก็ไดทรงพจิ ารณาวาระจิตของภกิ ษุทัง้ หลาย ทรงทราบวาสมถะและวปิ สสนายงั ออ น จงึ ทรงพระดาํ รวิ า เม่ือเราไมปวารณาในวนั น้ี ภกิ ษทุ ้งั หลายออกพรรษาแลว จกั เท่ยี วไปในกรุงสาวตั ถีน้ี (ตา งรูปตางไป) ในทิศท้งั หลายแตนน้ั ภกิ ษุเหลา นจี้ ักไมสามารทําคณุ วิเศษใหเกิดขน้ึ ได ในเมือ่ ภกิ ษทุ ั้งหลายผูแกพรรษากวา ถือเอาเสนาสนะเสยี เตม็ หมด (ธรรมเนียมที่ทรงอนุญาตใหผ ูแกพ รรษากวา จับจองเสนาสนะไดก อน) ถา แมเ ราออกจารกิ ไป ภิกษเุ หลานี้ก็จกั หาสถานทอ่ี ยไู ดย าก แตเ มื่อเราไมป วารณา แมภิกษเุ หลาน้จี ักไมเท่ยี วไปตลอดกรุงสาวตั ถนี ้ี แมเราก็จกั ยังไมออกจาริก เมือ่ เปน อยา งน้ี ภิกษเุ หลา นี้ก็จกั ไมเ ปนกงั วล (เร่อื ง) สถานที่อยู เธอทั้งหลายจักอยูเปน ผาสกุ ในสถานที่อยูของตน ๆ สามารถเพื่อจะทําสมถะและวปิ ส สนาใหแ กก ลา แลวยังคุณวิเศษใหเ กิดขึน้ ได. พระองคจึงไมทรงทาํ ปวารณาในวันน้นั ทรงอนญุ าตปวารณาสงเคราะหแ กภ กิ ษทุ ้งั หลายวา เราจักปวารณาในวันเพญ็ เดือน ๑๒ ก็เม่อื ภกิ ษุท้ังหลายไดปวารณาสงเคราะหแ ลว อาจารยแ ละอุปช ฌายของภกิ ษรุ ูปใด ผูยงัถือนสิ ัย พากนั หลกี ไปเสยี แมภกิ ษุรูปน้นั กจ็ ะอยไู ดจ นถงึ เดอื นสุดทา ยของฤดูรอ น ดว ยความหวังวา ถา (จักม)ี ภิกษุผสู มควรใหน สิ ยั มา เราจักถอื นิสยัในสํานักของภิกษุนน้ั . ถึงแมจ ะมภี ิกษุ ๖๐ พรรษามา ก็จะถอื เอาเสนาสนะของเธอไมไ ด. ก็แหละปวารณาสงเคราะห นีแ้ มจ ะใหแกภกิ ษุรปู เดียว กย็ อ มเปนการใหแกภิกษทุ ุกรูปทเี ดยี ว.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 378 บทวา สาวตฺถึ โอสรนฺติ น้ี ตรัสโดยถอื พวกผูอยูไดเดอื นหนง่ึตามภาวะของตน ในทที่ พี่ อไดทราบขา ววา พระผูมีพระภาคเจา ทรงประ-ปวารณาสงเคราะห จึงพากันทําอุโบสถกรรม ในวันเพ็ญเดือน ๑๑ แลวพากันหลง่ั ไหลมา บทวา ปุพฺเพนาปร ความวา ภิกษุทง้ั หลายกระทํากรรมในสมถะและวิปสสนาทยี่ งั ออ น ไดทําใหส มถะและวิปสสนาทั้งหลายมีกาํ ลงั ข้นึ ในที่น้ี นช้ี ื่อวา คณุ วิเศษในกาลกอน. ตอ แตนนั้ ภิกษุท้ังหลายมีจติ ต้ังม่นั พิจารณาสังขารทงั้ หลาย บางเหลา ทาํ ใหแจง โสดาปตติผล ฯลฯ บางเหลาทําใหแจงอรหัตผล. นีช้ ือ่ วา คณุ วิเศษอันกวางขวางย่งิ . บทวา อล แปลวา ควร. บทวา โยชนคณนานิ ความวาโยชนเ ดยี วกเ็ รยี กวา โยชนเหมอื นกัน แม ๑๐ โยชนก ็เรียกวาโยชนเหมอื นกันเกินกวานัน้ เรียกวา โยชนคณนานิ (นับเปน โยชน ๆ) แตในทนี่ ้ปี ระสงคเอารอยโยชนบ า ง พันโยชนบาง เสบยี งสําหรบั ผเู ดินทาง ทานเรียกวา ปโู ฏสในคาํ วา ปโู ฏเสนาป อธบิ ายวา แมก ารถอื เอาเสบียงนั้นเขา ไปหากค็ วรแท.ปาฐะวา ปฏู เสน ดงั นก้ี ม็ ี อธิบายความของปาฐะน้นั วา ชือ่ วา ปฏู ส (ผูมีเสบยี งคลองบา) เพราะที่บา ของเขามเี สบยี งอนั บุคคลผูม เี สบยี งคลอ งบา นนั้อธบิ ายวา แมเอาหอเสบยี งสพายบา. บดั น้ี เพื่อจะแสดงวา ภกิ ษทุ ัง้ หลายผูประกอบดวยคณุ ทัง้ หลายเห็นปานนี้ มีอยู ในทน่ี ้ี จึงตรัสคาํ มอี าทวิ า สนตฺ ิ ภิกขฺ เว ดังนี้ บรรดาบทเหลานัน้ บทวา จตุนนฺ สตปิ ฏานาน ดงั น้ีเปน ตน ตรสั เพอื่ ทรงแสดงกรรมฐานทภี่ กิ ษุทั้งหลายนั้นสนใจมาก บรรดาธรรมเหลานนั้ ตรัสโพธิ-ปก ขิยธรรม ๓๗ ประการอนั เปนทั้งโลกิยะ และโลกุตระ กใ็ นขอ นน้ั ภกิ ษุเหลา ใดยงั มรรคใหเ กิดในขณะนัน้ โพธปิ กขิยธรรมเหลาน้นั ยอ มเปน โลกุตระสาํ หรับภิกษทุ งั้ หลายเหลา นน้ั เปน โลกยิ ะสาํ หรับภกิ ษุท้ังหลายผูเจรญิ วิปส สนา.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 379 ในบทวา อนจิ ฺจสฺาภาวนานโุ ยค น้ี ตรสั วปิ ส สนาโดยมีสัญญาเปนตัวการสําคญั . กเ็ พราะเหตุทใี่ นที่น้ีภิกษทุ ัง้ หลายสนใจมาก ดวยอาํ นาจแหง อานาปานกรรมฐานเทานั้น มี (จาํ นวน) มาก เพราะฉะน้ันเมื่อจะตรัสกรรมฐานทเี่ หลือโดยสังเขป แลวตรสั อานาปานกรรมฐานโดยพิสดาร จึงตรัสคําวา อานาปานสติ ภิกฺขเว เปน ตน ไป ก็อานาปาน-กรรมฐานนี้ ไดกลาวไวอ ยา งพสิ ดารแลว ในคมั ภีรว สิ ทุ ธิมรรคโดยอาการทงั้ ปวงเพราะฉะนั้น พงึ ทราบเนอ้ื ความแหงพระบาลี และนยั แหงการเจรญิ อานาปาน-กรรมฐานนน้ั โดยนัยดงั กลา วแลว ในวสิ ทุ ธมิ รรคนั้นน่ันเทอญ. บทวา กายฺ ตร ความวา เรากลา วกายชนดิ หนึง่ ในบรรดากาย๔ มปี ฐวกี ายเปนตน อธิบายวา เรากลา วลมวาเปน กาย. อกี อยา งหนงึ่โกฏฐาสแหงรูป ๒๕ คอื รปู ายตนะ ฯลฯ กวฬงิ การาหาร ช่ือวา รูปกายบรรดาโกฏฐาสแหง รูป ๒๕ นั้น อานาปนะ (ลมหายใจออก ลมหายใจเขา)เปนกายชนดิ หนงึ่ เพราะสงเคราะหเ ขา ใน โผฏฐพั พายตนะ แมเพราะเหตุนนั้จงึ ตรสั อยา งนน้ั . บทวา ตสมฺ าติห ความวา เพราะเหตทุ ภ่ี ิกษุยอมตามเห็นวาโยกายอนั เปน กายอยา งหนงึ่ ในกาย ๔ หรือยอมตามเหน็ อานาปานะอนั เปนกายอยา งหนึ่งในโกฏฐาสแหงรปู ๒๕ อนั เปนรูปกาย เพราะฉะนน้ั จงึ เปน ผูพจิ ารณาเห็นกายในกาย. พึงทราบเนอ้ื ความในทท่ี กุ ๆ บทเหมอื นอยา งนนั้ . บทวา เวทนาฺ ตร น้ี ตรสั หมายเอาสุขเวทนาอยางหน่ึงในเวทนา๓. บทวา สาธุก มนสกิ าร ไดแ ก การใสใ จดอี ันเกดิ ขึน้ แลวดว ยอํานาจแหงการกาํ หนดรปู ต เิ ปนตน. ก็การใสใ จเปนสุขเวทนาไดอยา งไร ? ก็คํานเ้ี ปนหัวขอเทศนา.เหมือนอยา งวา ตรัสปญ ญาโดยชือ่ วา สญั ญาในคาํ นีว้ า อนิจฺจสฺ าภาวนา-นโุ ยคมนุยุติโต (ประกอบความเพียรในการอบรมอนจิ จสัญญา) ดังน้ีฉันใด
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 380แมในทน่ี ้ีกพ็ งึ ทราบวาตรสั เวทนาโดยชื่อวา มนสิการ (การใสใ จ) ฉันน้ันกใ็ นจตกุ กะนี้ ตรสั เวทนาไวใ นบทที่ ๑ โดยหัวขอ วา ปติ. ตรสั เวทนาโดยรูปของตนเองวา สุข ในบทท่ี ๒. ในจิตตสังขารท้ัง ๒ บท ตรสั เวทนาไวโดยชอ่ื วา จิตตสงั ขาร เพราะพระบาลวี า สัญญาและเวทนาเปน เจตสกิธรรมเหลานัน้ เนอ่ื งกับจติ ปรุงแตง จติ (และ) เพราะพระบาลวี า เวน วติ กและวิจารเสีย ธรรมทป่ี ระกอบพรอมกบั จิตแมท้ังหมด สงเคราะหลงในจติ ตสังขาร. ทรงรวมเอาเวทนาน้ันทงั้ หมดโดยชื่อวา มนสกิ าร แลวตรัสไวใ นท่ีนีว้ า สาธุก มนสกิ าร ดงั น.้ี ถามวา เมื่อเปนอยางน้ี เพราะเหตทุ ่เี วทนาน้ี ไมเปนอารมณเพราะฉะนน้ั เวทนาจึงไมถูกตอ ง ? ตอบวา ไมใชไ มถ กู เพราะแมในการพรรณนาสตปิ ฏ ฐานกก็ ลาววาเวทนายอมเสวย (อารมณ) เพราะทาํ ท่ตี ้งั แหงเวทนามสี ขุ เปน ตนนัน้ ๆ ใหเ ปนอารมณ ก็เพราะถือเอาความเปน ไปของเวทนาดังกลาวน้นั คําที่วา เราเสวยอารมณย อมเปนสกั แตวา พูดกนั ไป. อีกอยางหนึ่ง ในการพรรณนาเนอ้ื ความของบทวา ปติปฏสิ เวที เปน ตน ทานไดกลาวเฉลยคําถามนน้ั ไวแลว ทีเดยี ว. สมจริงดงั คําทีไ่ ดกลา วไวใ นคมั ภรี ว ิสุทธิมรรควา ปต ิยอ มเปน อันกําหนดรแู ลวโดยอาการ ๒ อยา ง คอื โดยอารมณ ๑ โดยความไมห ลง ๑ ปตยิ อ มเปนอันกาํ หนดรแู ลว โดยอารมณอยา งไร ? พระโยคีเขา ฌาน ๒ ฌาน (คอื ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน) ซึ่งมปี ติ ในขณะท่พี ระโยคีน้นั เขาสมาบตั ิ ปตยิ อมเปน อันรูแลว โดยอารมณ ดวยการไดฌาน เพราะไดกาํ หนดรอู ารมณ. ปตยิ อมเปนอนั ไดกาํ หนดรู โดยความไมห ลงอยา งไร ?
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 381 พระโยคีเขาฌาน ๒ ฌานอันมปี ติ ออกจากฌานแลว พิจารณาปติอนัสัมปยุตดว ยฌานโดยความสิน้ ไป โดยความเสื่อมไป ในขณะทพี่ ระโยคนี ้ันเห็นแจง ปต ยิ อ มเปน อันกําหนดรแู ลว โดยความไมห ลง เพราะแทงตลอดไตรลักษณ. สมจรงิ ดังทที่ า นพระสารบี ุตรกลา วไวในปฏสิ ัมภิทามรรควา สตยิ อมปรากฏแกพ ระโยคีผรู ูท่ัวถึงความทจี่ ติ มอี ารมณเ ปน หนง่ึ (แนวแน )ไมฟุง ซา น เน่ืองดวยการหายใจเขาออกยาว ปตนิ ้นั ยอมเปน อนั กําหนดรูด วยสตนิ ้ัน ดว ยญาณน้นั . แมบททเ่ี หลอื กพ็ ึงทราบความหมายโดยนยั น้ีนนั้ แล.ดังกลา วมานน้ั ปติ สขุ และจติ ตสังขารยอ มเปน อนั กาํ หนดรูโ ดยอารมณเพราะการไดฌ าน ฉันใด เวทนายอ มเปน อนั กําหนดรูโดยอารมณ เพราะการไดม นสิการ (การใสใจ) กลาวคือ เวทนาอนั สมั ปยุตดวยฌานแมนี้ ก็ฉนั นั้น.เพราะฉะนั้น คํานีน้ นั้ วา ในสมยั นนั้ ภิกษมุ ีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู จงึ เปนอันตรสั ดแี ลว. ในคํานท้ี ว่ี า นาห ภกิ ฺขเว มุฏ สฺสติสฺส อสมฺปชานสสฺ ดังนี้ มอี ธบิ ายดังตอไปนี้: - เพราะเหตทุ ภ่ี กิ ษผุ ูประพฤตโิ ดยนยั เปนตนวา เราจกั กําหนดรูจติ หายใจเขา ดงั น้ี ชื่อวา ทาํ อัสสาสปสสาสนมิ ิตใหเปน อารมณก ็จรงิ อยู แตถ ึงกระน้นัภกิ ษนุ ก้ี ช็ ือ่ วาเปน ผตู ามเหน็ จติ ในจิตเหมอื นกัน เพราะจติ ของภิกษุนัน้เขาไปต้งั สตแิ ละสมั ปชญั ญะในอารมณเปน ไป เพราะอานาปานสติภาวนา ยอมไมม แี กผ ูม ีสตหิ ลงลืม ไมรสู กึ ตัว เพราะฉะนั้นในสมัยน้ัน ภิกษุยอมเปนผูตามเหน็ จติ ในจติ อยู ดวยอํานาจความเปน ผูกําหนดรจู ติ เปน ตน โดยอารมณ.ในคํานท้ี ่วี า โส ยนฺต อภิชฌฺ าโทมนสสฺ าน ปหาน ต ปฺ าย
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 382ทสิ วฺ า สาธกุ อชฌเปกขฺ ติ า โหติ (ภิกษุนน้ั เหน็ การละอภชิ ฌาและโทมนสั นัน้ ดวยปญ ญา ยอ มเปนผูว างเฉยเปน อันด)ี ดังน้ี ทรงแสดง กาม-ฉันทนิวรณ ดว ยอภิชฌา ทรงแสดงพยาบาทนวิ รณ ดวยโทมนสั . ก็๔ หมวดน้ี ตรัสดวยอาํ นาจวปิ สสนาเทานัน้ . ก็ธมั มานปุ ส สนามี ๖ อยา ง ดวยอาํ นาจนวิ รณบรรพ (คอื การแบงเปน ขอมีขอทวี่ าดว ยนิวรณ) เปนตน นวิ รณบรรพเปนขอ ตน ของธัมมา-นปุ ส สนาน้นั นวิ รณ ๒ อยา งน้ี (คอื อภชิ ฌาและโทมนสั ) เปนขอตนของธัมมานปุ สสนานัน้ ดังนนั้ เพอื่ จะแสดงขอ ตนของธมั มานปุ สสนา จึงตรสั วา อภิชฺฌาโทมนสสฺ าน ดังน้ี บทวา ปหาน ทา นประสงคเอาญาณเปน เครอ่ื งทาํ การละอยา งนี้วา ละนิจจสัญญา (ความหมายวา เที่ยง) ดว ยอนิจจานปุ สสนา (การตามเห็นความไมเ ทย่ี ง) ดวยบทวา ต ปฺายทสิ วฺ า ทา นแสดงวปิ สสนาทสี่ ืบตอกันอยา งน้ี คือ (แสดง) ปหาน-าณ นัน้ กลา วคือ อนจิ จญาณ. วริ าคญาณ. นโิ รธญาณ. และปฏินลิ สคั คญาณนั้น ดวยวปิ ส สนาปญ ญาอ่นื อกี แสดงปหานญาณแมน้ันดวยวิปสสนาปญญาอื่นอีกตอไป. บทวา อชฺฌเุ ปกขฺ ิตา โหติ ความวาชอื่ วายอมเพง ดโู ดยสวนสอง คอื เพงดผู ูปฏบิ ตั ิสมถะและเพง ดูความปรากฏรวมกนั ในการเพงดสู องสวนนั้น การเพงดูสหชาตธรรม กม็ ี การเพง ดูอารมณกม็ ี ในทนี่ ้ีประสงคเ อาการเพงดูอารมณ. บทวา ตสฺมาตหิ ภกิ ฺขเวความวา เพราะเหตทุ ภี่ ิกษผุ ูประพฤตโิ ดยนัยเปน ตนวา เราจักตามเหน็ ความไมเทย่ี ง หายใจออก ยอมเปนผูเห็นธรรมมนี วิ รณเปนตนแลวเพง ดอู ยา งเดยี วหามไิ ด แตแ มญาณเปนเคร่ืองละธรรมทั้งหลายท่ีกลาวโดยหัวขอ คือ อภิชฌาและโทมนสั กย็ อ มเปนของอันภกิ ษเุ หน็ ดวยปญ ญาแลว เพง ดูอย.ู เพราะ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 383ฉะน้นั พึงทราบวา ภกิ ษุมีปกติตามเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยใู นสมยั นนั้ . บทวา ปวจิ นิ ติ ไดแ ก ยอ มไตรต รอง ดว ยอนจิ จลักษณะเปนตน.สองบทนอกนเี้ ปน ไวพจนข องบทวา ปวิจินติ นี้น่ันแหละ. บทวา นิรามิสาแปลวา หมดกเิ ลส. บทวา ปสุสมฺภติ ความวา เพราะกเิ ลสทางกายและทางใจสงบ แมกายและจิตก็ยอ มสงบ บทวา สมาธยิ ติ ไดแ ก ต้งั ไวโดยชอบ คือ เปนเหมอื นถงึ ความแนบแนน (อัปปนา). บทวา อชฺฌเุ ปกขฺ ิตาโหติ ความวา ยอ มเปนผเู พงดดู วยการเพง ดสู หชาตธรรม. สตใิ นกายน้นั ของภิกษุนน้ั ผูกําหนดกายดว ยอาการ ๑๔ อยา งดวยประการอยา งน้ี เปน สติสัมโพชฌงค. ญาณอนั สมั ปยุตดวยสติ เปนธัมมวจิ ัยสมั โพชฌงค. ความเพยี รทางกายและทางใจอันสมั ปยุตดว ยธมั ม-วจิ ยสมั โพชฌงคน น้ั นั่นแหละ เปน วิรยิ สมั โพชฌงค. ปติ ปสสัทธแิ ละเอกัคคตาจิต เปน สมาธิสมั โพชฌงค อาการเปน กลางๆ กลาวคอืสัมโพชฌงค ๖ ประการ ดังพรรณนามาน้ี ไมถดถอยและไมดาํ เนนิ เกินไปเปน อุเบกขาสมั โพชฌงค เหมอื นอยา งวา เม่อื มา ท้ังหลายว่ิงไปไดเ รยี บสารถยี อ มไมม ีการกระตุน วา มาน้วี ง่ิ ชา หรอื ไมม กี ารร้ังไววา มา นวี้ ่ิงเร็วไปสารถีจะมอี าการมองดูอยางน้นั อยา งเดยี วเทานั้น ฉันใด อาการเปน กลางๆกลา วคือสมั โพชฌงค ๖ ประการเหลาน้ีไมถดถอยและไมด ําเนินเกนิ ไป เหมือนอยา งนน้ั นั่นแหละ ยอ มชอ่ื วาอเุ บกขาสมั โพชฌงค. ดว ยเหตุมปี ระมาณเทานี้ ทานกลา วถึงอะไร ? กลาวถึงวิปสสนา พรอ มดวยลักษณะตางๆ ท่เี ปนชวั่ ขณะจติ เดยี ววา ชือ่ วา สัมโพชฌงค บทเปนตน วา วเิ วกนิสสฺ ิต มเี นื้อความดงั กลา ว
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 384แลว นนั่ แล. กใ็ นท่นี ี้ สติก าหนดลมหายใจเขา ออกเปน โลกิยะ. อานาปานสติอนั เปน โลกยิ ะ ยอมทําสตปิ ฏฐานอันเปนโลกยิ ะใหบรบิ ูรณ โลกยิ สต-ิปฏ ฐานทําโลกุตรโพชฌงคใหบรบิ รู ณ โลกตุ รโพชฌงคทํา วชิ ชาวมิ ตุ ติ ผล และนิพพานใหบ รบิ ูรณ. ดงั นัน้ จึงเปน อนั ทา นกลาวถึงโลกยิ ะในอาคตสถานของโลกิยะ กลาวถงึ โลกตุ ระในอาคตสถานของโลกตระแล. ลวนพระเถระกลาววา ในสตู รอ่ืนเปน อยางน้ัน แตใ นสูตรน้ี โลกุตระจะมาขางหนา (ตอไป) โลกยิ อานาปานะทาํ โลกิยสตปิ ฏ ฐานใหบรบิ ูรณ โลกิยสตปิ ฏฐานทาํ โลกยิ โพชฌงคใ หบริบรู ณ โลกยิ โพชฌงคทําวิชชา วิมตุ ติ ผล และนิพพานอันเปน โลกุตระใหบริบูรณ. เพราะในพระสตู รน้ีวิชชา ผล และนพิ พาน ทา นประสงคเ อาดวยบทวา วิชชาและวิมุตติแล. จบ อรรถกถาอานาปานสตสิ ูตรที่ ๘
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 385 ๙. กายคตาสตสิ ตู ร วธิ เี จริญกายคตาสตทิ ีม่ ีผลมาก [๒๙๒] ขา พเจาไดสดบั มาอยางน้ี:- สมัยหน่ึง พระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยูทพ่ี ระวหิ ารเชตวันอารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวตั ถี ครงั้ น้ันแล ภิกษุมากดว ยกันกลบั จากบิณฑบาต ภายหลงั เวลาอาหารแลว น่ังประชุมกันในอปุ ฏ ฐานศาลา เกิดขอ สนทนากันขึ้นในระหวางดงั น้ีวา ดูกอนทานผูม อี ายุทัง้ หลายนาอัศจรรยจ ริง ไมน าเปน ไปไดเ ลย เทา ท่ีพระผมู ีพระภาคเจา พระองคนนั้ผูทรงรทู รงเห็น เปน พระอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธ ตรัสกายคตาสตทิ ี่ภกิ ษเุ จรญิแลว ทาํ ใหม ากแลว วา มผี ลานิสงสมากนี้ ขอ สนทนากันในระหวา งของภกิ ษุเหลาน้ัน คา งอยูเพียงเทานแี้ ล. [๒๙๒] ขณะนนั้ พระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ ออกจากสถานทที่ รงหลีกเรน อยูในเวลาเยน็ เสด็จเขา ไปยังอปุ ฏ ฐานศาลาน้ัน คร้นั แลวจึงประทับนงั่ ณ อาสนะทเ่ี ขาแตง ตัง้ ไว แลวตรัสถามภกิ ษุทง้ั หลายวา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันเรอ่ื งอะไร และพวกเธอสนทนาเร่อื งอะไรคางอยูใ นระหวา ง. ภกิ ษุเหลา นั้นทลู วา ขา แตพระองคผ ูเจริญ ณ โอกาสน้ี พวกขา พระองคก ลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแลว นั่งประชมุ กนั ในอปุ ฏฐานศาลา เกดิ ขอสนทนากันขึน้ ในระหวา งดังนี้วา ดกู อ นทานผมู อี ายุทงั่ หลาย นา อศั จรรยจ ริง ไมนา เปน ไปไดเ ลย เทาที่พระผมู พี ระภาคเจาพระองคนัน้ ผทู รงรู ผูทรงเห็น เปน พระอรหันตสมั มาสมั พุทธ ตรัสกายคตา-
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 386สติทภี่ ิกษเุ จริญแลว ทําใหมากแลว วามผี ลอานิสงสม ากนี้ ขาแตพ ระองคผูเจริญ ขอ สนทนากัน ในระหวางของพวกขา พระองคไ ดคา งอยเู พียงนี้ พอดีพระผมู ีพระภาคเจากเ็ สด็จมาถึง. วิธีเจรญิ กายคตาสตทิ มี่ ีผลานสิ งสม าก [๒๙๔] พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย กก็ าย-คตาสติอันภิกษุเจรญิ แลว อยางไร ทาํ ใหมากแลว อยางไร จึงมผี ลอานิสงสมาก ? ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ อยูในปาก็ดี อยูท่คี วงไมกด็ ี อยใู นเรอื นรา งก็ดี นง่ั คบู ลั ลงั ก ตงั้ กายตรง ดาํ รงสติม่ันเฉพาะหนา.เธอยอมมีสตหิ ายใจออก มสี ติหายใจเขา . เมือ่ หายใจออกยาว กร็ ชู ัดวาหายใจออกยาว หรอื เม่ือหายใจเขายาว ก็รชู ดั วา หายใจเขายาว. เม่ือหายใจออกสนั้ กร็ ูชัดวา หายใจออกสน้ั หรือเมอื่ หายใจเขา สั้น กร็ ูชัดวา หายใจเขา สั้น. สาํ เหนียกอยวู า เราจกั เปนผูกาํ หนดรูกองลมทง้ั ปวง หายใจออกวาเราจักเปนผูกําหนดรูกองลมทง้ั ปวง หายใจเขา. สําเหนยี กอยูว า เราจกัระงบั กายสังขาร หายใจออก วา เราจักระงบั กายสงั ขาร หายใจเขา . เมอื่ ภกิ ษุนน้ั ไมป ระมาท มคี วามเพียร สง ตนไปในธรรม อยอู ยางน้ี ยอมละความดํารพิ ลา นทเ่ี ปน เจา เรือนเสยี ได. เพราะละความดาํ ริพลา นนัน้ ได จิตอันเปนไปภายในเทานน้ั ยอ มคงท่ี แนน ่งิ เปนธรรมเอกผดุ ข้นึ ต้งั มน่ั ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย แมอยา งน้ี ภิกษุกช็ ื่อวา เจรญิ กายคตาสต.ิ [๒๙๕] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ประการอื่นยังมีอกี ภกิ ษุเดินอยู ก็รูชัดวากําลังเดนิ หรือยนื อยู ก็รูชัดวากาํ ลงั ยืน หรอื น่งั อยู ก็รชู ัดวา กาํ ลังนั่งหรือนอนอยู กร็ ูช ดั วา กาํ ลงั นอน. หรือเธอทรงกายโดยอาการใด ๆอยู กร็ ูชดั วากําลังทรงกายโดยอาการน้นั ๆ. เมื่อภกิ ษนุ ัน้ ไมประมาท มีความเพยี ร
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 387สงตนไปในธรรมอยอู ยางน้ี ยอมละความดาํ รพิ ลานทเ่ี ปนเจาเรอื นเสยี ได.เพราะละความดาํ ริพลานน้นั ได จติ อนั เปนไปภายในเทานนั้ ยอมคงท่ี แนน่งิ เปน ธรรมเอกผุดขน้ึ ตงั้ มัน่ ดูกอนภิกษุท้งั หลาย แมอ ยางน้ี ภิกษกุ ็ชือ่ วา เจรญิ กายคตาสต.ิ [๒๙๖] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งกลาย ประการอ่นื ยังมอี ีก ภิกษยุ อ มเปนผูทาํ ความรูสึกตัวในเวลากา วไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน ในเวลาทรงผา สงั ฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลาฉัน ดืม่ เคย้ี ว และล้มิ ในเวลาถา ยอุจจาระและปสสาวะ ในเวลา เดินยืน นัง่ นอนหลับ ตื่น พูด และนงิ่ เมือ่ ภกิ ษุนั้นไมป ระมาท มีความเพยี ร สง ตนไปในธรรมอยูอยางนี้ ยอมละความดาํ ริพลานทเี่ ปน เจาเรอื นเสียได. เพราะละความดาํ ริพลานนนั้ ได จติ อันเปนไปภายในเทา นน้ั ยอมคงท่ีแนน่ิง เปนธรรมเอกผุดขนึ้ ต้ังมนั่ ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย แมอยางน้ี ภิกษุก็ช่ือวา เจริญกายคตาสต.ิ [๒๙๗] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ประการอ่ืนยังมอี ีก ภกิ ษุยอมพิจารณากายนแี้ ล ขางบนแตพ้ืนเทาขึ้นมา ขา งลางแตปลายผมลงไป มีหนังหุม อยูโดยรอบ เต็มดวยของไมส ะอาดมปี ระการตา งๆ วามีอยูในกายนคี้ อื ผม ขนเลบ็ ฟน หนัง เนอ้ื เอน็ กระดูก เยื่อในกระดูก มา ม หัวใจ ตบั พังผดืไต ปอด ไสใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด น้าํ เหลืองเลือด เหงือ่ มันขน น้ําตา เปลวมนั นาํ้ ลาย นา้ํ มูก ไขขอ มูตร. ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย เปรยี บเหมือนไถมปี ากท้ังสองขา ง เตม็ ไปดวยธัญชาตนิ านาชนดิ คอื ขา วสาลี ขา วเปลือก ถว่ั เขียว ถ่วั ทอง งา และขาวสาร บรุ ษุผูมีตาดี แกไถนัน้ ออกแลวพงึ เห็นไดวา นี้ขา วสาลี นข้ี าวเปลอื ก นีถ้ ่ัวเหลือง
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 388นงี้ า นีข้ าวสาร ฉันใด ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ฉนั น้นั เหมอื นกันแล ภิกษุยอ มพิจารณาเหน็ กายนแ้ี ล ขา งบนแตพ ้นื เทาขึน้ ไป ขางลางแตปลายผมลงมามีหน่ึงหุมอยโู ดยรอบ เต็มดวยของไมส ะอาดมปี ระการตา งๆ วา มอี ยู ในกายนี้คอื ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนอ้ื เอน็ กระดูก เยื่อในกระดูก มา มหวั ใจ ตบั พังผดื ไต ปอด ไสใ หญ ไสน อ ย อาหารใหม อาหารเกาดี เสลด นํา้ เหลือง เลือด เหงือ่ มนั ขน นํา้ ตา เปลวมนั น้ําลาย นา้ํ มูกไขขอ มตู ร เมือ่ ภิกษุนน้ั ไมประมาท มคี วามเพียร สง ตนไปในธรรมอยอู ยา งนี้ ยอ มละความดาํ ริพลา นทเ่ี ปนเจาเรือนเสยี ได เพราะละความดําริพลานนัน้ ได จิตอันเปน ไปภายในเทานน้ั ยอมคงท่ี แนนงิ่ เปนธรรมเอกผดุ ขึ้น ต้งั มนั่ ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย แมอยา งน้ี ภิกษุกช็ ื่อวา เจริญ-กายคตาสต.ิ [๒๙๘] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ประการอน่ื ยังมีอีก ภกิ ษยุ อมพจิ ารณากายนแ้ี ล ตามทต่ี ง้ั อยู ตามที่ดํารงอยู โดยธาตวุ า มีอยใู นกายนคี้ ือ ธาตุดนิธาตุนํา้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม. ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย เปรยี บเหมอื นคนฆาโคหรือลูกมือของคนฆา โค ผูฉลาด ฆาโคแลว นง่ั แบง เปน สว นๆ ใกลทางใหญ๔ แยก ฉนั ใด ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย ฉนั นั้นเหมอื นกันแล ภกิ ษยุ อมพจิ ารณาเห็นกายน้ีแล ตามทต่ี ้ังอยู ตามท่ดี ํารงอยู โดยธาตุวา มีอยใู นกายน้ี ธาตุดนิ ธาตนุ าํ้ ธาตไุ ฟ ธาตุลม. เมือ่ ภกิ ษุน้นั ไมป ระมาท มีความเพียร สงตนไปในธรรม อยอู ยางน้ี ยอ มละความดาํ รพิ ลา นที่อาศัยเรอื นเสียได เพราะละความดาํ ริพลานนนั้ ได จิตอนั เปนไปภายในเทา นัน้ ยอ มคงท่ีแนน่ิง เปนธรรมเอกผุดงขน้ึ ตงั้ มั่น ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมอยา งน้ี ภิกษุก็ชือ่ วา เจรญิ กายคตาสติ.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 389 [๒๙๙] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ประการอ่ืนยังมีอกี ภกิ ษเุ ห็นศพทีเ่ ขาทง้ิ ในปา ชา อันตายไดว นั หนง่ึ หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึน้ พองเขียวช้าํมนี าํ้ เหลืองเยมิ้ จึงนําเขามาเปรียบเทยี บกายนี้วา แมก ายน้ีแลก็เหมือนอยา งน้ีเปนธรรมดา มคี วามเปน อยา งน้ี ไมล วงอยางนีไ้ ปได เมือ่ ภกิ ษุน้ันไมประมาท มคี วามเพียร สงตนไป ในธรรมอยอู ยา งน้ี ยอมละความดําริพลานท่อี าศัยเรอื นเสียได เพราะละความดาํ รพิ ลา นนัน้ ได จติ อนั เปนไปภายในเทานั้น ยอ มคงที่ แนน ่งิ เปน ธรรมเอกผดุ ขึน้ ต้งั มั่น ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย แมอ ยา งน้ี ภิกษุกช็ ่ือวา เจรญิ กายคตาสติ. [๓๐๐] ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ประการอ่ืนยังมอี ีก ภิกษุเห็นศพท่เี ขาทิ้งในปาชา อันฝูงกาจิกกนิ อยูบาง ฝงู แรง จิกกินอยูบาง ฝงู นกตะกรมุ จิกกินอยบู า ง หมสู นุ ัขบา นกัดกนิ อยูบา ง หมูสนุ ขั ปา กัดกนิ อยูบาง สัตวเ ลก็ สตั วนอ ยตา งๆชนิดยอ มกินอยบู าง จึงนาํ เขา มาเปรยี บเทยี บกายนว้ี า แมกายนแี้ ลก็เหมอื นอยางน้ีเปน ธรรมดา มีความเปนอยา งนี้ ไมล วงอยางน้ีไปได เมอื่ภกิ ษุนั้นไมประมาท มคี วามเพยี ร สงตนไป ในธรรมอยอู ยางน้ี ยอมละความดํารพิ ลา นท่เี ปน เจา เรือนเสียได. เพราะละความดาํ รพิ ลา นนนั้ ได จิตอนั เปน ไปภายในเทา น้นั ยอมคงที่ แนน ่งิ เปนธรรมเอกผดุ ขน้ึ ต้งั ม่ันดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย แมอ ยางนี้ภกิ ษุก็ช่อื วา เจริญกายคตาสติ. [๓๐๑] ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ประการอ่นื ยังมอี กี ภกิ ษเุ หน็ ศพท่ีเขาทงิ้ ในปาชา ยงั คุมเปนรูปรา งอยดู วยกระดกู มีทัง้ เน้ือและเลอื ดเสน เอน็ ผูกรดัไว... เห็นศพทีเ่ ขาทิง้ ในปาชา ยังคมุ เปน รปู รา งดวยกระดูก ไมม เี นอื้ มีแตเลือดเปรอะเปอ นอยู เสน เอ็นยังผกู รัดไว...
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 390 เหน็ ศพท่ีเขาทงิ้ ในปา ชา ยังคมุ เปนรปู รา งดว ยกระดกู ปราศจากเนอื้และเลอื ดแลว แตเสน เอ็นยงั ผูกรดั อยู... เหน็ ศพท่เี ขาท้ิงในปาชา เปน ทอ นกระดูก ปราศจากเสนเอ็นเครื่องผูกรัดแลว กระจดั กระจายไปทั่วทิศตางๆคือ กระดูกมอื อยูท างหนงึ่ กระดูกเทา อยูทางหน่งึ กระดูกแขง อยูท างหน่งึ กระดูกหนา ขาอยูท างหนึ่ง กระดกูสะเอวอยูทางหนึ่ง กระดูกสนั หลงั อยูทางหนงึ่ กระดกู ซโี่ ครงอยทู างหนึ่งกระดกู หนา อกอยทู างหน่งึ กระดกู แขนอยทู างหนึง่ กระดูกไหลอยทู างหนงึ่กระดกู คออยทู างหนึ่ง กระดกู คางอยทู างหนง่ึ กระดกู ฟน อยูทางหนง่ึ กระ-โหลกศรี ษะอยทู างหนง่ึ จึงนําเขามาเปรียบเทียบกับกายนีว้ า แมกายนี้แล ก็เหมือนอยา งนเ้ี ปน ธรรมดา มีความเปนอยางน้ี ไมลวงอยางน้ไี ปได. เมอ่ืภิกษุน้ันไมประมาท มีความเพยี ร สง ตนไป ในธรรมอยา งนี้ ยอมละความดําริพลา นที่เปน เจา เรอื นเสยี ได เพราะละความดาํ ริพลานนั้นไดจิตอนั เปนไปภายในเทาน้นั ยอ มคงที่ แนน ิ่ง เปนธรรมเอกผดุ ขนึ้ ตั้งมน่ัดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย แมอ ยางนี้ ภกิ ษุก็ชอ่ื วา เจริญกายคตาสติ. [๓๐๒] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ประการอืน่ ยังมอี ีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทง้ิ ในปาชา เปนแตก ระดกู สีขาวเปรียบดังสีสงั ข... เห็นศพทเ่ี ขาท้ิงไวใ นปา ชา เปน ทอ นกระดูกเร่ียราดเปนกอง ๆ มีอายเุ กินปหน่งึ ... เหน็ ศพทีเ่ ขาท้งิ ในปาชา เปนแตก ระดูกผุเปนจุณ จงึ นําเขา มาเปรียบเทียบกับกายน้วี า แมกายนแี้ ล ก็เหมอื นอยา งน้เี ปนธรรมดา มีความเปนอยา งน้ี ไมล ว งอยางน้ไี ปได เมอ่ื ภกิ ษุนนั้ ไมป ระมาท มีความเพยี รสง ตนไปในธรรม อยอู ยางน้ี ยอมละความดาํ รพิ ลา นทเี่ ปน เจาเรอื นเสียไดเพราะละความดาํ รพิ ลา นนั้นได จิตอันเปนภายในเทานน้ั ยอ มคงท่ี แนนิ่ง
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 391เปน ธรรมเอกผดุ ขึ้น ตั้งมั่น ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมอ ยางน้ี ภกิ ษุก็ชอ่ื วาเจรญิ กายคตาสต.ิ [๓๐๓] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ประการอ่นื ยังมอี ีก ภิกษสุ งดั จากกามสงดั จากอกุศลธรรม เขา ปฐมฌาน มีวิตก มวี จิ าร มปี ต ิและสขุ เกิดแตวิเวกอยู เธอยงั กายนี้แล ใหค ลกุ เคลา บริบูรณ ซาบซาน ดว ยปต ิและสขุ เกดิแตวิเวก ไมม เี อกเทศไรๆ แหงกายทกุ สว นของเธอทป่ี ต แิ ละสขุ เกิดแตวเิ วกจะไมถูกตอ ง. ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมอื ของพนักงานสรงสนานผูฉลาด โรยจณุ สาํ หรับสรงสนานลงในภาชนะสําริดแลว เคลา ดว ยนา้ํ ใหเปนกอ นๆ กอ นจุณสําหรบั สรงสนานน้ันมยี างซึมเคลอื บ จงึ จับกนั ทง้ั ขา งในขา งนอกและกลายเปน ผลึกดว ยยาง ฉนั ใด ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ฉนั น้นั เหมอื นกนั แล ภิกษยุ อ มยงั กายนแ้ี ล ใหคลกุ เคลาบริบูรณ ซาบซา นดวยปตแิ ละสขุ เกดิ แตวเิ วก ไมมเี อกเทศไรๆ แหงกายทุกสวนของเธอ ที่ปติและสุขเกดิ แตวิเวกจะไมถ ูกตอง. เมื่อภิกษุนน้ั ไมประมาทมีความเพียร สง ตนไปในธรรม อยอู ยา งนี้ ยอ มละความดาํ รพิ ลา นทเี่ ปนเจา เรือนเสยี ได. เพราะละความดํารพิ ลา นนนั้ ได จิตอนั เปน ไปภายในเทา น้นัยอ มคงที่ แนนิง่ เปนธรรมเอกผดุ ข้ึน ต้ังมั่น ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย แมอยางน้ีภกิ ษุก็ชอ่ื วา เจริญกายคตาสต.ิ [๓๐๔] ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ประการอ่นื ยงั มีอกี ภกิ ษุเขาทตุ ยิ ฌานมคี วามผองใสแหงใจภายใน มคี วามเปน ธรรมเอกผุดข้นึ เพราะสงบวิตกและวิจาร ไมมวี ติ ก ไมมีวิจาร มปี ติและสุขเกิดแตสมาธิอยู เธอยังกายนีแ้ ล ใหคลกุ เคลา บริบรู ณ ซาบซานดวยปต แิ ละสุขเกิดแตส มาธิ ไมม เี อกเทศไรๆแหง กายทุกสวนของเธอ ท่ปี ต แิ ละสุขเกดิ แตส มาธิจะไมถกู ตอง. ดกู อ นภิกษุ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 392ทง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นหวงน้ําพุ ไมมีทางระบายน้าํ ทัง้ ในทิศตะวนั ออกท้งั ในทิศตะวนั ตก ทงั้ ในทิศเหนือ ทงั้ ในทิศใตเ ลย และฝนก็ยังไมหลงั่ สายนาํ้ โดยชอบตามฤดูกาล ขณะนั้นแล ธารนาํ้ เยน็ จะพขุ นึ้ จากหวงนาํ้ น้ัน แลวทาํ หวงนํ้าน้ันเอง ใหค ลกุ เคลา บริบูรณ ซาบซา นดว ยน้ําเยน็ ไมม เี อกเทศไรๆ แหงหว งนํา้ ทุกสว นนน้ั ที่น้าํ เย็นจะไมถ ูกตอง ฉันใด ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลายฉนั นัน้ เหมือนกันแล ภิกษุยอมยงั กายนแ้ี ล ใหคลุกเคลา บรบิ ูรณ ซาบซา นดวยปติและสุขเกดิ แตสมาธิ ไมม ีเอกเทศไร ๆ แหงกายทกุ สว นของเธอทป่ี ตแิ ละสุขเกดิ แตสมาธจิ ะไมถ ูกตอง. เมอื่ ภิกษนุ น้ั ไมป ระมาท มีความเพียรสง ตนไปในธรรม อยูอยางนี้ ยอมละความดําริพลานทอี่ าศยั เรือนเสียได.เพราะละความดาํ รพิ ลา นนัน้ ได จติ อนั เปน ไปภายในเทา นั้น ยอมคงที่แนน ิ่ง เปน ธรรมเอกผดุ ข้ึน ต้ังมัน่ ดูกอนภิกษุท้ังหลาย แมอยา งน้ี ภิกษุกช็ อ่ื วา เจรญิ กายคตาสต.ิ [๓๐๕] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย ประการอื่นยังมีอีก ภกิ ษุเปนผวู างเฉยเพราะหนายปต ิ มสี ตสิ ัมปชัญญะอยู และเสวยสขุ ดว ยนามกายยอมเขาตติย-ฌานทพี่ ระอรยิ ะเรยี กเธอไดว า ผูวางเฉย มีสติ อยเู ปน สุขอยู เธอยังกายนี้แลใหค ลกุ เคลา บรบิ ูรณ ซาบซานดวยสุขปราศจากปติ ไมมเี อกเทศไรๆแหง กายทุกสว นของเธอ ท่ีสุขปราศจากปต จิ ะไมถ กู ตอง. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลายเปรยี บเหมอื นดอกบัวขาบ หรือดอกบวั หลวง หรอื ดอกบวั ขาว แตล ะชนิดในกอบวั ขาบ หรือในกอบัวหลวง หรือในกอบวั ขาว เกดิ แลว ในนํ้า เน่อื งอยูในนาํ้ ขน้ึ ตามนํ้า จมอยใู นนํา้ อนั นาํ้ เลยี้ งไว คลุก เคลา บริบูรณซึมซาบดว ยนํา้ เยน็ จนถงึ ยอดและเงา ไมม ีเอกเทศไรๆ แหงดอกบวั ขาบ หรอืดอกบวั หลวง หรอื ดอกบัวขาว ทุกสวนที่นาํ้ เยน็ จะไมถูกตอง ฉันใด ดู
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 393กอนภิกษุทัง้ หลาย ฉันนั้นเหมือนกนั แล ภกิ ษุยอมยังกายน้ีแล ใหค ลุกเคลา บริบูรณ ซาบซา นดว ยสขุ ปราศจากปต ิ ไมมเี อกเทศไรๆ แหงกายทกุสวนของเธอทส่ี ขุ ปราศจากปตจิ ะไมถ ูกตอง. เม่ือภิกษุน้ันไมป ระมาท มคี วามเพียร สงตนไปแลว ในธรรม อยูอ ยา งน้ี ยอมละความดาํ ริพลา นท่อี าศัยเรอื นเสียได. เพราะละความดํารพิ ลา นน้นั ได จิตอนั เปนไปภายในเทา น้ันยอ มคงที่ แนนิ่งเปนธรรมเอกผดุ ขึน้ ตัง้ มน่ั ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย แมอ ยา งนี้ภิกษกุ ็ช่ือวา เจรญิ กายคตาสติ. [๓๐๖] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ประการอืน่ ยังมอี ีก ภกิ ษุเขาจตุตถ-ฌานอนั ไมม ที ุกข ไมมสี ุข เพราะละสุขละทกุ ข และดบั โสมนัสโทมนสักอนๆ ได มสี ตบิ รสิ ทุ ธิเ์ พราะอุเบกขาอยู เธอยอ มเปน ผูน งั่ เอาใจอนั บรสิ ุทธ์ิผดุ ผอ งแผไปทว่ั กายน้ีแล ไมมีเอกเทศไรๆ แหงกายทุกสว นของเธอท่ีใจอันบริสทุ ธิผ์ ุดผอ งจะไมถกู ตอง. ดกู อนภิกษทุ ้งั หลายเปรยี บเหมอื นบุรษุ น่ังเอาผาขาวคลุมตลอดท้ังศรี ษะ ไมม เี อกเทศไรๆ แหง กายทกุ สวนของบรุ ุษนนั้ ท่ีผาขาวจะไมถกู ตอ ง ฉันใด ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ฉันนนั้ เหมอื นกันแล ภิกษุยอมเปน ผูน ่งั เอาใจอนั บรสิ ทุ ธผ์ิ ุดผอ งแผไ ปทวั่ กายน้แี ล ไมม เี อกเทศไรๆแหง กายทกุ สวนของเธอท่ีใจอนั บริสทุ ธ์ผิ ุดผองจะไมถ ูกตอง เมอ่ื ภกิ ษุนนั้ ไมประมาท มคี วามเพียร สงตนไปแลว ในธรรม อยอู ยา งน้ี ยอ มละความดาํ รพิ ลา นทีอ่ าศยั เรือนเสยี ได เพราะละความดาํ ริพลานน้นั ได จติ อนั เปนไปภายในเทา นน้ั ยอ มคงท่ี แนน ่ิง เปน ธรรมเอกผดุ ข้ึน ต้งั มัน่ ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย แมอยางน้ี ภิกษุก็ช่ือวาเจริญกายคตาสติ. [๓๐๗] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ภกิ ษุไรๆ กต็ าม เจริญกายคตาสติแลว ทาํ ใหมากแลว ชอื่ วา เจรญิ และทาํ ใหม ากซงึ่ กศุ ลธรรมสว นวิชชาอยา ง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419